ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 17 จากทั้งหมด 48 หน้า แสดงรายการที่ 321 - 340 จากข้อมูลทั้งหมด 958 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
321 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลชัยบุรี อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง พ.ศ. .... | คค | 28/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลชัยบุรี อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลชัยบุรี อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง พ.ศ. .... เพื่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟ บริเวณทางหลวงชนบท พท. ๔๐๐๙ เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมทางหลวงชนบทเร่งเสนอผลการศึกษาทบทวนแผนการก่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอน พร้อมทั้งกำหนดแผนการก่อสร้างโครงการโดยให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาจุดตัดระหว่างถนนและทางรถไฟในพื้นที่ที่มีปริมารการจราจรหนาแน่นเป็นลำดับแรก และประสานกับการรถไฟแห่งประเทศไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อบูรณาการรูปแบบและแผนการก่อสร้างให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาระบบรถไฟของประเทศในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
322 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลธงชัย อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี พ.ศ. .... | คค | 28/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลธงชัย อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลธงชัย อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี เพื่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟ บริเวณทางหลวงชนบท พบ.๑๐๓๙ เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมทางหลวงชนบทเร่งเสนอผลการศึกษาทบทวนแผนการก่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอน พร้อมทั้งกำหนดแผนการก่อสร้างโครงการโดยให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาจุดตัดระหว่างถนนและทางรถไฟในพื้นที่ที่มีปริมาณการจราจรหนาแน่นเป็นลำดับแรก และประสานกับการรถไฟแห่งประเทศไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อบูรณาการรูปแบบและแผนการก่อสร้างให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาระบบรถไฟของประเทศในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
323 | ขออนุมัติเช่าที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่ดินบริเวณริมถนนรัชดาภิเษก แปลงที่ 42 - 53 | อส | 28/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้สำนักงานอัยการสูงสุดดำเนินการทำบันทึกต่อท้ายสัญญาเช่าที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่ดินบริเวณถนนรัชดาภิเษก แปลงที่ ๔๒-๕๓ พื้นที่รวม ๒๐,๘๘๐ ตารางเมตร เพื่อสร้างอาคารที่ทำการ และสถานีบริการแก๊สรถยนต์ ในลักษณะการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณกับการรถไฟแห่งประเทศไทย ต่อไปอีกมีกำหนด ๑๖ ปี นับตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๗๒ ค่าเช่าเป็นเงินปีละ ๑๑,๔๑๘,๔๓๗ บาท โดยให้ปรับเพิ่มค่าเช่าในอัตราร้อยละ ๕ ของค่าเช่าครั้งสุดท้ายทุก ๑ ปี ทั้งนี้ เพิ่มตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ เป็นต้นไป จนกว่าจะครบกำหนดสัญญาเช่า โดยให้สำนักงบประมาณจัดสรรเงินงบประมาณสำหรับเป็นค่าเช่าที่ดินดังกล่าว ตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดเสนอ ๒. ให้สำนักงานอัยการสูงสุดดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๕๔ และระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของสำนักงานอัยการสูงสุด พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๓. ให้สำนักงานอัยการสูงสุดเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีในแต่ละปีงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||
324 | ขอยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2552 เรื่อง ขออนุมัติปรับเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างตัวอาคารสถานีและอุโมงค์รถไฟใต้อาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โครงการระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ | คค | 14/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๕๒ (เรื่อง ขออนุมัติปรับเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างตัวอาคารสถานีและอุโมงค์รถไฟใต้อาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โครงการระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ) เฉพาะในส่วนที่ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นสมควรให้การรถไฟแห่งประเทศไทยกู้เงินในส่วนของแผนเงินกู้เพื่อดำเนินกิจการทั่วไป และอื่น ๆ เพื่อชำระดอกเบี้ยค้างจ่ายที่เกิดขึ้นจริงในวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒ จนถึง ๓๐ กันยายน ๒๕๕๒ จำนวน ๓๗,๗๐๓,๘๕๓.๐๖ บาท ให้แก่บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) โดยการรถไฟแห่งประเทศไทยไม่ต้องชำระดอกเบี้ยค้างจ่ายตามช่วงเวลาดังกล่าว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทยเร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ (เรื่อง ขออนุมัติกู้เงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย) ในการจัดทำแผนการบริหารจัดการกิจการของการรถไฟแห่งประเทศไทยในภาพรวมให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อรองรับการพัฒนาระบบรถไฟของประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
325 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลวังก์พง อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. .... | คค | 14/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลวังก์พง อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลวังก์พง อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟ บริเวณทางหลวงชนบท ปข. ๑๐๑๙ เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมทางหลวงชนบทเร่งนำเสนอผลการศึกษาทบทวนแผนการก่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอน พร้อมทั้งกำหนดแผนการก่อสร้างโครงการโดยให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาจุดตัดระหว่างถนนและทางรถไฟในพื้นที่ที่มีปริมาณการจราจรหนาแน่นเป็นลำดับแรก และประสานกับการรถไฟแห่งประเทศไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อบูรณาการรูปแบบและแผนการก่อสร้างให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาระบบรถไฟของประเทศในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
