ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 22 จากทั้งหมด 252 หน้า แสดงรายการที่ 421 - 440 จากข้อมูลทั้งหมด 5030 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
421 | การแต่งตั้งผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ศาสตราจารย์ชูกิจ ลิมปิจำนงค์) | ศธ | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง ศาสตราจารย์ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ เป็นผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ตามมติคณะกรรมการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ครั้งที่ ๕๑๕/๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๖๑) ตามความในมาตรา ๒๑ แห่งพระราชบัญญัติสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พ.ศ. ๒๕๔๑ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่กำหนดในสัญญาจ้าง แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ และให้ศาสตราจารย์ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ลาออกจากการเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยก่อนลงนามในสัญญาจ้างด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
422 | ขอผูกพันงบประมาณโครงการจัดหาอุปกรณ์เครื่องมือติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์พร้อมระบบที่เกี่ยวข้องสำหรับการติดตามตัวผู้กระทำผิดในงานคุมประพฤติ (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562-พ.ศ. 2563) | ยธ | 20/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณให้กรมคุมประพฤติเช่าอุปกรณ์เครื่องมือติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมระบบควบคุมการทำงาน จำนวน ๔,๐๐๐ เครื่อง ในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-พ.ศ. ๒๕๖๓ วงเงินทั้งสิ้น ๑๕๑,๒๐๐,๐๐๐ บาท ระยะเวลาดำเนินการ ๒๘ เดือน ตามนัยมาตรา ๒๓ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เป็นกรณีเฉพาะราย โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้เบิกจ่ายจากงบประมาณโครงการพัฒนาระบบการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำความผิดในชุมชน ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณไว้แล้ว จำนวน ๒๑,๖๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือ จำนวน ๑๒๙,๖๐๐,๐๐๐ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-พ.ศ. ๒๕๖๓ โดยให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมคุมประพฤติ) รับความเห็นของกระทรวงการคลังและกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมที่เห็นควรดำเนินการตามมติคณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐในขั้นตอนการจัดหาให้เป็นไปตามกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตามความจำเป็น เหมาะสม ประหยัด และเพื่อประโยชน์ของราชการ รวมถึงเปิดกว้างไม่ระบุเจาะจงเทคนิคหรือเทคโนโลยีใดเทคโนโลยีหนึ่ง เพื่อให้มีการแข่งขันกันได้อย่างเป็นระบบ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
423 | การดำเนินโครงการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2560 (เรื่อง สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ 2/2560) | กษ | 20/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินงานโครงการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐) ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ โครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อรับซื้อยางจากเกษตรกรชาวสวนยางและนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใช้ในหน่วยงานภาครัฐ เห็นควรให้ใช้เงินกองทุนพัฒนายางพารา วงเงิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อดำเนินการหมุนเวียนรับซื้อยางตามมติคณะกรรมการการยางแห่งประเทศไทยไปก่อน หากไม่เพียงพอให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในกรอบวงเงิน ๒,๐๐๐ ล้านบาท (รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๓,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อใช้หมุนเวียนรับซื้อยางพาราภายใต้กรอบวงเงินโครงการฯ จำนวน ๑๒,๐๐๐ ล้านบาท) โดยให้จัดทำข้อมูลความต้องการใช้ยางพารา แผนการรับซื้อและจำหน่ายยางพารา ของการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) จำแนกข้อมูลเป็นรายเดือน และข้อมูลอื่น ๆ เพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอน สำหรับค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการโครงการ วงเงินไม่เกิน ๑๕๐ ล้านบาท เห็นควรให้ กยท. จัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่ายการขายยางมาหมุนเวียนเพื่อรับซื้อยางพาราตามโครงการฯ เห็นควรให้ขอทำความตกลงกับกระทรวงการคลังต่อไป ๑.๒ โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อรวบรวมยาง (วงเงินสินเชื่อ ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท) ประกอบด้วย ค่าเบี้ยประกันภัย ในอัตราร้อยละ ๐.๓๖ ต่อปี จำนวน ๓๖ ล้านบาทต่อปี ระยะเวลา ๓ ปี รวมเป็นเงิน ๑๐๘ ล้านบาท เห็นควรให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามรายจ่ายที่จะเกิดขึ้น สำหรับค่าบริหารโครงการฯ อัตราร้อยละ ๐.๑๔ ต่อปี จำนวน ๑๔ ล้านบาทต่อปี ระยะเวลา ๓ ปี รวมเป็นเงินไม่เกิน ๔๒ ล้านบาท เห็นควรให้ กยท. ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ๑.๓ โครงการสนับสนุนสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการยาง (ยางแห้ง) (วงเงินสินเชื่อ ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) โดยภาครัฐชดเชยดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ ๓ ต่อปี กรอบวงเงินไม่เกิน ๖๐๐ ล้านบาท เห็นควรให้ กยท. ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามรายจ่ายจริงที่จะเกิดขึ้นต่อไป โดยมอบหมายให้ธนาคารกรุงไทยเป็นที่ปรึกษาและแนะนำวิธีการคำนวณการชดเชยดอกเบี้ย โดยไม่รวมรายจ่ายชำระต้นเงินกู้และไม่รวมถึงการชดเชยความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต สำหรับค่าบริหารโครงการฯ วงเงินไม่เกิน ๒ ล้านบาท เห็นควรให้ กยท. ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย กยท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการทั้ง ๓ โครงการ ให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ และเป็นไปตามแนวทางของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๙ (เรื่อง โครงการส่งเสริมการใช้ยางในหน่วยงานภาครัฐ) ที่ให้กำหนดมาตรการป้องกันและกำกับการดำเนินงานทุกขั้นตอนให้มีความโปร่งใส ไม่ให้เกิดการทุจริต รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรติดตามผลสัมฤทธิ์จากการดำเนินโครงการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการดูดซับปริมาณยางออกจากระบบและด้านการรักษาเสถียรภาพราคายาง เพื่อให้การดำเนินโครงการดังกล่าวบรรลุตามวัตถุประสงค์ได้อย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
