ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 13 จากทั้งหมด 48 หน้า แสดงรายการที่ 241 - 260 จากข้อมูลทั้งหมด 958 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
241 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2558 | ทส | 30/09/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๘ มีมติให้การรับรองรายงานการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ จำนวนทั้งสิ้น ๑๒ เรื่อง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. โครงการโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา (ส่วนขยาย) ของโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา ๒. โครงการศูนย์การแพทย์มหิดล นครสวรรค์ ของมหาวิทยาลัยมหิดล ๓. โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบก นครราชสีมา ระยะที่ ๒ (เพื่อขยายโอกาสใช้พลังงานสะอาดและลดมลภาวะในภาคขนส่งและอุตสาหกรรม เขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง) ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ๔. โครงการก่อสร้างสะพานข้ามคลองดู จังหวัดสตูล ของกรมทางหลวงชนบท ๕. การกำหนดประมวลหลักการปฏิบัติ (Code of Practice : CoP) สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อน ที่ใช้ขยะมูลฝอยเป็นเชื้อเพลิง ที่มีกำลังผลิตกระแสไฟฟ้าตั้งแต่ ๑๐ เมกะวัตต์ ขึ้นไป ๖. ขอทบทวนมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ เพิ่มเติม ๗. การขอขยายระยะเวลาการบังคับใช้ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในบริเวณพื้นที่จังหวัดภูเก็ต จังหวัดชลบุรี จังหวัดเพชรบุรี และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๓ และประกาศกระทรวงฯ ในบริเวณพื้นที่จังหวัดชลบุรี (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๕ รวม ๔ ฉบับ ออกไปอีก ๑ ปี ๘. ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในบริเวณพื้นที่อำเภอบ้านแหลม อำเภอเมืองเพชรบุรี อำเภอท่ายาง และอำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี อำเภอหัวหินและอำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. .... และร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติและแนวทางในการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น และรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่อำเภอบ้านแหลม อำเภอเมืองเพชรบุรี อำเภอท่ายาง และอำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี อำเภอหัวหินและอำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. .... ๙. ขอปรับปรุงร่างประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) เรื่อง หลักเกณฑ์ และวิธีการในการแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ด้านอาคาร การจัดสรรที่ดิน และบริการชุมชน กรุงเทพมหานคร ๑๐. โครงการระบบรถไฟทางคู่เพื่อการขนส่งและการจัดการโลจิสติกส์ ระยะเร่งด่วน ช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ๑๑. การแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านอุตสาหกรรม และระบบสาธารณูปโภคที่สนับสนุน ในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ๑๒. รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ภายหลังเปิดดำเนินการโครงการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพิ่มเติม (สืบเนื่องจากการเพิ่มจำนวนผู้โดยสารในปีเปิดดำเนินการ) ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)
|
||||||||||||||||||
242 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 6/2558 | กค | 22/09/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบและเห็นชอบผลการพิจารณาแผนการแก้ไขปัญหาของรัฐวิสาหกิจ ๔ แห่ง ได้แก่ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย การรถไฟแห่งประเทศไทย และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมเร่งกำกับและติดตามการรถไฟแห่งประเทศไทยให้มีการดำเนินการซ่อมบำรุงรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (Airport Rail Link) และจัดหาขบวนรถไฟสำหรับรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ ๑ ช่วงพญาไท-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ให้ได้โดยเร็ว รวมทั้งเร่งศึกษาและเริ่มดำเนินโครงการรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ส่วนต่อขยายระยะที่ ๓ สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา โดยเร็ว และให้นำเสนอแผนการดำเนินงานต่อคณะกรรมการนโยบายรัฐบาลต่อไป ตลอดจนกำกับและติดตามการจัดซื้อรถโดยสารก๊าซธรรมชาติ NGV ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว ๑.๒ รับทราบกรอบแนวทางในการจัดทำร่างพระราชบัญญัติการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจและหลักทรัพย์ของรัฐ พ.ศ. .... ตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ๑.๓ รับทราบและเห็นชอบการปรับปรุงหลักเกณฑ์การจัดตั้ง/ร่วมทุน และกำกับดูแลบริษัทในเครือของรัฐวิสาหกิจ ตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ๑.๔ รับทราบและเห็นชอบผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจในการพิจารณาโครงการลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่เข้าข่ายเป็นการลงทุนขนาดใหญ่ และการพิจารณาโครงการเกี่ยวกับการขออนุมัติงบประมาณหรือเงินกู้ของรัฐวิสาหกิจ และมอบหมายให้รัฐวิสาหกิจทุกแห่งเร่งดำเนินการในเรื่อง สิทธิประโยชน์ของกรรมการรัฐวิสาหกิจ และเงินบริจาคเพื่อประโยชน์สาธารณะของรัฐวิสาหกิจให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ตลอดจนมีการเปิดเผยและปรับปรุงข้อมูลใน website ให้เป็นปัจจุบันภายใน ๑ เดือน ๒. ให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงการคลัง (สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ) และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการสร้างทางรถไฟ (Airport Rail Link) ควรคำนึงถึงความสะดวกในการเดินทางของประชาชนและนักท่องเที่ยว โดยให้มีการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมครอบคลุมรอบด้าน ส่วนการจัดตั้งบรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติเพื่อกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจที่มีฐานะเป็นบริษัทมหาชนจำกัด ตามร่างพระราชบัญญัติการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจและหลักทรัพย์ของรัฐ พ.ศ. .... ควรมีสาระสำคัญเกี่ยวกับอำนาจในการกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจให้เกิดความคล่องตัวในการดำเนินงาน รวมทั้งการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง จำนวน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อดำเนินการแผนการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจและรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้ที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
243 | ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ 2/2558 | กค | 15/09/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ ๒/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๘ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศเสนอ โดยที่ประชุมมีมติและข้อเสนอแนะ ดังนี้
