ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 16 จากทั้งหมด 48 หน้า แสดงรายการที่ 301 - 320 จากข้อมูลทั้งหมด 958 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
301 | รายงานผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2556 เกี่ยวกับการปรับปรุงการให้บริการรถโดยสารประจำทางรายสายของ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง รายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๓ ของการรถไฟแห่งประเทศไทยและองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ) เกี่ยวกับการปรับปรุงการให้บริการรถโดยสารประจำทางรายสายขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การนำระบบบริหารงานคุณภาพ ISO 9001 : 2008 มาใช้ในทุกสายการเดินรถ ปัจจุบัน ขสมก. ได้รับใบรับรองคุณภาพ ISO 9001 : 2008 จากสถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ (สรอ.) ทุกสายเดินรถ ๒. การดำเนินการตามโครงการขันน็อตของกระทรวงคมนาคม ๒.๑ โครงการซ้ายตลอดจอดทุกป้าย สร้างวินัยจราจร วัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มคุณภาพการให้บริการ ลดจำนวนเรื่องร้องเรียน และการกระทำผิดกฎหมายจราจรของพนักงานขับรถโดยสาร ๒.๒ โครงการบริการดีมีน้ำใจ สร้างความพึงพอใจให้ประชาชน วัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มคุณภาพการให้บริการและลดจำนวนเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการบริการของพนักงานเก็บค่าโดยสาร โดยการใช้วาจาสุภาพ กล่าวคำ “สวัสดี” “ขอบคุณ” และ “ขอโทษ” ตามโอกาสขณะปฏิบัติหน้าที่ ๒.๓ โครงการสายตรวจลดอุบัติเหตุ เป็นมิตรกับประชาชน วัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มคุณภาพการให้บริการและลดจำนวนการเกิดอุบัติเหตุรถโดยสาร โดยการใช้วาจาสุภาพกล่าวคำว่า “สวัสดี” “ขอบคุณ” และ “ขอโทษ” ตามโอกาสขณะปฏิบัติหน้าที่ ๒.๔ โครงการรักษ์ท่า รักษ์สะอาด รักษ์ความปลอดภัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม วัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงท่าปล่อยรถทุกสายให้อยู่ในสภาพดี สะอาด เป็นระเบียบ ปลอดภัย จำนวน ๑๓๖ ท่า และให้พนักงานมีส่วนร่วมในการรักษาความสะอาดและปลอดภัยตามคู่มือระบบบริหารคุณภาพ ISO 9001 : 2008 ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในสถานที่ทำงาน ๒.๕ โครงการสร้างวินัยจราจร สร้างความปลอดภัยที่ป้ายรถโดยสารประจำทาง วัตถุประสงค์เพื่อกำหนดป้ายรถโดยสารประจำทางที่มีผู้ใช้บริการมากในแต่ละถนน โดย ขสมก. ได้จัดผู้บริหาร พนักงานตรวจการ นายตรวจ และเจ้าหน้าที่ประจำสำนักงานให้บริการประชาสัมพันธ์ตามป้ายที่มีผู้ใช้บริการจำนวนมากในช่วงเวลาเร่งด่วนเช้า-เย็น ตามถนนสายหลัก สายรอง และป้ายรถโดยสารประจำทาง เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการและป้องกันการเกิดอุบัติเหตุขณะขึ้น-ลง และรอรถโดยสารประจำทาง ๒.๖ โครงการบริการดี ขับขี่ปลอดภัยไปกับรถเมล์ฟรี วัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนมีความพึงพอใจในการใช้บริการรถเมล์ฟรี เกิดภาพลักษณ์ที่ดีต่อองค์การ และหันมาใช้บริการรถโดยสารประจำทางเพิ่มขึ้น ๒.๗ โครงการนายท่า IT วัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบสารสนเทศสำหรับนายท่าจัดทำข้อมูลในการบริหารการเดินรถ ระบบปล่อยรถ รวมทั้งลดขั้นตอนและเวลาการทำงานของพนักงานในกลุ่มของนายท่าและพนักงานจัดทำสารสนเทศด้านการเดินรถ ๓. การปรับปรุงการปล่อยรถโดยสารประจำทางทุกช่วงเวลาเร่งด่วนเช้า-เย็น ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ขสมก. ได้จัดทำแผนการปล่อยรถโดยสารประจำทางรายสายจำแนกตามเขตการเดินรถที่ ๑-๘ และได้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมที่ให้ ขสมก. นำรถออกวิ่งในช่วงเวลา ๑๖.๐๐-๒๐.๐๐ น. ให้ครบร้อยละ ๑๐๐ ของทุกสายการเดินรถ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการประชาชนในช่วงเย็น ๔. การกำกับดูแลบริษัทเหมาซ่อมรถโดยสารดำเนินการซ่อมบำรุงรถโดยสารประจำทางให้มีสภาพมั่นคงแข็งแรงและสามารถออกวิ่งให้บริการมากที่สุด
|
|||||||||||||||||||||||||||
302 | รายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2555 ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | กค | 05/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบรายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ตามความเห็นของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ในการประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบรายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๕ ของ รฟท. ซึ่งมีประมาณการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ จำนวน ๑,๘๗๙.๘๗๗ ล้านบาท (จำนวนเงินอุดหนุนฯ ปี ๒๕๕๕ หักเงินค่าปรับจากการดำเนินงานไม่มีประสิทธิภาพ) โดยให้มีการพิจารณาความเหมาะสมของจำนวนเงินอุดหนุนบริการสาธารณะดังกล่าวอีกครั้งภายหลังจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้รับรองงบการเงินประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๕ ของ รฟท. แล้ว ๑.๒ ให้ รฟท. ดำเนินการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๕ งวดที่ ๒ จำนวน ๗๐๔.๗๔๔ ล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับผลการประเมินค่าตัวชี้วัดบันทึกข้อตกลงการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๕ ๑.๓ ให้ รฟท. รับข้อสังเกตเพิ่มเติมของคณะอนุกรรมการพิจารณาเงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ สาขาขนส่งทางบก ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินงานดังกล่าวให้คณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะทราบ ๑.๔ ให้กระทรวงการคลังและคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทย (คณะกรรมการ รฟท.) พิจารณาถึงการนำเอาเป้าหมายตัวชี้วัดตามบันทึกข้อตกลงการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ไปเชื่อมโยงกับการประเมินผลการดำเนินงานประจำปี ๒๕๕๗ ของคณะกรรมการ รฟท. และผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ๒. คณะรัฐมนตรีเห็นว่า การประเมินผลการให้บริการสาธารณะของ รฟท. ในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ควรมีการปรับปรุงตัวชี้วัด (KPI) และจัดลำดับความสำคัญของตัวชี้วัด รวมทั้งกำหนดเป้าหมายความสำเร็จของแต่ละกิจกรรม (Milestone) ให้เหมาะสมและชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ผลการประเมินสามารถสะท้อนถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการดำเนินกิจการของ รฟท. ได้อย่างแท้จริง โดยให้ความสำคัญกับการดำเนินงานของ รฟท. ตามนโยบายของกระทรวงคมนาคมและรัฐบาล คุณภาพมาตรฐานของการให้บริการ ความปลอดภัยและความพึงพอใจของผู้ใช้บริการของ รฟท. จึงขอให้คณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับแนวทางดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