424 | ขอความเห็นชอบในการแต่งตั้งผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย | คค | 20/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย โดยให้ได้รับค่าตอบแทนคงที่ในอัตราเดือนละ ๓๖๐,๐๐๐ บาท (ตามมติคณะกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ครั้งที่ ๑๓/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ และครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๖๑) รวมทั้งค่าตอบแทนพิเศษประจำปีและสิทธิประโยชน์อื่นที่ผู้รับจ้างจะได้รับตามที่กระทรวงการคลังเห็นชอบ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่กำหนดในสัญญาจ้าง แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ และให้นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ลาออกจากการเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจก่อนลงนามในสัญญาจ้างด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
425 | การดำเนินการตามมติคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช | นร | 20/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปมติคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ครั้งที่ ๓/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ และเห็นชอบการเปิดตลาดและบริหารการนำเข้าสินค้ากากถั่วเหลือง พิกัดอัตราศุลกากร ๒๓๐๔.๐๐.๙๐ รหัสย่อย ๐๒ เฉพาะที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมผลิตเพื่อมนุษย์บริโภค บริโภค (รหัสสถิติ 002/KGM) และรหัสย่อย ๒๙ เฉพาะที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ (รหัสสถิติ 090/KGM) เป็นคราวละ ๓ ปี คือปี ๒๕๖๑-๒๕๖๓ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ประธานกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชเสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การเปิดตลาดสินค้ากากถั่วเหลืองมาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมผลิตเพื่อมนุษย์บริโภค เมื่อนำมาเป็นวัตถุดิบหรือผลิตผลิตภัณฑ์อาหารต้องมีคุณภาพหรือมาตรฐานเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด การกำกับดูแลการปฏิบัติตามแนวทางการบริหารการนำเข้าอย่างเคร่งครัดเพื่อควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยทางอาหาร อันจะนำไปสู่การยกระดับอุตสาหกรรมไทยตลอดห่วงโซ่อุปทาน การติดตามสถานการณ์การผลิต การตลาด และความเคลื่อนไหวราคาสินค้าเกษตรดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง รวมถึงรายงานผลการดำเนินการให้คณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชได้รับทราบเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาเปิดตลาดในระยะต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้คณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กำกับดูแลและติดตามการนำเข้าสินค้ากากถั่วเหลืองที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมผลิตเพื่อมนุษย์บริโภค และกากถั่วเหลืองที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่จะมีการเปิดตลาดภายใต้กรอบการค้าต่าง ๆ ในครั้งนี้อย่างใกล้ชิด รวมทั้งพิจารณาทบทวนมาตรการการนำเข้าและแนวทางการบริหารการนำเข้าภายใต้กรอบการค้าต่าง ๆ ดังกล่าวเป็นระยะ ๆ ให้ทันต่อสถานการณ์การนำเข้าและสถานการณ์การตลาดภายในประเทศด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
426 | การเสนอความเห็นการยุบเลิกทุนหมุนเวียนของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน | กค | 27/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ยุบเลิกเงินทุนสำนักพิมพ์คณะรัฐมนตรีและราชกิจจานุเบกษา ตามมติคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน ครั้งที่ ๖/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๖๐ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอ ๒. ให้สำนักงบประมาณรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรสนับสนุนงบประมาณแก่สำนักพิมพ์คณะรัฐมนตรีและราชกิจจานุเบกษาเพิ่มเติมตามความจำเป็น เพื่อให้สามารถบริหารงานในฐานะหน่วยบริการรูปแบบพิเศษได้อย่างมีประสิทธิภาพและพัฒนาคุณภาพการให้บริการงานพิมพ์แก่ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และประชาชน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
427 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2560 | ทส | 20/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ซึ่งเป็นเรื่องเชิงนโยบายที่สำคัญและได้ข้อยุติแล้ว จำนวน ๔ เรื่อง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. รายงานการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบก นครราชสีมา ระยะที่ ๒ (เพื่อขยายโอกาสใช้พลังงานสะอาดและลดมลภาวะในภาคขนส่งและอุตสาหกรรมเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง) ครั้งที่ ๒ ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ตั้งอยู่ที่อำเภอสูงเนิน อำเภอปักธงชัย อำเภอโชคชัย และอำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ๒. โครงการรถไฟความเร็วสูง สายกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา (ช่วงชุมทางบ้านภาชี-นครราชสีมา) (ภายใต้โครงการศึกษาและออกแบบรถไฟความเร็วสูง สายกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา) ของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ๓. แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ๔. การเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์โครงการภายใต้แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๙-๒๕๔๐ (กรณีจัดซื้อที่ดินเพื่อใช้เป็นพื้นที่ก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสีย เทศบาลเมืองเลย จังหวัดเลย) เนื่องจากเทศบาลเมืองเลยยังไม่ได้ก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสีย ประกอบกับสภาพพื้นที่ตามแนวเขตท่อ และจุดพักน้ำเสียจากการศึกษาออกแบบ ได้เปลี่ยนแปลงไปสำหรับการจัดการน้ำเสียในเขตเทศบาลเมืองเลย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
