ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 7 จากทั้งหมด 48 หน้า แสดงรายการที่ 121 - 140 จากข้อมูลทั้งหมด 958 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
121 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 3/2561 | กค | 26/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๑ ประกอบด้วย (๑) การปรับปรุงแนวทางการกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนและสวัสดิการของพนักงานรัฐวิสาหกิจตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๐ (๒) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพของรัฐวิสาหกิจ และ (๓) การแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจ ๖ แห่ง ได้แก่ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) การรถไฟแห่งประเทศไทย และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และมอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจในคราวประชุมดังกล่าวต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
122 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2561 | ทส | 26/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๔/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นเรื่องที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาได้ข้อยุติแล้ว จำนวน ๖ เรื่อง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. รายงานสถานการณ์มลพิษของประเทศไทย ปี ๒๕๖๐ ๒. การพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการรถไฟทางคู่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ช่วงหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ (ภายใต้โครงการศึกษาและออกแบบระบบรถไฟฟ้าทางคู่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าฯ) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ๓. การพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการโครงข่ายทางเชื่อมระหว่างทางยกระดับอุตราภิมุข และทางพิเศษศรีรัช-วงแหวนรอบนอก กรุงเทพมหานคร (ภายใต้โครงการศึกษาความเหมาะสมทางด้านวิศวกรรมเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมและออกแบบรายละเอียดโครงข่ายทางเชื่อมฯ) ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ๔. กฎหมายลำดับรองที่ออกตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามมาตรา ๔๘ ๕. ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีจัดทำรายงานผลการปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ซึ่งผู้ดำเนินการ หรือผู้ขออนุญาตจะต้องจัดทำเมื่อได้รับอนุญาตให้ดำเนินโครงการหรือกิจการแล้ว [กฎหมายลำดับรองที่ออกตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามมาตรา ๕๑/๕] ๖. แนวทางการขับเคลื่อนการจัดทำพื้นที่สีเขียวอย่างยั่งยืน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
123 | ขอยกเว้นมาตรการด้านบุคลากรตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2541 เพื่อขอให้การรถไฟแห่งประเทศไทยสามารถรับพนักงานได้ในกรอบอัตรากำลัง 19,241 อัตรา (พนักงาน 16,660 อัตรา และลูกจ้าง 2,581 อัตรา) | คค | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงคมนาคม โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ปรับกรอบอัตรากำลังและแผนการสรรหาในระยะ ๑๐ ปี ให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง จากเดิม ปี ๒๕๖๑-๒๖๗๐ เป็น ปี ๒๕๖๒-๒๕๗๑ ๒. เห็นชอบให้ รฟท. ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๔๑ (เรื่อง ขออนุมัติต่ออายุสัญญาเงินกู้วงเงิน ๒,๑๐๐ ล้านบาท และเรื่อง ขออนุมัติกู้เงินเพิ่มเติมของการรถไฟแห่งประเทศไทย) โดยให้สามารถรับพนักงานเพิ่มได้เฉพาะในปีแรกของกรอบอัตรากำลังฯ (ปี ๒๕๖๒) จำนวนไม่เกิน ๑,๙๐๔ อัตรา แล้วให้ รฟท. นำกรอบอัตรากำลังฯ แผนฟื้นฟูกิจการรถไฟแห่งประเทศไทย รวมทั้งแนวทางการดำเนินการของ รฟท. ตามความเห็นของสำนักงบประมาณเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเพื่อพิจารณาความจำเป็นเหมาะสมของกรอบอัตรากำลังในภาพรวมให้ชัดเจน ก่อนดำเนินการสรรหาพนักงานเพิ่มในปีแรกต่อไป ทั้งนี้ ให้ รฟท. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงแรงงาน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดแนวทางในการบริหารทรัพยากรบุคคลให้สะท้อนถึงการปรับโครงสร้างองค์กรตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และคำนึงถึงการนำเทคโนโลยีชั้นสูงและนวัตกรรมสมัยใหม่เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน การกำหนดมาตรการและแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน โดยการเพิ่มรายได้ ประหยัดรายจ่ายในด้านอื่น ๆ รวมถึงควบคุมการทำงานล่วงเวลา การทำงานในวันหยุดและการทำงานล่วงเวลาในวันหยุด ให้เป็นไปเท่าที่จำเป็น เพื่อให้การบริการประชาชนเกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งการพิจารณาบรรจุอัตรากำลังตามความจำเป็นและเหมาะสมในแต่ละช่วงเวลาและบริหารจัดการพนักงานให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างเต็มศักยภาพ รวมทั้งเร่งรัดติดตามการลงทุนให้เป็นไปตามแผน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
124 | รายงานผลการดำเนินการโอนความรับผิดชอบการบริหารตลาดนัดจตุจักร ไปเป็นความรับผิดชอบของกรุงเทพมหานครตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2561 ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
