ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 21 จากทั้งหมด 252 หน้า แสดงรายการที่ 401 - 420 จากข้อมูลทั้งหมด 5030 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
401 | ขออนุมัติดำเนินโครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 31/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินโครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ระยะทางรวมประมาณ ๓๒๓ กิโลเมตร วงเงินลงทุนรวม ๘๕,๓๔๕ ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ ๗ ปี ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอและตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอเพิ่มเติม ดังนี้ ๑.๑ ให้โครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการกำกับการจัดซื้อจัดจ้าง ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๑/๒๕๖๐ (เรื่อง การกำกับการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐ) เพื่อให้การดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างของโครงการฯ มีความโปร่งใสและเป็นธรรมตามหลักธรรมาภิบาล ๑.๒ ปรับกรอบระยะเวลาในการเปิดให้บริการรถไฟ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ จากเดิมที่แจ้งว่า จะเปิดให้บริการในปี พ.ศ. ๒๕๖๕ เป็น เปิดให้บริการในปี พ.ศ. ๒๕๖๘ เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและสถานการณ์ในปัจจุบัน ๑.๓ ให้ รฟท. ดำเนินการตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในคราวประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๑ โดยกำหนดเป็นเงื่อนไขให้กระทรวงคมนาคมและ รฟท. ต้องดำเนินการให้เกิดความชัดเจนก่อนดำเนินโครงการฯ นี้ ใน ๔ ประเด็น ได้แก่ (๑) การจัดทำแนวทางพัฒนาโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งในพื้นที่ที่ชัดเจน (๒) การจัดทำแผนบูรณาการเส้นทางการคมนาคมของประเทศ (๓) การจัดทำแผนพัฒนาพื้นที่และแหล่งท่องเที่ยวที่ได้คำนึงถึงการใช้ประโยชน์จากการดำเนินโครงการฯ และ (๔) การจัดทำแผนบริหารจัดการความเสี่ยงทางด้านสิ่งแวดล้อม ๒. ให้กระทรวงคมนาคม รฟท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงอุตสาหกรรม เช่น การจัดทำแผนบริหารจัดการความเสี่ยงทางด้านสิ่งแวดล้อม รวมทั้งปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามที่ระบุไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) อย่างเคร่งครัด การสร้างความเข้าใจและชี้แจงความจำเป็นของการดำเนินโครงการกับประชาชนในพื้นที่หรือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการฯ และการเร่งจัดหาขบวนรถไฟและตู้สินค้าให้เพียงพอและสอดคล้องกับความต้องการ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคมประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำแผนพัฒนาพื้นที่และแหล่งท่องเที่ยวตามความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยคำนึงถึงเป้าหมายและประเด็นในการพัฒนาจังหวัดตามแนวเส้นทางของโครงการฯ และจังหวัดใกล้เคียงตามแผนพัฒนาจังหวัดและแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๔) ที่คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแล้วเมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๖๑ รวมทั้งให้ประชาสัมพันธ์แผนพัฒนาพื้นที่และแหล่งท่องเที่ยวดังกล่าวให้ทราบโดยทั่วกันควบคู่ไปกับการส่งเสริมทางการตลาดและการพัฒนาคุณภาพของการให้บริการด้วย ๔. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. เช่น พิจารณาทบทวนออกแบบสถานีของโครงการฯ ให้มีขนาดและรูปแบบที่เหมาะสมและสอดคล้องกับปริมาณผู้โดยสารและสินค้าที่ได้ประมาณการไว้ เพื่อให้การใช้เงินลงทุนโครงการฯ อย่างมีประสิทธิภาพ ๕. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. สร้างการรับรู้และชี้แจงเหตุผลความจำเป็นของการดำเนินโครงการฯ กับประชาชนในพื้นที่ที่ดำเนินโครงการฯ หรือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการฯ ให้ถูกต้องและทั่วถึง เพื่อป้องกันปัญหาการร้องเรียน/คัดค้านต่าง ๆ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินโครงการฯ ๖. สำหรับแนวทางการรับภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ โดยค่าเวนคืนที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ ค่าจ้างที่ปรึกษาสำรวจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเวนคืน และค่าจ้างที่ปรึกษาในการประกวดราคา วงเงินรวม ๑๐,๘๒๐ ล้านบาท ให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณให้กับ รฟท. ส่วนค่าก่อสร้าง และค่าจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง วงเงินรวม ๗๔,๕๒๕ ล้านบาท ให้กระทรวงการคลังจัดหาเงินกู้ที่เหมาะสม และให้ รฟท. กู้ต่อ โดยให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นงบชำระหนี้ให้แก่ รฟท. ๗. ในส่วนของการประกวดราคาจ้างก่อสร้างเพื่อดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. เสนอคณะกรรมการกำกับการจัดซื้อจัดจ้าง ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๑/๒๕๖๐ (เรื่อง การกำกับการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐ) เพื่อพิจารณาวิธีการประกวดราคาโครงการฯ ที่เหมาะสม ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไปอย่างเคร่งครัด ๘. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนของโครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๙. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. เร่งรัดการดำเนินโครงการพัฒนารถไฟทางคู่ ระยะที่ ๒ โดยให้จัดลำดับความสำคัญของการลงทุนพัฒนาโครงข่ายรถไฟทางคู่ โดยคำนึงถึงภาระงบประมาณ ความสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาประเทศ และศักยภาพของพื้นที่ เพื่อให้การลงทุนของภาครัฐมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งนำไปสู่เป้าหมายการปรับเปลี่ยนรูปแบบการเดินทางและขนส่งสินค้าจากการพึ่งพาถนนเป็นหลักไปใช้การขนส่งทางรางที่มีต้นทุนต่ำกว่าต่อไป ๑๐. ในการจัดหาขบวนรถไฟสำหรับโครงการฯ นี้ (และโครงการอื่น ๆ ด้วย) ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเหมาะสมในการจัดหา โดยให้ผู้ประกอบการในประเทศที่มีศักยภาพเป็นผู้ดำเนินการแทนการจัดหาจากต่างประเทศทั้งหมด ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงความเหมาะสม คุ้มค่า ประโยชน์ที่ได้รับ และการลดภาระงบประมาณด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
