ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1 จากทั้งหมด 48 หน้า แสดงรายการที่ 1 - 20 จากข้อมูลทั้งหมด 960 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1 | โครงการคนละครึ่ง พลัส | กค. | 07/10/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติโครงการคนละครึ่ง พลัส (โครงการฯ)
และให้กระทรวงการคลัง [สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)]
เป็นหน่วยงานดำเนินโครงการฯ ภายในกรอบวงเงิน ๔๔,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ ให้กระทรวงการคลังดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง
(สศค.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และธนาคารแห่งประเทศไทย
รวมทั้งความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงคมนาคม เห็นควรให้กระทรวงคลังดำเนินการตามกฎหมาย
กฎ ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ธนาคารแห่งประเทศไทย เห็นควรให้ความสำคัญกับการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของการใช้งบประมาณ
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจต่อไป และควรพิจารณาหารือกับหน่วยงานที่ขับเคลื่อนประเด็นดังกล่าวอยู่แล้ว
เพื่อเพิ่มผลสัมฤทธิ์ในการพัฒนาทักษะความรู้ทางการเงินแก่ผู้ประกอบการ
และช่วยประหยัดทรัพยากร ๒.
เห็นชอบในหลักการการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้ได้รับสิทธิตามโครงการฯ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้กระทรวงการคลัง (กรมสรรพากร) เร่งดำเนินการยกร่างกฎหมายให้แล้วเสร็จ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป ๓. เห็นชอบให้ สศค.
มอบอำนาจให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทยที่ได้รับมอบหมายเพื่อดำเนินการทางกฎหมายอาญาที่เกี่ยวข้องกับโครงการฯ
แทน สศค.
โดยให้ร่วมกันจัดทำบันทึกข้อตกลงในรายละเอียดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การมอบอำนาจให้ชัดเจนต่อไป
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับ
ติดตาม ตรวจสอบ และดำเนินการทางกฎหมายกับร้านค้าหรือผู้ที่กระทำการทุจริต ฝ่าฝืน
หรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการฯ อย่างเคร่งครัด ๔. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคม (กรมการขนส่งทางบก)
กระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าภายใน) กระทรวงมหาดไทย (กรมการปกครอง กรมการพัฒนาชุมชน
และกรุงเทพมหานคร) กระทรวงสาธารณสุข (กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ)
สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่าง
ๆ ในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
รวมทั้งให้ดำเนินการเพิ่มเติมด้วย ดังนี้ ๔.๑
ให้กระทรวงการคลัง (สศค.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาเพิ่มเติมผู้ประกอบการ ร้านค้าภายใต้โครงการฯ
ให้ครอบคลุมถึงวิสาหกิจเพื่อสังคมด้วย ๔.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ
โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล พื้นที่ชนบท
และพื้นที่ที่ประชาชนเข้าถึงเทคโนโลยีการสื่อสารได้ยาก
เพื่อให้ประชาชนสามารถลงทะเบียนได้ตามกำหนดระยะเวลาและได้รับสิทธิประโยชน์จากโครงการฯ
อย่างทั่วถึงและครบถ้วน ๔.๓
ให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ
กรมเจ้าท่า และกรมการขนส่งทางบก)
สนับสนุนข้อมูลของผู้ประกอบการด้านขนส่งสาธารณะและด้านขนส่งมวลชนสาธารณะให้ สศค.
เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาอนุมัติร้านค้าเป็นร้านค้าในโครงการฯ
ให้ถูกต้องและครบถ้วนด้วย ๔.๔
ให้กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับ ดูแล และติดตามสถานการณ์ราคาสินค้าและบริการที่เข้าร่วมโครงการฯ อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าและบริการโดยไม่เป็นธรรม |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2 | มาตรการอัตราค่าโดยสารสูงสุด 20 บาท ตลอดสาย ตามนโยบายรัฐบาล สำหรับรถไฟชานเมืองสายสีแดง สายนครวิถี (กรุงเทพอภิวัฒน์ - ตลิ่งชัน) และสายธานีรัถยา (กรุงเทพอภิวัฒน์ - รังสิต) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย และรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง) ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย | คค. | 30/09/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘
กรกฎาคม ๒๕๖๘ เฉพาะในส่วนของข้อ ๑.๑ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
เพื่อขยายกรอบเวลาของการดำเนินมาตรการอัตราค่าโดยสารสูงสุด ๒๐ บาท ตลอดสาย
ตามนโยบายรัฐบาล สำหรับรถไฟชานเมืองสายสีแดง สายนครวิถี (กรุงเทพอภิวัฒน์-ตลิ่งชัน)
และสายธานีรัถยา (กรุงเทพอภิวัฒน์-รังสิต) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย
และรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง)
ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย เป็นสิ้นสุดในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๘ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมเร่งแต่งตั้งคณะทำงานขึ้น
โดยให้มีผู้แทนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นองค์ประกอบของคณะทำงานอย่างครบถ้วน
เพื่อศึกษา วิเคราะห์ และประเมินความเหมาะสมและคุ้มค่าของการดำเนินมาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด
๒๐ บาท ตลอดสาย และพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินมาตรการในระยะต่อไปให้เหมาะสม
มีความยั่งยืน
เป็นประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนและไม่ก่อให้เกิดภาระต่องบประมาณหรือภาระทางการคลังเกินความจำเป็น
แล้วให้นำผลการพิจารณาเสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วนภายในวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๘ ๓. ให้กระทรวงคมนาคม การรถไฟแห่งประเทศไทย
และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมประเมินผลและความคุ้มค่าของการดำเนินมาตรการดังกล่าว
โดยเปรียบเทียบปริมาณผู้โดยสารและรายได้ที่เพิ่มขึ้น กับภาระค่าใช้จ่ายที่ภาครัฐต้องชดเชยหรือสูญเสียรายได้
เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการดำเนินมาตรการ หรือนโยบายด้านคมนาคมขนส่งของประเทศในอนาคต
รวมทั้งเร่งดำเนินการปรับปรุงวิธีการเก็บค่าโดยสาร
และการใช้บัตรโดยสารร่วมสำหรับการเดินทางข้ามโครงข่าย
ให้สอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติตั๋วร่วม พ.ศ. ....
เพื่ออำนวยความสะดวกและลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางด้วยโครงข่ายระบบรถไฟฟ้าของประชาชนต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3 | การติดตามการดำเนินการพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของบุคคลในเขตที่ดินของรัฐ | นร.04 | 19/08/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี
(นายภูมิธรรม เวชยชัย) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีเสนอว่า
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๙ มกราคม และ ๘ ตุลาคม ๒๕๖๗
เกี่ยวกับการช่วยเหลือประชาชนที่อยู่อาศัยในเขตที่ดินของรัฐให้เข้าถึงสาธารณูปโภคไฟฟ้า
ประปา และการเร่งรัดดำเนินการพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของบุคคลในเขตที่ดินของรัฐ
ซึ่งมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเร่งรัดการดำเนินการขอผ่อนผันการดำเนินการต่าง
ๆ ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเร่งรัดการดำเนินการพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของบุคคลในเขตที่ดินของรัฐที่เกี่ยวข้อง
ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย
หรือในที่ดินของรัฐที่ถูกบุกรุก หรือในที่ดินที่อยู่ระหว่างพิสูจน์สิทธิการครอบครองมาก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติในวันดังกล่าว
(๙ มกราคม ๒๕๖๗) สามารถเข้าถึงสาธารณูปโภคทั้งไฟฟ้าและน้ำประปาได้ในอัตราค่าบริการที่เหมาะสม
นั้น โดยที่ในขณะนี้ยังมีประชาชนจำนวนมากร้องเรียนว่ายังคงได้รับความเดือดร้อนเนื่องจากไม่สามารถเข้าถึงบริการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานดังกล่าวข้างต้นได้
จึงขอมอบหมายการดำเนินการ ดังนี้ ๑. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๙ มกราคม ๒๕๖๗ (เรื่อง
การเร่งรัดการดำเนินการพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของบุคคลในเขตที่ดินของรัฐ) รวมทั้งความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๘ ตุลาคม ๒๕๖๗ (เรื่อง ผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๖๗
การช่วยเหลือประชาชนที่อยู่อาศัยในเขตที่ดินของรัฐให้เข้าถึงสาธารณูปโภคไฟฟ้า
ประปา
และการเร่งรัดดำเนินการพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของบุคคลในเขตที่ดินของรัฐ) ให้แล้วเสร็จและครบถ้วนโดยด่วน ๒.
ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเร่งจัดการประชุมร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อติดตามความคืบหน้าและรวบรวมปัญหา
อุปสรรคต่าง ๆ ที่ทำให้การดำเนินการเกี่ยวกับการพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของบุคคลในเขตที่ดินของรัฐเกิดความล่าช้า
รวมทั้งให้จัดทำกรอบระยะเวลาในการดำเนินการในเรื่องนี้ให้เหมาะสมและชัดเจน
แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีในคราวประชุมครั้งต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 4 | ขออนุมัติจัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สินค้า (บทต.) โดยกำหนดให้นำชิ้นส่วนภายในประเทศและต่างประเทศมาประกอบภายในประเทศ จำนวน 946 คัน ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค. | 05/08/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย)
กู้ยืมเงินภายในกรอบวงเงิน ๒,๔๕๙,๙๗๕,๕๖๒ บาท สำหรับจัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สินค้า
จำนวน ๙๔๖ คัน โดยให้การรถไฟแห่งประเทศไทยกู้เงินในประเทศ รับภาระเงินต้น ดอกเบี้ย
และค่าใช้จ่ายในการกู้เงิน และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน พิจารณาการจัดหาเงินกู้
กำหนดวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน
ตามความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคม
(การรถไฟแห่งประเทศไทย) ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไปอย่างเคร่งครัด ๒. ให้กระทรวงคมนาคม การรถไฟแห่งประเทศไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ ที่ นร ๐๗๐๙/๕๓๐๕
ลงวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๗) และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (หนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่ นร ๑๑๐๖/๑๑๓๑๔ ลงวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๗) ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เห็นควรคำนึงถึงประโยชน์และความคุ้มค่าทางด้านเศรษฐศาสตร์ในการลงทุนโครงการดังกล่าว สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรกำกับให้การรถไฟแห่งประเทศไทยเร่งดำเนินการตามแผนวิสาหกิจการรถไฟแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐ โดยเฉพาะการจัดหา/ซ่อมบำรุงรถจักรและล้อเลื่อน
การปรับโครงสร้างบุคลากร การหารายได้เชิงพาณิชย์จากทรัพย์สินที่มีอยู่การแก้ไขปัญหาจุดตัด/ทางลักผ่านทางรถไฟ
รวมถึงการกำกับการบริการให้เป็นไปตามมาตรฐานความตรงต่อเวลา และประสานหารือกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและผู้ประกอบการเอกชน
เพื่อพิจารณาแนวทางการลงทุนก่อสร้างเส้นทางรถไฟเชื่อมต่อนิคมอุตสาหกรรมตามที่กรมการขนส่งทางรางศึกษาไว้
ซึ่งจะช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการขนส่งสินค้าจากถนนสู่ระบบราง (Shift mode) ได้อย่างเป็นรูปธรรม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 5 | มาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด 20 บาทตลอดสาย ตามนโยบายรัฐบาล (ระยะที่ 2) | คค. | 08/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ [เรื่อง มาตรการอัตราค่าโดยสารสูงสุด ๒๐ บาท ตลอดสาย
ตามนโยบายรัฐบาล สำหรับรถไฟชานเมืองสายสีแดง สายนครวิถี (กรุงเทพอภิวัฒน์ - ตลิ่งชัน) และสายธานีรัถยา (กรุงเทพอภิวัฒน์ - รังสิต)
ของการรถไฟแห่งประเทศไทยและรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง) ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย]
จากเดิม สิ้นสุดมาตรการวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๘ เป็น สิ้นสุดมาตรการวันที่
๓๐ กันยายน ๒๕๖๘ ๑.๒ แนวทางการดำเนินมาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด
๒๐ บาท ตลอดสาย ตามนโยบายรัฐบาล (ระยะที่ ๒) ๑.๓ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ได้แก่ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) กรุงเทพมหานคร
และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยดำเนินการต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. รับทราบการดำเนินมาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด
๒๐ บาท ตลอดสาย ตามนโยบายรัฐบาล (ระยะที่ ๒) สำหรับรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล
สายฉลองรัชธรรม สายนัคราพิพัฒน์ และสายสีชมพู ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
เป็นระยะเวลา ๑ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๘ ถึง ๓๐ กันยายน ๒๕๖๙
ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๓. อนุมัติในหลักการการดำเนินมาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด
๒๐ บาท ตลอดสาย ตามนโยบายรัฐบาล
(ระยะที่ ๒) สำหรับโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดงและโครงการรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
เป็นเวลา ๑ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๘ ถึง ๓๐ กันยายน ๒๕๖๙ ๔.
