ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 8 จากทั้งหมด 48 หน้า แสดงรายการที่ 141 - 160 จากข้อมูลทั้งหมด 958 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
141 | ขออนุมัติโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และการกำหนด "พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก" เพิ่มเติม | อก | 27/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม ๓ สนามบิน (ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานอู่ตะเภา) ในรูปแบบ PPP Net Cost โดยภาครัฐลงทุนค่างานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน และภาคเอกชนลงทุนค่างานโยธา ค่างานระบบรถไฟฟ้าและขบวนรถไฟฟ้า ค่าพัฒนาพื้นที่เพื่อสนับสนุนบริการรถไฟและบริการผู้โดยสาร และค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการ รวมทั้งดำเนินงานบริหารและซ่อมบำรุงโครงการ โดยให้เอกชนร่วมลงทุนรวมเป็นเวลา ๕๐ ปี และเอกชนเป็นผู้จัดเก็บค่าโดยสารและความเสี่ยงด้านจำนวนผู้โดยสารของโครงการ (Ridership Risk) จัดเก็บรายได้จากการพัฒนาพื้นที่โครงการ ซึ่งคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (กนศ.) ทั้งนี้ ให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามขั้นตอนของประกาศ กนศ. โดยเคร่งครัดต่อไป ๑.๒ อนุมัติให้ รฟท. มีอำนาจร่วมลงทุนกับเอกชนที่ได้รับคัดเลือก โดยรายละเอียดของการร่วมลงทุนอยู่ภายใต้หลักการของโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ที่ได้อนุมัติไว้ ๑.๓ อนุมัติค่างานที่เกี่ยวข้องกับการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและค่าสำรวจอสังหาริมทรัพย์โครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ในกรอบวงเงินจำนวน ๓,๕๗๐.๒๙ ล้านบาท โดยให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณให้ รฟท. ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อการใช้จ่ายเงินจริงต่อไป ๑.๔ อนุมัติกรอบวงเงินที่รัฐร่วมลงทุนกับเอกชน ในวงเงินไม่เกิน ๑๑๙,๔๒๕.๗๕ ล้านบาท ที่เป็นมูลค่าปัจจุบันตามที่ตกลงในสัญญาร่วมลงทุน โดยทยอยจ่ายให้เอกชนหลังจากเริ่มเปิดเดินรถไฟความเร็วสูงฯ ทั้งระบบแล้ว และแบ่งจ่ายเป็นรายปี โดยกำหนดระยะเวลาแบ่งจ่ายไม่ต่ำกว่า ๑๐ ปี โดยให้กำหนดเงื่อนไขการชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุนกับเอกชนตามผลการดำเนินงาน เกณฑ์ประเมินผลผลิตที่เอกชนต้องส่งมอบ (Output Specification) ระดับในการบริการ (Level of Service) และระยะทางของการเดินรถไฟความเร็วสูงฯ ทั้งนี้ กรณีมีเหตุจำเป็น อาจให้ทยอยจ่ายเงินดังกล่าวให้เอกชนหลังจากเริ่มเปิดเดินรถไฟความเร็วสูงฯ บางส่วน โดยแบ่งจ่ายเงินที่รัฐร่วมลงทุนกับเอกชนตามระยะทางของการเดินรถไฟความเร็วสูงฯ โดยในกรณีดังกล่าว กนศ.จะเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ ๑.๕ เห็นชอบให้รัฐบาลรับภาระหนี้โครงสร้างพื้นฐานของโครงการแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ของ รฟท. เป็นจำนวนเงิน ๒๒,๕๕๘.๐๖ ล้านบาท ๑.๖ เห็นชอบให้พื้นที่โครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ตั้งแต่สนามบินดอนเมืองถึงสุดเขตกรุงเทพฯ และรวมถึงสถานีสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นพื้นที่ภายนอกระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เป็นพื้นที่ “ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก” เพิ่มเติม ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒/๒๕๖๐ เรื่อง การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ๑.๗ มอบหมายให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ รฟท. สำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (สกรศ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดย สกรศ. รฟท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน ๔ ประเด็น ได้แก่ (๑) แนวทางการร่วมลงทุนกับภาคเอกชน (๒) การคำนึงถึงผลกระทบต่อโครงการลงทุนอื่นที่อยู่ภายในพื้นที่ตามแนวเส้นทางโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ (๓) การกำหนดให้พื้นที่ของโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ บางส่วน เป็นพื้นที่ “ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก” เพิ่มเติม และ (๔) การกำกับดูแลและติดตามภาระผูกพันงบประมาณของภาครัฐจากการร่วมลงทุน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง เหมาะสม เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ เมื่อร่างพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. .... มีผลใช้บังคับ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดย สกรศ. พิจารณาดำเนินการให้ถูกต้องและสอดคล้องกับบทบัญญัติของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวอย่างเคร่งครัดต่อไปด้วย ๓. ให้ รฟท. ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และอนุมัติให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การขออนุมัติกู้เงินเพื่อใช้ในโครงการระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและสถานีรับส่งผู้โดยสารอากาศยานในเมืองและการขอให้รัฐบาลรับภาระโครงสร้างพื้นฐานของการรถไฟแห่งประเทศไทย) ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๔. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดย สกรศ. ร่วมกับ รฟท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจแก่ประชาชนเกี่ยวกับการดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ในด้านต่าง ๆ ให้ถูกต้องและทั่วถึงด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
142 | การแก้ไขรูปแบบการก่อสร้างทางรถไฟบริเวณสถานีบ้านไผ่เป็นโครงสร้างทางยกระดับ ของโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ช่วงชุมทางถนนจิระ - ขอนแก่น ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 13/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการแก้ไขรูปแบบการก่อสร้างทางรถไฟบริเวณสถานีบ้านไผ่เป็นโครงสร้างทางยกระดับของโครงการรถไฟทางคู่ช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทย ในคราวประชุมเมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๐ มีมติเห็นชอบแนวทางการแก้ไขรูปแบบการก่อสร้างทางรถไฟบริเวณสถานีบ้านไผ่เป็นโครงสร้างทางยกระดับ และอนุมัติให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาจ้างก่อสร้างและสัญญาจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างของโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น จากทางรถไฟที่เป็นระดับดินถมสูงประมาณ ๗.๐๐ เมตร เป็นโครงสร้างทางยกระดับระยะทางประมาณ ๒.๐๕๘ กิโลเมตร และเพิ่มทางลอดที่ถนนมิตรภาพ ๒ ความกว้างขนาด ๒-๓.๕๐ x ๔.๐๐ เมตร (กว้างทั้งหมด ๗.๐๐ เมตร สูง ๔.๐๐ เมตร) โดยการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวส่งผลให้ค่าก่อสร้างและค่าจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานเพิ่มขึ้น จำนวน ๙๑๓.๕๐ ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗) ซึ่งยังอยู่ในกรอบวงเงินตามมติคณะรัฐมนตรี (๗ พฤษภาคม ๒๕๕๘) และใช้ระยะเวลาการก่อสร้างเพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ ๑๑ เดือน (ซึ่งหากสามารถเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ จะแล้วเสร็จภายในเดือนมกราคม ๒๕๖๓) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