๑. มาตรการเร่งรัดการดำเนินโครงการในกลุ่มโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจและโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่อยู่ระหว่างดำเนินการ สำหรับโครงการตามแผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่ใช้เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีและงบกลางปี พ.ศ. ๒๕๕๘ และงบประมาณรายจ่ายประจำปี ๒๕๕๙ เห็นควรเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว สำหรับโครงการที่เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี ๒๕๕๙ ให้เร่งดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างตามมาตรการเร่งรัดของกรมบัญชีกลาง โครงการเงินกู้ตามแผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน เห็นควรเร่งรัด (๑) โครงการที่ลงนามในสัญญาแล้วให้เร่งรัดการเบิกจ่ายเงินกู้ให้เป็นไปตามแผนงาน และขอความร่วมมือผู้รับจ้างให้เบิกเงินล่วงหน้า (Advance Payment) ร้อยละ ๑๕ ตามวงเงินสัญญา โดยกำหนดเป้าหมายการเบิกจ่ายภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ ไม่น้อยกว่า ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท (๒) โครงการที่ยังไม่ลงนามในสัญญา ให้เร่งรัดการลงนามในสัญญาให้แล้วเสร็จภายในวันที่๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๘ (๓) โครงการที่อยู่ระหว่างรอสำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรที่มีผลประกวดราคาแล้ว เห็นควรให้สำนักงบประมาณจัดสรรให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๘ และ (๔) โครงการที่ยังไม่มีผลประกวดราคา เห็นควรให้เร่งรัดดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างและลงนามในสัญญาเมื่อได้รับการจัดสรรจากสำนักงบประมาณ ๒. มาตรการเร่งรัดการดำเนินโครงการในกลุ่มโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมเริ่มประกวดราคาได้ในปี ๒๕๕๘ เห็นควรเร่งรัดขั้นตอนการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่ตั้งไว้ รวมทั้งเร่งรัดและติดตามให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามกระบวนการประกวดราคาให้แล้วเสร็จตามแผนงานที่กำหนดไว้ ๓. มาตรการเร่งรัดการดำเนินโครงการในกลุ่มโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมเริ่มประกวดราคาได้ในปี ๒๕๕๙-๒๕๖๐ สำหรับกลุ่มโครงการที่อยู่ระหว่างนำเสนอคณะรัฐมนตรี เห็นควรเร่งรัดให้กระทรวงคมนาคมนำเสนอโครงการที่มีความพร้อมให้ดำเนินโครงการเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติภายในไตรมาสที่ ๓ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๘ กลุ่มโครงการที่ยังไม่ได้อนุมัติ EIA เห็นควรเร่งรัดกระบวนการอนุมัติ EIA โดยกำหนดให้เป็นโครงการ “Fast Track” กลุ่มโครงการรถไฟขนาดทางมาตรฐาน (ไทย-ญี่ปุ่น/ช่วง กรุงเทพฯ-หัวหิน/กรุงเทพฯ-ระยอง) เห็นควรให้รัฐรับภาระเฉพาะค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน การให้สิทธิ์การใช้ราง (Right of Way) และให้เอกชนร่วมลงทุนค่าใช้จ่ายอื่นทั้งหมดในรูปแบบ PPP Net Cost และกำหนดค่าโดยสารเอง รวมทั้งต้องมีการกำหนดระยะเวลาการร่วมลงทุนที่ชัดเจนด้วย และโครงการร่วมพัฒนารถไฟความเร็วปานกลาง (ไทย-จีน) จึงต้องให้ความสำคัญกับการพิจารณาด้านต้นทุนโครงการให้เหมาะสม จึงควรกำหนดมาตรการเพื่อเร่งรัดขั้นตอนการดำเนินการในรูปแบบ EPC ให้มีความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบต้นทุนของโครงการได้ ในการนี้ การรถไฟแห่งประเทศไทยควรต้องจ้างที่ปรึกษาเพื่อตรวจสอบและประเมินค่าใช้จ่ายของโครงการในส่วนที่ฝ่ายจีนเป็นผู้ออกแบบรายละเอียดและกำหนดต้นทุนของโครงการให้ชัดเจน ๔. การส่งเสริมการลงทุนควรเร่งรัดให้ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนแล้วให้มีการลงทุนจริงโดยเร็ว โดยลดระยะเวลาการถือบัตรส่งเสริมให้สั้นลง ๕. การจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs เพื่อแก้ไขปัญหาข้อจำกัดของทุนจดทะเบียน เห็นควรให้มีการแปลงสินทรัพย์ถาวรเป็นทุนจดทะเบียนก่อนทำการร่วมทุน และสำหรับการแปลงสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตนเห็นควรให้มีการเปิดกว้างเอาไว้ โดยระบุเรื่องดังกล่าวเอาไว้ในสัญญาร่วมลงทุนและหากจะนำสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตนมาใช้ขอเพิ่มเงินร่วมลงทุนจากกองทุนฯ ในภายหลัง จำเป็นต้องได้รับการประเมินมูลค่าตามวิธีมาตรฐานและแปลงเป็นทุนจดทะเบียนให้เสร็จเรียบร้อยก่อน ๖. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมไปหารือกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินงานที่เหมาะสมของมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางตามมาตรการใหม่ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘
|
||||||||||||||||||
244 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 15/09/2558 | |||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมีนโยบายให้บริหารจัดการหนี้ภาครัฐที่เกิดขึ้นในช่วงรัฐบาลที่ผ่านมา ซึ่งมีจำนวนสูงมากและเป็นภาระงบประมาณ โดยประมวลหนี้เหล่านี้ให้ครบถ้วนและหาแหล่งเงินระยะยาวมาสะสางหนี้ทั้งหมด นั้น ให้กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามนโยบายดังกล่าว โดยให้รวมภาระหนี้อื่น ๆ ด้วย เช่น หนี้ที่รัฐต้องชำระตามคำสั่งศาลในโครงการต่าง ๆ เช่น โครงการรับจำนำข้าว โครงการบำบัดน้ำเสียคลองด่าน ทั้งนี้ ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป ๑.๒ ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๘) ให้คณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศรับไปพิจารณาแนวทางในการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง โดยเฉพาะประเด็นกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่จะมีสิทธิได้รับการยกเว้นหรือลดหย่อนค่าโดยสาร นั้น ให้คณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเป็นไปได้ในการนำฐานข้อมูลของผู้มีรายได้น้อยที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน เช่น บัตรสินเชื่อเกษตรกร เป็นต้น มาใช้ในการรับสิทธิประโยชน์ดังกล่าวต่อไปด้วย ๑.๓ ให้กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแนวทางการจัดหาแหล่งเงินทุนสำหรับการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ โดยปรับปรุงแนวทางที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบันเพื่อลดภาระงบประมาณภาครัฐและจูงใจให้ภาคเอกชนเข้ามาลงทุนในโครงการของรัฐมากขึ้น ๑.๔ ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงมหาดไทยพิจารณากำหนดมาตรการเพื่อดูแลระดับราคาสินค้าผักและผลไม้ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเตรียมการรองรับและป้องกันผลกระทบจากภัยธรรมชาติที่จะสร้างความเสียหายแก่สวนผักและสวนผลไม้ ๑.๕ ให้คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางการใช้พื้นที่ในบริเวณเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น การนำพื้นที่ของส่วนราชการที่มิได้ใช้ประโยชน์จัดสรรให้แก่ผู้มีรายได้น้อยที่ไม่มีที่ดินทำกิน ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานข้อมูลกับคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อให้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติระยะ ๒๐ ปี ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติพิจารณากำหนดกลไกในการขับเคลื่อนให้ชัดเจน โดยเฉพาะการสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนทุกคนมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติและการพัฒนาประเทศ ๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบที่ดินซึ่งได้มาจากการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ และเป็นพื้นที่เหลือจากการใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์แห่งการเวนคืน รวมทั้งที่ไม่ได้นำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ เพื่อรวบรวมและแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำที่ดินดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ในโครงการของรัฐอื่น ๆ ต่อไป เช่น นำมาจัดทำเป็นโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อผู้มีรายได้น้อย ๒.