ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 23 จากทั้งหมด 252 หน้า แสดงรายการที่ 441 - 460 จากข้อมูลทั้งหมด 5030 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
441 | ร่างพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร | 28/11/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ เกี่ยวกับการพิจารณาแก้ไขในรายละเอียดของหลักการและเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามมติคณะกรรมการประสานงานกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
442 | ขอความเห็นชอบการจัดทำโครงการอาคารเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย ปี 2559 ระยะที่ 2 | พม | 21/11/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการโครงการอาคารเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย ปี ๒๕๕๙ ระยะที่ ๒ จำนวน ๓ โครงการ ได้แก่ โครงการอาคารเช่าฯ สมุทรสาคร (กระทุ่มแบน ๓) ระยะที่ ๑ โครงการอาคารเช่าฯ จังหวัดเชียงใหม่ (หนองหอย) และโครงการอาคารเช่าฯ นครสวรรค์ ๒ ระยะที่ ๒ รวม ๔๙๔ หน่วย วงเงินงบประมาณรวม ๒๔๘.๗๔๘ ล้านบาท แหล่งที่มาของเงินลงทุนประกอบด้วยเงินอุดหนุนจากรัฐบาล ๑๙๗.๐๕๔ ล้านบาท และเงินกู้ภายในประเทศ ๕๑.๖๙๔ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ โดยค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการอาคารเช่าฯ ในส่วนที่เป็นเงินอุดหนุนจากรัฐบาล ให้การเคหะแห่งชาติ (กคช.) ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ สำหรับเงินกู้ภายในประเทศ ให้ กคช. ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ให้ กคช. เริ่มดำเนินโครงการอาคารเช่าฯ ได้เมื่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแล้ว ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และ กคช. ดำเนินการต่าง ๆ เพิ่มเติมด้วย ดังนี้ ๒.๑ ในการกำหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติของผู้เช่า ให้ กคช. นำฐานข้อมูลผู้มีรายได้น้อยตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐของกระทรวงการคลังที่เป็นปัจจุบันมาพิจารณาประกอบการดำเนินการ โดยให้ความสำคัญกับผู้มีรายได้น้อยตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นลำดับแรก และในการกำหนดหลักเกณฑ์การเช่า การบริหารโครงการ และการทำสัญญาเช่า ให้ กคช. ดำเนินการด้วยความรอบคอบเพื่อให้ผู้มีรายได้น้อยได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้อย่างแท้จริงและป้องกันการขายสิทธิ์ต่อหรือการเก็งกำไรของผู้ที่ต้องการแสวงประโยชน์ ๒.๒ ให้ คกช. คำนึงถึงความต้องการที่อยู่อาศัยของกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริงและเหมาะสม เช่น ขนาด รูปแบบที่อยู่อาศัย สภาพแวดล้อม และเส้นทางคมนาคม รวมทั้งความคุ้มค่าในการดำเนินการและการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐาน ๒.๓ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์กำกับดูแลให้ กคช. ดำเนินโครงการอาคารเช่าฯ ให้เป็นไปตามแผนและกรอบระยะเวลาที่กำหนด โดยให้จัดทำลำดับความสำคัญและดำเนินการในส่วนที่มีความพร้อมก่อน และให้มีการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานด้วย ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และ กคช. ดำเนินการตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และให้รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ เช่น การกำหนดหลักเกณฑ์การบริหารโครงการอาคารเช่าฯ โดยเฉพาะการกำกับสัญญาและการเช่าที่ชัดเจน การปรับอัตราค่าเช่าโดยกำหนดแนวทางที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย และพิจารณาเพิ่มพื้นที่เชิงพาณิชย์เพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการอาคารเช่าฯ การศึกษาความเป็นไปได้ในการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (Public Private Partnership : PPP) และให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงของโครงการอาคารเช่าฯ เพื่อให้เกิดความเหมาะสมและคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
443 | มติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2560 | ดศ | 21/11/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ประธานกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. รับทราบความคืบหน้าในการดำเนินงาน เช่น (๑) คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๑๓/๒๕๖๐ เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ลงวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๖๐ เพื่อแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ รวม ๗ ท่าน (๒) การประกาศใช้พระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๐ (๓) ผลการประชุมหารือร่วมกันระหว่างคณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารมวลชน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และคณะอนุกรรมการดาวเทียมสื่อสารภาครัฐเพื่อความมั่นคง (๔) แนวทางการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกิจการดาวเทียม ตามมาตรา ๖๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และ (๕) ความคืบหน้าของการดำเนินการกรณีดาวเทียมไทยคม ๗ และไทยคม ๘ เป็นต้น ๒. พิจารณาประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ ๒.๑ เห็นชอบร่างยุทธศาสตร์อวกาศแห่งชาติ ปี ๒๕๖๐-๒๕๗๙ โดยมอบหมายให้สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ปรับปรุงร่างยุทธศาสตร์ฯ และนำเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พิจารณาภายในวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๐ ก่อนนำเสนอประธานคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๐ ๒.๒ เห็นชอบในหลักการการดำเนินงานดาวเทียมสื่อสารของภาครัฐ และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการประสานงานกับบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) (บมจ.กสท.) เพื่อจัดทำรายละเอียดของโครงการ โดยมีทางเลือก (๑) บมจ.กสท. เป็นผู้ดำเนินการร่วมกับภาคเอกชน โดยการเช่าใช้โครงข่ายดาวเทียมจากภาคเอกชน และนำความจุส่วนที่ใช้งานต่างประเทศขายส่งให้กับ Reseller และนำความจุส่วนที่ใช้งานในประเทศไทยมาใช้ตามโครงการดาวเทียมสื่อสารภาครัฐ (๒) บมจ.กสท. เป็นผู้ดำเนินการร่วมกับภาคเอกชนในรูปแบบการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (Public Private Partnership : PPP) และ (๓) บริษัทเอกชนจัดสร้างโครงข่ายดาวเทียม ซึ่ง บมจ.กสท. จะจัดหาความจุส่วนที่ใช้งานในประเทศไทยมาใช้ตามโครงการดาวเทียมสื่อสารภาครัฐ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
