ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 28 จากทั้งหมด 252 หน้า แสดงรายการที่ 541 - 560 จากข้อมูลทั้งหมด 5030 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
541 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2553 (เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ในพื้นที่น้ำจืด) ( | กษ | 20/09/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๓ (เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด) อาทิ การจัดทำแผนแม่บทการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของประเทศ การกำหนดหลักเกณฑ์การกำหนดเขตพื้นที่น้ำจืดใหม่ การกำหนดมาตรการรองรับผลกระทบและมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาเพิ่มผู้แทนของส่วนราชการร่วมเป็นคณะผู้วิจัยของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ในการจัดทำกรอบนโยบายของคณะกรรมการนโยบายประมงแห่งชาติ ทั้งนี้ ในระหว่างการจัดทำแผนแม่บทการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของประเทศ และออกกฎกระทรวงกำหนดให้การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำโดยใช้ความเค็มในพื้นที่น้ำจืดเป็นกิจการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ต้องมีการควบคุม ควรมีการแก้ไขปัญหาการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด โดยใช้คำสั่งจังหวัดระงับการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืดไปพลางก่อน รวมทั้งพิจารณาดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติภายใต้พระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่เกี่ยวข้องตามความจำเป็น นอกจากนี้ ควรพิจารณาถึงความเหมาะสมของรูปแบบการให้เงินช่วยเหลือเกษตรกรตามมาตรการรองรับและมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ตามแนวทางที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดทำไว้เพื่อลดภาระงบประมาณภาครัฐ ตลอดจนนำผลการติดตามประเมินผลการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืดมาประกอบการจัดทำแผนแม่บทฯ และร่วมมือกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในการกำหนดมาตรการฟื้นฟูระบบนิเวศที่ได้รับผลกระทบจากการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืดด้วย ภายหลังจากมีข้อมูลทางวิชาการด้านผลกระทบสิ่งแวดล้อม จากการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืดที่ชัดเจนแล้ว ไปพิจารณาดำเนินการ ๓. ให้คณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดการจัดทำแผนแม่บทในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของประเทศให้แล้วเสร็จและเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐ ตามกรอบระยะเวลาการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานความคืบหน้าให้คณะรัฐมนตรีทราบทุก ๖ เดือน ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอมาตรการรองรับผลกระทบและมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้คณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐ ตามกรอบระยะเวลาการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ๕. ให้คณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงมหาดไทยเร่งรัดการกำหนดหลักเกณฑ์การกำหนดเขตพื้นที่น้ำจืดใหม่ และกำหนดเขตพื้นที่ประกอบกิจการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำควบคุม ตามมาตรา ๗๗ ของพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้แล้วเสร็จภายใน ๖ เดือน โดยให้คณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติรายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ๖. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการหารือเกี่ยวกับความชัดเจนของกฎกระทรวงกำหนดกิจการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำให้เป็นกิจการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำควบคุม พ.ศ. ๒๕๕๙ ว่าสอดคล้องกับมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ หรือไม่ และรายงานแนวทางการยกเลิกคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๖/๒๕๕๓ เรื่อง มอบอำนาจให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้ว่าราชการจังหวัดปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๓ ให้คณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๓ เดือน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
542 | หลักเกณฑ์การออกสลากการกุศล | กค | 13/09/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการปรับปรุงหลักเกณฑ์และแนวทางการพิจารณาการออกสลากการกุศล ตามมติคณะกรรมการพิจารณาโครงการสลากการกุศล ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ลักษณะหน่วยงานเจ้าของโครงการที่ขอรับการสนับสนุน (๑) ส่วนราชการ และ (๒) มูลนิธิ องค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร ๒. ลักษณะของโครงการที่ขอรับการสนับสนุน (๑) เป็นโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาด้านสาธารณสุขหรือลดความเหลื่อมล้ำด้านสังคม เช่น กลุ่มผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาส เด็กและผู้สูงอายุ (๒) เป็นโครงการที่ไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณจากภาครัฐหรือได้รับการจัดสรรแต่ไม่เพียงพอ (๓) เป็นโครงการที่ไม่มีการดำเนินงานซ้ำซ้อนกับโครงการที่เสนอขอรับเงินงบประมาณจากภาครัฐ ทั้งทางตรงและทางอ้อม และไม่มีลักษณะเป็นเงินหมุนเวียนเพื่อใช้ในการบริหารจัดการหรือดำเนินกิจกรรมส่งเสริมทั่วไป และ (๔) เป็นโครงการที่ไม่เคยได้รับการสนับสนุนการออกสลากการกุศลมาก่อน ๓. กำหนดให้มีการพิมพ์สลากการกุศลไม่เกินจำนวน งวดละ ๑๑ ล้านฉบับคู่ ๔. วงเงินที่จะให้การสนับสนุนโครงการต้องไม่เกินโครงการละ ๑,๐๐๐ ล้านบาท และการพิจารณาสนับสนุนโครงการที่ขอออกสลากการกุศลในแต่ละครั้งจะต้องมีวงเงินรวมไม่เกินครั้งละ ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ๕. การพิจารณาออกสลากการกุศลในครั้งต่อไป จะดำเนินการภายหลังจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลได้จ่ายเงินสนับสนุนโครงการให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติครั้งก่อนแล้วเสร็จ ๖. รายละเอียดของโครงการที่จะขอรับการสนับสนุน ๗. ให้มีการติดตาม และรายงานผลการดำเนินงานของโครงการ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