๓ ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำสื่อเผยแพร่เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชในอดีตที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะการเสด็จเยี่ยมประชาชนในพื้นที่ทุรกันดารและห่างไกลในแต่ละภาค เพื่อสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนต่อไป ๒.๔ ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดการจัดประมูลในพื้นที่สวนเบญจกิติและศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งจะมีการปรับปรุงและขยายให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๕๘ รวมทั้งเร่งรัดพิจารณากำหนดแนวทางการใช้ประโยชน์พื้นที่บริเวณมักกะสัน (ที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยเดิม) ให้มีความชัดเจน โดยแบ่งสัดส่วนการใช้ประโยชน์ของพื้นที่ตามประเภทการใช้งาน เช่น อาคารพาณิชย์ สวนสาธารณะ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||
245 | ผลการประชุมคณะทำงานร่วมว่าด้วยการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษไทย - กัมพูชา ครั้งที่ 2 | นร11 | 25/08/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะทำงานร่วมว่าด้วยการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษไทย-กัมพูชา ครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ซึ่งได้มีการพิจารณาข้อเสนอภาคเอกชนทั้งสองประเทศเกี่ยวกับการเปิดด่านแห่งใหม่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การอำนวยความสะดวกกระบวนการข้ามแดนและการขนส่งข้ามพรมแดน การพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ในพื้นที่ อาทิ โรงเรียน โรงพยาบาล และสถานให้บริการสาธารณสุขสำหรับคนต่างชาติ รวมทั้งได้พิจารณาการเปิดจุดผ่านแดนถาวรแห่งใหม่ ณ จังหวัดสระแก้ว การเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟระหว่างไทย-กัมพูชา การเปิดเดินรถระหว่างไทย-กัมพูชา และการอำนวยความสะดวกการค้าและการลงทุนข้ามพรมแดน และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จัดทำร่างแนวทางการพัฒนาเพื่อรองรับจุดผ่านแดน ๓ ด่าน ได้แก่ คลองลึก-ปอยเปต หนองเอี่ยน-สตึงบท และป่าไร่-โอเนียง ๑.๒ กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประสานฝ่ายกัมพูชาเพื่อจัดประชุมคณะทำงานว่าด้วยการลงทุนเกษตรแบบมีสัญญา (Contract Farming) และหารือร่วมกับกัมพูชาเพื่อส่งเสริมการลงทุนเกษตรแบบมีสัญญาให้เป็นรูปธรรมและให้การค้าชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชาคล่องตัวมากขึ้น ๑.๓ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สนับสนุนบทบาทสหกรณ์การเกษตรในพื้นที่สระแก้วและตราดในการส่งเสริมการค้าสินค้าเกษตรข้ามพรมแดนระหว่างไทยและกัมพูชา ๑.๔ กระทรวงคมนาคม (กรมการขนส่งทางบก) เจรจากับกัมพูชาเพื่อให้ได้ข้อสรุปในเรื่องความตกลงทวิภาคีด้านการขนส่งทางถนนระหว่างไทย-กัมพูชา และการแลกเปลี่ยนสิทธิจราจร ณ จุดผ่านแดนถาวรหาดเล็ก (ตราด)-จามเยียม (เกาะกง) ๑.๕ กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย) เตรียมความพร้อมและประสานกับกัมพูชาเพื่อให้สามารถเปิดเดินรถไฟไทย-กัมพูชาได้ตามกำหนด ๑.๖ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องกับภาคเอกชนกัมพูชา เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษไทย-กัมพูชา ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีการเปิดจุดผ่านแดนถาวรแห่งใหม่ ณ หนองเอี่ยน-สตึงบท โดยเร็ว โดยในส่วนพื้นที่หนองเอี่ยนให้เน้นการขนส่งสินค้าทางรถ พื้นที่ด่านคลองลึกให้เน้นการพัฒนาในด้านการท่องเที่ยวและด้านการคมนาคมโดยเฉพาะรถไฟ และพื้นที่ป่าไร่ให้เน้นการพัฒนาด้านการค้าขายและด้านการท่องเที่ยว รวมทั้งให้พิจารณาหาแนวทางในการพัฒนาป่าไร่-โอเนียงเพื่อเปิดเป็นด่านชายแดนเพิ่มเติม และหาแนวทางที่เหมาะสมในการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ดังกล่าว ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีด้วย |
||||||||||||||||||
246 | ผลการประชุมหารือระดับรัฐมนตรีด้านการคมนาคมไทย - ลาว | คค | 18/08/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีคมนาคมไทย-ลาว เมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงโยธาธิการและขนส่งของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนลาว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑.๑ การขนส่งผู้โดยสารและสินค้าทางถนนระหว่างไทย-ลาว-เวียดนาม ทั้งสองฝ่ายรับทราบความพร้อมของเวียดนามในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมหารือสามฝ่ายเพื่อจัดทำความตกลงว่าด้วยการเดินรถโดยสารประจำทางไทย-ลาว-เวียดนาม ช่วงปลายเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ และฝ่ายไทยได้เสนอขอให้ฝ่ายลาวพิจารณาทบทวนการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารข้ามพรมแดน ณ จุดผ่านแดนเชียงของ-ห้วยทราย และบ่อเต็น-โมฮาน ที่ไทย ลาว และจีนได้เคยเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจฯ ร่วมกันเมื่อปี ๒๕๕๓ เพื่อให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว รวมทั้งเสนอให้ฝ่ายลาวสนับสนุนการเพิ่มเส้นทาง R12 ให้รวมอยู่ในพิธีสาร ๑ แนบท้ายความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS CBTA) ซึ่งฝ่ายลาวเห็นด้วยกับข้อเสนอของฝ่ายไทย แต่ยังไม่มีความพร้อม ดังนั้น ทั้งสองฝ่ายจึงเสนอให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) ให้การสนับสนุนในการดำเนินการศึกษาความเหมาะสมและออกแบบรายละเอียดโครงการเส้นทาง R12 (ท่าแขก-ยมมะราด-ลังคัง-น้ำพาว) เพื่อปรับปรุงเส้นทางให้ได้มาตรฐานทางหลวงอาเซียน ๑.๒ การเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟไทย-ลาว ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้ทบทวนการพิจารณากำหนดจุดที่เหมาะสมสำหรับก่อสร้างสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำโขงแห่งใหม่เพื่อให้เกิดความรอบคอบและเกิดผลกระทบน้อยที่สุด ฝ่ายไทยยินดีพิจารณาข้อเสนอของฝ่ายลาวกรณีขอเปลี่ยนแปลงการใช้เงินกู้จากสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) กระทรวงการคลัง วงเงิน ๑,๖๕๐ ล้านบาท เพื่อใช้ในการซ่อมบำรุงถนนในนครหลวงเวียงจันทน์ และทำรั้วสำหรับเขตสงวนรอบสถานีขนส่งผู้โดยสารและสินค้าท่านาแล้ง และฝ่ายลาวเสนอให้มีการเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟในเส้นทางอุบลราชธานี-ช่องเม็ก ซึ่งฝ่ายไทยจะดำเนินการของบประมาณปี ๒๕๕๙ เพื่อจ้างที่ปรึกษาสำรวจและศึกษาความเป็นไปได้ในเส้นทางดังกล่าว ๑.