ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 12 จากทั้งหมด 48 หน้า แสดงรายการที่ 221 - 240 จากข้อมูลทั้งหมด 960 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 221 | ข้อเสนอการขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2560 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพและการรถไฟแห่งประเทศไทย | กค | 10/05/2559 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ในวงเงินจำนวน ๑,๕๗๔.๕๘๐ ล้านบาท และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ในวงเงินจำนวน ๓,๒๙๘.๙๓๓ ล้านบาท ๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคม ขสมก. และ รฟท. รับข้อสังเกตของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะในการจัดทำข้อเสนอการขอรับการอุดหนุนบริการสาธารณะและการปรับปรุงการดำเนินงาน โดยการจัดทำงบประมาณการค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนการให้บริการในการขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะในทุก ๆ ปี กระทรวงคมนาคมในฐานะกระทรวงเจ้าสังกัดที่พิจารณาข้อเสนอเบื้องต้นควรตรวจสอบและกำกับให้ ขสมก. และ รฟท. จัดทำข้อเสนอโดยคำนึงถึงหลักความสมเหตุสมผลและสะท้อนต้นทุนจริงในการบริการสาธารณะด้วย และ ขสมก. และ รฟท. ควรมีการปรับปรุงโครงสร้างการให้บริการและบริหารความเสี่ยงในการให้บริการสาธารณะ รวมถึงบริการประเภทอื่นในระยะยาว เพื่อให้มีต้นทุนการให้บริการที่เหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์ และการขนส่งสาธารณะในอนาคตที่เปลี่ยนแปลงไป ๒. ให้กระทรวงการคลัง และกระทรวงคมนาคม โดย ขสมก. และ รฟท. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นควรให้กระทรวงการคลังพิจารณาแนวทางหรือมาตรการในการพิจารณาให้เงินอุดหนุนเพิ่มเติม กรณีที่ผลการดำเนินงานจริงจากการให้บริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจมีต้นทุนด้านราคาน้ำมันเพิ่มสูงกว่าที่กำหนดไว้ เพื่อให้เป็นไปตามหลักการการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะอย่างแท้จริง และให้ ขสมก. และ รฟท. ปรับโครงสร้างการบริหารงานและการบริการประชาชน โดยให้มีผลกระทบกับประชาชนน้อยที่สุด เพื่อแก้ปัญหาจากการขาดทุนการให้บริการดังกล่าว รวมทั้งรายงานผลการปรับปรุงโครงสร้างให้คณะรัฐมนตรีทราบ ในการขอรับเงินอุดหนุนในปีงบประมาณครั้งต่อไป และการดำเนินการทุกขั้นตอนการปฏิบัติจะต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคมกำกับให้ ขสมก. และ รฟท. เร่งดำเนินการเพื่อขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีในปีต่อ ๆ ไป ของ ขสมก. และ รฟท. ให้รวดเร็วและสอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๘ [เรื่อง ขออนุมัติหลักการเกี่ยวกับการดำเนินการด้านการเงินของโครงการที่เกี่ยวข้องกับบริการสาธารณะ (PSO) และโครงการอุดหนุนมาตรการลดค่าครองชีพ] ที่ให้คณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะพิจารณาข้อเสนอเงินอุดหนุนบริการสาธารณะของ ขสมก. และ รฟท. เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีภายในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี และเร่งรัดให้ทั้งสองหน่วยงานจัดทำสรุปรายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป ๔. ให้คณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศและกระทรวงคมนาคมเร่งรัดพิจารณาแนวทางการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางในภาพรวมทั้งระบบให้มีความชัดเจน ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๘ (เรื่อง แนวทางการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางตามมาตรการใหม่) และวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางออกไปอีก ๖ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๘-๓๐ เมษายน ๒๕๕๙) เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป |
||||||||||||||||||
| 222 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางออกไปอีก 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม - 31 ตุลาคม 2559 | กค | 10/05/2559 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางออกไปอีก ๖ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม-๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดทำแผนการดำเนินงานการลงทะเบียนและจัดทำฐานข้อมูลอาชีพและผู้มีรายได้น้อยสำหรับประชาชนที่จะมีสิทธิได้รับการยกเว้นหรือลดหย่อนค่าโดยสารด้านการเดินทางและรายงานให้คณะรัฐมนตรีเพื่อทราบและเร่งรัดติดตามผลการดำเนินงานดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดยองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และการรถไฟแห่งประเทศไทย จัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่ายจากการดำเนินมาตรการฯ ที่เกิดขึ้นจริงผ่านคณะกรรมการตรวจสอบที่เกี่ยวข้อง และเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายจากการดำเนินมาตรการฯ ตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และรับความเห็นของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่ให้มีการประเมินผลความพึงพอใจของประชาชนที่มาใช้บริการ อาทิ มีการบริการที่เพียงพอหรือไม่ พนักงานให้บริการด้วยความสุภาพหรือไม่ มีความสะอาดถูกสุขลักษณะหรือไม่ และความปลอดภัยในการเดินทางมากน้อยเพียงใด โดยให้สถาบันการศึกษาเป็นผู้ประเมิน และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยเร็ว และการดำเนินการทุกขั้นตอนการปฏิบัติจะต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้คณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศและกระทรวงคมนาคมเร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๘ (เรื่อง แนวทางการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางตามมาตรการใหม่) ให้แล้วเสร็จและนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยด่วน เพื่อให้สามารถดำเนินการตามมาตรการใหม่ได้ภายในวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ |
||||||||||||||||||