สำหรับค่าใช้จ่ายและแหล่งเงินที่จะใช้ในการดำเนินมาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด
๒๐ บาท ตลอดสาย ตามนโยบายรัฐบาล (ระยะที่ ๒) ข้างต้น เมื่อกระทรวงคมนาคม
(การรถไฟแห่งประเทศไทยและการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย) กรุงเทพมหานคร
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้คำนวณเงินค่าใช้จ่ายและพิจารณาแหล่งเงินที่จะใช้ในการดำเนินมาตรการดังกล่าวให้เหมาะสมและชัดเจนแล้ว
และแตกต่างไปจากที่นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้
ให้กระทรวงคมนาคมรวบรวมข้อมูลทั้งหมดเพื่อนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ๕. ให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทยและการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย)
กรุงเทพมหานคร
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินมาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด ๒๐ บาท
ตลอดสาย ตามนโยบายรัฐบาล (ระยะที่ ๒) ให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย กฎ ระเบียบ
ข้อบังคับ ข้อบัญญัติ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด ให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร
คณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน
และความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง รวมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล
(องค์การมหาชน) ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาแนวทางการขับเคลื่อนระบบตั๋วร่วมที่กำหนดไว้ในร่างพระราชบัญญัติการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม
พ.ศ. .... โดยเฉพาะโครงสร้างอัตราค่าโดยสารร่วม มาตรฐานทางเทคโนโลยีและรูปแบบของระบบบัตรโดยสารร่วม
รวมถึงการพัฒนาระบบศูนย์บริหารจัดการรายได้กลาง (Central
Clearing House : CCH) เพื่อให้การพัฒนาระบบตั๋วร่วมของระบบขนส่งสาธารณะในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีประสิทธิภาพมากขึ้นและเป็นไปอย่างต่อเนื่อง คณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน
เห็นว่าการดำเนินการภายใต้พระราชบัญญัติการร่วมลงทุนฯ พ.ศ. ๒๕๖๒ ต้องเป็นไปเพื่อบรรลุเป้าประสงค์ของการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนตามมาตรา
๖ แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนฯ พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรักษาวินัยการเงินการคลัง
และความโปร่งใสและตรวจสอบได้ในการจัดทำและดำเนินโครงการร่วมลงทุนรวมถึงกระบวนการตัดสินใจที่เกี่ยวข้อง ๖. ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการศึกษาแนวทางการดำเนินมาตรการค่าโดยสารราคาเดียวตลอดสายในระยะยาว
เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชนอย่างยั่งยืน
รวมถึงการจัดหาแหล่งเงินทุนในการดำเนินการที่สอดคล้องกับภาระทางการคลังของรัฐภายหลังจากสิ้นสุดมาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด ๒๐
บาท ตลอดสาย ตามนโยบายรัฐบาล (ระยะที่ ๒) ในครั้งนี้ เพื่อประกอบการพิจารณาดำเนินการในอนาคตต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 6 | การขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีและขออนุมัติรวมโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงตลิ่งชัน-ศาลายา และสถานีเพิ่มเติม 3 สถานี (สถานีสะพานพระราม 6 สถานีบางกรวย-กฟผ. และสถานีบ้านฉิมพลี) และโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน ช่วงตลิ่งชัน-ศิริราช เข้าด้วยกันเพื่อดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างให้เป็นสัญญาเดียว | คค. | 17/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติให้รวมโครงการระบบรถไฟชานเมือง
(สายสีแดง) ช่วงตลิ่งชัน - ศาลายา และสถานีเพิ่มเติม ๓ สถานี (สถานีสะพานพระราม ๖
สถานีบางกรวย - กฟผ. และสถานีบ้านฉิมพลี) และโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน
ช่วงตลิ่งชัน - ศิริราช เข้าด้วยกันเพื่อดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างให้เป็นสัญญาเดียว และเปลี่ยนชื่อโครงการเป็น “โครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน
ช่วงศิริราช - ตลิ่งชัน - ศาลายา และสถานีเพิ่มเติม ๓ สถานี
(สถานีสะพานพระราม ๖ สถานีบางกรวย - กฟผ. และสถานีบ้านฉิมพลี)”และอนุมัติกรอบวงเงินโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน
ช่วงศิริราช - ตลิ่งชัน - ศาลายา และสถานีเพิ่มเติม ๓ สถานี (สถานีสะพานพระราม ๖
สถานีบางกรวย - กฟผ. และสถานีบ้านฉิมพลี) โดยแบ่งเป็น
ค่าจ้างที่ปรึกษาจัดประกวดราคา จำนวน ๑๔.๗๘ ล้านบาท ค่าจ้างที่ปรึกษาคุมงาน (CSC) จำนวน ๓๙๒.๑๓ ล้านบาท
ค่าจ้างที่ปรึกษาวิศวกรอิสระ (ICE) จำนวน ๓๙.๕๕ ล้านบาท ค่างานโยธาและระบบราง
จำนวน ๑๐,๗๗๔.๗๒ ล้านบาท ค่างานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล จำนวน ๓,๙๕๕.๐๓ ล้านบาท รวมกรอบวงเงินโครงการ จำนวน ๑๕,๑๗๖.๒๑
ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗) ระยะเวลาดำเนินการ ๕ ปี รวมทั้งอนุมัติรายละเอียดอื่นที่มิได้มีการเปลี่ยนแปลงของทั้งสองโครงการ
ให้ยึดถือตามมติคณะรัฐมนตรีที่อนุมัติไว้เดิมเมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
และเมื่อวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๖๒ ตามลำดับ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้กระทรวงคมนาคมกำกับติดตามการดำเนินงานโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน
ช่วงศิริราช - ตลิ่งชัน - ศาลายา และสถานีเพิ่มเติม ๓ สถานี (สถานีสะพานพระราม ๖
สถานีบางกรวย - กฟผ. และสถานีบ้านฉิมพลี) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ให้แล้วเสร็จโดยเร็วและสามารถเปิดให้บริการได้ภายในกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ในปี
๒๕๗๒ อย่างเคร่งครัด ตลอดจนให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย)
บริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการให้อยู่ภายในกรอบวงเงินที่ได้รับอนุมัติในครั้งนี้ด้วย ๒.
ให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลังกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ ที่ นร ๐๗๐๙/๒๖๑๗ ลงวันที่ ๕
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นควรให้นำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องไปยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดด้วย สำนักงบประมาณ เห็นว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยควรให้ความสำคัญในการบริหารความเสี่ยง
รวมถึงการบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ
เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาที่อาจส่งผลให้การดำเนินโครงการมีความล่าช้า
และกระทรวงคมนาคมควรกำกับดูแลและติดตามการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 7 | ร่างกฎกระทรวงการขนส่งน้ำมันโดยถังขนส่งน้ำมันแบบยกและเคลื่อนที่ได้ พ.ศ. .... | พน. | 17/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการขนส่งน้ำมันโดยถังขนส่งน้ำมันแบบยกและเคลื่อนที่ได้
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขในการขนส่งน้ำมันโดยถังขนส่งน้ำมันแบบยกและเคลื่อนที่ได้
(เพิ่มวิธีการขนส่งน้ำมันนอกจากการนำถังขนส่งน้ำมันไปตรึงหรือสร้างไว้กับโครงรถหรือแคร่รถไฟอย่างถาวร)
เช่น การกำหนดลักษณะและการติดตั้งถังขนส่งน้ำมันแบบยกและเคลื่อนที่ได้
ระบบท่อน้ำมันและอุปกรณ์ การรับหรือจ่ายน้ำมัน การขนส่งน้ำมัน
และการเคลื่อนย้ายถังขนส่งน้ำมันแบบยกและเคลื่อนที่ได้
และการป้องกันและระงับอัคคีภัย
เพื่อเป็นทางเลือกเพิ่มเติมจากรูปแบบการขนส่งน้ำมันที่ใช้ในปัจจุบัน และเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบกิจการ
(ผู้ประกอบกิจการควบคุมประเภทที่ ๓ ถังขนส่งน้ำมัน)
ในการขนส่งน้ำมันระหว่างประเทศสามารถประกอบกิจการขนส่งน้ำมัน โดยถังขนส่งน้ำมันแบบยกและเคลื่อนที่ได้ให้มีความปลอดภัยและสอดคล้องกับมาตรฐานสากลและเทคโนโลยีในปัจจุบัน
ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม ที่เห็นว่าการกำหนดคุณสมบัติของผู้ขับรถไฟบรรทุกขนส่งน้ำมันเป็นอำนาจของการรถไฟแห่งประเทศไทย
และปัจจุบันกรมการขนส่งทางรางได้กำหนดมาตรฐาน มขร. - O-๐๐๑ - ๒๕๖๕ มาตรฐานการขนส่งสินค้าอันตรายทางรถไฟ
(Carriage of Dangerous Goods by Rails) บังคับใช้ระหว่างที่กฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางรางยังไม่มีผลใช้บังคับ
จึงไม่จำเป็นต้องออกประกาศเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเรื่องของการบรรทุกถังขนส่งน้ำมันด้วยรถไฟ
คุณสมบัติของผู้รับขี่รถไฟบรรทุกถังขนส่งน้ำมัน การจัดวางถังขนส่งน้ำมันทางรถไฟ
และการติดป้ายอักษรภาพและเครื่องหมายของถังขนส่งน้ำมันทางรถไฟ ไปประกอบการพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 8 | ขออนุมัติปรับกรอบวงเงินลงทุนและจัดหาแหล่งเงินเพิ่มเติมเพื่อรองรับสำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต และช่วงบางซื่อ - ตลิ่งชัน | คค. | 10/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการการปรับเพิ่มกรอบวงเงินโครงการระบบรถไฟชานเมือง
(สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต และช่วงบางซื่อ - ตลิ่งชัน เพิ่มเติม
ในส่วนของงานที่เกิดจากคำสั่งเปลี่ยนแปลงงานเพิ่มเติม (Variation Order : VO) ค่าใช้จ่ายจากการขยายระยะเวลาของสัญญาจ้าง
(Prolongation Cost) และเงินชดเชยค่างานก่อสร้าง K
(Price Adjustment) โดยไม่รวมในส่วนของดอกเบี้ยจากการจ่ายค่างานล่าช้า
ซึ่งมิใช่ต้นทุนโดยตรงของโครงการฯ
รวมถึงแหล่งเงินเพื่อจ่ายค่างานที่เพิ่มขึ้นในโครงการฯ และการจัดหาแหล่งเงิน ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒. เห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทยกู้เงินตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย
มาตรา ๓๙ (๔) และอนุมัติในหลักการให้การรถไฟแห่งประเทศไทยปรับกรอบวงเงินโครงการฯ
เพิ่มเติมกรณีที่เกิดความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน หรือกรณีการเปลี่ยนแปลงอัตราค่าภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกิดจากการเปลี่ยนแหล่งเดิมหรือการเปลี่ยนแปลงอัตราค่าภาษีมูลค่าเพิ่มจากที่ประกาศไว้ในประมวลรัษฎากร
รวมทั้งให้กระทรวงการคลังจัดหาแหล่งเงินให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาปรับเพิ่มวงเงินโครงการฯ ก่อนดำเนินการต่อไป
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๓.