๓ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ฝ่ายไทยแจ้งความคืบหน้าโครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ ๕ บึงกาฬ-ปากซัน และพร้อมที่จะดำเนินการตามขั้นตอนในการขอรับการสนับสนุนของฝ่ายลาวสำหรับการสำรวจและออกแบบสะพานมิตรภาพ แห่งที่ ๖ (อุบลราชธานี-แขวงสาละวัน) รวมทั้งยินดีพิจารณาให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมในการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงบริเวณบ้านเชียงแมนข้ามมายังตัวเมืองหลวงพระบาง นอกจากนี้ ฝ่ายไทยแจ้งเรื่องที่สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) ยินดีให้ความช่วยเหลือสำหรับโครงการปรับปรุงท่าอากาศยานปากเซและสะหวันนะเขต ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งพิจารณาดำเนินการต่าง ๆ ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยคำนึงถึงผลประโยชน์โดยรวมและแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมเพื่อให้ความร่วมมือด้านการพัฒนาระบบคมนาคมไทย-ลาว เป็นไปอย่างเป็นรูปธรรม และให้การรถไฟแห่งประเทศไทยเร่งพิจารณาแนวทางการใช้ประโยชน์ในการพัฒนาเส้นทางรถไฟระหว่างสถานีหนองคาย-สถานีท่านาแล้ง โดยเฉพาะในกรณีที่มีการพัฒนาโครงการรถไฟลาว-จีน (บ่อเต็น-เวียงจันทน์) แล้ว เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการหารือแนวทางการใช้ประโยชน์เส้นทางรถไฟระหว่างสถานีหนองคาย-สถานีท่านาแล้ง ซึ่งจะช่วยให้การลงทุนดังกล่าวเกิดความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจโดยรวม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
247 | แนวทางการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางตามมาตรการใหม่ | คค | 11/08/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. มอบหมายให้คณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศรับไปพิจารณาแนวทางในการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางในภาพรวมทั้งระบบให้มีความชัดเจน โดยเฉพาะประเด็นกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่จะมีสิทธิได้รับการยกเว้นหรือลดหย่อนค่าโดยสาร การจัดทำฐานข้อมูลผู้มีรายได้น้อย การวิเคราะห์ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนที่เคยได้รับสิทธิมาก่อน รวมถึงมาตรการในการช่วยเหลือและฟื้นฟูเศรษฐกิจของผู้มีรายได้น้อย เกษตรกร และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่เกี่ยวข้อง แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ๒. ให้คณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศและกระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ เกี่ยวกับกรณีการยกเว้นค่าโดยสารตามมาตรการใหม่สำหรับทหารผ่านศึก ทหารกองเกิน และทหารประจำการ พระภิกษุ สามเณร และแม่ชี อาจมีความซ้ำซ้อนกับการขอรับการชดเชยจากรัฐตามกฎข้อบังคับของการรถไฟแห่งประเทศไทยว่าด้วยการบรรทุกส่งผู้โดยสารและสัมภาระของผู้โดยสารตามทางรถไฟ พ.ศ. ๒๔๖๙ ข้อ ๓๗ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๗ จึงเห็นควรที่กระทรวงคมนาคมจะพิจารณาทบทวนการขอรับการจัดสรรงบประมาณอีกครั้ง ส่วนกรณีฐานข้อมูลผู้มีรายได้น้อยควรให้มีการตรวจสอบสถานะของผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนและได้รับการออกบัตรผู้มีรายได้น้อยทุก ๆ สิ้นปีงบประมาณ เพื่อให้การชดเชยจากภาครัฐมีความถูกต้อง ไม่ซ้ำซ้อน และสอดคล้องตามข้อเท็จจริง และให้กระทรวงคมนาคม (องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และการรถไฟแห่งประเทศไทย) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (สำนักงบประมาณ และกระทรวงการคลัง) ร่วมกันพิจาณาแนวทางการสนับสนุนงบประมาณสำหรับดำเนินการตามมาตรการใหม่ในช่วงระหว่างที่กระทรวงคมนาคมอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบบัตรโดยสารร่วมที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี ๒๕๖๒ โดยอาจจะพิจารณาจากฐานข้อมูลของผู้ลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยหรือการสนับสนุนทางการเงินผ่านทางโครงสร้างอัตราค่าโดยสาร และให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการดำเนินการลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อย เนื่องจากมีความพร้อมของบุคลากรและอุปกรณ์ที่ใช้ในการตรวจสอบข้อมูลของประชาชน นอกจากนี้ ให้กระทรวงคมนาคมกำกับดูแลการบริหารจัดการของรัฐวิสาหกิจในเรื่องดังกล่าว รวมถึงคุณภาพการให้บริการ และมีการตรวจสอบการดำเนินงานและประเมินผลความพึงพอใจของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
248 | ผลการประชุมคณะกรรมการบริหารร่วมความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย - จีน ครั้งที่ 5 ภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟในกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. 2558 - 2565 | คค | 11/08/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการบริหารร่วมความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีน ครั้งที่ ๕ เมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน-๒ กรกฎาคม ๒๕๕๘ (The 5th Meeting of the Joint Committee on Railway Cooperation between Thailand and China) ณ จังหวัดนครราชสีมาและกรุงเทพ ฯ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนายหวัง เสี่ยวเทา รองผู้อำนวยการคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีน เป็นประธานร่วมการประชุม ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ทั้งสองฝ่ายได้ทบทวนผลการประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ ๔ และแสดงความพอใจต่อความก้าวหน้าของการดำเนินการ การศึกษาความเป็นไปได้ การประเมินผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม และการฝึกอบรมให้แก่เจ้าหน้าที่การรถไฟแห่งประเทศไทย ๒. ความร่วมมือด้านการเงิน ๓. ฝ่ายไทยเสนอว่าภายใต้กรอบสัญญาอีพีซีทั้งสองฝ่ายจะมีการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนระหว่างไทย-จีน เพื่อลงทุนระบบรถไฟรวมถึงการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุง และด้านโครงสร้างพื้นฐาน ๔. องค์การรถไฟของจีน (ซีอาร์ซี) นำเสนอความก้าวหน้าการศึกษาความเป็นไปได้และการดำเนินงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ๕. การพิจารณาความก้าวหน้าของการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ การประเมินผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม และสถานการณ์ปัจจุบัน ๖. ฝ่ายจีนแสดงความพึงพอใจในการอำนวยความสะดวกของฝ่ายไทยในเรื่องการตรวจลงตราและใบอนุญาตทำงานให้แก่ผู้เชี่ยวชาญฝ่ายจีน ๗. ทั้งสองฝ่ายจะพิจารณาการจัดทำร่างกรอบความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยและจีนว่าด้วยการกระชับความร่วมมือด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบราง ภายใต้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟของไทยในกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ ๘. ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับการเลือกสถานที่ตั้งศูนย์การควบคุมและบริหารการเดินรถกลางและการวางแนวเส้นทาง ๙. หลักสูตรการฝึกอบรมและการถ่ายทอดองค์ความรู้ ๑๐. ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบในหลักการให้จัดการประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ ๖ ณ นครเฉิงตู สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ ๖-๘ สิงหาคม ๒๕๕๘ |
||||||||||||||||||