543 | ขอความเห็นชอบดำเนินการโครงการระบบขนส่งมวลชนขนาดรองสายสีทอง (สถานีรถไฟฟ้ากรุงธนบุรี - สำนักงานเขตคลองสาน - ประชาธิปก) | มท | 06/09/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กรุงเทพมหานครเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการโครงการระบบขนส่งมวลชนขนาดรองสายสีทอง (สถานีรถไฟฟ้ากรุงธนบุรี-สำนักงานเขตคลองสาน-ประชาธิปก) ซึ่งโครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ในการรองรับการเดินทางจากการพัฒนาพื้นที่ฝั่งธนบุรี และส่งเสริมการใช้บริการระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ โดยเชื่อมต่อระบบการเดินทางกับโครงการระบบขนส่งมวลชน ๓ เส้นทาง ได้แก่ (๑) รถไฟฟ้า BTS สายสีส้มและส่วนต่อขยาย (๒) รถไฟฟ้าสายสีม่วง (ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ) และ (๓) รถไฟฟ้าสายสีแดง (หัวลำโพง-บางบอน-มหาชัย) โดยให้กรุงเทพมหานครนำโครงการฯ เสนอให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรพิจารณาความเหมาะสมของโครงการฯ เพื่อจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ระยะที่ ๒ ตามมติคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๙ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรุงเทพมหานครรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประธานกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก และประธานกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐที่เห็นควรให้กรุงเทพมหานครเร่งรัดดำเนินการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และปรับปรุงแก้ไขในส่วนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนตามขั้นตอนให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และให้ประสานกระทรวงคมนาคมพิจารณาความเหมาะสมของโครงการฯ เพื่อจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ระยะที่ ๒ ตามมติ คจร. โดยให้กระทรวงคมนาคมพิจารณากำหนดแผนพัฒนาระบบขนส่งมวลชนขนาดรองและการปฏิรูปเส้นทางระบบรถโดยสารสาธารณะในเขตกรุงเทพมหานครควบคู่กับการจัดทำแผนแม่บทดังกล่าว นอกจากนี้ ให้กรุงเทพมหานครศึกษาเปรียบเทียบความเหมาะสมของรูปแบบการลงทุนระหว่างรัฐดำเนินการเองหรือการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุน โดยกรณีที่ให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนโครงการฯ ให้กรุงเทพมหานครปฏิบัติตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ อย่างเคร่งครัด รวมทั้งพิจารณาโครงสร้างอัตราค่าโดยสารร่วมและการใช้ระบบตั๋วร่วมเพื่อประโยชน์แก่ประชาชน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กรุงเทพมหานครดำเนินการออกแบบในรายละเอียดของโครงการฯ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของรัฐและประชาชนในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านสิ่งแวดล้อม การอนุรักษ์สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ รูปแบบการลงทุน ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๓๗ [เรื่อง พื้นที่ที่ควรกำหนดให้ระบบขนส่งมวลชน (รถไฟฟ้า) เป็นระบบใต้ดิน] ให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรุงเทพมหานครนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
544 | รายงานผลการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 40 | ทส | 06/09/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๔๐ ระหว่างวันที่ ๑๐-๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ณ นครอิสตันบูล สาธารณรัฐตุรกี มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ และการขึ้นทะเบียนแหล่งมรดกโลกในภาวะอันตราย การดำเนินการของคณะผู้แทนไทยในการหารือร่วมกับกรรมการมรดกโลก ศูนย์มรดกโลก องค์กรที่ปรึกษา และรัฐภาคี และข้อมติคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๔๐ ที่เกี่ยวข้องกับไทย ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมเกี่ยวกับการดำเนินการตามข้อมติที่ประชุมคณะกรรมการฯ ที่ขอให้ไทยยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรว่าโครงการขยายทางหลวงหมายเลข ๓๔๘ จะไม่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการ นั้น จะส่งผลให้กระทรวงคมนาคมโดยกรมทางหลวงไม่สามารถดำเนินการพัฒนาเส้นทางดังกล่าวได้อีก ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
545 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ครั้งที่ 2/2559 | นร11 | 06/09/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ครั้งที่ ๒/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเสนอ รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินโครงการต่าง ๆ ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง สรุปได้ ดังนี้
