ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 11 จากทั้งหมด 48 หน้า แสดงรายการที่ 201 - 220 จากข้อมูลทั้งหมด 958 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
201 | ขออนุมัติเช่าที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทยเพื่อใช้เป็นสถานที่ก่อสร้างอาคารที่ทำการสำนักงานคดีเยาวชนและครอบครัว | อส | 25/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้สำนักงานอัยการสูงสุดเช่าที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-พ.ศ. ๒๕๗๕ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๙๐,๗๐๗,๑๐๔ บาท และอนุมัติให้สำนักงานอัยการสูงสุดก่อหนี้ผูกพันเกินกว่า ๕ ปี เป็นกรณีเฉพาะราย สำหรับงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเช่าที่ดินดังกล่าว เห็นควรให้สำนักงานอัยการสูงสุดจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ทั้งนี้ ให้สำนักงานอัยการสูงสุดจัดเตรียมความพร้อมที่ดิน แบบรูปรายการก่อสร้าง และประมาณการค่าใช้จ่าย ตลอดจนกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างให้ครบถ้วน และเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม เพื่อให้การก่อสร้างอาคารที่ทำการสำนักงานคดีเยาวชนและครอบครัวสามารถดำเนินการได้แล้วเสร็จโดยเร็ว อันจะก่อให้เกิดความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อทางราชการและประชาชนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้สำนักงานอัยการสูงสุดและการรถไฟแห่งประเทศไทยรับความเห็นของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ขอให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาออกแบบอาคารให้เกิดประโยชน์กับประชาชนแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) ให้เกิดความคุ้มค่ากับการลงทุน และให้การรถไฟแห่งประเทศไทยสงวนสิทธิ์ขอคืนพื้นที่บริเวณดังกล่าวในกรณีต้องใช้ประโยชน์พื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
202 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างและขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนประดิพัทธ์กับถนนกำแพงเพชร พ.ศ. .... | มท | 18/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างและขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนประดิพัทธ์กับถนนกำแพงเพชร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างและขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนประดิพัทธ์กับถนนกำแพงเพชร ในท้องที่แขวงสามเสนใน เขตพญาไท และแขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร เพื่ออำนวยความสะดวกและลดปัญหาความคับคั่งของการจราจรในบริเวณดังกล่าว และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับไปดำเนินการในการกำหนดราคาและค่าตอบแทนที่เป็นธรรมตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา และรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณาก่อสร้างทางสายต่าง ๆ โดยกระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) ควรให้ความสำคัญกับการพิจารณาผลกระทบด้านการระบายน้ำภายหลังจากการก่อสร้าง รวมทั้งควรพิจารณาความเหมาะสมของการสร้างและขยายทางสายดังกล่าว เนื่องจากปัจจุบันกรุงเทพมหานครยังอยู่ระหว่างประสานงานกับการรถไฟแห่งประเทศไทยเพื่อขอใช้พื้นที่บริเวณถนนกำแพงเพชร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ที่ใช้ในการก่อสร้างทางเชื่อมระหว่างถนนประดิพัทธ์กับถนนกำแพงเพชร อีกทั้งผลการเข้าสำรวจอสังหาริมทรัพย์ของกรุงเทพมหานครที่ผ่านมายังไม่ได้รับความร่วมมือจากเจ้าของที่ดินที่ถูกเวนคืน นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการดำเนินการพัฒนาโครงการสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อส่งเสริมการเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ ซึ่งจะช่วยบรรเทาปัญหาการเดินทางในบริเวณกรุงเทพมหานครและปริมณฑลในภาพรวมได้อย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
203 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2559 (เพิ่มเติม) และครั้งที่ 3/2559 | ทส | 04/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๙ (เพิ่มเติม) จำนวน ๑ เรื่อง ได้แก่ รายงานการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ กรณีปรับปรุงรูปแบบอาคารจอดรถสถานีแยกนนทบุรี ๑ ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ๒. มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๙ จำนวน ๔ เรื่อง ได้แก่ (๑) โครงการก่อสร้างอาคารพักอาศัย (แปลง G) โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดงของการเคหะแห่งชาติ (๒) โครงการระบบรถไฟทางคู่เพื่อการขนส่งและจัดการโลจิสติกส์ (ระยะที่ ๑) แนวเส้นทางลพบุรี-ปากน้ำโพ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (๓) โครงการระบบรถไฟทางคู่เพื่อการขนส่งและจัดการโลจิสติกส์ (ระยะที่ ๑) แนวเส้นทางนครปฐม-ชุมทางหนองปลาดุก-หัวหิน ของการรถไฟแห่งประเทศไทย และ (๔) ข้อชี้แจงการดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ โครงการก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าระบบแรงดัน ๑๑๕ กิโลโวลต์ ช่วงสถานีไฟฟ้าฮอด อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ถึงสถานีไฟฟ้าแม่สะเรียง อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
204 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านคมนาคม ระหว่างไทย - ญี่ปุ่น | คค | 04/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านคมนาคม ระหว่างไทย-ญี่ปุ่น เมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๕๙ ณ กระทรวงคมนาคม โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ มีประเด็นสำคัญ ดังนี้
