ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 25 จากทั้งหมด 252 หน้า แสดงรายการที่ 481 - 500 จากข้อมูลทั้งหมด 5030 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
481 | การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (นายแพทย์ ทันตแพทย์ และเภสัชกร) | นร10 | 23/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติอัตราข้าราชการตั้งใหม่รวม ๘๔๙ อัตรา โดยเป็นตำแหน่งนายแพทย์ จำนวน ๗๗๙ อัตรา และตำแหน่งทันตแพทย์ จำนวน ๗๐ อัตรา ให้กับสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขเพื่อรองรับการบรรจุนักศึกษาวิชาแพทยศาสตร์และทันตแพทยศาสตร์ที่เป็นนักศึกษาคู่สัญญากับกระทรวงสาธารณสุข และสำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ๒. ในส่วนของอัตราข้าราชการตั้งใหม่ตำแหน่งเภสัชกร จำนวน ๓๑๖ อัตรา นั้น ให้ คปร. รับไปพิจารณาทบทวนความจำเป็นเหมาะสมของการกำหนดอัตราข้าราชการตั้งใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยให้คำนึงถึงความเป็นไปได้ในการใช้อัตราว่างที่มีอยู่ของกระทรวงสาธารณสุข รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วนรอบด้าน เช่น สัดส่วนของเภสัชกรต่อประชาชนผู้รับบริการที่เหมาะสมและสามารถให้บริการที่มีคุณภาพ ภาระงบประมาณและจำนวนบุคลากรด้านเภสัชกรที่ได้รับทุนการศึกษาและที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงานในแต่ละปี เป็นต้น และให้นำผลการพิจารณาของ คปร. เสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
482 | การขอยกเว้นเงื่อนไขการจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา | นร10 | 16/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๖ [เรื่อง มาตรการบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑)] ในส่วนของการกำหนดเงื่อนไขในการจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตามมาตรการบริหารจัดการอัตรากำลังปกติ เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย โดยให้ ก.ค.ศ. จัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการครูเฉพาะปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ คืนให้แก่โรงเรียนประถมศึกษาและโรงเรียนประถมศึกษาขยายโอกาสที่มีนักเรียนจำนวนน้อยกว่า ๑๒๐ คน ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ปกติแต่ประสบปัญหาการขาดแคลนอัตรากำลังครู จำนวนรวมทั้งสิ้น ๒๔๑ แห่ง โดยจัดสรรอัตรากำลังครู จำนวนรวมทั้งสิ้น ๒๕๕ อัตรา ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๖๐ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดสรรอัตราว่างในพื้นที่และโรงเรียนที่ขาดแคลนอัตรากำลังครูอย่างเคร่งครัด รวมทั้งเร่งรัดการสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับชุมชนเกี่ยวกับประโยชน์ที่จะได้รับจากการควบรวมโรงเรียนต่อไป และกำหนดแนวทางการดำเนินการเพื่อส่งเสริมสนับสนุนนโยบายการควบรวมโรงเรียนเพื่อให้แต่ละโรงเรียนมีจำนวนนักเรียนที่เหมาะสม และสามารถจัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ได้อย่างมีคุณภาพ ภายใต้การบริหารจัดการศึกษาที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนพิจารณาความเป็นไปได้ของรูปแบบการจ้างงานที่หลากหลาย อาทิ การจ้างพนักงานจากภายนอกองค์กร เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อภาระงบประมาณภาครัฐในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
483 | การบริจาคข้าวให้รัฐบาลสาธารณรัฐโมซัมบิก | กต | 16/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการบริจาคข้าวสารในสต็อกของรัฐบาลชนิดข้าวขาว ๕% ปีการผลิต ๒๕๕๖/๕๗ ปริมาณ ๑,๐๐๐ ตัน บรรจุลงถุงขนาด ๕ กิโลกรัม ให้รัฐบาลสาธารณรัฐโมซัมบิกบนพื้นฐานการให้ความช่วยเหลือเพื่อมนุษยธรรม (ตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว) โดยรัฐบาลโมซัมบิกจะจัดส่งเรือขนสินค้ามารับข้าวที่ท่าเรือ ณ ประเทศไทย ๒. รับทราบการชำระค่าใช้จ่ายในการดำเนินการปรับปรุงคุณภาพข้าวให้เหมาะสมสำหรับการบริจาค การบรรจุลงถุง และการส่งมอบลงเรือที่รัฐบาลโมซัมบิกจะส่งมารับมอบ โดยชำระเป็นข้าวสารในสต็อกของรัฐบาล (ตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว) ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงคุณภาพข้าวให้เหมาะสมสำหรับการบรรจุลงถุงและส่งมอบลงเรือที่รัฐบาลโมซัมบิกจะส่งมารับมอบมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง เห็นควรที่กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะพิจารณาดำเนินการด้วยความประหยัดและไม่ทำให้ทางราชการเสียหาย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับผิดชอบการดำเนินการจัดส่งข้าวให้แก่ฝ่ายโมซัมบิก โดยประสานงานรายละเอียดการดำเนินการดังกล่าวกับกระทรวงการต่างประเทศ ๔. ให้กระทรวงการต่างประเทศประสานงานกับฝ่ายโมซัมบิกเกี่ยวกับรายละเอียดในการจัดส่ง เช่น กำหนดเวลาในการส่งมอบ ประเภทของเรือที่จะมารับมอบ รูปแบบของการส่งมอบ (แบบตู้คอนเทนเนอร์ หรือแบบเรือใหญ่) และพิธีการส่งมอบข้าวต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
484 | โครงการเพื่อการพัฒนา ปี 2560 ของการประปาส่วนภูมิภาค | มท | 16/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการดำเนินโครงการเพื่อการพัฒนา ปี ๒๕๖๐ ของการประปาส่วนภูมิภาค จำนวน ๖ โครงการ วงเงินลงทุนรวม ๑,๓๑๔.๕๑๖ ล้านบาท เพื่อดำเนินการปรับปรุงระบบประปาทั้งระบบ โดยจะมีการก่อสร้างระบบน้ำดิบ (ปรับปรุงสระพักน้ำดิบและวางท่อส่งน้ำดิบเพิ่ม) ระบบผลิตน้ำประปา (โรงกรองน้ำ ระบบจ่ายสารเคมี ถังน้ำใส โรงสูบน้ำและหอถังสูง) และระบบจ่ายน้ำ (วางท่อส่งน้ำ ท่อจ่ายน้ำ และท่อบริการขนาดต่าง ๆ ) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ส่วนงบประมาณในการดำเนินโครงการที่ยังไม่มีแหล่งเงินงบประมาณรองรับ จำนวน ๑ โครงการ [โครงการปรับปรุงกิจการประปาภายหลังรับโอน (การประปาส่วนภูมิภาค สาขาเชียงคาน) วงเงินลงทุน ๕๘.