ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 27 จากทั้งหมด 252 หน้า แสดงรายการที่ 521 - 540 จากข้อมูลทั้งหมด 5030 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
521 | ขอความเห็นชอบในการแต่งตั้งผู้อำนวยการสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ (นางอัจฉรา เจริญสุข) | วท | 07/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นางอัจฉรา เจริญสุข ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ ตามมติคณะกรรมการมาตรวิทยาแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๙ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
522 | ขอผ่อนผันยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2550 เพื่อก่อสร้างถนนในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ สำหรับโครงการทางหลวงหมายเลข 118 สายเชียงใหม่ - เชียงราย ตอนอำเภอดอยสะเก็ด - บ้านแม่เจดีย์ | คค | 29/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ (เรื่อง แนวทางพิจารณาการก่อสร้างถนนในพื้นที่อุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า) เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย เพื่อก่อสร้างถนนในพื้นที่อุทยานแห่งชาติสำหรับโครงการทางหลวงหมายเลข ๑๑๘ สายเชียงใหม่-เชียงราย ตอนอำเภอดอยสะเก็ด-บ้านแม่เจดีย์ โดยให้ดำเนินการตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๘ อย่างเคร่งครัด และพิจารณาจัดทำทางลอดทางข้ามสำหรับสัตว์ป่าในบริเวณที่เหมาะสม โดยประสานงานกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ในการกำหนดรูปแบบที่จะดำเนินการ ตามความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ตลอดจนมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๒. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมทางหลวงประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่เพื่อดูแลความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชนและอุบัติเหตุระหว่างการก่อสร้าง และให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖ กรณีการดำเนินโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าจะต้องมีการปลูกป่าทดแทนเพื่ออนุรักษ์หรือรักษาสภาพแวดล้อมของพื้นที่ดังกล่าวอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้กรมทางหลวงดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามที่กำหนดไว้ในรายงาน EIA อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะในประเด็นการจัดการและฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ การสร้างรั้วกั้น ทางลอด ในช่วงที่ผ่านอุทยานแห่งชาติขุนแจ นอกจากนี้ ให้กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทจัดทำรายงาน EIA หรือขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีให้เสร็จสิ้นทั้งเส้นทางก่อนขอรับการจัดสรรงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงคมนาคมถือเป็นหลักปฏิบัติว่า การออกแบบและการก่อสร้างหรือขยายถนนต้องมีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบริเวณสองข้างทางน้อยที่สุด ต้องหลีกเลี่ยงการตัดต้นไม้ขนาดใหญ่ หรือใช้วิธีการเคลื่อนย้ายต้นไม้ไปปลูกบริเวณริมทางที่มีการก่อสร้างหรือขยายขึ้นใหม่ เพื่อคงสภาพสิ่งแวดล้อมและภูมิทัศน์เดิมไว้ให้มากที่สุด รวมทั้งการปลูกไม้ยืนต้นทดแทนอย่างจริงจัง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
523 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2559 (เพิ่มเติม) และ ครั้งที่ 4/2559 | ทส | 22/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๙ (เพิ่มเติม) และครั้งที่ ๔/๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
๑. การประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๙ (เพิ่มเติม) ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแผนการดำเนินงานแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนสารตะกั่วบริเวณห้วยคลิตี้ (จังหวัดกาญจนบุรี) ระยะที่ ๒ ปี พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔ ๒. การประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๙ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบ ๒.๑ ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. .... ๒.๒ ร่างแผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ๒.๓ ร่างกรอบทิศทางการสนับสนุนเงินกองทุนสิ่งแวดล้อมตามมาตรา ๒๓ (๔) แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ๒.๔ ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้พื้นที่อำเภอปลวกแดง อำเภอบ้านค่าย และอำเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง เป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม ๒.