444 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2560 (เพิ่มเติม) และครั้งที่ 3/2560 | ทส | 07/11/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๖๐ (เพิ่มเติม) และครั้งที่ ๓/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ ได้พิจารณาเรื่องเชิงนโยบายที่สำคัญและได้ข้อยุติแล้ว จำนวน ๑๔ เรื่อง ยังคงมีเรื่องที่มีความจำเป็นต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบเพิ่มเติมอีก จำนวน ๒ เรื่อง ได้แก่ (๑) โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกจากสถานีควบคุมความดันก๊าซฯ ราชบุรี-วังน้อย ที่ ๖ (RA6) ไปยังจังหวัดราชบุรี ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ (๒) ข้อเสนอเชิงนโยบายการอนุรักษ์และฟื้นฟูย่านชุมชนเก่า ๒. มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๐ จำนวน ๑๒ เรื่อง ได้แก่ (๑) โครงการศูนย์วิทยาการเวชศาสตร์ผู้สูงอายุระดับชาติ ของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล (๒) เกณฑ์การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแหล่งธรรมชาติอันควรอนุรักษ์ ประเภทน้ำ (๓) ร่างแผนส่งเสริมการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ระยะที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ (๔) การปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพน้ำทะเลกลุ่มสารอาหาร (๕) โครงการก่อสร้างระบบท่อส่งน้ำประปาลอดใต้ทะเลไปยังเกาะสมุย (โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาคสาขาเกาะสมุย อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ระยะที่ ๑ ส่วนที่ ๒ ปีงบประมาณ ๒๕๕๘) และ (๖) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
445 | ขอเปลี่ยนแปลงกำลังผลิตไฟฟ้าโครงการโรงไฟฟ้าบางปะกง (ทดแทนเครื่องที่ 1 - 2) | พน | 07/11/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินการเปลี่ยนแปลงกำลังผลิตไฟฟ้าโครงการโรงไฟฟ้าบางปะกง (ทดแทนเครื่องที่ ๑-๒) จากกำลังผลิตสุทธิ ๑,๓๐๐ เมกะวัตต์ เป็นกำลังผลิตสุทธิ ๑,๔๐๘.๗ เมกะวัตต์ ด้วยกรอบวงเงินลงทุนเดิมที่ ๓๓,๙๔๒.๖๕ ล้านบาท ๑.๒ อนุมัติเปลี่ยนแปลงการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนเริ่มโครงการ จากประจำปี ๒๕๕๙ เป็นประจำปี ๒๕๖๐ สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าบางปะกง (ทดแทนเครื่องที่ ๑-๒) รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๓,๐๖๖.๙๗ ล้านบาท ๒. ให้กระทรวงพลังงาน และ กฟผ. ดำเนินการตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๖๐ และมติคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ครั้งที่ ๓๒/๒๕๖๐ (ครั้งที่ ๔๗๔) เมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๖๐ รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ปรับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๗๙ (Power Development Plan : PDP 2015) ให้สอดคล้องกับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เปลี่ยนไปตามสภาวะเศรษฐกิจของประเทศและการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ รวมทั้งให้พิจารณาหลักเกณฑ์ในการประกวดราคาโรงไฟฟ้าให้เหมาะสมโดยคำนึงถึงผลกระทบกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองและอัตราค่าไฟฟ้าโดยรวม และควรให้ กฟผ. ดำเนินการด้านผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ตลอดจนวางแผนการกู้เงินและการเบิกจ่ายเงินกู้ให้สอดคล้องกับแผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายเงินของ กฟผ. โดยให้พิจารณาใช้เงินรายได้เป็นลำดับแรกก่อนการใช้เงินกู้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
446 | (ร่าง) นโยบายและแผนการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2560 - 2579 | ทส | 07/11/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบ (ร่าง) นโยบายและแผนการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙ ตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๖๐ โดย (ร่าง) นโยบายและแผนฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นกรอบนโยบายและทิศทางการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประเทศอย่างบูรณาการในระยะ ๒๐ ปีข้างหน้า และเพื่อให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบแนวทางในการจัดทำแผนแม่บทและแผนปฏิบัติการระยะกลาง (๕ ปี) และสามารถนำไปขับเคลื่อนให้การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประเทศเป็นไปอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย ๔ นโยบายหลัก คือ (๑) จัดการฐานทรัพยากรธรรมชาติอย่างมั่นคงเพื่อความสมดุล เป็นธรรม และยั่งยืน (๒) สร้างการเติบโตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อความมั่งคั่งและยั่งยืน (๓) ยกระดับมาตรการในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ (๔) สร้างความเป็นหุ้นส่วนในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงบประมาณที่เห็นควรปรับแก้ไขข้อความบางส่วนใน (ร่าง) นโยบายและแผนฯ ให้เกิดความเหมาะสม รวมทั้งให้กระทรวงมหาดไทยปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อเปิดโอกาสให้สามารถจัดเก็บค่าธรรมเนียมและค่าบริการประเภทใหม่ ๆ ได้ สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการตาม (ร่าง) นโยบายและแผนฯ เห็นควรให้ดำเนินการในลักษณะบูรณาการ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้เพื่อให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมและให้ความร่วมมือในการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมให้มากยิ่งขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