๑. รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ เช่น การขอรับการส่งเสริมการลงทุนมีเอกชนยื่นความประสงค์จำนวน ๓๙ โครงการ วงเงินรวม ๗,๒๐๐.๕๒ ล้านบาท รายงานความก้าวหน้าการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ ๑๐ พื้นที่ และการอนุญาตให้แรงงานสัญชาติกัมพูชาและเมียนมาสามารถเข้ามาทำงานในลักษณะ ไป-กลับ หรือตามฤดูกาลได้ ๒. เห็นชอบโครงการและมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ (๑) โครงการแก้ไขปัญหาขยะมูลฝอยในที่ราชพัสดุเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตราด (พื้นที่บริเวณชุมชนไม้รูด) (๒) โครงการศึกษาความเหมาะสมและออกแบบรายละเอียดระบบกำจัดขยะมูลฝอยชุมชนแบบครบวงจร ตำบลไม้รูด อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด (๓) โครงการก่อสร้างถนนลาดยางเลียบขอบพื้นที่โครงการด่านศุลกากรสะเดาแห่งใหม่ และ (๔) โครงการสถานีขนส่งผู้โดยสารและศูนย์บริการนักท่องเที่ยวครบวงจร
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
546 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดเขตท่าเรือเกาะสมุย เขตจอดเรือเกาะสมุย และเขตควบคุมการเดินเรือเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. .... | คค | 23/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดเขตท่าเรือเกาะสมุย เขตจอดเรือเกาะสมุย และเขตควบคุมการเดินเรือเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดเขตจอดเรือเกาะสมุย อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. ๒๕๔๘ และกำหนดเขตท่าเรือ เขตจอดเรือ และเขตควบคุมการเดินเรือ บริเวณเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ขึ้นใหม่ โดยให้เป็นไปตามพิกัดอ้างอิงในระบบแผนที่ที่กรมเจ้าท่าใช้อยู่ในปัจจุบัน (WGS84) เพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับกิจกรรมการขนส่งทางน้ำที่เพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับกรณีการกำหนดพื้นที่ให้เป็นเขตท่าเรือ เขตจอดเรือ และเขตควบคุมการเดินเรือ ควรหลีกเลี่ยงการดำเนินการที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เช่น แหล่งหญ้าทะเล ปะการัง เป็นต้น ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวจะต้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๓๕ (เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง แผนแม่บทการจัดการปะการังของประเทศ) อย่างเคร่งครัด ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรและเทคโนโลยีที่จำเป็นต่อการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎกระทรวงฯ รวมทั้งควรเร่งประชาสัมพันธ์ให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทราบและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเมื่อมีการบังคับใช้กฎกระทรวงฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
547 | สรุปมติ - ข้อสั่งการที่สำคัญในการประชุมคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2559 | สลธ.คสช. | 23/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปมติ-ข้อสั่งการที่สำคัญในการประชุมคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๙ อาทิ (๑) คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการอำนวยการประสานการขับเคลื่อนและติดตามผลการดำเนินงานตามมติคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (๒) ความก้าวหน้าการดำเนินการตามนโยบายให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการปลูกจิตสำนึกเยาวชนผ่านกลไกการศึกษาด้วยหลักสูตร "โตไปไม่โกง" (๓) ความก้าวหน้าการดำเนินงานเปิดเผยข้อมูลข่าวสารภาครัฐผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ในระบบข้อมูลการใช้จ่ายภาครัฐ "ภาษีไปไหน" และระบบแจ้งข้อมูลข่าวสารภาครัฐ รวมทั้งแผนขยายผลและการพัฒนาระบบดังกล่าว (๔) ผลการดำเนินงานด้านการปลูกจิตสำนึกและสร้างการรับรู้ในการอบรมครูเพื่อขยายผลหลักสูตร "โตไปไม่โกง" (๕) ผลการดำเนินงานด้านการปราบปรามการทุจริตในเรื่องต่าง ๆ เช่น การตรวจสอบข้อเท็จจริงโครงการอุดกลบบ่อน้ำบาดาลของกรมทรัพยากรน้ำบาดาล (๖) เห็นชอบในหลักการให้นำระบบมาตรฐานรหัสต้นทุนก่อสร้างอาคาร พ.ศ. ๒๕๕๕ ของวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยมาประยุกต์ใช้กับการจัดทำฐานข้อมูลราคากลางงานก่อสร้างภาครัฐ และได้สั่งการให้อธิบดีกรมบัญชีกลางนำไปศึกษาและประยุกต์ใช้ในการจัดทำฐานข้อมูลการจัดทำราคากลางงานก่อสร้างด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ตามที่คณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติเสนอ และให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับมติและข้อสั่งการของคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงยุติธรรมและสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับการจัดกลุ่มและจัดลำดับความเร่งด่วนในการดำเนินงาน โดยเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน และการพัฒนากลไกทุกระดับรองรับการดำเนินงาน เพื่อสร้างความเข้มแข็งการดำเนินงานด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตต่อไป การสร้างความตระหนักรู้ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในทุกภาคส่วนต้องใช้ระยะเวลาและต้องดำเนินการอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นให้คนในสังคมเห็นโทษของการทุจริตและให้คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน รวมทั้งการพัฒนากระบวนการให้บริการภาครัฐตามคู่มือประชาชน ควรได้รับความร่วมมือจากทุกส่วนราชการ เพื่อให้ทุกส่วนราชการร่วมเป็นเครือข่ายในการดำเนินการสร้างระบบงานบริการที่โปร่งใส ซึ่งจะเป็นกลไกการป้องกันการทุจริตให้เข้มแข็งอย่างแท้จริง และยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