402 | การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน | นร | 31/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับกระทรวงการคลัง จำนวน ๔๗๕ อัตรา และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน จำนวน ๗๘ อัตรา รวมทั้งสิ้น ๕๕๓ อัตรา ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ และครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ตามที่สำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วม คปร. เสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๓ และในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนพิจารณาจัดสรรอัตรากำลังในภาพรวมของหน่วยงานให้สอดคล้องและเหมาะสมกับภารกิจในอนาคตทดแทนอัตรากำลังที่จะเกษียณอายุ รวมทั้งให้พิจารณาปรับปรุงวิธีการสรรหาบุคลากรภาครัฐ โดยใช้วิธีการจัดจ้างผู้ที่มีคุณวุฒิพิเศษ หรือผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเข้ามาปฏิบัติงาน ตามความจำเป็นของภารกิจแทนการบรรจุเป็นข้าราชการ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) และให้พิจารณานำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการปฏิบัติงานเพิ่มมากขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและลดความต้องการกำลังคนลง ตามทิศทางการพัฒนาประเทศสู่การเป็น Thailand 4.0 ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลาง รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการปฏิบัติงานเพิ่มมากขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและลดความต้องการกำลังคน โดยเฉพาะการทำฐานข้อมูลสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการคลังของรัฐ การจัดเก็บรายได้และการใช้จ่ายเงินของภาครัฐ โดยควรให้ความสำคัญกับการจัดสรรอัตรากำลังเพื่อการจัดทำผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) แบบ Bottom Up ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักงาน ก.พ. เร่งรัดการจัดทำแผนอัตรากำลังคนภาครัฐและแผนการพัฒนาบุคลากรภาครัฐภาพรวมในระยะยาวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๑ (เรื่อง การจัดสรรทุนรัฐบาลให้แก่หน่วยงานของรัฐ)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
403 | แต่งตั้งผู้ว่าการการประปาส่วนภูมิภาค (นายนพรัตน์ เมธาวีกุลชัย) | มท | 24/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นายนพรัตน์ เมธาวีกุลชัย ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการประปาส่วนภูมิภาค โดยให้ได้รับค่าตอบแทนคงที่ในปีแรกอัตราเดือนละ ๒๗๐,๐๐๐ บาท (ตามมติคณะกรรมการการประปาส่วนภูมิภาค ครั้งที่ ๖/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๑ และครั้งที่ ๗/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๑) ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ส่วนค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์อื่น รวมทั้งเงื่อนไขการจ้าง และการประเมินผลการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
404 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2561 | ทส | 17/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (รายงาน EIA) จำนวน ๔ โครงการ ได้แก่ โครงการต่อขยายทางคู่ขนานลอยฟ้าถนนบรมราชชนนีและปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพทางหลวงหมายเลข ๓๓๘ สายปิ่นเกล้า-นครชัยศรี ของกรมทางหลวง โครงการทางพิเศษสายกะทู้-ป่าตอง จังหวัดภูเก็ต ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย โครงการศูนย์บริการสุขภาพและบริการสาธารณสุขพร้อมที่จอดรถของคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และโครงการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน เพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ของบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) คำขอประทานบัตรที่ ๑๒/๒๕๕๖ ร่วมแผนผังโครงการทำเหมืองเดียวกันกับคำขอประทานบัตรที่ ๑๓/๒๕๕๖ คำขอประทานบัตรที่ ๑๔/๒๕๕๖ คำขอประทานบัตรที่ ๑๕/๒๕๕๖ คำขอประทานบัตรที่ ๑๖/๒๕๕๖ คำขอประทานบัตรที่ ๑๗/๒๕๕๖ ประทานบัตรที่ ๒๗๓๔๐/๑๔๓๙๐ ประทานบัตรที่ ๒๗๓๔๑/๑๔๓๙๑ และประทานบัตรที่ ๒๗๓๔๘/๑๔๓๙๒ ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ ๕, ๖ ตำบลมิตรภาพ อำเภอมวกเหล็ก และหมู่ที่ ๕ ตำบลทับกวาง อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี โดยให้เจ้าของโครงการและหน่วยงานอนุญาตดำเนินการ (๑) ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามที่กำหนดไว้ในรายงาน EIA อย่างเคร่งครัด (๒) ให้ตั้งงบประมาณเพื่อดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามที่กำหนดไว้ และ (๓) นำความเห็นของ กก.วล. เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป ๒. เห็นชอบร่างรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๖๐ และมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ปรับเพิ่มเติมประเด็นการเพิ่มขึ้นของประชากรและปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งในร่างรายงานฯ ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ รวมทั้งให้รับความเห็นของ กก.