447 | ขออนุมัติจัดทำโครงการบ้านสวัสดิการข้าราชการ (เช่าซื้อ) จังหวัดสงขลาและจังหวัดปัตตานี | พม | 24/10/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำโครงการบ้านสวัสดิการข้าราชการ (เช่าซื้อ) จังหวัดสงขลาและจังหวัดปัตตานี รวม ๖๐๖ หน่วย วงเงินลงทุนรวม ๕๗๓.๘๒๖ ล้านบาท โดยใช้เงินกู้ ๔๕๓.๖๒๓ ล้านบาท เงินอุดหนุนจากรัฐ ๖๙.๒๘๐ ล้านบาท และเงินรายได้ ๕๐.๙๒๓ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ โดยในส่วนของเงินอุดหนุนโครงการฯ เห็นควรจัดสรรเงินอุดหนุนโครงการฯ ให้การเคหะแห่งชาติ (กคช.) ตามสัดส่วนของเงินอุดหนุนจากรัฐบาลกับวงเงินลงทุนรวมทั้งสิ้นของโครงการฯ ตามวงเงินของแผนการใช้จ่ายในแต่ละปี และหาก กคช. มีความจำเป็นจะต้องใช้จ่ายเงินในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ก็เห็นควรปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และเงินงบประมาณที่ได้รับอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีมาดำเนินการในโอกาสแรกก่อน หากไม่เพียงพอให้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ สำหรับการจัดหาและการค้ำประกันเงินกู้ รวมทั้งการจัดหาสินเชื่อให้กับข้าราชการที่ต้องการซื้อที่พักอาศัยตามโครงการฯ ให้ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดย กคช. พิจารณากำหนดหลักเกณฑ์การเข้าร่วมโครงการฯ ให้รอบคอบเพื่อให้ข้าราชการกลุ่มเป้าหมายได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองอย่างแท้จริงและป้องกันการขายสิทธิ์ต่อหรือการเก็งกำไรของผู้ที่ต้องการแสวงประโยชน์ โดยควรพิจารณากำหนดรายได้ขั้นสูงของข้าราชการผู้มีรายได้ปานกลางค่อนข้างสูง (กลุ่ม ง. เช่าซื้อ) ให้ชัดเจน รวมทั้งให้คำนึงถึงความต้องการที่อยู่อาศัยของกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริงและเหมาะสม เช่น สภาพ ขนาด และรูปแบบที่อยู่อาศัย สภาพแวดล้อม และเส้นทางคมนาคม ตลอดจนความคุ้มค่าในการดำเนินการ และการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐาน ทั้งนี้ ในการกำหนดพื้นที่ดำเนินโครงการฯ ให้คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัยซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐในพื้นที่ที่อาจมีความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สิน รวมทั้งให้กำหนดมาตรการดูแลรักษาความปลอดภัยร่วมกับหน่วยงานด้านความมั่นคงด้วย ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์กำกับดูแลให้ กคช. ดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปตามแผนและกรอบระยะเวลาที่กำหนด โดยให้จัดลำดับความสำคัญและดำเนินโครงการฯ ในส่วนที่มีความพร้อมและมีความต้องการที่ชัดเจนก่อน สำหรับการดำเนินการในส่วนที่เหลือให้ดำเนินการได้ เมื่อมีความต้องการที่อยู่อาศัยในพื้นที่ชัดเจนแล้ว โดยดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้มีการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการฯ ด้วย ๔. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และ กคช. ดำเนินการตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ที่เห็นควรให้ กคช. สำรวจความต้องการที่อยู่อาศัยของกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจนและพัฒนารูปแบบสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้อยู่อาศัยของพื้นที่ เพื่อลดความเสี่ยงจากอาคารคงเหลือและภาระทางการเงิน และจัดทำแผนบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ อาทิ การควบคุมระยะเวลาการก่อสร้างและการขายโครงการ รวมทั้งการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ในการดำเนินงานและควบคุมคุณภาพของที่อยู่อาศัยให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด และรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรให้ กคช. หารือกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจในรายละเอียดของสินเชื่อภายใต้โครงการฯ ในเรื่องของอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม นอกจากนี้ กคช. ควรกำหนดและตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ซื้อ/เช่าซื้อ และแนวทางการกำกับที่ชัดเจนเพื่อให้โครงการฯ สามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแท้จริง รวมถึงจัดทำแนวทางการบริหารจัดการโครงการฯ ที่มีประสิทธิภาพและป้องกันการแสวงหาผลประโยชน์ของผู้ซื้อ/เช่าซื้อในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
448 | การใช้อำนาจตามมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ พ.ศ. 2551 ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. .... การยกเลิกประกาศคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.น.จ.) เรื่อง การกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการบริหารงบประมาณจังหวัดและงบประมาณกลุ่มจังหวัด (ฉบับที่ 2) ลงวันที่ 11 ตุลาคม 2554 และการจัดตั้งกลุ่มจังหวัดและกำหนดจังหวัดที่เป็นศูนย์ปฏิบัติการของกลุ่มจังหวัด | นร10 | 24/10/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามมติคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ ในคราวประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๐ ซี่งกำหนดเรื่องที่จังหวัดหรือกลุ่มจังหวัดยังไม่สมควรจะปฏิบัติ ปฏิบัติ หรือปฏิบัติอย่างมีเงื่อนไขตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๔ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการเสนอ ๒. เห็นชอบในหลักการ (๑) ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นกำหนดให้มีคณะกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาค มีอำนาจหน้าที่กำหนดกรอบนโยบายและวางระบบในการบริหารงานภาค กำหนดนโยบาย หลักเกณฑ์ และวิธีการในการจัดทำแผนพัฒนาจังหวัด แผนพัฒนากลุ่มจังหวัด และแผนพัฒนาภาค ซึ่งแผนพัฒนาภาคต้องสอดคล้องกับแผนระดับชาติและนโยบายรัฐบาล และ (๒) ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ เรื่อง การจัดตั้งกลุ่มจังหวัดและกำหนดจังหวัดที่เป็นศูนย์ปฏิบัติการของกลุ่มจังหวัด มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้จัดตั้งกลุ่มจังหวัดและกำหนดจังหวัดที่เป็นศูนย์ปฏิบัติการของกลุ่มจังหวัด ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. เห็นชอบในหลักการให้ยกเลิกประกาศคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ เรื่อง การกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการบริหารงบประมาณจังหวัดและงบประมาณกลุ่มจังหวัด (ฉบับที่ ๒) ลงวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๔ ทั้งนี้ มอบหมายให้สำนักงาน ก.พ.ร. ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการยกร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ เพื่อยกเลิกร่างประกาศในเรื่องนี้ แล้วส่งให้คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