๑. ความร่วมมือด้านระบบราง มีการตกลงร่วมกัน (๑) ฝ่ายญี่ปุ่นยินดีให้ความช่วยเหลือฝ่ายไทยในการจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาเมืองและพื้นที่เศรษฐกิจตามแนวเส้นทางรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพ-เชียงใหม่ (๒) ฝ่ายญี่ปุ่นยินดีให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาเส้นทางรถไฟตามแนวเศรษฐกิจด้านใต้ (๓) ทั้งสองฝ่ายเห็นด้วยในการเร่งรัดการศึกษาการพัฒนาเศรษฐกิจตามแนวเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (๔) การขนส่งสินค้าทางรถไฟอยู่ระหว่างการพิจารณาเรื่องการจัดตั้งนิติบุคคลเฉพาะกิจ และ (๕) ฝ่ายญี่ปุ่นยินดีให้ความช่วยเหลือฝ่ายไทยในการพัฒนาสถานีกลางบางซื่อ ๒. ความร่วมมือด้านการพัฒนาบุคลากร ฝ่ายไทยได้ขอให้ฝ่ายญี่ปุ่นพิจารณาจัดโครงการฝึกอบรมให้แก่เจ้าหน้าที่โรงงานมักกะสันของการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งฝ่ายญี่ปุ่นจะรับไปพิจารณา ๓. ความร่วมมือด้านความปลอดภัยทางถนน ฝ่ายไทยได้ขอให้ฝ่ายญี่ปุ่นพิจารณาให้ความช่วยเหลือในการส่งผู้เชี่ยวชาญมาให้คำปรึกษาเกี่ยวกับความปลอดภัยทางถนนเพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติก่อนช่วงเทศกาลปีใหม่ ซึ่งฝ่ายญี่ปุ่นยินดีให้ความช่วยเหลือ ๔. ความร่วมมือด้านการบิน ฝ่ายไทยขอบคุณสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศญี่ปุ่นที่ส่งผู้เชี่ยวชาญมาประจำที่สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ๕. ความร่วมมือระหว่างกระทรวงคมนาคมและบริษัทญี่ปุ่นในด้านอื่น ๆ เช่น บริษัท โตโยต้า มีความร่วมมือกับกระทรวงคมนาคมและหน่วยงานภาครัฐของไทยในโครงการ “สาทร โมเดล” เพื่อการแก้ปัญหาจราจรอย่างยั่งยืนบนถนนสาทร ๖. การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย ฝ่ายไทยขอให้ฝ่ายญี่ปุ่นพิจารณาสนับสนุนเงินกู้เงื่อนไขผ่อนปรนสำหรับโครงการก่อสร้างถนนเชื่อมระหว่างชายแดนไทยกับทวาย และขอให้ฝ่ายญี่ปุ่นเร่งรัดสัญญาร่วมทุนนิติบุคคลเฉพาะกิจ โดยฝ่ายไทยจะพยายามเร่งรัดให้มีการหารือ ๓ ฝ่ายโดยเร็ว ๗. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่งและการท่องเที่ยวของญี่ปุ่น ได้ร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือด้านระบบราง และบันทึกความร่วมมือด้านความปลอดภัยทางถนน ระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่งและการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
205 | เงินกู้จากรัฐบาลญี่ปุ่นสำหรับโครงการรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต ระยะที่ 3 | กค | 27/09/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนว่าด้วยความร่วมมือทางการเงินระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่นและเอกสารที่เกี่ยวข้อง และร่างสัญญาเงินกู้ ๑.๒ เห็นชอบในการระบุให้ใช้อนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาทตามร่างสัญญาเงินกู้และ General Terms and Conditions for Japanese ODA Loans ฉบับเดือนพฤศจิกายน ปี ๒๕๕๗ ขององค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency : JICA) ๑.๓ อนุมัติให้กระทรวงการคลังกู้เงินในนามรัฐบาลไทยจาก JICA สำหรับโครงการรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต ระยะที่ ๓ วงเงิน ๑๖๖,๘๖๐ ล้านเยน ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กล่าวข้างต้น และอนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กู้ต่อจากกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามกฎ ระเบียบ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขของกระทรวงการคลังที่จะได้ตกลงกับ รฟท. ต่อไป และให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีในส่วนที่รัฐบาลรับภาระให้แก่ รฟท. เพื่อชำระหนี้คืนแก่แหล่งเงินกู้โดยตรงสำหรับเงินต้นและดอกเบี้ย รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ๑.๔ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่ากระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามในนามรัฐบาลไทยในหนังสือแลกเปลี่ยนว่าด้วยความร่วมมือทางการเงินระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่นและเอกสารที่เกี่ยวข้อง และลงนามในสัญญาเงินกู้กับ JICA ๑.๕ มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจัดทำคำรับรองทางกฎหมาย (Legal Opinion) สำหรับสัญญาเงินกู้ดังกล่าวในโอกาสแรกภายหลังจากที่ได้มีการลงนามในสัญญาเงินกู้แล้ว ๒. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมรับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ และ รฟท. ดำเนินการควบคุมจัดทำระบบบัญชีเงินกู้ในส่วนที่รัฐบาล และ รฟท. รับภาระแยกออกจากกันให้ชัดเจน เพื่อให้ทราบภาระต้นเงินกู้ ค่าดอกเบี้ย และภาระค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องของแต่ละฝ่ายที่รับผิดชอบ และให้กระทรวงคมนาคมพิจารณารูปแบบการลงทุนและการเดินรถโครงการรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต และช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ที่มีความเหมาะสม และในกรณีที่กระทรวงคมนาคมพิจารณาแล้วยืนยันว่า รฟท. จำเป็นต้องเป็นผู้ลงทุนและเดินรถโครงการดังกล่าว เห็นควรให้ รฟท. เร่งจัดทำแผนธุรกิจ แผนบริหารจัดการหนี้สิน และแผนการปรับโครงสร้างองค์กร รวมทั้งแนวทางการจัดเตรียมบุคลากรเพื่อรองรับการดำเนินโครงการดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็ว เพื่อสร้างความมั่นใจว่า รฟท. จะสามารถเปิดให้บริการประชาชนได้ทันทีที่ดำเนินการก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