548 | มติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2559 | ทก | 23/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ตามที่ประธานกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการพัฒนากฎหมายอวกาศ แบ่งออกเป็น ๒ ประเด็นหลัก ได้แก่ การประสานงานกับต่างประเทศ และด้านการจัดกิจกรรมการพัฒนากฎหมายในประเทศ ๒. รับทราบผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการดาวเทียมสื่อสารภาครัฐเพื่อความมั่นคงเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินโครงการดาวเทียมสื่อสารภาครัฐเพื่อความมั่นคง และแนวทางการดำเนินงานภายหลังสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศสิ้นสุดในปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ๓. รับทราบมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๙ เรื่องโครงการระบบดาวเทียมสำรวจเพื่อพัฒนา (THEOS-2) ๔. รับทราบผลการศึกษาแนวทางการบริหารจัดการดาวเทียมสื่อสารหลังสิ้นสุดสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ โดยในการจัดทำดาวเทียมภาครัฐเองอาจจะไม่คุ้มค่า แต่หากอนาคตมีความต้องการเพิ่มมากขึ้นก็มีความคุ้มค่าที่จะสามารถทำได้ ๕. รับทราบข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารมวลชน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในการบริหารทรัพยากรอวกาศเพื่อการสื่อสาร ได้แก่ การดำเนินการกับวงโคจรดาวเทียมที่รัฐได้รับการจัดสรร การกำหนดนโยบายการใช้ประโยชน์ในตำแหน่งวงโคจร การกำหนดให้กิจการดาวเทียมสื่อสารแยกออกจากกิจการโทรคมนาคม และการทบทวนบทบาทหน้าที่ของหน่วยงานกำกับดูแลกิจการดาวเทียมสื่อสารให้ชัดเจน ๖. เห็นชอบให้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาแนวทางการกำหนดสิทธิในการใช้วงโคจรดาวเทียมของประเทศเพื่อพิจารณาแนวทางการกำหนดสิทธิในการใช้วงโคจรดาวเทียมของประเทศให้สอดคล้องกับกฎ ระเบียบ ข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง กำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและขั้นตอนการอนุญาต รวมทั้งการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการใช้เอกสารข่ายงานดาวเทียม (filing) ของผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม ๗. มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการดำเนินการตามกระบวนการเดิมในการจัดทำคำสั่งแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติที่จะหมดวาระเดือนมิถุนายน ๒๕๕๙ แล้วเสนอรองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ประธานคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ เพื่อนำเสนอนายกรัฐมนตรีลงนามในคำสั่งแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
549 | ผลการประชุมคณะกรรมการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษถนนราชดำเนิน (กบพร.) ครั้งที่ 1/2559 | นร11 | 17/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษถนนราชดำเนิน (กบพร.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ที่ปรับปรุงตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และมอบหมายให้กรุงเทพมหานครและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมดังกล่าว ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ประธานกรรมการ กพบร. เสนอ สรุปผลการประชุมได้ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างข้อกำหนดการจ้าง (TOR) โครงการจ้างผู้ให้บริการออกแบบลานเฉลิมพระเกียรติฯ โดยให้เพิ่มเติมงานขุดค้นทางโบราณคดีและงานการจัดนิทรรศการตามมติคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า และมอบหมายกรุงเทพมหานครจัดทำรายละเอียด TOR โดยขอใช้งบประมาณตามมติของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๗ ในส่วนค่าออกแบบและเขียนแบบ โดยให้ดำเนินการจัดทำ TOR และจัดจ้างผู้ให้บริการ ตามระเบียบราชการที่เกี่ยวข้องโดยด่วนต่อไป ๑.๒ มอบหมายกรุงเทพมหานครแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิจากคณะกรรมการ กบพร. และคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า จำนวน ๓ ท่าน ประกอบด้วย (๑) นายสุวิชญ์ รัศมิภูติ (๒) รศ. บรรณโศภิษฐ์ เมฆวิชัย และ (๓) ผศ. ยงธนิศร์ พิมลเสถียร เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการที่ทำหน้าที่กำหนด TOR สำหรับการออกแบบอาคาร การขุดค้นทางโบราณคดี และออกแบบนิทรรศการ รวมทั้งคณะกรรมการที่ทำหน้าที่กำกับการดำเนินงานตาม TOR ดังกล่าว ๒. ให้คณะกรรมการ กพบร. รับความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรมเกี่ยวกับการดำเนินการใด ๆ กับโบราณสถาน ให้ปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ อย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
550 | การเสนอความเห็นการจัดตั้งทุนหมุนเวียนของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน | กค | 09/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบผลการพิจารณาการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน จำนวน ๔ ทุน ตามมติคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนในคราวประชุม ครั้งที่ ๓/๒๕๕๙ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๙ ประกอบด้วย (๑) กองทุนเพื่อการสนับสนุนกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทยของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง (๒) กองทุนพัฒนาผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรมของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (๓) กองทุนเพื่อโครงการอาหารนักเรียนในโรงเรียนของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ และ (๔) กองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อสังเกตของคณะกรรมการนโยบายและการบริหารทุนหมุนเวียนเกี่ยวกับการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมบางประเด็นในร่างพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อการสนับสนุนกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย พ.