428 | การบริหารจัดการน้ำและแนวทางการพัฒนาเพื่อรองรับระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก | นร04 | 06/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบมติคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ เกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำและแนวทางการพัฒนาเพื่อรองรับระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) รองประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการแผนการพัฒนาเพื่อรองรับ EEC ในระยะ ๑๐ ปี ที่กรมชลประทานเสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมโครงการต่อไป ๑.๒ ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการใช้น้ำและอื่น ๆ จัดทำแผนปฏิบัติการและจัดลำดับความสำคัญให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาของ EEC รวมทั้งระบบโครงข่ายการส่งน้ำที่จำเป็น รวมทั้งพิจารณาในเรื่องการบรรเทาอุทกภัยด้วย ๑.๓ ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนหลักเพื่อรองรับการพัฒนาในระยะ ๒๐ ปี รวมทั้งทบทวนความเพียงพอของการพัฒนาในระยะ ๑๐ ปี โดยให้ครอบคลุมถึงการใช้น้ำระหว่างประเทศ เทคโนโลยีการพัฒนาน้ำบาดาลชั้นสูง และการผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยกำชับผู้ว่าราชการจังหวัดนำแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Agri-Map) ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มาใช้ประกอบการพิจารณาในการจัดทำ/ดำเนินโครงการต่าง ๆ ในพื้นที่ที่รับผิดชอบด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
429 | รายงานการประเมินผลองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 และรายงานการประเมินสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | นร12 | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการประเมินผลองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ และให้องค์การมหาชนรายงานผลการดำเนินงานที่แสดงให้เห็นถึงการบรรลุวัตถุประสงค์การจัดตั้ง และมูลค่าทางเศรษฐกิจหรือทางสังคมที่เป็นผลลัพธ์ขององค์กร และรับทราบรายงานการประเมินสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามมติคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน (กพม.) ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๐ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รายงานผลการประเมินองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๑๕ แห่ง มีค่าคะแนนเฉลี่ยในภาพรวม ๔.๒๙๙๕ คะแนน ซึ่งสูงกว่าเป้าหมาย (ค่าคะแนนมากกว่า ๓.๐๐ คะแนนขึ้นไป) (และลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนซึ่งคะแนนอยู่ที่ ๔.๓๓๙๘ คะแนน) ทั้งนี้ กพม. มีข้อสังเกตว่า องค์การมหาชนควรกำหนดตัวชี้วัดให้สอดคล้องกับเป้าหมาย วิสัยทัศน์ ภารกิจ และวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งองค์กร บริบทสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน เช่น การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี นวัตกรรม การแข่งขันทางธุรกิจ เป็นต้น รวมถึงควรสะท้อนถึงผลลัพธ์และผลกระทบเชิงเศรษฐศาสตร์ เศรษฐกิจ สังคม ให้ชัดเจนด้วย ๒. รายงานการประเมิน สกสค. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ผลคะแนนโดยรวมของ สกสค. อยู่ที่ระดับคะแนน ๓.๔๕๘๑ ดีกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ (ระดับคะแนน ๓.๐ คะแนน) และมีค่าคะแนนสูงกว่าผลการประเมินเฉลี่ยย้อนหลัง ๓ ปีเล็กน้อย (ค่าเฉลี่ยปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ เท่ากับ ๓.๓๗๕๗ คะแนน) ทั้งนี้ กพม. มีข้อสังเกตว่า สกสค. ควรมอบหน่วยงานภายในหรือแต่งตั้งคณะทำงานรับผิดชอบการดำเนินการตามตัวชี้วัดเพื่อผลักดันให้มีการดำเนินการตามตัวชี้วัดเกิดเป็นรูปธรรม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
430 | การกำหนดสินค้าและบริการควบคุมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 | พณ | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดสินค้าและบริการควบคุมปี ๒๕๖๑ จำนวน ๕๓ รายการ จำแนกเป็น ๔๘ สินค้า และ ๕ บริการ ตามมติคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประชาสัมพันธ์ให้ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าและบริการ รวมทั้งประชาชนทั่วไปรับทราบอย่างทั่วถึง และให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการต่อยอดและใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและพัฒนาการแปรรูปยางพาราอย่างจริงจัง เพื่อเพิ่มปริมาณความต้องการ ตลอดจนเพิ่มมูลค่าและยกระดับราคายางพาราภายในประเทศได้อย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