| 223 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 1/2559 | กค | 26/04/2559 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๙ และมอบหมายผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่าง ๆ ดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจดังกล่าวต่อไป สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินงานตามแผนการแก้ไขปัญหาของรัฐวิสาหกิจ จำนวน ๗ แห่ง ในช่วง ๑ ปีที่ผ่านมา ได้แก่ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย การรถไฟแห่งประเทศไทย องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) รวมถึงการประเมินผลการแก้ไขปัญหาของรัฐวิสาหกิจครั้งที่ ๑ (ณ สิ้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๘) และมอบหมายให้รัฐวิสาหกิจ กระทรวงเจ้าสังกัด และกระทรวงการคลัง ดำเนินการต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหา รวมถึงกำหนดตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายสำหรับการประเมินผลในครั้งที่ ๒ (ณ สิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๙) ๑.๒ เห็นชอบในหลักการและแนวทางการปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... ที่ได้มีการปรับปรุงแก้ไขตามความเห็น ข้อสังเกต และข้อเสนอแนะของผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนจากการสัมมนารับฟังความเห็นเกี่ยวกับกฎหมาย และมอบหมายให้กระทรวงการคลังพิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๓ เห็นชอบหลักการการคงอยู่ของบริษัทในเครือที่มีการดำเนินการสอดคล้องกับภารกิจตามวัตถุประสงค์ของรัฐวิสาหกิจ และบริษัทในเครือที่จัดตั้งขึ้นตามความจำเป็นต่อการดำเนินภารกิจเฉพาะตามวัตถุประสงค์ของรัฐวิสาหกิจ โดยหากบริษัทในเครือใดมีผลประกอบการขาดทุน ให้รัฐวิสาหกิจร่วมกับบริษัทในเครือจัดทำแผนแก้ไขปัญหาโดยเร็ว รวมทั้งเห็นชอบการยุบเลิกหรือถอนการลงทุนบริษัทในเครือที่มิได้ดำเนินการสอดคล้องกับภารกิจตามวัตถุประสงค์ของรัฐวิสาหกิจ ๑.๔ เห็นชอบในหลักการให้นำค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการของขวัญปีใหม่ ๒๕๕๙ ให้แก่ประชาชน ของธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และธนาคารอาคารสงเคราะห์ บวกกลับกำไรสุทธิเพื่อการคำนวณโบนัสพนักงานรัฐวิสาหกิจในปีที่เกิดค่าใช้จ่ายขึ้นจริง ๑.๕ รับทราบความคืบหน้าการปรับปรุงและเพิ่มเติมข้อมูลที่เปิดเผยของโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ปีงบประมาณ ๒๕๕๔-๒๕๖๐) ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) เพื่อแก้ไขปัญหาธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ควรมีมาตรการที่เป็นรูปธรรมและชัดเจนในการเตรียมการแก้ไขปัญหาและรับมือกับสถานการณ์หรือการป้องกันการบริหารหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ สำหรับการดำเนินการเพื่อรองรับร่างพระราชบัญญัติการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจและหลักทรัพย์ของรัฐ พ.ศ. .... ควรเตรียมการจัดทำแผนยุทธศาสตร์รัฐวิสาหกิจและหลักเกณฑ์การประเมินผลบรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติ และจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ส่วนกรณีขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ นั้น ให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพพิจารณาจัดทำแผนปรับปรุงการบริหารจัดการและบริการระบบขนส่งมวลชนเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และเพิ่มรายได้จากการบริการ รวมทั้งเร่งรัดการแก้ไขปัญหาอุปสรรคและปรับปรุงระบบการบริหารการเงินให้เป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
| 224 | ขออนุมัติดำเนินงานโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงประจวบคีรีขันธ์ - ชุมพร | คค | 26/04/2559 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย) ดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และเห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทยกู้เงินในประเทศ จำนวน ๑๗,๑๖๔.๐๘ ล้านบาท โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณากู้เงินในประเทศและนำมาให้การรถไฟแห่งประเทศไทยกู้ต่อ รวมทั้งให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นงบชำระหนี้ให้แก่การรถไฟแห่งประเทศไทยทั้งในส่วนเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องตามความเห็นของกระทรวงการคลัง สำหรับค่าเวนคืนที่ดินและค่าจ้างที่ปรึกษาดำเนินการประกวดราคา วงเงิน ๑๒๖.๕๕ ล้านบาท ให้การรถไฟแห่งประเทศไทยเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจที่เห็นควรเร่งรัดการประกวดราคาและลงนามในสัญญาจ้างให้แล้วเสร็จโดยเร็วเพื่อที่จะได้สามารถเบิกจ่ายเงินกู้ให้เป็นไปตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ การกำหนดราคากลางให้แล้วเสร็จภายใน ๓๐ วัน ก่อนเริ่มดำเนินการจัดหาตามนัยระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม การเร่งพิจารณาเสนอขออนุมัติโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ๓ เส้นทาง ได้แก่ ช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ช่วงนครปฐม-หัวหิน และช่วงหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาในคราวเดียวกัน รวมถึงการเร่งพิจารณากำหนดแผนพัฒนาระบบรถไฟให้สามารถสนับสนุนการพัฒนาเส้นทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ การพิจารณาจัดหาแหล่งเงินทุนที่เหมาะสม ประหยัด และสร้างภาระงบประมาณต่อภาครัฐและภาระหนี้สาธารณะของประเทศให้น้อยที่สุด โดยให้คำนึงถึงบทบาทของภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศที่จะสามารถเข้ามาร่วมลงทุนดำเนินโครงการอีกทางหนึ่ง การพิจารณาการจัดหาประโยชน์ในการใช้ที่ดินตามแนวเส้นทางรถไฟ การดำเนินการแก้ไขปัญหาองค์กรทั้งในส่วนของการแก้ไขปัญหาภาระหนี้สินที่เกิดจากการดำเนินการในอดีต รวมทั้งการเร่งปรับปรุงการบริหารจัดการองค์กรในด้านต่าง ๆ เช่น การพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับระบบเทคโนโลยีใหม่ ๆ การจัดทำบัญชี/งบการเงินให้เป็นไปตามมาตรฐานที่รับรองโดยทั่วไปและเป็นปัจจุบัน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. รับทราบความก้าวหน้าของการดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ช่วงนครปฐม-หัวหิน และช่วงหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ และให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาว่า โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ทั้ง ๒ ช่วงดังกล่าวเข้าข่ายคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๙/๒๕๕๙ เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ลงวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๙ หรือไม่ หากเห็นว่าเข้าข่ายคำสั่งดังกล่าว ให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการในขั้นตอนอื่น ๆ ตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องควบคู่ไปกับการรอผลการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ๔. ให้การรถไฟแห่งประเทศไทยเร่งรัดการยกระดับคุณภาพการให้บริการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๘ (เรื่อง รายงานผลการให้บริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพและการรถไฟแห่งประเทศไทย) รวมทั้งให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดดำเนินการจัดตั้งกรมการขนส่งทางรางให้แล้วเสร็จภายในปีนี้ ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ๕. ให้กระทรวงคมนาคมประชาสัมพันธ์สร้างความรับรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับความก้าวหน้าและแผนการดำเนินการโครงการพัฒนาระบบรถไฟทางคู่ ขนาดทาง ๑ เมตร (Meter Guage) และโครงการด้านคมนาคมขนส่งอื่น ๆ โดยแสดงให้เห็นถึงผลประโยชน์จากการพัฒนาโครงการดังกล่าวต่อประเทศชาติทั้งผลประโยชน์เชิงเศรษฐกิจและการเชื่อมโยงเส้นทางไปยังประเทศเพื่อนบ้านในอนาคต ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี |
||||||||||||||||||
| 225 | ขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า และกรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า เมืองเก่าพะเยา เมืองเก่าตาก เมืองเก่านครราชสีมา เมืองเก่าสกลนคร และเมืองเก่าสตูล | ทส | 05/04/2559 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าพะเยา เมืองเก่าตาก เมืองเก่านครราชสีมา เมืองเก่าสกลนคร และเมืองเก่าสตูล เพื่อประกาศเขตพื้นที่เมืองเก่า ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า พ.ศ. ๒๕๔๖ ๑.๒ กรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปพิจารณาและจัดทำรายละเอียดเพื่อดำเนินการต่อไป ประกอบด้วย ๑.๒.๑ แนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาทั่วไป มี ๗ ด้าน ได้แก่ (๑) การมีส่วนร่วมและการประชาสัมพันธ์ (๒) การสร้างจิตสำนึกการอนุรักษ์และพัฒนาอย่างยั่งยืน (๓) การส่งเสริมกิจกรรมและวิถีชีวิตท้องถิ่น (๔) การส่งเสริมคุณภาพชีวิต (๕) การป้องกันภัยคุกคามจากมนุษย์และธรรมชาติ (๖) การประหยัดพลังงานด้านการสัญจรและสภาพแวดล้อม และ (๗) การดูแลและบำรุงรักษาอาคารและสาธารณูปการ ๑.๒.๒ แนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาสำหรับเขตพื้นที่ (Zoning) ในพื้นที่หลัก มี ๕ ด้าน ได้แก่ (๑) ด้านการใช้ประโยชน์ที่ดิน (๒) ด้านอาคารและสภาพแวดล้อม (๓) ด้านระบบการจราจรและคมนาคมขนส่ง (๔) ด้านการพัฒนาภูมิทัศน์ และ (๕) ด้านการบริหารและการจัดการ ๑.๒.๓ แนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาสำหรับเขตพื้นที่ต่อเนื่อง มี ๔ ด้าน ได้แก่ (๑) ด้านการใช้ประโยชน์ที่ดิน (๒) ด้านอาคารและสภาพแวดล้อม (๓) ด้านระบบการจราจรและคมนาคมขนส่ง และ (๔) ด้านการพัฒนาภูมิทัศน์ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าที่มีพื้นที่คาบเกี่ยวหรืออยู่ในเส้นทาง/เขตทาง/พื้นที่ของกรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท การรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งอาจมีการดำเนินกิจกรรมใด ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่เมืองเก่า จำเป็นต้องมีการตรวจสอบร่วมกันอีกครั้ง ส่วนกรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า ควรมีการพิจารณาแนวทางและกรอบเวลาให้ชัดเจนเพื่อหน่วยงานจะได้สามารถวางแผนงาน/โครงการได้ รวมทั้งการดำเนินการใด ๆ กับโบราณสถาน ให้ปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ อย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าประสานความร่วมมือกับภาคประชาชนและหน่วยงานในระดับพื้นที่หรือท้องถิ่นเพื่อให้มีความเข้าใจและมีส่วนร่วมในการดำเนินการตามกรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า ๕ เมืองดังกล่าว โดยในการดำเนินงานของส่วนราชการหากมีภาระด้านงบประมาณเพิ่มเติม ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม รวมถึงการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ให้ครอบคลุมครบถ้วน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
| 226 | รายงานผลการปรับปรุงงบลงทุนระหว่างปีของรัฐวิสาหกิจ ประจำปี 2559 ไตรมาส 1 (ตุลาคม - ธันวาคม 2558) | นร11 | 29/03/2559 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการปรับปรุงงบลงทุนระหว่างปีของรัฐวิสาหกิจ ประจำปี ๒๕๕๙ ไตรมาส ๑ (ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๘) ซึ่งได้มีการปรับกรอบการลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปี ๒๕๕๙ จากเดิม ๕๓๓,๑๖๗ ล้านบาท เป็น ๕๒๘,๗๙๑ ล้านบาท เป็นผลให้ ณ เดือนธันวาคม ๒๕๕๘ รัฐวิสาหกิจมีกรอบวงเงินเบิกจ่ายลงทุนประจำปี ๒๕๕๙ จำนวน ๕๒๘,๗๙๑ ล้านบาท และประมาณการเบิกจ่ายลงทุนในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๘ จำนวน ๑๗,๑๕๘ ล้านบาท สำหรับผลการเบิกจ่ายลงทุนประจำปี ๒๕๕๙ ไตรมาส ๑ (ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๘) รัฐวิสาหกิจสามารถเบิกจ่ายลงทุนสะสมถึงเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ ได้จำนวน ๑๕,๒๖๙ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๘๙.๐ ของเป้าหมายไตรมาส ๑ (จำนวน ๑๗,๑๕๘ ล้านบาท) และทั้งปีคาดว่าจะเบิกจ่ายลงทุนได้ทั้งสิ้น ๕๒๔,๖๙๖ ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ ๙๙.๒ ของเป้าหมายรวม โดยรัฐวิสาหกิจที่มีวงเงินลงทุนสูงและเบิกจ่ายลงทุนได้ล่าช้ากว่าแผนงานที่กำหนดไว้ เช่น การรถไฟแห่งประเทศไทย และบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งล่าช้าต่อเนื่องมาจากปีงบประมาณ ๒๕๕๘ เนื่องจากมีการทบทวนการลงทุนโดยเฉพาะการลงทุนของโครงการขนาดใหญ่ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ให้หน่วยงานที่กำกับดูแลรัฐวิสาหกิจเร่งรัดติดตามการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจในสังกัด หากโครงการใดพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่สามารถดำเนินการได้ ให้มีการทบทวนการลงทุนเพื่อปรับเปลี่ยนรายละเอียดโครงการและ/หรือนำงบลงทุนไปใช้ดำเนินการในโครงการสำคัญในลำดับถัดไป
|
||||||||||||||||||
| 227 | ขออนุมัติกู้เงินเพื่อใช้ในการดำเนินงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | คค | 29/03/2559 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกู้เงินเพื่อใช้ในการดำเนินงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ วงเงิน ๘,๙๐๐ ล้านบาท ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓๙ (๔) โดยการรถไฟแห่งประเทศไทยรับภาระต้นเงินกู้ ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายในการกู้เงิน และกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน รวมทั้งพิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดตามความเหมาะสม ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ส่วนการขอยกเว้นค่าธรรมเนียมการค้ำประกัน ให้การรถไฟแห่งประเทศไทยจัดทำข้อมูลเพิ่มเติมตามแบบฟอร์มที่กระทรวงการคลังกำหนดเพื่อประกอบการพิจารณาในขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง และให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่ให้กระทรวงคมนาคมกำกับดูแลการดำเนินการของการรถไฟแห่งประเทศไทยให้เป็นไปตามแผนการแก้ไขปัญหาองค์กรและกำหนดมาตรการที่เข้มงวดในการแก้ไขปัญหาขาดทุน รวมทั้งจัดทำแผนการฟื้นฟูกิจการเพื่อเพิ่มรายได้และลดรายจ่ายเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนที่จะเสนองบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. ในปีงบประมาณถัดไป การรถไฟแห่งประเทศไทยควรเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาการกู้เงินเพื่อใช้ในการดำเนินการและเสริมสภาพคล่องในคราวเดียวกัน เพื่อให้คณะรัฐมนตรีสามารถพิจารณาภาระหนี้สะสมของการรถไฟแห่งประเทศไทยในภาพรวมได้อย่างเหมาะสมและถูกต้อง |
||||||||||||||||||
