ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 9 จากทั้งหมด 48 หน้า แสดงรายการที่ 161 - 180 จากข้อมูลทั้งหมด 958 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
161 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง | กค | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางออกไปอีก ๑ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๑-๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ วงเงินชดเชยรวมทั้งสิ้น ๔๐๙.๐๕๗ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางรถโดยสารประจำทาง ดำเนินการผ่านองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ โดยรัฐบาลรับภาระค่าใช้จ่ายการจัดรถโดยสารประจำทางธรรมดา จำนวน ๘๐๐ คันต่อวัน ให้บริการแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ประมาณการค่าใช้จ่ายในวงเงิน จำนวน ๓๒๒.๕๕๗ ล้านบาท ๑.๒ มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางโดยรถไฟชั้น ๓ ดำเนินการผ่านการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยรัฐบาลรับภาระค่าใช้จ่ายการจัดหารถไฟชั้น ๓ เชิงสังคม จำนวน ๑๕๒ ขบวนต่อวัน และรถไฟชั้น ๓ ระยะทางไกลในขบวนรถเชิงพาณิชย์ จำนวน ๘ ขบวนต่อวัน ให้บริการแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ประมาณการค่าใช้จ่ายในวงเงิน จำนวน ๘๖.๕๐๐ ล้านบาท ๒.ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานตามมาตรการฯ ที่เกิดขึ้นจริงโดยผ่านคณะกรรมการการตรวจสอบที่เกี่ยวข้อง และจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายจากการดำเนินตามมาตรการฯ รวมทั้งควรพิจารณาแนวทางการจัดสรรงบประมาณเพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายจากการดำเนินมาตรการฯ ไม่ให้มีความซ้ำซ้อนกับการให้ความช่วยเหลือลดภาระค่าใช้จ่ายเดินทางของประชาชนผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และกำหนดแผนบูรณาการระบบสวัสดิการของภาครัฐในรูปแบบต่าง ๆ ให้อยู่ภายใต้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อให้การจัดสวัสดิการของภาครัฐเป็นไปตามความจำเป็นและตรงกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างครอบคลุมและทั่วถึง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
162 | ขอความเห็นชอบร่างสัญญา 2.2 ที่ปรึกษาควบคุมงานการก่อสร้าง (Construction Supervision Consultant Services Agreement) โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาคช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา) | คค | 29/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างสัญญา ๒.๒ ที่ปรึกษาควบคุมงานการก่อสร้าง (Construction Supervision Consultant Services Agreement) โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา) โดยให้ปรับกรอบวงเงินสัญญา ๒.๒ ที่ปรึกษาควบคุมงานการก่อสร้าง จากเดิมจำนวน ๑,๖๔๙.๐๘ ล้านบาท เป็นจำนวน ๓,๕๐๐ ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗) โดยวิธีการปรับเกลี่ยจากค่าใช้จ่ายในส่วนอื่นเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อวงเงินรวมของโครงการฯ จำนวน ๑๗๙,๔๑๒.๒๑ ล้านบาท ตามที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้เมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ การดำเนินการตามร่างสัญญาดังกล่าวให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย)ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงคมนาคม การรถไฟแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า โครงการดังกล่าวเป็นโครงการขนาดใหญ่ มีมูลค่าโครงการสูง และเป็นโครงการความร่วมมือในระดับรัฐบาลต่อรัฐบาล จึงควรใช้ความละเอียดรอบคอบในระดับที่สูงที่สุดในการดำเนินการในทุกขั้นตอนโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง และควรเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นให้ประชาชนทั่วไปรับทราบและเข้าถึงข้อมูลได้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลดำเนินโครงการด้วยความโปร่งใส เหมาะสม และคุ้มค่า เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นสำคัญ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทยกำกับและบริหารการดำเนินโครงการฯ อย่างเคร่งครัด เพื่อให้กรอบวงเงินรวมของโครงการอยู่ภายใต้กรอบวงเงินรวมที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้เมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ๔. ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามเงื่อนไขที่สำคัญตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ โดยเฉพาะในเรื่องการจัดตั้งองค์กรพิเศษและเรื่องการถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้ ๕. ให้กระทรวงคมนาคมได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
163 | ขอความเห็นชอบร่างสัญญา 2.1 การออกแบบรายละเอียด (Detailed Design Services Agreement) โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา) | คค | 22/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ปรับชื่อโครงการ จากเดิม “โครงการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา)” เป็น “โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา)” ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอเพิ่มเติม ๒. เห็นชอบร่างสัญญา ๒.๑ การออกแบบรายละเอียด (Detailed Design Services Agreement) โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา) ในวงเงินค่าจ้าง ๑,๗๐๖.๗๗๑ ล้านบาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย) รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินโครงการฯ ด้วยความละเอียดรอบคอบและคำนึงถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศ รวมถึงศักดิ์ศรีและความน่าเชื่อถือของประเทศไทย และดำเนินการตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ รวมทั้งสร้างความรับรู้และความเข้าใจให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นระยะ ๆ และให้ความสำคัญกับการกำกับและบริหารโครงการฯ ให้อยู่ภายใต้กรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ ไปดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามเงื่อนไขที่สำคัญตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ [เรื่อง ขออนุมัติดำเนินโครงการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา)] โดยเฉพาะกรณีการจัดตั้งองค์กรพิเศษ เพื่อให้สอดรับกับแผนการดำเนินโครงการที่กำหนดไว้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
