ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 18 จากทั้งหมด 48 หน้า แสดงรายการที่ 341 - 360 จากข้อมูลทั้งหมด 958 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
341 | ขออนุมัติกู้เงินตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ระยะที่ 10 ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 11/12/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ชะลอการกู้เงินเพื่อชดเชยการดำเนินการตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง ระยะที่ ๑๐ โดยให้ รฟท. โอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จากแผนงานบริหารจัดการหนี้ภาครัฐ โครงการชำระหนี้เงินกู้เพื่อชดเชยรายได้ค่าโดยสารที่ขาดหายไปจากการดำเนินการตามมาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางโดยรถไฟชั้น ๓ ในวงเงิน ๔๕๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นแผนงานพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โครงการชดเชยรายได้ค่าโดยสารที่ขาดหายไปจากการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว ในวงเงิน ๔๕๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ รฟท. เร่งรัดการขอบรรจุวงเงินกู้ดังกล่าวให้ทันกับการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะจะเสนอขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ รฟท. สามารถดำเนินการกู้เงินได้ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และมีข้อสังเกตว่าการดำเนินนโยบายกึ่งการคลัง (Quasi-fiscal policy) ในช่วงที่ผ่านมาในส่วนของการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพด้านการเดินทางจะเป็นในลักษณะที่ให้รัฐวิสาหกิจผู้ดำเนินมาตรการเป็นผู้กู้เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายในการดำเนินมาตรการที่รัฐวิสาหกิจนั้นได้สำรองจ่ายไปก่อนแล้ว ซึ่งคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะมีความเห็นว่าค่าใช้จ่ายตามมาตรการดังกล่าวเป็นวงเงินที่ไม่สูงมากนักและเป็นนโยบายที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง จึงเห็นควรให้รัฐวิสาหกิจที่ดำเนินการขอจัดสรรงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโดยตรงจากสำนักงบประมาณจะเหมาะสมกว่า ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
342 | ผลการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 4/2555 | กค | 04/12/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายรัฐวิสาหกิจ (กนร.) ครั้งที่ ๔/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธาน กนร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบการกู้เงิน จำนวน ๔๒๐ ล้านบาท ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เพื่อให้ รฟท. นำเงินกู้ดังกล่าวมาให้บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด (รฟฟท.) กู้ต่อเพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนสำหรับโครงการระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและสถานีรับส่งผู้โดยสารอากาศยานในเมือง (Airport Rail Link : ARL) (โครงการ ARL) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๔ (เรื่อง ขออนุมัติการกู้เงินให้ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนสำหรับโครงการ Airport Rail Link) และให้กระทรวงคมนาคมศึกษาการปรับโครงสร้างทางการเงินและการจัดการองค์กรของ รฟฟท. ทั้งระบบ พร้อมทั้งจัดทำแผนธุรกิจของ รฟฟท. และแผนงานการถ่ายโอนทรัพย์สินระหว่าง รฟท. และ รฟฟท. เพื่อให้ รฟฟท. สามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนำเสนอ กนร. พิจารณาภายใน ๖ เดือน ทั้งนี้ ให้ศึกษาถึงความเหมาะสมในการถือหุ้นใน รฟฟท. ๒ กรณี คือ กรณีที่ ๑ รฟท. เป็นผู้ถือหุ้นเช่นเดิม และกรณีที่ ๒ กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น และกระทรวงคมนาคมเป็นผู้กำกับดูแลโดยตรง ซึ่งในกรณีที่ ๒ อาจพิจารณาให้ รฟท. มีสิทธิซื้อหุ้น รฟฟท. คืนจากกระทรวงการคลังได้ เมื่อ รฟท. มีความพร้อมทางการเงินและการบริหารจัดการ ๑.๒ รับทราบกรอบแนวคิดในการจัดทำแผนการพัฒนาและขยายโครงข่ายเพื่อผลักดันนโยบาย Smart Thailand ที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ โดยให้รับข้อสังเกตของ กนร. ในการจัดทำแผนธุรกิจของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) (บมจ. ทีโอที) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) (บมจ. กสท โทรคมนาคม) ที่ปัจจุบันมีผู้ให้บริการหลายรายอยู่แล้ว ทั้งนี้ ในระยะเวลาอันใกล้ บมจ. ทีโอที และ บมจ. กสท โทรคมนาคม จะได้รับผลกระทบจากสัญญาสัมปทานสิ้นสุดลง และกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้มอบหมายภารกิจใหม่ตามนโยบาย Smart Thailand จึงเห็นควรให้เชื่อมโยงแนวทางการแก้ไขผลกระทบจากการสิ้นสุดสัญญาสัมปทานให้สอดคล้องกับแผนธุรกิจตามนโยบาย Smart Thailand ที่ บมจ. ทีโอที และ บมจ. กสท โทรคมนาคม อาจจะต้องลงทุนจำนวนมาก เนื่องจากเมื่อขาดรายได้จากสัมปทาน ความสามารถในการระดมทุนของ ๒ องค์กร จะลดลงและจะกระทบเรื่องแหล่งเงินลงทุน ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงคมนาคม รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ บมจ. ทีโอที และ บมจ. กสท โทรคมนาคม ดำเนินการตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๘๔ ที่กำหนดว่าภายใน ๓ ปี หลังจากประกาศใช้พระราชบัญญัติฯ ดังกล่าวแล้ว ให้รัฐวิสาหกิจนำรายได้ภายหลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้วตามสัญญาสัมปทาน หรือสัญญาที่รัฐวิสาหกิจได้ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ นำส่งคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และให้คณะกรรมการฯ นำส่งเงินจำนวนดังกล่าวเป็นรายได้แผ่นดินต่อไป สำหรับ รฟท. เห็นควรจัดทำแผนการประชาสัมพันธ์ระยะเร่งด่วนเพื่อจูงใจให้ประชาชนมาใช้บริการมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ใช้บริการที่มีสัมภาระในการเดินทางปรับพฤติกรรมการใช้บริการจากระบบรถไฟฟ้าธรรมดา (City Line) มาใช้บริการระบบรถไฟด่วน (Express Line) นอกจากนี้ ให้กระทรวงเจ้าสังกัดกำกับดูแลและติดตามการบริหารจัดการของรัฐวิสาหกิจในการแก้ไขปัญหาอย่างบูรณาการ โดยให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าและผลตอบแทนในการลงทุน เพื่อมิให้เป็นภาระงบประมาณในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
343 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทย (นายสุธรรม ศิริทิพย์สาคร) | คค | 20/11/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายสุธรรม ศิริทิพย์สาคร เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทย ตามนัยมาตรา ๒๔ วรรคสามแห่งพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ แทน นายประเทือง ช่างสลัก กรรมการอื่นในคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทยที่ลาออก ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕)
|
||||||||||||||||||
344 | ขอความเห็นชอบการแต่งตั้งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (นายประภัสร์ จงสงวน) | คค | 12/11/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งนายประภัสร์ จงสงวน ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยให้ได้รับค่าตอบแทนคงที่ในอัตราเดือนละ ๔๐๐,๐๐๐ บาท รวมทั้งสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ตามที่กระทรวงการคลังเห็นชอบแล้ว ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
||||||||||||||||||
345 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทย (นายบุญสม เลิศหิรัญวงศ์) | คค | 12/11/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติแต่งตั้ง นายบุญสม เลิศหิรัญวงศ์ เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทย ตามนัยมาตรา ๒๔ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ แทนพลตำรวจตรี สันติ วิจักขณา ที่ลาออก ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕) เป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||