๖๗๗ ล้านบาท] ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้การประปาส่วนภูมิภาคจัดทำรายละเอียดแบบรูปรายการ ประมาณการค่าใช้จ่าย และแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อประกอบการพิจารณาขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี ซึ่งสำนักงบประมาณจะพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายให้ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามกำลังเงินของประเทศต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย (การประปาส่วนภูมิภาค) ดำเนินการตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ รวมทั้งรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรดำเนินการขอใช้น้ำต่อกรมชลประทานตามระเบียบและขั้นตอนของทางราชการหลังจากได้รับอนุมัติโครงการ ควรศึกษารูปแบบและแนวทางจัดหาแหล่งเงินทุนอื่นเพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการต่าง ๆ เช่น การศึกษาแนวทางการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (Public - Private - Partnership : PPP) เป็นต้น และดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าจากการลงทุนทางด้านการเงิน การควบคุมค่าใช้จ่ายในการผลิต การเพิ่มรายได้จากการให้บริการและการลดอัตราน้ำสูญเสียให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
485 | การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข | นร10 | 09/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติการเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๖๐ ตามที่สำนักงาน ก.พ. (ฝ่ายเลขานุการร่วม คปร.) เสนอ และให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการตามมติ คปร. ดังกล่าวให้ถูกต้อง ครบถ้วน ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติอัตราข้าราชการตั้งใหม่ตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพให้กับสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เพื่อบรรจุผู้สำเร็จการศึกษาจากโครงการผลิตบุคลากรพยาบาลเพื่อพัฒนาสุขภาพประชาชนในจังหวัดชายแดนตามรอยสมเด็จย่า รวม ๔๕๐ อัตรา ทั้งนี้ ให้คณะอนุกรรมการสามัญประจำกระทรวงสาธารณสุข (อ.ก.พ. กระทรวงสาธารณสุข) กำหนดอัตราข้าราชการตั้งใหม่ตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพ ปีละ ๕๐ อัตรา ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๘ เป็นระยะเวลา ๙ ปี และให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขพิจารณาจัดสรรตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพดังกล่าวให้กับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในพื้นที่ชายแดน และให้กำหนดเป็นตำแหน่งที่ต้องตรึงไว้เป็นการประจำในพื้นที่โดยมิให้เปลี่ยนชื่อตำแหน่งเป็นสายงานอื่น และไม่ให้กระทรวงสาธารณสุขขอเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพจนกว่าจะสิ้นสุดปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ ๑.๒ ไม่อนุมัติอัตราข้าราชการตั้งใหม่ตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพ จำนวน ๑๐,๙๙๒ อัตรา โดยให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขนำตำแหน่งว่างที่มีอยู่และตำแหน่งที่จะว่างในอนาคตมาบริหารจัดการเพื่อรองรับการบรรจุพยาบาลวิชาชีพตามความจำเป็น ๑.๓ ให้กระทรวงสาธารณสุขปรับปรุงการทำงานในโรงพยาบาลให้มีลักษณะการผสมผสานทักษะความชำนาญงานเฉพาะด้าน เพื่อให้บุคลากรในโรงพยาบาลทำหน้าที่สนับสนุนการทำงานร่วมกับพยาบาลวิชาชีพ รวมทั้งปรับลดหรือทบทวนให้พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติเฉพาะภารกิจที่ต้องใช้พยาบาลวิชาชีพเพื่อให้พยาบาลวิชาชีพในโรงพยาบาลได้ปฏิบัติงานการพยาบาลผู้ป่วยอย่างเหมาะสมและเกิดผลดีต่อผู้รับบริการ ๑.๔ ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ และวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๙ อย่างเคร่งครัดในการพิจารณาการจ้างพนักงานราชการหรือใช้วิธีการจ้างพนักงานจากภายนอกองค์กร (Outsource) เพื่อทดแทนการบรรจุเป็นข้าราชการในภารกิจที่มีความจำเป็นต้องใช้บุคลากรเพิ่มเติม ๑.๕ ให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขรายงานผลการดำเนินการให้ คปร. ทราบภายใน ๖๐ วัน นับแต่วันที่ อ.ก.พ. กระทรวงสาธารณสุขมีมติอนุมัติการกำหนดตำแหน่งอัตราข้าราชการตั้งใหม่ตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพในแต่ละปี ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. ที่เห็นควรบริหารจัดการตำแหน่งว่างให้มีประสิทธิภาพเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารกำลังคนและลดการขออัตราข้าราชการตั้งใหม่เพื่อลดภาระงบประมาณค่าใช้จ่ายบุคคลภาครัฐ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขใช้จ่ายจากงบบุคลากรที่ได้รับการจัดสรรไว้แล้วในแผนงานบุคลากรภาครัฐ ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไปให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
486 | ขอความเห็นชอบกรอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2561 ของการรถไฟแห่งประเทศไทยและองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | กค | 02/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ในวงเงินจำนวน ๓,๕๗๘.๗๗๖ ล้านบาท ๑.๒ กรอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ในวงเงินจำนวน ๒,๓๒๐.๑๐๗ ล้านบาท ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้บริการสาธารณะดังกล่าวควรคำนึงถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้มีรายได้น้อยเป็นสำคัญ และการให้บริการที่มีมาตรฐาน รวมทั้งควรให้ความสำคัญในการควบคุมค่าใช้จ่ายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม มีการตรวจสอบและติดตามการใช้จ่ายให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและตรงตามวัตถุประสงค์ และกรณีที่มีต้นทุนเพิ่มขึ้นจากปัจจัยภายนอกใด ๆ ที่จะมีผลกระทบต่อฐานะการเงิน อาทิ ราคาน้ำมันที่เกิดขึ้นจริง ให้รัฐวิสาหกิจเร่งเสนอขอปรับปรุงวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะภายในกรอบระยะเวลาตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อให้วงเงินอุดหนุนครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นและเป็นไปตามหลักการของการชดเชยเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ รวมทั้งความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ดังนี้ ๒.