164 | ขออนุมัติกรอบวงเงินเพิ่มเติมสำหรับงานเวนคืนที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ โครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา - คลองสิบเก้า - แก่งคอย ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 15/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติกรอบวงเงินสำหรับงานเวนคืนที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ โครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย พร้อมทางคู่เลี่ยงเมือง (Chord Line) จำนวน ๓ แห่ง เพิ่มเติม ๒๔๓.๖๓ ล้านบาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ รฟท. ดำเนินการภายใต้กรอบวงเงินรวมของโครงการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ทั้งนี้ การใช้จ่ายเงินค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวจะเป็นไปตามที่พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด นอกจากนี้กระทรวงคมนาคมควรเร่งพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินสิ่งปลูกสร้างและค่ารื้อย้ายให้แก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการลงทุนพัฒนาระบบรางภายใต้ความรับผิดชอบของ รฟท. และจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนของข้อกฎหมายที่กำหนดไว้ เพื่อประโยชน์สูงสุดของทางราชการโดยสะท้อนถึงราคาตลาดที่แท้จริงและเกิดความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกเวนคืน รวมทั้งควรแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาวงเงินค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินโครงการฯ เพื่อพิจารณาตรวจสอบ กลั่นกรอง ให้เกิดความรอบคอบ ถูกต้อง เหมาะสมอีกครั้งหนึ่ง ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. สำหรับแหล่งเงินทุนที่ใช้เป็นค่าเวนคืนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เพิ่มขึ้น จำนวน ๒๔๓.๖๓ ล้านบาท ให้กระทรวงคมนาคม โดยการรถไฟแห่งประเทศไทยดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ โดยเห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทยกู้เงินได้ตามมาตรา ๓๙ (๔) แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ ๓. ให้กระทรวงคมนาคมกำกับดูแลและติดตามการดำเนินโครงการดังกล่าว รวมถึงโครงการอื่น ๆ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงคมนาคมให้เป็นไปตามแผนการดำเนินงานที่กำหนดไว้ ตลอดจนดำเนินการตรวจสอบหาสาเหตุที่ทำให้การดำเนินโครงการล่าช้า และพิจารณากำหนดแนวทางปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
165 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลท่าไข่ และตำบลหน้าเมือง อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา พ.ศ. .... | คค | 25/07/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลท่าไข่ และตำบลหน้าเมือง อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืน เพื่อสร้างทางรถไฟทางคู่เลี่ยงเมืองที่สถานีชุมทางฉะเชิงเทรา ตามโครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ให้ความสำคัญกับการพิจารณาผลกระทบด้านการระบายน้ำภายหลังจากการก่อสร้างด้วย เพื่อมิให้เกิดปัญหาเรื่องการระบายน้ำในพื้นที่บริเวณดังกล่าวในอนาคต และให้ รฟท. เร่งรัดการดำเนินการตามพระราชกฤษฎีกาให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่มีพระราชกฤษฎีกาใช้บังคับใหม่ รวมทั้งเร่งเตรียมการเสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในพื้นที่เพื่อใช้ในการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางอื่น ๆ เพื่อให้ รฟท. สามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเบิกจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจในภาพรวม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
166 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 290 สายถนนวงแหวนรอบเมืองนครราชสีมา ตอนบ้านหนองคู - บ้านหนองบัวศาลา พ.ศ. .... | คค | 25/07/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๙๐ สายถนนวงแหวนรอบเมืองนครราชสีมา ตอนบ้านหนองคู-บ้านหนองบัวศาลา พ.ศ. ....มีสาระสำคัญเพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๙๐ สายถนนวงแหวนรอบเมืองนครราชสีมา ตอนบ้านหนองคู-บ้านหนองบัวศาลา ในท้องที่อำเภอขามทะเลสอ อำเภอเมืองนคราชสีมา อำเภอโนนไทย อำเภอโนนสูง และอำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครราชสีมา ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่ากรมทางหลวงควรให้ความสำคัญกับการพิจารณาผลกระทบด้านการระบายน้ำภายหลังจากการก่อสร้าง เพื่อมิให้เกิดปัญหาเรื่องการระบายน้ำในพื้นที่บริเวณดังกล่าวในอนาคต และให้ความสำคัญกับการประสานกับการรถไฟแห่งประเทศไทยในการพิจารณาออกแบบรายละเอียดและกำหนดระยะเวลาการก่อสร้างให้มีความสอดคล้องกันโดยเฉพาะในบริเวณจุดตัดของโครงการต่าง ๆ เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงการเดินทางของประชาชนได้อย่างบูรณาการ รวมทั้งยังทำให้การใช้จ่ายเงินงบประมาณของภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