ศ. .... การกำหนดกรอบหลักเกณฑ์การให้การสนับสนุนเงินกองทุนพัฒนาผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้ชัดเจน การจัดลำดับความสำคัญการสนับสนุนโครงการอาหารนักเรียนในโรงเรียนตามระดับอายุของนักเรียน การกำหนดรูปแบบการบริหารกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติให้มีความชัดเจน และตรวจสอบกลุ่มเป้าหมายที่อยู่ภายใต้บังคับตามร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. .... ให้ถูกต้อง รวมทั้งความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณที่เห็นควรมีการกำหนดหลักเกณฑ์ในการจ่ายชดเชยผลตอบแทนไว้ในระดับที่จะไม่สร้างความเสี่ยงแก่กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานฯ จนเกินไป และควรมีการพิจารณากำหนดรูปแบบการบริหาร แหล่งที่มาของเงินกองทุน รวมทั้งหลักเกณฑ์การจ่ายผลตอบแทน อย่างรอบคอบ เพื่อให้กองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติมีความยั่งยืนและดำเนินงานได้ตามวัตถุประสงค์การจัดตั้งกองทุนฯ นอกจากนี้ เพื่อให้การดำเนินกิจการของทุนหมุนเวียนที่มีอยู่เดิมหรือทุนหมุนเวียนที่จะตั้งขึ้นใหม่เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเตรียมความพร้อมให้ถูกต้องชัดเจนตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงความประหยัด ความคุ้มค่า ความโปร่งใส ในการดำเนินการทุกขั้นตอน โดยมีการยึดโยงการดำเนินการของกองทุนกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนระดับชาติ และนโยบายของรัฐบาลเป็นสำคัญ รวมทั้งจัดให้มีระบบการติดตามและประเมินผลที่สามารถวัดผลสัมฤทธิ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังพิจารณานำกลไกประชารัฐ โดยเพิ่มบทบาทภาคเอกชนในการสนับสนุนการดำเนินงานของทุนหมุนเวียนของภาครัฐ ทั้งในส่วนของงบประมาณและการปฏิบัติงาน ๔. ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
551 | การแต่งตั้งผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง (นายชัยยงค์ พัวพงศกร) | มท | 02/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นายชัยยงค์ พัวพงศกร ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง ตามมติคณะกรรมการการไฟฟ้านครหลวง ครั้งที่ ๖๖๕ เมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๙ และครั้งที่ ๖๖๖ เมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๙ ส่วนค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์อื่น รวมทั้งเงื่อนไขการจ้างและการประเมินผลการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ โดยให้นายชัยยงค์ พัวพงศกร ลาออกจากการเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจก่อนลงนามในสัญญาจ้างด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
552 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2559 (เพิ่มเติม) และ ครั้งที่ 2/2559 | ทส | 26/07/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ (เพิ่มเติม) จำนวน ๒ เรื่อง ได้แก่ (๑) โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำท้ายเขื่อนจุฬาภรณ์ จังหวัดชัยภูมิ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และ (๒) ร่างรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๘ ๒. มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๙ จำนวน ๓ เรื่อง ได้แก่ (๑) โครงการศึกษาความเหมาะสมและผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการวังหีบ จังหวัดนครศรีธรรมราช ของกรมชลประทาน (๒) โครงการทางพิเศษสายพระราม ๓-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ด้านตะวันตก ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย และ (๓) (ร่าง) กรอบแนวคิดและทิศทางของแผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
553 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดเขตท่าเรือระนอง จังหวัดระนอง พ.ศ. .... | คค | 26/07/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดเขตท่าเรือระนอง จังหวัดระนอง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตท่าเรือระนอง จังหวัดระนอง ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับกิจกรรมการขนส่งทางน้ำที่เพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน เพื่อจัดระเบียบการจราจรทางน้ำและระบบการขนส่งทางน้ำ เพื่อให้การคมนาคมขนส่งทางน้ำมีความปลอดภัยและมีความสะดวกมากยิ่งขึ้น ตลอดจนการควบคุมมลภาวะทางทะเล ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ให้กรมเจ้าท่าต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการปรับปรุงท่าเทียบเรืออเนกประสงค์ระนองของกรมเจ้าท่า ตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ อย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