303 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การพัฒนาท่าเรือน้ำลึกปากบารา" | สสป | 15/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การพัฒนาท่าเรือน้ำลึกปากบารา" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรมเจ้าท่า กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร การรถไฟแห่งประเทศไทย การท่าเรือแห่งประเทศไทย การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา สรุปได้ ดังนี้
๑. แต่งตั้งหน่วยงานให้ทำหน้าที่หลักในการกำหนดทิศทางการพัฒนาโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกปากบาราให้ชัดเจนว่าจะดำเนินโครงการต่อไปอย่างไร และจะมีโครงการเกี่ยวเนื่องอะไรที่เป็นข้อกังวลของภาคประชาชน ๒. มอบให้หน่วยงานที่มีหน้าที่ในการกำหนดทิศทาง นโยบาย ยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศ เช่น สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นหน่วยงานในการกำหนดทิศทาง ยุทธศาสตร์ แผนพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ของรัฐในภาคใต้ให้ชัดเจน โดยเปิดโอกาสให้ภาคประชาชน ผู้เกี่ยวข้อง นักวิชาการ มีส่วนร่วมตั้งแต่เริ่มจนแล้วเสร็จ ๓. จัดตั้งคณะกรรมการสื่อสารประชาสัมพันธ์ข้อมูลการพัฒนาพื้นที่ภาคใต้ขึ้น โดยมีหน้าที่ในการสื่อสารประชาสัมพันธ์ข้อมูลแนวนโยบายของรัฐ แนวทางและแผนการพัฒนาพื้นที่ภาคใต้ทั้งหมดของหน่วยราชการทุกหน่วย โดยจะต้องสื่อสารและประชาสัมพันธ์ข้อมูลตามความเป็นจริงทั้งในด้านบวกและลบ และอยู่บนหลักการที่ถูกต้องอย่างจริงใจ ทั้งนี้ คณะกรรมการควรประกอบด้วยหน่วยงานที่สามารถประสานกระทรวงต่าง ๆ ที่มีโครงการพัฒนาพื้นที่ภาคใต้ คือ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นหน่วยงานหลักในการทำหน้าที่นี้และหน่วยงานราชการอื่นที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนภาคเอกชน และภาคประชาชนเข้าร่วมด้วย และควรมีรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเหมือนกับคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก (Eastern Seaboard) ที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว ๔. เปิดโอกาสให้ภาคประชาชนผู้มีส่วนได้เสีย ในพื้นที่โดยรอบซึ่งเป็นที่ตั้งของท่าเรือน้ำลึกปากบาราให้เข้ามามีส่วนร่วม ตั้งแต่เริ่มต้นจนสามารถเปิดดำเนินการให้บริการแล้วอย่างเต็มที่ โดยกำหนดให้มีกลไกการมีส่วนร่วมของประชาชนในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้ชัดเจน โดยใช้แนวทางการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment : SEA) ๕. โครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกปากบารา ระยะที่ ๑ ที่ได้รับความเห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment : EIA) ไปแล้วนั้น สมควรที่จะต้องมีการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม สำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ (Environmental and Health Impact Assessment : EHIA) ตามกฎหมายใหม่ ๖. ให้กำหนดระยะการพัฒนาในภาพรวมให้ชัดเจน พร้อมทั้งระบุระยะการพัฒนาในแต่ละเฟสให้ชัดเจนด้วย โดยให้พัฒนาในเฟสแรกก่อน และเมื่อมีความจำเป็นต้องพัฒนาในระยะต่อไป ให้ประเมินความพร้อมและความคุ้มค่า รวมทั้งจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามกฎหมายก่อน ๗. ต้องมีการบูรณาการระบบการคมนาคมขนส่งเชื่อมโยงพื้นที่ของภาคต่าง ๆ กับท่าเรือน้ำลึกปากบาราอย่างชัดเจน มีมาตรการรองรับและสนับสนุนทั้งโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภคต่าง ๆ ที่จำเป็น รวมถึงกฎหมาย ระเบียบที่เอื้อต่อการลงทุน และการดำเนินโครงการมีมาตรการชดเชย เยียวยา การอุดหนุนต่าง ๆ เพื่อผลักดันการเปลี่ยนโหมดการขนส่งมาใช้ท่าเรือน้ำลึกปากบารา ๘. ต้องมีหลักประกันให้แก่ชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกปากบาราเป็นลำดับแรกด้วยการจัดหาพื้นที่รองรับการย้ายถิ่นฐานของชุมชน มีการพัฒนาที่ดิน พัฒนาอาชีพ มีระบบโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค-สาธารณูปการ การสาธารณสุข การศึกษา อย่างต่อเนื่องเป็นธรรมและมีส่วนร่วมของประชาชน ๙. การพัฒนาท่าเรือน้ำลึกปากบารา ให้คำนึงถึงการใช้เทคโนโลยีที่มีความทันสมัยและประสิทธิภาพสูง รวมทั้งระบบการบริหารท่าเรือสมัยใหม่ที่มีประสิทธิภาพในระดับสากล โดยปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Mitigation Plan : EIMP) และอื่น ๆ ที่เสนอในรายงาน EIA และหรือรายงาน EHIA อย่างเคร่งครัด ๑๐. ต้องมีมาตรการจูงใจส่งเสริมสนับสนุนให้มีการใช้ประโยชน์จากท่าเทียบเรือน้ำลึกปากบาราอย่างเต็มศักยภาพ ส่งเสริมให้มีปริมาณสินค้าที่มากพอที่เรือทางยุโรปจะเข้าเทียบท่า รวมทั้งมีมาตรการส่งเสริมการใช้ท่าเรือ เช่น การคิดค่าธรรมเนียมการใช้ท่าเรือที่ต่ำกว่าท่าเรือใกล้เคียง การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่สินค้าที่ใช้ท่าเรือน้ำลึกปากบารา เป็นต้น ๑๑. ให้ความสำคัญกับท่าเรือน้ำลึกปากบาราในด้านความมั่นคงของชาติด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
304 | การบริหารโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) | กค | 08/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ดำเนินโครงและอนุมัติจัดสรรเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ให้กับกรมสรรพากร กระทรวงการคลัง สำหรับโครงการพัฒนาระบบยื่นรายงานประกอบแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (Summary Table) วงเงิน ๙๘๘,๕๗๐,๐๐๐ บาท (วงเงินรวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗) โดยให้กรมสรรพากรดำเนินการตามหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐที่มีงบประมาณเกินกว่า ๑๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ ในกรณีโครงการใดต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบใด ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัดด้วย ๑.๒ อนุมัติให้ดำเนินโครงการและอนุมัติจัดสรรเงินกู้ DPL ให้กับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง สำหรับโครงการจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษาและจัดทำกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวกับพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ วงเงิน ๑๐,๗๐๐,๐๐๐ บาท (วงเงินรวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗) ๑.๓ อนุมัติให้ดำเนินโครงการและอนุมัติจัดสรรเงินกู้ DPL ให้กับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง สำหรับโครงการจัดทำแผนยุทธศาสตร์การให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (Public Private Partnerships : PPPs) วงเงิน ๒๖,๗๕๐,๐๐๐ บาท (วงเงินรวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗) ๑.๔ อนุมัติให้ดำเนินโครงการและอนุมัติจัดสรรเงินกู้ DPL ให้กับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง สำหรับโครงการวิเคราะห์ความเป็นไปได้และรูปแบบทางธุรกิจที่เหมาะสมในการให้เอกชนร่วมลงทุน (PPPs Model) สำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูง วงเงิน ๒๖,๗๕๐,๐๐๐ บาท (วงเงินรวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗) โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะจะพิจารณารายละเอียดค่าใช้จ่ายโครงการอีกครั้งในขั้นตอนการอนุมัติจัดสรรเงินกู้เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy : DPL) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสม ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณาความเหมาะสมของกรอบระยะเวลาโครงการศึกษาจัดทำแผนยุทธศาสตร์การให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (Public Private Partnerships : PPPs) และโครงการศึกษาและจัดทำกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวกับพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อให้มีกรอบระยะเวลาที่สอดคล้องกับกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ และประสานกระทรวงคมนาคม (สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร และการรถไฟแห่งประเทศไทย) เพื่อให้การดำเนินโครงการวิเคราะห์ความเป็นไปได้และรูปแบบทางธุรกิจที่เหมาะสมในการให้เอกชนร่วมลงทุน เป็นการศึกษาต่อยอดจากผลการศึกษาความเหมาะสมของโครงการรถไฟความเร็วสูง ๔ เส้นทาง ได้แก่ กรุงเทพฯ-พิษณุโลก-เชียงใหม่ กรุงเทพฯ-นครราชสีมา กรุงเทพฯ-หัวหิน และกรุงเทพฯ-ระยอง และมีความสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบรางของกระทรวงคมนาคม และข้อสังเกตของคณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐที่เห็นควรพิจารณาความเหมาะสมในการใช้งานระบบร่วมกับระบบงานอื่นที่มีอยู่ ควรมีรายละเอียดการคำนวณและวิเคราะห์ปริมาณงานที่ให้บริการเพื่อให้ทราบถึงความเหมาะสมในการออกแบบระบบและขนาดของฮาร์ดแวร์ที่เลือกใช้ ควรมีการบูรณาการฐานข้อมูลของระบบให้เข้ากับฐานข้อมูลส่วนอื่น ๆ ของกรมสรรพากร รวมทั้งกำหนดอัตราค่า Man month ของที่ปรึกษาและบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบและพัฒนาระบบให้เป็นไปตามที่กระทรวงการคลังประกาศ นอกจากนี้ ควรแจกแจงรายละเอียดของการพัฒนาระบบงานประยุกต์ที่จะดำเนินการให้ชัดเจนตามมาตรฐานราคากลางการพัฒนาซอฟต์แวร์ และวางแผนขั้นตอนการดำเนินงานแต่ละขั้นตอนให้ชัดเจนโดยมุ่งผลสัมฤทธิ์ของโปรแกรมประยุกต์ก่อนการจัดหาระบบฮาร์ดแวร์ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
305 | รายงานผลการเบิกจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปี 2556 ไตรมาส 3 (เมษายน - มิถุนายน 2556) | นร11 | 08/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเบิกจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปี ๒๕๕๖ ไตรมาส ๓ (เมษายน-มิถุนายน ๒๕๕๖) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จากการประมวลผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ ๓ ของรัฐวิสาหกิจที่ใช้รอบปีบัญชีทั้งปีงบประมาณและปีปฏิทิน จำนวน ๕๔ แห่ง ปรากฏว่ารัฐวิสาหกิจในภาพรวมสามารถเบิกจ่ายลงทุนในช่วงดังกล่าวได้จำนวน ๗๐,๒๕๓ ล้านบาท หรือร้อยละ ๖๔.๙ ของเป้าหมายไตรมาส ๓ (จำนวน ๑๐๘,๒๗๔ ล้านบาท) ซึ่งต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่เบิกจ่ายลงทุนได้ร้อยละ ๖๙.๘ และสามารถเบิกจ่ายลงทุนสะสมตั้งแต่ตุลาคม ๒๕๕๕-มิถุนายน ๒๕๕๖ ได้จำนวน ๑๕๔,๐๐๔ ล้านบาท หรือร้อยละ ๖๔.๗ ของเป้าหมายสะสม (จำนวน ๒๓๘,๐๖๑ ล้านบาท) ๒. เมื่อพิจารณาผลการเบิกจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจในไตรมาสที่ ๓ (เมษายน-มิถุนายน ๒๕๕๖) ปรากฏว่ามีรัฐวิสาหกิจที่มีผลการเบิกจ่ายลงทุนต่ำกว่าเป้าหมายหลายแห่ง โดยพิจารณาสัดส่วน (ร้อยละ) การเบิกจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่เบิกจ่ายได้ต่ำกว่าเป้าหมายมาก ส่วนใหญ่เป็นรัฐวิสาหกิจที่มีวงเงินลงทุนจำนวนไม่สูง อาทิ บริษัท ไทย-อะมาดิอุส เซาท์อีสต์เอเชีย จำกัด องค์การสะพานปลา และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และเมื่อพิจารณาจากมูลค่าการลงทุน พบว่ารัฐวิสาหกิจที่มีวงเงินลงทุนสูงซึ่งอาจมีผลต่อระบบเศรษฐกิจ และมีผลการเบิกจ่ายลงทุนต่ำกว่าเป้าหมายที่สำคัญ ได้แก่ การรถไฟแห่งประเทศไทย การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) โดยสาเหตุที่เบิกจ่ายได้ต่ำกว่าเป้าหมายที่สำคัญเนื่องจากปัญหาความล่าช้าในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภายใน การทบทวนแผนการลงทุน การส่งมอบงานล่าช้า รวมทั้งความไม่พร้อมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ดำเนินการ ส่งผลให้ไม่สามารถดำเนินการลงทุนได้ตามแผน
|
|||||||||||||||||||||||||||
306 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง (ระยะที่ 13 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2556 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2557) | กค | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางต่อไป เป็นระยะที่ ๑๓ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๗ วงเงินชดเชยรวมทั้งสิ้น ๒,๐๘๕ ล้านบาท โดยให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรเงินงบประมาณเพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายจากการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางต่อไป ๑.๑.๑ มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางรถโดยสารประจำทาง ดำเนินการผ่านองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) โดยรัฐรับภาระค่าใช้จ่ายการจัดรถโดยสารประจำทางธรรมดา จำนวน ๘๐๐ คันต่อวัน ใน ๗๓ เส้นทาง ให้บริการแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งได้ประมาณการค่าใช้จ่ายในวงเงิน จำนวน ๑,๕๕๓ ล้านบาท ๑.๑.๒ มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางโดยรถไฟชั้น ๓ ดำเนินการผ่านการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดยรัฐรับภาระค่าใช้จ่ายการจัดรถไฟชั้น ๓ เชิงสังคม จำนวน ๑๖๔ ขบวนต่อวัน และรถไฟชั้น ๓ ระยะทางไกลในขบวนรถเชิงพาณิชย์ จำนวน ๘ ขบวนต่อวัน ให้บริการแก่ประชาชน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งได้ประมาณการค่าใช้จ่ายในวงเงิน จำนวน ๕๓๒ ล้านบาท ๑.