206 | ขออนุมัติดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงมาบกะเบา - ชุมทางถนนจิระ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 27/09/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินการโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ ในกรอบวงเงิน ๒๙,๔๔๙.๓๑ ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗) ตามความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมและ รฟท. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และข้อสังเกตของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ เพื่อให้การดำเนินโครงการของ รฟท. มีประสิทธิภาพและสามารถสร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจได้ในระดับที่เสนอ เช่น การพิจารณาให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนและบริหารจัดการเดินรถร่วมกับ รฟท. การกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาดให้สามารถแข่งขันกับการขนส่งรูปแบบอื่น ๆ ได้ การแก้ไขปัญหาจุดตัดทางรถไฟ การพัฒนาที่ดินที่ไม่ใช้ในการเดินรถตามแนวทางเขตรถไฟ การปรับโครงสร้างการบริหารจัดการกิจการรถไฟ ตลอดจนการขับเคลื่อนโครงการลงทุนต่าง ๆ ให้สามารถเชื่อมโยงการขนส่งหลายรูปแบบ (Multi-modal) ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. สำหรับแนวทางการรับภาระการลงทุน ให้ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ โดยค่าเวนคืนที่ดินและค่าดำเนินการประกวดราคา (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดังกล่าวให้แก่ รฟท. และในส่วนของค่าก่อสร้างและค่าจ้างที่ปรึกษาควบคุมงาน (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ให้กระทรวงการคลังจัดหาเงินกู้ในประเทศและให้กู้ต่อแก่ รฟท. โดยเห็นชอบให้ รฟท. กู้เงินตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓๙ (๔) ทั้งนี้ ให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณเป็นรายจ่ายชำระหนี้ดังกล่าวให้แก่ รฟท.
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
207 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 13/09/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการด้านการบริหารราชการแผ่นดิน ดังนี้
๑. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) กำกับ เร่งรัด และติดตามการปฏิรูปประเทศด้านการบริหารราชการแผ่นดิน โดยให้ส่วนราชการที่มีแผนที่จะปรับปรุงโครงสร้าง ขั้นตอน หรือวิธีปฏิบัติราชการให้ดำเนินการได้โดยคำนึงถึงการทำงานแบบบูรณาการด้วย ทั้งนี้ หากเป็นการปรับปรุงวิธีปฏิบัติราชการในภารกิจการให้บริการประชาชนให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายใน ๑ เดือน ส่วนการปรับปรุงโครงสร้างของส่วนราชการให้เตรียมการไว้ล่วงหน้า เพื่อให้มีความพร้อมดำเนินการได้ทันทีเมื่อการปฏิรูปประเทศด้านการบริหารราชการแผ่นดินตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับใหม่มีผลใช้บังคับ ๒. ตามที่ได้มีการจัดตั้งศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) (คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๒๖/๒๕๕๗ ลงวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๗) และคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๕) เห็นชอบให้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต (ศปท.) ในทุกส่วนราชการ นั้น ขณะนี้ได้มีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเกี่ยวกับเรื่อง การตรวจสอบการปฏิบัติราชการเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระบบราชการ (คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๔๗/๒๕๕๙ ลงวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๙) โดยการดำเนินการตามคำสั่งดังกล่าวกำหนดให้มี ศอตช. และ ศปท. เป็นกลไกในการประสานงานและตรวจสอบ ดังนั้น จึงให้ทุกส่วนราชการให้ความร่วมมือในการปฏิบัติงานของ ศอตช. และ ศปท. เพื่อไม่ให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชันในระบบราชการ รวมทั้งให้ทุกส่วนราชการกำกับดูแลบุคลากรในสังกัดที่ปฏิบัติหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการและการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรวดเร็ว เท่าเทียม และเป็นธรรม โดยไม่ให้มีการแสวงประโยชน์จากการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว ๓. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาการรวมชุดสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อป้องกันการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคาที่กำหนด ๔. ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับการรถไฟแห่งประเทศไทยเร่งดำเนินการปรับปรุงตู้โดยสารรถไฟชั้นสามให้มีความปลอดภัย ทันสมัย และมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งปรับปรุงความสะอาดของตู้รถไฟทุกขบวน ห้องน้ำภายในรถไฟและในสถานีให้แล้วเสร็จภายใน ๓ เดือน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
208 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 06/09/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการให้กระทรวงคมนาคม โดยการรถไฟแห่งประเทศไทยจัดให้มีรถตรวจรางรถไฟในเส้นทางรถไฟสายใต้ให้เพียงพอและให้ประสานความร่วมมือในการดำเนินงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่ เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมทั้งภาคประชาชน เพื่อให้สามารถให้บริการผู้โดยสารและขนส่งสินค้าได้อย่างสะดวกและปลอดภัย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