167 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน รวม 2 ฉบับ (ร่างพระราชกฤษฎีกากำเหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลตาลเดี่ยว อำเภอแก่งคอย และตำบลตลิ่งชั่น อำเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี พ.ศ. ....) | คค | 18/07/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน รวม ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางรถไฟทางคู่เลี่ยงเมืองที่สถานีชุมทางบ้านภาชีและสถานีชุมทางแก่งคอย ตามโครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลไผ่ล้อม ตำบลดอนหญ้านาง และตำบลหนองน้ำใส อำเภอภาชี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลตาลเดี่ยว อำเภอแก่งคอย และตำบลตลิ่งชัน อำเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี พ.ศ. .... ๒. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า แนวเขตบริเวณที่ที่จะเวนคืนตามร่างพระราชกฤษฎีกาทั้งสองฉบับดังกล่าวได้เคยมีการตราพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลไผ่ล้อม ตำบลดอนหญ้านาง และตำบลหนองน้ำใส อำเภอภาชี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พ.ศ. ๒๕๕๖ และพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลตาลเดี่ยว อำเภอแก่งคอย และตำบลตลิ่งชัน อำเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี พ.ศ. ๒๕๕๖ รวมระยะเวลาทั้งสิ้นฉบับละ ๔ ปี จึงเห็นควรให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เร่งรัดการดำเนินการตามพระราชกฤษฎีกาทั้งสองฉบับให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่มีพระราชกฤษฎีกาใช้บังคับใหม่ ประกอบกับปัจจุบัน รฟท. มีแผนพัฒนาระบบรถไฟในพื้นที่บริเวณสถานีชุมทางบ้านภาชีและสถานีชุมทางแก่งคอยหลายโครงการ จึงเห็นควรให้ รฟท. พิจารณากำหนดแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินภายในเขตทางรถไฟในพื้นที่บริเวณชุมทางบ้านภาชีและสถานีชุมทางแก่งคอยให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่และลดภาระงบประมาณของภาครัฐในภาพรวม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
168 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน รวม 2 ฉบับ (ร่างพระราชกฤษฎีกากำเหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลไผ่ล้อม อำเภอดอนหญ้านาง และตำบลหนองน้ำใส อำเภอภาชี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พ.ศ. ....) | คค | 18/07/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน รวม ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางรถไฟทางคู่เลี่ยงเมืองที่สถานีชุมทางบ้านภาชีและสถานีชุมทางแก่งคอย ตามโครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลไผ่ล้อม ตำบลดอนหญ้านาง และตำบลหนองน้ำใส อำเภอภาชี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลตาลเดี่ยว อำเภอแก่งคอย และตำบลตลิ่งชัน อำเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี พ.ศ. .... ๒. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า แนวเขตบริเวณที่ที่จะเวนคืนตามร่างพระราชกฤษฎีกาทั้งสองฉบับดังกล่าวได้เคยมีการตราพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลไผ่ล้อม ตำบลดอนหญ้านาง และตำบลหนองน้ำใส อำเภอภาชี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พ.ศ. ๒๕๕๖ และพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลตาลเดี่ยว อำเภอแก่งคอย และตำบลตลิ่งชัน อำเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี พ.ศ. ๒๕๕๖ รวมระยะเวลาทั้งสิ้นฉบับละ ๔ ปี จึงเห็นควรให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เร่งรัดการดำเนินการตามพระราชกฤษฎีกาทั้งสองฉบับให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่มีพระราชกฤษฎีกาใช้บังคับใหม่ ประกอบกับปัจจุบัน รฟท. มีแผนพัฒนาระบบรถไฟในพื้นที่บริเวณสถานีชุมทางบ้านภาชีและสถานีชุมทางแก่งคอยหลายโครงการ จึงเห็นควรให้ รฟท. พิจารณากำหนดแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินภายในเขตทางรถไฟในพื้นที่บริเวณชุมทางบ้านภาชีและสถานีชุมทางแก่งคอยให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่และลดภาระงบประมาณของภาครัฐในภาพรวม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
169 | ขออนุมัติดำเนินโครงการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา) | คค | 11/07/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้เปลี่ยนชื่อโครงการ จาก “โครงการความร่วมมือด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟไทย-จีน ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา” เป็น “โครงการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา)” และให้ปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การลงนามกรอบความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยการกระชับความร่วมมือในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟ ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕) ในข้อ ๔.๑ เป็น “ให้เสนอผลการดำเนินการภายใต้กรอบความร่วมมือดังกล่าวต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อรับทราบต่อไป” ๒. อนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินโครงการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามเงื่อนไขที่สำคัญ ดังต่อไปนี้ ๒.๑ ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งสาขาทางบก ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ รวมทั้งการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อรองรับการเคลื่อนย้ายสินค้า คน ฐานความรู้ และเงินทุนแบบต่อเนื่องหลายรูปแบบ (Multimodal) ทั้งภายในประเทศและการเชื่อมโยงในระดับภูมิภาคให้ชัดเจน และจัดทำแผนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ประกอบด้วย การลำดับความสำคัญของการพัฒนา ภาระด้านการคลัง และกลไกที่จะให้ภาคเอกชนดำเนินการหรือร่วมดำเนินการให้ชัดเจน เพื่อสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยกำหนดเป็นเป้าหมายสำคัญภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติระยะ ๒๐ ปี รวมทั้งให้กระทรวงคมนาคมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติชี้แจงภาพรวมผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์จากการเชื่อมโยงการคมนาคมขนส่งในระดับภูมิภาคผ่านการดำเนินโครงการนี้และโครงการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และการเสียโอกาสผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประเทศ หากไม่ดำเนินโครงการฯ รวมถึงการจัดทำข้อมูลค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการโครงการเชิงยุทธศาสตร์ทั้งโครงการไว้ล่วงหน้าอย่างชัดเจนด้วย ๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคมกำหนดให้การจัดซื้อจัดจ้างของโครงการอยู่ภายใต้ระบบข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปอย่างโปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้ ๒.