431 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน เพื่อดำเนินโครงการรถไฟฟ้า สายสีม่วง ช่วงเตาปูน - ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) รวม 2 ฉบับ | คค | 09/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา รวม ๒ ฉบับ เพื่อกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนเพื่อดำเนินกิจการรถไฟฟ้า ในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดสร้างโครงการขนส่งด้วยระบบรถไฟฟ้า สถานที่จอดรถสำหรับผู้โดยสาร และกิจการอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการรถไฟฟ้า และเพื่อประโยชน์ในการดำเนินกิจการขนส่งมวลชนตามโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่เขตบางซื่อ เขตดุสิต เขตพระนคร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตสัมพันธวงศ์ เขตธนบุรี เขตคลองสาน เขตจอมทอง เขตราษฎร์บูรณะ เขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร และอำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน ในท้องที่เขตบางซื่อ เขตดุสิต เขตพระนคร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตสัมพันธวงศ์ เขตธนบุรี เขตคลองสาน เขตจอมทอง เขตราษฎร์บูรณะ เขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร และอำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. .... ๒. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงคมนาคม โดยการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เร่งรัดจัดทำรายงานชี้แจงเพิ่มเติมและดำเนินการตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในคราวประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๙ รวมทั้งในการกำหนดบริเวณที่ที่จะเวนคืนและดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชนตามร่างพระราชกฤษฎีกาทั้ง ๒ ฉบับ ควรคำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับโบราณสถาน ทั้งโบราณสถานที่อยู่เหนือพื้นดิน และโบราณสถานที่อยู่ในบนแนวเส้นทางหรือใกล้เคียงกับแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ และอาคารที่ก่อสร้างเกี่ยวเนื่องกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง นอกจากนี้ ควรเร่งรัดการดำเนินการตามขั้นตอนพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อให้สามารถเปิดให้บริการโครงการได้ทันทีเมื่อการก่อสร้างงานโยธาแล้วเสร็จ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
432 | การเสนอความเห็นการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน (กองทุนสิ่งแวดล้อม) | กค | 09/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบผลการพิจารณาการขอจัดตั้งกองทุนสิ่งแวดล้อมตามมติคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน ครั้งที่ ๕/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ซึ่งเห็นชอบในหลักการการจัดตั้งกองทุนสิ่งแวดล้อม โดยมีข้อสังเกตว่า การเพิ่มแหล่งเงินของกองทุนฯ ตามร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. .... มาตรา ๒๓ (๖) ที่กำหนดให้ค่าธรรมเนียม ค่าบริการ เงินเพิ่ม ค่าปรับ หรือภาษีอากร ที่มีกฎหมายกำหนดให้เป็นของกองทุนฯ หรือส่งเข้ากองทุนฯ นั้น อาจเป็นการกำหนดแหล่งที่มาของเงินไม่สอดคล้องกับหลักการของร่างพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. .... ที่บัญญัติให้การเสนอกฎหมายที่มีบทบัญญัติให้จัดเก็บภาษีอากรหรือค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นจากที่กำหนดไว้ในกฎหมายเพื่อให้หน่วยงานของรัฐนำไปจ่ายตามวัตถุประสงค์ของหน่วยงานนั้น หรือเพื่อการหนึ่งการใดเป็นการเฉพาะจะกระทำมิได้ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับข้อสังเกตของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน และความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เห็นว่า หากมีการตัดมาตรา ๒๓ (๖) ออกจากร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. .... อาจส่งผลให้ในอนาคตหากมีกฎหมายที่กำหนดให้ส่งค่าธรรมเนียม ค่าบริการ เงินเพิ่ม ค่าปรับ หรือภาษีอากรเข้ากองทุนฯ อาจไม่มีช่องทางในการเปิดรับเงินดังกล่าวได้ ไปประกอบการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. .... ต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
433 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 4/2560 | กค | 09/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ ๔/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ ประกอบด้วย ๕ เรื่อง ได้แก่ (๑) รายงานความคืบหน้าร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... (๒) แนวทางการแต่งตั้งกรรมการรัฐวิสาหกิจ (๓) การแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจ ๗ แห่ง ได้แก่ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และการรถไฟแห่งประเทศไทย (๔) การขออนุมัติจัดตั้ง/ร่วมทุนบริษัทในเครือของบริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (PEA Encom) เพื่อดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐ สำหรับพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในส่วนของแผนงานผลิตไฟฟ้าชุมชนจากชีวมวล และ (๕) หลักเกณฑ์การจ่ายโบนัสกรรมการ พนักงาน และลูกจ้างของบริษัทลูกที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐวิสาหกิจที่เป็นผู้ถือหุ้น และมอบหมายผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่าง ๆ ดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจดังกล่าวต่อไป ตามที่ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย) กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย) คณะอนุกรรมการกลั่นกรองกรรมการรัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยประสานกระทรวงการคลังเกี่ยวกับกระบวนการเพิ่มทุนอย่างใกล้ชิดและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นการล่วงหน้า และให้การรถไฟแห่งประเทศไทยเร่งดำเนินการแนวทางต่าง ๆ ในการจัดตั้งบริษัทลูกตามที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจกำหนดให้แล้วเสร็จก่อนเริ่มเปิดให้บริการ รวมทั้งพิจารณากำหนดผู้มีอำนาจหน้าที่ในการเสนอรายชื่อบุคคลที่จะแต่งตั้งเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจให้ชัดเจนและเหมาะสม โดยหลีกเลี่ยงผลกระทบจากปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. เพื่อให้การดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมีการพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรม ให้รัฐวิสาหกิจทั้ง ๗ แห่ง ดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ มติคณะรัฐมนตรี และข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ตลอดจนให้กระทรวงที่กำกับการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจดังกล่าวกำกับ ติดตาม และเร่งรัดการดำเนินการของรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งให้จัดทำแผนขับเคลื่อนองค์กรในระยะยาวที่สอดคล้องกับภารกิจหลักขององค์กรและการจัดทำแผนปฏิบัติการรายปีที่มีความชัดเจนและเป็นไปตามแผนขับเคลื่อนองค์กรในระยะยาวดังกล่าวให้แล้วเสร็จตามระยะเวลาที่ได้กำหนดไว้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
