ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 24 จากทั้งหมด 252 หน้า แสดงรายการที่ 461 - 480 จากข้อมูลทั้งหมด 5030 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
461 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 12/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการขยายความร่วมมือการทำการเกษตรกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น การปลูกข้าวโพด โดยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการและเกษตรกรทั้งสองฝ่ายมีการดำเนินการร่วมกันอย่างใกล้ชิดและเป็นระบบตั้งแต่ต้นทาง (การเพาะปลูก) ไปจนถึงปลายทาง (การตลาด) โดยให้พิจารณากำหนดช่วงเวลาเพาะปลูกและการเก็บเกี่ยวผลผลิตให้เหมาะสม เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาความซ้ำซ้อนกับการออกสู่ฤดูกาลของผลผลิตในประเทศ ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๐ รับทราบและเห็นชอบมติคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ ครั้งที่ ๙/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๖๐ ซึ่งมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รับไปดำเนินการปรับโครงสร้างและรูปแบบการทำงานของสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) โดยให้อยู่ภายใต้กำกับของนายกรัฐมนตรี มีการเชื่อมโยงการทำงานตั้งแต่ระดับนโยบายผ่านศูนย์ PMOC และศูนย์บริการครบวงจร (One Stop Service) ที่ผ่านการบูรณาการระดับกระทรวงในทุกกิจกรรม นั้น ให้สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) ขับเคลื่อนการดำเนินงานในเรื่องการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และศูนย์บริการร่วม ณ จุดเดียว (One Stop Service) ให้มีประสิทธิภาพและเกิดผลเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น รวมทั้งให้ดำเนินการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลภาครัฐ (Government Data Center) โดยประสานหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ นำข้อมูลที่พร้อมให้บริการมาดำเนินการเป็นโครงการนำร่องให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในปี ๒๕๖๐ ด้วย ๒.๒ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) กำกับดูแลให้กระทรวงการคลัง สำนักงาน ก.พ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางในการกำหนดค่าครองชีพและค่าตอบแทนให้แก่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยเฉพาะข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐชั้นผู้น้อย ให้เหมาะสมและเป็นธรรม โดยให้ประสานงานกับคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการบริหารราชการแผ่นดินเพื่อกำหนดเรื่องดังกล่าวไว้ในประเด็นการปฏิรูปต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
462 | ขอผ่อนผันการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีที่ห้ามมิให้อนุญาตการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าชายเลนเพื่อดำเนินโครงการแก้มลิงทุ่งหินของจังหวัดสมุทรสงคราม | มท | 29/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๓๐ (เรื่อง การจำแนกเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ป่าชายเลนประเทศไทย) วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๓๔ (เรื่อง รายงานศึกษาสถานภาพปัจจุบันของป่าไม้ชายเลนและปะการังของประเทศ) วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๓ (เรื่อง มติคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ เรื่อง การแก้ไขปัญหาการจัดการพื้นที่ป่าชายเลน) และวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๔๓ (เรื่อง มติคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๔๓ เรื่อง การแก้ไขปัญหาการจัดการพื้นที่ป่าชายเลน) เพื่อให้จังหวัดสมุทรสงครามใช้ประโยชน์จากพื้นที่ป่าชายเลนในการดำเนินโครงการแก้มลิงทุ่งหิน เนื้อที่ ๒,๖๒๓ ไร่ ๒ งาน ๒๓.๒ ตารางวา ตั้งอยู่ที่บ้านต้นลำแพน ตำบลยี่สาร อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยเสนอเรื่องการขอใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลนต่อกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งตามขั้นตอนต่อไป และให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมทั้งก่อนการดำเนินโครงการ ระหว่างดำเนินโครงการ และภายหลังดำเนินโครงการแล้วเสร็จ รวมทั้งการสร้างความรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับความจำเป็นและเหมาะสมในการใช้พื้นที่ป่าชายเลนดังกล่าว รวมถึงประโยชน์โดยรวมสูงสุดที่ทางราชการและประชาชนจะได้รับ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการตามระเบียบกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งว่าด้วยการปลูกและบำรุงป่าชายเลนทดแทนเพื่อการอนุรักษ์หรือรักษาสภาพแวดล้อม กรณีการดำเนินการโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลน พ.ศ. ๒๕๕๖ อย่างเคร่งครัด โดยจัดสรรงบประมาณให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปลูกและบำรุงป่าชายเลนทดแทนไม่น้อยกว่า ๒๐ เท่าของพื้นที่ป่าชายเลนที่ใช้ประโยชน์ ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบพื้นที่ป่าชายเลนที่จะนำมาใช้ประโยชน์ในการดำเนินโครงการดังกล่าว เพื่อนำมาคำนวณพื้นที่ปลูกและบำรุงป่าชายเลนทดแทนให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง และให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการขอตั้งงบประมาณกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณานำหลัก Strategic Environmental Assessment (SEA) มาใช้ในการดำเนินโครงการดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
463 | สรุปสาระสำคัญการประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ ครั้งที่ 9/2560 | นร | 29/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ ครั้งที่ ๙/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๖๐ ซึ่งมีมติเกี่ยวกับ (๑) มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ (๒) รายงานความคืบหน้าการพัฒนาระบบอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจแบบครบวงจร (Doing Business Portal) และ (๓) แนวทางการตรวจลงตราสำหรับผู้ประกอบการ นักลงทุน และบุคลากรจากต่างชาติ (SMART Visa) รวมทั้งเรื่อง การนำแนวคิด Tech Visa ของสาธารณรัฐฝรั่งเศสมาปรับใช้กับประเทศไทย ซึ่งมีแนวทางดำเนินการ ได้แก่ การกำหนดวีซ่าประเภทใหม่ การกำหนดกลุ่มบุคคลเป้าหมายตามสาขาที่ประเทศไทยต้องการ การกำหนดสิทธิประโยชน์ของกลุ่มบุคคลเป้าหมาย และการพัฒนา One Stop Service Center ตามที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์เสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติดังกล่าวต่อไปด้วย ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในปี ๒๕๖๐ เพื่อให้สามารถเปิดให้เสนอขอ SMART Visa ได้ตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๖๑ เป็นต้นไป ตามมติคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