| 228 | ขออนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทยกู้เงินระยะสั้น โดยต่ออายุสัญญาเงินกู้ วงเงิน 800 ล้านบาท | คค | 01/03/2559 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ต่ออายุสัญญาเงินกู้ วงเงิน ๘๐๐ ล้านบาท ออกไปอีก ๑ ปี ตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓๙ (๔) โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ ให้ รฟท. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจที่เห็นควรเร่งดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพของการให้บริการ เน้นการเพิ่มรายได้เชิงพาณิชย์จากทรัพย์สินให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมทั้งการควบคุมและลดค่าใช้จ่ายเพื่อบรรเทาภาวการณ์ขาดสภาพคล่องทางการเงินในระยะยาว และเห็นควรมีการวางแผนและบริหารวงเงินกู้เพื่อรักษาสภาพคล่องอย่างรัดกุมโดยไม่ให้เกิดวงเงินกู้ที่ซ้ำซ้อนและภาระดอกเบี้ยเกินความจำเป็นที่ส่งผลต่อภาระค่าใช้จ่ายองค์กร การพิจารณากำหนดมาตรการที่เข้มงวดในการแก้ไขปัญหาการขาดทุนและขาดสภาพคล่องของ รฟท. ให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างจริงจังเพื่อให้ รฟท. สามารถพึ่งพาตัวเองได้และไม่เป็นภาระของภาครัฐในอนาคต ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ส่วนประเด็นของการขอยกเว้นค่าธรรมเนียมการค้ำประกัน ตามมาตรา ๓๐ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม กำหนดให้กระทรวงการคลังมีอำนาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกันหรือค่าธรรมเนียมอื่นใดได้ในอัตราและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง โดยภายใต้กฎกระทรวงกำหนดอัตราและเงื่อนไขการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกันของกระทรวงการคลัง พ.ศ. ๒๕๕๑ กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอนุมัติให้เรียกเก็บหรือไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกันก็ได้ ซึ่ง รฟท. จะต้องจัดทำข้อมูลเพิ่มเติมตามแบบฟอร์มที่กระทรวงการคลังกำหนดเพื่อประกอบการพิจารณาในขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง |
||||||||||||||||||
| 229 | ขออนุมัติปรับกรอบวงเงินลงทุนและจัดหาแหล่งเงินเพิ่มเติม สำหรับโครงการระบบขนส่งมวลชนทางรางในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต และช่วงบางซื่อ - ตลิ่งชัน | คค | 09/02/2559 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติปรับกรอบวงเงินลงทุนรวมของโครงการระบบขนส่งมวลชนทางรางในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต และช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน โดยมีกรอบวงเงินโครงการรวมจำนวน ๙๓,๙๕๐,๕๘๐,๒๙๗ บาท โดยเป็นกรอบวงเงินที่ครอบคลุมงานปรับแบบรายละเอียดตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ไว้แล้ว และมอบหมายให้กระทรวงการคลังดำเนินการขยายวงเงินกู้เพิ่มเติมให้ครอบคลุมการปรับกรอบวงเงินโครงการตามขั้นตอนต่อไป ๑.๒ อนุมัติปรับกรอบวงเงินสัญญาที่ ๓ (งานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล รวมตู้รถไฟฟ้า) ของโครงการระบบขนส่งมวลชนทางรางในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต และช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน เพิ่มเติมจำนวน ๖,๗๔๓,๙๙๙,๖๙๙ บาท จากเดิมจำนวน ๒๕,๖๕๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นจำนวน ๓๒,๓๙๙,๙๙๙,๖๙๙ บาท ประกอบด้วยงานระบบฯ ช่วงบางซื่อ-รังสิต จำนวน ๒๖,๕๔๒,๗๐๖,๗๑๓ บาท จากแหล่งเงินกู้องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) และงานระบบฯ ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน จำนวน ๕,๘๕๗,๒๙๒,๙๘๖ บาท จากแหล่งเงินกู้ภายในประเทศ ๑.๓ อนุมัติแหล่งเงินโครงการฯ โดยให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินการกู้เงินภายในประเทศสำหรับสัญญาที่ ๓ (งานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล รวมตู้รถไฟฟ้า) ของโครงการระบบขนส่งมวลชนทางรางในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ในกรอบวงเงิน จำนวน ๕,๘๕๗,๒๙๒,๙๘๖ บาท ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามแผนการใช้จ่ายเงินจริง และให้กระทรวงการคลังขยายวงเงินกู้เพิ่มเติมและค้ำประกันเงินกู้สำหรับสัญญาที่ ๓ (งานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล รวมตู้รถไฟฟ้า) ช่วงบางซื่อ-รังสิต และช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ภายใต้กรอบวงเงินที่ได้รับอนุมัติ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ เกี่ยวกับการเร่งหาข้อยุติในหลักการของขอบเขตการรับภาระการลงทุนค่าใช้จ่ายงานระบบรถไฟฟ้าและเครื่องกล ตู้รถไฟฟ้า ค่าจ้างที่ปรึกษา งานระบบไฟฟ้าและเครื่องกลของโครงการ รวมทั้งเร่งศึกษาแนวทางการบริหารจัดการเดินรถของโครงการ การพิจารณาตรวจสอบความเหมาะสมของกรอบวงเงินที่เสนอโดยเฉพาะค่าใช้จ่ายเผื่อเหลือเผื่อขาด และค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการให้อยู่บนหลักการของความประหยัดและความโปร่งใส การพิจารณาแนวทางบริหารจัดการความเสี่ยงทางการเงินที่อาจจะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินตราต่างประเทศโดยเฉพาะในส่วนที่ รฟท. รับภาระการลงทุน และการเร่งศึกษาออกแบบรายละเอียดและความเหมาะสมของโครงการ ตลอดจนกำหนดรูปแบบการลงทุนและการให้บริการให้ได้ข้อยุติ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงคมนาคมกำกับดูแลการดำเนินงานของ รฟท. อย่างเคร่งครัด เพื่อให้เป็นไปตามแผนที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี ๒๕๖๒ และเร่งรัดการดำเนินงานของสัญญาที่ ๓ (งานระบบราง อาณัติสัญญาณ และขบวนรถไฟฟ้า) ให้ระยะเวลาดำเนินงานสอดรับกับสัญญาที่ ๑ และสัญญาที่ ๒ ๔. ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณพิจารณาค่าใช้จ่ายเผื่อเหลือเผื่อขาด (Provisional Sums) ให้มีความเหมาะสมกับราคาค่าน้ำมันและวัสดุก่อสร้างที่ลดลงตามภาวการณ์ในปัจจุบันด้วย ๕. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. พิจารณาดำเนินการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและข้อร้องเรียนของประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่บริเวณโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว |
||||||||||||||||||