๒ กำชับให้กระทรวงคมนาคมศึกษาแนวทางการสนับสนุนมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางที่มีความชัดเจน และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริงให้แล้วเสร็จก่อนสิ้นสุดการดำเนินมาตรการลดค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง ระยะที่ ๑๓ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดการพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับแนวทางและมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยให้แล้วเสร็จ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ [เรื่อง ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง (ระยะที่ ๑๒ ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖)] โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเร่งศึกษาแนวทางการดำเนินมาตรการ เพื่อให้ผลการศึกษามีความครบถ้วนและมีประสิทธิภาพ สามารถบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง ไปประกอบการพิจารณาด้วย สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามมาตรการ อนุมัติและเห็นชอบตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยอนุมัติให้ ขสมก. กู้เงินในวงเงิน ๑,๕๕๓ ล้านบาท ตามนัยมาตรา ๗ (๗) แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ พ.ศ. ๒๕๑๙ และเห็นชอบให้ รฟท. กู้เงินในวงเงิน ๕๓๒ ล้านบาท ตามนัยมาตรา ๓๙ (๔) แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อชดเชยการดำเนินการตามมาตรการ โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ และให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายเพื่อชดเชยเงินต้นและดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นให้แก่ ขสมก. และ รฟท. สำหรับการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวต่อไป ๓. ให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางและมาตรการในการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการรถร่วมประจำทางเพื่อลดต้นทุนการให้บริการ ซึ่งจะส่งผลกระทบถึงประชาชนผู้ใช้บริการ และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
307 | ขออนุมัติดำเนินการสรรหาเอกชนเพื่อรับสัมปทานเป็นผู้ประกอบการสถานีบรรจุและแยกสินค้ากล่องไอซีดีที่ลาดกระบังของการรถไฟแห่งประเทศไทย | กค | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการของโครงการสรรหาเอกชนเพื่อรับสัมปทานเป็นผู้ประกอบการสถานีบรรจุและแยกสินค้ากล่อง (ไอซีดี) ที่ลาดกระบังของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. ดำเนินการต่อไปตามหมวด ๒ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ จนกว่าจะแล้วเสร็จ ส่วนการดำเนินการในขั้นตอนต่อไปจะต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ทั้งนี้ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๖๙ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และให้ รฟท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และจัดให้มีมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้วย สำหรับการคัดเลือกเอกชนเพื่อรับสัมปทานไอซีดีลาดกระบังโดยลดจำนวนผู้ประกอบการให้เหลือน้อยราย ควรมีการศึกษาวิเคราะห์เพิ่มเติมโดยเฉพาะประเด็นจำนวนผู้ประกอบการที่เหมาะสมเพื่อให้เกิดความรอบคอบและเกิดการแข่งขันของผู้ประกอบการที่มีประสิทธิภาพ และสามารถตอบสนองต่อประโยชน์สูงสุดของผู้ใช้บริการและผลประโยชน์ของภาครัฐในระยะยาว ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. คณะรัฐมนตรีเห็นว่า การพัฒนาระบบการขนส่งทางรางและการบริหารจัดการการขนส่งสินค้าและตู้สินค้าให้ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และครบวงจร จะช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการเดินทางและการขนส่งได้มาก และจะทำให้ประชาชนและผู้ประกอบการเลือกใช้บริการจากระบบการขนส่งทางรางมากยิ่งขึ้น จึงขอให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. รับความเห็นดังกล่าวไปเร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
308 | การจัดทำสัญญาเช่าที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทย | พณ | 24/09/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-พ.ศ. ๒๕๕๙ รายการค่าเช่าที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทย ถนนรัชดาภิเษก ๑ แห่ง โดยมีวงเงินก่อหนี้ผูกพันตลอดระยะเวลาสัญญาเช่าทั้งสิ้น ๔๓,๑๑๐,๔๖๒ บาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ผลผลิตการพัฒนาและส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ งบดำเนินงาน (ค่าตอบแทน ใช้สอยและวัสดุ) จำนวน ๑๔,๓๗๐,๑๕๔ บาท ส่วนงบประมาณที่เหลือให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามสัญญาเช่าต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย) รับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการทำบันทึกต่อท้ายสัญญาเช่าที่ดินและการเบิกค่าใช้จ่ายในการเช่าที่ดิน และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้เร่งพิจารณาแนวทางการพัฒนาพื้นที่ที่มีอยู่ของการรถไฟแห่งประเทศไทยให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ) เน้นการดำเนินงานและใช้ประโยชน์อาคารที่ตั้งอยู่ในที่ดินที่เช่าจากการรถไฟแห่งประเทศไทยดังกล่าว เพื่อเป็นศูนย์กลางในการส่งเสริม สนับสนุน และบ่มเพาะผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ให้มีความเข้มแข็ง รวมทั้งเป็นศูนย์แสดงสินค้าและผลิตภัณฑ์ของ SMEs และของโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) เพื่อสนับสนุนการส่งออกด้วย ๔. ให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางในการพัฒนาและใช้ประโยชน์จากพื้นที่ว่างใต้เขตทางพิเศษในสายทางต่าง ๆ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและสอดคล้องกับบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
309 | ข้อเสนอการขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2556 ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | กค | 17/09/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการเสนอขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๒,๔๙๖.๕๙๗ ล้านบาท โดยมีประมาณการรายได้และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการสาธารณะ จำนวน ๔๗๑.๑๙๓ ล้านบาท และจำนวน ๒,๙๖๗.๗๙๐ ล้านบาท ตามลำดับ ตามความเห็นของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๖ เพื่อให้เป็นไปตามนัยข้อ ๗ (๓) และข้อ ๑๐ ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้ รฟท. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งปรับปรุงคุณภาพการให้บริการเชิงสังคมเพื่อให้ประชาชนได้รับการให้บริการที่เป็นไปตามมาตรฐาน ไปพิจารณาดำเนินการ รวมทั้งให้เร่งรัดการดำเนินการเกี่ยวกับการบริหารจัดการกิจการรถไฟในภาพรวมเพื่อเพิ่มรายได้และลดรายจ่ายของ รฟท. ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง ข้อเสนอการรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๕) ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