346 | การบริหารโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) | กค | 12/11/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๑๔/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. รับทราบผลการพิจารณาของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ สำนักงบประมาณ และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เกี่ยวกับความเหมาะสมและความจำเป็นของโครงการ ของ รฟท. เรียงตามลำดับความสำคัญ ได้แก่ โครงการปรับปรุงทางรถไฟที่ไม่ปลอดภัย ของ รฟท. กระทรวงคมนาคม โครงการติดตั้งเครื่องกั้นเสมอระดับและปรับปรุงเครื่องกั้น จำนวน ๑๐๕ แห่ง และงานติดตั้งรั้วสองข้างทางตามแนวเขตทางรถไฟ จำนวน ๑๗ รายการ โดย ๑.๑ โครงการปรับปรุงทางรถไฟที่ไม่ปลอดภัย เห็นควรสนับสนุนการดำเนินโครงการฯ ที่เหลืออยู่ จำนวน ๑๒ สายทาง เนื่องจากมีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ด้านโลจิสติกส์เพื่อสนับสนุนการขนส่งสินค้าทางรางและการพัฒนาทางคู่ (Double Track) รวมถึงความสอดคล้องกับการปรับปรุงโครงข่ายหลักซึ่งสภาพทางและอายุการใช้งานของสายทางทุกสายทางอยู่ในสภาพที่ไม่ปลอดภัย ๑.๒ โครงการติดตั้งเครื่องกั้นเสมอระดับและปรับปรุงเครื่องกั้น จำนวน ๑๐๕ แห่ง เห็นควรสนับสนุนโครงการฯ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการเดินรถ และลดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น โดยแผนงานที่ รฟท. เสนอมาอยู่ในเส้นทางสายหลักที่มีปริมาณการจราจรตัดผ่านหนาแน่น ๑.๓ งานติดตั้งรั้วสองข้างทางตามแนวเขตทางรถไฟ จำนวน ๑๗ รายการ เป็นงานที่มีความจำเป็นที่จะต้องเร่งดำเนินการควบคู่ไปกับการพัฒนาและปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของรางรถไฟ เพื่อรองรับการลงทุนในส่วนของระบบราง โดยการติดตั้งรั้วในเขตสายทางรถไฟจะช่วยลดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากทางลักผ่านและเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการด้านการขนส่งผู้โดยสารและขนส่งสินค้าให้รวดเร็วและตรงเวลามากขึ้น ๒. อนุมัติให้ดำเนินโครงการและอนุมัติการจัดสรรวงเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ตามข้อเสนอของคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด ได้แก่ ๒.๑ โครงการปรับปรุงทางรถไฟที่ไม่ปลอดภัย ของ รฟท. กระทรวงคมนาคม จำนวน ๔ สายทาง ระยะทาง ๒๖๕ กิโลเมตร ได้แก่ ระหว่างสถานีคลองรังสิต-ชุมทางบ้านภาชี ระยะทาง ๑๒๐ กิโลเมตร ระหว่างชุมทางบ้านภาชี-มาบกะเบา (เดิม) ระยะทาง ๔๔ กิโลเมตร ระหว่างชุมทางศรีราชา-ชุมทางเขาชีจรรย์-สัตหีบ ระยะทาง ๖๖ กิโลเมตร และระหว่างชุมทางเขาชุมทอง-นครศรีธรรมราช ระยะทาง ๓๕ กิโลเมตร วงเงินรวมทั้งสิ้น ๒,๙๓๙.๒๕๒๓ ล้านบาท ๒.๒ โครงการติดตั้งเครื่องกั้นเสมอระดับและปรับปรุงเครื่องกั้น จำนวน ๑๐๕ แห่ง วงเงิน ๑๙๕.๔๒ ล้านบาท ๒.๓ โครงการ GFMIS-SOE ส่วนขยาย (ระยะที่ ๒) ของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง วงเงิน ๘๗ ล้านบาท ๓. อนุมัติให้ รฟท. ดำเนินโครงการ และอนุมัติให้กระทรวงการคลังกู้เงินในประเทศ และให้ รฟท. กู้เงินต่อจากกระทรวงการคลังเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการปรับปรุงทางรถไฟที่ไม่ปลอดภัยในสายทางที่ยังไม่ได้รับการจัดสรรแหล่งเงินลงทุน จำนวน ๘ สายทาง ระยะทาง ๘๔๙ กิโลเมตร รวมวงเงิน ๘,๘๗๔.๖๒ ล้านบาท และให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นงบชำระหนี้ให้แก่ รฟท. เพื่อใช้ชำระหนี้คืนแก่แหล่งเงินกู้โดยตรงทั้งในส่วนเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้อง ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังจะได้ตกลงกับ รฟท. ต่อไป ส่วนงานติดตั้งรั้วสองข้างทางตามแนวเขตทางรถไฟ จำนวน ๑๗ รายการ วงเงิน ๓,๐๔๖.๑๓ ล้านบาท ให้มีการทบทวนความเหมาะสมของโครงการให้รอบคอบและนำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองฯ คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป |
||||||||||||||||||
347 | ขออนุมัติการกู้เงินเพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา - คลองสิบเก้า - แก่งคอย พร้อมทางคู่เลี่ยงเมือง (Chord Line) จำนวน 3 แห่ง ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) | กค | 02/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงการคลังกู้เงินในประเทศ วงเงิน ๑๑,๓๔๘.๓๕ ล้านบาท และให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กู้เงินต่อจากกระทรวงการคลังเพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย พร้อมทางคู่เลี่ยงเมือง (Chord Line) จำนวน ๓ แห่ง ทั้งนี้ วงเงินที่ รฟท. กู้ต่อจากกระทรวงการคลังจะนำไปใช้จ่ายในส่วนของค่าเวนคืนและรื้อย้ายสิ่งปลูกสร้าง จำนวน ๑๒๘.๘๒ ล้านบาท ดำเนินการประกวดราคา จำนวน ๘ ล้านบาท ค่าก่อสร้าง จำนวน ๑๐,๘๐๕.๒๙ ล้านบาท และค่าจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง จำนวน ๔๐๖.๒๔ ล้านบาท ๑.๒ ให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นงบชำระหนี้ให้แก่ รฟท. เพื่อใช้ชำระหนี้คืนแก่แหล่งเงินกู้โดยตรงทั้งในส่วนเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังจะได้ตกลงกับ รฟท. ต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. กระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปหารือร่วมกันในเรื่องการพิจารณาความเหมาะสมของการจัดเตรียมงบประมาณเพื่อชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยตามแผนการชำระหนี้ดังกล่าวเพื่อรักษาวินัยการคลังและลดผลกระทบต่อภาพลักษณ์ทางการเงินของ รฟท. โดยเฉพาะอัตราส่วนความสามารถในการก่อหนี้และความสามารถในการชำระหนี้ ซึ่งจะทำให้มีผลกระทบต่อต้นทุนทางการเงินของ รฟท. |
||||||||||||||||||
348 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง (ระยะที่ 11 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2555 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2556) | กค | 02/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางต่อไป เป็นระยะที่ ๑๑ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางรถโดยสารประจำทาง ดำเนินการผ่านองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) โดยรัฐรับภาระค่าใช้จ่ายการจัดรถโดยสารประจำทางธรรมดา จำนวน ๘๐๐ คันต่อวัน ใน ๗๓ เส้นทาง ให้บริการแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ประมาณการค่าใช้จ่ายในวงเงิน จำนวน ๑,๕๑๒ ล้านบาท ๑.๒ มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางโดยรถไฟชั้น ๓ ดำเนินการผ่านการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดยรัฐรับภาระค่าใช้จ่ายการจัดรถไฟชั้น ๓ เชิงสังคม จำนวน ๑๖๔ ขบวนต่อวัน และรถไฟชั้น ๓ ระยะทางไกลในขบวนรถเชิงพาณิชย์ จำนวน ๘ ขบวนต่อวัน ให้บริการแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ประมาณการค่าใช้จ่ายในวงเงิน จำนวน ๕๕๕ ล้านบาท ทั้งนี้ การดำเนินการขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายตามมาตรการดังกล่าวยังคงยึดหลักการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง) ๒. ให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ [เรื่อง ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง (ระยะที่ ๑๐)] โดยศึกษาแนวทางการสนับสนุนมาตรการลดค่าครองชีพด้านการเดินทางที่มีความเหมาะสม มีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง ตลอดจนตรวจสอบและติดตามการกำหนดเส้นทางและช่วงเวลาการปล่อยขบวนรถของ รฟท. และ ขสมก. ตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางให้สอดคล้องกับจำนวนผู้โดยสารและเป็นประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ใช้บริการ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งศึกษาแนวทางการสนับสนุนมาตรการลดค่าครองชีพด้านการเดินทางอย่างเป็นระบบให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยอาจนำประเด็นการปรับเพิ่มค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำมาประกอบการพิจารณา เพื่อให้ภาครัฐสามารถลดภาระค่าครองชีพด้านการเดินทางของประชาชนได้อย่างสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น และมีกลไกการชดเชยการดำเนินงานให้แก่รัฐวิสาหกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดผลกระทบต่อฐานะการเงินและสภาพคล่องของรัฐวิสาหกิจที่ดำเนินนโยบายดังกล่าวในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๔. ส่วนค่าใช้จ่ายเพื่อชดเชยการดำเนินการตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางต่อไป เป็นระยะที่ ๑๑ อนุมัติให้ ขสมก. กู้เงินในวงเงิน ๑,๕๑๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามนัยมาตรา ๗ (๗) แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ พ.ศ. ๒๕๑๙ และเห็นชอบให้ รฟท. กู้เงินในวงเงิน ๕๕๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามนัยมาตรา ๓๙ (๔) แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อชดเชยการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้และให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรเงินงบประมาณรายจ่ายเพื่อชดเชยเงินต้น ดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายทางการเงินที่เกิดขึ้นให้กับ ขสมก. และ รฟท. ต่อไป ซึ่งในเบื้องต้นจะเกิดภาระงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๒,๑๐๘.๓๔๐๐ ล้านบาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||