๕ โครงการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนและหินดินดานเพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ของบริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) รวมจำนวน ๓๕ แปลง ใบอนุญาตปลูกสร้างอาคารเกี่ยวกับการทำเหมือง และจัดตั้งสถานที่เพื่อการแต่งแร่นอกเขตเหมืองแร่ จำนวน ๔ แปลง และคำขอใบอนุญาตปลูกสร้างอาคารเกี่ยวกับการทำเหมือง และจัดตั้งสถานที่เพื่อการแต่งแร่นอกเขตเหมืองแร่ จำนวน ๑ แปลง ตั้งอยู่ที่ตำบลทับกวาง และตำบลท่าคล้อ อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี ๒.๖ โครงการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์และเพื่อทำปูนขาว คำขอประทานบัตรที่ ๒/๒๕๕๒ ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ธนชาติแคลเซี่ยม 888 ร่วมแผนผังโครงการทำเหมืองเดียวกันกับประทานบัตรที่ ๒๘๐๔๔/๑๔๘๘๐ ของบริษัท เซเม็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ตั้งอยู่ที่ตำบลหน้าพระลาน อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสระบุรี ๒.๗ การปรับปรุงประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการซึ่งต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติ และแนวทางการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการลำดับที่ ๓ โครงการระบบขนส่งปิโตรเลียมและน้ำมันเชื้อเพลิงทางท่อ ๒.๘ การขอยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการประสานงานการให้ความเห็นชอบขององค์การอิสระในโครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง พ.ศ. ๒๕๕๓ และบรรดาอนุบัญญัติทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
524 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2559 (ครั้งที่ 9) | พน | 15/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ ๔/๒๕๕๙ (ครั้งที่ ๙) เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๙ รวม ๓ เรื่อง ได้แก่ (๑) การทบทวนนโยบายการนำส่งเงินเข้ากองทุนพัฒนาไฟฟ้า สำหรับผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการไฟฟ้า ประเภทใบอนุญาตผลิตไฟฟ้าจากลมร้อนทิ้ง (๒) การทบทวนอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) และ (๓) การดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับร่างพระราชบัญญัติปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดเป้าหมายและแผนการรับซื้อไฟฟ้าโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในรูปแบบ VSPP ให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (AEDP 2015) ควรคำนึงถึงศักยภาพของระบบไฟฟ้าในการรองรับไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในแต่ละพื้นที่ด้วย รวมทั้งควรประชาสัมพันธ์การรับซื้อไฟฟ้าให้กลุ่มเป้าหมายทราบอย่างกว้างขวาง เพื่อสนับสนุนการเข้ามามีส่วนร่วมในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ นอกจากนี้ ควรติดตามและพิจารณากำหนดอัตราการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ให้สอดคล้องกับต้นทุนการผลิตที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ประกอบการมีผลตอบแทนการลงทุนที่เหมาะสม และเกิดความเป็นธรรมทั้งต่อผู้ประกอบการและผู้ใช้ไฟฟ้า ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงพลังงานติดตามความคืบหน้าการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถดำเนินการเปิดประมูลแข่งขันยื่นข้อเสนอเป็นการทั่วไปสำหรับแปลงสำรวจที่มีศักยภาพปิโตรเลียมหลังสิ้นสุดอายุสัมปทานได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด ๓. ให้กระทรวงพลังงานประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งเสริมให้มีการลงทุนประกอบกิจการโรงไฟฟ้าขนาดเล็กในพื้นที่ภาคใต้โดยเร็ว เพื่อสร้างงาน สร้างรายได้และสร้างความมั่นคงทางพลังงานในพื้นที่ โดยมีตัวชี้วัดความสำเร็จในการดำเนินการที่ชัดเจน และให้รายงานผลการดำเนินงานต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบทุกสามเดือน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
525 | ทบทวนโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี และการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2559/60 | พณ | 08/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ทบทวนโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี และการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ ตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ครั้งที่ ๘/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ที่เห็นชอบให้ขยายการดำเนินโครงการฯ ให้ครอบคลุมเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเปลือกหอมมะลิ (ข้าวขาวดอกมะลิ ๑๐๕ และ กข.๑๕) ข้าวเปลือกเจ้า และข้าวเปลือกปทุมธานี ๑ ในทุกพื้นที่ ตามที่กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะฝ่ายเลขานุการ นบข. เสนอ ๒. สำหรับภาระงบประมาณให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดวงเงินชดเชยภาระขาดทุนที่ชัดเจน เพื่อไม่ให้เป็นภาระทางการคลังมากจนเกินไปและมีกระบวนการในการระบายข้าวเปลือกตามโครงการฯ ร่วมกับ ธ.