๓ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการปฏิรูปกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศที่เน้นการเจริญเติบโตจากเศรษฐกิจฐานนวัตกรรม เพิ่มประสิทธิภาพและขยายฐานภาคการค้าและบริการ เพื่อสนับสนับสนุนการเป็นศูนย์กลางของการเชื่อมโยงภูมิภาค และยกระดับรายได้ของประชาชนในภาคชนบท เช่น กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผังเมือง กฎหมายที่เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ที่ดินบริเวณ ๒ ข้างทาง ตามแนวเส้นทางการพัฒนาระบบราง และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) เป็นต้น ๒.๔ ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมมือกับสถาบันการศึกษาและสถาบันวิจัยของภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางในการบริหารจัดการงานวิจัยและถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อดำเนินงานพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง และพัฒนาบุคลากรทั้งระดับวิศวกรและช่างเทคนิคสำหรับรองรับการพัฒนาระบบขนส่งทางรางต่อไป ๒.๕ ให้กระทรวงคมนาคม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมพิจารณาแนวทางการจัดตั้งองค์กรพิเศษที่เป็นอิสระจากการกำกับกิจการของ รฟท. เพื่อกำกับการดำเนินงานโครงการให้มีประสิทธิภาพ โดยให้มีโครงสร้างองค์กรที่มีความคล่องตัวและเหมาะสมสำหรับดำเนินกิจการระบบรถไฟความเร็วสูง รวมทั้งกำหนดมาตรการหรือแนวทางในการสนับสนุนทั้งด้านงบประมาณและบุคลากรให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อให้โครงการสามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องและลดความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในอนาคต ทั้งนี้ การจัดตั้งองค์กรพิเศษดังกล่าวต้องดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒.๖ ให้กระทรวงคมนาคมหารือกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติอย่างใกล้ชิด เพื่อเร่งรัดการศึกษาความเหมาะสม การวิเคราะห์ผลตอบแทนของโครงการ และการเตรียมการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงการในช่วงที่เหลือ (ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย) เพื่อให้การดำเนินโครงการในช่วงดังกล่าวมีความพร้อมที่จะดำเนินได้โดยเร็ว โดยคำนึงถึงช่วงเวลาที่สอดรับกับการเปิดให้บริการโครงการรถไฟความเร็วสูงของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) รวมทั้งให้ดำเนินการเจรจากับสาธารณรัฐประชาชนจีน และ สปป.ลาว เพื่อหารือถึงแนวทางการเชื่อมโยงโครงข่ายการคมนาคมขนส่งทางรางของทั้ง ๓ ประเทศด้วย ๓. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมประสานงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือเกี่ยวกับการดำเนินการในขั้นตอนต่าง ๆ ตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายเกี่ยวกับการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) เพื่อเร่งรัดการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่ได้วางแผนไว้ ๔. สำหรับภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ ให้ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ โดยเห็นชอบให้ รฟท. กู้เงินได้ตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓๙ (๔) ในกรณีที่ใช้เงินกู้ดำเนินการ ๕. ให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะในเรื่องการถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้ ตลอดจนการฝึกอบรมให้แก่บุคลากรของประเทศไทย เพื่อเปิดโอกาสให้ประเทศไทยสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมการขนส่งทางรางและอุตสาหกรรมอื่น เพื่อลดการพึ่งพาจากต่างประเทศ โดยการร่วมมือกับสถาบันการศึกษาและองค์กรวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
170 | การรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2560 ณ วันที่ 31 มีนาคม 2560 | กค | 04/07/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. สถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๐ ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๐ มีจำนวน ๖,๑๖๖,๕๔๙.๓๒ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๔๒.๒๗ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) โดยเป็นหนี้รัฐบาล จำนวน ๔,๗๒๘,๖๕๕.๖๐ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจ จำนวน ๙๖๒,๘๘๕.๓๒ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินซึ่งรัฐบาลเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ จำนวน ๔๕๕,๕๘๐.๑๘ ล้านบาท และหนี้หน่วยงานอื่นของรัฐ จำนวน ๑๙,๔๒๘.๒๒ ล้านบาท ๒. ผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะได้จัดทำแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ โดยได้มีการปรับปรุงแผนฯ แล้ว ๑ ครั้ง มีวงเงินรวมในแผนฯ ๑,๗๔๙,๕๘๔.๒๒ ล้านบาท ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๐ กระทรวงการคลังและหน่วยงานต่าง ๆ ได้ดำเนินการกู้เงินและบริหารหนี้เป็นวงเงินทั้งสิ้น ๗๔๕,๕๐๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๒.๖๑ ของแผนฯ ๓. ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการลงทุนตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ของรัฐวิสาหกิจ จากการติดตามผลการดำเนินโครงการลงทุนของรัฐวิสาหกิจพบว่า มีโครงการของการรถไฟแห่งประเทศไทย และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ที่มีผลการดำเนินงานล่าช้ากว่าแผน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