349 | การแก้ไขปัญหาจราจรในเขตกรุงเทพมหานคร | คค | 02/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์) รายงานเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาจราจรในเขตกรุงเทพมหานคร โดยได้ประชุมหารือและตรวจเส้นทางและพื้นที่ซึ่งมีปัญหาจราจรวิกฤติอันเนื่องมาจากฝนตกหนักและน้ำท่วมขังในระยะที่ผ่านมา เพื่อบูรณาการการประสานงาน การอำนวยการ และการสั่งการเพื่อแก้ไขปัญหาจราจรเร่งด่วน ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในสังกัดกระทรวงคมนาคม กรุงเทพมหานคร และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมทั้งได้จัดทำรายงานการแก้ไขปัญหาจราจรในเขตกรุงเทพมหานคร ประกอบด้วย กลไกการดำเนินการ และแนวทางแก้ไขปัญหาจราจรเร่งด่วนตามบัญชานายกรัฐมนตรี ระยะปานกลาง และระยะยาว สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. กลไกการบริหารทางด้านการจราจรในปัจจุบัน มีคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก ซึ่งเป็นคณะกรรมการระดับนโยบายที่กำหนดแนวทางในการจัดระบบการจราจรทางบก โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรเป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่กำหนดมาตรฐานเกี่ยวกับการจัดระบบการจราจรทางบกเสนอต่อคณะรัฐมนตรี และกำหนดมาตรการเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาการจราจรทางบก ตลอดจนกำกับดูแล เร่งรัดการปฏิบัติงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และประสานการปฏิบัติให้เป็นไปตามมาตรการ นโยบาย และแผนหลักที่กำหนด เป็นต้น ๒. การแก้ไขปัญหาการจราจรเร่งด่วนโดยใช้กลไกทางด้านการบริหาร โดยแต่งตั้งคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการจราจรเร่งด่วนในเขตกรุงเทพมหานคร มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นประธาน และให้มีหน่วยปฏิบัติการแก้ไขปัญหาการจราจรเร่งด่วนในเขตกรุงเทพมหานคร ตั้งอยู่ ณ ศูนย์ควบคุมและสั่งการจราจร (บก.๐๒) มีรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาลซึ่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาลมอบหมายเป็นหัวหน้าหน่วย กองบัญชาการตำรวจจราจรเป็นฝ่ายเลขานุการ รับผิดชอบการประสานการปฏิบัติและการสั่งการแก้ไขปัญหาการจราจรเร่งด่วนในเขตกรุงเทพมหานครให้เป็นไปโดยรวดเร็วและมีเอกภาพ และรายงานผลการปฏิบัติงานต่อคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาจราจรเร่งด่วนในเขตกรุงเทพมหานครทราบหรือพิจารณา ทั้งนี้ ให้มีผู้แทนหน่วยงานร่วมปฏิบัติงาน ได้แก่ สำนักการจราจรและขนส่ง กรุงเทพมหานคร สำนักการโยธา กรุงเทพมหานคร สำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร กรมการขนส่งทางบก กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ๓. แนวทางในการแก้ไขปัญหาการจราจรเร่งด่วนตามบัญชานายกรัฐมนตรี กระทรวงคมนาคมได้ประสานงานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อหารือในแนวทางในการแก้ไขปัญหาการจราจรในเขตกรุงเทพมหานครอย่างบูรณาการ เบื้องต้นได้มีแนวทางในการดำเนินการ ได้แก่ ๓.๑ ให้มีการตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหาการจราจรเร่งด่วนที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นหัวหน้าคณะทำงาน และมีหัวหน้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท กรมการขนส่งทางบก การทางพิเศษแห่งประเทศไทย การรถไฟแห่งประเทศไทย องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ บริษัท ขนส่ง จำกัด และสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ร่วมเป็นคณะทำงาน โดยให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นฝ่ายเลขานุการ มีจุดมุ่งหมายเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรในระยะเร่งด่วนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จัดทำร่างคำสั่งแต่งตั้งเพื่อนำเสนอนายกรัฐมนตรี ๓.๒ ให้มีการตั้งหน่วยปฏิบัติการที่มีอำนาจสั่งการในการแก้ไขปัญหาการจราจรในแต่ละวัน โดยมีศูนย์ปฏิบัติการอยู่ที่ บก.๐๒ โดยให้รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาลที่รับผิดชอบด้านการจราจรเป็นหัวหน้า และมีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมปฏิบัติการทุกวัน โดยกำหนดให้หน่วยนี้มีอำนาจในการสั่งการในการแก้ไขปัญหาการจราจรเฉพาะหน้ากับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนด้านเครื่องมือ อุปกรณ์ บุคลากร ๓.๓ ในระยะแรกให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของกระทรวงคมนาคมสำรวจปัญหาด้านการจราจรที่เกี่ยวข้อง และดำเนินการแก้ไขในส่วนที่สามารถทำได้โดยทันที สำหรับปัญหาที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้ให้จัดทำรายละเอียดเพื่อเสนอคณะทำงานต่อไป ๓.๔ สำหรับการแก้ไขปัญหาในระยะกลางและระยะยาว ให้คณะทำงานทำข้อเสนอเพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบกเพื่อพิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||
350 | ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ 7/2555 | นร11 | 25/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ ๗/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ กยอ. เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางการปรับปรุงกิจการของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เพื่อรองรับการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงของประเทศ ได้แก่ การจัดตั้งรัฐวิสาหกิจใหม่เพื่อบริหารกิจการรถไฟความเร็วสูง [รวมโครงการระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ARL)] ภายใต้กระทรวงคมนาคม โดยกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นหลัก และเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมลงทุนในกิจการ โดยบริษัท รถไฟฟ้า รฟท. จำกัด (มหาชน) ทำหน้าที่กำกับดูแลสัญญาสัมปทาน และการโอนกรรมสิทธิ์การใช้พื้นที่เขตทางสำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูงให้แก่รัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นใหม่ โดยมีการชำระค่าใช้ประโยชน์พื้นที่ให้แก่ รฟท. บนหลักการเดียวกับการขอใช้พื้นที่ในเขตทางของหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจ เพื่อนำรายได้ไปแก้ไขปัญหาหนี้ของ รฟท. ต่อไป ตามที่ฝ่ายเลขานุการเสนอ โดยให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงการคลังรับข้อเสนอแนวทางดังกล่าวไปประกอบการพิจารณารายละเอียดก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติยื่นหนังสือต่อศาลปกครองกลาง เพื่อขอขยายระยะเวลาการจัดทำคำชี้แจงการดำเนินงานของ กยอ. ต่อศาลปกครองกลาง กรณีสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนกับพวก รวม ๓๙ คน ฟ้องร้องต่อศาลปกครองให้ดำเนินคดีกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) และ กยอ. ในการสนับสนุนและอนุญาตให้ผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรมหรือเขตประกอบการอุตสาหกรรมหรือสวนอุตสาหกรรม ดำเนินการก่อสร้างเขื่อนหรือพนังกั้นน้ำถาวรเพื่อล้อมรอบพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมหรือเขตประกอบการอุตสาหกรรมหรือสวนอุตสาหกรรม ออกไปอย่างน้อย ๓๐ วัน นับจากวันที่ครบกำหนด พร้อมทั้งยื่นหนังสือขอความอนุเคราะห์สำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อทำคำให้การแก้ต่างทางคดีดังกล่าวแทน กยอ. และให้เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือรองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (นายปรเมธี วิมลศิริ) เป็นผู้แทน กยอ. ในการนำส่งเอกสารที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการนำพยานบุคคลที่เกี่ยวกับข้อเท็จจริง และให้ถ้อยคำต่าง ๆ ต่อพนักงานอัยการ และประสานงานกับสำนักงานอัยการสูงสุดจนกว่าการดำเนินการทางคดีจะแล้วเสร็จ ๓. รับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) โดยกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้กับหน่วยงานไปดำเนินการ รวมเป็นเงิน ๔๗,๙๖๓ ล้านบาท และอนุมัติการเบิกจ่ายไปแล้วทั้งสิ้น ๒๘,๙๑๘ ล้านบาท ซึ่งแผนงานที่ได้รับอนุมัติไปแล้ว ได้แก่ แผนการดำเนินการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ แผนการป้องกันปัญหาอุทกภัยระยะเร่งด่วนในพื้นที่ตะวันออกและตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา แผนการฟื้นฟู การอนุรักษ์ป่าและดิน การทำฝาย แผนการพัฒนาประสิทธิภาพการเก็บและการระบายน้ำในพื้นที่รับน้ำนอง และแผนการก่อสร้างระบบป้องกันอุทกภัยสำหรับนิคม/สวน/เขตอุตสาหกรรม สำหรับวงเงินที่เหลือ จำนวน ๓๐๒,๐๓๖ ล้านบาท ได้ประกาศเชิญชวนผู้สนใจร่วมเสนอกรอบแนวคิดเพื่อออกแบบก่อสร้างระบบบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนและระบบการแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทยในอนาคต ๔. รับทราบความคืบหน้าการฟื้นฟูพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ณ วันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ มีผู้ประกอบการในนิคม/เขต/สวนอุตสาหกรรมที่เปิดดำเนินการเต็มกำลังการผลิต จำนวน ๔๐๒ ราย เปิดดำเนินการบางส่วน จำนวน ๒๗๙ ราย และยังไม่ได้เปิดดำเนินการ จำนวน ๑๕๘ ราย ส่วนการดำเนินการก่อสร้างเขื่อนหรือพนังกั้นน้ำคาดว่าจะสามารถสร้างเสร็จได้ทันภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ ยกเว้นนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนครที่คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณเดือนกันยายน ๒๕๕๕ ๕. รับทราบความคืบหน้าการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ โดยผลการรับประกันภัยตั้งแต่ ๒๘ มีนาคม - ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๕ กลุ่มผู้เอาประกันภัย ได้แก่ บ้านอยู่อาศัย SME และอุตสาหกรรม ได้ออกกรมธรรม์ไปแล้วรวม ๔๗,๐๑๕ ฉบับ ทุนประกันภัยพิบัติรวม ๖,๓๔๑.