310 | รายงานผลการดำเนินการของกระทรวงคมนาคมกรณีการชุมนุมของชาวสวนยางและปาล์มน้ำมันในพื้นที่ภาคใต้ | คค | 10/09/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการของกระทรวงคมนาคมกรณีการชุมนุมของชาวสวนยางและปาล์มน้ำมันในพื้นที่ภาคใต้ ตั้งแต่วันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๖ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดตั้งศูนย์ประสานงานคมนาคม (ศปส. คค.) เพื่อติดตามสถานการณ์ชุมนุมที่มีผลกระทบต่อการคมนาคมขนส่งทั้งทางถนน รถไฟ และอากาศยาน โดยมีปลัดกระทรวงคมนาคมเป็นผู้อำนวยการศูนย์ หัวหน้าส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจในสังกัด และสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรทำหน้าที่เลขานุการ กำหนดการประชุมในรูปแบบ Video Conference ระหว่างกระทรวงคมนาคมไปยังหน่วยงานในสังกัดทั้งส่วนกลางและในพื้นที่เป็นประจำทุกวัน เพื่อรายงานสถานการณ์และเตรียมมาตรการเพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับผู้เดินทาง ตลอดจนประสานงานอย่างใกล้ชิดกับศูนย์ประสานงานแก้ไขปัญหาการชุมนุมเรียกร้องราคายางพาราและปาล์มน้ำมัน (ศปกย.) ของสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธาน ๒. มาตรการที่ได้ดำเนินการเพื่อแก้ปัญหา ๒.๑ กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท ได้ประสานงานกับหน่วยงานท้องถิ่นแจ้งข้อมูลและแผนที่เส้นทางเลี่ยงจุดที่มีการชุมนุม ติดตั้งป้ายและตรวจสอบสภาพของเส้นทางเลี่ยงให้อยู่ในสภาพดี รวมทั้งมีการวางแผนเส้นทางการเดินรถรายวัน ๒.๒ การรถไฟแห่งประเทศไทย ได้จัดการเดินรถสายใต้ถึงสถานีชุมทางทุ่งสงและจากสถานีพัทลุง-หาดใหญ่-สุไหงโกลก เส้นทางที่ขาดช่วง คือ จากชุมทางทุ่งสง-พัทลุง กรมการขนส่งทางบก และบริษัท ขนส่ง จำกัด ได้จัดรถโดยสาร บขส. และรถร่วม บขส. มาให้บริการ ๒.๓ ในช่วงที่มีการชุมนุมบนทางหลวงหมายเลข ๔๑ ห่างจากบริเวณด้านหน้าของท่าอากาศยานสุราษฎร์ธานีเพียง ๑ กิโลเมตร กรมการบินพลเรือนได้ปิดประตูทางเข้าสนามบิน และจัดรถบริการรับ-ส่ง ผู้โดยสารที่จะเข้ามาในพื้นที่จากประตูทางเข้าไปยังอาคารผู้โดยสาร และกำหนดการเดินทางโดยใช้เส้นทางเลี่ยงท่าอากาศยาน-กองบินที่ ๗-ร้านอาหารวังกุ้ง เป็นเส้นทางเข้า-ออก จากท่าอากาศยาน มีรถรับ-ส่ง พร้อมแจกจ่ายแผนที่เส้นทางแก่ประชาชน สำหรับบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด ได้เตรียมหอบังคับการบินสำรอง ทำการซ้อมแผนและอบรมเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน พร้อมอุปกรณ์การควบคุมการจราจรทางอากาศครบถ้วนสามารถเคลื่อนย้ายได้ทันทีหากมีการบุกยึดท่าอากาศยานและศูนย์ควบคุมการบินที่สุราษฎร์ธานี และบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ติดตามเฝ้าระวังเหตุการณ์อย่างต่อเนื่อง ขณะนี้ยังไม่มีการยกเลิกเที่ยวบินใด ๆ และเตรียมความพร้อมเรื่องท่าอากาศยานสำรองไว้แล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
311 | รายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2554 ของการรถไฟแห่งประเทศไทยและองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | กค | 03/09/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบรายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๔ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ซึ่งมีประมาณการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ จำนวน ๒,๑๓๖.๕๗๐ ล้านบาท และ ๔๒๔.๗๔๘ ล้านบาท ตามลำดับ ตามความเห็นของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ รฟท. ดำเนินการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๔ งวดที่ ๒ จำนวน ๘๑๐.๙๗๐ ล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับผลการประเมินค่าตัวชี้วัดในบันทึกข้อตกลงการให้บริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ๑.๒ ให้ ขสมก. ดำเนินการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๔ งวดที่ ๒ จำนวน ๒๔.๑๘๓ ล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับผลการประเมินค่าตัวชี้วัดในบันทึกข้อตกลงการให้บริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๔ ๑.๓ ให้ รฟท. และ ขสมก. รับข้อสังเกตเพิ่มเติมของคณะอนุกรรมการพิจารณาเงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ สาขาขนส่งทางบก ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้คณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะทราบ ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามนัย ข้อ ๗ (๓) และ ๗ (๕) ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๔ ๒. ให้ รฟท. และ ขสมก. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินการตามความเห็นของคณะอนุกรรมการพิจารณาเงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ สาขาขนส่งทางบก โดยเฉพาะการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ การเร่งรัดดำเนินโครงการก่อสร้างและซ่อมบำรุงโครงสร้างพื้นฐาน และการดำเนินโครงการจัดซื้อรถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) จำนวน ๓,๑๘๓ คัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและเพิ่มรายได้ให้กับองค์กร และให้ รฟท. เร่งรัดปิดบัญชีให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจรับรองให้ทันกับปีปัจจุบัน รวมทั้งเร่งรัดการจัดทำแผนบริหารจัดการกิจการรถไฟไทยที่ รฟท. ได้ว่าจ้างมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เป็นที่ปรึกษาให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อใช้เป็นฐานในการขอรับเงินอุดหนุน และเพื่อประโยชน์ในการวางแผนบริหารจัดการหรือกำหนดทิศทางการดำเนินงานขององค์กรในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