125 | การแก้ไขปัญหาตลาดนัดจตุจักร | นร04 | 06/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ค้าในตลาดนัดจตุจักรและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชนผู้ใช้บริการในตลาดนัดดังกล่าว จึงขอให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย) ประสานงานกับกระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) เพื่อเร่งรัดการดำเนินการโอนความรับผิดชอบการบริหารจัดการตลาดนัดจตุจักรไปเป็นความรับผิดชอบของกรุงเทพมหานคร ให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในสัปดาห์หน้า และให้กระทรวงคมนาคมรายงานผลต่อคณะรัฐมนตรีด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
126 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อดำเนินโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟ ความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา) พ.ศ. .... | คค | 30/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อดำเนินโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางและสะพานข้ามทางรถไฟ สร้างทาง สร้างย่านสถานี และพื้นที่บริการผู้โดยสาร สร้างศูนย์ซ่อมบำรุงและพื้นที่อำนวยความสะดวก สร้างสถานีไฟฟ้าย่อย และสร้างทางรถไฟและเครื่องประกอบราง ตามโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนบูรณาการเส้นทางการคมนาคมขนส่งของประเทศไทยทั้งระบบ โดยให้คำนึงถึงปัจจัยสำคัญต่าง ๆ เช่น (๑) ความทับซ้อนของเส้นทางตามโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา) โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม ๓ สนามบิน และโครงการรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต (๒) การผังเมือง (๓) การเชื่อมโยงของโครงข่ายถนน และ (๔) การเชื่อมต่อของระบบราง ทั้งนี้ ให้จัดทำเป็นแผนระยะสั้น ๕ ปี ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ๓. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการพิจารณาผลกระทบด้านการระบายน้ำภายหลังจากการก่อสร้าง และให้ความสำคัญกับการใช้ประโยชน์ที่ดินภายในเขตทางรถไฟให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด รวมทั้งกำหนดแนวเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนตามความจำเป็นเพื่อลดผลกระทบต่อประชาชนและเพื่อช่วยให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) สามารถควบคุมวงเงินค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินให้อยู่ภายในกรอบวงเงินที่ได้รับอนุมัติ และเร่งดำเนินโครงการฯ ในขั้นตอนต่าง ๆ ให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้ เพื่อให้ รฟท. สามารถเปิดให้บริการโครงการฯ ในปี ๒๕๖๗ ได้ตามเป้าหมายต่อไป นอกจากนี้ ควรให้ รฟท. ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบและยืนยันความถูกต้องของแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาฯ ในส่วนที่เป็นรายละเอียดเกี่ยวกับแนวเขตที่ดินและเขตท้องที่การปกครองในบริเวณที่ที่จะเวนคืนที่มีพื้นที่ต่อเนื่องกัน เพื่อประกอบการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
127 | ขออนุมัติโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก | นร63 | 30/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานว่า โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกเข้าข่ายประเภทและขนาดของโครงการที่ต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ออกตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งปัจจุบันกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมยังไม่ได้รับรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการฯ ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๘ บัญญัติให้การดำเนินโครงการหรือกิจการใดภายใต้เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกที่ต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม สุขภาพของประชาชนหรือชุมชนตามที่มีกฎหมายกำหนด ให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ชำนาญการเป็นการเฉพาะเพื่อพิจารณาให้ความเห็นหรือความเห็นชอบรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการหรือกิจการนั้น โดยต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่ได้รับรายงานที่ถูกต้องและมีข้อมูลครบถ้วน และพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๔๙ วรรคสี่ บัญญัติให้ในระหว่างที่รอผลการพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หน่วยงานผู้รับผิดชอบโครงการสามารถเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติให้ดำเนินกระบวนการหรือขั้นตอนเพื่อให้ได้มาซึ่งเอกชนที่จะเป็นผู้รับงานนั้นไปพลางก่อนได้ แต่จะลงนามผูกพันในสัญญาหรือให้สิทธิกับเอกชนผู้นั้นไม่ได้ ๒. อนุมัติในหลักการโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ตามมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ กองทัพเรือ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง โปร่งใส เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๓. อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณ จำนวน ๑๗,๗๖๘ ล้านบาท ให้กับกองทัพเรือเพื่อใช้ในการดำเนินโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก และให้กองทัพเรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ มาดำเนินการเป็นลำดับแรก หากไม่เพียงพอก็ให้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามความจำเป็นและเหมาะสม รวมทั้งพิจารณาอำนาจและหน้าที่ของหน่วยงาน เป้าหมาย ผลประโยชน์และผลสัมฤทธิ์ที่ได้รับฐานะเงินนอกงบประมาณ รายได้หรือเงินอื่นใดที่หน่วยงานของรัฐนั้นอยู่ หรือสามารถนำมาใช้จ่ายได้ โดยต้องคำนึงถึงความโปร่งใส คุ้มค่า ประหยัด และประโยชน์ของทางราชการเป็นสำคัญ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณต่อไป ๔. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กองทัพเรือ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เช่น การพิจารณาประมาณการจำนวนผู้โดยสารจากปัจจัยต่าง ๆ อย่างรอบด้านและรอบคอบ การเร่งจัดทำแผนแม่บทสนามบินอู่ตะเภาให้แล้วเสร็จโดยเร็วก่อนที่จะเริ่มดำเนินโครงการฯ เพื่อสร้างความชัดเจนในภาพรวมของการพัฒนาสนามบิน รวมถึงตำแหน่งสิ่งปลูกสร้างในโครงการฯ การกำหนดขอบเขตกิจกรรมและสิทธิต่าง ๆ ของการดำเนินโครงการฯ ในการร่วมลงทุนกับภาคเอกชนอย่างรอบคอบ การกำหนดโครงสร้างการบริหารโครงการฯ ทั้งระหว่างการก่อสร้างและดำเนินโครงการฯ โดยอาจพิจารณาหน่วยงานหรือนำบุคลากรที่มีศักยภาพ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ทั้งทางด้านเทคนิคและการบริหารสนามบินพาณิชย์ขนาดใหญ่มาช่วยในการบริหารจัดการโครงการฯ การกำหนดเงื่อนไขการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่มีความสอดคล้องกับปริมาณการขนส่ง การใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด คุณภาพการให้บริการ และความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล ตลอดจนดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และการจัดเตรียมแผนงานและมาตรการรองรับในกรณีหากมีการร้องเรียนจากผู้ได้รับผลกระทบจากการดำนเนินงานสนามบินให้มีความชัดเจนตั้งแต่ก่อนเริ่มดำเนินการโครงการฯ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๕. ให้กองทัพเรือดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้ ๕.๑ ประสานงานกับการรถไฟแห่งประเทศไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดเพื่อบูรณาการการดำเนินโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกและโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม ๓ สนามบิน ให้สอดคล้อง เชื่อมโยง และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ๕.๒ เร่งรัดการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้สามารถลงนามในสัญญาร่วมลงทุนได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
128 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณการเช่าที่ดินจากการรถไฟแห่งประเทศไทย | พณ | 02/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณค่าเช่าที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) บริเวณริมถนนรัชดาภิเษก ลาดพร้าว เพื่อเป็นสถานที่ก่อสร้างอาคารกรมพาณิขย์สัมพันธ์และศูนย์แสดงสินค้าถาวร ภายในกรอบวงเงิน ๑๒๐,๖๕๕,๑๐๗ บาท และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้คงอัตราค่าเช่าในอัตราเดิมก่อนที่ รฟท. จะมีหนังสือแจ้งยืนยันค่าเช่าที่ดินบริเวณดังกล่าวไปยังกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศไปเจรจากับ รฟท. ให้ได้ข้อยุติก่อนดำเนินการทำสัญญาตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาดำเนินการตามข้อกำหนดและเงื่อนไขของ รฟท. ในรายละเอียดโดยเคร่งครัด และเห็นควรที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศจะได้พิจารณาประเมินความคุ้มค่าในการเช่าที่ดินสำหรับเป็นที่ตั้งอาคารสำนักงานและส่วนจัดแสดงสินค้าในพื้นที่บริเวณดังกล่าว และควรพิจารณาจัดกิจกรรมส่งเสริมการค้ารูปแบบใหม่ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการผลิตและผู้ส่งออก นอกจากนี้ ควรมุ่งเน้นการจัดกิจกรรมการแสดงสินค้าที่มีความหลากหลายและกระจายโอกาสให้ผู้ผลิตและผู้ส่งออกสินค้ากลุ่มต่าง ๆ สามารถเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในพื้นที่อาคารแสดงสินค้าได้อย่างทั่วถึง รวมทั้งควรมีการประเมินความคุ้มค่าของการจัดกิจกรรมต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐและการใช้ประโยชน์ที่ดินดังกล่าวมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ในการดำเนินการต่อสัญญาเช่าที่ดิน รฟท. ในครั้งต่อไป ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรขอความร่วมมือ รฟท. ในการปรับปรุงอัตราค่าเช่าสำหรับหน่วยงานราชการในลักษณะผ่อนปรนต่ำสุด โดยการปรับปรุงค่าเช่าเพิ่มขึ้นร้อยละ ๕ ของอัตราที่เคยเรียกเก็บอยู่ก่อนหมดอายุสัญญาหรือการพิจารณาให้ต่ออายุสัญญาเช่าระยะยาว (มากกว่า ๓ ปี) เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงในกรณีที่ราคาประเมินมูลค่าที่ดิน ณ ปีที่ต่ออายุสัญญาเพิ่มสูงขึ้นมาก ไปเจรจากับ รฟท. ให้ได้ข้อยุติก่อนดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
129 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันค่าเช่าที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทยบริเวณแนวทางรถไฟสายบางซื่อ - คลองตัน | วธ | 02/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงวัฒนธรรม (กรมส่งเสริมวัฒนธรรม) เพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณค่าเช่าที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) บริเวณแนวทางรถไฟสายบางซื่อ-คลองตัน ภายในกรอบวงเงิน ๒๘,๑๙๘,๔๓๔ บาท และให้กระทรวงวัฒนธรรมรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้คงอัตราค่าเช่าในอัตราเดิมก่อนที่ รฟท. จะมีหนังสือแจ้งยืนยันค่าเช่าที่ดินบริเวณดังกล่าวไปยังกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ไปเจรจากับ รฟท. ให้ได้ข้อยุติก่อนดำเนินการทำสัญญาตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้กระทรวงวัฒนธรรมพิจารณาดำเนินการตามข้อกำหนดและเงื่อนไขของ รฟท. ในรายละเอียดโดยเคร่งครัด และ รฟท. ควรนำรายได้จากการคิดอัตราค่าเช่าที่ดินมาใช้ในการบริหารกิจการเพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระงบประมาณที่รัฐจะต้องอุดหนุนในรูปแบบต่าง ๆ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ในการดำเนินการต่อสัญญาเช่าที่ดิน รฟท. ในครั้งต่อไป ให้กระทรวงวัฒนธรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรขอความร่วมมือ รฟท. ในการปรับปรุงอัตราค่าเช่าสำหรับหน่วยงานราชการในลักษณะผ่อนปรนต่ำสุด โดยการปรับปรุงค่าเช่าเพิ่มขึ้นร้อยละ ๕ ของอัตราที่เคยเรียกเก็บอยู่ก่อนหมดอายุสัญญา หรือการพิจารณาให้ต่ออายุสัญญาเช่าระยะยาว (มากกว่า ๓ ปี) เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงในกรณีที่ราคาประเมินมูลค่าที่ดิน ณ ปีที่ต่ออายุสัญญาเพิ่มสูงขึ้นมาก ไปเจรจากับ รฟท. ให้ได้ข้อยุติก่อนดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