ให้การรถไฟแห่งประเทศไทยเร่งรัดการดำเนินการชำระหนี้สำหรับสัญญาที่ ๑
ตามคำพิพากษาศาลปกครองให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
เพื่อลดภาระดอกเบี้ยล่าช้าที่เกิดขึ้นวันละ ๙๙๖,๗๕๙.๙๔ บาท และให้กระทรวงคมนาคม การรถไฟแห่งประเทศไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในประเด็นการตรวจสอบข้อเท็จจริง
การกำหนดมาตรการ/แนวทาง การกำกับดูแล
และการทบทวนระเบียบและหลักเกณฑ์ที่การรถไฟแห่งประเทศไทยใช้ในการบริหารโครงการฯ รวมทั้งความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น สำนักงบประมาณ เห็นควรให้การรถไฟแห่งประเทศไทยจัดทำแผนการบริหารจัดการความเสี่ยงของโครงการอย่างเหมาะสม
เพื่อควบคุมต้นทุนโครงการให้เป็นไปตามกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติไว้
และไม่ก่อให้เกิดภาระทางการคลังและภาระงบประมาณของภาครัฐเพิ่มขึ้นในอนาคต ทั้งนี้
โดยให้การรถไฟแห่งประเทศไทยปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี
และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการ
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่าการกู้เงินจะต้องพิจารณาดำเนินการกู้เงินให้สอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐและกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะโดยเคร่งครัด
และต้องดำเนินการให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องดังกล่าวด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 9 | ขอความเห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทยปรับเพิ่มเงินสวัสดิการพิเศษให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงภัยจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการจ่ายเงินสวัสดิการพิเศษเพิ่มเติมให้กับผู้ปฏิบัติงานที่มีสำนักงานอยู่นอกพื้นที่เสี่ยงภัย แต่เข้าไปปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงภัยจังหวัดชายแดนภาคใต้ | คค. | 10/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทยจ่ายเงินสวัสดิการพิเศษให้กับกลุ่มผู้ปฏิบัติงานประจำสำนักงานในพื้นที่พิเศษ
จากอัตรา ๒,๕๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน เป็นอัตราใหม่
๓,๕๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน กรณีปฏิบัติงานในพื้นที่ไม่เต็มเดือน
ซึ่งมีระยะเวลาตั้งแต่ ๑๕ วันขึ้นไป ให้มีสิทธิได้รับเงินสวัสดิการพิเศษในอัตรา ๓,๕๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน และการจ่ายเงินสวัสดิการพิเศษเพิ่มเติมให้กับกลุ่มผู้ปฏิบัติงานที่มีที่ตั้งของสำนักงานอยู่นอกพื้นที่พิเศษ
ซึ่งมีความจำเป็นต้องเข้าไปปฏิบัติงานในพื้นที่พิเศษ ดังนี้ ๑) ผู้ปฏิบัติงานที่ปฏิบัติงานประจำขบวนรถไฟ
มีสิทธิได้รับเงินในอัตรา ๒๓๓.๓๓ บาทต่อคนต่อวัน กรณีปฏิบัติงานในพื้นที่ตั้งแต่
๑๕ วันขึ้นไป ให้มีสิทธิได้รับเงินในอัตรา ๓,๕๐๐
บาทต่อคนต่อเดือน และ ๒) ผู้ปฏิบัติงานที่มีที่ตั้งของสำนักงานตั้งอยู่ในเขตพื้นที่จังหวัดสงขลาและงานซ่อมสร้างสะพานที่
๔ ฝ่ายการช่างโยธา มีที่ตั้งของสำนักงานตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช
ซึ่งไม่ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่พิเศษ
แต่มีความจำเป็นต้องเข้าไปปฏิบัติงานในพื้นที่พิเศษเป็นครั้งคราว
มีสิทธิได้รับเงินในอัตรา ๒๓๓.๓๓ บาท ต่อคนต่อวัน กรณีปฏิบัติงานในพื้นที่ตั้งแต่
๑๕ วันขึ้นไป ให้มีสิทธิได้รับเงินในอัตรา ๓,๕๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย)
รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น สำนักงบประมาณ เห็นว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยควรพิจารณาค่าใช้จ่ายบุคลากรในภาพรวม
โดยคำนึงถึงสถานะการเงิน ผลการดำเนินงานของกิจการ มีการจัดทำแผนการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานหรือเพิ่มรายได้อย่างต่อเนื่อง
เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นและไม่ก่อให้เกิดภาระแก่ประชาชน สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้การรถไฟแห่งประเทศไทยกำกับการจ่ายค่าตอบแทนดังกล่าวให้เป็นไปตามความจำเป็นและเหมาะสม
พร้อมทั้งกำหนดให้มีระบบควบคุมตรวจสอบ เพื่อให้การใช้จ่ายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 10 | ขออนุมัติหลักเกณฑ์การคำนวณเงินชดเชยค่างานก่อสร้าง K (Price Adjustment) เพื่อขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2532 เป็นกรณีพิเศษเฉพาะสำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต เฉพาะในส่วนของงานโยธาของสัญญาที่ 1 และสัญญาที่ 2 | คค. | 20/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักเกณฑ์การคำนวณเงินชดเชยค่างานก่อสร้าง
K (Price Adjustment) เพื่อยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๒ สิงหาคม ๒๕๓๒ เป็นกรณีพิเศษเฉพาะสำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง)
ช่วงบางซื่อ - รังสิต เฉพาะในส่วนของงานโยธาของสัญญาที่ ๑ และสัญญาที่ ๒ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
ดังนี้ ๑. อนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทยใช้หลักเกณฑ์การคำนวณเงินชดเชยค่างานก่อสร้าง
K (Price Adjustment) เพื่อยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๓๒ เป็นกรณีเฉพาะโครงการระบบรถไฟชานเมือง
(สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต เฉพาะในส่วนงานโยธาของสัญญาที่ ๑ และสัญญาที่ ๒
ดังนี้ ๑.๑
การคำนวณเงินชดเชยค่างานก่อสร้าง (ค่า K) ที่ใช้กับสัญญาแบบปรับราคาได้
ให้ใช้หลักเกณฑ์การคำนวณเงินชดเชยค่างานก่อสร้าง (ค่า K) ตามที่ระบุไว้ในสัญญา
โดยใช้ดัชนีราคาฐาน ๒๘ วัน ก่อนยื่นซองประกวดราคา สำหรับสัญญาที่ ๑ และสัญญาที่ ๒
เป็นฐานในการคำนวณ สำหรับประเภทงานก่อสร้าง
สูตรและวิธีคำนวณให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๓๒ ๑.๒
การขอเงินเพิ่มค่างานก่อสร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ให้เป็นหน้าที่ของผู้รับจ้างที่จะต้องเรียกร้องภายใน
๙๐ วัน โดยนับจากวันที่ส่งมอบงานงวดสุดท้าย ๒.
