ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 26 จากทั้งหมด 252 หน้า แสดงรายการที่ 501 - 520 จากข้อมูลทั้งหมด 5030 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
501 | แผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน ปี 2551 - 2556 (ฉบับปรับปรุง) ของการไฟฟ้านครหลวง | มท | 31/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ดำเนินการตามแผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน ปี ๒๕๕๑-๒๕๕๖ (ฉบับปรับปรุง) วงเงินลงทุนรวม ๙,๐๘๘.๘ ล้านบาท โดยใช้เงินกู้ในประเทศ จำนวน ๕,๔๐๐.๐ ล้านบาท และเงินรายได้ของ กฟน. จำนวน ๓,๖๘๘.๘ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ กฟน. เร่งรัดการดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามแผนงานและกรอบระยะเวลาที่กำหนดอย่างเคร่งครัด โดยไม่ให้มีการขยายระยะเวลาและเพิ่มวงเงินลงทุนอีก รวมทั้งให้รายงานผลการดำเนินการตามแผนงานดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ ด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟน. ดำเนินการให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน รวมทั้งรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาความล่าช้าของแผนงานและกำหนดแผนงานให้สอดคล้องกับความสามารถในการดำเนินงาน การกำกับดูแลและควบคุมต้นทุนการดำเนินงานอย่างใกล้ชิดและประหยัดมากที่สุด การประมาณการความต้องการใช้ไฟฟ้าและการให้บริการไฟฟ้าในอนาคตเป็นหลัก การกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าให้เหมาะสมกับการลงทุนและคุณภาพการให้บริการ การปรับปรุงโครงสร้างองค์กรให้สอดคล้องกับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้น การจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินงานตามแผนงาน การประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อลดการลงทุนที่ซ้ำซ้อนระหว่างหน่วยงานและเพื่อให้โครงการสามารถดำเนินงานได้ตามแผนงานที่ตั้งเป้าหมายไว้ และการจัดทำการประเมินผลความคุ้มค่าการลงทุนตามแผนงานในด้านประสิทธิภาพของระบบไฟฟ้า ความมั่นคงและความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า คุณภาพการบริการ รวมถึงผลกระทบค่าไฟฟ้าในอนาคต ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไป ๒. ให้ กฟน. ควบคุมต้นทุนการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนงานเพื่อการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพและลดผลกระทบต่ออัตราค่าไฟโดยรวม และให้จัดทำแผนบริหารความเสี่ยงรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินงานตามแผนงานด้วย ๓. ให้ กฟน. บูรณาการการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรุงเทพมหานคร การประปานครหลวง บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เพื่อให้สามารถดำเนินการตามแผนงานดังกล่าวให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ได้อย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ลดความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติงาน รวมทั้งลดผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และประชาชนผู้ใช้บริการที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลการดำเนินการของ กฟน. ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๔. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้ความสำคัญกับการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานของรัฐวิสาหกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินการโครงการลงทุนให้เป็นไปตามแผนงานอย่างเคร่งครัดและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ โดยให้ความสำคัญกับการเพิ่มสัดส่วนของน้ำหนักตัวชี้วัดในระบบการประเมินคุณภาพรัฐวิสาหกิจ (State Enterprise Performance Appraisal : SEPA) ในการวัดผลการดำเนินโครงการลงทุนตามแผนงานและระยะเวลาที่กำหนดด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
502 | กรอบแนวทางในการป้องกันอาชญากรรมที่มีประสิทธิภาพ | ยธ | 24/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบกรอบแนวทางในการป้องกันอาชญากรรมที่มีประสิทธิภาพ ทั้ง ๖ ด้าน ประกอบด้วย (๑) การป้องกันอาชญากรรมโดยสภาพแวดล้อม (๒) การป้องกันอาชญากรรมโดยการมีส่วนร่วมของประชาชน (๓) การป้องกันอาชญากรรมโดยการป้องกันการกระทำผิดซ้ำ (๔) การป้องกันอาชญากรรมโดยการเฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสจะกระทำความผิด (๕) การป้องกันอาชญากรรมโดยการลดโอกาสการตกเป็นเหยื่อ (๖) การพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพบุคลากรในการป้องกันอาชญากรรม ตามมติคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๕/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ตามที่ประธานกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติเสนอ ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณในการเตรียมความพร้อมทางด้านกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และจัดทำรายละเอียด เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ด้านการปฏิรูปกฎหมายและพัฒนากระบวนการยุติธรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติเกี่ยวกับตัวชี้วัดการดำเนินงานทั้งระดับผลผลิตและระดับผลลัพธ์ควรให้ความสำคัญกับการกำหนดเกณฑ์และวิธีการประเมินผล รวมทั้งการจัดเก็บข้อมูลและข้อมูลพื้นฐาน (Baseline Data) ให้ชัดเจนและครอบคลุม และการปรับแก้ไขตัวชี้วัดที่ ๑ จากการวัดสถิติอาชญากรรมพื้นฐานลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมาไม่น้อยกว่าร้อยละ ๑๐ เป็นตัวชี้วัดการลดความหวาดกลัวภัยอาชญากรรมของประชาชน ให้ประชาชนมีความหวาดกลัวภัยอาชญากรรมต่ำกว่าร้อยละ ๔๐ ตามเกณฑ์มาตรฐานของ ก.พ.ร. แทน ส่วนตัวชี้วัดที่ ๒ สถิติการกระทำผิดซ้ำในกระบวนการยุติธรรมลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาไม่น้อยกว่าร้อยละ ๕ ไม่เห็นควรนำมาเป็นตัวชี้วัดการทำงานของตำรวจเพราะจะเป็นการบังคับไม่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมผู้กระทำผิดที่มีลักษณะการกระทำผิดซ้ำอันจะเกิดความเสียหายต่อการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมและกระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในส่วนรวม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