209 | โครงการสานพลังประชารัฐ - การพัฒนาพื้นที่บึงบางซื่อ | กค | 06/09/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการดำเนินโครงการสานพลังประชารัฐ-การพัฒนาพื้นที่บึงบางซื่อ ซึ่งเป็นการพัฒนาพื้นที่บึงบางซื่อของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (บรืษัท เอสซีจี) เป็นพื้นที่อยู่อาศัยและพื้นที่สาธารณประโยชน์ให้กับชุมชน เพื่อแก้ไขปัญหาในปัจจุบันที่ประชาชนเข้ามาบุกรุกและสร้างเป็นที่พักอาศัยอย่างหนาแน่นในลักษณะชุมชนแออัด ทำให้สภาพแวดล้อมในบริเวณดังกล่าวมีความเสื่อมโทรม ผู้ที่อยู่อาศัยในพื้นที่ดังกล่าวไม่สามารถขอทะเบียนราษฎร์และไม่สามารถเข้าถึงการให้บริการด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของรัฐได้ รวมทั้งทางเข้า-ออกที่ชุมชนใช้อยู่ในปัจจุบันยังไม่ได้ขออนุญาตการใช้อย่างถูกต้องจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงเสนอขอรับการสนับสนุนจากภาครัฐเพื่อดำเนินโครงการดังกล่าวให้เป็นโครงการต้นแบบที่ภาคธุรกิจมีส่วนร่วมในการสนับสนุนนโยบายประชารัฐ โดยขอความร่วมมือจาก รฟท. ในการอนุญาตให้ใช้พื้นที่เพื่อเป็นทางเข้า-ออก และพื้นที่จอดรถของโครงการดังกล่าว และขอให้มีการแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อขับเคลื่อนให้การทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานไปในทิศทางเดียวกัน และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนการดำเนินการภายใต้โครงการดังกล่าว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยจะต้องป้องกันมิให้เกิดปัญหาการบุกรุกในพื้นที่ ข้อขัดแย้ง การร้องเรียน และการกระทำที่ผิดกฎหมาย ๒. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคม (สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาความเหมาะสมในการออกแบบทางเข้า-ออก และสถานที่จอดรถของโครงการดังกล่าว เพื่อประกอบการพิจารณาอนุญาตใช้พื้นที่ของ รฟท. ตามขั้นตอน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
210 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 30/08/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านการต่างประเทศ ให้กระทรวงคมนาคมศึกษาความเป็นไปได้ในการเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟระหว่างประเทศไทยและราชอาณาจักรกัมพูชา โดยให้พิจารณาการให้ความช่วยเหลือสนับสนุนตู้โดยสารหรือหัวรถจักรซึ่งไม่ได้ใช้งานแล้วแต่ยังใช้การได้แก่ราชอาณาจักรกัมพูชาด้วย ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ ให้ทุกส่วนราชการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลให้แก่ประชาชนทุกระดับโดยมุ่งเน้นการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์ที่ประชาชนแต่ละกลุ่มจะได้รับ รวมทั้งชี้แจงด้วยว่า ในการดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลมิได้มุ่งที่จะสร้างรายได้ให้กับประเทศเท่านั้น แต่ได้ให้ความสำคัญในการดูแลช่วยเหลือประชาชนภายในประเทศทุกระดับอย่างเท่าเทียมกันด้วย ทั้งนี้ ให้ใช้ช่องทางการสื่อสารที่หลากหลาย เช่น สื่อมวลชน ผู้นำท้องถิ่น สื่อสังคมออนไลน์ ๒.๒ ให้คณะกรรมการติดตามการปฏิบัติงานตามนโยบายของรัฐบาลที่มีรองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) เป็นประธานกรรมการ ร่วมกับสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี) ติดตามผลการดำเนินการโครงการที่ใช้งบประมาณของรัฐจำนวนมาก เช่น โครงการที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย และส่งรายงานผลการติดตามให้เลขาธิการนายกรัฐมนตรีทุก ๓ เดือน เพื่อเสนอนายกรัฐมนตรีต่อไป ๒.๓ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการพัฒนาพืชสมุนไพรไทยให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้เป็นที่ยอมรับและสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากสมุนไพรไทยให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว และพิจารณากำหนดมาตรการส่งเสริมการลงทุนและการพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยที่มีศักยภาพ รวมทั้งส่งเสริมการใช้สมุนไพรและยาแผนโบราณเพื่อรักษาโรคตามแนวทางการแพทย์แผนไทยต่อไปด้วย ๒.๔ ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทยพิจารณากำหนดแนวทางเพื่อผลักดันให้จังหวัดที่ยังไม่มีการขึ้นทะเบียนสินค้าบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือสินค้าจีไอ (Geographic Indication : GI) สามารถดำเนินการขึ้นทะเบียนสินค้าจีไอภายในปี ๒๕๖๐ ๒.๕ ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งดำเนินโครงการร้านหนูณิชย์ (รถขายเคลื่อนที่) โดยให้ขยายพื้นที่เป้าหมายไปเปิดจำหน่ายในพื้นที่ชุมชน สถานที่ท่องเที่ยว หรือสวนสาธารณะ เช่น สวนวชิรเบญจทัศ (สวนรถไฟ) สวนลุมพินี ฯลฯ เพื่อสร้างโอกาสในการเข้าถึงของกลุ่มผู้บริโภคที่หลากหลายขึ้น ทั้งคนวัยทำงาน วัยรุ่น และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ อันจะส่งผลให้เกิดรายได้สู่เศรษฐกิจชุมชนและท้องถิ่นมากขึ้น ทั้งนี้ ในการดำเนินการยังต้องคงเป้าหมายหลักในเรื่องคุณภาพและรสชาติของอาหาร รวมทั้งราคาประหยัดด้วย ๒.๖ ตามที่นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการขยายการดำเนินการจำหน่ายสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ไปยังสายการบินอื่น ๆ นั้น ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาขยายช่องทางการจำหน่ายสินค้า OTOP ดังกล่าวให้หลากหลายมากยิ่งขึ้น เช่น บริเวณสถานีรถไฟ บนรถไฟเส้นทางต่าง ๆ ๓. ด้านสังคม ๓.