249 | การเตรียมความพร้อมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล | มท | 28/07/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการเตรียมความพร้อมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยกระทรวงมหาดไทยได้ประชุมการเตรียมความพร้อมฯ เมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๘ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุปผลการประชุมได้ ดังนี้
๑. ให้ทุกหน่วยงานยังคงภารกิจในการเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำท่วม และการให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานครอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะสิ้นสุดฤดูฝนตามข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยา ๒. ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นศูนย์กลางในการประสานการปฏิบัติกับทุกหน่วย และรายงานต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพื่อสรุปผลเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ๓. ให้หน่วยงานอื่น ๆ เช่น กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท การรถไฟแห่งประเทศไทย การประปานครหลวง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ตลอดจนภาคเอกชนผู้รับเหมาก่อสร้างเส้นทางคมนาคม เป็นต้น ให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาขยะอุดตันเส้นทางการระบายน้ำ ๔. ให้กรุงเทพมหานครเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ ในการร่วมจัดการกรณีขยะที่มาอุดตันทางน้ำ และสร้างปัญหาให้กับระบบสูบน้ำ ๕. ให้กรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยรับข่าวสารเพื่อการแจ้งเตือนประชาชนในการสัญจรในพื้นที่การจราจรติดขัดในช่วงฝนตกหนักจากกองบังคับการตำรวจจราจร (บก.๐๒) และเพิ่มช่องทางในการสื่อสารกับประชาชนให้มากขึ้น ๖. ในอนาคตสถาบันอาชีวะในทุกจังหวัดจะปฏิบัติการขยายผลในภารกิจเพื่อสังคม โดยเฉพาะเรื่องการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยร่วมกับจังหวัด ผ่านทางสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดทั่วประเทศ ๗. ให้แต่ละหน่วยงานจัดทำช่องทางการสื่อสารระหว่างเจ้าหน้าที่ในแต่ละระดับ โดยเฉพาะในระดับหัวหน้าชุดปฏิบัติการที่ต้องมีความพร้อม และสามารถสื่อสารกันได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง เมื่อเกิดปัญหาในแต่ละแห่ง
|
||||||||||||||||||
250 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางออกไปอีก 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2558 - 31 ตุลาคม 2558 | กค | 28/07/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางออกไปอีก ๓ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๘-๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับเงินอุดหนุนเพื่อชดเชยรายได้ที่ขาดไปเนื่องจากการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว ให้กระทรวงคมนาคม (องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพและการรถไฟแห่งประเทศไทย) จัดทำแผนและรายละเอียดของค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นที่จะเกิดขึ้นจริงจากการดำเนินมาตรการดังกล่าว โดยผ่านคณะกรรมการตรวจสอบที่เกี่ยวข้อง และเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง หรือเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับวงเงินที่จะชดเชยเป็นค่าใช้จ่ายให้กับรัฐวิสาหกิจทั้ง ๒ แห่ง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงคมนาคมเสนอแนวทางการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางในระยะต่อไปต่อคณะรัฐมนตรีก่อนดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบ ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อาจนำไปสู่ปัญหาอื่น ๆ ต่อไป |
||||||||||||||||||
251 | การรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 ณ วันที่ 31 มีนาคม 2558 | กค | 14/07/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบการรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑.๑ รายงานสถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘ ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม มีจำนวน ๕,๗๓๐,๕๑๙.๒๓ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๔๓.๓๓ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) โดยเป็นหนี้รัฐบาล จำนวน ๔,๐๙๔,๐๐๘.๕๙ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน จำนวน ๑,๐๕๑,๕๕๐.๙๗ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินซึ่งรัฐบาลเป็นผู้ค้ำประกัน จำนวน ๕๗๖,๗๖๓.๐๒ ล้านบาท และหนี้หน่วยงานของรัฐ จำนวน ๘,๑๙๖.๖๕ ล้านบาท ๑.๒ รายการการกู้เงินและค้ำประกันระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๕๗ ถึงเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะได้จัดทำแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อใช้เป็นกรอบในการบริหารจัดการหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ โดยในระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๕๗ ถึงเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจได้ดำเนินการกู้เงินและบริหารหนี้เป็นวงเงินทั้งสิ้น ๗๔๓,๒๐๖.๓๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๖.๕๒ ของแผนฯ ๑.๓ ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการลงทุนตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ของรัฐวิสาหกิจในช่วง ๖ เดือนแรก พบว่า มีรัฐวิสาหกิจ จำนวน ๔ แห่ง ที่มีการดำเนินโครงการลงทุนล่าช้ากว่าแผน ได้แก่ โครงการบ้านเอื้ออาทร ระยะที่ ๓-๕ ของการเคหะแห่งชาติ โครงการลงทุนโดยใช้เงินกู้ต่อจากกระทรวงการคลัง จำนวน ๔ โครงการ ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย โครงการลงทุนล่าช้าวกว่าแผน จำนวน ๖ โครงการ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย และโครงการจัดซื้อรถโดยสารเชื้อเพลิงธรรมชาติ จำนวน ๓,๑๘๓ คัน ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับโครงการที่มีความล่าช้า ควรเร่งรัดติดตามการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะเพื่อให้การใช้จ่ายของภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สนับสนุนการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