312 | ขออนุมัติกู้เงินสำหรับใช้ในการดำเนินงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 27/08/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กู้เงินเพื่อบรรเทาการขาดสภาพคล่องการดำเนินงาน ในวงเงิน ๔,๘๙๑.๔๖๐ ล้านบาท ซึ่งอยู่ในกรอบวงเงินที่บรรจุไว้ในการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๒ ที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้วเมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๖ เนื่องจากได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๗๘๙.๒๕๓๙ ล้านบาท และงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๒๑.๗๑๖๑ ล้านบาท รวมทั้งสิ้น ๘๑๐.๙๗๐ ล้านบาท เพื่อเป็นเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไว้แล้ว สำหรับกรณีขอยกเว้นค่าธรรมเนียมการค้ำประกันเงินกู้ ให้ขอทำความตกลงกับกระทรวงการคลังต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับข้อสังเกตของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการเร่งปรับโครงสร้างการบริหารจัดการกิจการของ รฟท. ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๓ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๕/๒๕๕๓) ซึ่งประกอบด้วย ๓ หน่วยธุรกิจ ได้แก่ หน่วยธุรกิจการเดินรถ หน่วยธุรกิจการซ่อมบำรุง หน่วยธุรกิจการบริหารทรัพย์สิน และ ๑ บริษัทลูก เพื่อดำเนินโครงการ Airport Rail Link โดยให้แต่ละหน่วยธุรกิจสามารถบริหารจัดการตนเองได้อย่างเป็นรูปธรรม เนื่องจากการบริหารหน่วยธุรกิจในปัจจุบันของ รฟท. ในทางปฏิบัติยังไม่สามารถบริหารจัดการแบ่งแยกบัญชีทรัพย์สิน หนี้สิน และรับรู้ผลกำไรขาดทุนของแต่ละหน่วยธุรกิจได้อย่างชัดเจน และให้ รฟท. เร่งดำเนินการศึกษาต้นทุนต่อหน่วย (Unit Cost) ในการให้บริการที่มีประสิทธิภาพทั้งการดำเนินงานในเชิงพาณิชย์และเชิงสังคม รวมทั้งให้ความสำคัญและเร่งดำเนินงานปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานตามแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของ รฟท. ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
313 | ผลการประชุมเชิงปฏิบัติเพื่อปรับปรุงการบริหารจัดการและกำหนดทิศทางการดำเนินกิจการในอนาคตของการรถไฟแห่งประเทศไทย | นร04 | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีรายงานว่า ตามที่ได้ประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อปรับปรุงการบริหารจัดการและกำหนดทิศทางการดำเนินกิจการในอนาคตของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๕๖ และเห็นควรมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปศึกษารายละเอียดในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
๑. การจัดทำแบบจำลองทางการเงิน (financial model) เพื่อบริหารจัดการทรัพย์สินและหนี้สินของ รฟท. ให้เกิดประสิทธิภาพและประโยชน์สูงสุด ให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ ๒. การดำเนินการด้านเทคนิคในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินกิจการรถไฟ โดยพิจารณาถึงความจำเป็นเหมาะสม ความพร้อม องค์ความรู้ ทักษะ และความชำนาญ โดยให้พิจารณาทั้งในส่วนที่ รฟท. มีความพร้อมและมีศักยภาพในการดำเนินการได้เอง และในส่วนที่จะให้หน่วยงานภายนอกรับไปดำเนินการ (outsource) ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ ๓. รูปแบบการให้บริการ (service design) เพื่อพิจารณาความพร้อมและรูปแบบในการให้บริการแก่ผู้โดยสาร รวมทั้งการสร้างมูลค่าเพิ่มในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ รฟท. มีรายได้เพิ่มขึ้น เช่น การนำผลิตภัณฑ์ OTOP ที่เป็นสินค้าและอาหารที่เป็นที่นิยมและมีชื่อเสียงของแต่ละจังหวัดมาจัดจำหน่าย ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ ๔. การบริหารจัดการด้านราคา (pricing) เพื่อพิจารณาแนวทางการกำหนดราคาค่าโดยสารและบริการให้สอดคล้องกับต้นทุน โดยให้นำการกำหนดราคาของเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีแดง บางซื่อ-รังสิต มาประกอบการพิจารณา รวมทั้งการกำหนดผลตอบแทนจากการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินต่าง ๆ ของ รฟท. เช่น การใช้ที่ดินบริเวณมักกะสันและบริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นต้น ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ ทั้งนี้ จะได้มีการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาในรายละเอียดในประเด็นดังกล่าวข้างต้นต่อไป สำหรับการดำเนินงานในชั้นต้น ให้ รฟท. เร่งรัด ปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์ของสถานีรถไฟต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของห้องน้ำ การอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้พิการและผู้สูงอายุ รวมทั้งการจัดทำป้ายบอกทางในสายทางที่มีผู้ใช้บริการจำนวนมาก เช่น กรุงเทพฯ-หัวหิน และกรุงเทพฯ-อยุธยา ให้มีความเหมาะสม ชัดเจนด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
314 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทย (จำนวน 7 ราย 1. นายบุญสม เลิศหิรัญวงศ์ ฯลฯ) | คค | 06/08/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทย จำนวน ๗ คน ตามนัยมาตรา ๒๔ แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๖ สิงหาคม ๒๕๕๖) ยกเว้นนายยุทธพงษ์ อภิรัตนรังษี ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะกรรมการอัยการอนุมัติเป็นต้นไป แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. นายบุญสม เลิศหิรัญวงศ์ เป็นประธานกรรมการ ๒. นายสราวุธ เบญจกุล เป็นกรรมการ ๓. นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ เป็นกรรมการ ๔. นายชูศักดิ์ เกวี เป็นกรรมการ ๕. นายยุทธพงษ์ อภิรัตนรังษี เป็นกรรมการ ๖. นายสุธรรม ศิริทิพย์สาคร เป็นกรรมการ ๗. นายจุฬา สุขมานพ เป็นกรรมการ
|
|||||||||||||||||||||||||||
315 | รายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2553 ของการรถไฟแห่งประเทศไทยและองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | กค | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบรายงานผลการให้บริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๓ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ซึ่งมีประมาณการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ จำนวน ๑,๘๗๕.๗๒ ล้านบาท และจำนวน ๓๕๖.๖๓๗ ล้านบาท ตามลำดับ ตามความเห็นของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ รฟท. ดำเนินการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๓ งวดที่ ๒ จำนวน ๑๘๖.๑๕ ล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับผลการประเมินค่าตัวชี้วัดในบันทึกข้อตกลงการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๓ ๑.๒ ให้ ขสมก. ส่งคืนเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๓ ให้กระทรวงการคลัง จำนวน ๑๒๘.๒๕๐ ล้านบาท ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๔ ข้อ ๑๕ ที่กำหนดให้รัฐวิสากิจนำเงินอุดหนุนบริการสาธารณะส่วนเกินส่งคืนคลัง หากผลประกอบการจากการให้บริการสาธารณะเมื่อสิ้นปีบัญชีต่ำกว่าวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะที่กำหนดในบันทึกข้อตกลงการให้บริการสาธารณะ ๑.๓ ให้ รฟท. และ ขสมก. รับข้อสังเกตเพิ่มเติมของคณะอนุกรรมการพิจารณาเงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ สาขาขนส่งทางบก ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องพร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้คณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะทราบ ดังนี้ ๑.