464 | การนำแนวคิด Tech Visa ของสาธารณรัฐฝรั่งเศสมาปรับใช้กับประเทศไทย | กต | 29/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ ครั้งที่ ๙/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๖๐ ซึ่งมีมติเกี่ยวกับ (๑) มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ (๒) รายงานความคืบหน้าการพัฒนาระบบอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจแบบครบวงจร (Doing Business Portal) และ (๓) แนวทางการตรวจลงตราสำหรับผู้ประกอบการ นักลงทุน และบุคลากรจากต่างชาติ (SMART Visa) รวมทั้งเรื่อง การนำแนวคิด Tech Visa ของสาธารณรัฐฝรั่งเศสมาปรับใช้กับประเทศไทย ซึ่งมีแนวทางดำเนินการ ได้แก่ การกำหนดวีซ่าประเภทใหม่ การกำหนดกลุ่มบุคคลเป้าหมายตามสาขาที่ประเทศไทยต้องการ การกำหนดสิทธิประโยชน์ของกลุ่มบุคคลเป้าหมาย และการพัฒนา One Stop Service Center ตามที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์เสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติดังกล่าวต่อไปด้วย ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในปี ๒๕๖๐ เพื่อให้สามารถเปิดให้เสนอขอ SMART Visa ได้ตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๖๑ เป็นต้นไป ตามมติคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
465 | การเสนอความเห็นการขอจัดตั้งและการขอยุบเลิกทุนหมุนเวียนของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน | กค | 15/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการจัดตั้งกองทุนปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร) และเห็นชอบการยุบเลิกกองทุนสำหรับพนักงานที่ได้รับผลกระทบจากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจของกระทรวงการคลัง (สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ) ตามมติคณะกรรมการนโยบายการบริหารกองทุนหมุนเวียน ครั้งที่ ๓/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร) รับข้อสังเกตของคณะกรรมการนโยบายการบริหารกองทุนหมุนเวียนเกี่ยวกับกองทุนปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม ว่ากองทุนดังกล่าวต้องไม่มีภารกิจในเรื่องการรักษาเสถียรภาพด้านราคาของปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม และเมื่อมีการจัดตั้งกองทุนแล้ว ต้องไม่มีความซ้ำซ้อนกับหน่วยงานของรัฐใด ๆ ในส่วนของการใช้เงินงบประมาณในเรื่องของการวิจัยและพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
466 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ครั้งที่ 1/2560 | นร11 | 01/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๐ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการ กนพ. เสนอ โดยมีผลการพิจารณาและมติที่สำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้เอกชนเช่าที่ราชพัสดุที่ได้มาตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๗๔/๒๕๕๙ ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษกาญจนบุรีและนครพนม และมอบหมายให้กระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์ชี้แจงทำความเข้าใจกับนักลงทุนเกี่ยวกับรายละเอียดอัตราค่าเช่าและค่าธรรมเนียม รวมทั้งเงื่อนไขในการเช่าให้ละเอียด ชัดเจน และครบถ้วน ๑.๒ เห็นชอบมาตรการเร่งรัดการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก กาญจนบุรี และนครพนม ซึ่งให้ยกเว้นค่าเช่าที่ดินราชพัสดุเป็นเวลา ๒ ปี นับตั้งแต่วันจัดทำสัญญาเช่า และมอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนพิจารณามาตรการเร่งรัดการลงทุนและสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมเพื่อให้เกิดการลงทุนในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนมากขึ้น ๑.๓ เห็นชอบแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการอำนวยความสะดวกของการตรวจสอบเอกสารและพิธีการศุลกากรผ่านการควบคุมของเจ้าหน้าที่ ระบบ CIQ (Customs, Immigration and Quarantine) และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งนำพื้นที่มาก่อสร้างด่านศุลกากรแม่สอด แห่งที่ ๒ และเร่งเจรจากับมาเลเซียเพื่อกำหนดจุดผ่านแดน ณ ด่านสะเดาแห่งใหม่ ๑.๔ เห็นชอบการแก้ไขคำสั่ง กนพ. ที่ ๒/๒๕๕๘ เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการด้านการตลาดและประชาสัมพันธ์ โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานอนุกรรมการ และผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเป็นอนุกรรมการและเลขานุการ และมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมปรับปรุงคำสั่งดังกล่าว และดำเนินการร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการต่างประเทศในการประชาสัมพันธ์เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษแก่นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ และดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ๑.๕ เห็นชอบแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการขับเคลื่อนเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษระดับพื้นที่ ประกอบด้วย ๓ กลไก คือ (๑) กำหนดแนวปฏิบัติในการประสานงานระหว่างอนุกรรมการภายใต้ กนพ. และกลไกระดับพื้นที่ (๒) ให้คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษระดับพื้นที่ติดตามและขับเคลื่อนเขตเศรษฐกิจพิเศษในระดับพื้นที่อย่างต่อเนื่อง และ (๓) วางแนวทางการจัดเก็บและเผยแพร่ข้อมูลเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ๑๐ พื้นที่ และเชื่อมโยงกับหน่วยงานในส่วนกลาง ๑.๖ รับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยให้รับนโยบายและความเห็นของ กนพ. ไปประกอบการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการและการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายของศูนย์บริการเบ็ดเสร็จด้านลงทุน (One Stop Service : OSS) และการแก้ไขปัญหากรณีภาระค่าใช้จ่าย (ค่าสาธารณูปโภค) ในศูนย์ OSS การเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบแรงงานต่างด้าว และการดำเนินโครงการในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษที่ได้รับจัดสรรงบประมาณระหว่างปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐ สามารถดำเนินการได้ตามแผน เป็นต้น ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับกรณีที่กรมศุลกากรมีความต้องการอัตรากำลังเจ้าหน้าที่เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงาน ก.พ.ร. เพื่ออนุมัติกรอบอัตรากำลังนั้น มิใช่อำนาจหน้าที่ของสำนักงาน ก.พ.ร. จึงขอแก้ไขเป็นสำนักงาน ก.พ. ไปดำเนินการ ๓. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุม กนพ. ต่อไป โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
467 | โครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าเพื่อรองรับการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ระยะที่ 2 | มท | 01/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดำเนินโครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าเพื่อรองรับการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ระยะที่ ๒ ในวงเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น ๔,๐๐๐ ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากเงินกู้ในประเทศ จำนวน ๓,๐๐๐ ล้านบาท และเงินรายได้ของ กฟภ. จำนวน ๑,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบให้ กฟภ. กู้เงินในประเทศ ภายในกรอบวงเงิน ๓,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อเป็นเงินลงทุนของโครงการฯ โดย กฟภ. จะทยอยดำเนินการกู้เงินตามความจำเป็นจนกว่างานจะแล้วเสร็จ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. ดำเนินการโครงการฯ ให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๖๐ และมติคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ครั้งที่ ๔/๒๕๖๐ (ครั้งที่ ๔๔๖) เมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ อาทิ การกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าตามประเภทผู้ใช้ไฟฟ้าภาคอุตสาหกรรมเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้ใช้ไฟทุกประเภท