| 230 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 09/02/2559 | |||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการดำเนินการเพื่อให้การจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) และกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund) ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป ๒. ด้านการต่างประเทศ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจัดกลุ่มกิจกรรมเพื่อรองรับการดำเนินงานของอาเซียน จำแนกตาม ๖ กลุ่มงาน (Cluster) ที่รองนายกรัฐมนตรีรับผิดชอบ โดยให้เริ่มจากกิจกรรมที่สามารถดำเนินการได้ก่อน เช่น ความร่วมมือด้านความมั่นคง การต่อต้านการก่อการร้าย การท่องเที่ยว วัฒนธรรม และให้ทุกกระทรวงที่มีความพร้อมเริ่มดำเนินการ เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายใน ๓ เดือน ทั้งนี้ การดำเนินกิจกรรมจะต้องสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ และกรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ ๒๐ ปี ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการพิจารณาแนวทางการพัฒนาพื้นที่ตามแนวเขตทางรถไฟและย่านสถานีให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยให้พิจารณาทั้งรูปแบบการพัฒนา (การพัฒนาพื้นที่แนวราบและแนวสูง) และรูปแบบการลงทุนที่เหมาะสม เพื่อเป็นการสร้างรายได้ให้กับการรถไฟแห่งประเทศไทยและลดภาระงบประมาณการลงทุนของภาครัฐ ๓.๒ ให้กระทรวงคมนาคมเร่งหาข้อยุติเกี่ยวกับแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการการเดินรถของการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยเฉพาะโครงการระบบรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (Airport Rail Link) ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงรูปแบบการบริหารงานและการลงทุนที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการประชาชน ความคล่องตัวในการบริหารงาน และสามารถลดภาระงบประมาณการลงทุนของภาครัฐได้ ๓.๓ ให้กระทรวงคมนาคมสร้างการรับรู้และความเข้าใจแก่ประชาชนเกี่ยวกับการพัฒนาระบบรางที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบันและที่จะดำเนินการในอนาคต โดยให้ระบุช่วงเวลาในการดำเนินการ ระบบราง และความเร็วที่จะนำมาใช้แต่ละเส้นทาง [รางขนาด ๑ เมตร (Meter Gauge) หรือรางขนาด ๑.๔๓๕ เมตร (Standard Gauge)] รวมทั้งผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นทั้งในระดับประเทศและระดับพื้นที่ และความเชื่อมโยงกับกรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ ๒๐ ปีด้วย ๓.๔ ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการจัดตั้งกรมการขนส่งทางรางให้แล้วเสร็จภายในปีนี้ เพื่อให้มีการแยกหน่วยงานกำกับดูแล (Regulator) และหน่วยงานให้บริการ (Operator) ออกจากกัน ตามแนวทางที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจได้อนุมัติไว้ ๓.๕ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวไทยผ่านสื่อโฆษณา โดยร้อยเรียงเป็นเรื่องราว (Story) รายกิจกรรมด้านการท่องเที่ยว เช่น การท่องเที่ยวในภูมิภาค การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม รวมทั้งพิจารณาจัดทำรูปแบบการท่องเที่ยวเพื่อสร้างความเชื่อมโยงด้านการท่องเที่ยวภายในกลุ่มประชาคมอาเซียนในลักษณะเป็นแพคเกจ (Package) โดยให้เร่งดำเนินการร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านที่ได้หารือไว้แล้ว โดยเฉพาะกลุ่มประเทศกัมพูชา-ลาว-เมียนมา-เวียดนาม (CLMV) และจัดทำเป็นสื่อประชาสัมพันธ์ด้วย ๓.๖ ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๘ ในการพิจารณาให้มีพื้นที่จอดรถสาธารณะในแหล่งชุมชนในกรุงเทพมหานครเพื่อเป็นการลดปัญหาการจราจร โดยอาจจะพิจารณาดำเนินการตามแนวทาง “จอดแล้วเดิน” และมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) กระทรวงการคลังพิจารณาความเป็นไปได้ในการให้เอกชนร่วมลงทุนก่อสร้างสถานที่จอดรถใต้ดินโดยเฉพาะในบริเวณใกล้เคียงกับสถานที่ท่องเที่ยว ๓.๗ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ร่วมกับรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) ในการปรับปรุง “ชุดความรู้ประชารัฐ” ให้เกิดความสมบูรณ์ และเหมาะสม เช่น เพิ่มเติมกลไกสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบาย โดย ๑๒ คณะภาคธุรกิจ เพื่อให้ส่วนราชการนำไปใช้ในการแปลงนโยบายการขับเคลื่อนกลไกประชารัฐไปสู่การปฏิบัติโดยเฉพาะในระดับพื้นที่ รวมทั้งสร้างการรับรู้แก่ประชาชนโดยทั่วไปด้วย ๓.๘ ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สำนักโฆษก) ปรับปรุงรูปแบบของวารสารไทยคู่ฟ้า โดยให้จัดแบ่งพื้นที่สำหรับการนำเสนอผลงานของรัฐบาล โดยจำแนกเป็น ๖ กลุ่มงาน (Cluster) ที่รองนายกรัฐมนตรีรับผิดชอบเพื่อสร้างการรับรู้แก่ประชาชน โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่ฉบับเดือนมีนาคม ๒๕๕๙ เป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||
| 231 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2558 และครั้งที่ 5/2558 | ทส | 09/02/2559 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๔/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๘ จำนวน ๖ เรื่อง ได้แก่ (๑) โครงการทางหลวงหมายเลข ๑๑๘ สายเชียงใหม่-เชียงราย ตอนอำเภอดอยสะเก็ด-บ้านแม่เจดีย์ ของกรมทางหลวง (๒) โครงการก่อสร้างสะพานข้ามคลองตำมะลัง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตำบลตำมะลัง อำเภอเมือง จังหวัดสตูล ของกรมทางหลวงชนบท (๓) โครงการก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าระดับแรงดัน ๑๑๕ กิโลโวลต์ ช่วงสถานีไฟฟ้าฮอด อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ถึงสถานีไฟฟ้าแม่สะเรียง อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (๔) (ร่าง) กรอบทิศทางการสนับสนุนเงินกองทุนสิ่งแวดล้อมตามมาตรา ๒๓ (๔) แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๕๙ และ (ร่าง) ระเบียบคณะกรรมการกองทุนสิ่งแวดล้อม ว่าด้วยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการขอจัดสรรและขอกู้ยืมเงินกองทุนสิ่งแวดล้อม ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ....) (๕) รายงานโครงการศึกษาการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment : SEA) ในพื้นที่โดยรอบท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) และ (๖) แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ๑.๒ มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๕/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๘ จำนวน ๑ เรื่อง ได้แก่ โครงการระบบรถไฟทางคู่เพื่อการขนส่งและการจัดการโลจิสติกส์ (ระยะที่ ๑) แนวเส้นทางมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ๒. ให้ทุกส่วนราชการจัดลำดับความสำคัญของโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องเสนอรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมต่อคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เพื่อให้โครงการสำคัญต่าง ๆ สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วต่อไป
|
||||||||||||||||||
| 232 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 8/2558 | กค | 02/02/2559 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ครั้งที่ ๘/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ และเห็นชอบผลการพิจารณาของ คนร. เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาของรัฐวิสาหกิจ ๖ แห่ง ตามที่ประธาน คนร. เสนอ ดังนี้