449 | การแต่งตั้งผู้อำนวยการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ (นายรณรงค์ เส็งเอี่ยม) | ทส | 24/10/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งนายรณรงค์ เส็งเอี่ยม ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การสวนพฤกษศาสตร์และการกำหนดอัตราเงินเดือนของผู้อำนวยการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ ตามมติคณะกรรมการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ครั้งที่ ๕/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๐ และครั้งที่ ๖/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๖๐ ส่วนค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์อื่น ๆ รวมทั้งเงื่อนไขการจ้างและการประเมินผลการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (วันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๐)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
450 | ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและ การลงทุนของประเทศ ครั้งที่ 3/2560 | อื่นๆ | 17/10/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศเสนอ ซึ่งที่ประชุมมีมติสรุปได้ ดังนี้
๑. รับทราบความก้าวหน้าของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศที่สำคัญต่าง ๆ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแผนที่กำหนดไว้ต่อไป อาทิ (๑) การส่งเสริมการลงทุนผ่านคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนและมาตรการเร่งรัดการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (๒) มาตรการช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาภัยแล้งและมาตรการเพิ่มขีดความสามารถภาคการเกษตร (๓) มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ ๒ (๔) มาตรการฟื้นฟูวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ผ่านกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และ (๕) มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการใหม่และนวัตกรรมผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการใหม่และนวัตกรรม (Start-up & Innovation) ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม ๒. มอบหมายให้สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สทบ.) ประสานธนาคารออมสินให้มีการเปิดเผยข้อมูลของลูกค้าให้กับ สทบ. เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการติดตามประเมินผลโครงการเพิ่มศักยภาพกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง โดยธนาคารออมสิน วงเงิน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท พร้อมทั้งให้ สทบ. เร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๖๐ ที่มอบหมายให้ สทบ. ติดตามประเมินผลในภาพรวมของโครงการ และจัดทำข้อมูลเพิ่มเติม ประกอบด้วย (๑) ขั้นตอนการอนุมัติและการจัดสรรเงินให้กับกองทุนหมู่บ้าน (๒) ความก้าวหน้าการอนุมัติและการจัดสรรเงินของ สทบ. ให้กับกองทุนหมู่บ้าน (๓) พฤติกรรมการใช้จ่ายเงินสินเชื่อของสมาชิกกองทุนหมู่บ้านที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อจากโครงการฯ และ (๔) การประเมินผลกระทบของการใช้จ่ายของสมาชิกกองทุนหมู่บ้านต่อระบบเศรษฐกิจ และรายงานให้คณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ทราบ ๓. มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังประสานข้อมูลและจัดส่งรายงานแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมอากาศยานเพื่อให้ประเทศไทยเป็น Aviation Hub ของภูมิภาค ให้กระทรวงคมนาคมเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๔. มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังประสานธนาคารออมสิน ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อขอให้เร่งรัดการดำเนินมาตรการสนับสนุน SMEs ผ่านการร่วมลงทุน ตามมติคณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๖๐ เนื่องจากการดำเนินงานยังไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร โดยขอให้ธนาคารทั้ง ๓ แห่ง รายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังทราบเป็นระยะ ๆ และเร่งรัดการดำเนินมาตรการดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๕. มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ พิจารณาหาเครื่องชี้วัดที่สามารถสะท้อนการปรับตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในระดับฐานราก และรายงานให้คณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ทราบต่อไป ๖. มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำโครงการพัฒนาด้านการเกษตร “โครงการ ๙๑๐๑ ตามรอยเท้าพ่อ ภายใต้ร่มพระบารมี เพื่อการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน” ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๖๐ มาบรรจุไว้ภายใต้กรอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยให้มีการรายงานความคืบหน้า ปัญหาอุปสรรค และแนวทางแก้ไขต่อคณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ทุกสามเดือน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