252 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 4/2558 และครั้งที่ 5/2558 | กค | 14/07/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ครั้งที่ ๔/๒๕๕๘ และครั้งที่ ๕/๒๕๕๘ ตามที่ คนร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบและเห็นชอบผลการพิจารณาแผนการแก้ไขปัญหาของรัฐวิสาหกิจ ๖ แห่ง และมอบหมายให้กระทรวงเจ้าสังกัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ๑.๑.๑ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินการกำกับและติดตามการดำเนินการตามมติ คนร. ที่เห็นชอบในหลักการให้บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) (บมจ. ทีโอที) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) (บมจ. กสท) ให้ความสำคัญเร่งด่วนในการใช้ประโยชน์จากเสาโทรคมนาคม โดยการเจรจายุติข้อพิพาทกับคู่สัญญาเอกชนต้องอยู่บนพื้นฐานตามที่ คนร. เห็นชอบ และให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว รวมทั้งให้ชะลอการจัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษาแนวทางการดำเนินธุรกิจของ บมจ. ทีโอที และ บมจ. กสท ออกไปก่อน เพื่อปรับปรุงขอบเขตการศึกษาให้สอดคล้องกับมติ คนร. ๑.๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเร่งรัดการพิจารณาการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ของโครงการรถไฟทางคู่ให้แล้วเสร็จตามกำหนด และให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จัดทำแนวทางการให้เอกชนเข้าร่วมการเดินรถในรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (Airport Rail link : ARL) โดยให้เอกชนดำเนินการร่วมกับบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ด้วย ซึ่งรวมถึงดำเนินการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิส่วนต่อขยายไปถึงท่าอากาศยานดอนเมืองและอู่ตะเภา ๑.๑.๓ ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการศึกษา (๑) การกำหนดเส้นทางเดินรถขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ทั้งเส้นทางหลักและเส้นทางรอง โดยให้ ขสมก. เดินรถในเส้นทางหลักและกำหนดแนวทางการออกใบอนุญาต และดำเนินการเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณายกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๒๖ ที่ให้ ขสมก. เป็นผู้รับใบอนุญาตประกอบการขนส่งรถโดยสารประจำทางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภายใน ๖๐ วัน (๒) จัดทำรายละเอียดการดำเนินงานที่จำเป็นในการให้กรมการขนส่งทางบกเป็นผู้ออกใบอนุญาตให้ผู้ประกอบการทั้งหมดโดยตรงและกำหนดระยะเวลาการดำเนินการที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติโดยเร็ว และ (๓) กำกับดูแลให้ ขสมก. ดำเนินการจัดซื้อรถโดยสารก๊าซธรรมชาติ (NGV) ให้เป็นไปตามแผน รวมถึงให้มีการติดตามประเมินผลการดำเนินการของรถโดยสาร NGV งวดที่ ๑ เพื่อทบทวนแผนการจัดซื้อรถโดยสาร NGV งวดที่ ๒ รวมทั้งเห็นชอบให้กรมการขนส่งทางบกศึกษาการปฏิรูปเส้นทางเดินรถให้แล้วเสร็จภายใน ๖๐ วัน นับจากเดือนมีนาคม ๒๕๕๙ ๑.๑.๔ ให้รองนายกรัฐมนตรี (ด้านเศรษฐกิจ) เป็นประธานเพื่อหารือร่วมกับคณะอนุกรรมการกลั่นกรองแผนการแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง และผู้ที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับแนวทางการบริหารจัดการ Bad Bank และสัดส่วนการถือหุ้นของกระทรวงการคลังในธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยในอนาคต โดยให้ดำเนินการแล้วเสร็จภายใน ๓ เดือน ๑.๒ รับทราบและเห็นชอบผลการพิจารณาและมติเกี่ยวกับโครงการให้ความช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และมอบหมายให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมดำเนินการตามผลการพิจารณาและมติ คนร. ๑.๓ รับทราบและเห็นชอบผลการดำเนินงานของ คนร. และมอบหมาย ๑.๓.๑ ให้กระทรวงเจ้าสังกัดของรัฐวิสาหกิจพิจารณาแนวทางการปรับปรุงกฎหมายจัดตั้งในส่วนกรรมการโดยตำแหน่งที่ขัดหลักธรรมาภิบาลที่ดี [กรรมการรัฐวิสาหกิจต้องไม่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และไม่เป็นผู้กำกับดูแลรายสาขา (Regulator)] ๑.๓.๒ ให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินพิจารณาความเหมาะสมเกี่ยวกับสัดส่วนการจำหน่ายหุ้นและการถือหุ้นในบริษัท บริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด ๒. ให้คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐมากขึ้น รวมถึงการลงทุนขนาดใหญ่ควรคำนึงถึงผลกระทบต่อวิถีชีวิตและสิ่งแวดล้อมด้วย การจัดตั้งบรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติเพื่อกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจที่เป็นบริษัทมหาชนจำกัดหรือบริษัทจำกัด การปรับปรุงกระบวนการสรรหาและแต่งตั้งกรรมการรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งขอบเขตอำนาจหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
253 | รายงานผลการกู้เงินจากรัฐบาลญี่ปุ่นสำหรับโครงการรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต ระยะที่ 2 | กค | 14/07/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนว่าด้วยความร่วมมือทางการเงินระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น รวมทั้งสัญญาเงินกู้สำหรับโครงการรถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต ระยะที่ ๒ โดยเมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๘ ได้มีการลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนว่าด้วยความร่วมมือทางการเงินระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่นและเอกสารที่เกี่ยวข้อง โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้ลงนามในนามรัฐบาลไทย และ H.E. Mr. Shiro Sadoshima เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยเป็นผู้ลงนามในนามรัฐบาลญี่ปุ่น รวมทั้งได้มีการลงนามในสัญญาเงินกู้ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้ลงนามในนามรัฐบาลไทย และ Mr. Shuichi Ikeda หัวหน้าผู้แทนองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) สำนักงานประจำประเทศไทย เป็นผู้ลงนามในนาม JICA สำหรับโครงการรถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต ระยะที่ ๒ วงเงิน ๓๘,๒๐๓ ล้านเยน ทั้งนี้ รายละเอียดหนังสือแลกเปลี่ยนฯ เอกสารที่เกี่ยวข้อง และสัญญาเงินกู้ดังกล่าวมีสาระสำคัญและเงื่อนไขเป็นไปตามที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติทุกประการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งหาข้อยุติในหลักการของขอบเขตการรับภาระการลงทุนค่าใช้จ่ายงานระบบรถไฟฟ้าและเครื่องกล ตู้รถไฟฟ้า ค่าจ้างที่ปรึกษา งานระบบไฟฟ้าและเครื่องกลของโครงการรถไฟฟ้าชานเมือง สายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต และช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ของการรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอน รวมทั้งให้การรถไฟแห่งประเทศไทยและกระทรวงคมนาคมเร่งศึกษาแนวทางการบริหารจัดการโครงการและนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอน เพื่อเพิ่มความมั่นใจว่าจะสามารถเปิดให้บริการรถได้ทันทีภายหลังจากที่การก่อสร้างงานโยธาของโครงการรถไฟฟ้าชานเมือง สายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิตแล้วเสร็จ โดยให้ครอบคลุมถึงการพิจารณารูปแบบการเดินรถ ความพร้อมของบุคลากร แผนการซ่อมบำรุงระบบไฟฟ้าและรถไฟฟ้าที่ครอบคลุมทั้งโครงการ และผลกระทบต่อฐานะการเงินของการรถไฟแห่งประเทศไทย พร้อมทั้งแผนบริหารจัดการใช้ประโยชน์ทางรถไฟร่วมกันระหว่างการเดินรถไฟประเภทต่าง ๆ เช่น รถไฟทางไกล รถไฟชานเมือง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