๑ ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ (เรื่อง ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางออกไปอีก ๖ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๙-๓๐ เมษายน ๒๕๖๐) ที่ให้พิจารณาแนวทางการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางในภาพรวมทั้งระบบให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคม โดย ขสมก. และ รฟท. เร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ ๔/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๕๙ และครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๖๐ ที่มอบหมายให้ ขสมก. และ รฟท. จัดทำต้นทุนมาตรฐานเพื่อใช้ในการกำกับดูแลด้านอัตราค่าโดยสารและคุณภาพการให้บริการสำหรับการกำกับดูแลรถโดยสารประจำทางให้มีประสิทธิภาพ รวมทั้งการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
487 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ | กษ | 02/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ ตามมติคณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติในคราวการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๖๐ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับ (๑) ผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (๒) ผลการดำเนินการแก้ไขกฎหมาย (๓) ร่างนโยบายการพัฒนาการประมง และ (๔) ปริมาณสัตว์น้ำสูงสุดที่อนุญาตให้ทำการประมงได้ สำหรับปี ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการจัดทำร่างนโยบายการพัฒนาการประมงของไทย ต้องให้ความสำคัญกับการรักษาความต่อเนื่องในการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างยั่งยืนโดยเฉพาะการปรับระบบการทำประมงในน่านน้ำไปสู่การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและการทำประมงนอกน่านน้ำ โดยภาครัฐควรให้การดูแลการปรับเปลี่ยนอาชีพให้กับเกษตรกรชาวประมงไปสู่การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและอาชีพอื่น ๆ ได้อย่างมั่นคง และดูแลให้การทำประมงในน่านน้ำที่ยังคงอยู่เป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ควบคู่กับการสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมสินค้าประมงและผลิตภัณฑ์ประมงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของผู้บริโภค รวมทั้งลำดับความสำคัญในการดำเนินงานและจัดทำเป็นแผนปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานได้อย่างเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
488 | มติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2560 | ดศ | 25/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ สรุปได้ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการพัฒนากฎหมายอวกาศ ซึ่งอยู่ระหว่างพัฒนากฎหมายให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การบริหารและยุทธศาสตร์อวกาศแห่งชาติ และเห็นชอบให้สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (สทอภ.) จัดตั้งคณะทำงาน ซึ่งสทอภ. ได้ดำเนินการแล้ว ๒. รับทราบมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๙ เกี่ยวกับแนวทางการบริหารกิจการดาวเทียมสื่อสารของประเทศ ๓. รับทราบความคืบหน้าโครงการระบบดาวเทียมสำรวจเพื่อการพัฒนา (THEOS-2) ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๔ มีนาคม ๒๕๖๐) อนุมัติการดำเนินโครงการแล้ว ๔. เห็นชอบในหลักการของร่างยุทธศาสตร์อวกาศแห่งชาติ ปี ๒๕๖๐-๒๕๗๙ และให้คณะอนุกรรมการปรับปรุงแนวทางการพัฒนากิจการอวกาศของประเทศไทยปรับปรุงเนื้อหาให้สอดคล้องกับข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการฯ เช่น ปรับแก้วิสัยทัศน์ของยุทธศาสตร์ ควรเพิ่มยุทธศาสตร์การสื่อสาร และควรคำนึงถึงการพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับภารกิจต่าง ๆ เป็นต้น ๕. เห็นชอบในหลักการให้ดำเนินโครงการดาวเทียมสื่อสารภาครัฐภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๓ และเห็นควรให้คณะอนุกรรมการดาวเทียมสื่อสารภาครัฐเพื่อความมั่นคงเชิญหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมดำเนินการจัดทำรายละเอียดของโครงการให้มีความสมบูรณ์ เพื่อให้คณะกรรมการฯ พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ขอให้ผ่านหลักเกณฑ์การจัดทำโครงการที่มีงบประมาณสูงของภาครัฐ โดยการจัดทำโครงการจะต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และให้เสนอผู้รับผิดชอบดำเนินโครงการมาพร้อมกันในการประชุมครั้งต่อไป ๖. รับทราบความคืบหน้าผลการดำเนินงานของคณะทำงานพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการการดำเนินงานกิจการดาวเทียมสื่อสาร ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และมีข้อเสนอแนะให้คณะทำงานสอบถามความเห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม เพื่อประกอบการพิจารณากำหนดแนวทางการบริหารจัดการการดำเนินงานกิจการดาวเทียมสื่อสารต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
489 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2559 (ครั้งที่ 10) | พน | 11/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ ๕/๒๕๕๙ (ครั้งที่ ๑๐) เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๙ รวม ๒ เรื่อง ได้แก่ การทบทวนนโยบายการกำหนดอัตราค่าบริการก๊าซธรรมชาติ และแนวทางการบริหารจัดการกิจการก๊าซธรรมชาติและก๊าซธรรมชาติเหลว (Liquefied Natural Gas : LNG) เพื่อความมั่นคง ทั้งนี้ ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินโครงการต่าง ๆ ภายใต้แนวทางการบริหารจัดการกิจการก๊าซธรรมชาติ และ LNG เพื่อความมั่นคง หน่วยงานเจ้าของโครงการ ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะขั้นตอนการเสนอโครงการลงทุน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. เห็นชอบการซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลวระยะยาว (LNG SPA) ระหว่างบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กับบริษัท PETRONAS LNG LTD. ทั้งนี้ ให้กระทรวงพลังงานกำกับให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