451 | การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ | นร10 | 17/10/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๐ ตามที่สำนักงาน ก.พ. ในฐานะกรรมการและเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเสนอ ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาสรรหาบุคลากรจากผู้ที่ได้รับทุนรัฐบาลเพื่อดึงดูดผู้มีศักยภาพสูงที่กำลังศึกษาอยู่ในสถาบันการศึกษาภายในประเทศ (Undergraduate Intelligence Scholarship Program : UIS) ให้เข้ามาบรรจุเป็นข้าราชการตามที่ได้รับการอนุมัติอัตรากำลังในครั้งนี้ด้วย เพื่อสนับสนุนการพัฒนาสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้เป็นองค์กรคลังสมอง (Excellent Think Tank) ของรัฐบาลในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศและเป็นองค์กรที่มีบุคลากรที่มีศักยภาพสูงต่อไป สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นเพื่อการดังกล่าวในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เห็นควรให้ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ มาดำเนินการเป็นลำดับแรกก่อน หากไม่เพียงพอก็ให้เสนอขอรับการสนับสนุนจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามระเบียบและขั้นตอน ส่วนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งรัดการดำเนินการเสนอร่างพระราชบัญญัติพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (ฉบับใหม่) ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
452 | การระบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์คงเหลือโครงการแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2551/52 | พณ | 10/10/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการระบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์คงเหลือโครงการแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๕๑/๕๒ ในการดูแลของรัฐบาล จำนวน ๙๔,๑๖๘.๙๘ ตัน ตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๖๐ โดยในเบื้องต้น ให้ระบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จำนวน ๘๔,๑๓๔.๗๓ ตัน ซึ่งอยู่ในเงื่อนไขที่สามารถระบายได้ก่อน สำหรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ยังไม่มีข้อยุติในส่วนของคดีความทางกฎหมาย จำนวน ๑๐,๐๓๔.๒๕ ตัน ให้องค์การคลังสินค้า (อ.ค.ส.) เสนอ นบขพ. ระบายเมื่อมีข้อยุติในทางคดี ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอเพิ่มเติมว่า เนื่องจากการตรวจสอบข้าวโพดเลี้ยงสัตว์คงเหลือโครงการแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๕๑/๕๒ ได้ดำเนินการครั้งสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ดังนั้น กระทรวงพาณิชย์จะดำเนินการสำรวจและตรวจสอบปริมาณและคุณภาพของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์คงเหลือโครงการร่วมกับผู้ตรวจสอบสินค้ากลาง (Surveyor) อีกครั้งหนึ่งให้ถูกต้อง ชัดเจน และเป็นปัจจุบัน เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยให้ นบขพ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการระบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ตามอำนาจหน้าที่ให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และแล้วเสร็จโดยเร็วต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ โดย อ.ค.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินการระบายโดยแบ่งตามคุณภาพของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และปฏิบัติตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่รัดกุม รวมทั้งต้องกำกับ ดูแล และกำหนดมาตรการที่เข้มงวดไม่ให้มีการนำข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ระบายออกมากลับเข้าสู่วงจรตลาดปกติได้อีก และให้ อ.ค.ส. เจรจากับคลังสินค้าหรือผู้ซื้อที่เสนอราคาซื้อสูงสุดแต่ละคลัง แล้วนำเสนอประธาน นบขพ. พิจารณาอนุมัติการระบาย นอกจากนี้ ควรมีมาตรการป้องกันไม่ให้มีการนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหารที่อาจจะส่งผลต่อสุขอนามัยคนและสัตว์ แต่อาจนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอื่น เช่น อุตสาหกรรมพลังงานทดแทน เป็นต้น และเร่งดำเนินการติดตามข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ยังไม่มีข้อยุติในส่วนของคดีความทางกฎหมาย เพื่อให้ได้ข้อสรุปก่อนที่จะเสนอ นบขพ. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
453 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร12 | 10/10/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อปรับโครงสร้างและรูปแบบการทำงานของสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (สรอ.) ให้อยู่ภายใต้การกำกับของนายกรัฐมนตรี ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณารวมกับร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติหลักการเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. แจ้งผลการพิจารณาของคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนในการดำเนินการตามมติคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์เกี่ยวกับการปรับโครงสร้างและรูปแบบการทำงานของ สรอ. ให้อยู่ภายใต้การกำกับของนายกรัฐมนตรี ให้สำนักงานคณะกรรมกฤษฎีกาทราบโดยด่วน เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการตรวจพิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกาในเรื่องนี้ต่อไป ๒. เห็นชอบให้มีคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลเป็นคณะกรรมการระดับชาติ ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เลขาธิการ ก.พ. เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นกรรมการ โดยมีเลขาธิการ ก.พ.ร. และผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล เป็นกรรมการและเลขานุการร่วม มีอำนาจหน้าที่กำหนดนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลเสนอต่อคณะรัฐมนตรี สนับสนุนการบูรณาการข้อมูลและวิธีการทำงานด้านดิจิทัลระหว่างหน่วยงานของรัฐทุกแห่งให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ติดตามและประเมินผลการดำเนินงานตามแผนระดับชาติฯ และเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อปรับปรุงกฎหมายหรือระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับข้อสังเกตของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและสำนักงาน ก.