๙๑ ล้านบาท และเบี้ยประกันภัยรวม ๔๕.๑๙ ล้านบาท ส่วนประมาณการประกันภัยทรัพย์สิน (กันยายน - ธันวาคม ๒๕๕๕) กลุ่มผู้เอาประกันภัย ได้แก่ บ้านอยู่อาศัย SME และอุตสาหกรรม จะมีการออกกรมธรรม์ ๓๖๔,๓๗๒ ฉบับ ทุนประกันภัย ๓,๖๕๕,๖๐๗ ล้านบาท และประมาณการทุนประกันภัย ๔๗๕,๕๕๐ ล้านบาท สำหรับการดำเนินการต่อไป อาทิ การสรรหาที่ปรึกษาด้านการประกันภัยต่อเพื่อทำหน้าที่ในการให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะแก่กองทุนฯ ในการจัดแผนการประกันภัยต่อที่เหมาะสม การเดินทางไปเจรจากับบริษัทประกันภัยต่อในต่างประเทศเพื่อให้สามารถเจรจาต่อรองเงื่อนไขความคุ้มครองรวมทั้งเบี้ยประกันภัยได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุด การดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์กองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ และการคัดเลือกบริษัทที่จะได้จ้างดำเนินการวางแผนการประชาสัมพันธ์และการใช้สื่อในรูปแบบต่าง ๆ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||
351 | ร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. .... | กค | 18/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงแก้ไขระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อให้ส่วนราชการและจังหวัดต่าง ๆ สามารถดำเนินการในการแก้ไขปัญหาและให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินและสามารถตรวจสอบติดตามการใช้จ่ายเงินทดรองราชการได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้รับข้อสังเกตของนายกรัฐมนตรีไปประกอบการพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๒.๑ การประกาศให้ท้องที่ใดที่เกิดภัยพิบัติเป็นเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน โดยให้อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยหรือผู้ว่าราชการจังหวัดร่วมกับคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจังหวัด (ก.ช.ภ.จ.) เป็นผู้ใช้ดุลยพินิจ รวมทั้งให้อำนาจใช้จ่ายเงินทดรองราชการ ภายในวงเงินไม่เกิน ๑๐ ล้านบาท ในเชิงป้องกันหรือยับยั้งภัยพิบัติที่คาดหมายว่าจะเกิดภัยพิบัติขึ้นในเวลาอันใกล้และจำเป็นต้องรีบแก้ไขโดยฉับพลันได้ โดยไม่ต้องประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือ นั้น เห็นควรพิจารณาความเหมาะสมของระดับภัยพิบัติและความเชื่อมโยงกับข้อมูลของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ด้วย ๒.๒ ควรเพิ่มผู้แทนหน่วยงานที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติโดยตรง เช่น ผู้แทนของกระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง กรมเจ้าท่า และการรถไฟแห่งประเทศไทย) ร่วมเป็นกรรมการใน ก.ช.ภ.จ. ด้วย ๒.๓ ให้พิจารณาถึงความเหมาะสมในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพและการซ่อมแซมที่อยู่อาศัยที่กำหนดให้จ่ายในลักษณะเหมาจ่าย โดยให้คำนึงถึงวงเงินและต้องทำความเข้าใจกับประชาชนเป็นสำคัญ
|
||||||||||||||||||
352 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกเอกชนร่วมงานหรือดำเนินโครงการทางพิเศษสายศรีรัช - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครตามมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 | คค | 04/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ โดยคณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีมติ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมหารือระหว่างกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ในประเด็นความคุ้มค่าระหว่างการให้เอกชนหรือภาครัฐเข้าลงทุนในโครงการทางพิเศษสายศรีรัช - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีต้นทุนทางการเงินและภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนผู้ให้บริการในระยะยาว ความเหมาะสมของการปรับเพิ่มกรอบวงเงินค่าก่อสร้าง และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ความถูกต้องของการประมาณการปริมาณจราจรและผลกระทบจากการปรับเพิ่มอัตราค่าผ่านทางตลอดอายุสัญญา ความเหมาะสมของการกำหนดเส้นทางที่มีลักษณะเป็นการแข่งขันตามสัญญาโครงการฯ การกำหนดให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เป็นผู้รับภาระค่าภาษีโรงเรือน รวมทั้งความสามารถของ กทพ. ในการส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างให้แก่เอกชนตามสัญญาก่อสร้างโครงการฯ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๑.๒ เห็นชอบผลการคัดเลือกเอกชนร่วมงานหรือดำเนินโครงการฯ ที่เสนอให้บริษัททางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เป็นเอกชนร่วมลงทุนโครงการฯ และรับทราบเงื่อนไขของสัญญาตามผลการเจรจาต่อรองของคณะกรรมการ ตามมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ เนื่องจาก กทพ. ได้ดำเนินการตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ แล้ว โดยให้รับประเด็นข้อสังเกตของคณะกรรมการกลั่นกรองฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เห็นควรพิจารณารายละเอียดของการคำนวณกรอบวงเงินใหม่ ตามมาตรา ๖ ของโครงการฯ ให้รอบคอบ เนื่องจากการลงทุนโดยรวมมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมาก การทำสัญญาร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชนในอนาคตจะต้องไม่กำหนดเงื่อนไขที่ให้สิทธิพิเศษกับเอกชนรายใดรายหนึ่ง เพื่อสร้างความเป็นธรรมในการแข่งขัน และให้มีกลไกติดตามเพื่อให้การส่งมอบพื้นที่เป็นไปตามกำหนดสัญญา รวมถึงการบริหารจัดการสัญญาให้มีความชัดเจนและยุติธรรมทั้งแก่ภาครัฐและเอกชน เพื่อป้องกันปัญหาข้อพิพาทในอนาคต นอกจากนี้ เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมเป็นเจ้าภาพหลักในการประสานการขอใช้พื้นที่ก่อสร้างโครงการฯ กับหน่วยงานเจ้าของพื้นที่ ได้แก่ การรถไฟแห่งประเทศไทย กรุงเทพมหานคร และกรมทางหลวงชนบท เพื่อให้ กทพ. สามารถส่งมอบพื้นที่โครงการฯ ให้แก่เอกชนได้ตามสัญญา รวมทั้งให้ กทพ. และบริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์เรื่องการกำหนดอัตราค่าผ่านทางและการปรับค่าผ่านทางที่ระบุไว้ในสัญญา เพื่อสร้างความเข้าใจและยอมรับแก่ประชาชนผู้ใช้บริการ ไปดำเนินการอย่างเคร่งครัด ๑.๓ ให้ฝ่ายเลขานุการฯ ประสานสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อติดตามผลการตรวจร่างสัญญาการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินโครงการฯ ของสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อนำร่างสัญญาที่ผ่านการพิจารณาของสำนักงานอัยการสูงสุดแล้วนั้นเสนอพร้อมกับรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกเอกชนร่วมงานหรือดำเนินโครงการฯ ตามมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ เพื่อให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในคราวเดียวกัน ๑.๔ ให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักในการประสานการขอใช้พื้นที่ก่อสร้างโครงการฯ กับหน่วยงานเจ้าของพื้นที่เพื่อให้ กทพ. สามารถส่งมอบพื้นที่โครงการให้แก่เอกชนได้ตามสัญญา เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ต่อไป ๒. เห็นชอบในหลักการร่างสัญญาสัมปทานการลงทุนออกแบบก่อสร้าง บริหารจัดการให้บริการและบำรุงรักษา โครงการทางพิเศษสายศรีรัช - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ที่สำนักงานอัยการสูงสุดได้ตรวจพิจารณาและพิมพ์ยกร่างขึ้นใหม่ และผนวกแนบท้ายสัญญา รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานอัยการสูงสุด ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้กระทรวงคมนาคม โดย กทพ. รับไปประสานงานกับสำนักงานอัยการสูงสุดอย่างเคร่งครัด โดยให้คำนึงถึงประโยชน์ของรัฐและประโยชน์สาธารณะ แล้วดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป และรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย |
||||||||||||||||||
353 | ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ 6/2555 | นร | 21/08/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ ๖/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๕ และเห็นชอบมติคณะกรรมการ กยอ. ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ กยอ. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการโครงการแม่บทประเทศไทย : การจัดระบบบัญชีรายการทรัพยากรพันธุกรรมที่ทรงคุณค่าการใช้ประโยชน์ และการจัดทำระบบฐานข้อมูลเพื่อการบริหารจัดการด้านการเก็บรักษา การปกป้องคุ้มครอง และการให้บริการ โดยให้สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) (สพภ.) เสนอโครงการฯ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาก่อนและเป็นผู้ลงนามเสนอโครงการถึงประธาน กยอ. เพื่อให้ความเห็นชอบก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการและการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ต่อไป สำหรับงบประมาณดำเนินการ ให้เสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติวงเงินงบประมาณดำเนินการเฉพาะในปีแรก วงเงิน ๓๐๐.๐๔ ล้านบาท จากโครงการเพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตของประเทศ (ภายใต้กรอบวงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท) ส่วนปีถัดไปให้ขอรับการจัดสรรงบประมาณตามแผนงานปกติของหน่วยงาน โดยเพิ่มเติมรายละเอียดการดำเนินงานให้เกิดความชัดเจน โดยเฉพาะในเรื่องการบริหารจัดการระบบฐานข้อมูล วิธีการให้ได้มาซึ่งข้อมูล และระบบควบคุมการเข้าถึงฐานข้อมูล ทั้งนี้ ให้ สพภ. จัดทำรายละเอียดตามแบบฟอร์มที่กำหนดในระเบียบฯ มาพร้อมหนังสือนำส่งโครงการฯ รวมทั้งให้จัดทำแผนแม่บทประเทศไทยว่าด้วยทรัพยากรพันธุกรรม ที่เสนอภาพรวมของฐานข้อมูลทรัพยากรพันธุกรรม การนำไปใช้ประโยชน์ และการเชื่อมโยงต่อยอดผลการศึกษาวิจัย และรายงานความก้าวหน้าหรือปัญหาอุปสรรคของการดำเนินงานโครงการฯ ให้ กยอ. เพื่อทราบต่อไป ๑.๒ รับทราบและเห็นด้วยกับข้อเสนอของธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank : ADB) ในการให้ความช่วยเหลือทางวิชาการเกี่ยวกับการพัฒนาระบบรถไฟของประเทศไทย โดยให้กระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินการตามขั้นตอนรับความช่วยเหลือทางวิชาการต่อไป โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาธุรกิจและตลาดใหม่ การขนส่งสินค้า และการพัฒนาให้สามารถรองรับรถไฟความเร็วสูง ทั้งนี้ ให้ฝ่ายเลขานุการประสานกับ ADB เพื่อรับความเห็นของ กยอ. ไปดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ๑.๓ เห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์และบริหารทรัพยากรน้ำ ลุ่มน้ำตะวันออก ๙ จังหวัด เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (อยอ.) ประกอบด้วย จังหวัดฉะเชิงเทรา นครนายก ปราจีนบุรี สมุทรปราการ สระแก้ว ชลบุรี จันทบุรี ตราด และระยอง โดยให้ฝ่ายเลขานุการฯ ปรับปรุงคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการฯ ตามความเห็นของที่ประชุมแล้วให้นำเสนอประธาน กยอ. พิจารณาลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการฯ ต่อไป ๑.๔ รับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานเพื่อฟื้นฟูนิคมอุตสาหกรรมของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม ในส่วนของการสำรวจสถานะของผู้ประกอบการในนิคม/เขต/สวนอุตสาหกรรม และการก่อสร้างเขื่อนหรือพนังกั้นน้ำ และให้ กนอ. กระทรวงอุตสาหกรรม รายงานความคืบหน้าการฟื้นฟูพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมให้ กยอ. ทราบต่อไป ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการ กยอ. ถือเป็นหลักปฏิบัติว่าในกรณีที่ กยอ. ได้พิจารณามีมติเกี่ยวกับแผนงาน/โครงการใด ๆ แล้ว ให้ฝ่ายเลขานุการ กยอ. แจ้งมติให้หน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับแผนงาน/โครงการนั้น ๆ พิจารณาให้ความเห็นก่อนนำเรื่องดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีด้วย เพื่อมิให้เกิดปัญหาความซ้ำซ้อนหรือมีความเห็นแย้งในภายหลัง |
||||||||||||||||||
354 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 6/2555 | นร | 30/07/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๖/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ณ จังหวัดสุรินทร์ โดยมีรายละเอียดข้อเสนอเพื่อพิจารณาของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ๒. เห็นชอบตามมติที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๖/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ณ จังหวัดสุรินทร์ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุม รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ดังนี้ ๒.๑ ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการศึกษาวิจัยโครงการ “นครราชสีมา : เมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ในอนุภูมิภาค” จำนวน ๒๐ ล้านบาท และขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาลด้านนโยบายและงบประมาณเพื่อศึกษาความเป็นไปได้โครงการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตรชายแดน ที่อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ที่ประชุมมีมติ ๒.๑.๑ ให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมโยธาธิการและผังเมืองรับข้อเสนอโครงการศึกษาวิจัยโครงการ “นครราชสีมาเป็นเมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ในอนุภาค” ไปพิจารณาดำเนินการ โดยให้มีผู้แทนภาคเอกชนเข้าร่วมในคณะกรรมการกำกับการศึกษาโครงการฯ ด้วย ๒.๑.๒ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตรชายแดนที่อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ๒.๒ ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนการพัฒนาและขยายเส้นทางการจราจร จำนวน ๑๐ โครงการ โครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟทางคู่ จังหวัดนครราชสีมา - บุรีรัมย์ - สุรินทร์ - ศรีษะเกษ - อุบลราชธานี และโครงการยกระดับสนามบินอุบลราชธานี ที่ประชุมมีมติ ๒.๒.๑ ให้กระทรวงคมนาคมศึกษาความเหมาะสมและจัดลำดับความสำคัญของการขยายเส้นทางและช่องจราจรในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง โดยให้ความสำคัญกับเส้นทางและช่องจราจรที่เชื่อมโยงระหว่างภาคและประเทศเพื่อนบ้านในการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอนต่อไป โดยคำนึงถึงข้อจำกัดด้านขีดความสามารถในการลงทุนของภาครัฐ และผลกระทบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ ๒.๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาความเป็นไปได้ในการเร่งรัดแผนการพัฒนารถไฟทางคู่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยคำนึงถึงข้อจำกัดด้านขีดความสามารถในการลงทุนของภาครัฐ และขั้นตอนการพิจารณาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของโครงการควบคู่ไปด้วย ๒.๒.๓ ให้กระทรวงคมนาคมศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาท่าอากาศยานอุบลราชธานีในเชิงพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อให้เป็นศูนย์กลางการบินในอินโดจีน โดยคำนึงถึงปริมาณความต้องการเดินทาง ความได้เปรียบในเชิงพื้นที่ รวมทั้งโอกาสและข้อจำกัดในการรองรับการเดินทางของผู้โดยสาร ๒.๓ ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำโป่งขุนเพชรบริเวณบ้านแก่งกระจวน ตำบลโคกสะอาด อำเภอหนองบัวระเหว จังหวัดชัยภูมิ ให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ และขอให้เร่งรัดการก่อสร้างโครงการพัฒนาลุ่มน้ำชีตอนบน เขื่อนชีบน และเขื่อนยางนาดี จังหวัดชัยภูมิ ให้แล้วเสร็จ ที่ประชุมมีมติ ๒.๓.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดการก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำโป่งขุนเพชรให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ และนำเสนอคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ต่อไป ๒.๓.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในเรื่องประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ เพื่อเร่งรัดการก่อสร้างโครงการพัฒนาลุ่มน้ำชีตอนบน เขื่อนชีบน และเขื่อนยางนาดี จังหวัดชัยภูมิ และนำเสนอ กบอ. ต่อไป ๒.๓.