503 | สรุปมติ - ข้อสั่งการที่สำคัญในการประชุมคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2559 | อื่นๆ | 24/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติ-ข้อสั่งการในการประชุมคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (คตช.) ครั้งที่ ๕/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๙ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐเสนอ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับมติ-ข้อสั่งการของ คตช. ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยมีมติ-ข้อสั่งการที่สำคัญ เช่น (๑) รับทราบการปรับเปลี่ยนบุคคลตามองค์ประกอบของ คตช. ตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๖/๒๕๕๙ เรื่อง แก้ไขบุคคลตามองค์ประกอบ คตช. ลงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ (๒) รับทราบผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการ คตช. ด้านการปลูกฝังจิตสำนึกและสร้างการรับรู้ (๓) รับทราบผลการดำเนินการของคณะอนุกรรมการ คตช. ด้านการป้องกันการทุจริต (๔) รับทราบผลการดำเนินการด้านการปราบปรามการทุจริตโดยศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ และ (๕) เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายเพื่อเตรียมความพร้อมและประสานงานการประเมินดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชันที่เห็นชอบให้มีการดำเนินการเพื่อยกระดับดัชนีตัวชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชัน (Corruption Perception Index: CPI) ของประเทศไทย เป็นต้น ๒. ในส่วนของมติที่ ๕ ข้อ ๓.๖.๓.๕ (๒) เกี่ยวกับการนำข้อมูลงบประมาณขึ้นเว็บไซต์ ให้ดำเนินการจัดทำข้อมูลงบประมาณขึ้นเว็บไซต์ในรูปแบบตาราง PDF ในส่วนของข้อมูลสำคัญตามโครงสร้างของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ทั้งนี้ การนำข้อมูลงบประมาณขึ้นเว็บไซต์ในรูปแบบตาราง PDF ไม่ใช่ Excel เพื่อเป็นการป้องกันการแก้ไขข้อมูลงบประมาณรายจ่ายประจำปี ซึ่งอาจนำไปใช้ในทางมิชอบหรือกระทำการทุจริตได้ หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความจำเป็นต้องใช้ตาราง Excel ให้ประสานกับสำนักงบประมาณเป็นกรณีเฉพาะรายโดยตรงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
504 | แนวปฏิบัติในการเสนอเรื่องและขออนุมัติดำเนินโครงการลงทุนขององค์การมหาชนที่มีวงเงินลงทุนสูงเกินกว่า 1,000 ล้านบาท | นร12 | 24/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการตามมติคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน ครั้งที่ ๒/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๙ เกี่ยวกับแนวปฏิบัติในการเสนอเรื่องและขออนุมัติดำเนินโครงการลงทุนขององค์การมหาชนที่มีวงเงินลงทุนสูงเกินกว่า ๑,๐๐๐ ล้านบาท โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานพิจารณากลั่นกรองเสนอความเห็นประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในโครงการลงทุนขององค์การมหาชนที่มีวงเงินลงทุนสูงเกินกว่า ๑,๐๐๐ ล้านบาท และมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกับส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ โดยให้องค์การมหาชนดำเนินการขอความเห็นจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) ให้เสร็จสิ้นก่อนแล้วจึงส่งเรื่องไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี พร้อมความเห็นของหน่วยงานข้างต้นเพื่อสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะได้ดำเนินการนำเสนอคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและข้อสังเกตของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า โครงการขององค์การมหาชนที่จะเสนอให้คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาต้องเป็นโครงการลงทุนเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมภายในประเทศที่มีวัตถุประสงค์และเป้าหมาย ตลอดจนระยะเวลาการดำเนินงานโดยแน่ชัด อันมิใช่เป็นการบริหารงานตามปกติและการก่อสร้างอาคารสำนักงานของหน่วยงานนั้น ๆ รวมทั้งโครงการที่เสนอขออนุมัติควรมีความสอดคล้องกับร่างกรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ ๒๐ ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แผนปฏิรูปประเทศ และแผนแม่บทของกระทรวง/หน่วยงาน และควรมีประมาณการค่าใช้จ่าย แหล่งเงินทั้งจากงบประมาณหรือแหล่งเงินอื่นใดที่ใช้ในการดำเนินการ และแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้ชัดเจน ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. กำหนดหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการเสนอโครงการลงทุนขององค์การมหาชนให้มีรายละเอียดครบถ้วน ชัดเจน รวมถึงการจัดเตรียมโครงการของหน่วยงานรับผิดชอบโครงการ เช่น ภาพรวมการดำเนินงาน ความสอดคล้องกับแผนพัฒนาประเทศ และนโยบายรัฐบาล ความจำเป็นของโครงการ ความเหมาะสมทางด้านกายภาพและเทคนิค ความเหมาะสมทางด้านการเงินและเศรษฐกิจ ผลประโยชน์ตอบแทนที่จะได้รับ ความเหมาะสมด้านการบริหารโครงการ และการบริหารจัดการความเสี่ยง รวมทั้งผลกระทบของโครงการที่มีต่อสิ่งแวดล้อม (ถ้ามี) และซักซ้อมความเข้าใจร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและองค์การมหาชนทุกแห่งเพื่อถือปฏิบัติได้อย่างถูกต้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