130 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบ้านสวนและตำบลหนองข้างคอก อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี พ.ศ. .... | คค | 11/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบ้านสวน และตำบลหนองข้างคอก อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงชนบท ตามโครงการก่อสร้างทางต่างระดับข้ามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๖๑ และทางรถไฟสายตะวันออก และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจ และเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการพิจารณาผลกระทบด้านการระบายน้ำภายหลังจากการก่อสร้าง เพื่อมิให้เกิดปัญหาเรื่องการระบายน้ำในพื้นที่บริเวณดังกล่าวในอนาคต และควรมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่มีแผนปรับปรุง/ก่อสร้างทางต่างระดับข้ามทางรถไฟในระยะต่อไปประสานกับการรถไฟแห่งประเทศไทยเพื่อพิจารณากำหนดรูปแบบโครงสร้างทางต่างระดับที่มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับรูปแบบการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบรถไฟก่อนดำเนินการปรับปรุง/ก่อสร้าง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
131 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 2/2561 | กค | 11/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๑ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และข้อสั่งการเพิ่มเติมของนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจในคราวประชุมดังกล่าวอย่างเคร่งครัด ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจมีมติมอบหมายให้รัฐวิสาหกิจ ๖ แห่ง ได้แก่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) การรถไฟแห่งประเทศไทย องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย เร่งรัดดำเนินการตามแผนการฟื้นฟูองค์กร และให้กระทรวงที่กำกับการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจกำกับและติดตามการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง รวมทั้งนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจได้มีข้อสั่งการเพิ่มเติมในประเด็นต่าง ๆ เช่น (๑) การจัดทำแผนยุทธศาสตร์ระบบคมนาคมขนส่งในภาพรวม (๒) การกำหนดมาตรการรองรับการเกษียณอายุก่อนกำหนดของบุคลากรรัฐวิสาหกิจ และบุคลากรที่จะเข้าสู่กลุ่มผู้เกษียณอายุ และ (๓) การสร้างการรับรู้ให้กับพนักงานให้ตระหนักถึงความจำเป็นในการดำเนินการตามแผนการแก้ไขปัญหาองค์กร ๑.๒ คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจมีมติเห็นชอบกรอบหลักการและแนวทางการกำกับดูแลกิจการที่ดีในรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นการปรับปรุงแนวทางการกำกับดูแลกิจการที่ดีในรัฐวิสาหกิจในปี ๒๕๕๒ (ฉบับเดิม) โดยได้พิจารณาให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลและตามมาตรฐานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยหลักการและแนวทางการกำกับดูแลกิจการที่ดีในรัฐวิสาหกิจ ฉบับปรับปรุง จะมีทั้งสิ้น ๑๐ หมวด ประกอบด้วย (๑) การดำเนินงานของภาครัฐในฐานะเจ้าของ (๒) การดำเนินงานตามกฎหมาย (๓) สิทธิและความเท่าเทียมกันของเจ้าของกิจการ/ผู้ถือหุ้น (๔) ว่าด้วยเรื่องคณะกรรมการ (๕) บทบาทของผู้มีส่วนได้เสีย (๖) นวัตกรรมและความยั่งยืน (๗) การเปิดเผยข้อมูล (๘) การบริหารความเสี่ยงและการควบคุมภายใน (๙) จรรยาบรรณ และ (๑๐) การติดตามผลการดำเนินงาน ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและข้อสังเกตของธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับกรณีการเพิ่มทุนให้ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยว่า ภายหลังการเพิ่มทุนให้กับธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย จำนวน ๑๘,๑๐๐ ล้านบาท ส่วนของทุนของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยก็จะยังติดลบอยู่ เนื่องจากที่ผ่านมาธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยมีผลประกอบการขาดทุนเพิ่มขึ้น เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
132 | ผลการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2561 | ดศ | 11/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เรื่องสืบเนื่อง จำนวน ๓ เรื่อง ได้แก่ โครงการติดตั้งระบบโครงข่ายโทรคมนาคมของการรถไฟแห่งประเทศไทย การทบทวนการขยายโครงข่ายเน็ตประชารัฐเพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ และการปรับปรุงหลักเกณฑ์การให้บริการโครงข่ายแบบเปิด (Open Access Network) ในการใช้งานโครงข่ายเน็ตประชารัฐ ๒. เรื่องเพื่อพิจารณา จำนวน ๓ เรื่อง ได้แก่ แนวทางการเตรียมโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลเพื่อขับเคลื่อน 5G การจัดตั้งสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย และมาตรการสร้างและพัฒนากำลังคนภาครัฐเชิงกลยุทธ์เพื่อไปสู่ดิจิทัลไทยแลนด์ ๓. เรื่องเพื่อทราบ จำนวน ๕ เรื่อง ได้แก่ ผลการดำเนินงานของคณะกรรมการภายใต้พระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. ๒๕๖๐ ผลการดำเนินงานของคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินนโยบายเพื่อใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ศูนย์ข้อมูล (Data Center) และคลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) รายงานการเป็นสมาชิกและผลการประชุมองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) (ร่าง) พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. .... และผลกระทบจาก EU General Data Protection Regulation (GDPR) และการบริหารกิจการดาวเทียมสื่อสารของประเทศไทย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