ก.ส. เพื่อให้เกิดความเสียหายจากการดำเนินโครงการฯ น้อยที่สุด การสร้างการรับรู้ให้กับเกษตรกรและทุกภาคส่วนได้เข้าใจในทิศทางเดียวกัน รวมทั้งมีระบบการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการฯ ที่เหมาะสมและทันต่อสถานการณ์ โดยคำนึงถึงความประหยัด ความคุ้มค่า และความโปร่งใสที่สามารถตรวจสอบได้ เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อทางราชการและประชาชน นอกจากนี้ ควรให้การสนับสนุนสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชนที่มีเครื่องอบความชื้นที่สามารถให้บริการแก่สมาชิกและเกษตรกรผู้ปลูกข้าวอื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนส่งเสริมให้เกษตรกรลดต้นทุนการผลิตอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ และส่งเสริมการทำเกษตรทฤษฎีใหม่ และไร่นาสวนผสม เพื่อลดความเสี่ยงด้านราคาตกต่ำจากการปลูกข้าวอย่างเดียว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้ นบข. ติดตามและตรวจสอบการดำเนินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี และการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ ทั้งในเรื่องปริมาณข้าวเปลือก และการจ่ายเงินสินเชื่อ และเงินช่วยเหลือให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบเป็นประจำทุกเดือน ๔. ให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐและสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีติดตามและตรวจสอบการดำเนินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี และการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ ให้เป็นไปอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๕. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
526 | การขอยกเว้นเงื่อนไขการจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา | นร10 | 01/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการยกเว้นเงื่อนไขการจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยให้คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) จัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการครูเฉพาะปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ คืนให้แก่โรงเรียนประถมศึกษาและโรงเรียนประถมศึกษาขยายโอกาสที่มีจำนวนนักเรียนตั้งแต่ ๑๒๐ คนขึ้นไป ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ปกติแต่ประสบปัญหาการขาดแคลนอัตรากำลังครู จำนวนรวมทั้งสิ้น ๙๒๒ แห่ง โดยจัดสรรอัตรากำลังครูให้ไม่มากกว่าอัตรากำลังครูตามเกณฑ์ ก.ค.ศ. จำนวนรวมทั้งสิ้น ๑,๐๘๕ อัตรา ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๙ และครั้งที่ ๔/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๙ ตามที่สำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วม คปร. เสนอ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงาน ก.พ. และสำนักงบประมาณที่เห็นควรปรับสัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรต่องบประมาณทั้งหมดที่ได้รับการจัดสรรให้เหมาะสมสอดคล้องกับแนวโน้มของจำนวนนักเรียนที่ลดลง และนำมาตรการอื่นที่ปฏิบัติได้จริงและสามารถแก้ปัญหาการขาดแคลนอัตรากำลังครูได้มาใช้ด้วย และให้ คปร. ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการพิจารณาแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการการศึกษาขั้นพื้นฐานให้สอดคล้องกับบริบทของประชากรวัยเรียนที่มีแนวโน้มลดลงในขณะที่ภาระงบประมาณค่าใช้จ่ายด้านบุคคลต่อผู้เรียนเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ ก.ค.ศ. ควรมีการตรวจสอบกรอบอัตรากำลังครูให้มีความถูกต้องและต้องไม่จัดสรรอัตราว่างจากการเกษียณอายุของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเกินกรอบตามเกณฑ์ ก.ค.ศ. รวมทั้งการจัดสรรอัตรากำลังครูดังกล่าวจะต้องคำนึงถึงความเหมาะสมของภาระงานในด้านการเรียนการสอนกับจำนวนนักเรียนให้ทั่วถึงในทุกพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
527 | การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข | นร10 | 01/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขสำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๑,๙๒๒ อัตรา เพื่อใช้บรรจุนักศึกษาวิชาแพทยศาสตร์ ทันตแพทยศาสตร์ และเภสัชศาสตร์ที่สำเร็จการศึกษาในปี ๒๕๕๙ โดยใช้งบประมาณประมาณ ๕๘๖,๓๒๓,๑๒๐ บาท/ปี ทั้งนี้ การกำหนดตำแหน่งต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการกำหนดตำแหน่งที่ ก.พ. กำหนด ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ครั้งที่ ๔/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๙ ตามที่สำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วม คปร. เสนอ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการบรรจุอัตราข้าราชการตั้งใหม่ดังกล่าวควรคำนึงถึงอัตราส่วนบุคลากรทางด้านการแพทย์และสาธารณสุขต่อจำนวนประชากรที่เหมาะสม และมีการกระจายอย่างเป็นธรรมในแต่ละพื้นที่ รวมทั้งการสร้างความรับรู้ของประชาชน และการบูรณาการของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการสาธารณสุข เพื่อให้การบริการสาธารณสุขในภาพรวมของภาครัฐมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