พ. ที่เห็นว่า ร่างพระราชกฤษฎีกาในเรื่องนี้ยังไม่ได้มีการจัดทำหลักการและเหตุผลประกอบร่างพระราชกฤษฎีกาฯ และควรจะกำหนดแนวทางการกำหนดเครื่องแบบขององค์การมหาชนไว้เพื่อให้การกำหนดเครื่องแบบของทุกองค์การมหาชนเป็นไปในแนวทางเดียวกัน รวมทั้งเครื่องหมายของแต่ละองค์การมหาชนด้วย นอกจากนี้ ควรมีการประสานการทำงานด้านนโยบายการขับเคลื่อนการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลให้สอดรับกับคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและคณะกรรมการเฉพาะด้านตามพระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. ๒๕๖๐ ตลอดจนยุทธศาสตร์การปรับเปลี่ยนภาครัฐสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัลตามแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
454 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2560 (เพิ่มเติม) และครั้งที่ 2/2560 | ทส | 26/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ (เพิ่มเติม) และครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๐ ได้พิจารณาเรื่องเชิงนโยบายที่สำคัญและได้ข้อยุติแล้ว โดยยังคงมีเรื่องที่มีความจำเป็นต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบเพิ่มเติมอีก ๕ เรื่อง ได้แก่ (๑) ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่ตำบลบางปะกง ตำบลท่าข้าม ตำบลสองคลอง อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา และท้องที่ตำบลคลองตำหรุ อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี พ.ศ. .... และร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติ และแนวทางในการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (IEE) และรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ในท้องที่ดังกล่าวข้างต้น พ.ศ. .... (๒) ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่ตำบลปากคลอง ตำบลชุมโค ตำบลบางสน และตำบลสะพลี อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร พ.ศ. .... (๓) โครงการก่อสร้างทางรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (๔) โครงการทำเหมืองแร่ชนิดแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน ชนิดแร่หินอุตสาหกรรมชนิดดินดาน และชนิดแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนของห้างหุ้นส่วนจำกัด อุดมศิลา คำขอต่ออายุประทานบัตรที่ ๓/๒๕๕๗ ตั้งอยู่ที่ตำบลเขาวง อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี และ (๕) โครงการทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน และหินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน คำขอต่ออายุประทานบัตรที่ ๗/๒๕๕๗ ของบริษัทชีวิลเอนจีเนียริง จำกัด ตั้งอยู่ที่ตำบลหน้าพระลาน อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสระบุรี ๒. มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๖๐ จำนวน ๑๔ เรื่อง เช่น (๑) รายงานการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในรายงาน EIA โครงการพัฒนาท่าอากาศยานภูเก็ต : การปรับปรุง Runway Strip, RESA และทางขับขนานท่าอากาศยานภูเก็ต ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (๒) รายงานผลการดำเนินงานตามมติคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ ๔/๒๕๕๙ เรื่อง โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-นครราชสีมา ของกรมทางหลวง (๓) โครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ส่วนต่อขยายช่วงศิริราช-ตลิ่งชัน และบ้านฉิมพลี-ศาลายา ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (๔) โครงการอาคารศูนย์บริการทางการแพทย์หริภุญไชยของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (๕) การปรับปรุงมาตรฐานก๊าซคาร์บอนไดซัลไฟด์ในบรรยากาศโดยทั่วไป และ (๖) ร่างนโยบายและแผนการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
455 | การพิจารณาทบทวนความจำเป็นเหมาะสมของการกำหนดอัตราข้าราชการตั้งใหม่ตำแหน่งเภสัชกร จำนวน 316 อัตรา ให้กับสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข | นร10 | 26/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๖๐ เกี่ยวกับการพิจารณาทบทวนความจำเป็นเหมาะสมของการกำหนดอัตราข้าราชการตั้งใหม่ ตำแหน่งเภสัชกร จำนวน ๓๑๖ อัตรา ให้กับสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ตามที่สำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วม คปร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้นำตำแหน่งที่มีอยู่มาบรรจุนักศึกษาวิชาเภสัชศาสตร์ที่เป็นนักศึกษาคู่สัญญากับกระทรวงสาธารณสุข และสำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ จนครบถ้วนทั้ง ๓๕๐ ราย แล้ว ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องสนับสนุนอัตราข้าราชการตั้งใหม่ตำแหน่งเภสัชกร จำนวน ๓๑๖ อัตรา เพื่อรองรับการบรรจุนักศึกษาวิชาเภสัชศาสตร์ที่เป็นนักศึกษาคู่สัญญากับกระทรวงสาธารณสุขที่สำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ อีก ๑.๒ รับทราบการวิเคราะห์สัดส่วนเภสัชกรต่อประชาชนผู้มารับบริการที่เหมาะสมและสามารถให้บริการที่มีคุณภาพ ตลอดจนภาระงบประมาณและจำนวนบุคลากรด้านเภสัชกรที่ได้รับทุนการศึกษาและที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงานในแต่ละปี รวมทั้งความจำเป็นเหมาะสมของการกำหนดอัตราข้าราชการตั้งใหม่ในปีต่อ ๆ ไป ของกระทรวงสาธารณสุข นั้น คณะอนุกรรมการกำหนดยุทธศาสตร์การปฏิรูปกำลังคนและภารกิจบริการด้านสุขภาพให้สอดคล้องกับบทบาทภารกิจ ทิศทางและนโยบายด้านการบริการสุขภาพของประเทศ และได้กำหนดกรอบการทำงานไว้ว่าแผนดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑ ทั้งนี้ เมื่อแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวแล้วเสร็จ คปร. จะนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป ๒. ให้ คปร. เร่งรัดการดำเนินการจัดทำแผนยุทธศาสตร์การปฏิรูปกำลังคนและภารกิจบริการด้านสาธารณสุขในภาพรวมทั้งระบบ โดยให้สามารถรองรับการปฏิบัติงานตามภารกิจด้านสาธารณสุขของแต่ละหน่วยงาน รวมถึงงานตามนโยบายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องของรัฐบาล ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