วล. ในประเด็นทรัพยากรแร่และสถานการณ์สัตว์ป่าไปพิจารณาเพิ่มเติมในรายงานฯ ฉบับต่อไป ๓. เห็นชอบการขอขยายระยะเวลาการบังคับใช้ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในบริเวณพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และจังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๕๓ รวม ๒ ฉบับ ออกไปอีก ๒ ปี ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ทั้งนี้ ให้ สผ. นำร่างประกาศฯ เสนอคณะรัฐมนตรีตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๔๕ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป ๔. เห็นชอบการกำหนดมาตรฐานค่าความทึบแสงของฝุ่นละอองฟุ้งกระจายจากเรือที่มีการขนถ่ายสินค้าระหว่างกัน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษ เสนอ รวมทั้งมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษ นำร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดมาตรฐานค่าความทึบแสงของฝุ่นละอองฟุ้งกระจายจากเรือที่มีการขนถ่ายสินค้าระหว่างกันเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาลงนามในประกาศฯ ต่อไป และมอบให้กระทรวงคมนาคม โดยกรมเจ้าท่า ในฐานะหน่วยงานอนุญาตซึ่งมีอำนาจตามกฎหมายว่าด้วยการเดินเรือในน่านน้ำไทยพิจารณากำหนดให้เรือขนถ่ายสินค้าระหว่างกันต้องมีการติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันการฟุ้งกระจายของฝุ่นละอองและมีมาตรการในการควบคุมฝุ่นละอองที่เข้มงวดกับผู้ประกอบการ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
405 | การบริหารจัดการแผนงาน/โครงการ/งบประมาณของศูนย์อำนวยการบริหาร จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ตามมติคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ครั้งที่ 3/2561 (วันที่ 18 มิถุนายน 2561) | นร08 | 17/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนการบริหารจัดการแผนงาน/โครงการ/งบประมาณของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ รวม ๑๐ โครงการ วงเงิน ๒๖๑,๒๙๗,๘๐๐ บาท โดยให้ ศอ.บต. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามขั้นตอนและเงื่อนเวลาของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง ครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ และไม่ให้เกิดผลกระทบต่อเป้าหมาย ตัวชี้วัด และแนวทางการดำเนินงานของแผนงานบูรณาการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ด้วย ๒. ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติในฐานะสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของแผนงาน/โครงการ/กิจกรรมต่าง ๆ ที่ได้ดำเนินการไปแล้วให้ชัดเจน เช่น โครงการเกี่ยวกับการกีฬาที่มุ่งสร้างนักกีฬาที่มีศักยภาพสูงเพื่อให้สามารถสร้างผลงานโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ โครงการเกี่ยวกับการส่งเสริมด้านการศึกษาที่ให้ประชาชนในพื้นที่มีความรู้ ความสามารถ พึ่งพาตนเองได้ เป็นต้น เพื่อใช้เป็นข้อมูลปรับปรุงแนวทางในการดำเนินแผนงาน/โครงการที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสมต่อไป ๓. ให้คณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
406 | แนวทางการแก้ไขปัญหามะพร้าว | พณ | 17/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแนวทางการแก้ไขปัญหามะพร้าว ตามมติการประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาราคามะพร้าวภายในประเทศไม่ให้ตกต่ำตามอำนาจและหน้าที่ของคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การดำเนินการตามมติคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช) โดยคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชมีมติ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดมาตรการห้ามนำเข้ามะพร้าวชั่วคราวในช่วงเวลา ๓ เดือน (สิงหาคม-ตุลาคม) ของปี ๒๕๖๑ และจะพิจารณาทบทวนสถานการณ์ว่ายังมีความจำเป็นหรือไม่ ๑.๒ ให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าต่างประเทศ) แก้ไขระเบียบกระทรวงพาณิชย์ ภายใต้อำนาจของประกาศกระทรวงพาณิชย์ ว่าด้วยการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ ๑๑๑) พ.ศ. ๒๕๓๙ และ (ฉบับที่ ๑๑๕) พ.ศ. ๒๕๓๙ โดยระบุว่า จะไม่พิจารณาออกหนังสือรับรองแสดงการได้รับสิทธิชำระภาษีตามพันธกรณีความตกลงการเกษตรภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) สำหรับภาษีนอกโควตา สำหรับการนำเข้ามะพร้าว พิกัดศุลกากร ๐๘๐๑.๑๒๐๐ (มะพร้าวทั้งกะลา) ๐๘๐๑.๑๙๑๐ (มะพร้าวอ่อน) และ ๐๘๐๑.๑๙๙๐ (มะพร้าวอื่น ๆ) ๑.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ร่วมกันหารือและติดตามสถานการณ์ในช่วงเวลาดังกล่าว เพื่อประกอบการพิจารณาความจำเป็นที่จะต่ออายุมาตรการ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรดำเนินมาตรการตามที่จำเป็นและเหมาะสมเพื่อป้องกันการถูกร้องเรียนหรือฟ้องร้องว่ามีการดำเนินการขัดต่อพันธกรณีระหว่างประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เหมาะสม เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
407 | การเสนอความเห็นการขอจัดตั้งกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม | กค | 10/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบผลการพิจารณาการขอจัดตั้งกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม ตามมติคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ที่เห็นชอบให้มีการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมตามร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. .... ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอ และให้คณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับแหล่งทุนและรายรับของกองทุนฯ ซึ่งมีที่มาจากเงินบริจาคหรือเงินสมทบตามที่กฎหมายกำหนด จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดให้มีทุนประเดิมที่รัฐบาลจัดสรรให้ รวมทั้งการดำเนินกิจการของกองทุนฯ จะต้องกำหนดมาตรการและกลไกที่เหมาะสมอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงหลักความเป็นกลาง หรือความมีส่วนได้เสียกับการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับเจ้าของแหล่งเงินทุนที่จะบริจาคหรือสมทบเป็นสำคัญ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