มอบหมายให้สำนักงบประมาณเป็นผู้พิจารณาและวินิจฉัยการคำนวณเงินเพิ่มหรือลด
และจ่ายเงินเพิ่มหรือเรียกเงินคืนจากผู้รับจ้างตามเงื่อนไขของสัญญาแบบปรับราคาได้ตามข้อผูกพันของสัญญาที่ได้ลงนามไปแล้ว
และหากการจ่ายเงินเพิ่มค่างานก่อสร้างดังกล่าว ทำให้เกินกรอบวงเงินที่ได้รับจากคณะรัฐมนตรีก็ถือว่าได้รับการอนุมัติขยายกรอบวงเงินโครงการจากคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้ด้วย
ส่วนการจัดหาแหล่งเงินที่เหมาะสมเพื่อเบิกจ่ายเงินชดเชยค่าก่อสร้าง K ให้แก่ผู้รับจ้าง
ขอให้สำนักงบประมาณเป็นผู้วินิจฉัย และขอให้การรถไฟแห่งประเทศไทยขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่งต่อไป ให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย)
รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น สำนักงบประมาณ เห็นว่าการดำเนินโครงการระบบรถไฟชานเมืองในอนาคตขอให้การรถไฟแห่งประเทศไทยนำเงื่อนไข
หลักเกณฑ์ ประเภทงานก่อสร้าง สูตร
และวิธีการคำนวณที่ใช้กับสัญญาแบบปรับราคาได้ของการประกวดราคานานาชาติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๙ มาใช้ อย่างเคร่งครัด โดยกรณีที่พิจารณาแล้วเห็นว่าจำเป็นต้องขอยกเว้นการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว
ให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 11 | ขอความเห็นชอบร่างบันทึกความร่วมมือระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น ด้านระบบรางและการพัฒนาเมือง | คค. | 29/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความร่วมมือระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง
และการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น ด้านระบบรางและการพัฒนาเมือง และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
เป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยสำหรับการลงนามดังกล่าว โดยร่างบันทึกความร่วมมือฯ
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดความร่วมมือระหว่างไทยกับประเทศญี่ปุ่นเกี่ยวกับการพัฒนาระบบรางและการพัฒนาเมือง
ซึ่งรูปแบบความร่วมมือจะอยู่ในลักษณะของการแลกเปลี่ยนข้อมูล ความรู้ ประสบการณ์ และเทคโนโลยี
รวมถึงการจัดสัมมนา การศึกษาดูงาน และการจัดส่งผู้เชี่ยวชาญ โดยมีขอบเขตความร่วมมือ
เช่น (๑) การซ่อมบำรุงรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง (๒)
การพัฒนาแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ระยะที่ ๒ (๓)
การพัฒนาระบบรางในเขตเมือง (๔) การพัฒนาพื้นที่รอบสถานีขนส่งมวลชน (Transit-Oriented Development : TOD) และ (๕)
การเตรียมการต่อภัยพิบัติ เป็นต้น ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความร่วมมือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรวมทั้งความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลังไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
อาทิ กรมการขนส่งทางราง สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) และการรถไฟแห่งประเทศไทย
พิจารณาจัดทำแผนบูรณาการองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบบรางภายใต้กรอบความร่วมมือระหว่างประเทศต่าง
ๆ อาทิ ญี่ปุ่น จีน มาเลเซีย ฝรั่งเศส และเยอรมนี
เพื่อให้เกิดการพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีและนวัตกรรม
ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพและมาตรฐานการให้บริการระบบรางของประเทศ และสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมระบบรางภายในประเทศ
รวมถึงการพัฒนาระบบรางให้เป็นโครงข่ายหลักในการเดินทางและขนส่งสินค้าของประเทศตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ฉบับที่ ๑๓ (พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐) และแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (๗)
ประเด็นโครงสร้างพื้นฐานระบบโลจิสติกส์ และดิจิทัล (พ.ศ. ๒๕๖๑ - ๒๕๘๐) กระทรวงการคลัง เห็นว่ากระทรวงคมนาคมควรร่วมมือกับหน่วยงานต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ในการพิจารณาจัดทำแผนการพัฒนาและเชื่อมต่อโครงข่ายคมนาคมขนส่งสาธารณะในระบบต่าง ๆ
และการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ตามแนวเส้นทางและบริเวณสถานีรถไฟ เพื่อให้เกิดการบูรณาการร่วมกันกับระบบขนส่งรูปแบบอื่นอย่างไร้รอยต่อ
และเกิดประโยชน์จากการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างสมบูรณ์ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 12 | ขออนุมัติแนวทางดำเนินการโครงการ “บ้านเพื่อคนไทย” ของบริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด | คค. | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการดำเนินงานโครงการบ้านเพื่อคนไทย
นำร่องระยะที่ ๑ จำนวน ๔ โครงการ ของกระทรวงคมนาคม โดยให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย)
ดำเนินการต่อไปให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย กฎ
ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย) ธนาคารอาคารสงเคราะห์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงบประมาณไปประกอบการพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่าสิทธิของผู้เข้าร่วมโครงการนี้เป็นสิทธิการเช่าระยะยาว
(Leasehold) แต่โดยที่ปัจจุบันกฎหมายเกี่ยวกับการเช่าอสังหาริมทรัพย์ทั่วไปยังมีข้อจำกัดเกี่ยวกับระยะเวลาการเช่าโดยกำหนดไว้ไม่เกิน
๓๐ ปี จึงอาจไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการที่มีวัตถุประสงค์ให้ประชาชนมีสิทธิเช่าที่พักอาศัยในระยะยาว
(Leasehold) สมควรที่คณะรัฐมนตรีจะพิจารณามอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาความเหมาะสมของระบบการเช่าระยะยาว
(Leasehold) ในประเทศไทย
หากเห็นว่าสมควรที่จะปรับปรุงระบบการเช่าดังกล่าว ควรมอบหมายให้ดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไปตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
พ.ศ. ๒๕๖๒ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรพิจารณาดำเนินการศึกษาศักยภาพการพัฒนาของที่ดินแต่ละแห่งอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่ที่หน่วยงานรับผิดชอบได้มีการศึกษา/จัดทำไว้
เพื่อให้การกำหนดกลุ่มเป้าหมายและรูปแบบที่อยู่อาศัยของโครงการมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทการพัฒนาพื้นที่
และควรประสานและบูรณาการกับการรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อร่วมจัดทำแผนการพัฒนาพื้นที่
พร้อมกำหนดแนวทาง/แผนการรื้อย้ายในภาพรวม อาทิ กำหนดพื้นที่ดำเนินการ
ช่วงระยะเวลาดำเนินการ และมาตรการเยียวยาที่ชัดเจน
เพื่อเตรียมการรองรับการพัฒนาโครงการบ้านเพื่อคนไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการดำเนินโครงการจำเป็นต้องพิจารณาศึกษาเปรียบเทียบรูปแบบการบริหารโครงการทั้งในส่วนของการจ้างเอกชน/รัฐวิสาหกิจอื่น
บริหารโครงการหรือดำเนินการเอง ซึ่งในกรณีที่บริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด
จะดำเนินการเองจำเป็นต้องมีแผนธุรกิจที่ชัดเจนประกอบพิจารณาด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 13 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2568 ครั้งที่ 1 | กค. | 11/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ
ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๘ ครั้งที่ ๑ โดยในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๘ เมื่อวันที่ ๑๓
มกราคม ๒๕๖๘ โดยการปรับปรุงแผนฯ มีสาระสำคัญ เช่น (๑)
การปรับเพิ่มวงเงินกู้โครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายเด่นชัย - เชียงราย - เชียงของ
จำนวน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท เนื่องจากการรถไฟแห่งประเทศไทยส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างให้แก่ผู้รับจ้างได้เพิ่มขึ้น