505 | แนวทางการเผยแพร่กฎหมายเพื่อสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนและหน่วยงานภาครัฐ | ยธ | 17/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางการเผยแพร่กฎหมายเพื่อสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนและหน่วยงานภาครัฐ แผนปฏิบัติการเผยแพร่กฎหมายเพื่อสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนและหน่วยงานภาครัฐ และแบบตรวจสอบแนวทางการเผยแพร่กฎหมายเพื่อสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนและหน่วยงานภาครัฐ รวมถึงมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ตามมติคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประธานกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติเสนอ ๒. ให้หน่วยงานของรัฐที่เป็นผู้เสนอให้มีหรือปรับปรุงกฎหมายจัดส่งแบบตรวจสอบการเผยแพร่กฎหมายเพื่อสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนและหน่วยงานภาครัฐ ให้สำนักงานกิจการยุติธรรมเมื่อกฎหมายนั้น ๆ ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
506 | การจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ของกลุ่มจังหวัด | นร12 | 17/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ของกลุ่มจังหวัด ตามมติคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.น.จ.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๐ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. ในฐานะฝ่ายเลขานุการ ก.น.จ. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรอบวงเงินคำขอโครงการตามแนวทางการสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศ สำหรับโครงการตามแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการที่มีความพร้อมดำเนินการได้ โดยให้เป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดและแผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เพิ่มเติม โดยมีวงเงินทั้งสิ้น ๑๑๐,๔๓๓,๖๖๘,๕๓๕ บาท แยกเป็น ๑.๑.๑ บัญชี ๑ วงเงิน ๘๒,๔๗๑,๒๒๑,๔๑๙ บาท ๑.๑.๒ บัญชี ๒ วงเงิน ๒๗,๙๖๒,๔๔๗,๑๑๖ บาท ๑.๒ วงเงินคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ของกลุ่มจังหวัดที่ยังไม่ได้รับจัดสรรในครั้งนี้อีกประมาณ ๙๑,๐๐๐ ล้านบาท ให้เสนอเป็นคำขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยให้กลุ่มจังหวัดจัดทำแผนระยะปานกลาง ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐, พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๔) รองรับไว้ด้วย ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่นของรัฐให้การสนับสนุนกลุ่มจังหวัดและจังหวัดในการดำเนินโครงการตามแนวทางการสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศ ทั้งด้านบุคลากร วิชาการ วัสดุอุปกรณ์ และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ๓. ให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติในการเบิกจ่ายงบประมาณของกลุ่มจังหวัด การบริหารจัดการทรัพย์สิน และการมอบอำนาจ เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความถูกต้อง ชัดเจน สะดวก รวดเร็ว และเป็นไปในแนวทางเดียวกัน ๔. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ในฐานะฝ่ายเลขานุการ ก.น.จ. ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
507 | การกำหนดสินค้าและบริการควบคุมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 | พณ | 17/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดสินค้าและบริการควบคุมปี ๒๕๖๐ โดยเพิ่มสินค้าและบริการควบคุม จากเดิม ๔๕ รายการ เป็น ๔๗ รายการ จำแนกเป็นสินค้าคงเดิม ๔๒ รายการ และเพิ่มบริการจากเดิม ๓ รายการ เป็น ๕ รายการ โดยบริการที่เพิ่มขึ้น ๒ รายการ ได้แก่ บริการรับชำระเงิน ณ จุดบริการ และบริการขนส่งสินค้าสำหรับธุรกิจออนไลน์ ตามมติคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรแจ้งให้ผู้ประกอบการธุรกิจบริการรับชำระเงิน ณ จุดบริการ และผู้ประกอบการธุรกิจบริการขนส่งสินค้าสำหรับธุรกิจออนไลน์เข้าใจถึงวัตถุประสงค์ของการกำหนดเพิ่มรายการบริการดังกล่าวเป็นบริการควบคุม เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถเตรียมแผนรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ ควรมีการกำกับดูแลและบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวอย่างเข้มงวด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
508 | ค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง | กษ | 10/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติคณะกรรมการการยางแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๙ อนุมัติให้นำเงินกองทุนพัฒนายางพาราตามมาตรา ๔๙ (๓) จำนวน ๗๕๓.๑๐๒ ล้านบาท จ่ายคืนให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง และการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ได้จ่ายเงินให้ ธ.ก.ส. แล้ว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย กยท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและข้อสังเกตของสำนักงบประมาณที่เห็นควรพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้ ธ.ก.ส. ในส่วนที่เหลือต่อไป สำหรับสัดส่วนวงเงินที่ กยท. นำมาจ่ายคืนให้ ธ.ก.ส. ยังมีจำนวนไม่มากเมื่อเทียบกับกรอบวงเงินค่าใช้จ่ายของโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสาวยาง ดังนั้น หาก กยท. พิจารณาเห็นว่าสถานะเงินกองทุนพัฒนายางพารายังมีสภาพคล่องเพียงพอ ก็เห็นควรที่ กยท. จะเร่งรัดดำเนินการเพื่อนำมาจ่ายสมทบเพิ่มเติม ตามนัยของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๘ และแนวทางดำเนินการตามโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง) ในโอกาสแรก ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