408 | การเสนอความเห็นการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน (กองทุนส่งเสริมการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน) | กค | 27/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบผลการพิจารณาการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียน ตามมติคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๖๑ เห็นชอบในหลักการการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน เนื่องจากการจัดตั้งกองทุนดังกล่าว เป็นการจัดตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานตามร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. .... เพื่อเป็นกลไกสนับสนุนการดำเนินโครงการที่เกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะ รวมถึงส่งเสริมให้มีมาตรการการร่วมลงทุนที่เหมาะสม ซึ่งจะมีผลเป็นการยุบเลิกกองทุนส่งเสริมการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ภายใต้พระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังเร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เช่น การพิจารณาให้ความเห็นชอบให้แหล่งเงินของกองทุนดังกล่าวไม่ต้องนำส่งคลังตามนัยมาตรา ๒๕ ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นต้น เพื่อนำไปประกอบการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. .... ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกานำร่างพระราชบัญญัติที่ตรวจพิจารณาแล้วเสร็จเสนอต่อคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
409 | การเสนอความเห็นการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน (กองทุนส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนต์ต่างประเทศในประเทศไทย) | กค | 27/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบผลการพิจารณาการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียน ตามมติคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๖๑ ที่เห็นควรไม่ให้มีการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย เนื่องจากปัจจุบันมีกรมการท่องเที่ยวเป็นหน่วยงานหลักและได้รับงบประมาณสนับสนุนการดำเนินงานอยู่แล้ว หากกรณีมีความจำเป็นก็สามารถขอรับงบประมาณเพิ่มเติมได้ ประกอบกับการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยเป็นไปตามนโยบายของรัฐในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งกองทุนดังกล่าว ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
410 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2561 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามมติคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ | นร51 | 19/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๓๔๐,๘๒๑,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้ กอ.รมน. รับความเห็นของกระทรวงการคลังและกระทรวงมหาดไทยที่เห็นควรให้ความสำคัญในการควบคุมและกำกับดูแลโครงการฯ ให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งควรพิจารณาดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ โดยจัดให้มีระบบติดตามประเมินผลโครงการฯ และรายงานความก้าวหน้าให้คณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ทราบอย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
411 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2561 (ครั้งที่ 14) | พน | 05/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ (ครั้งที่ ๑๔) เมื่อวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ โดยคณะกรรมการฯ มีมติ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และน้ำมันดีเซลหมุนช้า ลง ๐.๑๕ บาทต่อลิตร เป็นระยะเวลา ๒ ปี และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดอัตราการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร และน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ๑.๒ รับทราบการกำหนดแนวทางการบริหารจัดการแหล่งก๊าซธรรมชาติที่สัมปทานจะสิ้นสุดอายุในปี พ.ศ. ๒๕๖๕-๒๕๖๖ ได้แก่ (๑) การใช้ระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิตในการประมูลแปลงสำรวจ G๑/๖๑ และแปลงสำรวจ G๒/๖๑ (๒) หลักการสำคัญที่ต้องกำหนดในข้อตกลงการส่งมอบสิ่งติดตั้ง (๓) เงื่อนไขของการประมูล ได้แก่ การกำหนดแปลง การกำหนดปริมาณก๊าซธรรมชาติ การเสนอราคาก๊าซธรรมชาติตามสูตรราคาอ้างอิง และการเสนอร้อยละของปิโตรเลียมส่วนที่เป็นกำไรที่รัฐจะได้รับ และ (๔) แผนการบริหารจัดการการประมูลแปลงสัมปทานที่จะสิ้นสุดอายุ ๒. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดประเภท หรือขนาดของอาคาร และมาตรฐาน หลักเกณฑ์ และวิธีการในการออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎกระทรวงกำหนดประเภท หรือขนาดของอาคาร และมาตรฐาน หลักเกณฑ์ และวิธีการในการออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. ๒๕๕๒ เพื่อประโยชน์ในการกำกับดูแลและควบคุมการออกแบบอาคารก่อสร้าง หรือดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคาร ให้เป็นไปตามมาตรฐาน หลักเกณฑ์ และวิธีการในการออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน และเพื่อให้การใช้พลังงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับกฎข้อบังคับใช้ควรเอื้อต่อระบบเศรษฐกิจและสามารถปฏิบัติได้จริง และควรนำเกณฑ์การประเมินอาคารเขียวภาครัฐมาพิจารณาประกอบการจัดทำร่างกฎกระทรวงฯ รวมทั้งการนำเทคโนโลยีมาใช้ควรคำนึงถึงความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ และควรมีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์กฎกระทรวงดังกล่าวให้เกิดการรับรู้อย่างกว้างขวาง เพื่อเป็นการสร้างความตระหนักในด้านการประหยัดพลังงานให้กับประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