434 | การเสนอความเห็นการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน (กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา และกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม) | กค | 09/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบผลการพิจารณาการขอจัดตั้งกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา และกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม ตามมติคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน ครั้งที่ ๖/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๖๐ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการการจัดตั้งกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา โดยมีข้อสังเกตว่า (๑) เงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้เป็นรายปี ควรให้กองทุนฯ เสนอขอรับการจัดสรรตามความจำเป็นต่อไป และเป็นไปตามกำลังเงินของแผ่นดิน (๒) ควรกำหนดให้มีเลขานุการคณะกรรมการตรวจสอบไว้ในองค์ประกอบคณะกรรมการตรวจสอบตามร่างพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ. .... (๓) ควรกำหนดให้กองทุนฯ เข้าสู่กระบวนการประเมินผลการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ (๔) ควรกำหนดกลุ่มเป้าหมายและหลักเกณฑ์วิธีการในการจัดสรรเงินสนับสนุนช่วยเหลือให้กับนักเรียนนักศึกษาให้ชัดเจน เพื่อมิให้เกิดความซ้ำซ้อนกับการดำเนินงานของหน่วยงานอื่นของรัฐ และ (๕) การกำหนดโครงสร้างและกรอบอัตรากำลังควรกำหนดให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ ๑.๒ เห็นชอบในหลักการการจัดตั้งกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม โดยมีข้อสังเกตว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ควรกำกับการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ให้เกิดประสิทธิภาพโดยสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การจัดตั้งกองทุนฯ รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์การช่วยเหลือประชาชนในภาวะลำบากให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงการคลัง (สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง) รับข้อสังเกตของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปอย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
435 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2560 | กษ | 19/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มตามมติคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๐ โดยลดปริมาณสต็อกน้ำมันปาล์มดิบ จำนวน ๒๐๐,๐๐๐ ตัน ภายในเดือนธันวาคม ๒๕๖๐ โดยให้ผู้ส่งออก โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มเร่งส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ ตัน และให้กระทรวงพลังงานประสานผู้ค้าน้ำมันซื้อน้ำมันปาล์มดิบไปผลิตเป็นไบโอดีเซลเพื่อสต็อก จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ ตัน นอกเหนือจากที่ให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗ สำรองไว้เดิม รวมทั้งให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาให้การสนับสนุนสิ่งอำนวยความสะดวกการส่งออก เช่น การขนส่งน้ำมันปาล์มและเรือในการส่งออก ในส่วนการช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อย ให้องค์การคลังสินค้าหารือร่วมกับเกษตรกรและโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มกำหนดแนวทางการช่วยเหลือเพื่อให้เกษตรกรได้รับราคาที่ดีขึ้น โดยเน้นการผลิตปาล์มคุณภาพ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ประธานกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติเสนอ ๒. ให้คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน และกระทรวงพาณิชย์พิจารณาดำเนินการเพื่อให้การบริหารจัดการปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มของประเทศทั้งระบบมีความยั่งยืน และช่วยให้เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันสามารถจำหน่ายผลผลิตได้ในราคาที่เป็นธรรม ดังนี้ ๒.๑ จัดทำแผนการบริหารจัดการสต็อกน้ำมันปาล์มดิบเพิ่มเติมจากแนวทางการแก้ไขปัญหาสต็อกน้ำมันปาล์มดิบตามข้อ ๑ โดยให้พิจารณากำหนดแนวทางบริหารจัดการสต็อกน้ำมันปาล์มดิบที่มีอยู่เดิมและน้ำมันปาล์มดิบที่เป็นผลผลิตที่จะออกสู่ตลาดในอนาคตแยกออกจากกันให้ชัดเจน ๒.๒ กำหนดแนวทางใช้น้ำมันปาล์มภายในประเทศให้เหมาะสม โดยคำนึงถึงรูปแบบการใช้และลักษณะตลาดที่มีความแตกต่างกันระหว่างการใช้เป็นอาหารและการใช้เป็นพลังงาน ทั้งนี้ ควรพิจารณากำหนดแนวทางการจูงใจให้มีการใช้น้ำมันปาล์มภายในประเทศให้เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคพลังงาน ๓. ให้คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรเร่งรัดให้มีการกำหนดแผนการบริหารจัดการปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มของประเทศทั้งระบบอย่างครบวงจร โดยกำหนดเป้าหมายปริมาณปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มให้เหมาะสมกับความต้องการใช้ภายในประเทศและสนับสนุนการส่งออกให้มากขึ้น และบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันเกษตรกร เกษตรกร ในการรักษาสมดุลปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มภายในประเทศให้มีเสถียรภาพอย่างยั่งยืน รวมทั้งช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยการลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลผลิตต่อไร่ เพื่อให้ผลผลิตที่ได้มีคุณภาพได้มาตรฐาน สามารถขายได้ในราคาดีและมีรายได้เพิ่มขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