(๒) การปรับลดวงเงินกู้โครงการรับจำนำผลิตผลทางการเกษตร (ปีการผลิต ๒๕๕๔/๒๕๕๕
และปีการผลิต ๒๕๕๕/๒๕๕๖) จำนวน ๒๕,๐๐๐ ล้านบาท
เนื่องจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรได้รับเงินงบประมาณเพื่อชำระคืนเงินต้นแล้ว
และ (๓) การปรับเพิ่มวงเงินการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้รัฐบาลที่จะครบกำหนด ในปีงบประมาณ
๒๕๖๙ - ๒๕๗๒ จำนวน ๗๗,๘๙๐.๐๒ ล้านบาท เป็นต้น ตามที่คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ให้คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ
กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นควรกำกับ ติดตาม
และเร่งรัดหน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการและเบิกจ่ายเงินกู้ให้สอดคล้องและบรรลุวัตถุประสงค์ตามแผนที่กำหนดไว้
เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้เป็นไปอย่างโปร่งใส คุ้มค่า ประหยัด
เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศอย่างแท้จริง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่าการบริหารจัดการหนี้สาธารณะในระยะต่อไป
จะต้องคำนึงถึงสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและการเงินโลกที่ยังมีแนวโน้มของความผันผวนอยู่ในเกณฑ์สูง
รวมทั้งแรงกดดันทางการคลังที่เพิ่มขึ้นตามภาระหนี้รัฐบาลจากการดำเนินนโยบายขาดดุลงบประมาณอย่างต่อเนื่อง
และผลจากการกู้เงินเพื่อดูแลแก้ไขผลกระทบจากวิกฤติโควิด-๑๙
ซึ่งจะต้องบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อมิให้กระทบต่ออันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ
ตลอดจนเป็นข้อจำกัดต่อกรอบงบประมาณสำหรับการพัฒนาประเทศในระยะต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 14 | ขออนุมัติกู้เงินระยะสั้น (วงเงินกู้เบิกเกินบัญชี) วงเงิน 1,500 ล้านบาท ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 | คค. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการกู้เงินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓๙ (๔) โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน
รวมทั้งพิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดตามความเหมาะสม โดย รฟท.
จะดำเนินการกู้เงินได้ภายหลังจากวงเงินกู้ได้รับการบรรจุไว้ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ ที่ผ่านความเห็นชอบตามขั้นตอนแล้ว ทั้งนี้ การขอยกเว้นค่าธรรมเนียมการกู้เงิน
ให้ รฟท. พิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง สำหรับเงินกู้ระยะสั้น
(วงเงินกู้เบิกเกินบัญชี) วงเงิน ๑,๕๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ให้กระทรวงคมนาคม การรถไฟแห่งประเทศไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง (หนังสือกระทรวงการคลัง
ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๙๐๔/๑๕๑๖๕ ลงวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๗) สำนักงบประมาณ
(หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๐๙/๙๘๐ ลงวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๗) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(หนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ด่วนที่สุด ที่ นร
๑๑๒๔/๑๐๗๖๐ ลงวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๖๗) ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จและเกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไปด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นควรเร่งรัดการดำเนินการตามแผนวิสาหกิจการรถไฟแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐ (แผนฟื้นฟูการรถไฟแห่งประเทศไทย)
เพื่อแก้ไขปัญหาองค์กรภายใต้การกำกับของกระทรวงคมนาคมให้เห็นผลเป็นรูปธรรมตามแผนที่กำหนดไว้โดยเร็ว สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรให้การรถไฟแห่งประเทศไทยเร่งปรับปรุงรายละเอียดของแผนฟื้นฟูกิจการและดำเนินการตามแนวทางของแผนให้เกิดผลเป็นรูปธรรม
โดยเฉพาะด้านการหารายได้และการพัฒนาขีดความสามารถของกิจการ
รวมทั้งการพิจารณารายละเอียดและส่งมอบทรัพย์สินที่มีศักยภาพให้กับบริษัทลูกที่จัดตั้งขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการบริหารสินทรัพย์ของการรถไฟแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นรายได้ที่ไม่เกี่ยวกับการขนส่งระบบราง
ให้มีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์
สามารถสร้างรายได้ให้กับการรถไฟแห่งประเทศไทยซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาหนี้สินทางการเงินของการรถไฟแห่งประเทศไทยได้อย่างยั่งยืน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 15 | ขออนุมัติดำเนินโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย (ระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา - หนองคาย) | คค. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุริยะ
จึงรุ่งเรืองกิจ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมชี้แจงว่า โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาคช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย
(ระยะที่ ๒ ช่วงนครราชสีมา - หนองคาย) (โครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ระยะที่ ๒)
มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาเส้นทางสายไหมใหม่ (One Belt One Road : OBOR) โดยจะเป็นการเชื่อมโยงระบบคมนาคมทางรางจากสาธารณรัฐประชาชนจีนผ่านสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวมายังประเทศไทย
ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนและการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม
ในส่วนที่กระทรวงการคลังมีความเห็นว่า การดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ระยะที่ ๒
จำเป็นต้องใช้เงินกู้ในการดำเนินโครงการเป็นจำนวนมาก
รวมทั้งกระทรวงคมนาคมมีโครงการลงทุนในช่วงเวลาเดียวกันอีกหลายโครงการ
ซึ่งส่งผลกระทบต่อพื้นที่ทางการคลัง (Fiscal Space) ที่จะใช้ในการดำเนินโครงการอื่น
ๆ อันอาจทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศเข้าใกล้กรอบร้อยละ
๗๐ นั้น กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทยจะรับไปศึกษาความเหมาะสมของรูปแบบการให้เอกชนร่วมลงทุนในโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ
ระยะที่ ๒ ในส่วนของการเดินรถ การลงทุน ระบบราง ระบบไฟฟ้าและเครื่องกล
รวมถึงในส่วนของการดำเนินโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้านาทาก่อนดำเนินการต่อไป
ซึ่งจะช่วยลดภาระในส่วนของวงเงินงบประมาณและเงินกู้ที่ใช้ในการดำเนินการโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ
ระยะที่ ๒
รวมทั้งจะพิจารณาปรับปรุงสมมติฐานที่ใช้ในการศึกษาความเหมาะสมของโครงการทั้งหมดให้เป็นปัจจุบัน
ตามข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและความเห็นของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เมื่อวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๖๘ (หนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ด่วนที่สุด ที่ นร ๑๑๐๖/๔๐๕ ลงวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๘) ด้วย
โดยจะดำเนินการในเรื่องนี้ให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. อนุมัติในหลักการโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ
ระยะที่ ๒ โดยให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย) ดำเนินการในส่วนของการจัดสรรกรรมสิทธิ์ที่ดินและชดเชยทรัพย์สินและการก่อสร้างงานโยธาภายในกรอบวงเงิน
ดังนี้ ๒.๑
ค่าจัดสรรกรรมสิทธิ์ที่ดินและชดเชยทรัพย์สิน วงเงิน ๑๒,๔๑๘.๖๑ ล้านบาท ๒.๒
ค่างานก่อสร้างโยธา วงเงิน ๒๓๗,๔๕๔.๘๖
ล้านบาท ๒.๓
ค่าควบคุมงานก่อสร้างโยธา วงเงิน ๖,๕๓๐.๐๑ ล้านบาท ๓.