509 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงเพิ่มรายการลงทุน และวงเงินลงทุนรวมโครงการให้บริการโครงข่ายกระจายเสียงและโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอล และให้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกด้านกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ | นร | 10/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่สำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) (บมจ.อสมท) เปลี่ยนแปลงเพิ่มรายการลงทุน และวงเงินลงทุนรวมโครงการให้บริการโครงข่ายกระจายเสียงและโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอล และให้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกด้านกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ และมอบให้คณะกรรมการ บมจ.อสมท เป็นผู้พิจารณาอนุมัติการปรับปรุงการลงทุนโครงการดังกล่าว หากมีการเปลี่ยนแปลงสถานที่ตั้ง และติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการออกอากาศ โดยหากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อสาระสำคัญและวงเงินลงทุนรวมของโครงการ จำนวน ๑,๒๗๓.๐๔ ล้านบาท ตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ ๑๒/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๙ ๑.๒ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมติดตามประเมินผลแผนการเปลี่ยนระบบการรับส่งสัญญาณวิทยุโทรทัศน์เป็นระบบดิจิตอล เพื่อให้ทราบผลสำเร็จและผลสัมฤทธิ์ของแผนงานดังกล่าวและปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการจัดทำนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิตอลในระยะยาว ๒. ให้ บมจ.อสมท ดำเนินการให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ ๑๒/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๙ รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ บมจ.อสมท เร่งดำเนินการให้เป็นไปตามแผนการลงทุนที่กำหนด และกำหนดกลยุทธ์ด้านการตลาดและการเงินเพื่อแก้ไขสถานการณ์การขาดสภาพคล่องทางการเงินของ บมจ.อสมท และดำเนินการจัดทำแผนบริหารทางการเงินและแผนธุรกิจให้ชัดเจนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสื่อยุคดิจิตอล และปรับรูปแบบรายการให้เหมาะสมและทันสมัย เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
510 | แนวทางการเตรียมบุคลากรก่อนเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและการพัฒนาบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม | ยธ | 04/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบแนวทางการเตรียมบุคลากรก่อนเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและการพัฒนาบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม ตามมติคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ (กพยช.) ครั้งที่ ๔/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๙ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประธาน กพยช. เสนอ โดยกำหนดแนวทางที่เป็นรูปธรรม สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ แนวทางที่ ๑ การเตรียมบุคลากรก่อนเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ได้แก่ การพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนระดับอุดมศึกษา การสนับสนุนและส่งเสริมกิจกรรมหรือโครงการเสริมสร้างจิตสำนึกรักความยุติธรรม ๑.๒ แนวทางที่ ๒ การพัฒนาบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม ได้แก่ การกำหนดให้มี “ค่านิยมร่วมของบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม” และการกำหนดแนวทางการพัฒนาบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการสำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ โดยให้ถือปฏิบัติตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ส่วนในปีงบประมาณต่อ ๆ ไปให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้ กพยช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ สำนักงานศาลปกครอง สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และสำนักงาน ก.พ.ร. อาทิ ควรมีการฝึกอบรมในหลักสูตรก่อนการเข้าปฏิบัติงานในหน่วยงานกระบวนการยุติธรรม ซึ่งรวมถึงการศึกษาดูงาน การสร้างความรู้ความเข้าใจในบทบาท ภารกิจ อำนาจหน้าที่ของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมทั้ง ๒๐ หน่วยงาน และเปิดโอกาสให้บุคลากรของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมเข้าร่วมฝึกอบรมหรือสังเกตการณ์เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจให้เกิดขึ้นถูกต้องตรงกัน รวมทั้งการกำหนดให้มี “ค่านิยมร่วมของบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม” และการกำหนดหน่วยงานกลางในการจัดทำหลักสูตรและดำเนินการจัดฝึกอบรมบุคลากรของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม นอกจากนี้ ควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในลักษณะบูรณาการอย่างแท้จริง เพื่อให้มีความครบถ้วนและครอบคลุมในทุกมิติงานที่เกี่ยวข้อง และไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในการดำเนินการและการจัดสรรงบประมาณในเรื่องดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงยุติธรรม กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินโครงการหรือจัดทำหลักสูตรการศึกษาเพื่อเผยแพร่ให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับงานด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมให้แก่เยาวชน นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