412 | มติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2561 | ดศ | 28/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ประธานกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมรับทราบและมีมติในประเด็นต่าง ๆ ตามที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติเสนอ ได้แก่ ความคืบหน้าการดำเนินการของยุทธศาสตร์อวกาศแห่งชาติ ๒๐ ปี พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙ สรุปผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่ภาคตะวันออก ความคืบหน้าการดำเนินการรวมร่างพระราชบัญญัติกำกับกิจการอวกาศแห่งชาติ พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งองค์การอวกาศแห่งชาติ พ.ศ. .... และนโยบายการกำหนดสิทธิในการส่งและรับสัญญาณและการเข้าตลาดของดาวเทียมต่างชาติ (Landing Right and Market Access Policy) ๒. ที่ประชุมได้พิจารณาในประเด็นต่าง ๆ ตามที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติเสนอ ได้แก่ แนวทางการบริหารเอกสารข่ายงานดาวเทียมและสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมตามมาตรา ๖๐ แห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๖๐ ๓. ที่ประชุมได้มีมติในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ โครงการดาวเทียม THEIA ของประเทศสหรัฐอเมริกา และแนวทางการดำเนินงานเพื่อจัดตั้งสำนักงานประสานงานภูมิภาค (Regional Liaison Office : RLO) ของสำนักงานกิจการอวกาศส่วนนอกแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office of Outer Space Affairs) ในประเทศไทย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
413 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2561 และแนวทางการบริหารจัดการสับปะรดโรงงานในเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน 2561 | กษ | 22/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๑ เกี่ยวกับสถานการณ์สับปะรด ปี ๒๕๖๑ และแนวทางการบริหารจัดการสับปะรดโรงงานในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ๒๕๖๑ เช่น มาตรการนำสับปะรดส่วนเกินออกนอกระบบ มาตรการผลักดันการส่งออกและขยายตลาดต่างประเทศ และมาตรการรณรงค์การบริโภคสับปะรดผลสดเพิ่มขึ้น เป็นต้น รวมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ ต่อไป ตามที่คณะกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติเสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประสานกรมส่งเสริมสหกรณ์ที่ดำเนินโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อรวบรวมผลไม้ของสถาบันเกษตรกร เพื่อพิจารณาเงื่อนไขและวิธีการขอรับการสนับสนุนสินเชื่อจากโครงการดังกล่าวมาใช้ประโยชน์ในการรวบรวมผลผลิตสับปะรดผ่านกลไกสถาบันเกษตรกร ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
414 | ขออนุมัติจัดตั้ง/ร่วมทุนบริษัทในเครือของบริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เพื่อดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐ สำหรับพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในส่วนของแผนงานผลิตไฟฟ้าชุมชนจากชีวมวล | มท | 15/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานชี้แจงเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดตั้ง/ร่วมทุนบริษัทในเครือของบริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เพื่อดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐ สำหรับพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในส่วนของแผนงานผลิตไฟฟ้าชุมชนจากชีวมวล โดยมีปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าไม่เกิน ๑๒ เมกะวัตต์ ตามข้อเสนอของกระทรวงมหาดไทย โดยขอให้เร่งรัดการเข้าร่วมกิจการโดยชุมชนประชารัฐ/วิสาหกิจชุมชน ตั้งแต่เริ่มต้นโครงการฯ และพิจารณาเพิ่มสัดส่วนการเข้าร่วมกิจการดังกล่าวในระยะต่อไปตามความเหมาะสม ๒. อนุมัติให้บริษัท พีอีเอฯ จัดตั้ง/ร่วมทุนบริษัทในเครือ จำนวน ๓ บริษัท ได้แก่ (๑) บริษัท ประชารัฐชีวมวล นราธิวาส จำกัด (จังหวัดนราธิวาส) (๒) บริษัท ประชารัฐชีวมวล แม่ลาน จำกัด (จังหวัดปัตตานี) และ (๓) บริษัท ประชารัฐชีวมวล บันนังสตา จำกัด (จังหวัดยะลา) เพื่อดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐสำหรับพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในส่วนของแผนงานผลิตไฟฟ้าชุมชนจากชีวมวล โดยให้บริษัท พีอีเอฯ ลงทุนในสัดส่วนร้อยละ ๔๐ ของส่วนทุน และภาคเอกชน/วิสาหกิจชุมชน ลงทุนในสัดส่วนร้อยละ ๖๐ ของส่วนทุน (วิสาหกิจชุมชนสามารถเข้ามาถือหุ้นได้ไม่เกินร้อยละ ๑๐) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยในขั้นตอนการดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงมหาดไทย โดยบริษัท พีอีเอฯ ประสานงานกับกระทรวงพลังงานเพื่อดำเนินการเชิญชวนและสรรหาชุมชนประชารัฐ/วิสาหกิจชุมชนในพื้นที่เข้ามาร่วมลงทุนในโครงการฯ โดยเร็ว เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ เป็นไปตามเจตนารมณ์ของมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ (ครั้งที่ ๑๑) เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ ทั้งนี้ การร่วมลงทุนของชุมชนประชารัฐ/วิสาหกิจชุมชนเมื่อเริ่มต้นโครงการฯ ให้เป็นไปตามความพร้อมและความสามารถของชุมชนประชารัฐ/วิสาหกิจชุมชนในพื้นที่ และให้สามารถเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในระยะต่อไปได้ตามความเหมาะสม ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมุ่งดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลในการสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนรอบโรงไฟฟ้าจากการรับซื้อวัตถุดิบเชื้อเพลิงในพื้นที่ และสนับสนุนให้วิสาหกิจชุมชนเข้าร่วมถือหุ้น รวมทั้งควรมีการจัดการน้ำเสียและกลิ่นรบกวนจากลานกองเชื้อเพลิง การจัดการน้ำหล่อเย็นและฝุ่นละอองจากกระบวนการเผาไหม้เชื้อเพลิงของโรงไฟฟ้า เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ และควรพิจารณาทบทวนสัดส่วนการถือครองหุ้นในบริษัท พีอีเอฯ เพื่อให้บริษัทสามารถดำเนินงานได้สอดคล้องกับทิศทางและสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในการส่งเสริมการใช้พลังงานทางเลือกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๔. ให้กระทรวงมหาดไทย โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคกำกับให้บริษัท พีอีเอฯ เร่งทำความเข้าใจกับประชาชนและชุมชนในพื้นที่เกี่ยวกับการดำเนินโครงการฯ วิธีการบริหารจัดการ ผลประโยชน์ต่าง ๆ ที่ประชาชนและชุมชนในพื้นที่จะได้รับ รวมทั้งแนวทางการป้องกันมลพิษด้านต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการฯ ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