๓.๑ ปรับปรุงระบบการปันส่วนต้นทุนให้ใกล้เคียงกับข้อเท็จจริง พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการตรวจสอบตั๋วให้สอดคล้องกับจำนวนและระยะทางที่ผู้โดยสารเดินทางจริง เพื่อให้การประเมินผลการดำเนินงานมีความถูกต้องและชัดเจนยิ่งขึ้น ๑.๓.๒ เร่งรัดการดำเนินงานก่อสร้างและซ่อมบำรุงโครงสร้างพื้นฐานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๓ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๕/๒๕๕๓) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ ตลอดจนปรับปรุงคุณภาพและความสะอาดของการให้บริการภายในตัวรถโดยสารให้ได้มาตรฐาน ๑.๓.๓ จัดทำแนวทางการปรับปรุงผลการดำเนินงานการให้บริการสาธารณะสำหรับตัวชี้วัดที่ไม่ผ่านเกณฑ์ค่าเป้าหมาย พร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินงานตามแนวทางดังกล่าวต่อคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อให้การกำกับดูแลการดำเนินงานให้บริการสาธารณะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป ๑.๓.๔ พิจารณาปรับโครงสร้างอัตราค่าโดยสารเชิงสังคมและเชิงพาณิชย์ให้สอดคล้องกับต้นทุนการให้บริการที่มีประสิทธิภาพ ภายในกรอบระยะเวลาดำเนินการที่เหมาะสม โดยคำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อประชาชนผู้ใช้บริการทุกระดับและภาระการอุดหนุนโดยรวมของรัฐบาลในระยะยาว ๑.๓.๕ ดำเนินการศึกษาต้นทุนต่อหน่วยในการให้บริการที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนพิจารณากำหนดตัวชี้วัดผลการดำเนินงานบริการสาธารณะที่มีมาตรฐานรองรับเพื่อประกอบการพิจารณาข้อเสนอขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะของการรถไฟแห่งประเทศไทยในปีต่อไป ๑.๓.๖ เร่งรัดการปิดบัญชีเพื่อส่งให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินรับรองความถูกต้องโดยเร็ว ๒. กรณีการให้ ขสมก. ส่งคืนเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๓ ให้กระทรวงการคลัง จำนวน ๑๒๘.๒๕๐ ล้านบาท นั้น เห็นชอบให้ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงคมนาคมที่ให้ ขสมก. ชะลอการส่งเงินคืนคลังออกไปก่อน เนื่องจากปัจจุบัน ขสมก. ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงินเพราะไม่ได้รับเงินชดเชยจากมาตรการรถเมล์ฟรี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ จนถึงปัจจุบัน และเมื่อ ขสมก. ได้รับเงินชดเชยจากมาตรการดังกล่าวและมีสภาพคล่องทางการเงิน จะดำเนินการทยอยส่งเงินคืนคลังต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
316 | ผลการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 4/2556 | กนร | 02/07/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการพิจารณาและมติที่ประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ (กนร.) ครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๖ ๑.๒ เห็นชอบเรื่อง การปรับปรุงระบบแรงจูงใจในส่วนของค่าตอบแทนที่เป็นตัวเงินตามระบบประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ตามผลการประชุม กนร. ครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ ๑.๒.๑ กำหนดกลุ่มรัฐวิสาหกิจเพื่อใช้ระบบแรงจูงใจในส่วนของค่าตอบแทนที่เป็นตัวเงินตามระบบประเมินผลฯ เพื่อให้สอดคล้องการดำเนินงานและรูปแบบระบบแรงจูงใจที่ใช้กับรัฐวิสาหกิจแต่ละประเภท ๑.๒.๒ กำหนดให้มีแรงจูงใจที่เป็นตัวเงินสำหรับรัฐวิสาหกิจที่ให้บริการสาธารณะและประสบผลขาดทุน เช่น การรถไฟแห่งประเทศไทย และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ เป็นต้น โดยพิจารณาจากผลการประเมินตามการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจเปรียบเทียบค่าเป้าหมาย ๑.๒.๓ กำหนดเงื่อนไขในการจัดสรรโบนัสของรัฐวิสาหกิจโดยรวบรวมจากมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๑๘ มติ และปรับปรุงเพิ่มเติมในบางประเด็น ได้แก่ วิธีการคำนวณกำไรเพื่อการจัดสรรโบนัสเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) กำหนด การจัดสรรโบนัสของรัฐวิสาหกิจจะกระทำได้เมื่อสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบและรับรองงบการเงินแล้ว และต้องได้รับการอนุมัติการจัดสรรโบนัสจาก สคร. รวมทั้งห้ามมิให้รัฐวิสาหกิจจ่ายเงินในลักษณะเดียวกันกับโบนัส ไม่ว่าจะจ่ายจากงบทำการของรัฐวิสาหกิจหรือจากแหล่งเงินอื่นใด และให้รัฐวิสาหกิจกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายโบนัสภายในวงเงินโบนัสที่ได้รับอนุมัติให้แก่พนักงานและลูกจ้างประจำของรัฐวิสาหกิจตามผลการปฏิบัติงานที่อิงจากผลการประเมินประจำปี ๑.๒.๔ ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๓๘ (เรื่อง ระบบประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ) เฉพาะในส่วนที่เชื่อมโยงการกำหนดวงเงินเลื่อนขั้นเงินเดือนกับผลการประเมิน โดยให้รัฐวิสาหกิจกำหนดวงเงินเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปี โดยพิจารณาถึงสถานภาพขององค์กร และให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การกำหนดวงเงินเลื่อนขั้นเงินเดือนที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะ ๑.๓ เห็นชอบเรื่อง อัตราค่าตอบแทนและเบี้ยประชุมกรรมการรัฐวิสาหกิจ ตามผลการประชุม กนร. ครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ ๑.๓.๑ ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๔๗ (เรื่อง การปรับปรุงอัตราเบี้ยประชุมกรรมการรัฐวิสาหกิจ) ๑.๓.๒ ให้ความเห็นชอบการจัดกลุ่มรัฐวิสาหกิจ อัตราค่าตอบแทนและเบี้ยประชุมกรรมการรัฐวิสาหกิจ และหลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนรายเดือนและเบี้ยประชุมกรรมการรัฐวิสาหกิจ และคณะกรรมการชุดย่อย/คณะอนุกรรมการ/คณะทำงานอื่น ๑.๓.๓ อัตราค่าตอบแทนและเบี้ยประชุมดังกล่าวเป็นอัตราขั้นสูงสุดในการพิจารณากำหนดและปรับปรุงค่าตอบแทนและเบี้ยประชุมคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ และคณะกรรมการชุดย่อย/คณะอนุกรรมการ/คณะทำงานอื่น ซึ่งรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งจะต้องพิจารณาถึงฐานะการเงินและความสามารถในการจ่ายขององค์กรเป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐวิสาหกิจที่ใช้เงินงบประมาณ ขอให้พิจารณาถึงความเหมาะสมและภาระของงบประมาณประกอบด้วย เพื่อมิให้มีผลกระทบต่อฐานะการเงินขององค์กร ๑.๓.๔ ให้คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจกำกับการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจเพื่อให้การพัฒนาการบริหารจัดการรัฐวิสาหกิจดียิ่งขึ้น และให้สามารถเทียบได้กับมาตรฐานสากล ๑.๓.๕ ให้มีผลใช้บังคับถัดจากเดือนที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการคำนวณกำไรเพื่อการจัดสรรโบนัสสำหรับใช้เป็นฐานในการคำนวณโบนัสให้กับพนักงานนั้น ได้กำหนดไม่ให้นำบางรายการมารวมไว้ในการคำนวณ อย่างไรก็ตาม ยังมีรายได้หรือค่าใช้จ่ายบางรายการที่นำมารวมไว้ในการคำนวณ อาทิ ค่าเสื่อมราคา โดยรัฐวิสาหกิจบางแห่งมีการรับรู้ค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าเสื่อมราคาซึ่งรัฐบาลเป็นผู้รับภาระการลงทุนดังกล่าวแต่บันทึกบัญชีไว้ในงบการเงินของรัฐวิสาหกิจ ส่งผลให้รัฐวิสาหกิจมีผลประกอบการขาดทุนเพิ่มขึ้น จึงเห็นควรให้มีการกำหนดหลักเกณฑ์ในการคำนวณกำไรข้างต้นให้มีความชัดเจนและเกิดความเป็นธรรมต่อรัฐวิสาหกิจ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