456 | การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน | อื่นๆ | 26/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ตำแหน่งนักวิชาการแรงงานให้กับกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน จำนวน ๖๕ อัตรา ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๐ และครั้งที่ ๔/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๖๐ ตามที่สำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการ คปร. เสนอ ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เห็นควรให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเมื่อร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ประกาศบังคับใช้แล้วก่อน ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
457 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2560 (ครั้งที่ 13) | พน | 26/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานรายงานว่า การดำเนินการภายใต้ร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวไปยังมาเลเซียผ่านระบบส่งไฟฟ้าของไทย (LTM-PIP) เป็นการดำเนินการเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านไฟฟ้าตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยโครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าระหว่างสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวผ่านระบบไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเพื่อนำส่งต่อไปยังมาเลเซียในปริมาณที่จำกัดไม่เกิน ๑๐๐ เมกะวัตต์ และมีอายุสัญญาเป็นเวลา ๒ ปี (นับจากวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๑) โดยใช้โครงสร้างพื้นฐานระบบส่งไฟฟ้าที่มีอยู่เดิม กระทรวงพลังงานจึงไม่จำเป็นต้องลงทุนในระบบสายส่งไฟฟ้าเพิ่มเติม ประกอบกับการดำเนินการดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าและการใช้ไฟฟ้าของประชาชนในประเทศ ทั้งนี้ ในส่วนของการบริหารจัดการระบบไฟฟ้าในภาคใต้ นั้น ปัจจุบันกระทรวงพลังงานยังไม่สามารถก่อสร้างโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ในพื้นที่เพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าในภาคใต้ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องได้ จึงได้แก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยดำเนินการก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าในภาคใต้เป็นการชั่วคราว ๒. รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ครั้งที่ ๓/๒๕๖๐ (ครั้งที่ ๑๓) เมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ จำนวน ๕ เรื่อง ได้แก่ (๑) ร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวไปยังมาเลเซียผ่านระบบส่งไฟฟ้าของไทย (LTM-PIP) (๒) แนวทางการส่งเสริมการแข่งขันในกิจการก๊าซธรรมชาติ (๓) การเปิดเสรีธุรกิจก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) (๔) มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยด้านพลังงาน และ (๕) อัตราค่าไฟฟ้าชั่วคราวสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการใช้ประโยชน์ของระบบส่งของไทยตามโครงการ LTM-PIP ควรมีการพิจารณาส่งคืนผลประโยชน์ให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าในประเทศด้วย รวมทั้งในการดำเนินการส่งเสริมการแข่งขันในกิจการก๊าซธรรมชาติ ควรมีการประเมินผลการดำเนินงาน ตลอดจนปัญหาและอุปสรรคในระยะที่ ๑ ก่อน เพื่อนำมาใช้เป็นแนวทางในการวางแผนส่งเสริมการแข่งขันในระยะต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. สำหรับกรณีการส่งเสริมการแข่งขันในกิจการก๊าซธรรมชาติ ให้กระทรวงพลังงานและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยดำเนินการจัดหาก๊าซธรรมชาติเหลว (Liquefied Natural Gas : LNG) ด้วยวิธีการประมูลที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ ภายใต้การแข่งขันอย่างเสรี โดยเปิดโอกาสให้ผู้ผลิต LNG ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) สามารถเข้าร่วมการประมูลได้ เพื่อให้ต้นทุนการจัดหา LNG ดังกล่าวอยู่ในระดับราคาที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์สูงสุดต่อต้นทุนการผลิตไฟฟ้า
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
458 | รายงานผลการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 41 | ทส | 19/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๔๑ ระหว่างวันที่ ๒-๑๒ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ณ เมืองคราคูฟ สาธารณรัฐโปแลนด์ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ซึ่งมีข้อมติคณะกรรมการฯ ที่เกี่ยวข้องกับราชอาณาจักรไทย สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ให้ราชอาณาจักรไทยดำเนินการในด้านต่าง ๆ เช่น ประเมินทางเลือกอื่น ๆ หลีกเลี่ยงผลกระทบทางลบที่อาจเกิดขึ้นต่อคุณค่าความโดดเด่นอันเป็นสากลในการขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๔๘ และยกเลิกแผนการก่อสร้างเขื่อนและอ่างเก็บน้ำในพื้นที่แหล่งทรัพย์สินอย่างถาวร รวมถึงโครงการก่อสร้างเขื่อนห้วยสะโตนและเขื่อนลำพระยาธาร เป็นต้น ทั้งนี้ พื้นที่กลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ไม่ได้รับการบรรจุเป็นแหล่งมรดกโลกในภาวะอันตราย และหากเอกสารรายงานสถานภาพการอนุรักษ์แหล่งมรดกโลกพื้นที่กลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ที่ต้องจัดส่งต่อศูนย์มรดกโลกภายในวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ได้รับการพิจารณาแล้วเห็นว่า มีความก้าวหน้าเพียงพอก็จะไม่มีการนำเสนอรายงานดังกล่าวต่อคณะกรรมการมรดกโลกในการประชุมสมัยสามัญ ครั้งที่ ๔๒ ในปี ๒๕๖๑ ๑.