490 | แต่งตั้งผู้ว่าการการประปานครหลวง (นายปริญญา ยมะสมิต) | มท | 11/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการแต่งตั้ง นายปริญญา ยมะสมิต ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการประปานครหลวง และให้ได้รับค่าตอบแทนคงที่ในอัตราเดือนละ ๓๑๕,๐๐๐ บาท ตามมติคณะกรรมการการประปานครหลวง ในการประชุมครั้งที่ ๑๒/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๙ และการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. สำหรับค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์อื่น รวมทั้งเงื่อนไขการจ้างและการประเมินผลการปฏิบัติงาน ให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ดังนี้ ๒.๑ ค่าตอบแทนคงที่ในอัตราเดือนละ ๓๑๕,๐๐๐ บาท โดยในระหว่างอายุสัญญาผู้ว่าจ้างจะปรับขึ้นค่าตอบแทนคงที่ในวันที่ ๑ ตุลาคมของทุกปี ในอัตราไม่เกินกว่าร้อยละ ๑๐ ของค่าตอบแทนคงที่ที่ผู้รับจ้างได้รับ ๒.๒ ค่าตอบแทนพิเศษประจำปีจ่ายตามระยะเวลาเดียวกับการปรับค่าตอบแทนคงที่ตามผลประกอบการของผู้ว่าจ้าง และผลการประเมินตามหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินของคณะกรรมการของผู้ว่าจ้างกำหนด ในอัตราไม่เกินกว่าร้อยละ ๓๐ ของค่าตอบแทนรวมในแต่ละปี ๒.๓ สิทธิประโยชน์อื่น ตามที่คณะกรรมการการประปานครหลวงเสนอ ทั้งนี้ ให้แก้ไขรายการสิทธิประโยชน์อื่นของผู้ว่าการการประปานครหลวงในส่วนของค่าตอบแทนอันเนื่องจากการเป็นกรรมการ ๓. ให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ โดยให้ นายปริญญา ยมะสมิต ลาออกจากการเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจก่อนลงนามในสัญญาจ้างด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
491 | การแต่งตั้งคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร (จำนวน 47 คน 1. ศาสตราจารย์บุญศรี มีวงศ์อุโฆษ ฯลฯ) | นร01 | 11/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้แต่งตั้งคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร จำนวน ๔๗ คน ตามมติคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๖๐ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. สาขาการแพทย์และสาธารณสุข ๑.๑ ศาสตราจารย์บุญศรี มีวงศ์อุโฆษ ๑.๒ ศาสตราจารย์ยง ภู่วรวรรณ ๑.๓ ศาสตราจารย์แสวง บุญเฉลิมวิภาส ๑.๔ นายประพาศน์ รัชตะสัมฤทธิ์ ๑.๕ นายวิชัย โชควิวัฒน ๒. สาขาต่างประเทศและความมั่นคงของประเทศ ๒.๑ ผู้ช่วยศาสตราจารย์จันทจิรา เอี่ยมมยุรา ๒.๒ นายถวิล เปลี่ยนศรี ๒.๓ นายรัชนันท์ ธนานันท์ ๒.๔ นายวรเดช วีระเวศิน ๓. สาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรม และการเกษตร ๓.๑ ศาสตราจารย์จงรักษ์ ผลประเสริฐ ๓.๒ ศาสตราจารย์สมชาติ โสภณรณฤทธิ์ ๓.๓ ศาสตราจารย์สุนทร มณีสวัสดิ์ ๓.๔ ศาสตราจารย์เกียรติคุณอมเรศ ภูมรัตน ๓.๕ รองศาสตราจารย์ยืน ภู่วรวรรณ ๓.๖ นายศุภศิษฏ์ ทวีแจ่มทรัพย์ ๓.๗ นายสรรเสริญ อัจจุตมานัส ๔. สาขาเศรษฐกิจและการคลังของประเทศ ๔.๑ ศาสตราจารย์สหะน รัตนไพจิตร ๔.๒ รองศาสตราจารย์ธวัชชัย สุวรรณพานิช ๔.๓ รองศาสตราจารย์นนทวัชร นวตระกูลพิสุทธิ์ ๔.๔ รองศาสตราจารย์นิพนธ์ พัวพงศกร ๔.๕ นายณรงค์ ราบเรียบ ๔.๖ นายเอกพิทยา เอี่ยมคงเอก ๕. สาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดิน และการบังคับใช้กฎหมาย ๕.๑ พลเอก ประยุทธ เมฆวิชัย ๕.๒ พลโท พรเลิศ วรสีหะ ๕.๓ พลโท สุขสันต์ สิงหเดช ๕.๔ รองศาสตราจารย์ชมพูนุช โกสลากร เพิ่มพูนวิวัฒน์ ๕.๕ รองศาสตราจารย์มานิตย์ จุมปา ๕.๖ รองศาสตราจารย์สมยศ เชื้อไทย ๕.๗ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ปราโมทย์ ประจนปัจจนึก ๕.๘ ผู้ช่วยศาสตราจารย์วรรณภา ติระสังขะ ๕.๙ นางการดี เลียวไพโรจน์ ๕.๑๐ นายจำรัส ศักดิ์จิรพาพงษ์ ๕.๑๑ นายฉัตรรัตน์ หิรัญเชาวิวัฒน์ ๕.๑๒ นายธนะ ดวงรัตน์ ๕.๑๓ นายบัณฑิต ตั้งประเสริฐ ๕.๑๔ นายพีรพล ไตรทศาวิทย์ ๕.๑๕ นายพุทธิสัตย์ นามเดช ๕.๑๖ นายเยี่ยมศักดิ์ คุ้มอินทร์ ๕.๑๗ นางรัศมี วิศทเวทย์ ๕.๑๘ นางวนิดา สักการโกศล ๕.๑๙ นายวัตตะ วุตติสันต์ ๕.๒๐ นายศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล ๕.๒๑ นายสมชาย อัศวเศรณี ๕.๒๒ นายสุขจิตต์ ประยูรหงษ์ ๕.๒๓ นางอัจฉรา อุณหเลขกะ ๕.๒๔ นางสาวอัมพวัน เจริญกุล
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
492 | โครงการโรงไฟฟ้าบางปะกง (ทดแทนเครื่องที่ 1 - 2) | พน | 04/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าบางปะกง (ทดแทนเครื่องที่ ๑-๒) ในวงเงินลงทุนรวม ๓๓,๙๔๒.๖๕ ล้านบาท และให้ดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ให้ กฟผ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานที่เห็นควรบริหารจัดการเรื่องการเงินและการลงทุนให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสอดรับกับแนวโน้มของอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อองค์กร และควรให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงินขององค์กรในระยะยาวเพื่อตอบสนองการลงทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวมทั้งให้ความสำคัญกับระดับอุณหภูมิของการระบายน้ำทิ้งจากการหล่อเย็นลงสู่แม่น้ำบางปะกง และให้ กฟผ. เสนอแผนการขอใช้น้ำต่อกรมชลประทานทั้งระยะสั้นและระยะยาวเพื่อนำไปประกอบการพิจารณาวางแผนการจัดสรรน้ำดิบตามความเหมาะสมของปริมาณน้ำต้นทุนที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด นอกจากนี้ ในห้วงระยะเวลาดำเนินโครงการควรมีมาตรการในการดูแลไม่ให้ผู้ใช้ไฟฟ้าในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาไฟฟ้าตกหรือดับ และให้ กฟผ. จัดส่งแผนการดำเนินงานโครงการให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานเป็นรายไตรมาส รวมถึงรายงานความก้าวหน้าเปรียบเทียบกับแผนที่วางไว้ให้กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานทราบทุก ๖ เดือน และให้มีการกำกับราคาเฉลี่ยตลอดอายุโครงการ ให้มีราคาเฉลี่ยไม่สูงกว่าราคารับซื้อไฟฟ้าจากภาคเอกชน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. อนุมัติการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนประจำปี ๒๕๕๙ สำหรับโครงการฯ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๓,๐๖๖.