254 | ผลการพิจารณาต่อรองราคาค่าก่อสร้างจากงานแก้ไขแบบรายละเอียดโครงการระบบขนส่งมวลชนทางรางในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต เพื่อรองรับการเดินรถไฟประเภทต่าง ๆ งานสัญญาที่ 1 และสัญญาที่ 2 ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 30/06/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการพิจารณาราคาค่าก่อสร้างจากงานแก้ไขแบบรายละเอียดโครงการระบบขนส่งมวลชนทางรางในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต เพื่อรองรับการเดินรถไฟฟ้าประเภทต่าง ๆ งานสัญญาที่ ๑ และสัญญาที่ ๒ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ กรอบวงเงินตามที่บริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ จำกัด (ที่ปรึกษางานทบทวนและออกแบบรายละเอียดของการรถไฟแห่งประเทศไทย) ได้ประมาณราคาค่าก่อสร้างจากงานแก้ไขแบบรายละเอียดของสัญญาที่ ๑ และสัญญาที่ ๒ โดยศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ตรวจสอบความเหมาะสมแล้ว เป็นจำนวน ๗,๖๕๑,๙๐๘,๙๗๑.๒๕ บาท (สัญญาที่ ๑ จำนวน ๔,๓๐๕,๔๑๘,๖๘๑.๒๐ บาท และสัญญาที่ ๒ จำนวน ๓,๓๔๖,๔๙๐,๒๙๐.๐๕ บาท) ๑.๒ การรถไฟแห่งประเทศไทยได้เจรจากับผู้รับจ้างของสัญญาที่ ๑ และสัญญาที่ ๒ แล้ว โดย (๑) กิจการร่วมค้า เอส ยู ผู้รับจ้างงานสัญญาที่ ๑ ยืนยันราคา จำนวน ๔,๒๙๑,๔๐๖,๐๐๐.๐๐ บาท ซึ่งต่ำกว่ากรอบวงเงินตามมติคณะรัฐมนตรีและกรอบวงเงินที่ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาฯ ได้ตรวจสอบความเหมาะสมแล้ว และ (๒) บริษัท อิตาเลี่ยนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ผู้รับจ้างสัญญาที่ ๒ ยืนยันราคา จำนวน ๓,๓๔๐,๕๑๒,๕๐๕.๓๖ บาท ซึ่งต่ำกว่ากรอบวงเงินตามมติคณะรัฐมนตรีและกรอบวงเงินที่ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาฯ ได้ตรวจสอบแล้ว ๒. ให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งเจรจาต่อรองราคาสัญญาที่ ๓ งานจัดหาระบบไฟฟ้าและรถไฟฟ้ากับผู้ยื่นข้อเสนอราคาตามขั้นตอนของระเบียบที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว เพื่อให้สามารถดำเนินการเจรจาต่อรองราคางานจัดหาระบบไฟฟ้าและรถไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบจากการแก้ไขแบบรายละเอียดโครงการฯ กับผู้ยื่นข้อเสนอราคา ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเกี่ยวกับแหล่งเงินเพื่อใช้ในการดำเนินโครงการฯ เห็นควรพิจารณาให้มีความเหมาะสมโดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับระยะเวลาของแผนงานโครงการฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
255 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 23/06/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปลี่ยนแปลงชื่อและเป้าหมายโครงการ จากเดิม โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงสุราษฎร์ธานี-ปาดังเบเซาร์ รายการค่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษาความเหมาะสม สำรวจ ออกแบบรายละเอียดและจัดทำรายงานการวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม เป็น โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงสุราษฎร์ธานี-ชุมทางหาดใหญ่-สงขลา รายการค่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษาความเหมาะสม สำรวจ ออกแบบรายละเอียดและจัดทำรายงานการวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม สำหรับงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ ให้ รฟท. เปลี่ยนแปลงรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณตามนัยข้อ ๗ (๓) ของระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ภายในกรอบวงเงิน ๒๗๖,๘๐๐,๐๐๐ บาท ตามผลการจัดหา ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้ รฟท. ถือปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีให้ถูกต้องครบถ้วน และติดตามการดำเนินโครงการฯ เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปตามแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี และให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงข่ายรถไฟและสิ่งอำนวยความสะดวกตามแนวเส้นทางให้สามารถเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าทางรถไฟไปยังท่าเรือน้ำลึกในจังหวัดสงขลา รวมทั้งประสานกับสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร เพื่อพิจารณาความเหมาะสมของรูปแบบการเชื่อมโยงโครงข่ายและการเดินรถไฟทั้ง ๒ เส้นทางร่วมกัน เพื่อให้การเดินทางและขนส่งสินค้าระหว่างพื้นที่ดังกล่าวเป็นไปอย่างสะดวกและเกิดการใช้ประโยชน์โครงข่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ในการเสนอโครงการต่าง ๆ ในโอกาสต่อไป ให้กระทรวงคมนาคมตรวจสอบความพร้อมของโครงการที่อยู่ในความรับผิดชอบให้ละเอียดรอบคอบก่อนเสนอขออนุมัติดำเนินโครงการเพื่อมิให้เกิดปัญหาความซ้ำซ้อนของโครงการในลักษณะนี้อีก |
||||||||||||||||||
256 | เงินกู้จากรัฐบาลญี่ปุ่นสำหรับโครงการรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต ระยะที่ 2 | กค | 09/06/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนว่าด้วยความร่วมมือทางการเงินระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่นและเอกสารที่เกี่ยวข้อง มีสาระสำคัญคือ รัฐบาลญี่ปุ่นตกลงที่จะให้กระทรวงการคลังกู้เงินผ่านองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency : JICA) สำหรับโครงการรถไฟสายสีแดง ระยะที่ ๒ วงเงิน ๓๘,๒๐๓ ล้านเยน โดยมีเงื่อนไขเงินกู้แบบ Preferential Terms ประกอบด้วย อายุเงินกู้ ๒๐ ปี (รวมระยะปลอดหนี้ ๖ ปี) อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๐.๔๐ ต่อปี อัตราดอกเบี้ยสำหรับการจ้างที่ปรึกษาร้อยละ ๐.๐๑ ต่อปี Front-End Fee ร้อยละ ๐.๒๐ ของวงเงินกู้ (ชำระครั้งเดียวภายใน ๖๐ วัน หลังจากสัญญาเงินกู้มีผลบังคับใช้) และระยะเวลาเบิกจ่ายเงินกู้ ๓ ปี และร่างสัญญาเงินกู้ มีสาระสำคัญสอดคล้องกับเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในหนังสือแลกเปลี่ยนว่าด้วยความร่วมมือทางการเงินระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น และ General Terms and Conditions for Japanese ODA Loan (GTC) ฉบับเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ ซึ่ง GTC เป็นเอกสารหลักที่สัญญาเงินกู้ใช้อ้างอิง โดย GTC จะกำหนดรายละเอียดเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ต่างๆ ในการกู้เงินจากรัฐบาลญี่ปุ่น ๑.๒ อนุมัติให้กระทรวงการคลังกู้เงินในนามรัฐบาลไทยจากองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency : JICA) สำหรับโครงการรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต ระยะที่ ๒ วงเงิน ๓๘,๒๐๓ ล้านเยน ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กล่าวข้างต้น และอนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กู้ยืมเงินต่อจากกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามกฎ ระเบียบ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขของกระทรวงการคลังที่จะได้ตกลงกับ รฟท. ต่อไป และให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้แก่ รฟท. เพื่อชำระหนี้คืนแก่แหล่งเงินกู้โดยตรงสำหรับเงินต้นและดอกเบี้ย รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ๑.๓ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามในนามรัฐบาลไทยในหนังสือแลกเปลี่ยนว่าด้วยความร่วมมือทางการเงินระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่นและเอกสารที่เกี่ยวข้อง และลงนามในสัญญาเงินกู้กับองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น ๑.๔ มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจัดทำความเห็นทางกฎหมายสำหรับสัญญาเงินกู้ดังกล่าวในโอกาสแรกภายหลังจากที่ได้มีการลงนามในสัญญาเงินกู้แล้ว ๒. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างหนังสือแลกเปลี่ยนว่าด้วยความร่วมมือทางการเงินระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น ทั้งนี้ หากในทางปฏิบัติของการจัดทำหนังสือแลกเปลี่ยนฯ เป็นที่ยอมรับกันระหว่างคู่ภาคีว่าผู้ลงนามไม่จำเป็นต้องแสดงหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้กระทรวงการคลังแจ้งคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบแนวทางปฏิบัติดังกล่าวด้วย ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๖ [เรื่อง หลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers)] ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๓. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งพิจารณาดำเนินการก่อสร้างงานโยธาและสรุปผลการเจรจาจัดหาระบบไฟฟ้าและรถไฟฟ้าโดยเร็ว เพื่อให้สามารถเปิดให้บริการโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต และช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ รวมทั้งเร่งพิจารณารูปแบบการบริหารจัดการเดินรถของโครงการรถไฟชานเมือง สายสีแดงที่มีความเหมาะสมต่อความพร้อมทางการเงินบุคลากรของการรถไฟแห่งประเทศไทยให้สามารถตอบสนองต่อปริมาณความต้องการเดินทางของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยดำเนินการให้สอดคล้องกับแผนการเปิดให้บริการของโครงการฯ ในปี ๒๕๖๒ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