๑. ให้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยดำเนินการตามวัตถุประสงค์การจัดตั้งองค์กรและการแก้ไขปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) อย่างเคร่งครัด ๒. ให้คณะกรรมการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพเร่งพิจารณาการจัดซื้อรถโดยสารก๊าซธรรมชาติ (NGV) จำนวน ๔๘๙ คัน ให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว ๓. ให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทยเร่งพิจารณาเกี่ยวกับการจัดหาขบวนรถไฟฟ้าธรรมดา (City Line Airport Rail Link) ให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว ๔. ให้บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) จัดทำแผนปฏิรูปองค์กร พร้อมทั้งจัดทำเป้าหมายและประมาณการด้านรายได้และค่าใช้จ่ายที่ชัดเจนที่จะดำเนินการจนถึงไตรมาสที่ ๒ ของปี ๒๕๕๙ ๕. การแก้ไขปัญหาข้อพิพาทต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องเสาโทรคมนาคม ให้บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ดำเนินการนำเสนอคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ กระทรวงเจ้าสังกัดหรือผู้ที่เกี่ยวข้องตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างเคร่งครัด |
||||||||||||||||||
| 233 | รายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ประจำปีบัญชี 2557 | กค | 02/02/2559 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ประจำปีบัญชี ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประเมินผลฯ ประจำปีบัญชี ๒๕๕๗ ของรัฐวิสาหกิจในระบบประเมินผลฯ ตามระบบปัจจุบัน พบว่า รัฐวิสาหกิจที่มีผลการประเมินสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ การกีฬาแห่งประเทศไทย ๓.๗๗๓๕ คะแนน บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด ๓.๕๙๖๕ คะแนน และองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ ๓.๕๗๑๒ คะแนน สำหรับรัฐวิสาหกิจที่มีผลการประเมินต่ำสุด ๓ อันดับสุดท้าย ได้แก่ องค์การตลาด ๑.๙๔๐๗ คะแนน องค์การสะพานปลา ๒.๒๙๘๔ คะแนน และการรถไฟแห่งประเทศไทย ๒.๔๗๐๔ คะแนน โดยมีระดับคะแนนเฉลี่ยในภาพรวมอยู่ที่ ๓.๐๑๕๙ คะแนน ลดลง ๐.๐๑๕๓ คะแนน เมื่อเทียบกับปีบัญชี ๒๕๕๖ ซึ่งมีระดับคะแนนเฉลี่ย ๓.๐๓๑๒ คะแนน เนื่องจากผลการดำเนินการตามนโยบายของรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ๒. การประเมินผลฯ ประจำปีบัญชี ๒๕๕๗ ของรัฐวิสาหกิจในระบบประเมินผลฯ ตามระบบประเมินคุณภาพรัฐวิสาหกิจ (State Enterprise Performance Appraisal : SEPA) พบว่า รัฐวิสาหกิจที่มีผลการประเมินสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ ธนาคารออมสิน ๔.๘๔๘๓ คะแนน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ๔.๘๒๗๘ คะแนน และการประปานครหลวง ๔.๗๑๙๑ คะแนน สำหรับรัฐวิสาหกิจที่มีผลการประเมินต่ำสุด ๓ อันดับสุดท้าย ได้แก่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ๒.๔๕๗๖ คะแนน บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ๒.๗๐๒๒ คะแนน และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ๒.๗๖๗๒ คะแนน โดยมีระดับคะแนนเฉลี่ยในภาพรวมอยู่ที่ ๓.๘๘๔๔ คะแนน ลดลง ๐.๑๘๐๘ คะแนน เมื่อเทียบกับปี ๒๕๕๖ ซึ่งมีคะแนนเฉลี่ย ๔.๐๖๕๒ คะแนน เนื่องจากการดำเนินงานด้านผลลัพธ์ของรัฐวิสาหกิจหลายแห่งไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
|
||||||||||||||||||
| 234 | การรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 2558 ณ วันที่ 30 กันยายน 2558 | กค | 29/12/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ โดยยอดหนี้สาธารณะคงค้างมีจำนวน ๕,๗๘๓,๓๒๓.๑๙ ล้านบาท หรือร้อยละ ๔๒.๙๙ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) ซึ่งคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรีได้จัดทำแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ เพื่อใช้เป็นกรอบในการบริหารจัดการหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ มีวงเงินรวมในแผนฯ ๑,๔๖๕,๒๐๐.๔๓ ล้านบาท โดยกระทรวงการคลังและหน่วยงานต่าง ๆ ได้ดำเนินการกู้เงินและบริหารหนี้เป็นวงเงิน ๑,๒๙๕,๕๘๔.๓๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๘.๔๓ ของแผนฯ และจากการติดตามผลการดำเนินโครงการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ จำนวน ๘ แห่ง พบว่ามีรัฐวิสาหกิจ จำนวน ๔ แห่ง ที่มีการดำเนินโครงการล่าช้ากว่าแผน ได้แก่ การเคหะแห่งชาติ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย การรถไฟแห่งประเทศไทย และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ
|
||||||||||||||||||
| 235 | ของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2559 สำหรับประชาชน ของกระทรวงคมนาคม | คค | 15/12/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบโครงการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่สำหรับประชาชน โดยมีของขวัญปีใหม่ พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๕๓ โครงการ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. ด้านการขนส่งทางบก จำนวน ๒๖ โครงการ ประกอบด้วย กรมการขนส่งทางบก จำนวน ๖ โครงการ กรมทางหลวง จำนวน ๘ โครงการ กรมทางหลวงชนบท จำนวน ๗ โครงการ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย จำนวน ๒ โครงการ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำนวน ๑ โครงการ และบริษัท ขนส่ง จำกัด จำนวน ๕ โครงการ ๒. ด้านการขนส่งทางราง จำนวน ๒ โครงการ ประกอบด้วย การรถไฟแห่งประเทศไทย จำนวน ๑ โครงการ และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย จำนวน ๑ โครงการ ๓. ด้านการขนส่งทางน้ำ จำนวน ๑๖ โครงการ ประกอบด้วย กรมเจ้าท่า จำนวน ๑๑ โครงการ และการท่าเรือแห่งประเทศไทย จำนวน ๕ โครงการ ๔. ด้านการขนส่งทางอากาศ จำนวน ๖ โครงการ ประกอบด้วย บริษัท การบินไทยจำกัด (มหาชน) จำนวน ๒ โครงการ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) จำนวน ๒ โครงการ และบริษัท ไทยสมายล์ แอร์เวย์ จำกัด จำนวน ๒ โครงการ ๕. ด้านนโยบายและแผน จำนวน ๓ โครงการ ของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร
|
||||||||||||||||||