และการนำค่าเฉลี่ยจำนวนครั้งที่กระแสไฟฟ้าขัดข้องและค่าเฉลี่ยระยะเวลาที่กระแสไฟฟ้าขัดข้องมาเป็นตัวชี้วัดผลการปฏิบัติงานในการประเมินผลการดำเนินงาน รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และสำนักงบประมาณที่เห็นควรมีการศึกษาปัญหาต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในระยะแรกของโครงการฯ เพื่อปรับปรุงการดำเนินงานในระยะที่ ๒ ต่อไป และให้ กฟภ. กู้เงินภายในประเทศ โดยกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกัน นอกจากนี้ ควรนำผลการศึกษา “โครงการจัดทำแผนปฏิบัติการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดชายแดนที่มีศักยภาพสูงตามนโยบายรัฐบาล : จังหวัดเชียงรายและนครพนม” มาประกอบการจัดทำค่าพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้า และควรดำเนินการติดตามและประเมินผลโครงการฯ ในระยะแรกอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ได้ตรงตามเป้าหมายของโครงการฯ ที่ได้กำหนดไว้ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้ กฟภ. เร่งรัดการดำเนินโครงการฯ ให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามแผนงานและกรอบระยะเวลาที่กำหนด โดยควบคุมต้นทุนการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนงานและให้จัดทำแผนบริหารความเสี่ยงรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินงานตามแผนงาน โดยหากตรวจพบปัญหาหรือการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ที่มีผลต่อการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ ให้ กฟภ. เร่งพิจารณาดำเนินการแก้ปัญหาดังกล่าว ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๔. ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลการดำเนินการของ กฟภ. ให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
468 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 5,112 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา และสายบางใหญ่ - กาญจนบุรี ของกรมทางหลวง | คค | 01/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวงใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๕,๑๑๒ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา จำนวน ๕๐๐ ล้านบาท ตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี จำนวน ๑,๘๔๒ ล้านบาท ให้เป็นไปตามอัตราที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงพิเศษหมายเลข ๘๑ สายบางใหญ่-กาญจนบุรี พ.ศ. ๒๕๕๖ และตามบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับค่าทดแทนและทรัพย์สินที่ถูกเขตทางเพื่อส่งมอบพื้นที่ให้แก่ผู้รับจ้างก่อสร้างงานโยธาที่ได้ลงนามในสัญญาแล้ว และค่าก่อสร้างงานโยธาโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี จำนวน ๒,๗๗๐ ล้านบาท เพื่อเป็นค่างานล่วงหน้าร้อยละ ๑๕ ของค่าก่อสร้าง ๔ ช่วง ที่ขาดอยู่ และค่างวดงานตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ๑.๒ เห็นชอบในหลักการให้กรมทางหลวงปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ แผนงานบูรณาการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบโลจิสติกส์ งบลงทุน ค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้าง จากโครงการก่อสร้างโครงข่ายทางหลวงแผ่นดิน กิจกรรมก่อสร้างทางหลวงเชื่อมโยงระหว่างประเทศ สายอำเภอหล่มสัก-อำเภอน้ำหนาว ตอนบ้านน้ำดุก-อำเภอคอนสาร จังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดชัยภูมิ รวม ๔ รายการ เป็นเงินทั้งสิ้น ๑,๐๘๐ ล้านบาท ซึ่งเป็นรายการที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๙ ให้กรมทางหลวงก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๒ แต่เนื่องจากรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ยังไม่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ทำให้ต้องชะลอโครงการ ซึ่งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๙ มอบหมายให้กรมทางหลวงไปพิจารณาทบทวนและศึกษาทางเลือกแนวทางอื่นที่มีความเหมาะสม มีข้อมูลประกอบรอบด้าน และส่งผลกระทบต่อพื้นที่ป่าและสัตว์ป่าน้อยที่สุด ไปตั้งจ่ายโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี เพื่อเป็นค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน จำนวน ๕๑๖ ล้านบาท และค่าก่อสร้างงานโยธา จำนวน ๕๖๔ ล้านบาท โดยปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่าย สำหรับแผนงานบูรณาการ พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งพิจารณาทบทวนและศึกษาทางเลือกแนวเส้นทางดำเนินโครงการก่อสร้างโครงข่ายทางสายหลักให้เป็น ๔ ช่องจราจร สายอำเภอหล่มสัก-อำเภอน้ำหนาว ตอนบ้านน้ำดุก-อำเภอคอนสาร จังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดชัยภูมิ ตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๙ สำหรับกรณีกรอบวงเงินค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินของโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรีอาจต้องปรับเพิ่มขึ้นนั้น เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมกำกับติดตามให้กรมทางหลวงเร่งดำเนินการตรวจสอบรายละเอียดข้อเท็จจริงดังกล่าวอย่างเร่งด่วน รวมทั้งควรคำนึงถึงผลกระทบต่อความเหมาะสมทางเศรษฐกิจของโครงการฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย แล้วรายงานความคืบหน้าให้คณะรัฐมนตรีทราบในการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ที่จังหวัดนครราชสีมา ๓. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ดังนี้ ๓.๑ ให้กรมทางหลวงเร่งสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในการสำรวจทรัพย์สินเพื่อจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินของโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๓.๒ ในการเสนอขอปรับเพิ่มกรอบวงเงินค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินของโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี ต่อคณะรัฐมนตรี ให้กระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวงทบทวนผลการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการโดยจัดทำข้อมูลเปรียบเทียบระหว่างความคุ้มค่าในการดำเนินโครงการภายใต้กรอบวงเงินลงทุนเดิมกับกรอบวงเงินลงทุนใหม่ และหากพบว่า ผลการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการภายใต้กรอบวงเงินลงทุนใหม่มีความคุ้มค่าน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ ให้กระทรวงคมนาคมเสนอแนวทางการบริหารโครงการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพหรือมีมาตรการเพิ่มความคุ้มค่าในการดำเนินโครงการ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีด้วย รวมทั้งให้ปรับปรุงแผนการใช้จ่ายงบประมาณในภาพรวมของทั้งโครงการ และชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่โครงการดังกล่าวจะสามารถดำเนินการได้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ด้วย ๓.๓ ในการดำเนินโครงการต่าง ๆ ในอนาคตให้กระทรวงคมนาคมกำกับให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐในสังกัดดำเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) อย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
469 | ขออนุมัติดำเนินงานโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน - ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) | คค | 25/07/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ดำเนินงานก่อสร้างงานโยธา โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) กรอบวงเงินรวม ๑๐๑,๑๑๒ ล้านบาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยให้ รฟม. ดำเนินการประกวดราคางานก่อสร้างงานโยธาได้ แต่จะลงนามสัญญาจ้างผู้รับจ้างก่อสร้างงานโยธาได้ต่อเมื่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติได้เห็นชอบรายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (รายงานการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการฯ) แล้ว และให้กำหนดเป็นเงื่อนไขในสัญญาที่ผู้รับเหมาต้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติอย่างเคร่งครัด โดยหากความเห็น ข้อเสนอแนะ หรือมาตรการที่เสนอโดยคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติมีผลทำให้ค่าก่อสร้างโครงการสูงเกินกว่าที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้ ก็ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาเห็นชอบให้ขยายกรอบวงเงินโครงการเพื่อดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการดังกล่าวต่อไป ทั้งนี้ การดำเนินโครงการฯ ในช่วงที่ผ่านพื้นที่กรุงรัตนโกสินทร์ ให้ รฟม. ดำเนินการตามมติคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่าอย่างเคร่งครัด ๒. สำหรับแนวทางการรับภาระการลงทุนในส่วนของงานก่อสร้างโครงการให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ โดยเห็นชอบให้ รฟม. กู้เงินตามพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๓ มาตรา ๗๕ (๓) ๓. ให้กระทรวงคมนาคมกำกับการประกวดราคาให้เป็นไปอย่างโปร่งใส เพื่อให้ผลการประกวดราคาสามารถได้ราคาและงานแต่ละรายการที่ดีที่สุด อันนำไปสู่การใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงสุด และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนผู้ใช้บริการ รวมทั้งให้กำกับการกำหนดเงื่อนไข หลักเกณฑ์ ประเภทงานก่อสร้าง สูตรและวิธีการคำนวณที่ใช้กับสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) ของการประกวดราคาให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณอย่างเคร่งครัด ๔. ให้ รฟม. เร่งเจรจาตกลงกับเอกชนผู้รับสัมปทานเดินรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-เตาปูน เพื่อให้ได้ข้อสรุปในรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับการใช้ศูนย์ซ่อมบำรุงร่วมกันของโครงการทั้ง ๒ ช่วง และระบุรายละเอียดดังกล่าวในรายงานการศึกษาและวิเคราะห์โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) ตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อประกอบการพิจารณารายงานของคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐต่อไป พร้อมทั้งให้เร่งรัดการนำเสนอรายงานการศึกษาและวิเคราะห์โครงการตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อให้ รฟม. สามารถดำเนินการสรรหาเอกชนเข้าร่วมลงทุนในส่วนงานระบบรถไฟฟ้าและการเดินรถได้ในช่วงระยะเวลาที่สอดคล้องกับแผนงานก่อสร้างงานโยธา ทั้งนี้ ในการเสนอขออนุมัติดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าเส้นทางอื่น ๆ ในระยะต่อไป เห็นควรให้ รฟม. เสนอขออนุมัติรูปแบบการลงทุนระบบไฟฟ้าและรถไฟฟ้าในคราวเดียวกันกับการก่อสร้างงานโยธา เพื่อให้ภาครัฐสามารถพิจารณาถึงผลประโยชน์และผลกระทบที่เกิดจากการดำเนินโครงการในภาพรวมได้อย่างรอบคอบ ตามความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๕. ให้กระทรวงคมนาคม รฟม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณากำหนดแนวทางและรูปแบบการพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานีขนส่งสาธารณะ (Transit Oriented Development : TOD) ให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน สอดรับกับแผนงานก่อสร้างงานโยธา และเสนอแนวทางการใช้ประโยชน์ดังกล่าวตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๖. ให้ รฟม. ประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้และทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ ตลอดจนเตรียมมาตรการรองรับปัญหาหรืออุปสรรคจากการจัดสรรที่ดินในกรณีที่ไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ รวมทั้งให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการเวนคืนที่ดินต่อไป ๗. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดแนวทางรองรับปัญหาการจราจรติดขัดที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการดำเนินการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าตามแผนในอนาคต ตลอดจนกำหนดมาตรการกวดขันวินัยการจราจรตามแนวเส้นทางการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าเพื่อบรรเทาปัญหาจราจรติดขัดในภาพรวม ๘. ให้กระทรวงคมนาคม และ รฟม. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาทบทวนรูปแบบการเข้าร่วมลงทุนในงานระบบรถไฟฟ้าและบริหารจัดการเดินรถไฟฟ้าของโครงการฯ ให้สอดคล้องกับนโยบายระบบตั๋วโดยสารร่วมของรัฐบาล และพิจารณาดำเนินการเพิ่มเติม เช่น (๑) การศึกษาและทบทวนความเหมาะสมงานระบบไฟฟ้า รถไฟฟ้า และการให้บริการและบำรุงรักษา เพื่อให้สอดคล้องกับประมาณการปริมาณผู้โดยสารตามที่ รฟม. ได้ปรับปรุงให้เป็นปัจจุบันแล้ว (๒) การให้ความสำคัญกับการดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม (๓) การพัฒนาการใช้ประโยชน์พื้นที่ศูนย์ซ่อมบำรุง สถานี และอาคารจอดแล้วจร (๔) เสนอขออนุมัติรูปแบบการลงทุนระบบไฟฟ้าและรถไฟฟ้าในคราวเดียวกันกับการก่อสร้างงานโยธา สำหรับการดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าเส้นทางอื่น ๆ ในระยะต่อไป และ (๕) พิจารณาดำเนินมาตรการที่ส่งเสริมให้ประชาชนปรับเปลี่ยนรูปแบบการเดินทางมาใช้ระบบขนส่งมวลชนมากกว่าการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๙. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาศึกษาแนวทางและรูปแบบการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐในภาพรวมที่สามารถลดภาระงบประมาณภาครัฐ ลดผลกระทบต่อระดับหนี้สาธารณะ และสามารถดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จได้โดยเร็ว เช่น การสนับสนุนให้นักลงทุนทั้งภายในและภายนอกประเทศเข้ามาร่วมลงทุนหรือเป็นผู้ลงทุนดำเนินโครงการแทนภาครัฐ เป็นต้น แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
470 | มติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2560 | ดศ | 11/07/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๖๐ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ประธานกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติเสนอ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. รับทราบความคืบหน้าในการดำเนินงาน จำนวน ๓ เรื่อง ได้แก่ (๑) การจัดทำยุทธศาสตร์อวกาศแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙ (๒) การดำเนินโครงการระบบดาวเทียมเพื่อการสำรวจ (THEOS-2) และ (๓) การดำเนินงานของคณะอนุกรรมการดาวเทียมสื่อสารภาครัฐเพื่อความมั่นคง ๒. พิจารณาประเด็นต่าง ๆ ตามผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการพิจารณาแนวทางการบริหารเอกสารข่ายงานดาวเทียม และการให้สิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมของประเทศ โดย ๒.๑ มอบหมายให้คณะอนุกรรมการฯ ศึกษาและทบทวนการกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการรักษาสิทธิในการใช้คลื่นความถี่และตำแหน่งวงโคจรของประเทศตามรัฐธรรมนูญฯ ก่อนนำเสนอคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติในเดือนมิถุนายน ๒๕๖๐ ๒.๒ กำหนดแนวทางการบริหารกิจการดาวเทียมสื่อสารของประเทศ กรณีดาวเทียมไทยคม ๗ และไทยคม ๘ รับทราบการเร่งรัดคู่สัญญาให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดของสัญญาให้ครบถ้วน โดยดำเนินการให้เกิดความเป็นธรรมและคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ และมอบหมายให้คณะอนุกรรมการฯ ศึกษาและทบทวนการกำหนดเงื่อนไขแนบท้ายใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ แล้วนำเสนอคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติในเดือนมิถุนายน ๒๕๖๐