326 | ขออนุมัติต่ออายุสัญญาเงินกู้วงเงิน 800 ล้านบาท ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 30/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ต่ออายุสัญญาเงินกู้วงเงิน ๘๐๐ ล้านบาท ของ รฟท. จากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ต่อไปอีก ๑ ปี ตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓๙ (๔) โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ยกเว้นในส่วนของการคิดค่าธรรมเนียมการค้ำประกัน เนื่องจากขณะนี้อยู่ในระหว่างการประเมินความเสี่ยงและการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของรัฐวิสาหกิจ และสถาบันการเงินภาครัฐ ในชั้นนี้ จึงเห็นควรสงวนสิทธิ์ในการคิดค่าธรรมเนียมการค้ำประกันไว้ก่อน ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒. ให้ รฟท. รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรเร่งรัดดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานตามแผนลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๗ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพของการให้บริการ เน้นการเพิ่มรายได้เชิงพาณิชย์ควบคู่ไปกับการควบคุมและลดค่าใช้จ่ายลง เพื่อบรรเทาภาวะการขาดสภาพคล่องทางการเงินในระยะยาว ไปดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
327 | ข้อเสนอการขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2557 | กค | 30/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกรอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำนวน ๒,๔๓๖.๔๔๒ ล้านบาท และ ๑,๕๒๔.๘๓๕ ล้านบาท ตามลำดับ ตามข้อเสนอของกระทรวงการคลัง และให้ทั้งสองหน่วยงานดังกล่าวกู้เงินเพื่อเป็นเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามกรอบวงเงินที่เสนอ โดยรัฐรับภาระหนี้และให้กระทรวงการคลังจัดหาแหล่งเงินกู้และค้ำประกันการกู้เงิน พิจารณาวิธีการกู้เงิน รายละเอียดและเงื่อนไขในการกู้เงินต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
328 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการ ค่าจ้างที่ปรึกษาและพัฒนารถไฟความเร็วสูง (Airport Rail Link) ต่อจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ - ชลบุรี - พัทยา งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2555 - 2556 ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 30/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้เปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีของการรถไฟแห่งประเทศไทย จากรายการเดิม ค่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษาและพัฒนารถไฟความเร็วสูง (Airport Rail Link) ต่อจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ-ชลบุรี-พัทยา เป็น ค่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษาและพัฒนารถไฟความเร็วสูง (Airport Rail Link) ต่อจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ-ชลบุรี-พัทยา-ระยอง
|
|||||||||||||||||||||||||||
329 | ขออนุมัติกู้เงินภายในประเทศสำหรับการจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้าน้ำหนักกดเพลา 20 ตัน/เพลา ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กู้เงินภายในประเทศ วงเงินรวม ๒,๓๔๔,๗๗๓,๔๖๘.๕๑ บาท สำหรับการจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้า จำนวน ๒๐ คัน น้ำหนักกดเพลา ๒๐ ตัน/เพลา พร้อมเครื่องอะไหล่ โดยให้กระทรวงการคลังค้ำประกัน รวมทั้งพิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดตามความเหมาะสมต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ยกเว้นในส่วนของการคิดค่าธรรมเนียมการค้ำประกันเงินกู้ ให้เป็นไปตามกฎกระทรวงกำหนดอัตราและเงื่อนไขการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกันของกระทรวงการคลัง พ.ศ. ๒๕๕๑ ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ให้ รฟท. รับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมในด้านบุคลากรและทรัพยากรเพื่อรองรับการจัดซื้อจัดจ้างและการติดตามและประเมินโครงการและการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการปรับปรุงแนวทางการบริหารจัดการกิจการของ รฟท. ในภาพรวม โดยให้ความสำคัญในแนวทางการเพิ่มรายได้โดยเฉพาะรายได้ในเชิงพาณิชย์ และรายได้จากการบริหารจัดการสินทรัพย์และที่ดิน การลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น รวมทั้งความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเร่งรัดดำเนินการจัดหารถจักร เพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลนรถจักรที่มีความพร้อมใช้งานของ รฟท. ในภาพรวม การเร่งดำเนินการตามแผนการก่อสร้างและปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานให้มีความพร้อมในการรองรับการใช้งานของรถจักร ตลอดจนประสานกับกระทรวงการคลังในเรื่องการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจทำให้ต้นทุนทางการเงินของโครงการเพิ่มขึ้นในอนาคต และพิจารณาความเหมาะสมในการปรับแผนการเบิกจ่ายในแผนบริหารหนี้สาธารณะประจำปี ๒๕๕๖ เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงในปัจจุบัน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
330 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง | กค | 31/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางต่อไป เป็นระยะที่ ๑๒ ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน-๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ วงเงินชดเชยรวมทั้งสิ้น ๒,๐๖๐ ล้านบาท และให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรเงินงบประมาณเพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายจากการดำเนินมาตรการดังกล่าวต่อไป โดยมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง ประกอบด้วย ๑.๑.๑ มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางรถโดยสารประจำทาง ดำเนินการผ่านองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพโดยรัฐรับภาระค่าใช้จ่ายการจัดรถโดยสารประจำทางธรรมดา จำนวน ๘๐๐ คันต่อวัน ใน ๗๓ เส้นทาง ให้บริการแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งประมาณการค่าใช้จ่ายในวงเงินจำนวน ๑,๕๑๒ ล้านบาท ๑.๑.๒ มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางโดยรถไฟชั้น ๓ ดำเนินการผ่านการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยรัฐรับภาระค่าใช้จ่ายการจัดรถไฟชั้น ๓ เชิงสังคม จำนวน ๑๖๔ ขบวนต่อวัน และรถไฟชั้น ๓ ระยะทางไกลในขบวนรถเชิงพาณิชย์ จำนวน ๘ ขบวนต่อวัน ให้บริการแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งประมาณการค่าใช้จ่ายในวงเงินจำนวน ๕๔๘ ล้านบาท ๑.