511 | กรอบการวิจัยด้านการพัฒนากระบวนการยุติธรรม | ยธ | 04/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบกรอบการวิจัยด้านการพัฒนากระบวนการยุติธรรม เพื่อให้สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติและสำนักงบประมาณใช้เป็นแนวทางการจัดสรรงบประมาณด้านการวิจัยของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมต่อไป ตามมติคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๕/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประธานกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติเสนอ โดยกรอบการวิจัยแบ่งออกเป็น ๖ ด้าน ประกอบด้วย ๑.๑ การวิจัยสำรวจความจำเป็นและความต้องการนวัตกรรมทางกฎหมายให้สอดคล้องและเหมาะสมกับพลวัตทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ๑.๒ การวิจัยประสิทธิภาพของขั้นตอนและการบังคับใช้กฎหมาย โดยศึกษาด้านการนำกฎหมายมาใช้ในทางปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย ๑.๓ การวิจัยพัฒนา ปรับปรุงโครงสร้าง ระบบงาน และบุคลากรขององค์กรในกระบวนการยุติธรรม ๑.๔ การวิจัยนวัตกรรมและนิติวิทยาศาสตร์ การประยุกต์ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อประโยชน์ต่อการอำนวยความยุติธรรม และการคลี่คลายคดี ๑.๕ การวิจัยพัฒนาและส่งเสริมมาตรการกระบวนการยุติธรรมทางเลือก และการมีส่วนร่วมในงานยุติธรรม ๑.๖ การวิจัยสร้างมาตรฐานและเพิ่มประสิทธิภาพในด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมสู่การรองรับการเป็นสมาชิกสมาคมประชาคมอาเซียน ๒. ให้คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางหรือรูปแบบที่จะนำผลที่ได้จากการศึกษาวิจัยตามกรอบดังกล่าวบูรณาการการดำเนินการให้เกิดผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรม รวมทั้งรับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องที่เห็นควรเพิ่มเติมเรื่องของกฎหมายที่มีความซ้ำซ้อนเป็นภาระ ล้าสมัย และมีปัญหาในการบังคับใช้ เพื่อให้มีการปรับปรุงกฎหมายในภาพรวมให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และควรกำหนดกรอบวิจัยฯ เพิ่มเติม เช่น การศึกษาและพัฒนาศาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-court) ประสิทธิภาพการใช้กฎหมายของผู้มีอำนาจในการบังคับใช้กฎหมาย สภาพปัญหา ความต้องการ และความสะดวกของประชาชนในการใช้บริการของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม แนวทางและความเป็นไปได้ในการใช้ทรัพยากรร่วมกันของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม การพัฒนาปรับปรุงมาตรฐานระบบการบังคับคดีทั้งคดีแพ่งและพาณิชย์ โครงสร้างของระบบการสอนกฎหมาย รวมทั้งการศึกษาและพัฒนาศาลอิเล็กทรอนิกส์ไม่ควรให้ความสำคัญเฉพาะการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ควรมีการพัฒนาเพื่อเป็นทางเลือกในการให้บริการกับประชาชนภายในประเทศด้วย ตลอดจนควรศึกษาปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลง ควรมีการทบทวนเรื่องผลการพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์กับกระบวนการยุติธรรมอย่างรอบคอบกว่าในปัจจุบัน และเปิดโอกาสให้ประชาชนมีโอกาสเข้าไปมีส่วนร่วมในการพิจารณาคดีอาญาที่มีความสำคัญ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
512 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาพื้นที่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (คนพ.) ครั้งที่ 1/2559 | นร11 | 04/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาพื้นที่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (คนพ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการ คนพ. เสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการโครงการต่าง ๆ ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยมติ คนพ. สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการแผนงานพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) รวมจำนวน ๑๗๓ โครงการ กรอบวงเงินลงทุนรวม ๗๑๒,๖๔๕.๒๓ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบโครงการสำคัญภายใต้แผนงานพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจฯ ที่มีความจำเป็นต้องเร่งดำเนินการในปี ๒๕๖๐ จำนวน ๔๘ โครงการ วงเงินรวม ๖,๙๙๒.๖๗ ล้านบาท ๑.๓ รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก เช่น ร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. .... อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) และอุตสาหกรรมศักยภาพ โดยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มีการเตรียมความพร้อมของพื้นที่อุตสาหกรรมในการรองรับการลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ๑๕,๐๐๐ ไร่ เป็นต้น ๒. ให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อขออนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการสำคัญภายใต้แผนงานพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจฯ ที่มีความจำเป็นต้องดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ (เรื่อง แนวทางการเสนอเรื่องงบประมาณต่อคณะรัฐมนตรี) ส่วนการดำเนินการโครงการในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้ถูกต้องครบถ้วน เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เห็นควรพิจารณาการสร้างการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียในพื้นที่ ทั้งจากภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม เพื่อความสมดุลในการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และควรพิจารณาเพิ่มรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นกรรมการใน คนพ. เพื่อร่วมกำหนดนโยบายบริหารพื้นที่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษและอนุมัติแผนงานหรือโครงการของหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องในด้านนวัตกรรม รวมทั้งควรพิจารณาปรับเนื้อหาของร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. .... เพื่อให้ครอบคลุมถึงเหตุผลของการจัดตั้งเขตนวัตกรรม เพื่อนำงานวิจัยพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมไปใช้ในการสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
513 | การดำเนินการตามมติคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช | กษ | 04/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ รวม ๗ เรื่อง ได้แก่ (๑) การเปิดตลาดและการบริหารการนำเข้าเมล็ดถั่วเหลือง ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๒ (๒) การเปิดตลาดและการบริหารการนำเข้าน้ำมันถั่วเหลือง มะพร้าว เนื้อมะพร้าวแห้ง และน้ำมันมะพร้าว ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๒ (๓) การกำหนดมาตรการการนำเข้ารวมถึงอัตราอากร สำหรับกากถั่วเหลืองที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมผลิตเพื่อมนุษย์บริโภค และเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ (๔) แนวทางการจัดการเมล็ดถั่วเหลืองนำเข้า (๕) การกำหนดชื่อสินค้ามะพร้าวและมะพร้าวฝอย น้ำมันมะพร้าว น้ำมันถั่วเหลืองและเมล็ดถั่วเหลืองให้เป็นไปตามบัญชีแนบท้ายประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ ๑๑๑) พ.ศ. ๒๕๓๙ (๖) หลักเกณฑ์การจัดสรรโควตาสินค้าเกษตรตามพันธกรณีความตกลงองค์การการค้าโลก (WTO) สำหรับสินค้า ๓ รายการ คือ น้ำมันมะพร้าว เนื้อมะพร้าวแห้ง และมะพร้าวและมะพร้าวฝอย และ (๗) ยุทธศาสตร์ถั่วเหลืองและยุทธศาสตร์มะพร้าว ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ประธานกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชเสนอ ๒. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ดังนี้ ๒.๑ ให้เปิดตลาดนำเข้าเมล็ดถั่วเหลืองภายใต้กรอบ WTO คราวละ ๓ ปี (ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๒) ไม่จำกัดปริมาณ อัตราภาษีนำเข้าร้อยละ ๐ โดยมีการบริหารการนำเข้าปีต่อปี และให้เปิดตลาดนำเข้าเมล็ดถั่วเหลืองภายใต้กรอบการค้าอื่น ได้แก่ AFTA FTA และ ACMECS ให้เป็นไปตามข้อผูกพัน และให้มีการบริหารการนำเข้าเช่นเดียวกับกรอบ WTO โดยคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชเป็นผู้กำหนดแนวทางและมาตรการบริหารการนำเข้า ๒.๒ ให้เปิดตลาดนำเข้าน้ำมันถั่วเหลือง มะพร้าว เนื้อมะพร้าวแห้ง และน้ำมันมะพร้าว คราวละ ๓ ปี (ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๒) ภายใต้กรอบ WTO สำหรับกรอบการค้าอื่น ได้แก่ AFTA และ FTA ให้เป็นไปตามข้อผูกพัน และมีการบริหารการนำเข้าปีต่อปี โดยคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชเป็นผู้กำหนดแนวทางและมาตรการบริหารการนำเข้า ๓. รับทราบการชี้แจงเพิ่มเติมของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร) ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช และความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ในประเด็นคำว่า “เปิดตลาดเสรีนำเข้า...” ต้องเป็นการดำเนินมาตรการตามมติคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชทุกประการตามที่ได้ปรับแก้ไขเมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๙ และประเด็นเพิ่มเติมที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการเกี่ยวกับการลักลอบการนำเข้าสินค้ามะพร้าวและการดำเนินโครงการเกษตรแปลงใหญ่สินค้าเมล็ดถั่วเหลือง ๔. ให้คณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องกำกับ ติดตาม และบริหารการนำเข้าพืชน้ำมันและน้ำมันพืชดังกล่าวข้างต้นอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการป้องกันและกวดขันจับกุมการลักลอบนำเข้าสินค้าชนิดเดียวกันจากประเทศเพื่อนบ้านและการรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรในประเทศตามราคาที่กำหนด เพื่อไม่ให้เกษตรกรในประเทศได้รับผลกระทบจากการเปิดตลาดนำเข้าภายใต้กรอบความตกลงต่าง ๆ ๕. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดจัดทำแผนการผลิต เพาะปลูกเมล็ดถั่วเหลืองเพิ่มเติม โดยเฉพาะการดำเนินโครงการเกษตรแปลงใหญ่ที่สามารถผลิตเมล็ดถั่วเหลืองให้มีคุณภาพและปลอดจาก GMOs เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าเมล็ดถั่วเหลืองจากต่างประเทศ ๖. ให้คณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณากำหนดให้ผู้มีสิทธินำเข้ารับซื้อเมล็ดถั่วเหลืองที่ผลิตได้ภายในประเทศทั้งหมด และควรพิจารณาเพิ่มเติมบทบาทของผู้นำเข้า นอกเหนือจากการรับซื้อผลผลิตให้มีส่วนร่วมในการยกระดับประสิทธิภาพการผลิตด้วย นอกจากนี้ ควรกำหนดแนวทางและมาตรการในการป้องกันปัญหาการลักลอบนำเข้า และปัญหาโรคและแมลงที่ติดมากับผลผลิตที่นำเข้า รวมทั้งควรเร่งวิจัยและพัฒนาพันธุ์ถั่วเหลืองและมะพร้าวเพื่อเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้สูงขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
514 | หลักเกณฑ์และวิธีการเยียวยาให้แก่ข้าราชการทหารผู้ได้รับผลกระทบจากความเหลื่อมล้ำของอัตราเงินเดือน (กระทรวงกลาโหม) | กห | 04/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการเยียวยาให้แก่ข้าราชการทหารผู้ได้รับผลกระทบจากความเหลื่อมล้ำของอัตราเงินเดือน โดยการปรับเพดานอัตราเงินเดือนของข้าราชการทหารให้เท่ากับเพดานอัตราเงินเดือนของข้าราชการพลเรือนสามัญที่ได้ปรับสูงขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๙ ทั้งนี้ ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๖๐ ตามมติคณะกรรมการข้าราชการทหาร ครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ๒. สำหรับภาระค่าใช้จ่ายในการเยียวยาให้แก่ข้าราชการทหารที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้กระทรวงกลาโหมเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบดำเนินงาน รายการค่าตอบแทนพิเศษข้าราชการและลูกจ้างประจำที่ได้รับเงินเดือนเต็มขั้น ของส่วนราชการในสังกัดกระทรวงกลาโหมที่เกี่ยวข้อง ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