143 | รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานของกระทรวงคมนาคมในพื้นที่กลุ่มจังหวัด ภาคกลางตอนล่าง 2 และการเชื่อมโยงกับพื้นที่อื่น ๆ | คค | 06/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานของกระทรวงคมนาคมในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง ๒ และการเชื่อมโยงกับพื้นที่อื่น ๆ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินการตามข้อสั่งการในการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่ภาคกลาง (๑๖ จังหวัด) ได้แก่ (๑) โครงการก่อสร้างทางหลวงสายเลี่ยงเมือง จากสามแยกวังมะนาว-บรรจบทางหลวงหมายเลข ๓๕๑๐ (หนองหญ้าปล้อง) จังหวัดเพชรบุรี ระยะทาง ๓๕ กิโลเมตร ของกรมทางหลวง (๒) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ช่วงนครปฐม-หัวหิน ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (๓) เร่งรัดการเปิดให้บริการขนส่งผู้โดยสารและสินค้าทางน้ำโดยเรือเฟอร์รี่ข้ามอ่าวไทยเพิ่มเติมจากที่มีอยู่แล้ว ของกรมเจ้าท่า ๒. ยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านคมนาคมขนส่ง ของกระทรวงคมนาคม ได้กำหนดเป้าหมายการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง ๒ (จังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์) ได้แก่ (๑) พัฒนาความเชื่อมโยงสนับสนุนระบบโลจิสติกส์กับพื้นที่อื่น ๆ (๒) การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมเพื่อสนับสนุนการเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยว และ (๓) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเชื่อมโยงไปยังพื้นที่เกษตรกรรม ๓. ผลการดำเนินงานฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยที่เกิดขึ้นในปี ๒๕๖๐ ของพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง ๔ จังหวัด (จังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์) ซึ่งได้รับความเสียหายจำนวนทั้งสิ้น ๓๓ สายทาง ขณะนี้ก่อสร้างแล้วเสร็จ จำนวน ๒๒ สายทาง คิดเป็นร้อยละ ๖๖.๖๗ อยู่ระหว่างก่อสร้าง จำนวน ๔ สายทาง คิดเป็นร้อยละ ๑๒.๑๒ และอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงบประมาณ จำนวน ๗ สายทาง คิดเป็นร้อยละ ๒๑.๒๑
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
144 | ความเห็น ข้อเสนอแนะ และสรุปปัญหาที่ประชาชนในจังหวัดต่าง ๆ ประสบ ของที่ประชุมในระดับชาติ ของสภาองค์กรชุมชนตำบล ปี 2560 | พม | 27/02/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบความเห็น ข้อเสนอแนะ และสรุปปัญหาที่ประชาชนในจังหวัดต่าง ๆ ประสบ ของที่ประชุมในระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบล ปี ๒๕๖๐ ซึ่งมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการกำหนดนโยบายและแผนพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคมและกฎหมาย รวมทั้งการจัดทำบริการสาธารณะของหน่วยงานของรัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีผลต่อพื้นที่มากกว่าหนึ่งจังหวัด ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม คุณภาพชีวิต และสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย ๗ ประเด็นใหญ่ ๆ คือ ๑) สิทธิชุมชนกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๒) ผลกระทบจากการใช้พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ ๑๗) พ.ศ. ๒๕๖๐ ๓) ผลกระทบจากพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ และฉบับเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๐ ๔) การแก้ปัญหายางพารา ๕) การจัดการปัญหาที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ ลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรม ๖) สังคมไทยกับการพัฒนาระบบรองรับสังคมสูงวัย ๗) ความมั่นคงทางอาหารต่อการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ๑.๒ รับทราบสรุปปัญหาที่ประชาชนในจังหวัดต่าง ๆ ประสบและข้อเสนอแนะ แนวทางแก้ไขเพื่อเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาสั่งการ ได้แก่ ๑) การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษและระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก ๒) ปัญหาผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ ๓) ปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำ ๔) ปัญหาผลกระทบจากการก่อสร้างรถไฟรางคู่ รถไฟความเร็วสูง และถนนมอเตอร์เวย์ ๒. ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบการดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ประชาสัมพันธ์ผลและความคืบหน้าการดำเนินการให้ประชาชนได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกันด้วย ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม ที่เห็นว่าในประเด็นการขยายระยะเวลาการขึ้นทะเบียนแก่ประชาชนที่ยังไม่ดำเนินการขออนุญาตการจัดตั้งคณะกรรมการพิจารณาอนุญาต ควรกำหนดให้มีองค์ประกอบจากหลายภาคส่วน ได้แก่ เจ้าหน้าที่รัฐ ผุ้ทรงคุณวุฒิ ภาคประชาชน สภาองค์กรชุมชน ภาคประชาสังคมท้องถิ่น ท้องที่ เพื่อร่วมให้ความเห็นในการพิจารณาต่อสิ่งล่วงล้ำลำน้ำ สำหรับประเด็นการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษและระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก ควรรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อนำข้อมูลมาปรับปรุงแก้ไขให้เกิดความเหมาะสม และจัดทำมาตรการเพื่อผลกระทบในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป และสำหรับประเด็นปัญหาผลกระทบจากการก่อสร้างรถไฟรางคู่ รถไฟความเร็วสูง และถนนมอเตอร์เวย์ เห็นควรให้การรถไฟแห่งประเทศไทยกำหนดอัตราค่าชดเชยให้กับประชาชนผู้ได้รับผลกระทบอย่างเป็นธรรมและควรคิดคำนวณรวมค่าเสียโอกาสในการประกอบอาชีพในระหว่างการรื้อย้ายให้กับประชาชนผู้ได้รับผลกระทบรวมไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