๒ เร่งรัดกระทรวงคมนาคมให้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การดำเนินการพิจารณาศึกษาแนวทางการสนับสนุนมาตรการลดค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง) โดยจะต้องศึกษาแนวทางการสนับสนุนมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางที่มีความเหมาะสม มีประสิทธิภาพ และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริงให้แล้วเสร็จก่อนสิ้นสุดการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง ระยะที่ ๑๒ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๒. สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงตามผลมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางระยะที่ ๑๒ ดังกล่าว ให้สำนักงบประมาณพิจารณาเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดการพิจารณาเกี่ยวกับการใช้ตั๋วร่วมให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมทั้งให้พิจารณาเกี่ยวกับการจัดสายทาง (Routing) ของการเดินรถโดยสารประจำทางขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อลดภาระของประชาชนผู้มีรายได้น้อยให้สามารถเดินทางไป-กลับจากเขตรอบนอกของกรุงเทพมหานครและปริมณฑลได้อย่างสะดวกและประหยัดค่าใช้จ่าย |
|||||||||||||||||||||||||||
331 | ผลการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 1/2556 | กค | 31/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ (กนร.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธาน กนร. เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมรับทราบการตรวจสอบการบริหารจัดการโครงการระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและสถานีรับส่งผู้โดยสารอากาศยานในเมือง (Airport Rail Link) (โครงการ ARL) ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) โดย สตง. ได้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเรื่องการหาข้อสรุปเกี่ยวกับการรับภาระการลงทุนของโครงการ ARL ทั้งในส่วนของโครงสร้างพื้นฐาน จำนวนเงิน ๑๘,๗๐๐ ล้านบาท ด้านระบบการเดินรถไฟฟ้าและเครื่องกล จำนวนเงิน ๑๑,๗๐๐ ล้านบาท และเรื่องความชัดเจนของการโอนทรัพย์สินและหนี้สินของโครงการ ARL ระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทยกับบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ว่าควรมีการเร่งรัดการดำเนินการและนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็ว ๒. ที่ประชุมมอบหมายให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) หารือกับบริษัท อู่กรุงเทพ จำกัด (บอท.) พิจารณาแนวทางการสนับสนุนทางการเงินแก่ บอท. ในการย้ายสถานประกอบการไปยังสถานที่ที่มีความเหมาะสม และให้ บอท. มอบพื้นที่ในความครอบครองให้กระทรวงการคลังบริหารเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อไป รวมทั้งให้กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางพัฒนาที่ดินดังกล่าว ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงพุทธศาสนาที่เหมาะสมต่อไป ๓. ที่ประชุมเห็นชอบแผนกรอบระยะเวลาและกรอบการดำเนินงานของ กนร. และให้ สคร. ประสานงานกับกระทรวงเจ้าสังกัดเพื่อประสานงานในการกำหนดนโยบายและทิศทางการดำเนินการที่ชัดเจนต่อไป ๔. ที่ประชุมรับทราบแนวทางจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) ของรัฐวิสาหกิจ เพื่อเป็นแนวทางในการเลือกระดมทุนของรัฐวิสาหกิจ โดยให้กระทรวงเจ้าสังกัดพิจารณาความเหมาะสมในการจัดตั้งกองทุนรวมฯ ของรัฐวิสาหกิจ และให้กระทรวงการคลังพิจารณาความคุ้มค่าทางการเงินในการระดมทุนผ่านกองทุนรวมดังกล่าว ๕. ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการยกเลิกโครงการไปรษณีย์เพื่อสินเชื่อรายย่อย ตามที่บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) เสนอ และเห็นชอบในหลักการให้ ปณท ดำเนินธุรกิจให้บริการด้านโลจิสติกส์ซึ่งจะเป็นกลไกเชื่อมต่อโครงการด้านโลจิสติกส์ และผู้ประกอบการภายในประเทศ ทั้งนี้ เพื่อลดต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศ พัฒนาความสามารถในการแข่งขันให้แก่บริษัทขนส่งของไทย และรองรับการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน สำหรับการจัดตั้งบริษัทในเครือเพื่อดำเนินธุรกิจให้บริการด้านขนส่งและโลจิสติกส์ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงการคลัง และ ปณท ร่วมกันพิจารณาศึกษาและจัดทำรายละเอียดเพิ่มเติมตามข้อสังเกตของ กนร. เกี่ยวกับประเด็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่างๆ เช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ พระราชบัญญัติไปรษณีย์ พ.ศ. ๒๔๗๗ เป็นต้น เพื่อมิให้มีการดำเนินการที่ขัดต่อกฎหมาย บทบาทและความสัมพันธ์ระหว่าง ปณท และบริษัทในเครือ รวมถึงการบริหารจัดการบริษัทในเครือของ ปณท รายละเอียดแผนการลงทุนที่ประกอบด้วยประมาณการเงินลงทุน รายได้ที่คาดว่าจะได้รับ ต้นทุนในการดำเนินงาน โดยเฉพาะด้าน IT และแผนการ Outsourcing ของบริษัทในเครือตามแผนธุรกิจ รูปแบบ แนวทาง และรายละเอียดของการใช้ทรัพย์สินร่วมกันระหว่าง ปณท และบริษัทในเครือ รวมทั้งแผนงานและรายละเอียดของการบริหารจัดการบุคลากรที่ชัดเจนของบริษัทในเครือ ตลอดจนแนวทางการบริหารความเสี่ยงเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
|
|||||||||||||||||||||||||||
332 | รายงานผลการเบิกจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปี 2556 ไตรมาส 1 (ตุลาคม - ธันวาคม 2555) | นร11 | 12/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการเบิกจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ไตรมาส ๑ (ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๕) ของรัฐวิสาหกิจ จำนวน ๓๖ แห่ง (ใช้รอบปีบัญชีงบประมาณ) ปรากฏว่า รัฐวิสาหกิจในภาพรวมสามารถเบิกจ่ายลงทุนสะสมถึงเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ ได้จำนวน ๑๓,๗๑๙ ล้านบาท หรือร้อยละ ๕๓.๒ ของเป้าหมาย (จำนวน ๒๕,๗๗๒ ล้านบาท) ซึ่งต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่เบิกจ่ายลงทุนได้ร้อยละ ๖๙.๐ สาเหตุสำคัญที่ทำให้รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายลงทุนได้ต่ำกว่าเป้าหมาย เนื่องจากปัญหาอุทกภัยปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ทำให้ต้องเลื่อนแผนการดำเนินงานและเบิกจ่ายลงทุนออกไป การปรับแผนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน การชะลอการลงทุนบางส่วนเพื่อรอความชัดเจนด้านนโยบาย รวมทั้งปัญหาความล่าช้าในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภายใน และความล่าช้าจากขั้นตอนการกู้เงินโดยเฉพาะงานด้านเอกสาร โดยรัฐวิสาหกิจที่มีผลการเบิกจ่ายลงทุนในไตรมาสแรกต่ำกว่าเป้าหมาย จำนวน ๑๙ แห่ง ได้แก่ การรถไฟแห่งประเทศไทย การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย โรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง การทางพิเศษแห่งประเทศไทย สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล การประปานครหลวง การท่าเรือแห่งประเทศไทย บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) การประปาส่วนภูมิภาค องค์การเภสัชกรรม องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ บริษัท โรงแรมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จำกัด การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย บริษัท ขนส่ง จำกัด โรงงานไพ่ กรมสรรพสามิต และบริษัท อู่กรุงเทพ จำกัด ๒. เห็นชอบมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ๒.