436 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีและรายงานผลการดำเนินงานโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ระยะเร่งด่วน จำนวน 5 เส้นทาง | คค | 19/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแนวทางการดำเนินงานสำหรับโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ระยะเร่งด่วน ๕ เส้นทาง (ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ ช่วงนครปฐม-หัวหิน ช่วงหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ และช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร) จำนวน ๓ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ (สายเหนือ) (๒) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ (สายตะวันออกเฉียงเหนือ) และ (๓) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงนครปฐม-ชุมพร (สายใต้) ตามแนวทางของคณะกรรมการกำกับการจัดซื้อจัดจ้างและมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง รายงานผลการพิจารณาการดำเนินการโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ จำนวน ๗ เส้นทาง ของการรถไฟแห่งประเทศไทย) ๒. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ (เรื่อง ขออนุมัติดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ) ในส่วนของโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๙ (เรื่อง ขออนุมัติดำเนินงานโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ (เรื่อง ขออนุมัติดำเนินโครงการก่อสร้างทางรถไฟทางคู่ ช่วงหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์) ในส่วนของโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงนครปฐม-ชุมพร ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินการต่อไปให้ถูกต้อง โปร่งใส ตรวจสอบได้ และเกิดประสิทธิภาพสูงสุดด้วย ๓. สำหรับโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ ให้ รฟท. เร่งปรับแบบรายละเอียดบริเวณอำเภอสีคิ้วและตัวเมืองนครราชสีมาของโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ สัญญาที่ ๒ คลองขนานจิตร ชุมทางถนนจิระ และจัดทำรายงานการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการรถไฟทางคู่ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ [รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment : EIA)] ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว แล้วเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาตามขั้นตอนก่อนดำเนินการต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๔. อนุมัติการเปลี่ยนแปลงรายการค่าก่อสร้าง จำนวน ๑๓ สัญญา และรายการค่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อบริหารโครงการและควบคุมงานก่อสร้าง จำนวน ๓ สัญญา ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ ภาระค่าใช้จ่ายเป็นค่าก่อสร้างและค่าจ้างที่ปรึกษา ให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ โดยเห็นชอบให้ รฟท. กู้เงินตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓๙ (๔) ๕. อนุมัติรายการค่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อปรับแบบรายละเอียดบริเวณอำเภอสีคิ้วและตัวเมืองนครราชสีมา ในโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ สัญญาที่ ๒ คลองขนานจิตร-ชุมทางถนนจิระ และค่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อทบทวน จัดทำเอกสารประกวดราคา และดำเนินการประกวดราคาโดยวิธีการประกวดราคานานาชาติ (International Bidding) โครงการจัดหาและติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณและโทรคมนาคม ในโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ จำนวน ๕ เส้นทาง ทั้งนี้ ภาระค่าใช้จ่ายเป็นค่าจ้างที่ปรึกษาทั้ง ๒ รายการดังกล่าว ให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๖. ให้กระทรวงคมนาคมและ รฟท. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น เห็นควรให้มีการติดตามและกำกับดูแลการก่อสร้างรถไฟทางคู่ระยะเร่งด่วน จำนวน ๕ เส้นทางดังกล่าวให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ และพิจารณาประยุกต์ใช้แนวทางการจัดซื้อจัดจ้างตามมติคณะกรรมการกำกับการจัดซื้อจัดจ้างในโครงการก่อสร้างรถไฟสายใหม่และทางคู่ระยะต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
437 | รายงานผลการดำเนินงานและความคืบหน้าโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา) ครั้งที่ 1 | คค | 19/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานและความคืบหน้าโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาคช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา) ครั้งที่ ๑ และเห็นชอบการดำเนินการตามมติคณะกรรมการบริหารการพัฒนาโครงการความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีน ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ตามที่คณะกรรมการบริหารการพัฒนาโครงการความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีนเสนอ โดยไม่ต้องนำเรื่องนี้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบ ตามความเห็นเพิ่มเติมของเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ทั้งนี้ ให้การรถไฟแห่งประเทศไทย รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อาทิ การดำเนินการก่อสร้างและค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างให้เป็นไปตามแผนและอยู่ภายใต้กรอบวงเงินที่ได้รับอนุมัติ การกำหนดเงื่อนไขในการดำเนินงาน กรอบวงเงิน และระยะเวลาการก่อสร้างให้ชัดเจนในบันทึกความร่วมมือระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทยและกรมทางหลวง การดำเนินการตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมทั้งขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการ และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ ตลอดจนการสร้างความรับรู้และความเข้าใจให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นระยะ ๆ อย่างเหมาะสม รวมทั้งการให้ความสำคัญการจัดลำดับแผนการก่อสร้างโครงการฯ ที่มีความเหมาะสม สร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการภายในประเทศสามารถเข้าร่วมประกวดราคา ในโครงการฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. สำหรับกรณีที่การรถไฟแห่งประเทศไทยจะเบิกเงินกู้ให้กรมทางหลวงดำเนินการก่อสร้างทางรถไฟระยะแรก (ช่วงกลางดง-ปางอโศก ระยะทาง ๓.