257 | แนวทางการแก้ไขปัญหาจุดตัดทางรถไฟ | คค | 02/06/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาจุดตัดทางรถไฟ ระยะเวลาดำเนินการปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐ ประกอบด้วย การติดตั้งป้ายหยุด ป้ายรูปรถไฟ พร้อมจัดทำสัญญาณเตือนไฟกระพริบตลอดเวลา เนินชะลอความเร็ว และป้ายเตือนบริเวณจุดตัดทางรถไฟที่ไม่ได้รับอนุญาต (ทางลักผ่าน) จำนวน ๕๘๔ แห่ง และจัดทำเครื่องกั้นที่จุดตัดทางรถไฟที่ได้รับอนุญาต จำนวน ๗๗๕ แห่ง ของการรถไฟแห่งประเทศไทย และโครงการก่อสร้างทางข้ามและทางลอดของทางรถไฟ จำนวน ๑๐๗ แห่ง ของกรมทางหลวงชนบทและกรมทางหลวง ๑.๒ มอบหมายกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานท้องถิ่นกำกับดูแลพื้นที่ทั่วประเทศไม่ให้เกิดจุดตัดทางรถไฟ (ทางลักผ่าน) เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ หากจำเป็นขอให้หน่วยงานท้องถิ่นที่เป็นเจ้าของพื้นที่รับผิดชอบดำเนินการตามมาตรฐานความปลอดภัยที่การรถไฟแห่งประเทศไทยกำหนด ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้หน่วยงานเจ้าของพื้นที่ (ถนน) เร่งดำเนินการติดตั้งป้ายจราจรพร้อมสัญญาณไฟบริเวณจุดตัดทางรถไฟ โดยใช้มาตรฐานตามคู่มือการติดตั้งป้ายจราจรของกรมทางหลวงชนบท และให้การรถไฟแห่งประเทศไทยเร่งดำเนินการติดตั้งหรือกำหนดมาตรฐานการให้สัญญาณเสียงและสัญญาณแสงที่หัวรถจักรของขบวนรถไฟเพื่อให้สัญญาณเดือนก่อนถึงจุดตัดทางรถไฟกับถนนทุกแห่ง รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้เจ้าหน้าที่ผู้ขับรถไฟและผู้ใช้ถนนขับรถด้วยความระมัดระวังให้มากขึ้นเมื่อใกล้ถึงจุดตัดกับทางรถไฟ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการตามแผนงาน/โครงการในการแก้ปัญหาจุดตัดรถไฟโดยด่วน โดยเฉพาะบริเวณจุดตัดรถไฟที่มีปัญหาเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้งเป็นลำดับแรกก่อน |
||||||||||||||||||
258 | ขออนุมัติจ่ายบำเหน็จดำรงชีพให้แก่อดีตผู้ปฏิบัติงานของการรถไฟแห่งประเทศไทยในอัตรา 15 เท่าของเงินสงเคราะห์รายเดือน แต่ไม่เกินรายละ 200,000 บาท | คค | 02/06/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทยจ่ายบำเหน็จดำรงชีพให้แก่อดีตผู้ปฏิบัติงานของการรถไฟแห่งประเทศไทยในอัตรา ๑๕ เท่าของเงินสงเคราะห์รายเดือน แต่ไม่เกินรายละ ๒๐๐,๐๐๐ บาท ตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ตามมาตรา ๑๓ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ ๒. เห็นชอบในหลักการแก้ไขข้อบังคับฉบับที่ ๔.๙ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อรองรับการจ่ายบำเหน็จดำรงชีพให้แก่อดีตผู้ปฏิบัติงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย ตามมาตรา ๔๖ แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ที่เห็นว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยยังอาจมีภาระในการจัดสรรบำเหน็จดำรงชีพให้แก่อดีตผู้ปฏิบัติงานในส่วนที่เหลือ ตลอดจนภาระบำเหน็จดำรงชีพของอดีตผู้ปฏิบัติงานในอนาคต จึงขอให้การรถไฟแห่งประเทศไทยวางแผนการจัดหาแหล่งเงินที่เหมาะสมโดยไม่กระทบต่อสถานะและสภาพคล่องทางการเงินขององค์กรและภาครัฐทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และให้การรถไฟแห่งประเทศไทยหาแนวทางในการเพิ่มรายได้ให้สอดคล้องกับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ควรเร่งดำเนินการลงทุนแผน/โครงการต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้ประสิทธิภาพการเดินรถและการให้บริการมีคุณภาพและมาตรฐานที่ดีขึ้น รวมทั้งเร่งรัดการจัดหาประโยชน์จากที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์กรภายใต้การดำเนินการที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
259 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2556 ในส่วนของอัตรากำลังที่ได้รับจัดสรรเพิ่ม จำนวน 20 อัตรา ของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร | คค | 26/05/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรนำอัตรากำลังที่ได้รับการจัดสรรเพิ่มตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง รายงานผลการศึกษาวิเคราะห์ภาพรวมความต้องการอัตรากำลังภาครัฐ) จำนวน ๒๐ อัตรา ประกอบด้วย ข้าราชการพลเรือนสามัญ จำนวน ๑๖ อัตรา และพนักงานราชการ จำนวน ๔ อัตรา ไปปฏิบัติภารกิจในการพัฒนาระบบการขนส่งทางรางของประเทศ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณเพื่อการดังกล่าวไว้แล้ว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ไม่ให้ส่วนราชการนำตำแหน่งที่ได้รับการจัดสรรไปยุบเลิกเพื่อปรับระดับตำแหน่งสูงขึ้น หรือเกลี่ยไปปฏิบัติงานอื่นนอกเหนือจากภารกิจตามยุทธศาสตร์ของประเทศ และให้เร่งนำเสนอแผนการจัดตั้งกรมการขนส่งทางราง และประสานกับกระทรวงการคลังเพื่อนำเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาโครงสร้างองค์กรและฐานะทางการเงินของการรถไฟแห่งประเทศไทยให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็ว เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทางรางของประเทศตามนโยบายรัฐบาลให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
260 | ขออนุมัติกู้เงินเพื่อใช้ในการดำเนินงานของการรถไฟแห่งประเทศไทยประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | คค | 12/05/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กู้เงินเพื่อใช้ในการดำเนินการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ วงเงิน ๘,๗๑๑.๒๖๕ ล้านบาท ตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓๙ (๔) โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ส่วนประเด็นของการขอยกเว้นค่าธรรมเนียมการค้ำประกันให้แก่ รฟท. ให้ รฟท. จัดทำข้อมูลเพิ่มเติมตามที่กระทรวงการคลังกำหนดเพื่อเสนอขอความเห็นชอบต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ๓. ให้ รฟท. รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรให้ รฟท. เร่งรัดกระบวนการรับรองงบการเงินให้เป็นปีปัจจุบันโดยเร็ว และควรนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาปรับใช้ทั้งด้านการบริหารการเดินรถ การบริหารจัดเก็บรายได้ และการเงินการบัญชี อันเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานของ รฟท. ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป |
.....