๑ ให้รัฐวิสาหกิจจัดทำแผนหรือแนวทางการแก้ไขปัญหาในกรณีที่การดำเนินงานไม่เป็นไปตามเป้าหมายอย่างเป็นรูปธรรม โดยผ่านความเห็นชอบจากกระทรวงเจ้าสังกัด และจัดส่งให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อประกอบการรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานและการเบิกจ่ายลงทุนต่อคณะรัฐมนตรีตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง กรอบและงบประมาณของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๖) ๒.๒ ให้หน่วยงานในระดับกระทรวง คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ และผู้บริหารสูงสุดรัฐวิสาหกิจ กำหนดให้มีมาตรการในการกำกับ ดูแลให้รัฐวิสาหกิจดำเนินการและเบิกจ่ายลงทุนให้เป็นไปตามแผนการดำเนินงานที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||
333 | ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ 1/2556 | นร11 | 27/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ กยอ. เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมรับทราบสรุปผลการศึกษาดูงาน “การสร้างสรรค์มูลค่าจากรถไฟความเร็วสูง” ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๕ ณ ประเทศญี่ปุ่น ของ กยอ. ๑.๑ ผลการศึกษาดูงานพบว่า ปัจจัยแห่งความสำเร็จของการสร้างสรรค์มูลค่าเพิ่มจากกิจการรถไฟในประเทศญี่ปุ่นที่สำคัญ ได้แก่ การปฏิรูปและการพัฒนากิจการรถไฟให้มีประสิทธิภาพควรต้องสร้างความเข้าใจกับผู้มีส่วนได้เสียและผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างค่อยเป็นค่อยไปและต่อเนื่อง การออกแบบบริการ (Service Design) ควรต้องทำความเข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้บริการในพื้นที่/ชุมชนที่แตกต่างกันและสร้างกิจกรรมที่ตอบสนองวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงของประชาชนผู้ใช้บริการได้อย่างเป็นรูปธรรม ตลอดจนการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นเป็นปัจจัยสำคัญในการสนับสนุนการสร้างมูลค่าเพิ่มจากกิจการรถไฟ ๑.๒ กยอ. มีความเห็นเพิ่มเติมว่า ควรมีการพิจารณาแนวทางการพัฒนาการรถไฟของประเทศญี่ปุ่นมาปรับใช้กับการปฏิรูปการรถไฟของประเทศไทย โดยมีการวางแผนในการดำเนินการอย่างรอบคอบและมีการสื่อสารทำความเข้าใจกับสหภาพแรงงานการรถไฟแห่งประเทศไทยอย่างใกล้ชิด รวมทั้งใช้แนวทางที่เป็นนวัตกรรมใหม่ในการบริหารกิจกรรม ๒. ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าของกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ๒.๑ ผลการดำเนินการระหว่างวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๕-๗ มกราคม ๒๕๕๖ บริษัทประกันภัย จำนวน ๕๒ บริษัท ได้มีการจำหน่ายกรมธรรม์ประกันภัย จำนวน ๕๙๑,๑๖๗ ฉบับ โดยมีทุนประกันภัยพิบัติรวม ๖๒,๙๘๕ ล้านบาท เบี้ยประกันภัยรวม ๔๕๐ ล้านบาท ทุนประกันภัยต่อตามสัดส่วนกองทุนฯ รวม ๔๗,๘๖๔ ล้านบาท และเบี้ยประกันภัยต่อรวม ๓๕๙ ล้านบาท ๒.๒ สัดส่วนการรับประกันภัยแบ่งตามกลุ่มผู้เอาประกันภัย กลุ่มบ้านและที่อยู่อาศัยมีสัดส่วนของการรับประกันภัยสูงสุดถึงร้อยละ ๙๑ รองลงมาคือ SMEs ร้อยละ ๘ และอุตสาหกรรม ร้อยละ ๑ กลุ่มบ้านอยู่อาศัยมีสัดส่วนของทุนประกันภัยต่อสูงสุดถึงร้อยละ ๕๕ อุตสาหกรรม ร้อยละ ๓๐ และ SMEs ร้อยละ ๑๕ และอุตสาหกรรมมีสัดส่วนของเบี้ยประกันภัยต่อสูงสุดถึงร้อยละ ๔๓ รองลงมาคือ บ้านและที่อยู่อาศัยร้อยละ ๓๗ และ SMEs ร้อยละ ๒๐ ๒.๓ โครงการจัดจ้างนายหน้า (ที่ปรึกษา) ประกันภัยต่อ โดยจัดจ้างบริษัทที่ปรึกษาประกันภัยต่อ ๒ บริษัท คือ Aon (Aon Benfield) และ Marsh (Guy Carpenter) ขณะนี้บริษัทประกันภัยอยู่ระหว่างการทำสัญญาการทำประกันภัยต่อโดยจะแล้วเสร็จภายใน ๒ เดือนข้างหน้า และบางบริษัทประสงค์จะขอปรับสัดส่วนการรับความเสี่ยงภัยไว้เอง ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลของสมาคมประกันวินาศภัยไทยให้แล้วเสร็จภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๖ และจะนำข้อมูลส่งให้กองทุนฯ รวบรวมให้บริษัทที่ปรึกษาพิจารณาแนวทางการทำประกันภัยต่อของกองทุนฯ ต่อไป ๓. ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานเพื่อฟื้นฟูนิคมอุตสาหกรรมของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) โดยผลการสำรวจสถานะผู้ประกอบการในนิคม/เขต/สวนอุตสาหกรรม ณ วันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๕๖ มีผู้ประกอบการที่เปิดดำเนินการเต็มกำลังการผลิต จำนวน ๔๘๙ ราย เปิดดำเนินการบางส่วน จำนวน ๒๑๐ ราย และยังไม่ได้เปิดดำเนินการ จำนวน ๑๔๐ ราย จากจำนวนผู้ประกอบการทั้งสิ้น ๘๓๙ ราย หรือคิดเป็นผู้ประกอบการที่เปิดดำเนินการแล้ว ร้อยละ ๘๓.๓๑ ทั้งนี้ ให้ กนอ. รายงานความคืบหน้าให้ กยอ. ทราบต่อไป ๔. ที่ประชุมรับทราบการแต่งตั้งนายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เป็นที่ปรึกษา กยอ. และมอบหมายฝ่ายเลขานุการ กยอ. รับไปดำเนินการตามระเบียบและขั้นตอนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
334 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2555 | ทส | 29/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยที่ประชุมมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ขยายช่วงเวลาของกรอบทิศทางการสนับสนุนเงินกองทุนสิ่งแวดล้อมตามมาตรา ๒๓ (๔) แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๕ ออกไปอีกเป็นระยะเวลา ๑ ปี เพื่อใช้สำหรับเป็นกรอบทิศทางในการสนับสนุนเงินกองทุนสิ่งแวดล้อมในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติที่เห็นควรนำประเด็นการแก้ไขปัญหาการชะล้างพังทลายของดิน และการให้ความสำคัญกับประเด็นด้านนวัตกรรมและการส่งเสริมการวิจัยที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาปรับปรุงกรอบทิศทางฯ และดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ๒. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในบริเวณท้องที่ตำบลตลิ่งงาม ตำบลบ่อผุด ตำบลมะเร็ต ตำบลแม่น้ำ อำเภอเกาะสมุย และตำบลเกาะพะงัน ตำบลบ้านใต้ ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. .... และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำร่างประกาศกระทรวงฯ เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ ๓. เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการศึกษาความเหมาะสมและสำรวจออกแบบเพื่อก่อสร้างเขื่อนกันทรายและคลื่น บริเวณปากร่องน้ำคลองท่าเสม็ด ตำบลสะพลี อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร ของกรมเจ้าท่า โดยให้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการฯ และนำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป ๔. เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านการพัฒนาโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากขยะมูลฝอยประเภทโรงไฟฟ้าพลังความร้อนที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าตั้งแต่ ๑๐ เมกะวัตต์ขึ้นไป ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรี โดยให้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการฯ และนำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป ๕. เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานกรุงเทพ-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ช่วงพญาไท-บางซื่อ-ดอนเมือง) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยให้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการฯ และนำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป ๖. เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางซื่อ-สามเสน ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) โดยให้ดำเนินการตามมาตรการที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการฯ และนำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป ๗. เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านเหมืองแร่และอุตสาหกรรมถลุงหรือแต่งแร่ ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง ของนายสุรศักดิ์ เหมาะประสิทธิ์ คำขอประทานบัตรที่ ๓/๒๕๔๙ ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ ๑๑ ตำบลบ่อทอง อำเภอทองแสนขันธ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาการขออนุมัติผ่อนผันการเข้าทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติประเภทป่าเพื่อการอนุรักษ์พื้นที่คุณภาพลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เพื่อการทำเหมืองแร่ ของคณะรัฐมนตรี โดยให้ผู้ขออนุญาตดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการฯ และให้กระทรวงอุตสาหกรรมโดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ นำมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเรื่องดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป ทั้งนี้ กรณีที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ เพื่อดำเนินโครงการฯ ให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวงอุตสาหกรรม และกรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหน่วยงานซึ่งมีอำนาจตามกฎหมายในการพิจารณาสั่งอนุญาตหรือต่ออายุใบอนุญาตนำมาตรการที่เสนอไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการฯ ไปกำหนดเป็นเงื่อนไขในการสั่งอนุญาตหรือต่ออายุใบอนุญาต โดยให้ถือว่าเป็นเงื่อนไขที่กำหนดตามกฎหมาย
|
|||||||||||||||||||||||||||
335 | รายละเอียดการปรับเพิ่มวงเงินสัญญาที่ 1 สำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2555 | คค | 29/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมรายงานผลการดำเนินงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เกี่ยวกับการปรับเพิ่มวงเงินสัญญาที่ ๑ สำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕ [เรื่อง ขออนุมัติปรับกรอบวงเงินลงทุนและจัดหาแหล่งเงินเพิ่มเติม สำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต] โดย รฟท. ได้จัดทำรายละเอียดการปรับเพิ่มวงเงินสัญญาที่ ๑ (งานก่อสร้างงานโยธาสถานีกลางบางซื่อและศูนย์ซ่อมบำรุง) แยกเป็นรายการ พร้อมทั้งระบุเหตุผลในการขอปรับเพิ่มวงเงินสำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมืองดังกล่าว เพื่อประกอบการพิจารณาแหล่งเงินที่เหมาะสมสำหรับการดำเนินโครงการต่อไปแล้ว และได้ส่งให้กระทรวงการคลังรับทราบเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
336 | ผลการเยือนสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ของนายกรัฐมนตรีเพื่อเยี่ยมชมพื้นที่โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย | นร04 | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการหารือข้อราชการระหว่างนายกรัฐมนตรีกับนายเต็ง เส่ง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ เมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๕ ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการติดตามผลในประเด็นต่างๆ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดทำขึ้นเพื่อให้การหารือของผู้นำทั้งสองประเทศเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ฝ่ายเมียนมาร์ขอให้มีการวางแผนพัฒนาแหล่งที่อยู่อาศัยแห่งใหม่สำหรับประชาชนเมียนมาร์ออกจากพื้นที่โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายให้ดีขึ้นกว่าเดิมทั้งในเรื่องการสร้างอาชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการผ่านคณะอนุกรรมการร่วมสาขาการพัฒนาชุมชน ๒. ฝ่ายเมียนมาร์ย้ำความจำเป็นที่จะต้องดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและป้องกันผลกระทบจากการพัฒนาอุตสาหกรรมต่อป่าไม้ แม่น้ำ และทะเลในบริเวณโดยรอบ ซึ่งฝ่ายไทยพร้อมจะนำบทเรียนการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทยเข้ามาช่วยจัดทำแผนบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมและแผนจัดการความเสี่ยงต่างๆ หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการผ่านคณะอนุกรรมการร่วมสาขาอุตสาหกรรมเฉพาะด้านและการพัฒนาธุรกิจ ๓. ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องถึงความจำเป็นในการจัดตั้งกลไกระดมเงินทุนและพิจารณาเชิญชวนนักลงทุนจากประเทศที่สามเข้าร่วมลงทุนด้วย เช่น ญี่ปุ่น เป็นต้น ซึ่งฝ่ายไทยเสนอให้มีกรอบความร่วมมือในระดับภาครัฐสามประเทศ (ไทย เมียนมาร์ และญี่ปุ่น) เพื่อระดมทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในระยะแรกก่อนพิจารณาให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในนิติบุคคลเฉพาะกิจ (Special Purpose Vehicle : SPV) รวมทั้งขอความชัดเจนเรื่องพื้นที่โครงการและขอรับข้อมูลสำหรับการประเมินค่าใช้จ่ายทั้งหมดของโครงการทวาย เช่น ราคาที่ดิน และโครงการที่จะดำเนินการร่วมกับชุมชน เป็นต้น เพื่อคำนวณกรอบเงินทุนสำหรับการจัดตั้ง SPV ต่อไป หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการคลังติดตามข้อมูลและเร่งรัดการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการร่วมสาขาการเงิน ๔. ฝ่ายเมียนมาร์ให้ความสำคัญกับเส้นทางคมนาคมเพื่ออำนวยความสะดวกด้านการขนส่ง และระบบไฟฟ้า ซึ่งยังไม่เพียงพอ โดยระยะยาวหากจำเป็นต้องใช้เชื้อเพลิงถ่านหินจะต้องมีการสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในพื้นที่ หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงคมนาคมร่วมกับรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องดำเนินงานผ่านคณะอนุกรรมการร่วมสาขาโครงสร้างพื้นฐานและการก่อสร้าง และกระทรวงพลังงานดำเนินงานผ่านคณะอนุกรรมการร่วมสาขาพลังงาน ๕. ฝ่ายเมียนมาร์เสนอให้พัฒนาจุดผ่านแดนและเส้นทางเชื่อมโยงระหว่างสองประเทศ ซึ่งฝ่ายไทยรับไว้พิจารณา ๔ แห่ง ได้แก่ ด่านเจดีย์สามองค์-ด่านพญาตองซู ด่านบ้านพุน้ำร้อน-ด่านทิกี ด่านสิงขร-ด่านมอต่อง และเส้นทางกอกะเร็ก-เมาะละแหม่ง หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง การรถไฟแห่งประเทศไทย) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาจุดผ่านแดนและเส้นทางคมนาคมขนส่งทางตามข้อเสนอของฝ่ายเมียนมาร์ และกระทรวงการต่างประเทศติดตามความก้าวหน้าการยกระดับจุดผ่านแดน ๖. ฝ่ายไทยขอความร่วมมือเมียนมาร์เกี่ยวกับการปรับปรุงข้อตกลงเพื่อพัฒนาโครงการ (Framework Agreement) ฉบับใหม่ รวมถึง Sectorial Agreement และปรับปรุงสิทธิประโยชน์ภายใต้กฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษ หน่วยงานรับผิดชอบ คณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย-เมียนมาร์ (Joint Coordinating Committee : JCC) ร่วมกับคณะอนุกรรมการร่วมฯ ทุกสาขา ๗. ฝ่ายไทยขอให้เมียนมาร์แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์การลงทุนที่คาดว่าจะได้รับภายใต้กฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษฉบับใหม่ของเมียนมาร์ (SEZ Law) ให้แก่นักลงทุน พร้อมทั้งเร่งรัดกระบวนการประกาศใช้กฎหมายฉบับดังกล่าวเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุน ซึ่งฝ่ายเมียนมาร์แจ้งให้ทราบว่าได้ทำการยกร่างกฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษแล้วเสร็จและอยู่ระหว่างนำเสนอรัฐสภาและคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบคาดว่าจะประกาศใช้ได้ภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๖ หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการคลังติดตามความคืบหน้าของฝ่ายเมียนมาร์ผ่านคณะอนุกรรมการร่วมสาขากฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ๘. การจัดตั้งสถานกงสุลใหญ่เมืองทวายและสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเนปิดอว์ ฝ่ายไทยเสนอขอจัดตั้งสถานกงสุลใหญ่เมืองทวายเพื่อสนับสนุนการทำงานของภาคธุรกิจและผู้เยี่ยมเยือนในอนาคต รวมทั้งขอเปิดสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเนปิดอว์ และขอความร่วมมือฝ่ายเมียนมาร์ในการสนับสนุนการจัดหาที่ดิน ซึ่งฝ่ายเมียนมาร์รับจะพิจารณาทั้งสองเรื่องและแจ้งให้ทราบว่าได้กำหนดพื้นที่สำหรับสถานเอกอัครราชทูตของประเทศสมาชิกอาเซียนที่เนปิดอว์ไว้แล้ว หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการต่างประเทศ ๙. ฝ่ายไทยวางเป้าหมายการดำเนินงานว่าคณะอนุกรรมการฯ จะสามารถจัดทำรายละเอียดทั้งหมดได้แล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ เสนอให้คณะกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย-เมียนมาร์ (Joint High-level Committee : JHC) พิจารณาให้ความเห็นชอบและลงนามในข้อตกลง Framework Agreement ฉบับใหม่ และ Sectorial Agreement ทั้งหมดภายในเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ และจะเริ่มระดมทุนและดำเนินการก่อสร้างโครงการได้ภายในเดือนเมษายน ๒๕๕๖ ตามที่ผู้นำทั้งสองประเทศกำหนด หน่วยงานรับผิดชอบ คณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย-เมียนมาร์ (Joint Coordinating Committee : JCC) ร่วมกับคณะอนุกรรมการร่วมฯ ทุกสาขา ๑๐. ฝ่ายไทยแจ้งว่าในเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ จะสิ้นสุดการพิสูจน์สัญชาติ แต่ยังมีแรงงานเมียนมาร์ที่ได้ยื่นขอจดทะเบียนเพื่อเข้ากระบวนการปรับเปลี่ยนสถานะเป็นผู้เข้าเมืองถูกกฎหมายคงค้างอยู่เป็นจำนวนมาก จึงผ่อนผันไปอีก ๓ เดือน และขอให้ฝ่ายเมียนมาร์สนับสนุนการปรับเปลี่ยนสถานะแรงงานเหล่านี้ด้วย หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงแรงงาน
|
|||||||||||||||||||||||||||
337 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การพัฒนาระบบขนส่งทางราง | สสป | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การพัฒนาระบบขนส่งทางราง และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงคมนาคม ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ กรมบัญชีกลาง กรมศุลกากร สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กรมการขนส่งทางบก กรมเจ้าท่า กรมการบินพลเรือน กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร การท่าเรือแห่งประเทศไทย บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) การรถไฟแห่งประเทศไทย การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านนโยบายของรัฐบาล รัฐควรดำเนินการจัดให้มีแผนแม่บทอย่างชัดเจนของระบบโลจิสติกส์ของประเทศในการจัดการการขนส่งเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ประกาศนโยบายให้การขนส่งทางรางเป็นวาระแห่งชาติโดยเร่งด่วน ศึกษาแนวทางการขยายโครงข่ายการขนส่งทางรางของประเทศจีนซึ่งจะเป็นผู้นำและรุกคืบมาในภูมิภาคอาเซียน และเปิดให้ภาคเอกชนและภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผนแก้ไขปัญหาการขนส่งของประเทศ เป็นต้น ๒. ด้านโครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์ รัฐควรดำเนินการพัฒนาความเชื่อมโยงการขนส่งภายในประเทศ ทั้งทางราง ทางอากาศ ทางถนน และทางน้ำ จัดให้มีการศึกษาการใช้นวัตกรรมและการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม และมีความปลอดภัยกับการใช้บริการ จัดให้มีระบบการเชื่อมโยงของระบบการขนส่งและโลจิสติกส์ให้ทั่วถึงในแต่ละภูมิภาค ลดต้นทุนโลจิสติกส์เพื่อช่วยเหลือ ชดเชยผู้ประกอบการที่มีปัญหาต้นทุนในปัจจุบัน โดยการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการขนส่ง จากการขนส่งทางถนนไปสู่ทางรางและทางน้ำ พัฒนาท่าอากาศยานหลักในแต่ละภูมิภาคของประเทศ เริ่มโครงการรถไฟความเร็วสูงทั้งเส้นทาง ในเส้นทางหลัก กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ กรุงเทพฯ-ระยอง และเปิดเขตการค้าเสรีของประชาคมอาเซียน เป็นต้น ๓. ด้านกฎหมายที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ รัฐควรดำเนินการทบทวนและปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับนโยบายหลักของประเทศด้านระบบโลจิสติกส์ แก้กฎหมาย