| 236 | รายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง ขอให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ กรณีกล่าวอ้างว่าพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่อำเภอพุนพิน อำเภอท่าขนอน กิ่งอำเภอพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี อำเภอเมืองพังงา อำเภอ ท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา และอำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ เพื่อสร้างทางรถไฟ พุทธศักราช 2488 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 | คค | 17/11/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง ขอให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ กรณีกล่าวอ้างว่าพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่อำเภอพุนพิน อำเภอท่าขนอน กิ่งอำเภอพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี อำเภอเมืองพังงา อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา และอำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ เพื่อสร้างทางรถไฟ พุทธศักราช ๒๔๘๘ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงคมนาคมได้เสนอร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ฉบับใหม่ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติหลักการแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำหรับบทบัญญัติว่าด้วยการคืนทรัพย์สินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของการเวนคืนภายในกำหนดระยะเวลานั้น สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่าควรรอรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับที่กำลังยกร่างว่าบทบัญญัติเกี่ยวกับการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์กำหนดให้ต้องคืนทรัพย์สินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ภายในระยะเวลาที่กำหนดหรือไม่ เพื่ออนุวัติการให้เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญต่อไป ๒. พระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่อำเภอพุนพิน อำเภอท่าขนอน กิ่งอำเภอพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี อำเภอเมืองพังงา อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา และอำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ เพื่อสร้างทางรถไฟ พุทธศักราช ๒๔๘๘ ออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓๒ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พุทธศักราช ๒๔๗๗ ซึ่งเป็นกฎหมายกลางในการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ใช้บังคับอยู่ในขณะที่มีการเวนคืน ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวไม่ได้ให้สิทธิผู้ถูกเวนคืนที่จะร้องขอคืนทรัพย์สินที่ถูกเวนคืนจากการรถไฟแห่งประเทศไทยหากไม่ได้ใช้ตามวัตถุประสงค์ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ดังนั้น พระราชบัญญัติการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ฯ เพื่อสร้างทางรถไฟดังกล่าว จึงไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐
|
||||||||||||||||||
| 237 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางออกไปอีก 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2558 - 30 เมษายน 2559 | กค | 10/11/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางออกไปอีก ๖ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๘-๓๐ เมษายน ๒๕๕๙ วงเงินชดเชยรวมทั้งสิ้น ๒,๑๐๓ ล้านบาท โดยให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรเงินงบประมาณเพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายจากการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางออกไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางรถโดยสารประจำทาง ดำเนินการผ่านองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ โดยรัฐรับภาระค่าใช้จ่ายการจัดรถโดยสารประจำทางธรรมดา จำนวน ๘๐๐ คันต่อวัน ใน ๗๓ เส้นทาง ให้บริการแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งได้ประมาณการค่าใช้จ่ายในวงเงิน จำนวน ๑,๕๙๙ ล้านบาท ๑.๒ มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางโดยรถไฟชั้น ๓ ดำเนินการผ่านการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยรัฐรับภาระค่าใช้จ่ายการจัดรถไฟชั้น ๓ เชิงสังคม จำนวน ๑๖๔ ขบวนต่อวัน และรถไฟชั้น ๓ ระยะทางไกลในขบวนรถเชิงพาณิชย์ จำนวน ๘ ขบวนต่อวัน ให้บริการแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งได้ประมาณการค่าใช้จ่ายในวงเงิน จำนวน ๕๐๔ ล้านบาท ๒. ให้คณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ และกระทรวงคมนาคมเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๘ (เรื่อง แนวทางการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางตามมาตรการใหม่) ให้แล้วเสร็จและนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาโดยเร็ว เพื่อให้สามารถเริ่มดำเนินการตามมาตรการใหม่ได้ภายในวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ |
||||||||||||||||||
| 238 | รายงานผลการตรวจเยี่ยมนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง และนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) และคณะ | อก | 03/11/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานผลการตรวจเยี่ยมนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง และนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) และคณะ เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ โดยมีประเด็นปัญหา/ข้อเสนอแนะ และข้อสั่งการ สรุปได้ ดังนี้
๑. นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ๑.๑ ปัญหาการจราจรติดขัดในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง กำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เทศบาลนครแหลมฉบัง และตำรวจในพื้นที่อำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้เส้นทาง ๑.๒ การต่อสัญญาเช่าพื้นที่ของการท่าเรือแห่งประเทศไทยในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบังล่าช้าและไม่มีความชัดเจน มอบหมายให้ พลเอก วรพงษ์ สง่าเนตร ประธานกรรมการในคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ประสานกับการท่าเรือแห่งประเทศไทยในการเร่งดำเนินการเรื่องการต่อสัญญาเช่าพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง ซึ่งจะหมดอายุในเดือนธันวาคม ๒๕๖๑ เพื่อทำให้นักลงทุนในพื้นที่เกิดความมั่นใจ ๑.๓ ปัญหาการที่กรมศุลกากรมีการลงทุนอุโมงค์ X-RAY สำหรับตรวจตู้สินค้าที่มากับขบวนรถไฟบรรทุกสินค้า แต่พนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทยไม่ยอมขับรถไฟให้เนื่องจากกลัวรังสี X-RAY ให้ศุลกากรจังหวัดชลบุรีแจ้งอธิบดีกรมศุลกากรทราบถึงปัญหานี้ และมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการ ๑.๔ ปัญหาภาษีนำเข้าแม่พิมพ์ยาง และการส่งออกยาง COMPOUND จะรับไปพิจารณาในประเด็นปัญหาความล่าช้าหรือความซ้ำซ้อนของการปฏิบัติงานของหน่วยราชการไปหารือในการประชุมเรื่องการอำนวยความสะดวกแก่ธุรกิจ (ease of doing business) ๑.๕ ปัญหาการพิจารณาเรื่อง EIA มีความล่าช้า จะรับไปพิจารณาโดยจะนำประเด็นนี้ไปหารือในการประชุมเรื่องการอำนวยความสะดวกแก่ธุรกิจ (ease of doing business) ๒. นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง ๒.๑ ปัญหาผังเมืองรวมจังหวัดระยองและผังเมืองรวมมาบตาพุดยังไม่มีความชัดเจน มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรม การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และกรมโยธาธิการและผังเมือง รับไปพิจารณาหารือร่วมกัน ๒.