554 | ขออนุมัติดำเนินการก่อสร้างโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน ช่วงบางซื่อ - พญาไท - มักกะสัน - หัวหมาก และสายสีแดงเข้ม ช่วงบางซื่อ - หัวลำโพง ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 26/07/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินการก่อสร้างโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน ช่วงบางซื่อ-พญาไท-มักกะสัน-หัวหมาก และสายสีแดงเข้ม ช่วงบางซื่อ-หัวลำโพง ในกรอบวงเงิน ๔๔,๑๕๗.๗๖ ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗) และเห็นชอบให้ รฟท. กู้เงินตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓๙ (๔) ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคม และ รฟท. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ เกี่ยวกับแนวทางการรับภาระการลงทุนและการจัดหาแหล่งเงินทุน รัฐบาลควรรับภาระค่าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานงานโยธาและส่วนที่เกี่ยวข้องตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ รวมทั้งเห็นควรให้กระทรวงคมนาคมปฏิบัติตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๕ และวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ อย่างเคร่งครัด ไปดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังจัดหาเงินกู้ในประเทศและให้กู้ต่อแก่ รฟท. เพื่อเป็นค่าก่อสร้างงานโยธา ค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมการก่อสร้าง และค่าจ้างที่ปรึกษาวิศวกรอิสระ รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมทั้งให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณเพื่อเป็นค่าที่ปรึกษาจัดการประกวดราคาและค่ารื้อย้ายและเวนคืนที่ดิน รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ ๓. สำหรับงานระบบไฟฟ้า อาณัติสัญญาณและขบวนรถไฟฟ้า รวมถึงค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการเดินรถและการบำรุงรักษา ให้ รฟท. เป็นผู้รับภาระการลงทุนเอง โดยให้ รฟท. กู้เงินจากในประเทศ และกระทรวงการคลังค้ำประกัน ทั้งนี้ ในส่วนของการบริหารจัดการเดินรถและการบำรุงรักษา ให้กระทรวงคมนาคม และ รฟท. เร่งจัดทำแผนการบริหารจัดการโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง ตลอดทั้งเส้นทางตามมติของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๙ และเสนอ คนร. พิจารณาโดยเร็ว และหาก คนร. มีมติให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในการบริหารจัดการเดินรถและบำรุงรักษาโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดง ให้ รฟท. เร่งดำเนินการตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนของพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ต่อไป ๔. ให้กระทรวงคมนาคม และ รฟท. ดำเนินการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการฯ และประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจ มาตรการช่วยเหลือต่าง ๆ เช่น การจ่ายเงินชดเชยค่าเสียหาย หรือการสนับสนุนให้เข้าร่วมโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อผู้มีรายได้น้อยของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อลดผลกระทบต่อการดำเนินโครงการในอนาคต |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
555 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2559 (ครั้งที่ 7) | พน | 12/07/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๕๙ (ครั้งที่ ๗) เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับด้านพลังงาน รวม ๔ เรื่อง ได้แก่ (๑) แนวทางการบริหารจัดการแหล่งก๊าซธรรมชาติที่สัมปทานจะสิ้นสุดอายุในปี ๒๕๖๕-๒๕๖๖ (๒) แผนระบบรับส่งและโครงสร้างพื้นฐานก๊าซธรรมชาติเพื่อความมั่นคง (LNG) (๓) แนวทางการดำเนินการกับข้อร้องเรียนของผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (Small Power Producer : SPP) ระบบ Cogeneration ที่จะสิ้นสุดอายุสัญญาในปี ๒๕๖๐-๒๕๖๘ และ (๔) แนวทางการบริหารจัดการน้ำมันปาล์มในกิจการพลังงาน ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ๒. ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดอัตราภาษีรถยนต์ที่ใช้น้ำมันไบโอดีเซล บี ๑๐ ต้องพิจารณาถึงต้นทุนที่แท้จริงในการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ ซึ่งผู้ประกอบการรถยนต์ยังไม่สามารถกำหนดต้นทุนในการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ได้ เนื่องจากยังไม่มีคุณลักษณะของน้ำมันไบโอดีเซล บี ๑๐ ที่จะใช้ในการทดสอบรถยนต์ ส่วนแนวทางการบริหารจัดการน้ำมันปาล์มในกิจการพลังงาน การใช้น้ำมันปาล์มในกิจการพลังงาน ควรพิจารณาถึงผลประโยชน์อื่น ๆ ที่ได้จากการดำเนินงานดังกล่าวเพิ่มเติม อาทิ การประเมินปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดได้จากการใช้น้ำมันปาล์ม (เชื้อเพลิงชีวมวล) แทนน้ำมันเตาในโรงไฟฟ้า และจากค่าใช้จ่ายทั้งส่วนที่ลงทุนโรงไฟฟ้าและราคาน้ำมันปาล์มที่สูงกว่าน้ำมันเตาที่รายงานโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ซึ่งจะสามารถประเมินค่าใช้จ่ายในรูปบาทต่อตันก๊าซเรือนกระจกที่ลดได้ และสามารถนำข้อมูลไปเทียบเคียงกับการลดก๊าซเรือนกระจกวิธีอื่น ๆ เพื่อเป็นทางเลือกในการทำแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของไทย นอกจากนี้ ควรพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการแหล่งก๊าซธรรมชาติที่จะให้สัมปทานในเงื่อนไขที่เหมาะสมกับสภาวะปัจจุบันและในอนาคตโดยตั้งอยู่บนผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง รวมทั้งการกำหนดนโยบายเกี่ยวกับจำนวนชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิงที่ชัดเจน โดยคำนึงถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำมันของผู้ให้บริการ และการส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ตลอดจนเป็นทิศทางที่ชัดเจนในการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