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
471 | ขอยกเว้นให้โครงการพัฒนาที่ดินราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ กท. 3275 เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร เพื่อก่อสร้างหอชมเมืองกรุงเทพมหานคร สามารถดำเนินการคัดเลือกเอกชนโดยไม่ใช้วิธีประมูล | กค | 27/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการยกเว้นให้โครงการพัฒนาที่ดินราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ กท.๓๒๗๕ เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร เพื่อก่อสร้างหอชมเมืองกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นโครงการตามนโยบายรัฐบาลในการให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการทำคุณงามความดีและรำลึกถึง "ศาสตร์แห่งพระราชา" ให้สามารถดำเนินการคัดเลือกเอกชนโดยไม่ใช้วิธีประมูลตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการให้เอกชนร่วมลงทุนในโครงการที่มีวงเงินมูลค่าต่ำกว่าที่กำหนดในมาตรา ๒๓ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ พ.ศ. ๒๕๕๙ ข้อ ๒๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งเป็นไปตามมติคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๖๐ โดยกำหนดเงื่อนไขให้เอกชนต้องร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรุงเทพมหานคร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดทำแผนบริหารจัดการจราจรและการสัญจร การรักษาสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาชุมชนในบริเวณดังกล่าวเสนอกรมธนารักษ์และกระทรวงการคลังพิจารณา รวมทั้งให้นำรายได้ที่เหลือจากการดำเนินโครงการฯ หลังหักค่าใช้จ่ายไปดำเนินการเชิงสังคมโดยมิให้นำมาแบ่งปันกัน ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรคำนึงถึงการป้องกันและแก้ไขผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งกำกับดูแลให้เป็นไปตามเงื่อนไขของคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐอย่างเข้มงวด และเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดที่รัฐและประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ โดยดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีให้ถูกต้องครบถ้วน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) วางแผนการบริหารจัดการโครงการฯ ภายหลังจากสัญญาที่ให้เอกชนร่วมลงทุนสิ้นสุดลง เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ เป็นไปอย่างต่อเนื่อง และสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการให้หอชมเมืองกรุงเทพมหานครเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นเอกลักษณ์ของไทยต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
472 | ขอความเห็นชอบร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) สัญญาสัมปทานการลงทุนออกแบบก่อสร้างบริหารจัดการ ให้บริการและบำรุงรักษา โครงการทางพิเศษสายศรีรัช - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร และร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) สัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 จำนวน 2 ฉบับ | คค | 27/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการแก้ไขร่างสัญญาในสาระสำคัญและร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติม จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยก่อนลงนามในสัญญา ให้กระทรวงคมนาคม โดยการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ระบุมูลค่างานก่อสร้างไว้ในร่างสัญญาตามข้อสังเกตของสำนักงานอัยการสูงสุด และให้กระทรวงคมนาคม โดย กทพ. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบเอกสารแนบท้ายสัญญาให้ถูกต้องและครบถ้วนตามมติคณะกรรมการกำกับดูแลโครงการทางพิเศษสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (มติในคราวประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๙) เพื่อระบุเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารแนบท้ายสัญญาต่อไป ดังนี้ ๑.๑ ร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) สัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ ๒ เพื่อให้มีการเชื่อมต่อทางพิเศษสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครไปยังทางพิเศษศรีรัชด้านทิศเหนือ (มุ่งไปทางแจ้งวัฒนะ) ที่คณะกรรมการกำกับดูแลโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ ๒ ได้เห็นชอบ และสำนักงานอัยการสูงสุดได้ตรวจพิจารณาแล้ว ๑.๒ ร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) สัญญาสัมปทานการลงทุนออกแบบก่อสร้างบริหารจัดการ ให้บริการและบำรุงรักษาโครงการทางพิเศษสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร เพื่อดำเนินการก่อสร้างทางเชื่อมจากทางพิเศษสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครไปยังทางพิเศษศรีรัชด้านทิศเหนือ (มุ่งไปทางแจ้งวัฒนะ) ที่คณะกรรมการกำกับดูแลโครงการทางพิเศษสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครได้เห็นชอบ และสำนักงานอัยการสูงสุดได้ตรวจพิจารณาแล้ว ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย กทพ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และประธานกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐที่เห็นควรกำกับให้การดำเนินงานตามสัญญาสัมปทานเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพตามข้อกำหนดของสัญญา และให้ความสำคัญกับการวางแผนบริหารความเสี่ยงเพื่อรองรับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากปริมาณจราจรที่เพิ่มขึ้นในโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ ๒ (ทางพิเศษศรีรัช) รวมทั้งจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนโดยคำนึงถึงความประหยัด ความคุ้มค่า รวมถึงการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมาย ตลอดจนประโยชน์ที่ทางราชการและประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ นอกจากนี้ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการและคณะกรรมการกำกับดูแลทั้ง ๒ โครงการ ติดตามกำกับดูแลโครงการให้มีการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขสัญญาอย่างรอบคอบ คำนึงสิทธิประโยชน์ของประชาชนผู้รับบริการและคู่สัญญาอย่างเป็นธรรม และมีความโปร่งใสตรวจสอบได้ ไปดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคม โดย กทพ. ดำเนินการ ๓.๑ พิจารณากำหนดเงื่อนไขและรายละเอียดของค่าใช้จ่ายที่บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BEM) จะสงวนสิทธิ์เรียกคืนจากผู้ที่รับดำเนินการโครงการทางเชื่อมเพิ่มเติมของทางพิเศษสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครกับโครงสร้างทางยกระดับอุตราภิมุขตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๓.๒ กำหนดรูปแบบโครงสร้างทางที่มีความเหมาะสมทางวิศวกรรมเพื่อให้ผู้ใช้ทางพิเศษสามารถเดินทางเชื่อมต่อโดยไม่เป็นอุปสรรคต่อการสัญจรของผู้ใช้ทางพิเศษศรีรัช พร้อมทั้งประสานงานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อกำหนดมาตรการกวดขันวินัยการจราจรบนโครงข่ายบนทางพิเศษ ซึ่งจะช่วยบรรเทาปัญหาจราจรติดขัดบนโครงข่ายทางพิเศษในภาพรวม ๓.๓ ประสานงานกับการรถไฟแห่งประเทศไทยและ BEM อย่างใกล้ชิดเกี่ยวกับการเข้าใช้พื้นที่ในการก่อสร้าง เพื่อให้ กทพ. สามารถส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างให้แก่ BEM ได้ตามแผนงานที่กำหนดไว้ต่อไป ๓.๔ เร่งพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการโครงการทางพิเศษศรีรัชที่จะสิ้นสุดสัญญาสัมปทานในปี ๒๕๖๓ ตามมาตรา ๔๘ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้เกิดความชัดเจนโดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