145 | ขออนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทยต่ออายุสัญญาเงินกู้ วงเงิน 800 ล้านบาท ออกไปอีก 1 ปี | คค | 20/02/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ต่ออายุสัญญาเงินกู้ วงเงิน ๘๐๐ ล้านบาท กับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ต่อไปอีก ๑ ปี ตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓๙ (๔) เพื่อให้ รฟท. สามารถดำเนินงานและให้บริการได้อย่างต่อเนื่อง โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ รวมทั้งพิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดตามความเหมาะสม สำหรับการขอยกเว้นค่าธรรมเนียมการค้ำประกันเงินกู้ให้ รฟท. ขอความเห็นชอบต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ รฟท. เร่งดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพของการให้บริการ เน้นการเพิ่มรายได้เชิงพาณิชย์จากทรัพย์สินให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมทั้งควบคุมและลดรายจ่ายเพื่อบรรเทาสภาวะการขาดสภาพคล่องทางการเงินในระยะยาว นอกจากนี้ รฟท. ควรใช้จ่ายเงินกู้ดังกล่าวตามช่วงระยะเวลาที่เหมาะสมเพื่อเป็นการสร้างวินัยทางการเงินการคลังและลดภาระต้นทุนทางการเงิน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงคมนาคมกำกับดูแลให้ รฟท.ดำเนินการตามแผนการแก้ไขปัญหาองค์กรตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง ขออนุมัติกู้เงินเพื่อใช้ในการดำเนินงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑) อย่างเคร่งครัดต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
146 | รายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2559 และรายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำงวดครึ่งปีงบประมาณ 2560 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และรายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2559 ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | กค | 13/02/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ และรายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำงวดครึ่งปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ซึ่งมีผลการขาดทุนจากการให้บริการสาธารณะ จำนวน ๙๗๓.๙๐๗ ล้านบาท และจำนวน ๕๕๕.๗๐๐ ล้านบาท ตามลำดับ และเห็นสมควรให้ ขสมก. เบิกจ่ายเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งวดที่ ๒ และเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งวดที่ ๒ จำนวน ๒๗๑.๕๕๓ ล้านบาท และ ๑๐๗.๕๒๓ ล้านบาท ตามลำดับ ๑.๒ รายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ซึ่งมีผลขาดทุนจากการให้บริการสาธารณะ จำนวน ๑,๙๔๖.๔๔๙ ล้านบาท และเห็นสมควรให้ รฟท. เบิกจ่ายเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งวดที่ ๒ จำนวน ๔๕๐.๗๑๕ ล้านบาท ๒. ให้ ขสมก.และ รฟท. รับความเห็นของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุมค่าใช้จ่ายเพื่อลดภาระต้นทุนขององค์กรและเงินงบประมาณอุดหนุนของภาครัฐ โดยไม่กระทบต่อคุณภาพการให้บริการ และให้เร่งรัดดำเนินการลงทุนโครงการต่าง ๆ ตามที่ได้รับอนุมัติไว้แล้ว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการได้ตามเป้าหมาย โดยเฉพาะด้านความปลอดภัยและการตรงต่อเวลา รวมทั้งเร่งรัดจัดทำแผนขับเคลื่อนองค์กรในระยะยาวตามแนวทางที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจมอบหมาย เพื่อให้สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้อย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงคมนาคมกำกับดูแลให้ ขสมก. และ รฟท. เร่งรัดพัฒนาคุณภาพการให้บริการ โดยอาจพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุนในการบริหารจัดการการเดินรถโดยสารสาธารณะตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๘ (เรื่อง ข้อเสนอการขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ ของการรถไฟแห่งประเทศไทยและองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ) และนำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจพิจารณาต่อไป ๔. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการจัดทำข้อตกลงการให้บริการสาธารณะและเบิกจ่ายเงินอุดหนุนบริการสาธารณะให้มีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เพื่อลดปัญหาการขาดสภาพคล่องของรัฐวิสาหกิจและภาระดอกเบี้ยที่เกิดจากการกู้ยืมเงินมาให้บริการสาธารณะ และให้กระทรวงการคลังในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการกำหนดเป้าหมายของตัวชี้วัดการให้บริการสาธารณะและการปรับปรุงระบบการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะ และการสร้างการรับรู้เพื่อให้ประชาชนได้ทราบถึงต้นทุนที่แท้จริงจากการให้บริการสาธารณะ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
147 | ภาพรวมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งภาคตะวันออกของกระทรวงคมนาคม | คค | 06/02/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบภาพรวมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งภาคตะวันออกของกระทรวงคมนาคม สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท) ได้ดำเนินโครงการที่สำคัญ เช่น (๑) การก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายพัทยา-มาบตาพุด ระยะทาง ๓๒ กิโลเมตร วงเงินลงทุน ๒๐,๒๐๐ ล้านบาท กำหนดเปิดใช้งานปี ๒๕๖๓ (๒) การขยายช่องจราจร เช่น ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๑๒๖ ทางเข้าท่าอากาศยานอู่ตะเภา-ท่าเรือจุกเสม็ด (จาก ๒ ช่องจราจร เป็น ๔ ช่องจราจร) และทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๐๔ มีนบุรี-ฉะเชิงเทรา ตอน ๒ (จาก ๔ ช่องจราจร เป็น ๖ ช่องจราจร) เพื่อเชื่อมโยงการเดินทางจากกรุงเทพมหานครไปยังจังหวัดฉะเชิงเทรา และ (๓) เส้นทางถนนเลียบชายทะเลตะวันออก (ชลบุรี ระยอง) พร้อมทางจักรยาน และมีจุดพักรถ จุดชมมวิวในบริเวณที่เหมาะสม และการพัฒนาเส้นทางคมนาคมเพื่อการท่องเที่ยวรอบเกาะช้างคงเหลือระยะทาง ๓ กิโลเมตรสุดท้าย ๑.๒ การพัฒนาระบบขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย) ได้ดำเนินการพัฒนาและส่งเสริมระบบคมนาคมขนส่งทางรางให้มีประสิทธิภาพ มีต้นทุนการขนส่งที่ต่ำ เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและยกระดับเศรษฐกิจของภาคตะวันออก โดยมีโครงการที่สำคัญ เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อ ๓ สนามบินแบบไร้รอยต่อ (ท่าอากาศยานดอนเมือง-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ-ท่าอากาศยานอู่ตะเภา) รวมพื้นที่เขต ระยะทางรวม ๒๒๐ กิโลเมตร มูลค่าโครงการประมาณ ๒๓๖,๗๐๐ ล้านบาท เป็นการก่อสร้างทางรถไฟขนาด ๑.๔๓๕ เมตร (Standard Gauge) และจะมีการพัฒนาที่ดินเชิงพาณิชย์บริเวณมักกะสัน และที่ดินรอบสถานีรถไฟความเร็วสูงศรีราชา ๑.๓ การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งทางน้ำ กระทรวงคมนาคม (การท่าเรือแห่งประเทศไทย) ได้ดำเนินโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ขั้นที่ ๓ ขณะนี้อยู่ระหว่างการว่าจ้างที่ปรึกษาทบทวนความเหมาะสมด้านวิศวกรรม เศรษฐกิจ การเงิน และสิ่งแวดล้อมของโครงการฯ และคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ในปี ๒๕๖๘ ๑.๔ การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งทางอากาศ กระทรวงคมนาคม [บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)] ได้ดำเนินโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (Maintenance Repair and Overhual : MRO) ระยะที่ ๑ ที่ท่าอากาศยานอู่ตะเภา (มูลค่าโครงการประมาณ ๑๐,๓๐๐ ล้านบาท) เป็นโครงการนำร่องในแผนปฏิบัติการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (East Economic Corridor : EEC) เพื่อขยายขีดความสามารถในการซ่อมบำรุงอากาศยานรุ่นใหม่และขยายฐานลูกค้า ๒. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมรับข้อเสนอของภาคเอกชนตามผลการประชุมพบปะหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน ผู้บริหารท้องถิ่น และผู้แทนเกษตรกรในภาคตะวันออก เมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งภาคตะวันออก ให้กระทรวงคมนาคมคำนึงถึงการกระจายความเจริญไปสู่พื้นที่ต่าง ๆ ให้เหมาะสม การรองรับการขยายตัวของเมือง ความเชื่อมโยงกับการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว รวมทั้งความสอดคล้องกับแผนบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