556 | รายงานผลดำเนินงานการกำกับดูแลการจ่ายเงินช่วยเหลือชาวไร่อ้อยในฤดูการผลิต ปี 2557/2558 | อก | 05/07/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานการกำกับดูแลการจ่ายเงินช่วยเหลือชาวไร่อ้อยในฤดูการผลิต ปี ๒๕๕๗/๒๕๕๘ ของคณะกรรมการกำกับดูแลการจ่ายเงินช่วยเหลือชาวไร่อ้อยในฤดูการผลิต ปี ๒๕๕๗/๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการจ่ายเงินเพิ่มราคาอ้อยขั้นต้นฤดูการผลิต ปี ๒๕๕๗/๒๕๕๘ สำนักงานกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายแจ้งให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรโอนเงินเพิ่มราคาอ้อยขั้นต้นฤดูการผลิต ปี ๒๕๕๗/๒๕๕๘ เข้าบัญชีชาวไร่อ้อยที่มีสิทธิได้รับเงินเพิ่มราคาอ้อยขั้นต้น ๑๖๐ บาทต่อตันอ้อย ตั้งแต่วันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ซึ่ง ณ วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ โอนรวม ๑๓ งวด คิดเป็นปริมาณอ้อย ๑๐๕,๙๓๑,๙๙๖.๒๘๒ ตัน จำนวนเงินที่โอน ๑๖,๙๔๙,๑๑๙,๔๐๕.๑๒ บาท คิดเป็นร้อยละ ๙๙.๙๗ ของวงเงินที่จะต้องจ่ายทั้งหมด สำหรับชาวไร่อ้อยส่วนที่เหลือ ที่ยังไม่ได้รับเงินช่วยเหลือค่าอ้อยฤดูการผลิต ปี ๒๕๕๗/๒๕๕๘ คิดเป็นปริมาณอ้อย ๒๗,๐๘๓.๑๖๓ ตัน จำนวนเงิน ๔,๓๓๓,๓๐๖.๐๘ บาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๐๓ จำแนกเป็นกรณี (๑) โอนเงินไม่ผ่าน เนื่องจากบัญชีไม่เคลื่อนไหว ปิดบัญชี และผิดบัญชี จำนวน ๑๕ ราย ปริมาณอ้อย ๔,๒๘๑.๐๔๐ ตัน เป็นเงินจำนวน ๖๘๔,๙๖๖.๔๐ บาท และ (๒) อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลและตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล ของคณะทำงานควบคุมการผลิตประจำโรงงาน รวมทั้งชาวไร่อ้อยจดทะเบียนล่าช้า คิดเป็นปริมาณอ้อย ๒๒,๘๐๒.๑๒๓ ตัน เป็นเงินจำนวน ๓,๖๔๘,๓๓๙.๖๘ บาท กรณีชาวไร่อ้อย ส่วนที่เหลือที่ยังไม่ได้รับเงินช่วยเหลือค่าอ้อยฤดูการผลิตผลิต ปี ๒๕๕๗/๒๕๕๘ ให้สิ้นสุดการดำเนินการจ่ายเงินช่วยเหลือภายในวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ตามมติคณะกรรมการบริหาร ๒. ข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหาการจ่ายเงินช่วยเหลือ กรณีปัญหาที่ไม่สามารถจ่ายเงินช่วยเหลือชาวไร่อ้อยได้ครบถ้วนร้อยละ ๑๐๐ คงเหลือร้อยละ ๐.๐๓ คิดเป็นเงิน ๔,๓๓๓,๓๐๖.๐๘ บาท เกิดจากปัญหาการจดทะเบียนชาวไร่อ้อย และการติดตามข้อมูลจากชาวไร่อ้อยมีความล่าช้า เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายและสำนักงานกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายกำหนดแผนและขั้นตอนการปฏิบัติงานรองรับให้ชัดเจนเพื่อให้มีการจ่ายเงินได้ครบถ้วนร้อยละ ๑๐๐ ในปีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
557 | ขอความเห็นชอบการปรับรูปแบบอาคารโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย ชุดที่ 1 ปี 2557 | พม | 05/07/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับลดกรอบวงเงินลงทุนโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย ชุดที่ ๑ ปี ๒๕๕๗ จาก ๙,๕๗๗.๗๕๒ ล้านบาท เป็น ๘,๕๗๙.๙๐๗ ล้านบาท และปรับลดเป้าหมายหน่วยก่อสร้างจาก ๑๖,๑๔๖ หน่วย เป็น ๑๕,๖๗๖ หน่วย ซึ่งรวมถึงการปรับรูปแบบอาคารโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย ชุดที่ ๑ ปี ๒๕๕๗ จำนวน ๓ โครงการ ประกอบด้วย โครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชน หารายได้ จังหวัดสมุทรปราการ (บางโฉลงทาวน์โฮม) โครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชน หารายได้ จังหวัดเพชรบูรณ์ ระยะที่ ๑ และโครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชน หารายได้ จังหวัดนครศรีธรรมราช (อ้อมค่าย) และชะลอการดำเนินโครงการ จำนวน ๒ โครงการ ประกอบด้วย โครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชน หารายได้ จังหวัดภูเก็ต ๒ และโครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชน หารายได้ จังหวัดเชียงใหม่ (ดอยสะเก็ด) และให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (การเคหะแห่งชาติ) เร่งรัดดำเนินการมาตรการด้านการตลาดและการขาย รวมทั้งควบคุมการก่อสร้าง และค่าใช้จ่ายของโครงการอย่างเคร่งครัด เพื่อให้โครงการบรรลุตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนด ทั้งนี้ หากผลการขายไม่เป็นไปตามเป้าหมายให้พิจารณาทบทวนความจำเป็นและความเหมาะสมในการดำเนินโครงการตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เมื่อวันพุธที่ ๒ มีนาคม ๒๕๕๙ ๒. รับทราบกรณีที่ให้คณะกรรมการการเคหะแห่งชาติเป็นผู้พิจารณาอนุมัติการปรับโอนวงเงินลงทุนเหลือจ่ายระหว่างโครงการย่อยภายใต้กรอบการลงทุนโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย ชุดที่ ๑ ปี ๒๕๕๗ ที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีในกรณีที่ไม่มีผลกระทบต่อสาระสำคัญและกรอบวงเงินโครงการ โดยให้การเคหะแห่งชาติรายงานการปรับโอนวงเงินเหลือจ่ายและผลกระทบให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทราบ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (การเคหะแห่งชาติ) ร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการให้การเคหะแห่งชาติจัดทำโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยโดยดำเนินการในลักษณะการให้เอกชนร่วมลงทุน (PPP) เพื่อเป็นการลดภาระงบประมาณของภาครัฐต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