515 | หลักเกณฑ์และวิธีการเยียวยาให้แก่ข้าราชการตำรวจผู้ได้รับผลกระทบจากความเหลื่อมล้ำของอัตราเงินเดือน (สำนักงานตำรวจแห่งชาติ) | ตช | 04/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการเยียวยาให้แก่ข้าราชการตำรวจผู้ได้รับผลกระทบจากความเหลื่อมล้ำของอัตราเงินเดือน โดยการปรับเพดานอัตราเงินเดือนของข้าราชการตำรวจให้เท่ากับเพดานอัตราเงินเดือนของข้าราชการพลเรือนสามัญที่ได้ปรับสูงขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๙ ทั้งนี้ ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๖๐ ตามมติคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ ครั้งที่ ๑๓/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๙ ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ ๒. สำหรับภาระค่าใช้จ่ายในการเยียวยาให้แก่ข้าราชการตำรวจที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามขั้นตอน ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
516 | รายงานผลการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 40 (ต่อเนื่อง) | ทส | 27/12/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๔๐ (ต่อเนื่อง) ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๙ ณ ที่ทำการใหญ่องค์การยูเนสโก กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ซึ่งมีผลประชุมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับราชอาณาจักรไทย คือ ข้อมติคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๔๐ (ต่อเนื่อง) ในการขึ้นทะเบียนพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน โดยคณะกรรมการมรดกโลกได้อภิปรายในประเด็นต่าง ๆ เกี่ยวกับข้อทักท้วงของเมียนมาในเรื่องของเขตแดน และเห็นควรให้ไทยและเมียนมาไปหารือร่วมกัน ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติให้ส่งกลับเอกสารการนำเสนอ (Refer) ให้ดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงดำเนินการจัดการกับข้อห่วงกังวลที่หยิบยกโดยสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติเกี่ยวกับชุมชนกะเหรี่ยงได้อย่างเต็มที่ รวมถึงดำเนินการในกระบวนการมีส่วนร่วม สำหรับการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๔๑ จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒-๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ณ เมือง KarKow สาธารณรัฐโปแลนด์ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
517 | มติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2559 และครั้งที่ 3/2559 | ดท | 20/12/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ประธานกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ มติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๕๙ ที่ประชุมมีมติรับทราบและเห็นชอบ (๑) ในหลักการให้ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติชุดปัจจุบันดำรงตำแหน่งต่อไปอีก ๑ วาระ ยกเว้นผู้ทรงคุณวุฒิด้านการป้องกันประเทศและด้านการต่างประเทศ ให้เห็นชอบตามรายชื่อที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเสนอมา (๒) แนวทางการบริหารจัดการกิจการดาวเทียมสื่อสาร หลังสิ้นสุดสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ และ (๓) รับทราบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการระบบดาวเทียมสำรวจเพื่อพัฒนา (THEOS-2) ของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (สทอภ.) ๑.๒ มติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๙ ที่ประชุมมีมติรับทราบ (๑) ผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการพัฒนากฎหมายอวกาศในการพิจารณาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการดาวเทียมสื่อสารภายใต้สัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศและภายใต้ระบบใบอนุญาต (๒) ผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการปรับปรุงแนวทางการพัฒนากิจการอวกาศของประเทศไทย ได้แก่ แนวทางการบริหารจัดการกิจการดาวเทียมสื่อสารของประเทศและโปรแกรมอวกาศแห่งชาติ (๓) ความคืบหน้าของการดำเนินการเกี่ยวกับโครงการ THEOS-2 โดย สทอภ. อยู่ระหว่างการจัดทำข้อเสนอเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา (๔) ความก้าวหน้าผลการศึกษาแนวทางการดำเนินงานดาวเทียมสื่อสารภาครัฐเพื่อความมั่นคง (๕) การนำเสนอผลงานดาวเทียม King Mongkut’s University of Technology North Bangkok Academic Challenge of Knowledge Satellite : KNACKSAT ของคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และเห็นชอบการแต่งตั้ง ผศ.ดร. ปิยะบุตร บุญอร่ามเรือง เป็นอนุกรรมการพัฒนากฎหมายอวกาศ ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดย สทอภ. เร่งรัดดำเนินโครงการ THEOS-2 โดยให้คำนึงถึงความคุ้มค่าในการลงทุนโครงการเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศและสามารถพัฒนาต่อยอดได้ในอนาคต
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
518 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2559 | กษ | 13/12/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๙ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ประธานกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบ (๑) การเปิดตลาดน้ำมันปาล์มภายใต้กรอบการค้าระหว่างประเทศ ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๒ (๒) การกำหนดชื่อสินค้าน้ำมันปาล์มให้เป็นไปตามบัญชีแนบท้ายประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ ๑๑๑) พ.ศ. ๒๕๓๙ (๓) การปรับองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการ/คณะทำงานต่าง ๆ ภายใต้คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (๔) การกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการการรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบเก็บสต็อกขององค์การคลังสินค้า และ (๕) ยุทธศาสตร์การปฏิรูปปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มทั้งระบบ ๑.๒ เห็นชอบให้ปรับระยะเวลาการเปิดตลาดน้ำมันปาล์มและน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์มและการบริหารนำเข้า จากคราวละ ๑ ปี เป็นคราวละ ๓ ปี ๑.