473 | การขออนุญาตเข้าใช้พื้นที่ป่าชายเลนตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อสนับสนุนธุรกิจประมงพื้นบ้านจังหวัดปัตตานีตามแนวทางการขับเคลื่อนโครงการเมืองต้นแบบ "สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" | ศอบต | 27/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๓๐ (เรื่อง การจำแนกเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ป่าชายเลน ประเทศไทย) วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๓๔ (เรื่อง รายงานศึกษาสถานภาพปัจจุบันของป่าไม้ชายเลนและปะการังของประเทศ) และวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๓ (เรื่อง มติคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติเรื่อง การแก้ไขปัญหาการจัดการพื้นที่ป่าชายเลน) เพื่อนำพื้นที่ป่าชายเลนในท้องที่อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี จำนวน ๓ ไร่ ไปสนับสนุนธุรกิจประมงพื้นบ้านจังหวัดปัตตานีตามแนวทางการขับเคลื่อนโครงการเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ตามที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เสนอ และให้ ศอ.บต. รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงคมนาคมที่ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการต้องดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖ (เรื่อง การดำเนินโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นจะต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่า) รวมทั้งต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๖๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. ๒๔๕๖ ในการขออนุญาตปลูกสร้างสิ่งล่วงล้ำลำน้ำ และการปลูกสร้างอาคารหรือสิ่งอื่นใดในพื้นที่ที่ได้รับอนุญาต ให้อยู่ภายใต้บังคับตามมาตรา ๑๑๗ แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. ๒๔๕๖ ไปดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้ ศอ.บต. ดำเนินการตามระเบียบกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ว่าด้วยการปลูกและบำรุงป่าชายเลนทดแทนเพื่อการอนุรักษ์หรือรักษาสภาพแวดล้อมกรณีการดำเนินการโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลน พ.ศ. ๒๕๕๖ อย่างเคร่งครัด โดยจัดสรรงบประมาณให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปลูกและบำรุงป่าชายเลนทดแทนไม่น้อยกว่า ๒๐ เท่าของพื้นที่ป่าชายเลนที่ใช้ประโยชน์ให้แล้วเสร็จก่อนดำเนินโครงการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
474 | รายงานการประเมินผลองค์การมหาชนตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2558 เรื่อง การทบทวนความจำเป็นในการมีอยู่ขององค์การมหาชน | นร12 | 20/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอเพิ่มเติม
๑. ให้องค์การมหาชนที่มีผลการปฏิบัติงานที่บรรลุวัตถุประสงค์การจัดตั้ง มีผลสัมฤทธิ์ มีประสิทธิภาพที่สอดคล้องและเหมาะสมกับงบประมาณที่ได้รับการจัดสรร และมีธรรมาภิบาล จำนวน ๓๒ แห่ง คงเป็นองค์การมหาชนต่อไป ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ โดยไม่ให้มีการเพิ่มอัตรากำลังขึ้นอีก ๒. ให้องค์การมหาชนที่มีผลการปฏิบัติงานที่บรรลุวัตถุประสงค์การจัดตั้ง มีผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพ และมีธรรมาภิบาล จำนวน ๓ แห่ง คงเป็นองค์การมหาชนต่อไป ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ โดยมีรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การมหาชนของแต่ละแห่ง ดังนี้ ๒.๑ สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) (สมศ.) โดยเปลี่ยนให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๓ และแก้ไขในร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อไป ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) เห็นชอบด้วยแล้ว ๒.๒ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) (สสปน.) โดยคงให้นายกรัฐมนตรีเป็นรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๕ ตามเดิม ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) เห็นชอบด้วยแล้ว ทั้งนี้ ให้มีการพิจารณาความจำเป็นเหมาะสมเกี่ยวกับรัฐมนตรีรักษาการในรอบการประเมินครั้งต่อไป ๒.๓ สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) (สคพ.) โดยเปลี่ยนให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๔ และแก้ไขในร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อไป ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เห็นชอบด้วยแล้ว ๓. ให้องค์การมหาชน จำนวน ๒ แห่ง คงเป็นองค์การมหาชนต่อไป แต่ต้องปรับบทบาทภารกิจ ปรับปรุงประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน และแก้ไขในพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การมหาชนให้เหมาะสม ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๓.๑ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) (อพท.) ทั้งนี้ ไม่ให้มีการเพิ่มอัตรากำลังขึ้นอีก และให้พิจารณาปรับลดงบประมาณค่าใช้จ่ายด้านการบริหารงานภายในองค์กรลงให้เหมาะสม โดยคงให้นายกรัฐมนตรีเป็นรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๖ ตามเดิม ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) เห็นชอบด้วยแล้ว ๓.๒ สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) (สบร.)ให้คงเหลือภารกิจสำคัญที่ต้องปฏิบัติ ๒ ภารกิจ ได้แก่ (๑) ภารกิจของอุทยานการเรียนรู้ และ (๒) ภารกิจของพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ และให้แยกศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบไปจัดตั้งเป็นสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) โดยให้เสนอคำขอจัดตั้งองค์การมหาชนตามขั้นตอนของสำนักงาน ก.พ.ร. ต่อไป และกำหนดให้องค์การมหาชนแห่งใหม่นี้มีภารกิจสนับสนุน และช่วยแก้ไขปัญหาด้านการออกแบบสินค้าและบริการของ SME ด้วย โดยควรเน้นการออกแบบให้เกิดมูลค่าสูงเพื่อประโยชน์ในเชิงพาณิชย์และสังคม ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) เห็นชอบด้วยแล้ว ทั้งนี้ เมื่อแยกศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบออกไปแล้ว สบร. ต้องไม่เพิ่มอัตรากำลังและงบประมาณค่าใช้จ่ายเกินจำเป็น ๔. ให้สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) (สพค.) และหน่วยงานภายในปรับเปลี่ยนสถานภาพ บทบาท ภารกิจให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล และเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานโดยให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และงบประมาณของสำนักงานเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีไปเป็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (องค์การสวนสัตว์) และศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ ๗ รอบพระชนมพรรษา ไปเป็นของกระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) ทั้งนี้ ให้ สพค. องค์การสวนสัตว์ และกรมธนารักษ์ดำเนินการตามมติคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน และแนวทางปฏิบัติที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประธานกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน ได้หารือกับผู้เกี่ยวข้องแล้วเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๐ ให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบหลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
475 | ขอรับการสนับสนุนงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ตามมติคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ | นร08 | 20/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงิน ๕๙๙,๙๑๑,๐๗๑ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายตามภารกิจตามมติคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (คปต.) ประกอบด้วย (๑) โครงการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี รวม ๒ โครงการ จำนวน ๒๐,๘๖๑,๗๐๐ บาท (๒) โครงการตาม Road Map การขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ของผู้แทนพิเศษของรัฐบาล รวมทั้งงานขับเคลื่อนภารกิจของสำนักงาน คปต. ส่วนหน้า และสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (สล.คปต.) รวม ๖ โครงการ จำนวน ๕๕๓,๕๐๘,๐๐๘ บาท และ (๓) งานขับเคลื่อนภารกิจของสำนักงาน คปต. ส่วนหน้า และ สล.คปต. (ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน) จำนวน ๒๕,๕๔๐,๓๖๓ บาท ๒. ให้ คปต. ติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด และหากโครงการ/กิจกรรมใดสามารถลดภาระและกำลังคนภาครัฐโดยให้ประชาชนในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการแทนได้ ก็ให้ดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
476 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2559 (เพิ่มเติม) และ ครั้งที่ 1/2560 | ทส | 13/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๕/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๙ (เพิ่มเติม) จำนวน ๖ เรื่อง และครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๐ จำนวน ๕ เรื่อง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๕/๒๕๕๙ ได้แก่ ๑.๑ ร่างรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๙ ๑.๒ ร่างมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการลักลอบทิ้งและบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมที่เป็นอันตรายและมูลฝอยติดเชื้อ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) ๑.๓ เกณฑ์การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแหล่งธรรมชาติอันควรอนุรักษ์ ประเภทธรณีสัณฐานและภูมิลักษณวรรณา ภูเขา และน้ำตก ๑.๔ ร่างยุทธศาสตร์การจัดการมลพิษ ๒๐ ปี และแผนจัดการมลพิษ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ๑.๕ โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-นครสวรรค์ ของกรมทางหลวง ๑.๖ โครงการเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น ๔ ช่องจราจร (ระยะที่ ๒) ทางหลวงหมายเลข ๑๒ ตอน อ.หล่มสัก-แยก อ.คอนสาร ของกรมทางหลวง ๒. มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ ได้แก่ ๒.๑ รายงานการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียด โครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานครส่วนต่อขยายสายสุขุมวิท (สุขุมวิท ๘๑-สำโรง) และโครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานครส่วนต่อขยายสายสุขุมวิท (สำโรง-สมุทรปราการ) ของกรุงเทพมหานคร (ปัจจุบันการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยเป็นผู้ดำเนินการ) กรณีขอเปลี่ยนแปลงอาคารจอดรถเป็นลานจอดรถ ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ๒.๒ รายงานการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติราชบุรี-วังน้อย ครั้งที่ ๒ (โครงการสถานีเพิ่มความดันก๊าซธรรมชาติวังน้อยฯ) ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ตั้งอยู่ที่ตำบลวังจุฬา อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๒.๓ รายงานผลการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม สำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพ โครงการโรงไฟฟ้าบางปะกง (ทดแทนเครื่องที่ ๑-๒) ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ตั้งอยู่ที่ตำบลท่าข้าม อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ๒.๔ การขอเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสมทบเข้าสู่กองทุนสิ่งแวดล้อม ๒.๕ การให้ภาคยานุวัติเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
477 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2560 (ครั้งที่ 12) | พน | 13/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ (ครั้งที่ ๑๒) เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ประกอบด้วย เรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา จำนวน ๑ เรื่อง คือ ร่างบันทึกความเข้าใจการรับซื้อไฟฟ้าโครงการสตึงมนัม (Tariff MOU) และเสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบ จำนวน ๓ เรื่อง ได้แก่ (๑) แนวทางการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสภาวะวิกฤตก๊าซธรรมชาติ พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๖ (๒) อัตรารับซื้อไฟฟ้าจากขยะชุมชนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) และ (๓) การรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินสำหรับหน่วยงานราชการและสหกรณ์ภาคการเกษตร และมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมทรัพยากรน้ำ) เป็นเจ้าภาพหลักในการกำหนดแนวทางการผันน้ำจากโครงการสตึงมนัมให้รองรับความต้องการใช้น้ำในเขตพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกและเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษให้แล้วเสร็จภายใน ๖ เดือน และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) เตรียมการศึกษาแนวทางเส้นทางการก่อสร้างระบบท่อส่งน้ำให้สอดคล้องกับแนวทางที่กรมทรัพยากรน้ำจะกำหนด รวมทั้งให้สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องพิจารณาสนับสนุนการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐเกี่ยวกับนโยบายนี้ต่อไป ตามมติ กพช. ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ๒. ในการดำเนินการให้จัดลำดับความสำคัญในการดำเนินการตามแผนดังกล่าวในแต่ละระยะให้ชัดเจน โดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับแนวนโยบายการพัฒนาประเทศ ความพร้อมของพื้นที่ และภาระงบประมาณด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