๕ กิโลเมตร) ให้การรถไฟแห่งประเทศไทยและกรมทางหลวงดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลัง โดยให้ปฏิบัติให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๓. ให้คณะกรรมการบริหารการพัฒนาโครงการความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีน กำกับและเร่งรัดการดำเนินการก่อสร้างงานโยธาโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา) ในส่วนที่เหลือ ตลอดจนเร่งรัดการดำเนินโครงการฯ ระยะที่ ๒ (ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย) ให้แล้วเสร็จตามแผนงานที่กำหนดไว้ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
438 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ 2/2560 | กษ | 19/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๐ ในการอนุมัติแผนยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) และเห็นชอบร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ ๒๐ ปี และเห็นชอบการเจรจาเพื่อตกลงเรื่องค่าเสียหายตามสัญญาซื้อขายผลิตภัณฑ์ยาง ระหว่างการยางแห่งประเทศไทยและบริษัท China Hainan Rubber Industry Group Co.Ltd. และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ที่ให้การยางแห่งประเทศไทยร่วมกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องดำเนินการติดตามการดำเนินโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการยาง วงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท และให้การยางแห่งประเทศไทยร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ดำเนินการเกี่ยวกับปัญหาการปลูกยางพาราในพื้นที่ป่าไม้ พร้อมทั้งหาแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่ดังกล่าว โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๓ เดือน ตามที่่เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติเสนอ ๒. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๐ (เฉพาะโครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง และโครงการสนับสนุนสินเชื่อสถาบันเกษตรกรแปรรูปยางพารา) โดยในส่วนของโครงการสนับสนุนสินเชื่อสถาบันเกษตรกรแปรรูปยางพารา ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามรายจ่ายจริงที่เกิดขึ้น ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. เห็นชอบในหลักการตามมติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๐ [เฉพาะโครงการสนับสนุนสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อรวบรวมยางพารา (วงเงินสินเชื่อ ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท) โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการยาง (ยางแห้ง) โครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐ โครงการควบคุมปริมาณผลผลิต และการจัดตั้งกองทุนรักษาเสถียรภาพราคายาง] และมอบหมายให้การยางแห่งประเทศไทยเร่งหารือในรายละเอียดเกี่ยวกับแหล่งเงินสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายของโครงการต่าง ๆ ดังกล่าวให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจนโดยเร็ว โดยให้นำความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ ไปประกอบการหารือด้วย และดำเนินการต่อไปได้ ให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ให้เร่งดำเนินการตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็วเพื่อให้สามารถเริ่มดำเนินโครงการต่าง ๆ ได้ในช่วงต้นปี ๒๕๖๑ ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (การยางแห่งประเทศไทย) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณเกี่ยวกับกรณีที่มีการขอใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๕. ให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการดำเนินการเพื่อให้หน่วยงานของรัฐที่มีความต้องการใช้ยางพาราตามโครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐสามารถใช้ยางพาราที่การยางแห่งประเทศไทยได้รวบรวมจากเกษตรกรปลูกยางพารา โดยต้องดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
439 | นโยบายและมาตรการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ ปี 2561 - 2563 | พณ | 12/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดนโยบายและมาตรการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ ปี ๒๕๖๑-๒๕๖๓ (กากถั่วเหลือง ปลาป่น และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์) ตามมติคณะกรรมการนโยบายอาหาร ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ (ครั้งที่ ๗๘) เมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๐ โดยเป็นการกำหนดนโยบายและมาตรการนำเข้า คราวละ ๓ ปี ทุกกรอบการค้าและจากประเทศนอกความตกลง ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประธานกรรมการนโยบายอาหารเสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางในการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ให้ครอบคลุมถึงวัตถุดิบทดแทนอาหารสัตว์อื่น ๆ นอกเหนือจากวัตถุดิบอาหารสัตว์ ๓ ชนิด (กากถั่วเหลือง ปลาป่น และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์) ด้วย เช่น ข้าวสาลี กากข้าวโพดเอทานอล เป็นต้น รวมทั้งให้พิจารณาแนวทางการบริหารจัดการวัตถุดิบอาหารสัตว์ในประเทศเพื่อให้มีการผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์ในประเทศ (กากถั่วเหลือง ปลาป่น และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์) มากยิ่งขึ้น เพื่อลดปริมาณการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์จากต่างประเทศ ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ คณะกรรมการนโยบายอาหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อาทิ การพิจารณาปรับแก้ความคลาดเคลื่อนของอัตราภาษีของรายการสินค้านำเข้าที่กำหนดไว้ในร่างนโยบายและมาตรการฯ ให้ตรงตามข้อผูกพันของไทยภายใต้ความตกลงการค้าเสรีต่าง ๆ ของไทย การชี้แจงให้ประเทศเพื่อนบ้านได้เข้าใจนโยบายและมาตรการนำเข้าสินค้าเกษตรของไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบางส่วนเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่เพิ่มขึ้นในช่วงฤดูกาลที่มีผลผลิตจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และแสวงหาวิธีการที่จะช่วยผ่อนคลายหรือระบายวัตถุดิบอาหารสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้านโดยไม่กระทบกับผลประโยชน์ในภาพรวมของไทย การติดตามการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ เพื่อเฝ้าระวังและวิเคราะห์ผลกระทบต่อเกษตรกรในภาพรวมอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งกำกับดูแลการนำไปใช้ประโยชน์ให้ถูกต้องตรงตามวัตถุประสงค์ที่นำเข้า เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยอาหารของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ในประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
440 | ขอความเห็นชอบตามมาตรการในประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและขอผ่อนผันการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2535 เรื่อง แผนแม่บทการจัดการปะการังของประเทศ โครงการก่อสร้างระบบท่อส่งประปาลอดใต้ทะเลไปยังเกาะสมุย | มท | 28/11/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ชี้แจงเพิ่มเติมว่า โครงการก่อสร้างระบบท่อส่งน้ำประปาลอดใต้ทะเลไปยังเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้รับการอนุมัติให้ดำเนินการตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยการก่อสร้างปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาคสาขาเกาะสมุย ระยะที่ ๑ แบ่งออกเป็น ๓ ส่วน และมีการดำเนินการไปแล้ว ๒ ส่วน คือ ส่วนที่ ๑ : การวางท่อจากจังหวัดสุราษฎร์ธานี-อำเภอดอนสัก และส่วนที่ ๓ : การวางท่อส่งจ่ายน้ำบนเกาะสมุย ดำเนินการก่อสร้างมาแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๗ สำหรับส่วนที่ ๒ : การวางท่อจากอำเภอดอนสัก-ลอดทะเล-อำเภอเกาะสมุย ยังมิได้ดำเนินการ เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ให้ใช้มาตรการสิ่งแวดล้อมที่จะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในบริเวณท้องที่ตำบลตลิ่งงาม ตำบลบ่อผุด ตำบลมะเร็ต ตำบลแม่น้ำ ตำบลหน้าเมือง ตำบลอ่างทอง ตำบลลิปะน้อย อำเภอเกาะสมุย และตำบลเกาะพะงัน ตำบลบ้านใต้ ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. ๒๕๕๗ รวมทั้งมีบางส่วนที่จะต้องวางท่อลอดใต้ท้องทะเลใกล้แนวปะการังในระยะ ๑ กิโลเมตร ซึ่งจะต้องขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๓๕ (เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง แผนแม่บทการจัดการปะการังของประเทศ) ด้วย หากไม่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้จะทำให้ไม่สามารถเชื่อมต่อโครงการฯ ได้ทั้งระบบและใช้ประโยชน์ได้ ๒. เห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๒.๑ เห็นชอบตามมาตรการข้อ ๓ (๑)(ค) ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในบริเวณท้องที่ตำบลตลิ่งงาม ตำบลบ่อผุด ตำบลมะเร็ต ตำบลแม่น้ำ ตำบลหน้าเมือง ตำบลอ่างทอง ตำบลลิปะน้อย อำเภอเกาะสมุย และตำบลเกาะพะงัน ตำบลบ้านใต้ ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. ๒๕๕๗ ในการดำเนินการโครงการก่อสร้างระบบท่อส่งน้ำประปาลอดใต้ทะเลไปยังเกาะสมุย (โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาคสาขาเกาะสมุย อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ระยะที่ ๑ ส่วนที่ ๒ ปีงบประมาณ ๒๕๕๘) ๒.๒ ผ่อนผันการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๓๕ ในการดำเนินการโครงการก่อสร้างระบบท่อส่งน้ำประปาลอดใต้ทะเลไปยังเกาะสมุย (โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาคสาขาเกาะสมุย อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ระยะที่ ๑ ส่วนที่ ๒ ปีงบประมาณ ๒๕๕๘) ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย โดยการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ดำเนินการตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๖๐ และคณะกรรมการกำกับดูแลและติดตามผลการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมจังหวัดสุราษฎร์ธานี ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๙ ที่ให้ กปภ. สร้างปะการังเทียม หรือปลูกปะการังจริงในพื้นที่ใกล้เคียงทดแทน รณรงค์การลดการใช้น้ำ การบำบัดน้ำเสีย และการนำน้ำเสียที่บำบัดแล้วกลับมาใช้ประโยชน์ การสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโครงการฯ ให้สื่อมวลชนและประชาชนได้รับทราบ และดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ครอบคลุม ครบถ้วน และถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ กปภ. แจ้งรายละเอียดการดำเนินการให้กรมเจ้าท่าทราบ เพื่อออกประกาศให้เรือที่แล่นสัญจรผ่านไป-มา ระมัดระวังการเดินเรือในพื้นที่ก่อสร้างโครงการฯ และควรพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง อาทิ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูแนวปะการัง โดยอาจขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการขนาดใหญ่บนเกาะสมุยร่วมด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ในการจัดให้มีน้ำเพื่อการอุปโภคและบริโภคของประชาชนในบริเวณพื้นที่ที่เป็นเกาะต่าง ๆ ในโอกาสต่อไป ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการจัดตั้งโรงงานผลิตน้ำประปาในพื้นที่ควบคุมไปกับการดำเนินการบำบัดน้ำเสีย แทนการจัดทำท่อส่งน้ำประปาลอดใต้ทะเล โดยให้กระทรวงการคลังพิจารณามาตรการภาษีเพื่อสนับสนุน/การส่งเสริมให้ดำเนินการดังกล่าวด้วย
|
.....