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับ กบอ. และกลุ่มจังหวัดพิจารณาการเชื่อมโยงพื้นที่ในการจัดหาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรและการอุปโภคบริโภคแบบบูรณาการในภาพรวมทั้งระบบ โดยคำนึงถึงความพร้อมของพื้นที่และการยอมรับของประชาชน ทั้งนี้ ให้ขอความร่วมมือภาคเอกชนได้ร่วมสนับสนุนข้อมูลที่จำเป็นในพื้นที่ด้วย ๒.๔ ข้อเสนอของ สทท. เรื่อง ขอให้สนับสนุนและส่งเสริมการดำเนินโครงการ “นำช้างคืนถิ่น” และ “คชอาณาจักร” ขอให้พัฒนาพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมในเขตอำเภอวังน้ำเขียวให้เป็นสวนพฤกษศาสตร์เพื่อการเรียนรู้ภายใต้ความร่วมมือของภาครัฐและเอกชน และขอให้ส่งเสริมเส้นทางการท่องเที่ยวเชื่อมโยงอีสานใต้กับประเทศเพื่อนบ้าน ที่ประชุมมีมติ ๒.๔.๑ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหารือกับรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาช้างเร่ร่อน การอนุรักษ์ช้างและอาชีพควาญช้าง โดยบูรณาการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภาคเอกชน มูลนิธิ และองค์กรการกุศล เพื่อให้การดูแลอนุรักษ์ช้างเป็นไปอย่างเป็นระบบและสามารถแก้ไขปัญหาช้างได้อย่างยั่งยืน ๒.๔.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาบูรณาการพัฒนาพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมในเขตอำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา เพื่อใช้ประโยชน์จากพื้นที่โดยเน้นการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ โดยไม่กระทบต่อพื้นที่ปาสงวน ๒.๔.๓ ให้กระทรวงคมนาคมรับข้อเสนอเรื่องการส่งเสริมเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงอีสานใต้กับประเทศเพื่อนบ้านไปผนวกไว้ในแผนการเชื่อมโยงระบบคมนาคมและโลจิสติกส์ เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยพิจารณาใช้ประโยชน์จากความตกลงที่ไทยได้จัดทำร่วมกับกัมพูชา สปป.ลาว และเวียดนาม เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการขนส่ง คมนาคม และการท่องเที่ยวระหว่างกัน ๒.๔.๔ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยพิจารณาความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวจากประเทศไทยเดินทางไปประเทศเพื่อนบ้าน และการบังคับใช้ใบอนุญาตประกอบกิจการนำเที่ยวในประเทศสำหรับบริษัทนำเที่ยวจากประเทศเพื่อนบ้าน และนำเสนอผลการดำเนินการต่อรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) พิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๒.๕ ข้อเสนอของเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามมติการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ที่ประชุมมีมติรับทราบและให้ฝ่ายเลขานุการติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานมารายงานให้ทราบเป็นระยะ ๒.๖ เรื่องอื่น ๆ ที่ภาคเอกชนเสนอเพิ่มเติม ๒.๖.๑ ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง ผลการประชุม 3rd Asian Business Summit (ABS) ที่ประชุมมีมติรับทราบและให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒.๖.๒ ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง การส่งเสริมการค้าชายแดน โดยการยกระดับจุดผ่อนปรนเป็นด่านถาวร ที่ประชุมีมติรับทราบและให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวงมหาดไทยติดตามรายงานความก้าวหน้าการยกระดับจุดผ่านแดนให้คณะรัฐมนตรีรับทราบต่อไป ๒.๖.๓ ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง โครงการปรับปรุงพื้นที่ด่านชายแดนช่องจอม อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ที่ประชุมมีมติรับทราบและให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงมหาดไทย โดยจังหวัดสุรินทร์ รับไปพิจารณาในรายละเอียดของข้อเสนอต่อไป ๒.๖.๔ ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง การเร่งรัดจัดตั้งสถาบันพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางและไม้ยางพารา ที่ประชุมมีมติรับทราบและให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล) ร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม ประสานสำนักงบประมาณ รับไปพิจารณาในรายละเอียดการขอรับการสนับสนุนงบประมาณ ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง ยุทธศาสตร์การพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางและไม้ยางพารา และการจัดตั้งสถาบันพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางและไม้ยางพารา) ๒.๖.๕ ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง ข้อเสนอโครงการจัดตั้ง Northeastern Food Valley จังหวัดนครราชสีมา จำนวน ๙๔๗,๔๐๐,๐๐๐ บาท ระยะเวลาดำเนินการ ๓ ปี (ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๘) ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการ โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักในการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษารายละเอียดโครงการ โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมเป็นคณะทำงาน เพื่อศึกษาความเหมาะสมในการกำหนดเขตพื้นที่ดำเนินการในภาพรวมทั้งประเทศ โดยคำนึงถึงการเพิ่มมูลค่าของผลิตผลการเกษตรด้วย ๒.๖.๖ ข้อเสนอของสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เรื่อง โครงการให้ความรู้ด้านการเงินแก่ประชาชนในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ที่ประชุมมีมติรับทราบและให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพิจารณาให้การสนับสนุนการดำเนินงานดังกล่าว
|
||||||||||||||||||
355 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2555 | ทส | 10/07/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๑๕ เรื่อง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการบังคับใช้ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงฯ ในท้องที่จังหวัดพังงา ร่างประกาศกระทรวงฯ เรื่องขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงฯ ในท้องที่จังหวัดกระบี่ และร่างประกาศกระทรวงฯ เรื่อง ขยายเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงฯ ในบริเวณพื้นที่จังหวัดกระบี่ พ.ศ. ๒๕๕๓ รวม ๓ ฉบับ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำร่างประกาศกระทรวงฯ ทั้ง ๓ ฉบับ เสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ โดยเร่งรัดดำเนินการนำเสนอให้ทันกำหนดการบังคับใช้ ๒. เห็นชอบแนวทาง/มาตรการในการสนับสนุนเงินกู้จากกองทุนสิ่งแวดล้อมเพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้รับบริการจากกองทุนฯ ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ตามความเห็นของคณะกรรมการกองทุนสิ่งแวดล้อม ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๔ และครั้งที่ ๖/๒๕๕๔ และเห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการกองทุนสิ่งแวดล้อม เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขการพิจารณาให้กู้ยืมเงิน อัตราดอกเบี้ย ระยะเวลาการปลอดการชำระคืนเงินต้น และระยะเวลาชำระหนี้เงินกู้ยืม เพื่อบรรเทาผลกระทบจากเหตุอุทกภัย พ.ศ. ๒๕๕๔ รวมทั้งให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำร่างประกาศคณะกรรมการกองทุนสิ่งแวดล้อมฯ เสนอประธานกรรมการกองทุนสิ่งแวดล้อม และประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๓. เห็นชอบสรุปผลการวิเคราะห์แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ประกอบด้วยโครงการด้านการจัดการมลพิษสิ่งแวดล้อมที่ขอรับการสนับสนุนงบประมาณ จำนวน ๓๑ โครงการ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๒,๖๘๔,๐๖๙,๑๑๖ ล้านบาท ตามความเห็นของคณะอนุกรรมการกำกับการจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด โดยให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำโครงการที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อขอตั้งงบประมาณแผ่นดิน หมวดเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ และให้สำนักงบประมาณให้การสนับสนุนงบประมาณต่อไป และให้การประปานครหลวงและการประปาส่วนภูมิภาคเร่งรัดดำเนินงานตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๓ เรื่อง การปรับแก้พระราชบัญญัติการประปานครหลวงและพระราชบัญญัติการประปาส่วนภูมิภาคเพื่อให้มีอำนาจและหน้าที่ในการจัดเก็บค่าบริการบำบัดน้ำเสีย รวมทั้งให้กรมโยธาธิการและผังเมืองจัดทำคำขอตั้งงบประมาณเพื่อซ่อมแซมระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียที่ยังชำรุดเสียหาย และไม่สามารถส่งมอบให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จำนวน ๔ แห่ง ได้แก่ เทศบาลนครพิษณุโลก เทศบาลเมืองสระบุรี เทศบาลเมืองชุมพร และเทศบาลเมืองปัตตานี เพื่อให้ระบบอยู่ในสภาพที่ดีพร้อมใช้งาน ก่อนส่งมอบให้ อปท. และให้สำนักงบประมาณสนับสนุนงบประมาณดังกล่าวด้วย ๔. เห็นชอบ (ร่าง) แผนปฏิบัติการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ และแต่งตั้งคณะทำงานติดตามผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการฯ เพื่อกำกับ ติดตาม ประสานงาน และจัดทำรายงานผลการดำเนินงานในแต่ละปี ๕. ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการภายใต้พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๓๕ เพื่อกำหนดให้ผู้ประกอบกิจการเลี้ยงสุกร การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และการแกะล้างวัตถุดิบสัตว์น้ำ (แปรรูปสัตว์น้ำเบื้องต้น) ตามหลักเกณฑ์ของกิจการที่เสนอให้มีการกำหนดเงื่อนไขด้านการจัดการน้ำเสียและของเสีย และการประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอื่น ๆ เสนอแนวทางการจัดการน้ำเสียและของเสียต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นในการยื่นขอหรือต่อใบอนุญาตการประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษตรวจสอบหลักเกณฑ์ของกิจการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดที่เสนอให้มีการกำหนดเงื่อนไขด้านการจัดการน้ำเสียและของเสีย ตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ก่อนให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการต่อไป ๖. เห็นชอบการยกร่างกฎหมายเพื่อให้ อปท. มีอำนาจหน้าที่ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมตามความในมาตรา ๒๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษจัดทำเรื่องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณามอบให้กรมควบคุมมลพิษเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการยกร่างกฎหมายดังกล่าว โดยในการรับฟังความคิดเห็นต่อร่างกฎหมายควรเปิดโอกาสให้ อปท. และรัฐวิสาหกิจ เข้ามามีส่วนร่วมด้วย ๗. ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการออกกฎกระทรวงการสาธารณสุขว่าด้วยการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมกำจัดมูลฝอยและของเสียอันตรายของชุมชน ตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๓๕ และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อเป็นกฎหมายรองรับการดำเนินงานของท้องถิ่นต่อไป และให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการออกกฎระเบียบ มาตรการ และเกณฑ์การปฏิบัติตามพระราชบัญญัติฯ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของ อปท. ในเรื่องการจัดการมูลฝอย การควบคุมมลพิษจากการประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และเหตุเดือดร้อนรำคาญด้านมลพิษ และร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสริมสร้างสมรรถนะให้กับ อปท. ในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติฯ นอกจากนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงมหาดไทยเสนอสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการกำหนดยุทธศาสตร์สิ่งแวดล้อม (ด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม) เป็นตัวชี้วัดร่วมระหว่างกระทรวงที่มีเป้าหมายร่วมกัน (Joint KPI) โดยเริ่มในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๘. เห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการก่อสร้างท่าเรือชายฝั่งที่จังหวัดตรัง ของกรมเจ้าท่า โดยให้กรมเจ้าท่าปฏิบัติตามมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อแหล่งหญ้าทะเล พะยูน และปะการัง ใกล้แนวเส้นทางเดินเรืออย่างเคร่งครัด รวมทั้งเพิ่มเติมมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำทะเลบริเวณแหล่งหญ้าทะเล พะยูน และแนวปะการัง ตลอดอายุโครงการ ตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ๙. เห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายนครปฐม - ชะอำ ของกรมทางหลวง โดยให้กรมทางหลวงพิจารณาออกแบบรายละเอียดโครงสร้างระบบระบายน้ำของโครงการให้สามารถรองรับปริมาณน้ำที่จะไหลผ่านบริเวณแนวเส้นทางโครงการเพื่อป้องกันปัญหาอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ๑๐. เห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าระบบ ๑๑๕ กิโลโวลต์ อำเภอเขาค้อ - อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โดยให้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ ๑๑. เห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการระบบขนส่งมวลชนสายสีชมพู ของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) โดยให้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ และให้นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป ๑๒. เห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงรังสิต - มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดยให้ รฟท. นำข้อมูลอุทกภัยที่เกิดขึ้นล่าสุดในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ มาใช้ประกอบการพิจารณาออกแบบรายละเอียดโครงการฯ เพื่อลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้เป็นไปตามข้อสังเกตของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และดำเนินการตามมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ และให้นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อประกอบการพิจารณาตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป ๑๓. เห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการศึกษารูปแบบที่เหมาะสมของระบบรถไฟสายสีแดงผ่านบริเวณสถานีรถไฟจิตรลดา และการออกแบบรายละเอียดระบบรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงบางซื่อ - พญาไท - มักกะสัน ของ รฟท. โดยให้ รฟท. นำข้อมูลอุทกภัยที่เกิดขึ้นล่าสุดในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ มาใช้ประกอบการพิจารณาออกแบบรายละเอียดโครงการฯ เพื่อลดผลกระทบสิ่แวดล้อมจากการดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปตามข้อสังเกตของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และดำเนินการตามมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ และให้นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อประกอบการพิจารณาตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป ๑๔. เห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแ
|
||||||||||||||||||
356 | ขออนุมัติดำเนินโครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา - คลองสิบเก้า - แก่งคอย พร้อมทางคู่เลี่ยงเมือง (Chord Line) จำนวน 3 แห่ง ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 10/07/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๕ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินการโครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา คลองสิบเก้า แก่งคอย พร้อมทางคู่เลี่ยงเมือง (Chord Lines) จำนวน ๓ แห่ง ที่ชุมทางฉะเชิงเทรา ชุมทางแก่งคอย และชุมทางบ้านภาชี วงเงินโครงการรวม ๑๑,๓๔๘.๓๕ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบให้กระทรวงการคลังจัดหาแหล่งเงินกู้และค้ำประกันเงินกู้ภายในประเทศให้ รฟท. ในการดำเนินโครงการทางคู่ในเส้นทางรถไฟฯ ทั้งในส่วนของค่าเวนคืนที่ดินและรื้อย้ายสิ่งปลูกสร้าง ค่าดำเนินการประกวดราคา ค่าก่อสร้าง และค่าจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง วงเงินรวม ๑๑,๓๔๘.๓๕ ล้านบาท และให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้กระทรวงการคลัง เพื่อชดใช้เงินต้นพร้อมดอกเบี้ยตามความเหมาะสมต่อไป ทั้งนี้ หากการดำเนินโครงการมีภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากต้นทุนค่าวัสดุ อุปกรณ์การก่อสร้างที่เพิ่มสูงขึ้น ให้ รฟท. โดยกระทรวงคมนาคมนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาตามความจำเป็นต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. ประสานการดำเนินโครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟฯ กับคณะกรรมการบริหาจัดการน้ำและอุทกภัย เพื่อมิให้เกิดปัญหาการก่อสร้างกีดขวางทางไหลของน้ำด้วย |
||||||||||||||||||