528 | ทบทวนมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปีการผลิต 2559/60 ด้านการตลาด | พณ | 01/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกข้าวหอมมะลิ ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ โดยสนับสนุนเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกข้าวหอมมะลิตามกลุ่มเป้าหมาย ๒,๐๐๐ บาทต่อตัน (กำหนด ไร่ละ ๘๐๐ บาท รายละไม่เกิน ๑๕ ไร่) ทั้งรายที่เข้าร่วมโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ และไม่ได้เข้าร่วมโครงการฯ โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โอนเงินเข้าบัญชีให้กับเกษตรกร กรอบระยะเวลาดำเนินการ ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ถึงวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ กรอบวงเงินงบประมาณ จำนวน ๑๙,๓๗๕.๓๗ ล้านบาท โดยให้ ธ.ก.ส. ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวเสนอ ๒. ในส่วนของการดำเนินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ ในระยะนี้ ให้กำหนดกรอบวงเงินสินเชื่อต่อตันข้าวเปลือกหอมมะลิไว้ที่ไม่เกิน ๙,๕๐๐ บาท ตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว ครั้งที่ ๗/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงมหาดไทยร่วมกับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ลงพื้นที่กำกับ ติดตาม และตรวจสอบการดำเนินงานโครงการตามมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ให้ถูกต้อง โปร่งใส เป็นธรรม เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
529 | การพิจารณาแต่งตั้งผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ (นายธัชพล กาญจนกูล) | พม | 25/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นายธัชพล กาญจนกูล ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ และการกำหนดอัตราเงินเดือนของผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ ตามมติคณะกรรมการการเคหะแห่งชาติ ครั้งที่ ๙/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๙ ส่วนค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์อื่น ๆ รวมทั้งเงื่อนไขการจ้างและการประเมินผลการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
530 | หลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินเดือนสูงกว่าขั้นสูงของตำแหน่งที่ได้รับแต่งตั้ง | นร10 | 18/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินเดือนสูงกว่าขั้นสูงของตำแหน่งที่ได้รับแต่งตั้ง โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ ตามมติคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน ครั้งที่ ๙/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๙ ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ผู้ดำรงตำแหน่งในระดับที่ได้รับเงินเดือนถึงอัตราเงินเดือนขั้นสูงสุด (เงินเดือนตัน) ได้รับเงินเดือนในระดับถัดไปของแต่ละประเภทตำแหน่ง ยกเว้น (๑) ระดับทักษะพิเศษและระดับเชี่ยวชาญ ได้รับเงินเดือนไม่เกิน ๗๔,๓๒๐ บาท (๒) ระดับทรงคุณวุฒิ ได้รับเงินเดือนไม่เกิน ๗๖,๘๐๐ บาท และ (๓) ประเภทอำนวยการระดับสูง ได้รับเงินเดือนในตำแหน่งบริหารระดับต้นไม่เกิน ๗๔,๓๒๐ บาท ๑.๒ ผู้ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งต่างประเภท ต่างสายงาน หรือต่างระดับ และเงินเดือนที่ได้รับสูงกว่าเงินเดือนขั้นสูงของตำแหน่งที่ได้รับแต่งตั้ง ให้ได้รับเงินเดือนในอัตราที่ได้รับอยู่เดิมโดยให้ได้รับเงินเดือนในระดับถัดไปของแต่ละประเภทตำแหน่ง เช่น ผู้ดำรงตำแหน่งประเภททั่วไประดับชำนาญงาน ได้รับเงินเดือน ๓๒,๐๐๐ บาท และต่อมาได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับปฏิบัติการซึ่งมีเงินเดือนขั้นสูง ๒๖,๙๐๐ บาท กรณีนี้ให้ได้รับเงินเดือนในอัตราที่ได้รับอยู่เดิม ๑.๓ กรณีผู้ดำรงตำแหน่งประเภททั่วไประดับอาวุโสและประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ เมื่อได้รับเงินเดือนถึงอัตราเงินเดือนสูงสุดที่ ก.พ. กำหนดแล้ว ให้ได้รับเงินเดือนโดยคำนวณจากฐานในการคำนวณระดับบน ๒ ตามกฎ ก.พ. ว่าด้วยการเลื่อนเงินเดือน พ.ศ. ๒๕๕๒ ได้แก่ ประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ อัตรา ๖๘,๕๖๐ บาท ประเภททั่วไประดับอาวุโส อัตรา ๔๔,๙๗๐ บาท ๑.๔ ผู้ได้รับค่าตอบแทนพิเศษ หรือค่าจ้างถึงขั้นสูงหรือใกล้ถึงขั้นสูง ให้นำค่าตอบแทนมารวมเป็นเงินเดือนและให้ได้รับเงินเดือนในอัตราใหม่ ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้ส่วนราชการใช้จ่ายจากงบบุคลากรของส่วนราชการต่าง ๆ ไปก่อนเป็นลำดับแรก หากไม่เพียงพอให้ส่วนราชการขอทำความตกลงกับกรมบัญชีกลางเพื่อขอรับจัดสรรงบกลาง รายการเงินเลื่อนเงินเดือนและเงินปรับวุฒิข้าราชการ ส่วนภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