415 | การเรียกให้ทุนหมุนเวียนนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน | กค | 01/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการเรียกให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ปีบัญชี ๒๕๖๑ ในกรอบวงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามมติคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๖๑ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอ โดยให้กระทรวงพลังงานและกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานประสานงานในรายละเอียดกับกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) เพื่อดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้กับทุนหมุนเวียนต่าง ๆ เกี่ยวกับการเรียกให้ทุนหมุนเวียนนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ว่าเป็นหน้าที่ที่จะต้องดำเนินการในโอกาสแรก โดยคำนึงถึงประโยชน์ที่รัฐหรือประชาชนจะได้รับ ความคุ้มค่า รวมถึงความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
416 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2560 (เพิ่มเติม) | ทส | 24/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๔/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ (เพิ่มเติม) จำนวน ๑ เรื่อง คือ โครงการนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดสงขลา ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) และให้ กนอ. รับความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการเพิ่มเติมในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ (๑) การจัดการด้านมลพิษที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมในนิคมอุตสาหกรรม เห็นควรให้เพิ่มเติมมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมในเรื่องการกำจัดกากอุตสาหกรรม การจัดการน้ำเสียส่วนกลางหรือน้ำทิ้ง และการจัดการคุณภาพอากาศ (๒) การกำหนดกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายและกลุ่มอุตสาหกรรมห้ามตั้ง เห็นควรระบุประเภทของกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายให้ชัดเจน รวมทั้งพิจารณาและประกาศกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลและศักยภาพของพื้นที่ภาคใต้ให้ชัดเจน และให้ความสำคัญกับการผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ (๓) พิจารณาเพิ่มพื้นที่สีเขียวเป็นแนวกันชน ในบริเวณทิศเหนือของพื้นที่ตั้งสำนักงานขนส่งและกระจายสินค้าและเขตประกอบการเสรี เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อชุมชนโดยรอบ และเป็นการปรับภูมิทัศน์ให้สวยงาม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
417 | โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2561 | กค | 10/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๑ ตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นการดำเนินงานต่อเนื่องจากโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๐ ภายใต้วงเงินงบประมาณ จำนวน ๑,๘๔๑,๑๐๐,๐๐๐ บาท โดยใช้เงินงบประมาณคงเหลือในส่วนที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้เบิกจ่ายจากสำนักงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการฯ ในปีการผลิต ๒๕๖๐ จำนวน ๒๕๔,๒๗๓,๗๔๖.๙๔ บาท และเสนอของบประมาณเพิ่มเติม จำนวน ๑,๕๘๖,๘๒๖,๒๕๓.๐๖ บาท ๑.๒ เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ทดรองจ่ายเงินอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยแทนรัฐบาลในส่วนของงบประมาณเพิ่มเติม จำนวน ๑,๕๘๖,๘๒๖,๒๕๓.๐๖ บาท และเบิกเงินชดเชยตามจำนวนที่จ่ายจริง พร้อมด้วยอัตราเฉลี่ยดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๖ เดือน ประเภทบุคคลธรรมดาของ ๔ ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ (FDR) บวกร้อยละ ๑ ต่อปี ในปีงบประมาณถัดไปให้กับ ธ.ก.ส. ๑.๓ มอบหมายให้ ธ.ก.ส. ดำเนินการขายกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๑ ให้ได้ตามเป้าหมาย โดยเกษตรกรผู้เอาประกันภัยสามารถเลือกใช้บริการพร้อมเพย์ (Promptpay) ในการรับ-โอนค่าเบี้ยประกันภัยและค่าสินไหมทดแทน พร้อมทั้งให้ ธ.ก.ส. บริหารจัดการความเสี่ยงในแต่ละพื้นที่ให้สอดคล้องกับหลักการประกันภัย และร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัยไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๑ รวมทั้งให้ความรู้ด้านการประกันภัยแก่เกษตรกรและบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างความตระหนักรู้ในความสำคัญของการประกันภัย ๑.๔ มอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประสานงานกับ ธ.ก.ส. และสมาคมประกันวินาศภัยไทยดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลเอกสารทะเบียนเกษตรกรแบบประมวลรวบรวมความเสียหายและการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัย (แบบ กษ ๐๒) และแบบรายงานข้อมูลความเสียหายจริงของเกษตรกร (แบบ กษ ๐๒ เพื่อการรับประกันภัย) ตลอดจนดำเนินการเพื่อให้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบฐานข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๑ เพื่อรองรับการเพิ่มพื้นที่เป้าหมายในอนาคต และรองรับการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้รวดเร็วและถูกต้องมากขึ้น พร้อมทั้งให้กรมส่งเสริมการเกษตรเก็บข้อมูลพื้นที่ประสบภัยตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยแยกประเภทพืชต่าง ๆ ๑.