171 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2560 ครั้งที่ 2 | กค | 27/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ครั้งที่ ๒ ที่มีวงเงินปรับลดลงสุทธิ ๑๐,๑๗๖.๗๘ ล้านบาท จากเดิม ๑,๕๙๙,๔๔๒.๔๘ ล้านบาท เป็น ๑,๕๘๙,๒๖๕.๗๐ ล้านบาท ๑.๒ รับทราบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนฯ ที่มีวงเงินปรับลดลง ๔๐๐.๐๐ ล้านบาท จากเดิม ๑๕๐,๑๔๑.๗๔ ล้านบาท เป็น ๑๔๙,๗๔๑.๗๔ ล้านบาท ๑.๓ อนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่ การกู้มาและการนำไปให้กู้ต่อ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจ ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งขออนุมัติการกู้เงินของรัฐวิสาหกิจเพื่อดำเนินโครงการลงทุนและการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ภายใต้กรอบวงเงินของแผนฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ปรับปรุงครั้งที่ ๒ ๑.๔ อนุมัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน การค้ำประกันและการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ภายใต้แผนฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ปรับปรุงครั้งที่ ๒ ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๑.๕ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมาย เป็นผู้ลงนามผูกพันการกู้เงินและหรือการค้ำประกันเงินกู้และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะรายงานผลการดำเนินการตามแผนฯ ด้งกล่าวตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ๑.๖ รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ โดยมอบหมายให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ขอรับการจัดสรรงบประมาณเพื่อชดเชยต้นทุนทางการเงินที่เกิดขึ้นจากโครงการรถเมล์ฟรีและรถ PSO ๑.๗ รับทราบผลการติดตามการบริหารจัดการระบายยางพาราคงค้างของการยางแห่งประเทศไทย ๑.๘ มอบหมายให้ ขสมก. ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ เพื่อชำระค่าดอกเบี้ยที่ครบกำหนด จำนวน ๓,๔๔๗.๒๗ ล้านบาท ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และธนาคารแห่งประเทศไทย อาทิ เห็นควรให้ ขสมก. ประสานกับสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณาดำเนินการในรายละเอียดเกี่ยวกับการขอรับการจัดสรรงบประมาณเพื่อชำระค่าดอกเบี้ยที่ครบกำหนด เพื่อไม่ให้เกิดภาระหนี้สะสมเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ในระยะต่อไป สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะควรมีการบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนของหนี้ต่างประเทศภาครัฐให้เหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคม โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย เร่งรัดการนำโครงการความร่วมมือด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟระหว่างไทย-จีน ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา เสนอต่อคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนโดยเร็วต่อไป ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำกับดูแลการระบายยางพาราคงคลังของการยางแห่งประเทศไทยให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับสภาวการณ์ทางการตลาด โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราและราคายางในท้องตลาด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
172 | ขอความเห็นชอบร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) สัญญาสัมปทานการลงทุนออกแบบก่อสร้างบริหารจัดการ ให้บริการและบำรุงรักษา โครงการทางพิเศษสายศรีรัช - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร และร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) สัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 จำนวน 2 ฉบับ | คค | 27/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการแก้ไขร่างสัญญาในสาระสำคัญและร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติม จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยก่อนลงนามในสัญญา ให้กระทรวงคมนาคม โดยการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ระบุมูลค่างานก่อสร้างไว้ในร่างสัญญาตามข้อสังเกตของสำนักงานอัยการสูงสุด และให้กระทรวงคมนาคม โดย กทพ. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบเอกสารแนบท้ายสัญญาให้ถูกต้องและครบถ้วนตามมติคณะกรรมการกำกับดูแลโครงการทางพิเศษสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (มติในคราวประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๙) เพื่อระบุเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารแนบท้ายสัญญาต่อไป ดังนี้ ๑.๑ ร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) สัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ ๒ เพื่อให้มีการเชื่อมต่อทางพิเศษสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครไปยังทางพิเศษศรีรัชด้านทิศเหนือ (มุ่งไปทางแจ้งวัฒนะ) ที่คณะกรรมการกำกับดูแลโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ ๒ ได้เห็นชอบ และสำนักงานอัยการสูงสุดได้ตรวจพิจารณาแล้ว ๑.