๙๗ ล้านบาท ๓. ในการดำเนินโครงการให้ กฟผ. ดำเนินการ ดังนี้ ๓.๑ ให้ใช้เงินจากรายได้เป็นลำดับแรกก่อนการใช้เงินกู้ และหากจำเป็นต้องใช้เงินกู้ ให้กู้ภายในประเทศ โดยกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกัน ๓.๒ ให้กำกับดูแลการบริหารจัดการด้านการเงินและการลงทุนอย่างเหมาะสม และกำหนดแนวทางหรือมาตรการบริหารความเสี่ยงด้านต่าง ๆ เช่น อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อโครงการและคุ้มค่าต่อการลงทุนต่อไป ๓.๓ ให้ดำเนินการตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติและปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามที่กำหนดไว้ในรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม สำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของโครงการอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้พิจารณากำหนดมาตรการเพื่อลดผลกระทบต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ เช่น ผลกระทบต่อการนำน้ำในแม่น้ำบางปะกงไปใช้เพื่อการเกษตร การอุปโภคบริโภค เป็นต้น ๓.๔ ให้ประชาสัมพันธ์ ชี้แจง สร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนและชุมชนเกี่ยวกับการดำเนินโครงการ เช่น ประโยชน์ที่จะได้รับจากการดำเนินโครงการ เพื่อให้เกิดการยอมรับและให้ความร่วมมือในการดำเนินโครงการ รวมทั้งให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ด้วย เช่น การจัดหาแรงงานในพื้นที่ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
493 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2560 (ครั้งที่ 11) | พน | 28/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ (ครั้งที่ ๑๑) เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ รวม ๖ เรื่อง ได้แก่ (๑) ความคืบหน้าการดำเนินงานโครงการไฟฟ้าพลังน้ำสตึงมนัม (๒) สถานภาพการรับซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ (๓) ร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน ๑ (๔) สถานการณ์และแนวทางการสร้างความมั่นคงด้านไฟฟ้าภาคใต้ (๔) แนวนโยบาย “โรงไฟฟ้า-ประชารัฐ” สำหรับพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ (๕) อัตรารับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) และ (๖) การปรับโครงสร้างธุรกิจของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) และมอบหมายให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กรมทรัพยากรน้ำ และกรมชลประทานรับไปเตรียมการวางแผนการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการนำน้ำจากโครงการไฟฟ้าพลังน้ำสตึงมนัมไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่ภาคตะวันออก โดยให้ประสานงานกับกระทรวงพลังงานในส่วนที่เกี่ยวข้องตามขั้นตอนต่อไป ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินโครงการไฟฟ้าพลังน้ำสตึงมนัมและการนำน้ำจากโครงการฯ ไปใช้ประโยชน์ ให้แล้วเสร็จโดยเร็วต่อไป ๒. ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชนไปพิจารณาดำเนินการต่อไป และให้ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน กลต.) เกี่ยวกับประเด็นการนำ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (PTTOR) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ต้องได้รับอนุญาตจาก สำนักงาน กลต. ก่อน และควรกำหนดขอบเขตและแบ่งแยกธุรกิจน้ำมันภายในการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยให้ชัดเจน รวมทั้งต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทจดทะเบียน ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
494 | การดำเนินการตามมติคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช | กษ | 28/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ประธานกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบสรุปมติคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๖๐ รวม ๔ เรื่อง ได้แก่ (๑) การจัดการเมล็ดถั่วเหลืองนำเข้า กรณีเกิดความเสียหาย (๒) การกำหนดมาตรการการนำเข้ารวมถึงอัตราอากร สำหรับกากถั่วเหลืองที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมผลิตเพื่อมนุษย์บริโภค และเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ (๓) หลักเกณฑ์การจัดสรรโควตาสินค้าเกษตรตามพันธกรณีความตกลง WTO สำหรับสินค้า ๔ รายการ [กรณีน้ำมันมะพร้าว เนื้อมะพร้าวแห้ง มะพร้าวและมะพร้าวฝอย (ตั้งแต่ปี ๒๕๖๑ เป็นต้นไป) และกากถั่วเหลืองที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมผลิตเพื่อมนุษย์บริโภค และเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ (ตั้งแต่ปี ๒๕๖๐ เป็นต้นไป)] และ (๔) การแต่งตั้งคณะทำงานพัฒนาการผลิตถั่วเหลืองและคณะทำงานพัฒนาการผลิตมะพร้าว ๑.๒ เห็นชอบการเปิดตลาดสินค้ากากถั่วเหลือง ปี ๒๕๖๐ พิกัดอัตราศุลกากร ๒๓๐๔.๐๐.๙๐ เฉพาะรหัสสถิติ (๒) กากถั่วเหลืองที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมผลิตเพื่อมนุษย์บริโภค และรหัสสถิติ (๓) กากถั่วเหลืองที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ภายใต้กรอบองค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) ปริมาณตามที่ผูกพัน ๒๓๐,๕๕๙ ตัน อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๑๐ อัตราภาษีนอกโควตาร้อยละ ๑๓๓ ๑.๓ เห็นชอบการบริหารนำเข้า ปี ๒๕๖๐ ของกากถั่วเหลือง รหัสสถิติ (๒) และ (๓) ภายใต้กรอบ WTO เป็นรายปี ตามหลักเกณฑ์ที่กรมการค้าต่างประเทศกำหนด คือ เป็นนิติบุคคลที่ใช้กากถั่วเหลืองเป็นวัตถุดิบในการผลิตในกิจการของตนเอง และให้นำเข้าเฉพาะด่านศุลกากรที่มีด่านพืช และด่านอาหารและยา โดยผู้นำเข้ากากถั่วเหลือง รหัสสถิติ (๒) กากถั่วเหลืองที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมผลิตเพื่อมนุษย์บริโภคจะต้องแสดงใบรับรอง Non-GMO จากประเทศผู้ผลิตต้นทาง ยื่นประกอบการนำเข้า ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับกรณีนำเข้ากากถั่วเหลืองเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อมนุษย์บริโภคและต้องแสดงใบรับรอง Non-GMO จากประเทศผู้ผลิตต้นทางยื่นประกอบการนำเข้า ควรมีกลไกการตรวจสอบกากถั่วเหลืองเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อมนุษย์บริโภคโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เพื่อยืนยันว่าเป็น Non-GMO จริงตามที่สำแดงในเอกสาร และควรมีกลไกหรือกฎหมายในการจัดการเพื่อส่งกลับหรือทำลายในกรณีที่ตรวจสอบแล้วพบว่า การนำเข้ากากถั่วเหลืองเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อมนุษย์บริโภคเป็น GMO ซึ่งไม่ตรงกับเอกสารที่สำแดง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