478 | ขออนุมัติให้ดำเนินโครงการทางพิเศษสายพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (เอกสารรอการแก้ไข) | คค | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ดำเนินโครงการทางพิเศษสายพระราม ๓-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก วงเงินลงทุนรวม ๓๑,๒๔๔ ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน จำนวน ๘๐๗ ล้านบาท และค่าก่อสร้าง จำนวน ๓๐,๔๓๗ ล้านบาท ๑.๒ อนุมัติให้รัฐอุดหนุนค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งหมด วงเงินรวม ๘๐๗ ล้านบาท ๑.๓ อนุมัติให้ กทพ. ใช้แหล่งเงินลงทุนโครงการจากการระดมทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund : TFF) เพื่อเป็นค่าก่อสร้าง โดยให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๐ เกี่ยวกับการระดมทุนผ่านกองทุนรวม TFF ของ กทพ. ต่อไป ๑.๔ อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... ตามโครงการทางพิเศษสายพระราม ๓-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก ๒. ในส่วนของร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... ตามโครงการทางพิเศษสายพระราม ๓-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก ให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงคมนาคม โดย กทพ. ปฏิบัติตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๙ อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ในส่วนของโครงการฯ ในช่วง กม. ๑๓+๐๐๐ ถึง กม. ๑๑+๒๐๐ ระยะทางประมาณ ๑.๘ กิโลเมตร ซึ่งเชื่อมต่อกับโครงการทางยกระดับบนทางหลวงหมายเลข ๓๕ (ธนบุรี-ปากท่อ) นั้น ให้ กทพ. ประสานงานกับกรมทางหลวงเพื่อเร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการฯ ในช่วงดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ก่อนดำเนินการก่อสร้างโครงการตามความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๔. ให้กระทรวงคมนาคม และ กทพ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรให้ กทพ. คำนึงถึงการบูรณาการการใช้พื้นที่ร่วมกันของกรมทางหลวงเพื่อลดความซ้ำซ้อนและเกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งเร่งพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการโครงการทางพิเศษศรีรัชที่จะสิ้นสุดสัญญาสัมปทานในปี ๒๕๖๓ ให้เกิดความชัดเจนโดยเร็ว และเห็นควรให้กระทรวงคมนาคมเตรียมการบริหารจัดการจราจรในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลภายหลังจากที่ก่อสร้างโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนทางราง ๑๐ เส้นทางแล้วเสร็จ เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๕. ให้ กทพ. เร่งรัดการดำเนินโครงการฯ และประสานงานกับกระทรวงการคลังอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การระดมทุนผ่านกองทุนรวม TFF และแผนดำเนินการก่อสร้างโครงการสอดคล้องกัน รวมทั้งให้กระทรวงการคลังหารือร่วมกับ กทพ. เพื่อพิจารณามาตรการหรือแนวทางในการลดผลกระทบจากการระดมทุนผ่านกองทุนรวม TFF ให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว โดยนำข้อเสนอของ กทพ. ไปประกอบการพิจารณาต่อไปด้วย ๖. ให้กระทรวงคมนาคม และ กทพ. เร่งเตรียมการในส่วนของโครงการทางด่วนขั้นที่ ๓ สายเหนือตอน N2 และ E-W Corridor ด้านตะวันออกให้แล้วเสร็จโดยเร็วตามระเบียบ ข้อกฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเป็นไปตามแนวทางของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๐ [เรื่อง การระดมทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund)]
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
479 | การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม | นร10 | 30/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติการเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ในกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ตามที่ฝ่ายเลขานุการร่วม คปร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ตำแหน่งนักวิชาการยุติธรรม ระดับปฏิบัติการหรือชำนาญการ จำนวน ๑๐ อัตรา ในกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เพื่อรองรับภารกิจการจัดทำรายงานการปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (International Covenant on Economic, Social and Cultural Rights : ICESCR) สำหรับตำแหน่งที่ขอรับการจัดสรรอีก ๑๐ อัตรา เพื่อปฏิบัติงานตามพันธกรณี ซึ่งเป็นภารกิจหลักของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เห็นควรให้นำไปพิจารณารวมกับการวิเคราะห์อัตรากำลังข้าราชการเพื่อรองรับแผนยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี ในภาพรวมของกระทรวงยุติธรรม ๑.๒ เห็นชอบให้นำผลการพิจารณากรอบอัตรากำลังพนักงานราชการกลุ่มงานเชี่ยวชาญเฉพาะ จำนวน ๒ อัตรา เสนอคณะกรรมการบริหารพนักงานราชการ (คพร.) พิจารณาอนุมัติต่อไป ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ไปดำเนินการ ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
480 | การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (พยาบาลวิชาชีพ) | อื่นๆ | 23/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติการเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ตามที่สำนักงาน ก.พ. (ฝ่ายเลขานุการร่วม คปร.) เสนอ และให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการตามมติ คปร. อย่างเคร่งครัดด้วย ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติอัตราข้าราชการตั้งใหม่ตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพให้กับสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข รวม ๘,๗๙๒ อัตรา โดยให้ อ.ก.พ. กระทรวงสาธารณสุข แบ่งการกำหนดอัตราข้าราชการตั้งใหม่ตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพเป็นระยะเวลา ๓ ปี ได้แก่ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ จำนวน ๒,๙๙๒ อัตรา ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ จำนวน ๒,๙๐๐ อัตรา และปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ จำนวน ๒,๙๐๐ อัตรา โดยการกำหนดอัตราข้าราชการตั้งใหม่ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขบริหารจัดการภายในวงเงินงบประมาณตามที่ได้รับการจัดสรร ๑.๒ เห็นชอบให้มีคณะอนุกรรมการเพื่อจัดทำแผนยุทธศาสตร์ระบบสาธารณสุขของประเทศ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของกระทรวงสาธารณสุข โดยให้รายงานความคืบหน้าต่อ คปร. ภายในกลางปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ก่อนการบรรจุพยาบาลวิชาชีพในอัตราข้าราชการตั้งใหม่ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ทั้งนี้ แผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวต้องแล้วเสร็จภายในสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ และให้เสนอแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวต่อ คปร. ก่อนการบรรจุพยาบาลวิชาชีพในอัตราข้าราชการตั้งใหม่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ๑.๓ เมื่อมีการบรรจุพยาบาลวิชาชีพในอัตราข้าราชการตั้งใหม่ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้กระทรวงสาธารณสุขหลีกเลี่ยงในการนำเงินนอกงบประมาณไปใช้ในการบรรจุแต่งตั้งเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติงานในหน่วยงาน เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาเจ้าหน้าที่กลุ่มดังกล่าวเรียกร้องขอให้บรรจุแต่งตั้งเป็นข้าราชการในภายหลัง โดยให้กระทรวงการคลังดำเนินการให้มีระเบียบในเรื่องนี้ เพื่อให้ส่วนราชการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับส่วนราชการ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘) อย่างเคร่งครัด ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขจัดทำแผนการบริหารจัดการกำลังคนของกระทรวงสาธารณสุขในระยะยาวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้มีข้อมูลความต้องการบุคลากรทางการแพทย์ การพยาบาล และที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้อง สอดคล้องกับความจำเป็นในการปฏิบัติงานจริง และมีสัดส่วนของบุคลากรทางการแพทย์ฯ ต่อจำนวนของประชาชนที่เข้ารับบริการทางการแพทย์ในภาพรวมที่เหมาะสม สามารถให้บริการได้อย่างมีคุณภาพ โดยไม่เป็นภาระงบประมาณจนเกินควร ทั้งนี้ ในการพิจารณาจำนวนความต้องการของบุคลากรข้างต้น ให้กระทรวงสาธารณสุขคำนึงถึงบุคลากรฯ ที่มีอยู่ทั้งหมดในภาพรวมของประเทศ ทั้งที่อยู่ในภาครัฐและภาคเอกชน แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
.....