317 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลในเมือง อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. .... | คค | 25/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลในเมือง อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลในเมือง อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ เพื่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟ บริเวณทางหลวงชนบท อต.๒๐๑๔ เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมทางหลวงชนบทเร่งนำเสนอผลการศึกษาทบทวนแผนการก่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอน พร้อมทั้งกำหนดแผนการก่อสร้างโครงการโดยให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาจุดตัดระหว่างถนนและทางรถไฟในพื้นที่ที่มีปริมาณการจราจรหนาแน่นเป็นลำดับแรก และประสานกับการรถไฟแห่งประเทศไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อบูรณาการรูปแบบและแผนการก่อสร้างให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาระบบรถไฟของประเทศในอนาคต |
|||||||||||||||||||||||||||
318 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 25/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทยก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ รายการงานเสริมความมั่นคงโครงสร้างทาง (Track Strengthening) ระหว่างสถานีชุมทางคลองสิบเก้า-สุดสะพานคลองลึก ในวงเงิน ๒,๘๑๑,๓๐๘,๗๐๐ บาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๕๖๔,๔๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือ จำนวน ๒,๒๔๖,๙๐๘,๗๐๐ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
319 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2556 ครั้งที่ 2 | กค | 25/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๒ ที่มีวงเงินปรับลดลง ๑๒,๒๓๑.๕๘ ล้านบาท จากเดิม ๑,๙๔๘,๒๑๑.๘๒ ล้านบาท เป็น ๑,๙๓๕,๙๘๐.๒๔ ล้านบาท ๑.๒ รับทราบการปรับปรุงแผนบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๒ ที่มีวงเงินปรับเพิ่มขึ้น ๑๕,๕๓๐ ล้านบาท จากเดิม ๑๒๑,๗๐๓.๕๐ ล้านบาท เป็น ๑๓๗,๒๓๓.๕๐ ล้านบาท ๑.๓ อนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่และการปรับโครงสร้างหนี้และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจภายใต้กรอบวงเงินของแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ปรับปรุง ครั้งที่ ๒ ๑.๔ อนุมัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินและการค้ำประกันในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๑.๕ อนุมัติการเพิ่มกรอบวงเงินโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (DPL) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในส่วนของภาษีมูลค่าเพิ่ม และให้กระทรวงการคลังกู้เงินบาทแทนการกู้เงินจากธนาคารโลก ในวงเงินรวมไม่เกิน ๑๖,๕๔๔ ล้านบาท รวมทั้งให้กระทรวงการคลังนำเงินที่ได้ลงนามในสัญญาเงินกู้กับธนาคารโลกไปให้บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กู้ยืมต่อจากกระทรวงการคลัง วงเงิน ๕๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี กฎ ระเบียบ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขของกระทรวงการคลังที่จะได้ตกลงกับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมที่เห็นควรให้กระทรวงการคลังประสานการรถไฟแห่งประเทศไทย การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย และบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อปรับปรุงรายละเอียดแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๒ ให้เป็นปัจจุบัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
320 | รายงานผลการเบิกจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปี 2556 ไตรมาส 2 (มกราคม - มีนาคม 2556) | นร11 | 04/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเบิกจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปี ๒๕๕๖ ไตรมาส ๒ (มกราคม-มีนาคม ๒๕๕๖) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จากการประมวลผลการดำเนินงานในไตรมาสที่สองของรัฐวิสาหกิจที่ใช้รอบปีบัญชีทั้งปีงบประมาณและปีปฏิทิน จำนวน ๕๔ แห่ง ปรากฏว่า รัฐวิสาหกิจในภาพรวมสามารถเบิกจ่ายลงทุนในช่วงดังกล่าวได้จำนวน ๙๐,๓๔๑ ล้านบาท หรือร้อยละ ๘๕.๗ ของเป้าหมายไตรมาส ๒ (จำนวน ๑๐๕,๔๗๔ ล้านบาท) สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่เบิกจ่ายลงทุนได้ร้อยละ ๗๖.๐ และสามารถเบิกจ่ายลงทุนสะสมตั้งแต่ตุลาคม ๒๕๕๕-มีนาคม ๒๕๕๖ ได้จำนวน ๑๐๓,๑๙๒ ล้านบาท หรือร้อยละ ๗๙.๒ ของเป้าหมายสะสม (จำนวน ๑๓๐,๒๗๔ ล้านบาท) ๒. เมื่อพิจารณาผลการเบิกจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจในไตรมาสที่สอง (มกราคม-มีนาคม ๒๕๕๖) เปรียบเทียบกับเป้าหมายการเบิกจ่ายลงทุนของไตรมาสที่แล้ว มีรัฐวิสาหกิจที่มีผลการเบิกจ่ายต่ำกว่าเป้าหมายหลายแห่ง หากพิจารณาจากร้อยละที่เบิกจ่ายได้ต่ำกว่าเป้าหมายมาก พบว่า ส่วนใหญ่เป็นรัฐวิสาหกิจที่มีวงเงินลงทุนจำนวนไม่สูง อาทิ โรงงานไพ่ กรมสรรพสามิต บริษัท ไทย-อะมาดิอุส เซาท์อิสต์เอเชีย จำกัด องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร และสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล สำหรับรัฐวิสาหกิจที่มีวงเงินลงทุนสูงซึ่งอาจมีผลต่อระบบเศรษฐกิจและมีผลการเบิกจ่ายลงทุนต่ำกว่าเป้าหมายที่สำคัญ ได้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) โรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง บริษัท ทีโอทีจำกัด (มหาชน) การรถไฟแห่งประเทศไทย และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย โดยสาเหตุที่เบิกจ่ายได้ต่ำกว่าเป้าหมายที่สำคัญเนื่องจากปัญหาความล่าช้าในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภายใน การทบทวนแผนการลงทุน การส่งมอบงานล่าช้า รวมทั้งความไม่พร้อมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ดำเนินการ ส่งผลให้ไม่สามารถดำเนินการลงทุนได้ตามแผน
|
.....