133 | ขอความเห็นชอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2562 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพและการรถไฟแห่งประเทศไทย | กค | 11/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๒ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จำนวน ๒,๒๕๑.๖๔๔ ล้านบาท และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จำนวน ๓,๓๓๓.๓๗๑ ล้านบาท ตามมติคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ในคราวประชุมเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ และให้ ขสมก. และ รฟท. รายงานภาระที่รัฐต้องรับชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ในการดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง) ทราบ เพื่อสำนักงานเศรษฐกิจการคลังจะได้ดำเนินการจัดเก็บข้อมูลยอดคงค้างให้เป็นไปตามข้อเท็จจริงต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงคมนาคม และสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ ขสมก. และ รฟท. เร่งดำเนินงานตามแผนฟื้นฟูกิจการโดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาหนี้สิน การพลิกฟื้นฐานะองค์กร และการลงทุนโครงการต่าง ๆ ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม และเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานภาระที่รัฐต้องรับชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ในการดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามที่กำหนดไว้ตามนัยมาตรา ๒๘ และดำเนินการตามนัยมาตรา ๓๗ ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ อย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย ขสมก. และ รฟท. เร่งจัดทำต้นทุนมาตรฐานเพื่อใช้ในการกำกับดูแลอัตราค่าโดยสารและคุณภาพการให้บริการให้แล้วเสร็จโดยด่วน เพื่อให้คณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้ประกอบการพิจารณาจัดสรรเงินอุดหนุนบริการสาธารณะของ ขสมก. และ รฟท. ให้เหมาะสมต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงเจ้าสังกัดของรัฐวิสาหกิจที่ต้องขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะพิจารณาปรับปรุงแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๔ รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์การจัดสรรเงินอุดหนุนบริการสาธารณะให้มีความชัดเจน เหมาะสม และสอดคล้องกับสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ๔. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการจัดทำข้อตกลงการให้บริการสาธารณะและเบิกจ่ายเงินอุดหนุนบริการสาธารณะให้แล้วเสร็จโดยเร็วยิ่งขึ้น เพื่อลดปัญหาการขาดสภาพคล่องของรัฐวิสาหกิจและภาระดอกเบี้ยที่เกิดจากการกู้ยืมเงินมาให้บริการสาธารณะ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ (เรื่อง รายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ และรายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำงวดครึ่งปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และรายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
134 | รายงานผลการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2561 | ดศ | 07/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ โดยที่ประชุมได้รับทราบและพิจารณาในประเด็นสำคัญ ๆ ดังนี้
๑. เรื่องเพื่อพิจารณา จำนวน ๔ เรื่อง ได้แก่ โครงการติดตั้งระบบโครงข่ายโทรคมนาคม ของการรถไฟแห่งประเทศไทย การพิจารณาให้ความเห็นต่องบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๑ ของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ แผนยุทธศาสตร์การส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๔ และแนวทางการนำสายสื่อสารโทรคมนาคมลงใต้ดินตามนโยบายของรัฐบาล ๒. เรื่องเพื่อทราบ จำนวน ๓ เรื่อง ได้แก่ ผลการดำเนินงานของคณะกรรมการภายใต้พระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. ๒๕๖๐ การบริหารกิจการดาวเทียมสื่อสารของประเทศไทย และการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่และความคืบหน้าโครงการเน็ตประชารัฐ ของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ๓. เรื่องอื่น ๆ ได้แก่ การประชุมหารือระหว่างคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติกับกรุงเทพมหานคร บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) เพื่อพิจารณาแนวทางการดำเนินงานนำสายสื่อสารลงดินในเขตกรุงเทพมหานคร
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
135 | ขออนุมัติดำเนินโครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 31/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินโครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ระยะทางรวมประมาณ ๓๒๓ กิโลเมตร วงเงินลงทุนรวม ๘๕,๓๔๕ ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ ๗ ปี ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอและตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอเพิ่มเติม ดังนี้ ๑.๑ ให้โครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการกำกับการจัดซื้อจัดจ้าง ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๑/๒๕๖๐ (เรื่อง การกำกับการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐ) เพื่อให้การดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างของโครงการฯ มีความโปร่งใสและเป็นธรรมตามหลักธรรมาภิบาล ๑.๒ ปรับกรอบระยะเวลาในการเปิดให้บริการรถไฟ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ จากเดิมที่แจ้งว่า จะเปิดให้บริการในปี พ.ศ. ๒๕๖๕ เป็น เปิดให้บริการในปี พ.ศ. ๒๕๖๘ เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและสถานการณ์ในปัจจุบัน ๑.๓ ให้ รฟท. ดำเนินการตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในคราวประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๑ โดยกำหนดเป็นเงื่อนไขให้กระทรวงคมนาคมและ รฟท. ต้องดำเนินการให้เกิดความชัดเจนก่อนดำเนินโครงการฯ นี้ ใน ๔ ประเด็น ได้แก่ (๑) การจัดทำแนวทางพัฒนาโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งในพื้นที่ที่ชัดเจน (๒) การจัดทำแผนบูรณาการเส้นทางการคมนาคมของประเทศ (๓) การจัดทำแผนพัฒนาพื้นที่และแหล่งท่องเที่ยวที่ได้คำนึงถึงการใช้ประโยชน์จากการดำเนินโครงการฯ และ (๔) การจัดทำแผนบริหารจัดการความเสี่ยงทางด้านสิ่งแวดล้อม ๒. ให้กระทรวงคมนาคม รฟท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงอุตสาหกรรม เช่น การจัดทำแผนบริหารจัดการความเสี่ยงทางด้านสิ่งแวดล้อม รวมทั้งปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามที่ระบุไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) อย่างเคร่งครัด การสร้างความเข้าใจและชี้แจงความจำเป็นของการดำเนินโครงการกับประชาชนในพื้นที่หรือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการฯ และการเร่งจัดหาขบวนรถไฟและตู้สินค้าให้เพียงพอและสอดคล้องกับความต้องการ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคมประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำแผนพัฒนาพื้นที่และแหล่งท่องเที่ยวตามความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยคำนึงถึงเป้าหมายและประเด็นในการพัฒนาจังหวัดตามแนวเส้นทางของโครงการฯ และจังหวัดใกล้เคียงตามแผนพัฒนาจังหวัดและแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๔) ที่คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแล้วเมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๖๑ รวมทั้งให้ประชาสัมพันธ์แผนพัฒนาพื้นที่และแหล่งท่องเที่ยวดังกล่าวให้ทราบโดยทั่วกันควบคู่ไปกับการส่งเสริมทางการตลาดและการพัฒนาคุณภาพของการให้บริการด้วย ๔. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. เช่น พิจารณาทบทวนออกแบบสถานีของโครงการฯ ให้มีขนาดและรูปแบบที่เหมาะสมและสอดคล้องกับปริมาณผู้โดยสารและสินค้าที่ได้ประมาณการไว้ เพื่อให้การใช้เงินลงทุนโครงการฯ อย่างมีประสิทธิภาพ ๕. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. สร้างการรับรู้และชี้แจงเหตุผลความจำเป็นของการดำเนินโครงการฯ กับประชาชนในพื้นที่ที่ดำเนินโครงการฯ หรือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการฯ ให้ถูกต้องและทั่วถึง เพื่อป้องกันปัญหาการร้องเรียน/คัดค้านต่าง ๆ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินโครงการฯ ๖. สำหรับแนวทางการรับภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ โดยค่าเวนคืนที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ ค่าจ้างที่ปรึกษาสำรวจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเวนคืน และค่าจ้างที่ปรึกษาในการประกวดราคา วงเงินรวม ๑๐,๘๒๐ ล้านบาท ให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณให้กับ รฟท. ส่วนค่าก่อสร้าง และค่าจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง วงเงินรวม ๗๔,๕๒๕ ล้านบาท ให้กระทรวงการคลังจัดหาเงินกู้ที่เหมาะสม และให้ รฟท. กู้ต่อ โดยให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นงบชำระหนี้ให้แก่ รฟท. ๗. ในส่วนของการประกวดราคาจ้างก่อสร้างเพื่อดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. เสนอคณะกรรมการกำกับการจัดซื้อจัดจ้าง ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๑/๒๕๖๐ (เรื่อง การกำกับการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐ) เพื่อพิจารณาวิธีการประกวดราคาโครงการฯ ที่เหมาะสม ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไปอย่างเคร่งครัด ๘. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนของโครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๙. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. เร่งรัดการดำเนินโครงการพัฒนารถไฟทางคู่ ระยะที่ ๒ โดยให้จัดลำดับความสำคัญของการลงทุนพัฒนาโครงข่ายรถไฟทางคู่ โดยคำนึงถึงภาระงบประมาณ ความสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาประเทศ และศักยภาพของพื้นที่ เพื่อให้การลงทุนของภาครัฐมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งนำไปสู่เป้าหมายการปรับเปลี่ยนรูปแบบการเดินทางและขนส่งสินค้าจากการพึ่งพาถนนเป็นหลักไปใช้การขนส่งทางรางที่มีต้นทุนต่ำกว่าต่อไป ๑๐. ในการจัดหาขบวนรถไฟสำหรับโครงการฯ นี้ (และโครงการอื่น ๆ ด้วย) ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเหมาะสมในการจัดหา โดยให้ผู้ประกอบการในประเทศที่มีศักยภาพเป็นผู้ดำเนินการแทนการจัดหาจากต่างประเทศทั้งหมด ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงความเหมาะสม คุ้มค่า ประโยชน์ที่ได้รับ และการลดภาระงบประมาณด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