๕ มอบหมายให้กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และกรุงเทพมหานคร ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการในการตรวจสอบเกษตรกรที่ได้รับความเสียหายแต่มิได้อยู่ในเขตพื้นที่การประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการฯ เช่นเดียวกับการดำเนินการของโครงการฯ ในปีการผลิต ๒๕๕๙ และ ๒๕๖๐ และให้คณะกรรมการดังกล่าวดำเนินการรับรองความเสียหายของเกษตรกรในกลุ่มข้างต้น และจัดส่งข้อมูลให้ ธ.ก.ส. และสมาคมประกันวินาศภัยไทยเพื่อพิจารณาดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาต่อไป ๑.๖ มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ปรับปรุงกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปีให้เป็นไปตามรูปแบบและหลักเกณฑ์ของการรับประกันภัยของโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๑ รวมทั้งอนุมัติกรมธรรม์และอัตราเบี้ยประกันภัยให้แล้วเสร็จและสามารถเริ่มรับประกันภัยในปีการผลิต ๒๕๖๑ ได้ทันที ภายหลังคณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๑ และการสร้างความรู้ ความเข้าใจ ตลอดจนประชาสัมพันธ์โครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๑ ในภาพรวมและเชิงรุกร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑.๗ มอบหมายให้ ธ.ก.ส. เตรียมการเพื่อให้เกษตรกรกลุ่มที่ได้รับการอุดหนุนเบี้ยประกันภัยจาก ธ.ก.ส. ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการรับภาระโดยจ่ายเบี้ยประกันภัยส่วนหนึ่งในการดำเนินโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๒ เป็นต้นไป ๑.๘ มอบหมายให้สมาคมประกันวินาศภัยไทยประสานงานกับ ธ.ก.ส. และกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พัฒนาระบบการประกันภัยและการจ่ายค่าสินไหมทดแทน ตลอดจนดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๑ เพื่อให้เกษตรกรผู้เอาประกันภัยได้รับประโยชน์สูงสุด ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๑ จะต้องมีความเหมาะสมและทันต่อสถานการณ์ของฤดูกาลเพาะปลูกอย่างแท้จริง รวมทั้งประเมินความคุ้มค่าในการดำเนินโครงการประกันภัยในส่วนที่เกี่ยวกับจำนวนเกษตรกรผู้เอาประกันภัย จำนวนพื้นที่การเพาะปลูก ประเภทของภัยที่จะคุ้มครอง อัตราเบี้ยประกันภัย อัตราค่าสินไหมทดแทน และความซ้ำซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้น นอกจากนี้ ควรพิจารณาผลการดำเนินงานโดยแบ่งเป็นพื้นที่ปลูกข้าวในพื้นที่ที่เหมาะสม แต่มีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ และพื้นที่ปลูกข้าวในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมและมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติเป็นประจำทุกปี ตลอดจนเร่งรัดศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายผลไปยังข้าวนาปรัง ซึ่งมีโอกาสได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติทางการเกษตรเช่นกัน รวมถึงสินค้าเกษตรที่สำคัญอื่น ๆ ในระยะต่อไป ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๐ ๓. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
418 | แนวทางในการพัฒนาการประมงของประเทศไทยให้ปลอดจากสัตว์น้ำและสินค้าประมงจากการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม | กษ | 03/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๑ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานการประชุม ได้มีมติเห็นชอบแนวทางในการพัฒนาการประมงของประเทศให้ปลอดจากสัตว์น้ำและสินค้าประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (Illegal, Unreported and Unregulated : IUU) ซึ่งสอดคล้องกับแผนปฏิบัติการระดับสากลเพื่อการป้องกัน ยับยั้ง และขจัดการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (International Plan of Action to prevent, deter and eliminate illegal, unreported and unregulated fishing : IPOA-IUU) ประกอบด้วย มาตรการทั่วไปที่มีเป้าหมายสำหรับรัฐทั้งปวง มาตรการที่มีเป้าหมายเฉพาะสำหรับรัฐเจ้าของธง รัฐชายฝั่ง และรัฐเจ้าของท่าเรือ รวมทั้งมาตรการด้านการค้า และจากมติคณะกรรมการฯ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เห็นว่า การที่จะดำเนินการให้ประเทศไทยปลอดจากสัตว์น้ำและสินค้าประมง IUU เป็นการดำเนินการที่มีรายละเอียด ซับซ้อน และมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน และต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการ จึงเห็นควรให้มีคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการประมงปลอดจากสัตว์น้ำและสินค้าประมงจากการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม ทำหน้าที่ในการกำหนดนโยบาย กำกับดูแล ขับเคลื่อน และผลักดัน เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปด้วยความถูกต้อง รวดเร็ว และบรรลุผลสำเร็จตามเจตจำนง ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการทั้งภายในและต่างประเทศรับทราบอย่างทั่วถึง และมีช่วงเวลาที่เพียงพอในการปรับตัวตามแนวทางการดำเนินงานดังกล่าว เพื่อป้องกันผลกระทบจากปัญหาด้านวัตถุดิบและการดำเนินธุรกิจประมงไทย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. อนุมัติในหลักการการแต่งตั้งคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการประมงปลอดจากสัตว์น้ำและสินค้าประมง จากการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ปรับปรุงอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการดังกล่าวให้ครอบคลุมถึงภารกิจต่าง ๆ ได้แก่ การป้องกันการนำเข้าวัตถุดิบสัตว์น้ำและสินค้าประมงที่มาจากการทำประมงผิดกฎหมายเข้ามาผลิตและแปรรูปในประเทศไทย โดยมีการกำหนดแผนงานใบรับรองการจับสัตว์น้ำของไทย (Thai Catch Certificate Scheme) ให้ถูกต้อง เพื่อให้ผู้ส่งออกและนำเข้าสินค้าสัตว์น้ำมายังประเทศไทยปฏิบัติด้วย ซึ่งภารกิจดังกล่าวต้องใช้ระยะเวลาและจะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีเอกภาพ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) รายงานเพิ่มเติม แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