148 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลหมากแข้ง ตำบลหนองบัว ตำบลหนองนาคำ ตำบลหนองขอนกว้าง ตำบลบ้านจั่น และตำบลโนนสูง อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี พ.ศ. .... | คค | 30/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลหมากแข้ง ตำบลหนองบัว ตำบลหนองนาคำ ตำบลหนองขอนกว้าง ตำบลบ้านจั่น และตำบลโนนสูง อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงชนบทตามโครงการผังเมืองรวมเมืองอุดรธานี และสร้างถนนเชื่อมต่อสาย ง๘ กับสาย ก๗ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า กรมทางหลวงชนบทควรให้ความสำคัญกับการกำหนดมาตรการป้องกันผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และประสานกับการรถไฟแห่งประเทศไทยเพื่อร่วมกันกำหนดรูปแบบการดำเนินโครงการที่เหมาะสมและสอดคล้องกับแผนพัฒนาระบบรถไฟในพื้นที่เพื่อให้เกิดการบูรณาการแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ที่มีประสิทธิภาพและลดภาระการลงทุนของภาครัฐในภาพรวม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
149 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 4/2560 | กค | 09/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ ๔/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ ประกอบด้วย ๕ เรื่อง ได้แก่ (๑) รายงานความคืบหน้าร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... (๒) แนวทางการแต่งตั้งกรรมการรัฐวิสาหกิจ (๓) การแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจ ๗ แห่ง ได้แก่ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และการรถไฟแห่งประเทศไทย (๔) การขออนุมัติจัดตั้ง/ร่วมทุนบริษัทในเครือของบริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (PEA Encom) เพื่อดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐ สำหรับพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในส่วนของแผนงานผลิตไฟฟ้าชุมชนจากชีวมวล และ (๕) หลักเกณฑ์การจ่ายโบนัสกรรมการ พนักงาน และลูกจ้างของบริษัทลูกที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐวิสาหกิจที่เป็นผู้ถือหุ้น และมอบหมายผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่าง ๆ ดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจดังกล่าวต่อไป ตามที่ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย) กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย) คณะอนุกรรมการกลั่นกรองกรรมการรัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยประสานกระทรวงการคลังเกี่ยวกับกระบวนการเพิ่มทุนอย่างใกล้ชิดและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นการล่วงหน้า และให้การรถไฟแห่งประเทศไทยเร่งดำเนินการแนวทางต่าง ๆ ในการจัดตั้งบริษัทลูกตามที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจกำหนดให้แล้วเสร็จก่อนเริ่มเปิดให้บริการ รวมทั้งพิจารณากำหนดผู้มีอำนาจหน้าที่ในการเสนอรายชื่อบุคคลที่จะแต่งตั้งเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจให้ชัดเจนและเหมาะสม โดยหลีกเลี่ยงผลกระทบจากปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. เพื่อให้การดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมีการพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรม ให้รัฐวิสาหกิจทั้ง ๗ แห่ง ดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ มติคณะรัฐมนตรี และข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ตลอดจนให้กระทรวงที่กำกับการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจดังกล่าวกำกับ ติดตาม และเร่งรัดการดำเนินการของรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งให้จัดทำแผนขับเคลื่อนองค์กรในระยะยาวที่สอดคล้องกับภารกิจหลักขององค์กรและการจัดทำแผนปฏิบัติการรายปีที่มีความชัดเจนและเป็นไปตามแผนขับเคลื่อนองค์กรในระยะยาวดังกล่าวให้แล้วเสร็จตามระยะเวลาที่ได้กำหนดไว้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
150 | รายงานผลการดำเนินการตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 ประจำปีงบประมาณ 2560 | กค | 03/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้นำเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป โดยรายงานดังกล่าวประกอบด้วย ๒ ส่วน ดังนี้
๑. ผลการดำเนินการตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ประกอบด้วย รายงานการกู้เงินและการค้ำประกันที่กระทำในปีงบประมาณที่ล่วงมาแล้ว และรายงานสถานะหนี้สาธารณะ ๒. รายงานผลการประเมินความสำเร็จของโครงการหรือแผนงานที่ได้ดำเนินการแล้วเสร็จ ประกอบด้วย ความสอดคล้องของวัตถุประสงค์ ประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ผลกระทบของโครงการ และความยั่งยืนของโครงการ โดยในปีงบประมาณ ๒๕๖๐ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะได้พิจารณาคัดเลือกโครงการจากส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้วอย่างน้อย ๒-๕ ปี รวมทั้งมีความพร้อมของข้อมูลมาประเมินผล รวม ๓ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ ๒ ของกรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท และกรมชลประทาน (๒) โครงการขยายเขตไฟฟ้าให้พื้นที่ทำกินทางการเกษตร ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และ (๓) โครงการปรับปรุงทางรถไฟ ระยะที่ ๖ ระหว่างสถานีชุมทางบัวใหญ่-หนองคาย ของการรถไฟแห่งประเทศไทย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