136 | การรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2561 ณ วันที่ 31 มีนาคม 2561 | กค | 19/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รายงานสถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๑ มียอดหนี้สาธารณะคงค้าง จำนวนทั้งสิ้น ๖,๔๕๔,๑๖๘.๘๙ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๔๑.๐๔ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) โดยเป็นหนี้รัฐบาล จำนวน ๕,๑๔๕,๐๒๘.๙๘ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจ จำนวน ๙๑๘,๘๙๘.๑๖ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินซึ่งรัฐบาลเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ จำนวน ๓๘๑,๐๔๖.๙๔ ล้านบาท และหนี้หน่วยงานอื่นของรัฐ จำนวน ๙,๑๙๔.๘๑ ล้านบาท ๒. ผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะได้จัดทำแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ เพื่อใช้เป็นกรอบในการบริหารจัดการหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ ซึ่งได้มีการปรับปรุงแผนฯ ครั้งที่ ๑ มีวงเงินรวมในแผนฯ ๑,๗๖๐,๑๔๗.๐๔ ล้านบาท โดย ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๑ กระทรวงการคลังและหน่วยงานต่าง ๆ ได้ดำเนินการกู้เงินและบริหารหนี้ เป็นวงเงินทั้งสิ้น ๗๕๐,๑๒๑.๐๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๒.๖๒ ของแผนฯ ๓. ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการลงทุนตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ของรัฐวิสาหกิจ จากการติดตามผลการดำเนินโครงการลงทุนของรัฐวิสาหกิจพบว่า มีรัฐวิสาหกิจ จำนวน ๓ แห่ง ได้แก่ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย การรถไฟแห่งประเทศไทย และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ มีการดำเนินการล่าช้ากว่าแผน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
137 | แนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 2 | กก | 12/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๒ (จังหวัดกำแพงเพชร นครสวรรค์ พิจิตร และอุทัยธานี) โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้รวบรวมแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาการท่องเที่ยวในเขตพื้นที่ มาตรการสำคัญ และแผนงานที่มีความจำเป็นเร่งด่วนในการดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๒ โดยมีเป้าหมายเพื่อการส่งเสริมพัฒนาและยกระดับขีดความสามารถของการท่องเที่ยวในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๒ ให้เต็มตามศักยภาพและความพร้อมของพื้นที่ และการต่อยอดการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่จะเกิดขึ้นจากโครงการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจากภาครัฐในอนาคต และเพื่อให้การท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือที่สร้างและกระจายรายได้สู่ชุมชนและเมืองรอง รวมทั้งเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง ๒ และขยายโอกาสไปสู่พื้นที่อื่น ๆ ตามนโยบายของรัฐบาล ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดกิจกรรมการท่องเที่ยว/ส่งเสริมสถานที่และแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดต่าง ๆ โดยใช้การบอกเล่าเรื่องราวเชื่อมโยงกับข้อมูลทั้งทางประวัติศาสตร์ ประเพณี วัฒนธรรม วิถีชุมชนอันเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่น โดยนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินการให้เหมาะสมตามแต่กรณี รวมทั้งให้พิจารณาจัดระบบคมนาคมขนส่งให้นักท่องเที่ยวได้รับความสะดวกในการเดินทางไป-กลับ ได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเชื่อมโยงการเดินทางโดยรถไฟกับระบบการขนส่งอื่นในแต่ละพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวทั้งในส่วนของกายภาพและกำหนดเวลาการเดินรถของการรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อให้การเดินทางเป็นไปด้วยความสะดวกและมีความต่อเนื่อง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
138 | การจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศในภาพรวม | นร04 | 28/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๑ (เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ของการรถไฟแห่งประเทศไทย) ให้กระทรวงคมนาคมเร่งจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศในภาพรวมให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยให้มีความเชื่อมโยงกันทั้งระบบขนส่งหลัก ระบบขนส่งเสริม (Feeder System) และการพัฒนาระบบการจัดการสินค้า บริการ และโลจิสติกส์ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน รวมทั้งเพื่อบรรเทาปัญหาการจราจร และรองรับการขยายตัวของเมืองต่าง ๆ ด้วย และให้นำแผนแม่บทดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนด้วย นั้น ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว โดยในการจัดทำแผนงาน/โครงการภายใต้แผนแม่บทการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมดังกล่าว ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือเป็นหลักการในการพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินงาน การกำหนดรายละเอียด การกำหนดรูปแบบรายการของแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ในความรับผิดชอบ ให้ยึดหลักความประหยัด คุ้มค่า ครบถ้วน จำเป็น เหมาะสม และประโยชน์ใช้สอยในแต่ละกรณีเป็นสำคัญ โดยไม่นำข้อจำกัดด้านงบประมาณมาเป็นปัจจัยที่ทำให้ต้องลดทอนภาระงานหรือปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินงานที่จำเป็นและควรต้องดำเนินการของแผนงาน/โครงการนั้น ๆ ออกไป ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาหรือผลกระทบด้านต่าง ๆ และทำให้เกิดความไม่คุ้มค่าในการแก้ไขปรับปรุงการดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ ในภายหลัง เช่น การกำหนดแนวสายทางที่กีดขวางทางน้ำ การออกแบบทางแยก/ทางลอดของถนนที่ไม่เหมาะสมกับสภาพการจราจรและไม่เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัย เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