ให้การรถไฟแห่งประเทศไทยจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป
สำหรับเป็นค่าจัดสรรกรรมสิทธิ์ที่ดินและชดเชยทรัพย์สินตามข้อ ๒.๑
โดยในส่วนค่างานก่อสร้างโยธาและค่าควบคุมงานก่อสร้างโยธา ตามข้อ ๒.๒ และข้อ ๒.๓
ให้กระทรวงการคลังจัดหาแหล่งเงินกู้และค้ำประกันเงินกู้ให้ตามความเหมาะสม และให้การรถไฟแห่งประเทศไทยเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีสำหรับเป็นค่าชำระค่าคืนต้นเงินกู้
ค่าดอกเบี้ยเงินกู้ และค่าใช้จ่ายในการกู้เงินต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
โดยให้การรถไฟแห่งประเทศไทยดำเนินการก่อสร้างงานโยธาให้เป็นไปตามมาตรฐานทางเทคนิคที่เหมาะสมและใช้จ่ายงบประมาณอย่างประหยัด
มีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและประโยชน์สูงสุดของประเทศเป็นสำคัญต่อไป ทั้งนี้
เพื่อเป็นการลดแรงกดดันทางการเงินการคลังของประเทศในภาพรวม ให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย)
พิจารณาศึกษาความเหมาะสมของการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ภายใต้โครงการรถไฟความเร็วสูงฯ
ระยะที่ ๒ เช่น การลงทุนระบบราง ระบบไฟฟ้าและเครื่องกล การลงทุนเครื่องมือ/อุปกรณ์
และรถจักร ศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้านาทา เป็นต้น ในรูปแบบการให้เอกชนร่วมลงทุน
ตามความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๒๓ มกราคม
๒๕๖๘ (หนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ด่วนที่สุด ที่ นร
๑๑๐๖/๔๐๕ ลงวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๘)
รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการคลังก่อนดำเนินการต่อไป ๔. ให้กระทรวงคมนาคม การรถไฟแห่งประเทศไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเมื่อวันที่
๒๓ มกราคม ๒๕๖๘ (หนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ด่วนที่สุด
ที่ นร ๑๑๐๖/๔๐๕ ลงวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๘) รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
และข้อเสนอแนะของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาลงทุนในโครงการที่มีความสำคัญและความจำเป็นเร่งด่วนเป็นลำดับแรก รวมถึงกำกับให้การรถไฟแห่งประเทศไทยดำเนินโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของการรถไฟแห่งประเทศไทยให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้
โดยเฉพาะโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ระยะที่ ๑
ที่มีผลการดำเนินงานที่ล่าช้ากว่าแผนที่กำหนดไว้เป็นอย่างมาก
เพื่อให้การดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ สามารถเปิดให้บริการได้ตามเป้าหมายและเป็นไปตามสมมติฐานของอัตราผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ
(EIRR) ในการพัฒนาโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ
และป้องกันความเสี่ยงของต้นทุนโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ที่รัฐต้องรับภาระทางการเงินเพิ่มขึ้นด้วย
ตลอดจนให้การรถไฟแห่งประเทศไทยเร่งศึกษารูปแบบการให้เอกชนเดินรถช่วงกรุงเทพมหานคร
- นครราชสีมา และนครราชสีมา - หนองคาย
ตามพระราชบัญญัติการร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. ๒๕๖๒ (พ.ร.บ. ร่วมลงทุนฯ)
ให้แล้วเสร็จทันแผนการเปิดให้บริการโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ระยะที่ ๑
และจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงสำหรับการจัดหาผู้เดินรถกรณีที่ผลศึกษารูปแบบการให้เอกชนร่วมลงทุนยังไม่แล้วเสร็จ
เป็นต้น สำนักงบประมาณ เห็นควรให้กระทรวงคมนาคม
โดยการรถไฟแห่งประเทศไทยพิจารณาจัดลำดับความสำคัญและดำเนินโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนเป็นลำดับแรก
เพื่อไม่ให้เป็นภาระงบประมาณและภาระทางการคลังของภาครัฐในอนาคตเกินสมควร และให้การรถไฟแห่งประเทศไทยเร่งรัดการศึกษารูปแบบการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน
โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค
ช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย รวมถึงศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้านาทา
ให้เป็นไปตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. ๒๕๖๒
เพื่อให้การดำเนินโครงการเกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการให้บริการ
และลดภาระงบประมาณของภาครัฐในระยะยาว ๕.
ให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทยเร่งรัดดำเนินโครงการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค
ช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย (ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา)
ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๖๘ (เรื่อง ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย
- จีน ครบรอบ ๕๐ ปี) ด้วย ๖.