๒ ให้ราชอาณาจักรไทยดำเนินการในด้านต่าง ๆ เช่น ให้จัดส่งเอกสารรายงานสถานภาพการอนุรักษ์แหล่งมรดกโลกนครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาฉบับปรับปรุง และแผนการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องต่อศูนย์มรดกโลกภายในวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ เพื่อคณะกรรมการมรดกโลกพิจารณาในการประชุมสมัยสามัญ ครั้งที่ ๔๓ ในปี ๒๕๖๒ เป็นต้น ๑.๓ เห็นชอบการบรรจุแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมพระธาตุพนม กลุ่มสิ่งก่อสร้างทางประวัติศาสตร์ และภูมิทัศน์ที่เกี่ยวข้องในบัญชีรายชื่อเบื้องต้นของศูนย์มรดโลก ตามที่ราชอาณาจักรไทยนำเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมระงับการดำเนินการขยายเส้นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๔๘ ในพื้นที่กลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ และให้พิจารณาทางเลือกในการขยายทางหลวงแผ่นดินเส้นทางอื่นแทนตามความจำเป็นและเหมาะสม ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องพิจารณาทบทวนความจำเป็น เหมาะสมในการก่อสร้างเขื่อนและอ่างเก็บน้ำในพื้นที่กลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ซึ่งรวมถึงการก่อสร้างเขื่อนห้วยสะโตนด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
459 | รายงานการดำเนินงานการอนุรักษ์และพัฒนานครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา | วธ | 19/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการดำเนินงานการอนุรักษ์และพัฒนานครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. การอนุรักษ์นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา กรมศิลปากรจัดทำแผนแม่บทโครงการอนุรักษ์และพัฒนานครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา เพื่ออนุรักษ์ พัฒนา และปรับปรุงภูมิทัศน์โบราณสถาน ปรับปรุงสาธารณูปโภค สาธารณูปการ ตลอดจนปรับปรุงฟื้นฟูวิถีชีวิตชุมชนพื้นที่อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา โดยมีแนวความคิดให้ชุมชนอยู่กับโบราณสถานอย่างเกื้อกูลกัน ระยะเวลาดำเนินการระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๓๗-๒๕๔๔ งบประมาณดำเนินการ ๒,๙๔๖.๗๘ ล้านบาท ผลการดำเนินงานเป็นไปตามแผนแม่บทฯ ในส่วนของงานโบราณคดี งานอนุรักษ์โบราณสถาน และงานปรับปรุงชุมชนบางส่วน แต่ยังไม่สำเร็จครบถ้วนทั้งหมด ๒. การพัฒนานครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๔๕-๒๕๖๐ กรมศิลปากรยึดแนวทางตามแผนแม่บทฯ ดำเนินการพัฒนานครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาสืบต่อมาภายใต้งบประมาณปกติ ประมาณ ๑,๓๐๐ ล้านบาท ภาคเอกชน ๖๗ ล้านบาท และองค์กรต่างประเทศ ๓๗ ล้านบาท งบประมาณดังกล่าวรวมที่ใช้ในการฟื้นฟูโบราณสถาน จำนวน ๑๕๔ แห่งที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัย ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ด้วย ๓. การดำเนินงานตามมติที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ครั้งที่ ๓๙ ณ กรุงบอนน์ สหพันธ์สาธารณรัฐรัฐเยอรมนี เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน-๘ กรกฎาคม ๒๕๕๘ กรมศิลปากรได้ดำเนินการตามมติคณะกรรมการฯ แล้ว ได้แก่ การจัดฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ในการบูรณปฏิสังขรณ์มรดกโลก การจัดทำร่างแผนแม่บทโครงการอนุรักษ์และการพัฒนานครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ระยะที่ ๒ และการควบคุมการปลูกสร้างอาคารใหม่ในพื้นที่กันชนและพื้นที่อนุรักษ์สำคัญที่ยื่นขออนุญาตในปี พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๕๙ ๔. โครงการจัดทำร่างแผนแม่บทโครงการอนุรักษ์และพัฒนานครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ระยะที่ ๒ เป็นผลสืบเนื่องจากการประชุมคณะกรรมการอำนวยการและควบคุมการดำเนินงานโครงการอนุรักษ์และพัฒนานครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ ที่เห็นชอบให้กรมศิลปากรจัดทำแผนแม่บทโครงการอนุรักษ์และพัฒนานครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ระยะที่ ๒ ปี พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๙ โดยมีแนวความคิดการพัฒนาให้เป็นเมืองประวัติศาสตร์ที่มีชีวิต ให้ประชาชนสามารถอยู่ร่วมกับโบราณสถานได้ สาระสำคัญในแผนแม่บทฯ ประกอบด้วย งานค้นคว้าศึกษาวิจัยโบราณคดี งานด้านการอนุรักษ์โบราณสถาน งานควบคุมการใช้ที่ดินและปรับปรุงชุมชนปัจจุบัน งานการปรับปรุงภูมิทัศน์ และงานส่งเสริมรายได้ชุมชน เป็นต้น คาดว่าจะนำแผนแม่บทฯ เสนอคณะรัฐมนตรีได้ภายในเดือนธันวาคม ๒๕๖๐
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
460 | การเสนอความเห็นการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน | กค | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบผลการพิจารณาการขอจัดตั้งกองทุนพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของรัฐตามร่างพระราชบัญญัติภาษีการได้รับประโยชน์จากการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของรัฐ พ.ศ. .... ตามมติคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน ครั้งที่ ๓/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ที่เห็นควรไม่ให้มีการจัดตั้งกองทุนพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานด้านขนส่งของรัฐ เนื่องจากร่างพระราชบัญญัติภาษีการได้รับประโยชน์จากการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของรัฐ พ.ศ. .... กำหนดให้มีการจัดเก็บภาษีจากผู้ได้รับประโยชน์จากการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานด้านคมนาคมของรัฐเป็นรายรับของกองทุนฯ ซึ่งเป็นการจัดเก็บภาษีเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ (Earmarked Tax) มาใช้ในการดำเนินงานของกองทุนฯ อาจไม่สอดคล้องกับหลักการของร่างพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. .... ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังนำผลการพิจารณาดังกล่าวไปประกอบการดำเนินการจัดทำร่างพระราชบัญญัติภาษีการได้รับประโยชน์จากการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของรัฐ พ.ศ. .... ให้เหมาะสมสอดคล้องกันต่อไป
|
.....