๑ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) กำกับให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการแก้ไขปัญหาการจราจร โดยเฉพาะพื้นที่ในเขตกรุงเทพมหานคร คู่ขนานไปกับการสร้างความรู้ความเข้าใจทั้งแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ ซึ่งต้องบังคับใช้กฎหมาย โดยให้ใช้ทั้งหลักนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ควบคู่กัน รวมทั้งให้ความรู้แก่ประชาชนที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการดำเนินการแก้ไขปัญหาการจราจรของรัฐบาลทั้งในเรื่องการวางโครงข่ายคมนาคมของประเทศและการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าด้วย ๓.๒ ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาจัดให้มีเรือโดยสารรับจ้างสาธารณะขนาดเล็ก (เรือ Taxi) เพื่อบรรเทาปัญหาการจราจรในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยให้เริ่มดำเนินการในลำคลองที่มีศักยภาพก่อน ทั้งนี้ จะต้องกำกับให้มีมาตรฐานควบคุมความปลอดภัยโดยเคร่งครัดด้วย ๓.๓ ตามที่มีการเปิดใช้ขบวนรถไฟโดยสารรุ่นใหม่เส้นทางกรุงเทพฯ-นครปฐม เมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๙ นั้น พบว่า มีการบุกรุกที่ดินบริเวณสองข้างทางของการรถไฟแห่งประเทศไทยเป็นจำนวนมาก โดยคนเร่ร่อนไร้บ้านได้สร้างที่พักอาศัยชิดแนวเส้นทางเดินรถ รวมทั้งทิวทัศน์ทั้งสองข้างทางไม่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย จึงให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดำเนินการช่วยเหลือให้คนเร่ร่อนเหล่านี้มีที่อยู่อาศัยในพื้นที่อื่นที่มีความเหมาะสม และให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์ของสองข้างทางดังกล่าวให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย รวมทั้งเส้นทางอื่น ๆ ของการรถไฟแห่งประเทศไทยด้วย ๔. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๔.๑ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) กำกับและเร่งรัดการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหากองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ๔.๒ ให้ทุกส่วนราชการประเมินผลการดำเนินโครงการที่ใช้จ่ายงบประมาณของรัฐ เช่น มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย และรายงานผลให้สำนักงบประมาณทุก ๓ เดือน ๔.๓ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณากำหนดมาตรการหรือหลักเกณฑ์ในการดูแลช่วยเหลือนักกีฬาอาชีพที่สร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศโดยให้ครอบคลุมถึงอดีตนักกีฬาและนักกีฬาคนพิการด้วย ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงความเหมาะสม เป็นธรรม และความเท่าเทียมกันเป็นสำคัญ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
211 | สรุปการจัดพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือโครงการความปลอดภัยและอาชีวอนามัยของประเทศไทย (Safety Thailand) | รง | 23/08/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปการจัดพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือโครงการความปลอดภัยและอาชีวอนามัยของประเทศไทย (Safety Thailand) เมื่อวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ณ ทำเนียบรัฐบาล โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เป็นประธานและสักขีพยานในการลงนามข้อตกลงฯ ซึ่งเป็นการดำเนินงานภายใต้ความร่วมมือของ ๖ กระทรวง ประกอบด้วย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและสุขภาพอนามัยที่ดีของคนทำงานและประชาชนในสังคมภายใต้ชื่อ “โครงการความปลอดภัยและอาชีวอนามัยของประเทศไทย (Safety Thailand)” และเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายการขับเคลื่อนประเทศไทย รวมทั้งเป็นการรองรับอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ ๑๘๗ ว่าด้วยกรอบเชิงส่งเสริมการดำเนินงานความปลอดภัยและอาชีวอนามัย ค.ศ. ๒๐๐๖ ซึ่งไทยได้ให้สัตยาบันเมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๕๙ นอกจากนี้ กิจกรรมการจัดพิธีลงนามฯ ยังประกอบด้วยการจัดนิทรรศการด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยของหน่วยงานภายใต้ ๖ กระทรวงข้างต้น ได้แก่ กรมวิชาการเกษตร การท่าเรือแห่งประเทศไทย การรถไฟแห่งประเทศไทย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน สถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน (องค์การมหาชน) กรมอนามัย กรมควบคุมโรค และกรมโรงงานอุตสาหกรรม ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
212 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทย (จำนวน 7 คน 1. นายพิชิต อัคราทิตย์ ฯลฯ) | คค | 23/08/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทย จำนวน ๗ คน เนื่องจากประธานกรรมการและกรรมการชุดเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปีแล้ว เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๙ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๙) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. นายพิชิต อัคราทิตย์ ประธานกรรมการ ๒. นายคณิศ แสงสุพรรณ กรรมการอื่น (จากบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจตามประกาศของกระทรวงการคลัง) ๓. นายบวร วงศ์สินอุดม กรรมการอื่น ๔. นายอานนท์ เหลืองบริบูรณ์ กรรมการอื่น ๕. รองศาสตราจารย์ธัชวรรณ กนิษฐ์พงศ์ กรรมการอื่น ๖. นางอัญชลี เต็งประทีป กรรมการอื่น ๗. นายอำนวย ปรีมนวงศ์ กรรมการอื่น (จากบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจตามประกาศของกระทรวงการคลัง) (ผู้แทนกระทรวงการคลัง)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