151 | การรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2560 ณ วันที่ 30 กันยายน 2560 | กค | 19/12/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ มียอดหนี้สาธารณะคงค้าง จำนวนทั้งสิ้น ๖,๓๖๙,๓๓๑.๓๑ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๔๒.๓๙ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) โดยเป็นหนี้รัฐบาล จำนวน ๔,๙๕๙,๑๖๔.๔๑ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจ จำนวน ๙๗๐,๒๑๖.๓๑ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินซึ่งรัฐบาลเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ จำนวน ๔๒๖,๓๒๑.๐๔ ล้านบาท และหนี้หน่วยงานอื่นของรัฐ จำนวน ๑๓,๖๒๙.๕๕ ล้านบาท ๒. ผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะได้จัดทำแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ เพื่อใช้เป็นกรอบในการบริหารจัดการหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ โดยได้มีการปรับปรุงแผนฯ แล้ว ๒ ครั้ง มีวงเงินรวมในแผนฯ ๑,๗๓๙,๐๐๗.๔๔ ล้านบาท โดย ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ กระทรวงการคลังและหน่วยงานต่าง ๆ ได้ดำเนินการกู้เงินและบริหารหนี้เป็นวงเงินทั้งสิ้น ๑,๖๙๕,๘๖๕.๔๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๙๗.๕๒ ของแผนฯ ๓. ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการลงทุนตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ของรัฐวิสาหกิจ จำนวน ๕ แห่ง ได้แก่ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย การรถไฟแห่งประเทศไทย องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ การเคหะแห่งชาติ และการประปาส่วนภูมิภาค พบว่ามีโครงการที่มีการดำเนินการล่าช้ากว่าแผน จำนวน ๘ โครงการ เช่น โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ๕ สายทาง โครงการความร่วมมือด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟระหว่างไทย-จีน ช่วงกรุงเทพ-นครราชสีมา และโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย ชุดที่ ๑ ปี ๒๕๕๗ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
152 | ขออนุมัติกู้เงินเพื่อใช้ในการดำเนินงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | คค | 19/12/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกู้เงินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓๙ (๔) โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน รวมทั้งพิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดตามความเหมาะสม สำหรับการกู้เงินเพื่อบรรเทาการขาดสภาพคล่องในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ วงเงิน ๑๑,๒๘๔ ล้านบาท โดยในส่วนของการขอยกเว้นค่าธรรมเนียมการค้ำประกัน ให้ รฟท. ดำเนินการขอความเห็นชอบต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การดำเนินการตามแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของ รฟท. ให้เป็นไปตามแผนที่กำหนด การพัฒนาคุณภาพและยกระดับมาตรฐานการให้บริการ รวมทั้งขยายตลาดของกลุ่มผู้ใช้บริการระบบรางให้เพิ่มมากขึ้น การใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินของ รฟท. ให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อเป็นการเพิ่มรายได้ในระยะยาวของ รฟท. การปรับปรุงระบบข้อมูลด้านการเงินและบัญชีให้ถูกต้องตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป การดำเนินการตามประกาศหรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่เกี่ยวข้อง และปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี หนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงคมนาคมกำกับดูแลให้ รฟท. ดำเนินการตามแผนการแก้ไขปัญหาองค์กรซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจแล้วอย่างเคร่งครัด และรายงานผลการดำเนินการตามแผนการแก้ไขปัญหาองค์กร รวมทั้งผลประกอบการและการจัดสรรรายได้เพื่อการชำระหนี้เงินกู้ต่อคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจทราบอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณากำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาและฟื้นฟูกิจการของ รฟท. โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของปัญหาการขาดสภาพคล่องในอนาคตให้มีประสิทธิภาพ และเกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
153 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีและรายงานผลการดำเนินงานโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ระยะเร่งด่วน จำนวน 5 เส้นทาง | คค | 19/12/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแนวทางการดำเนินงานสำหรับโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ระยะเร่งด่วน ๕ เส้นทาง (ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ ช่วงนครปฐม-หัวหิน ช่วงหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ และช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร) จำนวน ๓ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ (สายเหนือ) (๒) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ (สายตะวันออกเฉียงเหนือ) และ (๓) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงนครปฐม-ชุมพร (สายใต้) ตามแนวทางของคณะกรรมการกำกับการจัดซื้อจัดจ้างและมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง รายงานผลการพิจารณาการดำเนินการโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ จำนวน ๗ เส้นทาง ของการรถไฟแห่งประเทศไทย) ๒. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ (เรื่อง ขออนุมัติดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ) ในส่วนของโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๙ (เรื่อง ขออนุมัติดำเนินงานโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ (เรื่อง ขออนุมัติดำเนินโครงการก่อสร้างทางรถไฟทางคู่ ช่วงหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์) ในส่วนของโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงนครปฐม-ชุมพร ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินการต่อไปให้ถูกต้อง โปร่งใส ตรวจสอบได้ และเกิดประสิทธิภาพสูงสุดด้วย ๓. สำหรับโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ ให้ รฟท. เร่งปรับแบบรายละเอียดบริเวณอำเภอสีคิ้วและตัวเมืองนครราชสีมาของโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ สัญญาที่ ๒ คลองขนานจิตร ชุมทางถนนจิระ และจัดทำรายงานการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการรถไฟทางคู่ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ [รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment : EIA)] ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว แล้วเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาตามขั้นตอนก่อนดำเนินการต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๔. อนุมัติการเปลี่ยนแปลงรายการค่าก่อสร้าง จำนวน ๑๓ สัญญา และรายการค่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อบริหารโครงการและควบคุมงานก่อสร้าง จำนวน ๓ สัญญา ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ ภาระค่าใช้จ่ายเป็นค่าก่อสร้างและค่าจ้างที่ปรึกษา ให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ โดยเห็นชอบให้ รฟท. กู้เงินตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓๙ (๔) ๕. อนุมัติรายการค่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อปรับแบบรายละเอียดบริเวณอำเภอสีคิ้วและตัวเมืองนครราชสีมา ในโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ สัญญาที่ ๒ คลองขนานจิตร-ชุมทางถนนจิระ และค่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อทบทวน จัดทำเอกสารประกวดราคา และดำเนินการประกวดราคาโดยวิธีการประกวดราคานานาชาติ (International Bidding) โครงการจัดหาและติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณและโทรคมนาคม ในโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ จำนวน ๕ เส้นทาง ทั้งนี้ ภาระค่าใช้จ่ายเป็นค่าจ้างที่ปรึกษาทั้ง ๒ รายการดังกล่าว ให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๖. ให้กระทรวงคมนาคมและ รฟท. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น เห็นควรให้มีการติดตามและกำกับดูแลการก่อสร้างรถไฟทางคู่ระยะเร่งด่วน จำนวน ๕ เส้นทางดังกล่าวให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ และพิจารณาประยุกต์ใช้แนวทางการจัดซื้อจัดจ้างตามมติคณะกรรมการกำกับการจัดซื้อจัดจ้างในโครงการก่อสร้างรถไฟสายใหม่และทางคู่ระยะต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
154 | รายงานผลการดำเนินงานและความคืบหน้าโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา) ครั้งที่ 1 | คค | 19/12/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานและความคืบหน้าโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาคช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา) ครั้งที่ ๑ และเห็นชอบการดำเนินการตามมติคณะกรรมการบริหารการพัฒนาโครงการความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีน ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ตามที่คณะกรรมการบริหารการพัฒนาโครงการความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีนเสนอ โดยไม่ต้องนำเรื่องนี้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบ ตามความเห็นเพิ่มเติมของเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ทั้งนี้ ให้การรถไฟแห่งประเทศไทย รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อาทิ การดำเนินการก่อสร้างและค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างให้เป็นไปตามแผนและอยู่ภายใต้กรอบวงเงินที่ได้รับอนุมัติ การกำหนดเงื่อนไขในการดำเนินงาน กรอบวงเงิน และระยะเวลาการก่อสร้างให้ชัดเจนในบันทึกความร่วมมือระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทยและกรมทางหลวง การดำเนินการตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมทั้งขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการ และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ ตลอดจนการสร้างความรับรู้และความเข้าใจให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นระยะ ๆ อย่างเหมาะสม รวมทั้งการให้ความสำคัญการจัดลำดับแผนการก่อสร้างโครงการฯ ที่มีความเหมาะสม สร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการภายในประเทศสามารถเข้าร่วมประกวดราคา ในโครงการฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. สำหรับกรณีที่การรถไฟแห่งประเทศไทยจะเบิกเงินกู้ให้กรมทางหลวงดำเนินการก่อสร้างทางรถไฟระยะแรก (ช่วงกลางดง-ปางอโศก ระยะทาง ๓.๕ กิโลเมตร) ให้การรถไฟแห่งประเทศไทยและกรมทางหลวงดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลัง โดยให้ปฏิบัติให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๓. ให้คณะกรรมการบริหารการพัฒนาโครงการความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีน กำกับและเร่งรัดการดำเนินการก่อสร้างงานโยธาโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา) ในส่วนที่เหลือ ตลอดจนเร่งรัดการดำเนินโครงการฯ ระยะที่ ๒ (ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย) ให้แล้วเสร็จตามแผนงานที่กำหนดไว้ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
155 | รายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ประจำปีบัญชี 2559 | กค | 04/12/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ พร้อมข้อสังเกต และข้อเสนอแนะจากการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ประจำปีบัญชี ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ในปีบัญชี ๒๕๕๙ มีรัฐวิสาหกิจที่อยู่ในระบบประเมินผลการดำเนินงาน จำนวนทั้งสิ้น ๕๔ แห่ง โดยการประเมินจำแนกเป็น ๒ ระบบ ประกอบด้วย (๑) ระบบประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจตามระบบปัจจุบัน โดยในปี ๒๕๕๙ รัฐวิสาหกิจที่มีผลการประเมินสูงสุด ๓ อันดับแรก (จากรัฐวิสาหกิจ ๒๑ แห่ง) ได้แก่ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด สำนักงานธนานุเคราะห์ และองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย และ (๒) ระบบการประเมินคุณภาพรัฐวิสาหกิจ (State Enterprise Performance Appraisal : SEPA) โดยในปี ๒๕๕๙ มีรัฐวิสาหกิจเข้ารับการประเมินในระบบ SEPA ทั้งหมด ๓๓ แห่ง ซึ่งรัฐวิสาหกิจที่มีคะแนนผลการประเมินสูงที่สุด ได้แก่ สาขาพลังงาน และรัฐวิสาหกิจที่มีผลการประมินสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ๒. ในปี ๒๕๕๙ มีรัฐวิสาหกิจที่มีผลการดำเนินงานเข้าข่ายต้องเร่งฟื้นฟูกิจการ จำนวน ๗ แห่ง ได้แก่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) การรถไฟแห่งประเทศไทย องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย โดยรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่ไม่สามารถดำเนินงานได้ตามแผนและเป้าหมายที่กำหนดในแผนฟื้นฟูกิจการ ๓. ณ สิ้นปีบัญชี ๒๕๕๙ รัฐวิสาหกิจในระบบประเมินผลงานรัฐวิสาหกิจ มีสินทรัพย์รวม ๑๔.๓๔ ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี ๒๕๕๘ ร้อยละ ๒.๕๐ ส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นของสาขาพลังงาน ขนส่ง และสถาบันการเงิน รวมทั้งรัฐวิสาหกิจมีกำไรสุทธิในภาพรวมเพิ่มขึ้นจากปี ๒๕๕๘ ถึงร้อยละ ๘๑ โดยรัฐวิสาหกิจที่มีกำไรสุทธิสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
156 | รายงานผลการดำเนินงานการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ที่เกิดขึ้นระหว่างเดือนธันวาคม 2559 - มกราคม 2560 ของกระทรวงคมนาคม | คค | 28/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ที่เกิดขึ้นระหว่างเดือนธันวาคม ๒๕๕๙-มกราคม ๒๕๖๐ โดยกระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท กรมท่าอากาศยาน และการรถไฟแห่งประเทศไทย) ได้ดำเนินการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ รวมทั้งสิ้น ๕๖๙ แห่ง วงเงินรวม ๖,๐๕๕.๙๖ ล้านบาท ประกอบด้วย ฟื้นฟูสายทางและสะพาน ฟื้นฟูท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช และฟื้นฟูเส้นทางรถไฟ ดำเนินการแล้วเสร็จ จำนวน ๒๖๓ แห่ง (คิดเป็นร้อยละ ๔๖.๒๒) และอยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน ๓๐๖ แห่ง (คิดเป็นร้อยละ ๕๓.๗๘) นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมต้องดำเนินการแก้ไขปัญหาสิ่งกีดขวางทางน้ำในภาคใต้ตามข้อมูลของกรมชลประทาน โดยการก่อสร้างทางลอดทางรถไฟ การแก้ไขสะพาน และการก่อสร้างกำแพงกันดิน รวมทั้งสิ้น ๕๒ แห่ง วงเงิน ๗๙๔.