419 | มติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2560 | ดศ | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ ๔/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๐ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประจิน จั่นตอง) ประธานกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รับทราบความคืบหน้าในการดำเนินงาน จำนวน ๖ เรื่อง ได้แก่ (๑) ความคืบหน้าของการดำเนินงานดาวเทียมสื่อสารภาครัฐ (๒) รายงานความคืบหน้ากรณีดาวเทียมไทยคม ๗ และไทยคม ๘ (๓) รายงานผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการพัฒนากฎหมายอวกาศ (๔) ความคืบหน้าการศึกษาร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งองค์การอวกาศแห่งชาติ พ.ศ. .... (๕) ความคืบหน้าการดำเนินโครงการระบบดาวเทียมสำรวจเพื่อการพัฒนา (THEOS-2) และ (๖) ผลการสัมมนา “เทคโนโลยีอวกาศสู่งานวิจัยไทย ๔.๐” และการขับเคลื่อน Thailand Satellite Consortium ๒. พิจารณาประเด็นต่าง ๆ รวม ๓ เรื่อง ได้แก่ (๑) รายงานผลการเดินทางเข้าร่วมการประชุม United Nations/United Arab Emirates-High Level Forum : Space as a Driver for Socio-Economic Sustainable Development (UN/UAE-High Level Forum) วันที่ ๖-๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ณ นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (๒) แนวทางการบริหารเอกสารข่ายงานดาวเทียมและสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมตามมาตรา ๖๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และ (๓) นโยบายการอนุญาตให้ผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เข้าใช้ช่องสัญญาณของดาวเทียมต่างประเทศในประเทศไทย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
420 | การเปิดตลาดสินค้าเกษตรตามกรอบความตกลงองค์การการค้าโลก (WTO) ปี 2561 - ปี 2563 | กษ | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการเปิดตลาดสินค้าเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ หอมหัวใหญ่ (แห้งเป็นผงและแห้งไม่เป็นผง) หัวพันธุ์มันฝรั่ง และหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป ภายใต้กรอบความตกลงองค์การการค้าโลก (WTO) ปี ๒๕๖๑-ปี ๒๕๖๓ ตามมติคณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ ในคราวประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๖๐ และให้คณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์กำกับดูแลการบริหารการนำเข้าสินค้าเกษตรดังกล่าวให้สอดคล้องกับพันธกรณีที่ประเทศไทยมีอยู่กับต่างประเทศ ดังนี้ ๑.๑ สินค้าเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ ภายใต้กรอบ WTO ให้เปิดตลาดนำเข้าในช่วงปี ๒๕๖๑-ปี ๒๕๖๓ ปริมาณในโควตาปีละ ๓.๑๕ ตัน (๖,๙๔๔ ปอนด์) อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๐ และอัตราภาษีนอกโควตาร้อยละ ๒๑๘ ๑.๒ สินค้าหอมหัวใหญ่ (แห้งเป็นผงและแห้งไม่เป็นผง) ภายใต้กรอบ WTO ให้เปิดตลาดนำเข้าในช่วงปี ๒๕๖๑-๒๕๖๓ ปริมาณในโควตาปีละ ๗๖๔ ตัน อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๒๗ และอัตราภาษีนอกโควตาร้อยละ ๑๔๒ ๑.๓ หัวพันธุ์มันฝรั่ง ภายใต้กรอบ WTO ให้เปิดตลาดนำเข้าในช่วงปี ๒๕๖๑-ปี ๒๕๖๓ ปริมาณในโควตาไม่จำกัดจำนวน อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๐ และอัตราภาษีนอกโควตาร้อยละ ๑๒๕ ๑.๔ หัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป ภายใต้กรอบ WTO ให้เปิดตลาดนำเข้าในช่วงปี ๒๕๖๑-๒๕๖๓ ปริมาณในโควตาปีละ ๕๒,๐๐๐ ตัน อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๒๗ และอัตราภาษีนอกโควตาร้อยละ ๑๒๕ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องแก่เกษตรกรเกี่ยวกับการเปิดตลาดสินค้าเกษตรที่ไทยมีพันธกรณีกับต่างประเทศ และให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการการนำเข้าและการตลาดสินค้าเกษตรให้เหมาะสมเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรภายในประเทศ รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การบริหารการนำเข้าภายใต้การกำกับดูแลของคณะอนุกรรมการจัดการการผลิตและการตลาดกระเทียม หอมแดง หอมหัวใหญ่ และมั่นฝรั่ง ควรมีการติดตามสถานการณ์ด้านการผลิต การตลาด ความเคลื่อนไหวของราคา และความต้องการใช้สินค้าดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (คณะอนุกรรมการจัดการการผลิตและการตลาดกระเทียม หอมแดง หอมหัวใหญ่ และมันฝรั่ง) ดำเนินการเพิ่มเติม (๑) พิจารณาศึกษาผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากการเปิดตลาดเสรีการนำเข้าสินค้าหอมหัวใหญ่ เมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ และมันฝรั่งตามพันธกรณีตามความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น ไทย-นิวซีแลนด์ (TNZCEP) และพันธกรณีตามความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) รวมทั้งแนวทางการบริหารการนำเข้าและมาตรการอื่นเพื่อไม่ให้การเปิดตลาดเสรีที่จะมีขึ้นในปี ๒๕๖๓ ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกหอมหัวใหญ่และมันฝรั่งภายในประเทศ ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวควรพิจารณาให้เป็นไปตามความตกลงที่ไทยมีอยู่กับต่างประเทศด้วย และ (๒) พิจารณากำหนดแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และคุณภาพของผลผลิตหอมหัวใหญ่และมันฝรั่งของเกษตรกรภายในประเทศ เพื่อให้เกษตรกรมีขีดความสามารถในการแข่งขันกับสินค้าจากต่างประเทศได้มากยิ่งขึ้น ๔. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการป้องกัน ปราบปราม และจับกุมผู้ลักลอบนำเข้าสินค้าหอมหัวใหญ่และมันฝรั่งอย่างเข้มงวด ๕. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (Sanitary and Phytosanitary Measures) ให้มีความเหมาะสม รวมทั้งบังคับใช้มาตรการที่ได้กำหนดขึ้นแล้วอย่างเข้มงวดด้วย
|