และปรับปรุงกฎระเบียบให้มีความบูรณาการและสอดคล้องต่อการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ และแก้ไขกฎระเบียบการขนส่งสินค้าและการเดินทางของผู้โดยสาร และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการข้ามพรมแดน รวมทั้งกำหนดผู้มีอำนาจใช้กฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายอย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพ เป็นต้น ๔. ด้านระบบบริหารจัดการ รัฐควรดำเนินการจัดตั้งทบวงโลจิสติกส์หรือองค์กรมหาชนเพื่อรับผิดชอบนโยบายหลักด้านโลจิสติกส์ของประเทศ จัดตั้งหน่วยงานที่จะเป็นศูนย์กลางในการรับผิดชอบอย่างเป็นรูปธรรม ปรับโครงสร้างการรถไฟแห่งประเทศไทย ให้ความสำคัญกับงานวิจัย ศูนย์ข้อมูล จัดตั้งศูนย์ควบคุมสั่งการระบบโลจิสติกส์ของประเทศ จัดสรรงบประมาณให้เพียงพอและสอดคล้องกับนโยบายและแผนงานโครงการ เร่งสร้างบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ ถ่ายทอดเทคโนโลยีจากผู้ชำนาญการจากต่างประเทศโดยเฉพาะการขนส่งทางราง จัดตั้งสถาบัน หลักสูตรโลจิสติกส์ในสถาบันการศึกษา หรือจัดตั้งสภาวิชาชีพโลจิสติกส์ เป็นต้น ๕. ด้านการมีส่วนร่วมของภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รัฐควรดำเนินการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน เช่น จัดทำประชาพิจารณ์ ประชาสัมพันธ์โครงการ เวทีสนทนา การประชุมเชิงวิชาการ การสำรวจปัญหา/ความต้องการ และความพึงพอใจของประชาชนและผู้เกี่ยวข้อง สำรวจผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สำรวจความคิดเห็นของทั้งบุคลากร องค์กร สมาคม นักวิชาการ และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องต่อการดำเนินโครงการ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
338 | พิจารณาอนุมัติกรอบวงเงินลงทุนและจัดหาแหล่งเงินเพิ่มเติม สำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต | คค | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕ [เรื่อง ขออนุมัติกรอบวงเงินลงทุนและจัดหาแหล่งเงินเพิ่มเติม สำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต] เฉพาะในส่วนที่กำหนดว่า ภายหลังจากได้ผลการประกวดราคาในสัญญา ที่ ๒ และ ๓ แล้ว ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งเพื่อพิจารณาวงเงินลงทุนรวมทั้ง ๓ สัญญา ในคราวเดียวกัน ๒. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เสนอ ดังนี้ ๒.๑ รับทราบสถานะการดำเนินการประกวดราคาโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต ในสัญญาที่ ๑ (งานก่อสร้างงานโยธาสถานีกลางบางซื่อและศูนย์ซ่อมบำรุง) สัญญาที่ ๒ (งานก่อสร้างงานโยธา ทางยกระดับและสถานีช่วงบางซื่อ-รังสิต) และสัญญาที่ ๓ (งานออกแบบจัดหาและติดตั้งระบบ E&M ช่วงบางซื่อ-รังสิต) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒.๒ เห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ปรับกรอบวงเงินลงทุนด้านงานโยธาของโครงการฯ ของสัญญาที่ ๒ เพิ่มเติมจากจำนวน ๑๙,๓๑๔ ล้านบาท เป็น ๒๑,๒๓๕.๔๔ ล้านบาท และให้ รฟท. ดำเนินการโครงการฯ เพื่อนำไปสู่การก่อสร้างงานโยธาในสัญญาที่ ๑ และ ๒ ตามลำดับขั้นตอนการดำเนินโครงการต่อไป พร้อมทั้งเห็นชอบให้ รฟท. ดำเนินการกู้เงินภายในประเทศเพื่อใช้ในการดำเนินโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต ในส่วนของงานสัญญาที่ ๑ จำนวน ๒,๘๕๔.๔๘ ล้านบาท และสัญญาที่ ๒ จำนวน ๒,๐๓๒.๑๗ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้ รฟท. และกระทรวงคมนาคมเร่งจัดทำข้อมูลประกอบการพิจารณาเรื่องดังกล่าวของคณะรัฐมนตรี ได้แก่ ๒.๒.๑ แผนการดำเนินงานของโครงการฯ ทั้งในด้านการก่อสร้างงานโยธา (สัญญาที่ ๑ และ ๒) และการจัดหาระบบไฟฟ้าและรถไฟฟ้า (สัญญาที่ ๓) รวมทั้งแนวทางการแก้ไขปัญหาการประกวดราคาของสัญญาที่ ๓ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนของการดำเนินการก่อสร้างงานโยธา (งานสัญญาที่ ๑ และ ๒) และสร้างความเชื่อมั่นว่า รฟท. จะสามารถจัดหารถไฟฟ้ามาให้บริการประชาชนได้ทันทีที่การก่อสร้างงานโยธาแล้วเสร็จ ๒.๒.๒ เร่งจัดทำรายงานการประมาณการวงเงินเบิกจ่ายของโครงการฯ เสนอสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะพิจารณาตามขั้นตอน เนื่องจากปัจจุบันคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะได้มีมติเห็นชอบแผนก่อหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ แล้ว ๓. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. รับข้อสังเกตของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการแก้ปัญหางานรื้อย้ายสาธารณูปโภคก่อนส่งมอบพื้นที่ให้แก่ผู้รับเหมาก่อสร้าง และความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการจัดทำแผนการใช้จ่ายเงินกู้ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับแผนการปฏิบัติงานและวงเงินก่อสร้างตามสัญญา เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมิให้เกิดภาระงบประมาณรายจ่ายที่รัฐบาลจะต้องรับภาระการชำระหนี้เงินกู้เพิ่มขึ้นในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
339 | การดำเนินการพิจารณาศึกษาแนวทางการสนับสนุนมาตรการลดค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง | คค | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการดำเนินมาตรการลดค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง และผลการพิจารณาศึกษาแนวทางการสนับสนุนมาตรการลดค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การดำเนินมาตรการลดค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางในปัจจุบัน อาจไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ของมาตรการเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๑ เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ประกอบกับนโยบายรัฐบาลในการปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ ๓๐๐ บาท หรือปริญญาตรีเดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท ส่งผลให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น ดังนั้น การดำเนินมาตรการลดค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางต่อไปอาจก่อให้เกิดผลกระทบ คือ ๑.๑.๑ ทำให้เกิดภาระงบประมาณกับภาครัฐในการชดเชยการดำเนินมาตรการ เฉลี่ยเดือนละ ๓๐๑.๑๑ ล้านบาท [องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จำนวน ๒๑๘.๒๓ ล้านบาท และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จำนวน ๘๒.๘๘ ล้านบาท] และตั้งแต่เริ่มดำเนินมาตรการจนถึงปัจจุบันมีค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น ๑๔,๔๕๓.๒๙ ล้านบาท (ขสมก. จำนวน ๑๐,๔๗๕.๑๒ ล้านบาท และ รฟท. จำนวน ๓,๙๗๘.๑๗ ล้านบาท) นอกจากนี้ ทำให้รัฐบาลเสียโอกาสในการนำงบประมาณไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสำคัญอื่นๆ ที่อาจเป็นประโยชน์กับประชาชนโดยรวมมากกว่า ๑.