139 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 2/2561 | อก | 17/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และมีมติ ดังนี้ ๑.๑ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม ๓ สนามบิน เห็นชอบหลักการโครงการฯ รวมทั้งเห็นชอบเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ให้พื้นที่โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม ๓ สนามบิน ตั้งแต่สนามบินดอนเมือง ถึงสุดเขตกรุงเทพฯ และรวมถึงสถานีสุวรรณภูมิ เป็นพื้นที่ “EEC” เพิ่มเติม ให้พื้นที่โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม ๓ สนามบินตลอดแนวโครงการฯ ตั้งแต่สนามบินดอนเมืองถึงสนามบินอู่ตะเภาเป็น “เขตส่งเสริม” ให้รัฐบาลรับภาระหนี้โครงสร้างพื้นฐานของโครงการแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม เป็นเงิน ๒๒,๕๕๘.๐๖ ล้านบาท ให้การรถไฟแห่งประเทศไทยพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบเพื่อให้โครงการฯ สามารถเชื่อมต่อการเดินรถไฟกับโครงการรถไฟความเร็วสูงสายเหนือหรือโครงการรถไฟความเร็วสูงสายตะวันออกเฉียงเหนือ ๑.๒ ความคืบหน้าร่างพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. .... มอบให้สำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกจัดประชุมชี้แจงสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกให้เอกอัครราชทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย หลังจากที่พระราชบัญญัติดังกล่าวมีผลบังคับใช้ เพื่อให้เข้าใจตรงกัน ๑.๓ การกำหนดพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เพิ่มเติม มอบหมายให้สำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกศึกษาความเหมาะสม การขยายพื้นที่ EEC เพิ่มเติม ครอบคลุมพื้นที่โดยรอบเชื่อมโยงกับ ๓ จังหวัดเดิม ให้แล้วเสร็จภายใน ๔ เดือน และนำเสนอคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกพิจารณาให้ความเห็นชอบ โดยให้สำนักงบประมาณสนับสนุนงบประมาณภายในปี ๒๕๖๑ กรอบวงเงิน ๙๕ ล้านบาท เพื่อดำเนินการต่อไป ๒. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เป็นต้น รับไปดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายและรายงานผลการดำเนินการต่อสำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
140 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 1/2561 | กค | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๖๑ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติ คนร. อย่างเคร่งครัด ตามที่สำนักงานคนร. ในฐานะฝ่ายเลขานุการ คนร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รายงานความคืบหน้าร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... ซึ่งอยู่ในระหว่างการตรวจพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... ฯ โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้มีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมาธิการศึกษาแนวทางการปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว รวมทั้งจัดสัมมนาสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และนำเสนอต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ อีกครั้งหนึ่ง ๑.๒ การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลกิจการที่ดีและพัฒนาระบบธรรมาภิบาลในรัฐวิสาหกิจ โดย คนร. ได้มีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการดังกล่าวเพื่อยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจให้เหมาะสมกับบริบททางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปและสอดคล้องกับมาตรฐานในการกำกับดูแลกิจการที่ดีในระดับสากล โดยมีอำนาจหน้าที่ในการศึกษาและวิเคราะห์ระบบการกำกับดูแลและระบบธรรมาภิบาลของรัฐวิสาหกิจ รวมถึงสภาพปัญหาและอุปสรรคในการกำกับดูแลติดตามผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจในปัจจุบัน รวมทั้งเสนอแนะแนวทางการพัฒนาระบบการกำกับดูแลและธรรมาภิบาลของรัฐวิสาหกิจให้เหมาะสม เพื่อให้การบริหารงานของรัฐวิสาหกิจเป็นไปอย่างโปร่งใส มีธรรมาภิบาลที่ดี และมีประสิทธิภาพสูงสุด ๑.๓ การแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจ ๗ แห่ง พบว่าธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยที่มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เข้าสู่กระบวนการแก้ไขปัญหาองค์กรจนถึงปัจจุบัน คนร. จึงมีมติให้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยออกจากแผนการแก้ไขปัญหาองค์กร และมอบหมายให้กระทรวงการคลังกำกับติดตามการดำเนินงานต่อไป สำหรับรัฐวิสาหกิจอีก ๖ แห่ง ได้แก่ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ การรถไฟแห่งประเทศไทย และบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) มอบหมายให้รัฐวิสาหกิจเร่งดำเนินการตามแผนฟื้นฟูองค์กร และให้กระทรวงเจ้าสังกัดกำกับและติดตามการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง ๒. ให้กระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินการให้เป็นไปตามแนวทางและกรอบเวลาที่ คนร. มอบหมาย เพื่อให้กระบวนการกำกับดูแลและการแก้ไขปัญหาของรัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาภาระหนี้สิน ตลอดจนการจัดตั้งและบริหารจัดการบริษัทลูกเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|