๓๗ ล้านบาท ดำเนินการแล้วเสร็จ จำนวน ๑๔ แห่ง (คิดเป็นร้อยละ ๒๖.๙๒) และอยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน ๓๐ แห่ง (คิดเป็นร้อยละ ๕๗.๖๙) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการเพื่อปรับปรุงและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางถนนให้สามารถอำนวยความสะดวกและสร้างความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชน ดังนี้ ๒.๑ ให้บูรณาการร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเร่งรัดแก้ไขปัญหาน้ำท่วมผิวการจราจรในสายทางต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เช่น ถนนสุขุมวิทช่วงผ่านเมืองพัทยา เป็นต้น โดยอาจพิจารณาสร้างทางระบายน้ำหรือเสริมพื้นถนนเดิมให้สูงขึ้นตามความจำเป็นและเหมาะสม ๒.๒ ให้พิจารณาความเป็นไปได้ในการใช้ประโยชน์จากพื้นที่เกาะกลางถนนของสายทางต่าง ๆ เพื่อจัดทำเป็นทางยกระดับเพื่อบรรเทาปัญหาการจราจรและ/หรือใช้เป็นทางระบายน้ำ ตามแต่กรณี ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงความปลอดภัยและความคุ้มค่าเป็นหลักด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
157 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2560 (เพิ่มเติม) และครั้งที่ 3/2560 | ทส | 07/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๖๐ (เพิ่มเติม) และครั้งที่ ๓/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ ได้พิจารณาเรื่องเชิงนโยบายที่สำคัญและได้ข้อยุติแล้ว จำนวน ๑๔ เรื่อง ยังคงมีเรื่องที่มีความจำเป็นต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบเพิ่มเติมอีก จำนวน ๒ เรื่อง ได้แก่ (๑) โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกจากสถานีควบคุมความดันก๊าซฯ ราชบุรี-วังน้อย ที่ ๖ (RA6) ไปยังจังหวัดราชบุรี ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ (๒) ข้อเสนอเชิงนโยบายการอนุรักษ์และฟื้นฟูย่านชุมชนเก่า ๒. มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๐ จำนวน ๑๒ เรื่อง ได้แก่ (๑) โครงการศูนย์วิทยาการเวชศาสตร์ผู้สูงอายุระดับชาติ ของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล (๒) เกณฑ์การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแหล่งธรรมชาติอันควรอนุรักษ์ ประเภทน้ำ (๓) ร่างแผนส่งเสริมการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ระยะที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ (๔) การปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพน้ำทะเลกลุ่มสารอาหาร (๕) โครงการก่อสร้างระบบท่อส่งน้ำประปาลอดใต้ทะเลไปยังเกาะสมุย (โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาคสาขาเกาะสมุย อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ระยะที่ ๑ ส่วนที่ ๒ ปีงบประมาณ ๒๕๕๘) และ (๖) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
158 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 17/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านสังคม ให้กระทรวงยุติธรรมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม พิจารณาแนวทางในการดำเนินการสนับสนุนและส่งเสริมให้นักโทษที่มีความรู้ความสามารถในวิชาชีพด้านต่าง ๆ สามารถประกอบวิชาชีพนั้นให้เกิดประโยชน์ได้ในระหว่างที่ถูกคุมขังอยู่ รวมทั้งให้พิจารณาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการนำนักโทษดังกล่าวมาปฏิบัติงานนอกสถานที่ในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย เพื่อให้มีการนำความสามารถนั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญของประเทศ ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ ให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการชำระเงินค่าโดยสารรถประจำทางแบบใหม่ผ่านระบบ E-Ticket และที่ติดตั้งจุดหยอดเหรียญให้ประชาชนเข้าใจได้ง่าย ชัดเจน และทั่วถึง เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนและลดปัญหาความล่าช้าเมื่อมีการเปิดใช้งานจริง ๒.๒ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งพัฒนาพืชสมุนไพรให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้เป็นที่ยอมรับและสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากสมุนไพรไทย นั้น ให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งรัดการดำเนินการดังกล่าว รวมทั้งให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงพาณิชย์พิจารณาเพิ่มช่องทางในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์พืชสมุนไพรให้มากยิ่งขึ้น เช่น การวางจำหน่ายในร้านค้าธงฟ้า โครงการธงน้ำเงินของกระทรวงกลาโหม การจำหน่ายทางออนไลน์ เป็นต้น ๒.๓ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาส่งเสริมสนับสนุนผู้ที่มีความรู้ความสามารถในการประกอบหรือดัดแปลงรถยนต์ให้สามารถพัฒนาปรับปรุงผลงานให้ดียิ่งขึ้น มีความถูกต้อง เป็นไปตามมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นพื้นฐานในการผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์ของประเทศต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานผลการดำเนินการดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีทราบภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๐ ด้วย ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ให้สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม พิจารณาแนวทางในการนำเกณฑ์ในการพิจารณาการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนของตลาดหลักทรัพย์ ๗ ประการ ตามผลการวิจัยของ Measuring Sustainability Disclosure 2017 มาปรับใช้กับส่วนราชการตามความเหมาะสม เช่น อัตราการลาออก ค่าใช้จ่ายของบุคลากร การบริหารจัดการเกี่ยวกับด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมของหน่วยงาน การใช้น้ำ การจัดการของเสีย เป็นต้น เพื่อให้ส่วนราชการสามารถวางแผนการบริหารจัดการในเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ ให้พิจารณาคัดเลือกส่วนราชการที่มีความพร้อมในการดำเนินการเป็นหน่วยงานนำร่องก่อน ๓.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่กำกับการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจ ๗ แห่ง ได้แก่ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และการรถไฟแห่งประเทศไทย กำกับ ติดตาม และเร่งรัดการดำเนินการของรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งดังกล่าวในการจัดทำแผนขับเคลื่อนองค์กรในระยะยาวที่สอดคล้องกับภารกิจหลักขององค์กรและการจัดทำแผนปฏิบัติการรายปีที่มีความชัดเจนและเป็นไปตามแผนขับเคลื่อนองค์กรในระยะยาวดังกล่าวให้แล้วเสร็จตามระยะเวลาที่ได้กำหนดไว้ ๓.