495 | ยุทธศาสตร์การจัดการมลพิษ 20 ปี และแผนจัดการมลพิษ พ.ศ. 2560 - 2564 | ทส | 14/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบยุทธศาสตร์การจัดการมลพิษ ๒๐ ปี และแผนจัดการมลพิษ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกัน ลด และควบคุมมลพิษที่มีประสิทธิผล สร้างระบบและกลไกการบริหารจัดการมลพิษที่มีประสิทธิภาพ พัฒนาองค์ความรู้ นวัตกรรม และบุคลากรให้มีศักยภาพในการจัดการมลพิษ รวมทั้งสร้างหุ้นส่วนการมีส่วนร่วมในการจัดการมลพิษ ประกอบด้วย ๓ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (๑) การป้องกันและลดการเกิดมลพิษที่ต้นทาง (๒) เพิ่มประสิทธิภาพในการบำบัด กำจัดของเสียและควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิด และ (๓) การพัฒนาระบบการบริหารจัดการมลพิษ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการประจำปี โดยเฉพาะในระยะ ๕ ปีแรก และดำเนินการตามยุทธศาสตร์ฯ และแผนการจัดการดังกล่าวต่อไป ตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ที่เห็นควรมีการปรับปรุงเป้าหมายของยุทธศาสตร์การจัดการมลพิษ ๒๐ ปี ให้สะท้อนภาพอนาคตในระยะ ๒๐ ปี ซึ่งกำหนดว่า “การพัฒนาประเทศเป็นไปตามหลักสังคมคาร์บอนต่ำ (Low Cabon Society) และไร้ของเสีย (Zero Waste)” รวมทั้งควรเพิ่มตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายเพื่อวัดการดำเนินงานภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ ๓ เนื่องจากไม่สามารถสะท้อนความก้าวหน้าในการดำเนินงานเพื่อใช้ในการติดตามประเมินผล และในส่วนของแผนจัดการมลพิษ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ หน่วยงานที่รับผิดชอบและทิศทางการดำเนินงานในระยะยาวควรมีความสอดคล้องกับโครงการ/กิจกรรมสำคัญในระยะ ๕ ปี ควรมีการกำหนดหน่วยงานสนับสนุนหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมนอกจากหน่วยงานหลักเพื่อความชัดเจนในการดำเนินงานร่วมกัน และควรมีการประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำแผนปฏิบัติการและการดำเนินงานตามแผนจัดการดังกล่าว เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง สำหรับงบประมาณในการดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อดำเนินการในโอกาสแรกก่อน หากไม่เพียงพอและมีความจำเป็นเร่งด่วนก็ให้เสนอขอรับการสนับสนุนจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป เห็นควรให้จัดทำข้อเสนองบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์เชื่อมโยงผ่านการจัดทำแผนพัฒนาภาค แผนพัฒนากลุ่มจังหวัด แผนพัฒนาจังหวัด และแผนปฏิบัติราชการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่นให้ครอบคลุมครบถ้วน รวมทั้งจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้แก่ทุกภาคส่วนให้ตระหนักถึงโทษและอันตรายที่เกิดขึ้นจากมลพิษต่าง ๆ หากไม่ดำเนินการอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อให้ทุกภาคส่วนให้ความร่วมมือและเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการปัญหามลพิษที่เกิดขึ้นในปัจจุบันให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม ๔. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งเรื่อง ยุทธศาสตร์การจัดการมลพิษ ๒๐ ปี และแผนจัดการมลพิษ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ให้คณะกรรมการเตรียมการยุทธศาสตร์ชาติทราบเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับการเตรียมการยุทธศาสตร์ในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
496 | โครงการระบบดาวเทียมสำรวจเพื่อการพัฒนา (THEOS-2) | วท | 14/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการดำเนินโครงการระบบดาวเทียมสำรวจเพื่อการพัฒนา (THEOS-2) วงเงิน ๗,๘๐๐ ล้านบาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและอากรศุลกากร) ระยะเวลาดำเนินการ ๕ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐-พ.ศ. ๒๕๖๔) โดยมอบหมายให้สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (สทอภ.) รับผิดชอบโครงการ THEOS-2 ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ส่วนรายละเอียดค่าใช้จ่ายของโครงการ THEOS-2 ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้ สทอภ. ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ และเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๑,๐๕๙ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดหาระบบดาวเทียมสำรวจพร้อมระบบภาคพื้นดินและระบบแอปพลิเคชันภูมิสารสนเทศ และการก่อสร้างอาคารประกอบและทดสอบดาวเทียม สำหรับการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน ICT และงบดำเนินงานบริหารโครงการ เห็นควรให้ สทอภ. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดย สทอภ. ดำเนินการตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๙ เช่น จัดทำแผนเกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยงของโครงการการส่งเสริมงานวิจัยและพัฒนาและการสร้างรายได้ เป็นต้น และให้รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เช่น ให้จัดทำข้อเสนอเกี่ยวกับการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน ICT ให้คณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐพิจารณาให้ความเห็นชอบ เนื่องจากเป็นกรณีการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมูลค่าเกินกว่า ๑๐๐ ล้านบาท และควรขยายขอบข่ายการพัฒนาเทคโนโลยีให้ครอบคลุมในด้านอื่น ๆ ด้วย เช่น ด้านระบบนำทางผ่านระบบสัญญาณเซ็นเซอร์ GPS และด้านสาธารณสุข เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบการลงทุนของโครงการ THEOS-2 จากเดิมที่เป็นการลงทุนของรัฐเพื่อการพัฒนาระบบสำรวจโลกของประเทศผ่านการถ่ายทอดเทคโนโลยีขั้นสูงจากประเทศเจ้าของเทคโนโลยีแบบรัฐต่อรัฐ (Government to Government : G to G) เป็นการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๕๓ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดย สทอภ. ตรวจสอบระเบียบสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๕๓ และที่แก้ไขเพิ่มเติมด้วยว่าจะต้องดำเนินการประการใดหรือไม่เพื่อให้สอดคล้องและเป็นไปตามกฎหมาย/ระเบียบที่เกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน เช่น พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นต้น และให้ สทอภ. ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๔. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเร่งรัดติดตามการดำเนินโครงการ THEOS-2 ให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ต่อไป รวมทั้งติดตามการดำเนินการเพื่อให้บุคลากรของไทยได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาดาวเทียมในการปฏิบัติงานจริงทุกขั้นตอน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาดาวเทียมเป็นของตนเองและพัฒนาบุคลากรในสาขานี้อย่างครบวงจรด้วย ๕. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประสานงานกับส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ รวมทั้งจัดฝึกอบรมในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถนำเทคโนโลยีและข้อมูลต่าง ๆ จากโครงการ THEOS-2 มาใช้ประโยชน์ร่วมกันและเกิดความคุ้มค่าแก่ทางราชการในภาพรวมให้มากที่สุด รวมทั้งให้พิจารณาจัดทำแผนการสร้างรายได้และกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อจำหน่ายภาพถ่ายดาวเทียมให้แก่ประเทศต่าง ๆ ที่ดาวเทียม THEOS-2 โคจรผ่านเพื่อให้มีรายได้กลับมาชดเชยการลงทุนของโครงการ THEOS-2 ได้อย่างต่อเนื่อง |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
497 | แผนปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ฉบับที่ 11 ปี 2555 - 2559 (ฉบับปรับปรุง) และแผนปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ฉบับที่ 12 ปี 2560 - 2564 ของการไฟฟ้านครหลวง | มท | 28/02/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การไฟฟ้านครหลวงดำเนินการตามแผนปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ฉบับที่ ๑๑ ปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙ (ฉบับปรับปรุง) วงเงินลงทุนรวม ๕๑,๓๐๕.๕ ล้านบาท และแผนปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ฉบับที่ ๑๒ ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๔ วงเงินลงทุนรวม ๘๔,๖๙๔.๐ ล้านบาท ตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๕๙ และให้การไฟฟ้านครหลวงดำเนินการตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดังกล่าว รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และสำนักงบประมาณ อาทิ เร่งรัดดำเนินการให้เสร็จตามแผนและควบคุมต้นทุนการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผน และจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินงานตามแผน ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลการดำเนินการของการไฟฟ้านครหลวงให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๒. ให้การไฟฟ้านครหลวงเร่งรัดการดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามแผนงานและกรอบระยะเวลาที่กำหนด โดยควบคุมต้นทุนการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนงานและให้จัดทำแผนบริหารความเสี่ยงรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินงานตามแผนงานด้วย โดยหากตรวจพบปัญหาที่เป็นอุปสรรคหรือการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ที่มีผลต่อการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ ให้การไฟฟ้านครหลวงพิจารณากำหนดแนวทางการแก้ปัญหาที่เป็นอุปสรรคในการดำเนินแผนงานโดยเร็ว ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้ความสำคัญกับการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานของรัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินการโครงการลงทุนให้เป็นไปตามแผนงานอย่างเคร่งครัดและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ โดยให้ความสำคัญกับการเพิ่มสัดส่วนของน้ำหนักตัวชี้วัดในระบบการประเมินคุณภาพรัฐวิสาหกิจ (State Enterprise Performance Appraisal : SEPA) ในการวัดผลการดำเนินโครงการลงทุนตามแผนงานและระยะเวลาที่กำหนดด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
498 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2559 | ทส | 14/02/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๙ ที่มีมติเห็นชอบ จำนวน ๓ เรื่อง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ๒. โครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ โครงการทดแทนโรงไฟฟ้าพระนครใต้ ระยะที่ ๑ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ตั้งอยู่ที่ตำบลบางโปรง อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ ๓. โครงการนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ จังหวัดสระแก้ว ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
499 | โครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าในเมืองใหญ่ ระยะที่ 1 | มท | 14/02/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดำเนินโครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าในเมืองใหญ่ ระยะที่ ๑ มีวัตถุประสงค์เพื่อก่อสร้างและปรับปรุงระบบไฟฟ้า พร้อมทั้งติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมในพื้นที่โครงการเพื่อเพิ่มความมั่นคงและเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า ลดปัญหาและอุปสรรคด้านการปฏิบัติการบำรุงรักษาและความปลอดภัย พื้นที่ดำเนินการ ๔ เมือง (เทศบาลนครเชียงใหม่ เทศบาลนครนครราชสีมา เมืองพัทยา และเทศบาลนครหาดใหญ่) ระยะเวลาดำเนินการ ๕ ปี (๒๕๕๙-๒๕๖๓) วงเงินลงทุน ๑๑,๖๖๘.๕๖ ล้านบาท โดยใช้เงินกู้ในประเทศ จำนวน ๘,๗๔๘.๕๖ ล้านบาท และเงินรายได้ กฟภ. จำนวน ๒,๙๒๐ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบให้ กฟภ. กู้เงินในประเทศ ภายในกรอบวงเงิน ๘,๗๔๘.