213 | ขออนุมัติดำเนินการก่อสร้างโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน ช่วงบางซื่อ - พญาไท - มักกะสัน - หัวหมาก และสายสีแดงเข้ม ช่วงบางซื่อ - หัวลำโพง ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 26/07/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินการก่อสร้างโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน ช่วงบางซื่อ-พญาไท-มักกะสัน-หัวหมาก และสายสีแดงเข้ม ช่วงบางซื่อ-หัวลำโพง ในกรอบวงเงิน ๔๔,๑๕๗.๗๖ ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗) และเห็นชอบให้ รฟท. กู้เงินตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓๙ (๔) ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคม และ รฟท. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ เกี่ยวกับแนวทางการรับภาระการลงทุนและการจัดหาแหล่งเงินทุน รัฐบาลควรรับภาระค่าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานงานโยธาและส่วนที่เกี่ยวข้องตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ รวมทั้งเห็นควรให้กระทรวงคมนาคมปฏิบัติตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๕ และวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ อย่างเคร่งครัด ไปดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังจัดหาเงินกู้ในประเทศและให้กู้ต่อแก่ รฟท. เพื่อเป็นค่าก่อสร้างงานโยธา ค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมการก่อสร้าง และค่าจ้างที่ปรึกษาวิศวกรอิสระ รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมทั้งให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณเพื่อเป็นค่าที่ปรึกษาจัดการประกวดราคาและค่ารื้อย้ายและเวนคืนที่ดิน รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ ๓. สำหรับงานระบบไฟฟ้า อาณัติสัญญาณและขบวนรถไฟฟ้า รวมถึงค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการเดินรถและการบำรุงรักษา ให้ รฟท. เป็นผู้รับภาระการลงทุนเอง โดยให้ รฟท. กู้เงินจากในประเทศ และกระทรวงการคลังค้ำประกัน ทั้งนี้ ในส่วนของการบริหารจัดการเดินรถและการบำรุงรักษา ให้กระทรวงคมนาคม และ รฟท. เร่งจัดทำแผนการบริหารจัดการโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง ตลอดทั้งเส้นทางตามมติของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๙ และเสนอ คนร. พิจารณาโดยเร็ว และหาก คนร. มีมติให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในการบริหารจัดการเดินรถและบำรุงรักษาโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดง ให้ รฟท. เร่งดำเนินการตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนของพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ต่อไป ๔. ให้กระทรวงคมนาคม และ รฟท. ดำเนินการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการฯ และประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจ มาตรการช่วยเหลือต่าง ๆ เช่น การจ่ายเงินชดเชยค่าเสียหาย หรือการสนับสนุนให้เข้าร่วมโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อผู้มีรายได้น้อยของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อลดผลกระทบต่อการดำเนินโครงการในอนาคต |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
214 | การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 12/07/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง รองศาสตราจารย์ธัชวรรณ กนิษฐ์พงศ์ ให้ดำรงตำแหน่งกรรมการอื่นในคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทย เนื่องจากนายภาณุมาศ ศรีศุข กรรมการเดิม ได้ลาออกจากตำแหน่ง เมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๕๘ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๙) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
215 | ขออนุมัติค่าเช่าที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อใช้เป็นสถานที่ก่อสร้างอาคารที่ทำการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (แห่งใหม่) | ตผ | 05/07/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติในหลักการให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเช่าที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยบริเวณย่านพหลโยธิน (ศูนย์การผลิตและซ่อมบำรุง ฝ่ายการช่างโยธา) เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร เพื่อก่อสร้างอาคารที่ทำการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (แห่งใหม่) ในลักษณะการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๖๐-พ.ศ. ๒๕๗๔ อัตราค่าเช่าปีแรกตารางเมตรละ ๑,๕๔๖.๘๘ บาทต่อปี เป็นเงินค่าเช่าปีแรก ๒๗,๐๐๘,๕๒๕ บาท และปรับเพิ่มอัตราค่าเช่าร้อยละ ๕ ทุกปี รวม ๑๕ ปี เป็นจำนวนเงิน ๕๘๒,๘๐๕,๑๗๔.๑๒ บาท โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินจะต้องรับภาระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น ค่ารื้อย้ายค่าก่อสร้างชดเชย และค่าอื่น ๆ ซึ่งการรถไฟแห่งประเทศไทยกำหนด ตลอดจนจะต้องดำเนินการกับผู้บุกรุกและรับภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเองทั้งสิ้น ๑.๒ สำหรับค่าใช้จ่ายการเช่าที่ดินรวม ๑๕ ปี เป็นจำนวนเงิน ๕๘๒,๘๐๕,๑๗๔.๑๒ บาท ซึ่งเป็นอัตราค่าเช่าที่สูง เห็นควรพิจารณาทบทวนหรือต่อรองให้ได้อัตราค่าเช่าที่เหมาะสมและต่ำสุดก่อน โดยค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นนั้น ในปีแรกเห็นควรใช้จ่ายจากเงินรายได้ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ส่วนค่าเช่าในปีต่อ ๆ ไป เห็นควรให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมให้เป็นไปตามสัญญาในแต่ละปีงบประมาณต่อไป ๑.๓ เนื่องจากค่าเช่าที่ดินดังกล่าวจำเป็นต้องก่อหนี้ผูกพันงบประมาณเป็นระยะเวลารวม ๑๕ ปี จึงเห็นควรอนุมัติให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินดำเนินการผูกพันงบประมาณล่วงหน้าเกินกว่า ๕ ปี เป็นกรณีพิเศษเฉพาะรายในคราวเดียวกัน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) ๒. ให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้การรถไฟแห่งประเทศไทยเสนอเรื่องการให้เช่าที่ดินหรือให้สิทธิที่ดินภายในพื้นที่บริเวณย่านพหลโยธินดังกล่าว ให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร กระทรวงคมนาคม พิจารณาความเหมาะสมก่อนดำเนินการตามขั้นตอน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