๓ มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ เมษินทรีย์) ร่วมกับสำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรีจัดทำรายละเอียดข้อเสนอโครงการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยแบบมุ่งเป้าและยั่งยืน (Precision Government Initiative for Poverty Eradication) ให้มีความชัดเจนและสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น แล้วนำข้อเสนอดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์เพื่อพิจารณาดำเนินการขับเคลื่อนต่อไป ๓.๔ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับการส่งเสริมด้านการกีฬา ดังนี้ ๓.๔.๑ กำกับดูแลการดำเนินการจัดการแข่งขันกีฬาภายในประเทศและระดับชาติให้มีมาตรฐาน โดยอาจกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาอนุญาตให้มีการจัดการแข่งขันทั้งในเรื่องความเหมาะสมของสถานที่โดยไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการจราจร เช่น กีฬาสปาร์ตัน (Spartan) ที่สามารถจัดการแข่งขันในตึกสูงได้ เป็นต้น การกำหนดให้มีสถานที่จอดรถอย่างเพียงพอ การจัดที่พักให้แก่นักกีฬาอย่างเหมาะสม รวมทั้งการวางแผนการบริหารจัดการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การติดป้ายประกาศโฆษณา และการดูแลนักกีฬาต่างชาติด้วย ๓.๔.๒ พิจารณาจัดทำโครงการเพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการกีฬาของเยาวชนไทย โดยให้พิจารณาคัดเลือกเยาวชนที่มีอายุระหว่าง ๗-๑๐ ปี ที่มีความสามารถด้านการกีฬาชนิดต่าง ๆ เป็นที่ประจักษ์ชัดเจน มาฝึกฝนเพื่อก้าวไปสู่การเป็นเยาวชนทีมชาติไทยต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารายงานผลการดำเนินการดังกล่าวข้างต้นให้คณะรัฐมนตรีทราบภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๐ ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันเร่งระบายน้ำในพื้นที่ที่ยังมีน้ำท่วมขัง รวมทั้งเตรียมการป้องกันและแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ที่อาจจะได้รับผลกระทบจากการระบายน้ำของเขื่อนขนาดใหญ่ เช่น เขื่อนอุบลรัตน์ ทั้งนี้ ให้เร่งช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขังเป็นเวลานานด้วย เช่น จัดบริการห้องสุขา จัดหาน้ำสะอาดเพื่อการอุปโภคบริโภค โดยให้ประชาสัมพันธ์การดำเนินงานของแต่ละหน่วยงานเพื่อสร้างการรับรู้แก่ประชาชนให้ถูกต้องทั่วถึงด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
159 | การขอเช่าพื้นที่การรถไฟแห่งประเทศไทย บริเวณแนวทางรถไฟสายบางซื่อ - คลองตัน (ริมถนนรัชดาภิเษก) เพื่อใช้เป็นทางเข้า - ออก | ศย | 10/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานศาลยุติธรรมทำสัญญาเช่าที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย ในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๗๑ รวมระยะเวลา ๑๑ ปี ในวงเงินทั้งสิ้น ๑๐,๐๕๗,๘๑๗ บาท ตามนัยมาตรา ๒๓ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งยกเว้นการปฏิบัติตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ โดยให้สำนักงานศาลยุติธรรมก่อหนี้ผูกพันงบประมาณล่วงหน้าเกินกว่า ๕ ปี เป็นกรณีเฉพาะราย สำหรับค่าเช่าที่ดินในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เห็นควรให้สำนักงานศาลยุติธรรมใช้จ่ายจากเงินค่าธรรมเนียมศาลเพื่อเสริมงบประมาณ หรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ มาดำเนินการในโอกาสแรกก่อน ส่วนค่าเช่าที่ดินในปีต่อ ๆ ไป ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามสัญญาในแต่ละปีงบประมาณต่อไป ทั้งนี้ ค่าเช่าที่ดินของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ หากสำนักงานศาลยุติธรรมได้ดำเนินการใช้ประโยชน์จากที่ดินไปแล้วจริง ก็เห็นควรที่สำนักงานศาลยุติธรรมจะจัดทำสัญญาเช่าที่ดิน ระยะเวลา ๑ ปี ระหว่างวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ ถึง ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ ค่าเช่า ๙๑๔,๓๔๗ บาท โดยใช้จ่ายจากเงินรายได้ค่าธรรมเนียมศาลเสริมงบประมาณ ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
160 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2560 (เพิ่มเติม) และครั้งที่ 2/2560 | ทส | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ (เพิ่มเติม) และครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๐ ได้พิจารณาเรื่องเชิงนโยบายที่สำคัญและได้ข้อยุติแล้ว โดยยังคงมีเรื่องที่มีความจำเป็นต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบเพิ่มเติมอีก ๕ เรื่อง ได้แก่ (๑) ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่ตำบลบางปะกง ตำบลท่าข้าม ตำบลสองคลอง อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา และท้องที่ตำบลคลองตำหรุ อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี พ.ศ. .... และร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติ และแนวทางในการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (IEE) และรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ในท้องที่ดังกล่าวข้างต้น พ.ศ. .... (๒) ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่ตำบลปากคลอง ตำบลชุมโค ตำบลบางสน และตำบลสะพลี อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร พ.ศ. .... (๓) โครงการก่อสร้างทางรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (๔) โครงการทำเหมืองแร่ชนิดแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน ชนิดแร่หินอุตสาหกรรมชนิดดินดาน และชนิดแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนของห้างหุ้นส่วนจำกัด อุดมศิลา คำขอต่ออายุประทานบัตรที่ ๓/๒๕๕๗ ตั้งอยู่ที่ตำบลเขาวง อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี และ (๕) โครงการทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน และหินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน คำขอต่ออายุประทานบัตรที่ ๗/๒๕๕๗ ของบริษัทชีวิลเอนจีเนียริง จำกัด ตั้งอยู่ที่ตำบลหน้าพระลาน อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสระบุรี ๒. มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๖๐ จำนวน ๑๔ เรื่อง เช่น (๑) รายงานการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในรายงาน EIA โครงการพัฒนาท่าอากาศยานภูเก็ต : การปรับปรุง Runway Strip, RESA และทางขับขนานท่าอากาศยานภูเก็ต ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (๒) รายงานผลการดำเนินงานตามมติคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ ๔/๒๕๕๙ เรื่อง โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-นครราชสีมา ของกรมทางหลวง (๓) โครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ส่วนต่อขยายช่วงศิริราช-ตลิ่งชัน และบ้านฉิมพลี-ศาลายา ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (๔) โครงการอาคารศูนย์บริการทางการแพทย์หริภุญไชยของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (๕) การปรับปรุงมาตรฐานก๊าซคาร์บอนไดซัลไฟด์ในบรรยากาศโดยทั่วไป และ (๖) ร่างนโยบายและแผนการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙ เป็นต้น
|
.....