357 | ขออนุมัติปรับกรอบวงเงินลงทุนและจัดหาแหล่งเงินเพิ่มเติม สำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต | คค | 03/07/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. รับทราบสถานะการดำเนินการประกวดราคาโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต ในสัญญาที่ ๑ - ๓ โดยกิจการร่วมค้า STEC - UNIQ (SU) เป็นผู้เสนอราคาต่ำสุดในสัญญาที่ ๑ (งานก่อสร้างงานโยธาสถานีกลางบางซื่อและศูนย์ซ่อมบำรุง) ๒. เห็นชอบการปรับกรอบวงเงินลงทุนด้านงานโยธาของโครงการระบบรถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต จำนวน ๗๔,๗๙๘,๒๕๙,๓๒๕ บาท โดยปรับกรอบวงเงินในสัญญาที่ ๑ เพิ่มเติมจากจำนวน ๒๗,๑๓๗,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็น ๒๙,๘๒๘,๒๕๙,๓๒๕ บาท สำหรับสัญญาที่ ๒ และ ๓ ให้คงตามกรอบวงเงินลงทุนเดิมที่เคยได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี และภายหลังจากได้ผลการประกวดราคาในสัญญาที่ ๒ และ ๓ แล้ว ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งเพื่อพิจารณาวงเงินลงทุนรวมทั้ง ๓ สัญญาในคราวเดียวกัน ทั้งนี้ กรอบวงเงินลงทุนรวมของทั้งโครงการจะต้องอยู่ในระดับที่สมเหตุสมผลและไม่สูงกว่าจุดคุ้มทุน ๓. ให้การรถไฟแห่งประเทศไทยจัดทำรายละเอียดของการปรับเพิ่มวงเงินในสัญญาที่ ๑ แยกเป็นรายการ พร้อมทั้งระบุเหตุผลในการขอปรับเพิ่มวงเงินให้ชัดเจน เพื่อจะได้พิจารณาแหล่งเงินที่เหมาะสมสำหรับการดำเนินโครงการต่อไป |
||||||||||||||||||
358 | กรอบเจรจาเพื่อจัดทำบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารทางบกระหว่างไทย - มาเลเซีย | คค | 26/06/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบกรอบการเจรจาเพื่อจัดทำบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารทางบกระหว่างไทย - มาเลเซีย ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยกรอบการเจรจาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ วัตถุประสงค์ บันทึกความเข้าใจฯ ที่จะจัดทำขึ้นเป็นการขยายโอกาสการให้บริการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารระหว่างไทยกับมาเลเซีย และมีผลเป็นการยกเลิกบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการขนส่งสินค้าเน่าเสียง่ายทางถนนจากประเทศไทยผ่านแดนมาเลเซียไปยังสิงคโปร์ ซึ่งมีการจำกัดประเภทของสินค้าและปริมาณของสินค้าเน่าเสียง่าย โดยจะทำให้การขนส่งสินค้าและผู้โดยสารระหว่างประเทศไทยและมาเลเซียเป็นไปด้วยความสะดวกและรวดเร็ว เป็นผลให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศทั้งในด้านการค้าและบริการท่องเที่ยว ๑.๒ สิทธิการจราจร อนุญาตให้มีการประกอบการรถขนส่งสินค้าและผู้โดยสารข้ามแดนและผ่านแดนทางถนนตามเส้นทางและด่านพรมแดนเข้า - ออก ที่กำหนดร่วมกัน และอนุญาตให้ผู้ประกอบการรถโดยสารทั้งประจำทางและไม่ประจำทางที่ได้รับอนุญาตจากหน่วยงานประเทศผู้รับ ได้รับสิทธิในการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารในประเทศผู้ได้รับ โดยไม่รวมการขนส่งในประเทศ ทั้งนี้ การขนส่งข้ามแดนและผ่านแดนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายของประเทศผู้รับ ๑.๓ เส้นทางการขนส่งข้ามแดน/ผ่านแดนและสิ่งอำนวยความสะดวก ให้มีการกำหนดเส้นทางการขนส่ง และสิ่งอำนวยความสะดวกบริเวณพรมแดนตามที่ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกัน ๑.๔ การอำนวยความสะดวกพิธีการข้ามแดน ให้มีการกำหนดด่านพรมแดนโดยความเห็นชอบร่วมกัน และให้มีการดำเนินการตรวจปล่อยร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในบริเวณเดียวกัน รวมทั้งปรับประสานและทำให้ง่ายขึ้นของพิธีการทางศุลกากร ๑.๕ การขนส่งสินค้าอันตราย ไม่อนุญาตให้ขนส่งสินค้าอันตราย เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากประเทศภาคีเป็นกรณี ๆ ไป ซึ่งเป็นไปตามพิธีสาร ๙ ของกรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าผ่านแดน ๑.๖ การขนส่งสินค้าเน่าเสียง่าย ประเทศภาคีต้องอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าเน่าเสียง่าย ๑.๗ การยอมรับรถ กำหนดให้มีการยอมรับรถขนส่งสินค้าและรถโดยสารที่จดทะเบียนในประเทศภาคี การยอมรับใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ข้ามแดนและผ่านแดนซึ่งกันและกัน ประเทศภาคีต้องอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าเน่าเสียง่าย ๑.๘ การขนส่งบุคคลข้ามแดนผ่านแดน ให้นำหลักเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลกมาใช้สำหรับการขนส่งบุคคลข้ามแดน ๑.๙ การขนส่งข้ามแดนและผ่านแดนทางรถไฟ ให้เป็นไปตามข้อตกลงการเดินรถร่วมระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทยและการรถไฟสหพันธ์มลายา บังคับใช้เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๗ ๑.๑๐ คณะกรรมาธิการร่วม ให้มีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อประสานงานในการดำเนินการตามความตกลงฯ ๑.๑๑ การเริ่มมีผลบังคับใช้ ความตกลงจะมีผลใช้บังคับในวันที่ลงนามและมีผลเป็นการยกเลิกบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการขนส่งสินค้าเน่าเสียง่ายทางถนนจากประเทศไทยผ่านแดนมาเลเซียไปยังสิงคโปร์ พ.ศ. ๒๕๒๒ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการกำหนดแนวทางและมาตรการในเชิงป้องกันปัญหาในมิติด้านความมั่นคง เช่น การป้องกันการลักลอบเข้าเมือง การขนส่งสินค้าผิดกฎหมาย เพื่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดทั้งในด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง การนำหลักการและสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดน พ.ศ. .... ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรมาพิจารณาประกอบในการกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการกำหนดพื้นที่ควบคุมร่วมกัน เพื่อให้สามารถดำเนินพิธีการต่าง ๆ ในการขนส่งข้ามพรมแดนร่วมกันได้อย่างเบ็ดเสร็จในจุดเดียว รวมทั้งเพิ่มเติมการคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ของผู้โดยสารและบุคคลที่สามด้านการประกันภัยในระหว่างการเดินทางในกรอบเจรจาฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
359 | การจัดทำแผนยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการของรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวกับระบบขนส่งมวลชน (การรถไฟแห่งประเทศไทย และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ) | นร | 05/06/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นฝ่ายเลขานุการรับเรื่อง การจัดทำแผนยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการของรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวกับระบบขนส่งมวลชน ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ไปประสานในรายละเอียดกับกระทรวงการคลัง (สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ) กระทรวงคมนาคม รฟท. ขสมก. และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดเตรียมข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน ชัดเจน และดำเนินการจัดประชุมหารือร่วมกันระหว่างนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้รัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ได้นำเสนอยุทธศาสตร์และแผนการดำเนินงานของแต่ละรัฐวิสาหกิจในระยะยาว (๕ ปี) พร้อมทั้งรับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอ และแนวนโยบายของรัฐบาล เพื่อรัฐวิสาหกิจรับไปปรับปรุงแก้ไขและใช้เป็นกรอบแนวทางในการดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||
360 | ขออนุมัติกู้เงินสำหรับใช้ในการดำเนินงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 05/06/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กู้เงินสำหรับใช้ในการดำเนินงานของ รฟท. จำนวน ๖,๙๒๓ ล้านบาท โดยให้กระทรวงการคลังค้ำประกัน และพิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข รวมทั้งรายละเอียดตามความเหมาะสม ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ส่วนการนำเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ (PSO) มาหักออกจากวงเงินกู้และการคิดค่าธรรมเนียมในการค้ำประกัน นั้น ให้สงวนสิทธิการคิดค่าธรรมเนียมในการค้ำประกันให้เป็นไปตามกฎกระทรวงกำหนดอัตราและเงื่อนไขการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกันของกระทรวงการคลัง พ.ศ. ๒๕๕๑ ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการทบทวนแนวทางการบริหารกิจการของ รฟท. โดยให้ความสำคัญในแนวทางการเพิ่มรายได้โดยเฉพาะรายได้ในเชิงพาณิชย์ และรายได้จากการบริหารจัดการสินทรัพย์และที่ดิน การลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น การปรับโครงสร้างอัตราค่าโดยสารใหม่ให้เป็นไปตามกรอบดำเนินการที่คาดว่าจะสามารถประกาศใช้ได้ภายในวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๕ และเร่งปรับโครงสร้างการบริหารจัดการกิจการของ รฟท. และจัดทำระบบบัญชีแยกสินทรัพย์ที่เกิดจากการลงทุนตามแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของ รฟท. ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๓ (เรื่อง ขออนุมัติกู้เงินเพื่ออุดหนุนบริการสาธารณะ (PSO) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓) การจัดทำแผนการปรับโครงสร้างทางการเงินเพื่อเพิ่มเสริมสภาพคล่องทางการเงินในการแก้ไขปัญหาหนี้สินไปดำเนินการต่อไปด้วย |
.....