๓ เห็นชอบให้เปิดตลาดน้ำมันปาล์มและน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์ม ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๒ โดยให้เป็นไปตามข้อผูกพันของทุกกรอบการค้า และมีการบริหารการนำเข้าเช่นเดียวกับกรอบองค์การการค้าโลก (WTO) คือ ให้องค์การคลังสินค้าเป็นผู้นำเข้าและกระจายให้ผู้ผลิตภายในประเทศตามที่สมาคมโรงกลั่นน้ำมันเป็นผู้จัดสรร ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพลังงานและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดเป้าหมายเพิ่มอัตราการสกัดน้ำมันปาล์ม ควรให้มีการปรับระยะเวลาเป็นช่วง ช่วงละ ๕ ปี (๒๕๖๐-๒๕๗๙) ตามระยะเวลาการปฏิรูป ๒๐ ปี เพื่อให้เห็นความคืบหน้าของเป้าหมายอย่างชัดเจนมากขึ้น และเพิ่มช่องทางการตลาดรองรับผลผลิตปาล์มน้ำมันที่จะเพิ่มมากขึ้นในอนาคต รวมทั้งบริหารความสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการขาดแคลนน้ำมันปาล์มหรือเกิดภาวะล้นตลาด นอกจากนี้ ควรมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมมือกันติดตามสถานการณ์การเปิดตลาดและการนำเข้าน้ำมันปาล์มและน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์มที่ปรับเปลี่ยนอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง หากมีผลกระทบทางลบอย่างมีนัยสำคัญต่อสถานการณ์ปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มภายในประเทศ ก็ควรเร่งนำเสนอคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติพิจารณาความเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
519 | การแจ้งมติคณะกรรมการประสานงาน รวม 3 ฝ่าย (คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติและสภาขับเคลื่อนการปฎิรูปประเทศ) | นร04 | 13/12/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการแจ้งมติคณะกรรมการประสานงาน รวม ๓ ฝ่าย (คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ) ที่มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการประสานงาน รวม ๓ ฝ่ายฯ รวบรวมรายงานของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ พร้อมมติและประเด็นข้อสังเกตของที่ประชุมคณะกรรมการประสานงาน รวม ๓ ฝ่ายฯ จำนวน ๑๖ ครั้ง (ครั้งที่ ๑๙/๒๕๕๙-๒๒/๒๕๕๙ และครั้งที่ ๒๖/๒๕๕๙-๓๗/๒๕๕๙) รวม ๓๘ เรื่อง รวมทั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมของคณะกรรมาธิการฯ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ส่งให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาเร่งรัดขับเคลื่อนต่อไปแล้ว สำหรับผลการพิจารณาของคณะกรรมการประสานงาน รวม ๓ ฝ่ายฯ ครั้งที่ ๓๘/๒๕๕๙ จำนวน ๓ เรื่อง ยังอยู่ระหว่างการสรุปรวบรวมประเด็นข้อสังเกตของที่ประชุม ซึ่งจะได้นำส่งส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในโอกาสต่อไป ตามที่ประธานกรรมการประสานงาน รวม ๓ ฝ่าย (คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ) เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
520 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ครั้งที่ 3/2559 | นร11 | 07/12/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยให้รับนโยบายและความเห็นของกรรมการไปประกอบการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป เช่น การลงทุนในช่วง ๑ มกราคม ๒๕๕๘-๗ ตุลาคม ๒๕๕๙ มีเอกชนขอรับการส่งเสริมการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ๔๐ โครงการ วงเงินรวม ๗,๒๑๑.๕๕ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบผลการพิจารณาและมติ กนพ. เกี่ยวกับ (๑) ผังการจัดพื้นที่ราชพัสดุเพื่อรองรับการพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ กาญจนบุรี (๒) โครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคงด้านการป้องกันประเทศในพื้นที่เขตเศรษฐกิจ (กองพลทหารราบที่ ๙) (ในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษกาญจนบุรี) วงเงิน ๖๖.๗๙ ล้านบาท (๓) โครงการด้านการพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคงและการดูแลรักษาพื้นที่สงวนหวงห้ามตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดิน พ.ศ. ๒๔๘๑ (มณฑลทหารบกที่ ๑๗) (ในพื้นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษกาญจนบุรี) วงเงิน ๑๔๗.๗๖ ล้านบาท (๔) การคัดเลือกผู้ลงทุนในที่ราชพัสดุเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตราด (๕) การปรับปรุงหลักเกณฑ์การคัดเลือกผู้พัฒนาพื้นที่เพื่อการลงทุนในที่ราชพัสดุเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และ (๖) การจัดซื้อที่ดินเอกชนเพื่อจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนราธิวาส ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินโครงการต่าง ๆ ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นควรว่ารัฐบาลต้องให้การสนับสนุนงบประมาณเพื่อพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนราธิวาส สำหรับการประกอบการด้านอุตสาหกรรมและบริการ โดยใช้วัตถุดิบและแรงงานในพื้นที่เพื่อให้โครงการนิคมอุตสาหกรรมในเขตเศรษฐกิจพิเศษนราธิวาสบรรลุผลในเชิงรูปธรรมโดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงกลาโหม (กองทัพบก) รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน รวมทั้งจัดทำรายละเอียดเพื่อเสนอขออนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามขั้นตอนของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๔. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งรัดดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษศึกษาว่าโครงสร้างการทำงานเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษของประเทศไทย และโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (East Economic Corridor : EEC) มีแนวทางใกล้เคียงกับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษคันไซ ประเทศญี่ปุ่น หรือไม่อย่างไร เพื่อนำผลการศึกษามาประยุกต์ใช้สำหรับการพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษและโครงการ EEC ของประเทศไทยต่อไป
|
.....