558 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554 เรื่อง การแก้ไขปัญหาเกษตรกรผู้ยากจนและไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง | อื่นๆ | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง การแก้ไขปัญหาเกษตรกรผู้ยากจนและไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง) และให้สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) นำเงินงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรแล้ว จำนวน ๖๙๐,๒๐๐,๐๐๐ บาท ไปดำเนินโครงการ จำนวน ๕ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการศึกษากระบวนการดำเนินงานของธนาคารที่ดิน (๒) โครงการแก้ไขปัญหาเกษตรกรและผู้ยากจนซึ่งมีปัญหาจะสูญเสียสิทธิในที่ดินจากปัญหาการจำนองและขายฝาก (๓) โครงการนำร่องธนาคารที่ดินในพื้นที่นำร่อง ๕ ชุมชน (๔) โครงการต้นแบบการบริหารจัดการที่ดินแบบครบวงจร และ (๕) โครงการศึกษาวิจัยระบบข้อมูลเพื่อการบริหารจัดการที่ดิน ตามมติคณะกรรมการสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๙ ๑.๒ ให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง การแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม กรณีการดำเนินโครงการนำร่องธนาคารที่ดิน ในพื้นที่นำร่อง ๕ ชุมชน) จากเดิม “๑. รับทราบและเห็นชอบในหลักการการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม กรณีการดำเนินโครงการนำร่องธนาคารที่ดิน ในพื้นที่นำร่อง ๕ ชุมชน ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ทั้งนี้ ให้สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) กระทรวงการพัฒนาและสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เร่งดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมาย โดยประสานรายละเอียดเกี่ยวกับงบประมาณในการดำเนินการกับสำนักงบประมาณ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป” เป็น “๑. มอบหมายให้สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินโครงการนำร่องธนาคารที่ดิน ในพื้นที่นำร่อง ๕ ชุมชน” ๒. ให้สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงยุติธรรม สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในประเด็นโครงการนำร่องธนาคารที่ดินในพื้นที่นำร่อง ๕ ชุมชน นั้น ให้กำหนดหลักเกณฑ์การช่วยเหลือบนหลักความเป็นธรรมและความเสมอภาค คำนึงถึงการแก้ไขปัญหาของพื้นที่อื่น ๆ และติดตามผลการดำเนินงานของสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ก่อนกำหนดกิจกรรมและงบประมาณที่จะดำเนินการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) จัดทำแผนปฏิบัติการตามกรอบระยะเวลาการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล (ถึงเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐) ทั้งนี้ กิจกรรมใดที่เป็นการดำเนินการซึ่งเกินกว่ากรอบระยะเวลาการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ให้นำเรื่องดังกล่าวบรรจุไว้ในแผนปฏิรูป เพื่อให้รัฐบาลชุดต่อไปที่จะเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินพิจารณาดำเนินการต่อไป เพื่อให้เป็นไปตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๙ (เรื่อง การเสนอโครงการที่ต้องขออนุมัติงบประมาณจากคณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี) แล้วนำเสนอคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบ และรายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
559 | ผลการประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการ (กศร.) ครั้งที่ 1/2559 | นร11 | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการ (กศร.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๙ ตามที่ประธานกรรมการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุม กศร. ครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ ซึ่งมีเรื่องเพื่อทราบ รวม ๕ เรื่อง และเรื่องเพื่อพิจารณา รวม ๓ เรื่อง ได้แก่ (๑) การขอปรับผังการใช้ประโยชน์พื้นที่ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ ของ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (๒) แผนการใช้ที่ดินของหน่วยงานรัฐ จังหวัดสระบุรี และ (๓) แผนแม่บทศูนย์ราชการจังหวัดกาฬสินธุ์และการใช้ที่ดินราชพัสดุเป็นที่ตั้งศูนย์ราชการจังหวัดกาฬสินธุ์แห่งใหม่ ๑.๒ เห็นชอบแผนการใช้ที่ดินของหน่วยงานรัฐ จังหวัดสระบุรี ๑.๓ เห็นชอบแผนแม่บทศูนย์ราชการจังหวัดกาฬสินธุ์และการใช้ที่ดินราชพัสดุเป็นที่ตั้งศูนย์ราชการจังหวัดกาฬสินธุ์แห่งใหม่ ๒. ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการจัดทำแผนการใช้ที่ดินของหน่วยงานของรัฐ จังหวัดสระบุรี และการจัดทำแผนแม่บทศูนย์ราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ดังกล่าว ควรกำชับให้จังหวัดสระบุรีและจังหวัดกาฬสินธุ์ใช้ประโยชน์พื้นที่ให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในแผนแม่บทศูนย์ราชการโดยเคร่งครัดด้วย สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการก่อสร้างอาคารของส่วนราชการต่าง ๆ ในบริเวณศูนย์ราชการใหม่ ที่ยังไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ เห็นควรให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียด แบบรูปรายการ และประมาณการค่าใช้จ่ายให้เหมาะสมสอดคล้องกับแผนการใช้ที่ดินและแผนแม่บทศูนย์ราชการจังหวัด และมีความพร้อมในการดำเนินการอย่างแท้จริง เพื่อจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณในการเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน ไปพิจารณาดำเนินการ รวมทั้งให้ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
560 | การแต่งตั้งผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (นายกรศิษฏ์ ภัคโชตานนท์) | พน | 14/06/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นายกรศิษฏ์ ภัคโชตานนท์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ตามมติคณะกรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๙ (วาระพิเศษ) เมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ส่วนค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์อื่น รวมทั้งเงื่อนไขการจ้างและการประเมินผลการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ และให้นายกรศิษฏ์ ภัคโชตานนท์ ลาออกจากการเป็นพนักงานก่อนลงนามในสัญญาจ้างด้วย
|
.....