216 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 05/07/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ดังนี้
๑. มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมชี้แจงความคืบหน้าการดำเนินงานด้านระบบราง โดยเฉพาะโครงการที่จะมีผลเป็นรูปธรรมในปี ๒๕๕๙ และ ๒๕๖๐ ให้สาธารณชนทราบ โดยให้ชี้แจงในรายละเอียดในประเด็นที่สำคัญต่าง ๆ เช่น เหตุผลความจำเป็นในการดำเนินโครงการ รูปแบบการลงทุนที่ใช้ในการดำเนินโครงการ ความคุ้มค่า และการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาคและท้องถิ่น ๒. ให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย) เร่งรัดการจัดทำแผนการบริหารจัดการทรัพย์สินของการรถไฟแห่งประเทศไทยให้ชัดเจน เกิดประโยชน์สูงสุดแก่องค์กร และสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาประเทศ เช่น การกำหนดหลักเกณฑ์และราคาการให้เช่าที่ดินให้สอดคล้องกับราคาตลาด การพิจารณาให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในการพัฒนาทรัพย์สินเพื่อสนับสนุนกิจการขององค์กรหรือสอดคล้องกับแนวนโยบายของรัฐบาล โดยให้นำแผนดังกล่าวเสนอคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจพิจารณาโดยด่วนต่อไป ๓. ตามที่ได้มีข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๗ และวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๕๘ ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมายควบคุมการผลิตสุรากลั่นชุมชนให้ถูกต้องและปลอดภัยยิ่งขึ้น นั้น เนื่องจากปัจจุบันพบว่า ยังมีผู้ผลิตสุรากลั่นชุมชนโดยไม่ได้รับอนุญาตและดำเนินการอย่างไม่ถูกสุขลักษณะ และก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของผู้ดื่ม ก่อให้เกิดปัญหาน้ำเสีย รวมทั้งผลกระทบในด้านอื่น ๆ อีกด้วย เช่น อุบัติเหตุ การก่อเหตุทะเลาะวิวาท จึงให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ให้เกิดเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ให้ทันในช่วงวันหยุดราชการในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๙ เป็นต้นไป และให้กำกับดูแลการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่องด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
217 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทย (นายกรณินทร์ กาญจโนมัย) | คค | 14/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายกรณินทร์ กาญจโนมัย ให้ดำรงตำแหน่งกรรมการอื่นในคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทย เพิ่มเติม ตามมาตรา ๒๔ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๙) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
218 | การรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2559 ณ วันที่ 31 มีนาคม 2559 | กค | 14/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙ ประกอบด้วย หนี้รัฐบาล ๔,๔๓๑,๖๘๓.๙๗ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน ๑,๐๓๙,๙๑๐.๘๒ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ำประกัน) ๕๒๕,๕๒๓.๗๐ ล้านบาท และหนี้หน่วยงานอื่นของรัฐ ๑๖,๕๓๑.๓๗ ล้านบาท รวมยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ๖,๐๑๓,๖๔๙.๘๖ ล้านบาท ๒. ผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะได้จัดทำแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ ได้มีการปรับปรุงแผนฯ แล้ว ๑ ครั้ง มีวงเงินรวมในแผนฯ ๑,๗๔๑,๔๒๒.๒๕ ล้านบาท ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙ กระทรวงการคลังและหน่วยงานต่าง ๆ ได้ดำเนินการกู้เงินและบริหารหนี้เป็นวงเงินทั้งสิ้น ๗๐๓,๑๐๐.๓๗ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๐.๓๘ ของแผนฯ ๓. ผลการดำเนินการบริหารความเสี่ยงหนี้ของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจที่ไม่ได้บรรจุอยู่ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ โดยใช้งบชำระหนี้เหลือจ่ายและรายได้ชำระคืนหนี้ก่อนครบกำหนด (Prepayment) วงเงินรวม ๒๑,๕๗๐.๖๘ ล้านบาท (การบริหารความเสี่ยงหนี้รัฐบาลสามารถลดภาระดอกเบี้ยได้ ๑๗๗.๓๕ ล้านบาท และการบริหารความเสี่ยงหนี้รัฐวิสาหกิจสามารถลดภาระดอกเบี้ยได้ ๑๒.๑๗ ล้านบาท) ซึ่งสามารถลดภาระดอกเบี้ยได้รวมทั้งสิ้น ๑๘๙.๕๒ ล้านบาท ๔. ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการลงทุนตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ ของรัฐวิสาหกิจ จากการติดตามผลการดำเนินโครงการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ จำนวน ๙ แห่ง พบว่า การรถไฟแห่งประเทศไทยมีการดำเนินโครงการล่าช้ากว่าแผน จำนวน ๔ โครงการ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