๒ ร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) สัญญาสัมปทานการลงทุนออกแบบก่อสร้างบริหารจัดการ ให้บริการและบำรุงรักษาโครงการทางพิเศษสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร เพื่อดำเนินการก่อสร้างทางเชื่อมจากทางพิเศษสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครไปยังทางพิเศษศรีรัชด้านทิศเหนือ (มุ่งไปทางแจ้งวัฒนะ) ที่คณะกรรมการกำกับดูแลโครงการทางพิเศษสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครได้เห็นชอบ และสำนักงานอัยการสูงสุดได้ตรวจพิจารณาแล้ว ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย กทพ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และประธานกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐที่เห็นควรกำกับให้การดำเนินงานตามสัญญาสัมปทานเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพตามข้อกำหนดของสัญญา และให้ความสำคัญกับการวางแผนบริหารความเสี่ยงเพื่อรองรับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากปริมาณจราจรที่เพิ่มขึ้นในโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ ๒ (ทางพิเศษศรีรัช) รวมทั้งจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนโดยคำนึงถึงความประหยัด ความคุ้มค่า รวมถึงการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมาย ตลอดจนประโยชน์ที่ทางราชการและประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ นอกจากนี้ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการและคณะกรรมการกำกับดูแลทั้ง ๒ โครงการ ติดตามกำกับดูแลโครงการให้มีการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขสัญญาอย่างรอบคอบ คำนึงสิทธิประโยชน์ของประชาชนผู้รับบริการและคู่สัญญาอย่างเป็นธรรม และมีความโปร่งใสตรวจสอบได้ ไปดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคม โดย กทพ. ดำเนินการ ๓.๑ พิจารณากำหนดเงื่อนไขและรายละเอียดของค่าใช้จ่ายที่บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BEM) จะสงวนสิทธิ์เรียกคืนจากผู้ที่รับดำเนินการโครงการทางเชื่อมเพิ่มเติมของทางพิเศษสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครกับโครงสร้างทางยกระดับอุตราภิมุขตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๓.๒ กำหนดรูปแบบโครงสร้างทางที่มีความเหมาะสมทางวิศวกรรมเพื่อให้ผู้ใช้ทางพิเศษสามารถเดินทางเชื่อมต่อโดยไม่เป็นอุปสรรคต่อการสัญจรของผู้ใช้ทางพิเศษศรีรัช พร้อมทั้งประสานงานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อกำหนดมาตรการกวดขันวินัยการจราจรบนโครงข่ายบนทางพิเศษ ซึ่งจะช่วยบรรเทาปัญหาจราจรติดขัดบนโครงข่ายทางพิเศษในภาพรวม ๓.๓ ประสานงานกับการรถไฟแห่งประเทศไทยและ BEM อย่างใกล้ชิดเกี่ยวกับการเข้าใช้พื้นที่ในการก่อสร้าง เพื่อให้ กทพ. สามารถส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างให้แก่ BEM ได้ตามแผนงานที่กำหนดไว้ต่อไป ๓.๔ เร่งพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการโครงการทางพิเศษศรีรัชที่จะสิ้นสุดสัญญาสัมปทานในปี ๒๕๖๓ ตามมาตรา ๔๘ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้เกิดความชัดเจนโดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
173 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 2/2560 | กค | 27/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๖๐ ซึ่งประกอบด้วย ๓ เรื่อง คือ (๑) ความคืบหน้าของการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... (๒) ความคืบหน้าการดำเนินงานของบริษัทในเครือที่ต้องยุบเลิกหรือถอนการลงทุน และ (๓) การแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจ ๗ แห่ง ได้แก่ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และการรถไฟแห่งประเทศไทย และมอบหมายผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่าง ๆ ดำเนินการตามมติ คนร. ดังกล่าวต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ในฐานะฝ่ายเลขานุการ คนร. เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
174 | สรุปผลการจัดงานประชุมวิชาการและแสดงนิทรรศการอุตสาหกรรมระบบขนส่งทางรางไทย ครั้งที่ 3 (The 3rd RISE 2017) | วท | 30/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการจัดงานประชุมวิชาการและแสดงนิทรรศการอุตสาหกรรมระบบขนส่งทางรางไทย ครั้งที่ ๓ (The 3rd RISE 2017) ระหว่างวันที่ ๙-๑๑ มีนาคม ๒๕๖๐ ณ สถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรลลิงก์ มักกะสัน โดยกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี [สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)] ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ การรถไฟแห่งประเทศไทย การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย Railway Technical Research Institute (RTR) ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยระบบรางของประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น รูปแบบการจัดงานฯ ประกอบด้วย (๑) การบรรยายและเสวนาวิชาการ (๒) การนำเสนอผลงานวิจัยมุ่งเป้าด้านการคมนาคมระบบรางของไทย (๓) การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์เกี่ยวกับงานวิจัยด้านเทคโนโลยีการคมนาคมขนส่งระบบรางของประเทศญี่ปุ่น (๔) การจัดแสดงนิทรรศการอุตสาหกรรมระบบรางไทย รวมทั้งการเสวนาร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในประเด็นต่าง ๆ เกี่ยวกับอุตสาหกรรมระบบขนส่งภายใต้หัวข้อ “อนาคตอุตสาหกรรมระบบรางไทย : ก้าวกระโดดไปด้วยยุทธศาสตร์ความร่วมมือการจัดซื้อจัดจ้างที่มีเงื่อนไขความร่วมมือในการพัฒนาอุตสาหกรรมระบบรางไทย” เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศไทยโดยใช้มาตรการจัดซื้อจัดจ้างที่มีเงื่อนไขความร่วมมือในการสนับสนุนการพัฒนาประเทศ (International Collaboration Program : ICP) หรือ Offset Policy (กิจกรรมชดเชยเพื่อลดการพึ่งพาจากต่างประเทศ) ส่งผลให้ประเทศไทยสามารถพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยีของประเทศตนเองและเปลี่ยนจากประเทศผู้ซื้อไปเป็นผู้พัฒนาและผู้ผลิตในอนาคตได้ ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