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์การจัดทำรายงานการวิเคราะห์ความเหมาะสมของโครงการ
(Project Feasibility) ให้เหมาะสมและชัดเจนยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดอายุของรายงานฯ
ที่จะนำไปใช้ประกอบการพิจารณาอนุมัติ/เห็นชอบโครงการ
เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันและสอดดล้องกับบริบทของเศรษฐกิจและสังคมสำหรับใช้ประกอบการพิจารณาโครงการลงทุนที่จะดำเนินการในอนาคตต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 16 | ความก้าวหน้าโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย และผลการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย - จีน ครั้งที่ 31 | คค. | 28/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความก้าวหน้าโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค
ช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย
และผลการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย - จีน
ครั้งที่ ๓๑ โดยมีสาระสำคัญ เช่น ความก้าวหน้าการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ
- หนองคาย ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพฯ -
นครราชสีมา มีการก่อสร้างแล้วเสร็จ ๒ สัญญา (ช่วงกลางดง - ปางอโศก และสีคิ้ว -
กุดจิก) อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ๑๐ สัญญา และอยู่ระหว่างการจัดซื้อจัดจ้าง ๒ สัญญา
ในส่วนของงานจ้างออกแบบรายละเอียด (สัญญา ๒.๑) ผู้รับจ้างฝ่ายจีนได้ออกแบบแล้วเสร็จ
งานจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานการก่อสร้าง (สัญญา ๒.๒)
มีการเบิกจ่ายงานจ้างไปแล้วทั้งหมด ๑,๙๐๑.๓๘ ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗)
งานระบบราง ระบบไฟฟ้าและเครื่องกล รวมทั้งจัดหาขบวนรถไฟ และจัดฝึกอบรมบุคลากร (สัญญา
๒.๓) ปัจจุบันการรถไฟแห่งประเทศไทยได้ตรวจรับงานแล้วเมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๗ การจัดตั้งองค์กรกำกับการดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบ
ส่วนการจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน)
ได้มีการจัดตั้งเรียบร้อยแล้ว ระยะที่ ๒ ช่วงนครราชสีมา - หนองคาย
ปัจจุบันออกแบบรายละเอียดแล้วเสร็จ โดยอยู่ระหว่างเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
และการเชื่อมต่อทางรถไฟช่วงหนองคาย - เวียงจันทน์ การปรับปรุงสะพานมิตรภาพเพื่อรองรับการขนส่งสินค้าด้วยน้ำหนักกดเพลา๒๐
ตัน/เพลา กรมทางหลวงได้ดำเนินการศึกษาความสามารถในการรับน้ำหนักเรียบร้อยแล้ว และสำนักงบประมาณได้อนุมัติงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉิน
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเสริมกำลังสะพานมิตรภาพ การก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งใหม่
ปัจจุบันได้ข้อตกลงว่าไทยและลาวจะร่วมลงทุนค่าใช้จ่ายร่วมกันในอาณาเขตของแต่ละฝ่าย
ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการออกแบบรายละเอียด และจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17 | ขออนุมัติตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 สำหรับรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ของกระทรวงคมนาคม | คค. | 28/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการการยื่นคำของบประมาณรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่
๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป ตามนัยมาตรา ๒๖
แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ของกระทรวงคมนาคม จำนวน ๓๕ โครงการ
วงเงินรวมทั้งสิ้น ๒๘๖,๗๙๑.๘๔๐๐ ล้านบาท (ระยะเวลาดำเนินการ
ปี ๒๕๖๙ - ๒๕๗๔) โดยมีวงเงินที่จะขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๙
จำนวน ๕๕,๐๐๓.๘๕๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้
ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมประสานและบูรณาการกับหน่วยงานรับผิดชอบ ได้แก่ กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย การรถไฟแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านคมนาคมขนส่งทุกรูปแบบที่มีอยู่ในปัจจุบันให้เกิดประโยชน์สูงสุด
และการรถไฟแห่งประเทศไทยเร่งดำเนินการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน
ตามข้อ ๒๑ ของประกาศคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เรื่องหลักเกณฑ์
วิธีการ เงื่อนไข และกระบวนการในการร่วมลงทุนกับเอกชนหรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน
พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยเร็ว สำนักงบประมาณ เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
และยืนยันความพร้อมของโครงการดังกล่าว โดยมีรายละเอียดคุณลักษณะเฉพาะ
ประมาณการราคา รวมถึงการดำเนินการตามกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้อง
โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและประหยัด การพิจารณาเป้าหมาย
ประโยชน์ที่จะได้รับประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ รวมทั้งพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของโครงการให้เหมาะสมกับความจำเป็นเร่งด่วน
ศักยภาพในการดำเนินการ ตลอดจนสถานะการเงินการคลังของประเทศ
และคำนึงถึงภาระผูกพันงบประมาณในแต่ละปีงบประมาณให้เป็นไปตามสัดส่วนของรายจ่ายลงทุนที่กำหนด
ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ และรายการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข
๙ สายถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก ช่วงบางบัวทอง - บางปะอิน
ให้กรมทางหลวงเร่งรัดการเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขออนุมัติดำเนินการก่อสร้างโครงการในส่วนของงานโยธา
เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปตามกรอบเวลาที่กำหนด
โดยคำนึงถึงวัตถุประสงค์ของโครงการ ประโยชน์สูงสุดของทางราชการ
และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 18 | เรื่องสืบเนื่องจากการลงพื้นที่ตรวจราชการที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของนายกรัฐมนตรี (การพัฒนาเส้นทางรถไฟช่วงหาดใหญ่-สุไหงโกลก) | นร. | 28/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากการลงพื้นที่ตรวจราชการที่
๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ (จังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส) เมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม
๒๕๖๘ ได้มีการเร่งรัด ติดตามความก้าวหน้าของการพัฒนาระบบขนส่งทางรางจากทางเดี่ยวเป็นทางคู่
เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานให้ครอบคลุม รองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ การค้า
และการท่องเที่ยว
รวมทั้งยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
ซึ่งการรถไฟแห่งประเทศไทยได้นำเสนอเส้นทางการก่อสร้างรถไฟทางคู่
ระยะที่ ๒ จำนวน ๓ เส้นทาง ได้แก่ (๑) ช่วงชุมพร - สุราษฎร์ธานี (๒)
ช่วงสุราษฎร์ธานี - ชุมทางหาดใหญ่ - สงขลา และช่วงชุมทางหาดใหญ่ -
ปาดังเบซาร์ เพื่อช่วยลดต้นทุนทางโลจิสติกส์ ทั้งด้านการขนส่งสินค้า
และผู้โดยสารในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม การก่อสร้างเส้นทางรถไฟช่วงหาดใหญ่ -
สุไหงโกลก จากปัจจุบันที่เป็นทางเดี่ยวให้เป็นทางคู่ ถือเป็นการพัฒนาโครงข่ายทางรถไฟที่จะช่วยให้สามารถขนส่งสินค้าได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกสินค้าเกษตรชนิดต่าง ๆ จากในพื้นที่ ดังนั้น จึงขอมอบหมายให้กระทรวงคมนาคม
(การรถไฟแห่งประเทศไทย)
เร่งดำเนินการศึกษาความเหมาะสมและเป็นไปในการพัฒนาเส้นทางดังกล่าวเพิ่มเติมให้ชัดเจนและแล้วเสร็จโดยเร็ว
โดยให้สำนักงบประมาณพิจารณาสนับสนุนงบประมาณเพื่อการนี้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 19 | ขออนุมัติกรอบวงเงินเพิ่มเติมสำหรับงานเวนคืนที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค. | 21/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติปรับกรอบวงเงินรวมของโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่
ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย เป็น ๒๙,๗๖๓.๕๗ ล้านบาท
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒.
เห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทยลงทุนซึ่งมีวงเงินเกินห้าสิบล้านบาท
ก่อนดำเนินการตามนัยมาตรา ๓๙ (๕) แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔
และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
เพื่อใช้ในการจ่ายเงินค่าทดแทนพื้นที่เวนคืนที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ในโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่
ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ สัญญาที่ ๑ ช่วงมาบกะเบา-คลองขนานจิตร และสัญญาที่ ๓
งานอุโมงค์รถไฟ ในวงเงิน ๑๙๗.๓๗ ล้านบาท ๓. ให้กระทรวงคมนาคม
(การรถไฟแห่งประเทศไทย)
รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง เช่น (๑)
การรถไฟแห่งประเทศไทยควรดำเนินโครงการให้เป็นไปตามแผนที่กำหนด
รวมทั้งมีการกำหนดแผนการบริหารความเสี่ยงในกรณีที่ผลประกอบการไม่เป็นไปตามประมาณการที่ตั้งไว้
และ (๒)
การรถไฟแห่งประเทศไทยควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพการให้บริการจากธุรกิจการเดินรถโดยสารและขบวนรถสินค้า
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 20 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับใช้ในโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยรอบพื้นที่สถานีรถไฟที่มีศักยภาพ | คค. | 13/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๑๖๖
ล้านบาท เพื่อสำหรับใช้ในโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยรอบพื้นที่สถานีรถไฟที่มีศักยภาพ
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เห็นว่าหากการดำเนินโครงการเข้าข่ายตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เรื่อง กำหนดโครงการ กิจการ หรือการดำเนินการ
ซึ่งต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
พ.ศ. ๒๕๖๖ ลงวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๖๖
จะต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้เป็นไปตามประกาศฉบับดังกล่าว และจะต้องจัดกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนตามประกาศสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เรื่อง แนวทางการมีส่วนร่วมของประชาชน ในกระบวนการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
พ.ศ. ๒๕๖๖ ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