๑.๒ การดำเนินมาตรการในปัจจุบันไม่สามารถสะท้อนให้เห็นถึงการให้ความช่วยเหลือกลุ่มคนที่ควรได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง เนื่องจากเป็นการให้บริการสาธารณะเฉพาะกลุ่มคนที่สามารถเข้าถึงบริการได้เท่านั้น เช่น การดำเนินมาตรการของ ขสมก. อาจแสดงให้เห็นว่ากลุ่มผู้ได้รับประโยชนอยู่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเท่านั้น เป็นต้น ๑.๑.๓ ทำให้เกิดการคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับค่าครองชีพของประชาชนที่แท้จริง เนื่องจากประชาชนได้รับประโยชน์จากมาตรการดังกล่าวมาเป็นเวลานาน และยังส่งผลทำให้อาจเกิดการต่อต้านได้ในกรณีที่รัฐบาลต้องการยกเลิกการดำเนินมาตรการดังกล่าว ๑.๒ การดำเนินการศึกษาแนวทางการสนับสนุนมาตรการลดค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนซับซ้อน เนื่องจากเป็นนโยบายสำคัญที่รัฐบาลได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องเฉพาะเรื่องการบริหารจัดการด้านการเดินทางเท่านั้น แต่มีผลเชื่อมโยงต่อสภาพเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมของประเทศ คุณภาพชีวิตของประชาชน รวมถึงการกำหนดนโยบายของรัฐบาลต่อไปในอนาคต จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมอบหมายให้หน่วยงานที่มีความเหมาะสมเชี่ยวชาญมาดำเนินการศึกษาในเชิงลึกเกี่ยวกับแนวทางในการดำเนินมาตรการดังกล่าว เพื่อให้สามารถบริหารจัดการมาตรการในอนาคตให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนและไม่ส่งผลกระทบต่องบประมาณของประเทศ เบื้องต้นเห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมาดำเนินการศึกษาในเชิงลึกให้ได้ข้อสรุปที่ถูกต้องและเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง ๒. ให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงการคลังเร่งรัดการศึกษาแนวทางการสนับสนุนมาตรการลดค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางอย่างเป็นระบบตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ [เรื่อง ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง (ระยะที่ ๑๑ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖)] ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
340 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2555 | ทส | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๕ จำนวน ๒ เรื่อง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. ที่ประชุมมีมติเกี่ยวกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อนส่วนต่อขยาย ช่วงสมุทรปราการ (บางปิ้ง)-บางปู ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ๑.๑ ให้ รฟม. ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อนส่วนต่อขยาย ช่วงสมุทรปราการ (บางปิ้ง)-บางปู ของ รฟม. ซึ่งผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ในการประชุมครั้งที่ ๑๓/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๔ และตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ๑.๒ หาก รฟม. มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการหรือมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างจากที่ได้เสนอไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อนส่วนต่อขยาย ช่วงสมุทรปราการ (บางปิ้ง)-บางปู ของ รฟม. ตามที่คณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ ได้ให้ความเห็นชอบแล้ว ให้แจ้งหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการอนุมัติหรืออนุญาตเป็นผู้พิจารณา หากหน่วยงานดังกล่าวเห็นว่าการแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการหรือมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมดังกล่าวไม่กระทบต่อสาระสำคัญของการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และเป็นมาตรการที่เกิดผลดีต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า หรือเทียบเท่ามาตรการที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ผ่านการพิจารณาให้ความเห็นชอบจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ แล้ว ให้หน่วยงานที่มีอำนาจอนุมัติหรืออนุญาตรับพิจารณาการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงดังกล่าวให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในกฎหมายนั้น ๆ พร้อมกับสำเนาเรื่องแจ้งสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อทราบ หากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอาจกระทบต่อสาระสำคัญของการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ให้จัดส่งรายงานการปรับปรุงแก้ไขรายละเอียดโครงการ หรือมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อเสนอคณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ ให้ความเห็นชอบก่อนการเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงแก้ไข ๑.๓ ให้ รฟม. นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ๑.๔ ให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรควบคุม กำกับดูแลการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสีเขียวอ่อน ส่วนต่อขยาย ช่วงสมุทรปราการ (บางปิ้ง)-บางปู ของ รฟม. ให้เป็นไปตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และรายงานเสนอสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทุก ๖ เดือน ๒. ที่ประชุมมีมติเกี่ยวกับโครงการศึกษาและออกแบบรายละเอียดรถไฟฟ้าชานเมืองร่วมกับรถไฟทางไกลเชื่อมต่อระบบขนส่งมวลชนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล สายตลิ่งชัน-นครปฐม ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ๒.๑ ให้ รฟท. ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการศึกษาและออกแบบรายละเอียดระบบรถไฟฟ้าชานเมืองร่วมกับรถไฟทางไกลเชื่อมต่อระบบขนส่งมวลชนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล สายตลิ่งชัน-นครปฐม ของ รฟท. ซึ่งผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ในการประชุมครั้งที่ ๑๙/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๔ และตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ๒.๒ ให้ รฟท. นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป ๒.๓ ให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ควบคุม กำกับดูแลการดำเนินโครงการศึกษาและออกแบบรายละเอียดระบบรถไฟฟ้าชานเมืองร่วมกับรถไฟทางไกลเชื่อมต่อระบบขนส่งมวลชนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล สายตลิ่งชัน-นครปฐม ของ รฟท. ให้เป็นไปตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และรายงานเสนอสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทุก ๖ เดือน
|
.....