175 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง | กค | 09/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางออกไปอีก ๕ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ถึง ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ วงเงินชดเชยรวมทั้งสิ้น ๑,๙๐๗.๔๔๑ ล้านบาท โดยให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรเงินงบประมาณเพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายจากการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางต่อไป ได้แก่ ๑.๑.๑ มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางรถโดยสารประจำทาง ดำเนินการผ่านองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) โดยรัฐรับภาระค่าใช้จ่ายการจัดรถโดยสารประจำทางธรรมดา จำนวน ๘๐๐ คันต่อวัน ให้บริการแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายซึ่งได้ประมาณการค่าใช้จ่ายในวงเงินจำนวน ๑,๕๔๐.๔๔๑ ล้านบาท ๑.๑.๒ มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางโดยรถไฟชั้น ๓ ดำเนินการผ่านการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดยรัฐรับภาระค่าใช้จ่ายการจัดรถไฟชั้น ๓ เชิงสังคม จำนวน ๑๕๒ ขบวนต่อวัน และรถไฟชั้น ๓ ระยะทางไกลในขบวนรถเชิงพาณิชย์จำนวน ๘ ขบวนต่อวัน ให้บริการแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งได้ประมาณการค่าใช้จ่ายในวงเงินจำนวน ๓๖๗.๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย ขสมก. และ รฟท. เร่งรัดการดำเนินการจัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่ายจากการดำเนินการตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางที่เกิดขึ้นจริงผ่านคณะกรรมการการตรวจสอบที่เกี่ยวข้อง และเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณเพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายจากการดำเนินมาตรการดังกล่าวตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงต่อไป รวมถึงรายงานการประเมินผลความพึงพอใจของผู้ใช้บริการตามมาตรการดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีทราบ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๙ และวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ โดยด่วนด้วย ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง ให้กระทรวงคมนาคม โดย ขสมก. และ รฟท. ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยจะได้รับเป็นสำคัญ และจัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่ายจากการดำเนินตามมาตรการดังกล่าวตามความจำเป็นและเหมาะสมอย่างประหยัด โดยผ่านคณะกรรมการตรวจสอบที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณสำหรับเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายจากการดำเนินมาตรการดังกล่าวตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดดำเนินการนำระบบตั๋วร่วมมาใช้ในการเชื่อมการเดินทางสาธารณะของประชาชนอย่างครบวงจร ให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๐
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
176 | การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 02/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป รายการงานเสริมความมั่นคงโครงสร้างทาง (Track Strengthening) ระหว่างสถานีชุมทางคลองสิบเก้า-สถานีชุมทางแก่งคอย ของ รฟท. กำหนดเวลาทำการ ๙๐๐ วัน ในวงเงิน ๖๒๑.๗๒๐ ล้านบาท โดยก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๒ ก่อน รฟท. ดำเนินการตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้องต่อไป และให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๙ (เรื่อง มาตรการสนับสนุนการเบิกจ่ายของภาครัฐในไตรมาสที่ ๔ ปี ๒๕๕๙ และเรื่อง มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. รับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการดำเนินการรายการดังกล่าวควรเร่งดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงความประหยัด ความคุ้มค่า และประโยชน์ที่ทางราชการจะได้รับเป็นสำคัญ และมีข้อสังเกตว่าราคาค่าก่อสร้างตามผลการประกวดราคาต่ำกว่าราคากลางค่อนข้างมาก ขอให้ รฟท. ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๓๖ เรื่อง มาตรการป้องกันหรือลดโอกาสในการสมยอมกันในการเสนอราคา พร้อมกำกับดูแลการก่อสร้างอย่างใกล้ชิด เพื่อให้งานก่อสร้างแล้วเสร็จตามวัตถุประสงค์ด้วย ไปดำเนินการต่อไปอย่างเคร่งครัดด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
177 | ขอความเห็นชอบกรอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2561 ของการรถไฟแห่งประเทศไทยและองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | กค | 02/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ในวงเงินจำนวน ๓,๕๗๘.๗๗๖ ล้านบาท ๑.๒ กรอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ในวงเงินจำนวน ๒,๓๒๐.๑๐๗ ล้านบาท ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้บริการสาธารณะดังกล่าวควรคำนึงถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้มีรายได้น้อยเป็นสำคัญ และการให้บริการที่มีมาตรฐาน รวมทั้งควรให้ความสำคัญในการควบคุมค่าใช้จ่ายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม มีการตรวจสอบและติดตามการใช้จ่ายให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและตรงตามวัตถุประสงค์ และกรณีที่มีต้นทุนเพิ่มขึ้นจากปัจจัยภายนอกใด ๆ ที่จะมีผลกระทบต่อฐานะการเงิน อาทิ ราคาน้ำมันที่เกิดขึ้นจริง ให้รัฐวิสาหกิจเร่งเสนอขอปรับปรุงวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะภายในกรอบระยะเวลาตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อให้วงเงินอุดหนุนครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นและเป็นไปตามหลักการของการชดเชยเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ รวมทั้งความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ดังนี้ ๒.๑ ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ (เรื่อง ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางออกไปอีก ๖ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๙-๓๐ เมษายน ๒๕๖๐) ที่ให้พิจารณาแนวทางการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางในภาพรวมทั้งระบบให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคม โดย ขสมก. และ รฟท. เร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ ๔/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๕๙ และครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๖๐ ที่มอบหมายให้ ขสมก. และ รฟท. จัดทำต้นทุนมาตรฐานเพื่อใช้ในการกำกับดูแลด้านอัตราค่าโดยสารและคุณภาพการให้บริการสำหรับการกำกับดูแลรถโดยสารประจำทางให้มีประสิทธิภาพ รวมทั้งการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