219 | ข้อเสนอการขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2560 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพและการรถไฟแห่งประเทศไทย | กค | 10/05/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ในวงเงินจำนวน ๑,๕๗๔.๕๘๐ ล้านบาท และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ในวงเงินจำนวน ๓,๒๙๘.๙๓๓ ล้านบาท ๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคม ขสมก. และ รฟท. รับข้อสังเกตของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะในการจัดทำข้อเสนอการขอรับการอุดหนุนบริการสาธารณะและการปรับปรุงการดำเนินงาน โดยการจัดทำงบประมาณการค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนการให้บริการในการขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะในทุก ๆ ปี กระทรวงคมนาคมในฐานะกระทรวงเจ้าสังกัดที่พิจารณาข้อเสนอเบื้องต้นควรตรวจสอบและกำกับให้ ขสมก. และ รฟท. จัดทำข้อเสนอโดยคำนึงถึงหลักความสมเหตุสมผลและสะท้อนต้นทุนจริงในการบริการสาธารณะด้วย และ ขสมก. และ รฟท. ควรมีการปรับปรุงโครงสร้างการให้บริการและบริหารความเสี่ยงในการให้บริการสาธารณะ รวมถึงบริการประเภทอื่นในระยะยาว เพื่อให้มีต้นทุนการให้บริการที่เหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์ และการขนส่งสาธารณะในอนาคตที่เปลี่ยนแปลงไป ๒. ให้กระทรวงการคลัง และกระทรวงคมนาคม โดย ขสมก. และ รฟท. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นควรให้กระทรวงการคลังพิจารณาแนวทางหรือมาตรการในการพิจารณาให้เงินอุดหนุนเพิ่มเติม กรณีที่ผลการดำเนินงานจริงจากการให้บริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจมีต้นทุนด้านราคาน้ำมันเพิ่มสูงกว่าที่กำหนดไว้ เพื่อให้เป็นไปตามหลักการการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะอย่างแท้จริง และให้ ขสมก. และ รฟท. ปรับโครงสร้างการบริหารงานและการบริการประชาชน โดยให้มีผลกระทบกับประชาชนน้อยที่สุด เพื่อแก้ปัญหาจากการขาดทุนการให้บริการดังกล่าว รวมทั้งรายงานผลการปรับปรุงโครงสร้างให้คณะรัฐมนตรีทราบ ในการขอรับเงินอุดหนุนในปีงบประมาณครั้งต่อไป และการดำเนินการทุกขั้นตอนการปฏิบัติจะต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคมกำกับให้ ขสมก. และ รฟท. เร่งดำเนินการเพื่อขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีในปีต่อ ๆ ไป ของ ขสมก. และ รฟท. ให้รวดเร็วและสอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๘ [เรื่อง ขออนุมัติหลักการเกี่ยวกับการดำเนินการด้านการเงินของโครงการที่เกี่ยวข้องกับบริการสาธารณะ (PSO) และโครงการอุดหนุนมาตรการลดค่าครองชีพ] ที่ให้คณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะพิจารณาข้อเสนอเงินอุดหนุนบริการสาธารณะของ ขสมก. และ รฟท. เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีภายในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี และเร่งรัดให้ทั้งสองหน่วยงานจัดทำสรุปรายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป ๔. ให้คณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศและกระทรวงคมนาคมเร่งรัดพิจารณาแนวทางการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางในภาพรวมทั้งระบบให้มีความชัดเจน ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๘ (เรื่อง แนวทางการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางตามมาตรการใหม่) และวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางออกไปอีก ๖ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๘-๓๐ เมษายน ๒๕๕๙) เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
220 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางออกไปอีก 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม - 31 ตุลาคม 2559 | กค | 10/05/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางออกไปอีก ๖ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม-๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดทำแผนการดำเนินงานการลงทะเบียนและจัดทำฐานข้อมูลอาชีพและผู้มีรายได้น้อยสำหรับประชาชนที่จะมีสิทธิได้รับการยกเว้นหรือลดหย่อนค่าโดยสารด้านการเดินทางและรายงานให้คณะรัฐมนตรีเพื่อทราบและเร่งรัดติดตามผลการดำเนินงานดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดยองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และการรถไฟแห่งประเทศไทย จัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่ายจากการดำเนินมาตรการฯ ที่เกิดขึ้นจริงผ่านคณะกรรมการตรวจสอบที่เกี่ยวข้อง และเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายจากการดำเนินมาตรการฯ ตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และรับความเห็นของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่ให้มีการประเมินผลความพึงพอใจของประชาชนที่มาใช้บริการ อาทิ มีการบริการที่เพียงพอหรือไม่ พนักงานให้บริการด้วยความสุภาพหรือไม่ มีความสะอาดถูกสุขลักษณะหรือไม่ และความปลอดภัยในการเดินทางมากน้อยเพียงใด โดยให้สถาบันการศึกษาเป็นผู้ประเมิน และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยเร็ว และการดำเนินการทุกขั้นตอนการปฏิบัติจะต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้คณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศและกระทรวงคมนาคมเร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๘ (เรื่อง แนวทางการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางตามมาตรการใหม่) ให้แล้วเสร็จและนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยด่วน เพื่อให้สามารถดำเนินการตามมาตรการใหม่ได้ภายในวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ |
.....