๒ การทบทวนกฎหมายและข้อกำหนดที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุน เช่น กฎหมายและข้อกำหนดเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม กฎหมายเกี่ยวกับมาตรฐาน VOC คุณภาพอากาศให้เป็นสากลสามารถปฏิบัติได้รวมถึงการตรวจวัดค่า VOC และปัญหาความยุ่งยากในขั้นตอนการทำ EIA/EHIA จะรับไปพิจารณาโดยจะนำประเด็นนี้ไปหารือในการประชุมเรื่องการอำนวยความสะดวกแก่ธุรกิจ (ease of doing business) ๒.๓ ปัญหาสิทธิประโยชน์ในการส่งเสริมการลงทุนปิโตรเคมี มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนรับไปพิจารณาดำเนินการ ๒.๔ ปัญหาความล่าช้าในจุดให้บริการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับท่าเรือแหลมฉบังและการพิจารณาท่าเรือมาบตาพุดให้สามารถรองรับการขนถ่ายตู้สินค้า มอบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และพลเอก วรพงศ์ สง่าเนตร ประธานกรรมการในคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประสานกับการท่าเรือแห่งประเทศไทยเพื่อดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๒.๕ ปัญหากระแสไฟตก มอบหมายให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคดำเนินการแก้ไขและหาวิธีบริหารจัดการโดยเร่งด่วนที่สุดในกรณีที่เกิดไฟฟ้าดับที่ไม่ใช่จากอุบัติเหตุ เพื่อมิให้กระทบกับกระบวนการผลิต
|
||||||||||||||||||
| 239 | รายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2557 ขององค์การขนส่ง มวลชนกรุงเทพและการรถไฟแห่งประเทศไทย | กค | 27/10/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการให้บริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ซึ่งมีผลการขาดทุนจากการให้บริการสาธารณะ จำนวน ๘๒๙.๒๘๖ ล้านบาท และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) มีผลการขาดทุนจากการให้บริการสาธารณะ จำนวน ๒,๔๖๙.๕๔๒ ล้านบาท ๒. ให้ ขสมก. เบิกจ่ายเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ งวดที่ ๒ จำนวน ๑๗๖.๑๕๘ ล้านบาท และ รฟท. เบิกจ่ายเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ งวดที่ ๒ จำนวน ๗๗๔.๙๔๖ ล้านบาท ๓. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมรับข้อสังเกตเพิ่มเติมของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยให้ ขสมก. ปรับปรุงการให้บริการตามผลการสำรวจความพึงพอใจ เช่น ลดความเร็วในการขับขี่ ปฏิบัติตามกฎจราจรโดยเคร่งครัด และนำผลการศึกษาต้นทุนต่อกิโลเมตรที่ทำการศึกษาโดยศูนย์วิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาประกอบการจัดทำข้อเสนอขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ และให้ รฟท. เร่งปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและยกระดับคุณภาพการให้บริการ โดยเฉพาะด้านความสะอาด ความปลอดภัยและความตรงต่อเวลา การเร่งรัดการดำเนินโครงการและเบิกจ่ายงบลงทุนให้เป็นไปตามแผนการลงทุน การจัดทำแนวทางการปรับปรุงผลการดำเนินงานการให้บริการสาธารณะสำหรับตัวชี้วัดที่ไม่ผ่านเกณฑ์ค่าเป้าหมาย รวมทั้งการศึกษาต้นทุนต่อหน่วย (Unit Cost) ในการให้บริการของรถไฟที่มีประสิทธิภาพเพื่อประกอบการพิจารณาข้อเสนอขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
| 240 | การย้ายสถานีขนส่งผู้โดยสารแห่งใหม่และการบริการผู้โดยสารของ บริษัท ขนส่ง จำกัด | อื่นๆ | 20/10/2558 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมรายงานผลการดำเนินงานโครงการย้ายสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร) และปรับปรุงห้องสุขาให้ถูกสุขลักษณะ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ โครงการย้ายสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร) เนื่องจากมีการก่อสร้างศูนย์คมนาคมพหลโยธิน และนโยบายการขยายระบบการขนส่งทางรางของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ทำให้บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) จำเป็นต้องย้ายสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร) หรือหมอชิต ๒ ออกจากสถานที่เดิมซึ่งเช่าพื้นที่จาก รฟท. ไปสถานที่แห่งใหม่ให้เป็นไปตามแผนในกรอบระยะเวลาของการก่อสร้างรถไฟสายสีแดง โดย บขส. ได้ดำเนินการจัดทำข้อมูลเปรียบเทียบข้อดี ข้อเสีย ผลกระทบทั้งระยะสั้นและระยะยาว แผนการเชื่อมโยงโครงข่ายการขนส่งทั้งการเดินรถสายสั้นและสายยาว รวมถึงการให้บริการบางส่วนในพื้นที่สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร) หรือหมอชิต ๒ เดิม นอกจากนี้ บขส. เสนอแผนการใช้พื้นที่ของ รฟท. ซึ่งแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน คือ การจัดสร้างสถานีขนส่งผู้โดยสารย่อย (พหลโยธิน) สำหรับรถตู้โดยสารประจำทาง โดยใช้พื้นที่ของ รฟท. ประมาณ ๑๗ ไร่ ได้มอบหมายให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีทำการศึกษาและออกแบบโครงการ และการย้ายสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร) หรือหมอชิต ๒ เพื่อรองรับจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มมากขึ้นในอนาคตข้างหน้า ซึ่งคาดว่าจะมีผู้โดยสารประมาณ ๒๘ ล้านคนต่อปี โดยใช้พื้นที่ประมาณ ๘๐ ไร่ โดยจากการวิเคราะห์พบว่า พื้นที่ที่มีความเหมาะสมในการจัดตั้สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ แห่งใหม่ ได้แก่ พื้นที่บริเวณติดถนนพหลโยธินด้านเหนือ เริ่มจากแยกถนนรังสิต-ปทุมธานี ฝั่งขาออกจนถึงมาหวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ศูนย์รังสิต) ซึ่งมีความเหมาะสมสูงสุด ๑.๒ การปรับปรุงห้องสุขาให้ถูกสุขลักษณะ เนื่องจากรัฐบาลได้มีนโยบายยกเลิกการเก็บค่าใช้บริการห้องสุขาภายในสถานีขนส่งฯ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของ บขส. ทั่วประเทศ จึงได้มีการปรับปรุงรูปลักษณ์และมาตรฐานของการให้บริการห้องสุขาภายในสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร) เป็นการนำร่องของการให้บริการห้องสุขามาตรฐานใหม่เป็นที่แรก และได้ยกเลิกเก็บค่าใช้บริการตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา รวมทั้งได้ปรับปรุงพัฒนาไปยังอีก ๖ สถานี ได้แก่ สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (เอกมัย) สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (สายใต้) ถนนบรมราชชนนี สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดสุราษฎร์ธานี สถานีขนส่งผู้โดยสารอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดสุพรรณบุรี และสถานีขนส่งผู้โดยสารอำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมศึกษาแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพให้บริการรถโดยสาร และลดต้นทุน ของ บขส. ใน ๒ ประเด็น ได้แก่ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับสายการบินต้นทุนต่ำ ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน และการจัดสรรงบประมาณเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องในการให้บริการ
|
||||||||||||||||||
.....