178 | สรุปมติที่ประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก ครั้งที่ 1/2560 | คค | 25/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติที่ประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เรื่องเพื่อทราบ ๔ เรื่อง ได้แก่ (๑) ผลการดำเนินงานของคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (๒) แผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (๓) ผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการประสานการแก้ไขปัญหาจราจรและขนส่ง ระยะเร่งด่วนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (๔) ผลการดำเนินงานของคณะทำงาน ๕ คณะ ภายใต้คณะกรรมการบูรณาการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจราจรในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ๒. เรื่องเพื่อพิจารณา ๖ เรื่อง ได้แก่ (๑) โครงการคมนาคมอย่างยั่งยืน ๒.๐ (Sustainable Mobility Project 2.0) : สาทรโมเดล (๒) ผลการดำเนินงานภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การมอบหมายให้กรุงเทพมหานครเป็นผู้บริหารจัดการเดินรถโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) (๓) การพิจารณาแนวเส้นทางโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ของ รฟม. ซึ่งเส้นทางซ้อนทับแนวเส้นทางโครงการรถไฟชานเมือง สายสีแดงอ่อน ช่วงตลิ่งชัน-สถานีศิริราช ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (๔) การศึกษาความเหมาะสมโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล ช่วงแคราย-ลำสาลี (บึงกุ่ม) (๕) การจัดทำแผนหลักการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะในเมืองภูมิภาค และ (๖) ขอความเห็นชอบยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๓๗ เรื่อง พื้นที่ที่กำหนดให้ระบบขนส่งมวลชน (รถไฟฟ้า) เป็นระบบใต้ดิน โครงการระบบขนส่งมวลชนขนาดรองสายสีทอง (สถานีรถไฟฟ้ากรุงธนบุรี-สำนักงานเขตคลองสาน-ประชาธิปก)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
179 | ขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า และกรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า เมืองเก่าราชบุรี เมืองเก่าสุรินทร์ เมืองเก่าภูเก็ต และเมืองเก่าระนอง | ทส | 11/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า เมืองเก่าราชบุรี เมืองเก่าสุรินทร์ เมืองเก่าภูเก็ต และเมืองเก่าระนอง เพื่อประกาศเขตพื้นที่เมืองเก่า ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า พ.ศ. ๒๕๔๖ รวมทั้งกรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปพิจารณาเป็นแนวทางในการจัดทำแผนแม่บทและผังแม่บท กลไก และกระบวนการบริหารจัดการอนุรักษ์และพัฒนาพื้นที่เมืองเก่า เพื่อให้บริเวณเมืองเก่าได้รับการคุ้มครอง ดูแลอย่างถูกต้องเหมาะสม มีการบริหารจัดการอย่างเป็นรูปธรรม และเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมต่อไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ พร้อมทั้งจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงวัฒนธรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับกรณีขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าที่มีพื้นที่คาบเกี่ยวหรืออยู่ในเส้นทาง/เขตทาง/พื้นที่ ของกรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท การรถไฟแห่งประเทศไทย และกรมเจ้าท่า ซึ่งอาจมีการดำเนินกิจกรรมใด ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่เมืองเก่าต้องมีการตรวจสอบร่วมกันอีกครั้ง และพิจารณาแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าและกรอบเวลาให้ชัดเจนเพื่อให้หน่วยงานสามารถวางแผนงาน/โครงการได้ รวมทั้งขยายขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าราชบุรีออกไปให้ครอบคลุมพื้นที่วัดสัตตนารถปริวัตร เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเป็นโบราณสถานตามความในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ ที่แก้ไขเพิ่มเติม นอกจากนี้ การดำเนินการใด ๆ กับโบราณสถาน ให้ปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติดังกล่าวอย่างเคร่งครัด และให้หน่วยงานที่รับผิดชอบทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่นให้ความสำคัญต่อการนำกรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาพื้นที่เมืองเก่าไปสู่การปฏิบัติอย่างจริงจัง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
180 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 2,878.67 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ของกระทรวงคมนาคม | คค | 11/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๒,๘๗๘.๖๗ ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ของกระทรวงคมนาคม ประกอบด้วย ๔ หน่วยงาน ได้แก่ กรมทางหลวง วงเงิน ๑,๗๗๓.๖๓ ล้านบาท กรมทางหลวงชนบท วงเงิน ๔๓๐.๖๘ ล้านบาท กรมท่าอากาศยาน วงเงิน ๘๘.๑๔ ล้านบาท และการรถไฟแห่งประเทศไทย วงเงิน ๕๘๖.๒๒ ล้านบาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยให้ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท กรมท่าอากาศยาน การรถไฟแห่งประเทศไทย) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการแก้ไขฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด
|
.....