๕๖ ล้านบาท เพื่อเป็นเงินลงทุนของโครงการดังกล่าว โดย กฟภ. จะทยอยดำเนินการกู้เงินตามความจำเป็นจนกว่างานจะแล้วเสร็จ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. ดำเนินการให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและมติคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานเกี่ยวกับการกำกับดูแลและควบคุมต้นทุนการดำเนินโครงการฯ เพื่อให้การลงทุนเกิดความคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพสูงสุด การศึกษาแนวทางการกำหนดอัตราค่าบริการขอใช้ไฟฟ้าแรงต่ำและแรงสูงในพื้นที่ระบบสายใต้ดินที่เหมาะสมและเป็นธรรม และการจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงในโครงการฯ รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และสำนักงบประมาณ อาทิ การพัฒนาโครงการฯ ควรคำนึงถึงความสอดคล้องและความเชื่อมโยงกับแผนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การพัฒนาระบบไฟฟ้าของประเทศเป็นไปในทิศทางเดียวกันและไม่ให้เกิดการลงทุนซ้ำซ้อน และให้ความสำคัญต่อการวางแผนการเตรียมความพร้อมในขั้นตอนของแผนการปฏิบัติงานกับหน่วยงานในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องและแผนการใช้จ่ายเงินที่ชัดเจน ตลอดจนการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องเพื่อนำผลที่ได้มาปรับปรุงและพัฒนาโครงการให้มีประสิทธิภาพและปลอดภัย สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. เร่งรัดดำเนินการตามโครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าในเมืองใหญ่ ระยะที่ ๑ ให้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดอย่างเคร่งครัดโดยให้บูรณาการการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การประปาส่วนภูมิภาค บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการฯ ให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ได้อย่างเป็นรูปธรรม ลดความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติงาน รวมทั้งลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและประชาชน ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลการดำเนินการของ กฟภ. ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๔. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้ความสำคัญกับการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานของรัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินการโครงการลงทุน เช่น กรณีโครงการนี้ของ กฟภ. ให้เป็นไปตามแผนงานอย่างเคร่งครัดและมีประสิทธิภาพ โดยให้ความสำคัญกับการเพิ่มสัดส่วนของน้ำหนักตัวชี้วัดในระบบการประเมินคุณภาพรัฐวิสาหกิจ (State Enterprise Performance Appraisal : SEPA) ในการวัดผลการดำเนินโครงการลงทุนตามแผนงานและระยะเวลาที่กำหนดด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
500 | ขออนุมัติการสนับสนุนการดำเนินโครงการ The Michelin Guide Thailand ในปี พ.ศ. 2560 - 2564 เป็นระยะเวลา 5 ปีงบประมาณ | กก | 14/02/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการดำเนินโครงการ The Michelin Guide Thailand ในปี พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ เป็นระยะเวลา ๕ ปีงบประมาณ โดยการสนับสนุนทางการเงินแก่บริษัท มิชลิน ทราเวล พาร์ทเนอร์ ในการดำเนินโครงการฯ เพื่อร่วมสนับสนุนการผลิตคู่มือแนะนำร้านอาหารในประเทศไทยที่ผ่านการคัดสรรตามมาตรฐานของมิชลิน สำหรับงบประมาณให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้ ททท. ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและต่อรองให้ได้ราคาต่ำสุด เพื่อเสนอขอปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีของ ททท. ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดย ททท. ดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ ดำเนินการตามมติคณะกรรมการ ททท. ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๙ ให้ครบถ้วน โดยในการเจรจาทำสัญญากับบริษัท มิชลินฯ สมควรระบุในสัญญาให้ชัดเจนเกี่ยวกับการขยายพื้นที่จัดโครงการฯ ในจังหวัดท่องเที่ยวหลักอื่น ๆ นอกเหนือจากกรุงเทพมหานคร ซึ่งจะเป็นประโยชน์ สอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองหลักและเมืองรองของรัฐบาล รวมทั้งให้ ททท. จัดทำแผนงานส่งเสริมการท่องเที่ยวที่สนับสนุนหรือขยายผลจากการให้การสนับสนุนโครงการฯ และทิศทางของโครงการฯ ภายหลังสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินงาน ๕ ปี และนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป ๒.๒ ติดตามผลการดำเนินงานและประเมินผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการฯ อย่างต่อเนื่องทุกปี และรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย ทั้งนี้ ในการทำสัญญาควรต้องมีข้อกำหนดให้ ททท. สามารถขอยกเลิกการดำเนินโครงการก่อนครบกำหนดระยะ ๕ ปีได้ หากผลการประเมินรายปีไม่เป็นไปตามข้อกำหนดในสัญญาหรือมีเหตุอันควรอื่นใด โดยแจ้งให้บริษัท มิชลินฯ ทราบล่วงหน้า โดย ททท. ไม่ต้องเสียค่าปรับหรือค่าใช้จ่ายใด ๆ ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดย ททท. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและกระทรวงการคลังที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้กับผู้ประกอบการและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งควรมีระบบการติดตามและประเมินผลโครงการฯ เชิงลึก และหากมีความจำเป็น เพื่อให้มีความคุ้มค่าและเกิดผลสัมฤทธิ์อันเป็นประโยชน์ต่อทางราชการและไม่ทำให้ราชการเสียประโยชน์แล้ว เห็นควรจะต้องมีการปรับปรุงและแก้ไขเงื่อนไขในการดำเนินโครงการฯ ในโอกาสแรกให้เหมาะสมด้วย รวมถึงควรดำเนินการให้ครอบคลุมจังหวัดต่าง ๆ ในประเทศไทย เพื่อสนับสนุนการกระจายการท่องเที่ยวและกระจายรายได้ไปยังจังหวัดอื่น ๆ นอกจากนี้ ในการทำสัญญา กำหนดข้อตกลง และเงื่อนไขของโครงการฯ ควรระบุเรื่องสิทธิประโยชน์ และความคุ้มค่าที่ประเทศไทยควรจะได้รับจากการสนับสนุนโครงการฯ ให้ชัดเจน เพื่อให้การประชาสัมพันธ์มีประสิทธิภาพสูงสุด ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย
|
.....