531 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2546 และขอผ่อนผันยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2550 สำหรับโครงการก่อสร้างทาง 4 ช่องจราจร ทางหลวงหมายเลข 304 สาย อ. กบินทร์บุรี - อ. วังน้ำเขียว ตอน 3 จ. นครราชสีมา จ. ปราจีนบุรี ส่วนที่ 1 และ ส่วนที่ 2 และสาย อ. กบินทร์บุรี - อ. ปักธงชัย (ทางเชื่อมผืนป่า จ. ปราจีนบุรี) | คค | 18/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ได้รับการผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๔๖ (เรื่อง ขอผ่อนผันยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเพื่อให้กองทัพอากาศใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ) และได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ (เรื่อง แนวทางพิจารณาการก่อสร้างถนนในพื้นที่อุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า) สำหรับโครงการก่อสร้างทาง ๔ ช่องจราจร ทางหลวงหมายเลข ๓๐๔ สาย อ. กบินทร์บุรี-อ. วังน้ำเขียว ตอน ๓ จ. นครราชสีมา จ. ปราจีนบุรี ส่วนที่ ๑ และ ส่วนที่ ๒ และสาย อ. กบินทร์บุรี-อ. ปักธงชัย (ทางเชื่อมผืนป่า) จ.ปราจีนบุรี เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย ๒. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ดำเนินการตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ที่ให้ตั้งหน่วยพิทักษ์อุทยานตั้งแต่เริ่มโครงการ สร้างช่องทางให้สัตว์ป่าสามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างปลอดภัย และทำทางเชื่อมผืนป่าเพิ่มเติมในอนาคต เป็นต้น และความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินการป้องกันและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในการก่อสร้างบริเวณพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น ๑ เอ ลุ่มน้ำชั้น ๑ บี และลุ่มน้ำชั้นที่ ๒ และให้ดำเนินการขอเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้และเขตอุทยานแห่งชาติตามระเบียบ กฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด รวมทั้งมีการปลูกป่าทดแทนเพื่ออนุรักษ์หรือรักษาสภาพแวดล้อมของพื้นที่ดังกล่าวด้วย รวมถึงจะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี ตลอดจนกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการก่อสร้างในพื้นที่ที่จดทะเบียนมรดกโลกอย่างเคร่งครัดด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
532 | ท่าทีของราชอาณาจักรไทยในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 40 (ต่อเนื่อง) | ทส | 18/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๑.๑ เห็นชอบการกำหนดท่าทีของราชอาณาจักรไทยในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๔๐ (ต่อเนื่อง) ดังนี้ ๑.๑.๑ ราชอาณาจักรไทยควรเร่งหารือเพื่อทำความเข้าใจกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาก่อนการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๔๐ (ต่อเนื่อง) ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ ๒๔-๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๙ ณ ที่ทำการใหญ่องค์การยูเนสโก กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ๑.๑.๒ ยืนยันตามร่างข้อมติคณะกรรมการมรดกโลกที่ให้ Refer เพื่อชะลอการขึ้นทะเบียนพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลก และพยายามไม่ให้มีถ้อยคำเกี่ยวกับ “เขตแดน” ไว้ในข้อมติของคณะกรรมการมรดกโลก ๑.๑.๓ กรณีมีประเด็นอื่นที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ให้อยู่ในดุลยพินิจของหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการพิจารณากำหนดท่าทีในประเด็นนั้น ๆ ทั้งนี้ ให้คณะผู้แทนไทยพิจารณาร่วมกันระหว่างการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๔๐ (ต่อเนื่อง) โดยคำนึงถึงหลักการของอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และข้อมูลด้านเทคนิคและวิชาการจากองค์กรที่ปรึกษา ๑.๒ มอบหมายให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นหน่วยงานหลักในการจัดคณะผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปหารือและทำความเข้าใจร่วมกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาในเรื่องข้อห่วงกังวลในเรื่องค่าพิกัดของพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน ก่อนการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๔๐ (ต่อเนื่อง) ๑.๓ มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดส่งเอกสารค่าพิกัดตำแหน่งที่ตั้งของพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานในเอกสารเสนอขึ้นทะเบียนมรดกโลก จากเดิม ๔ ตำแหน่ง เป็น ๑ ตำแหน่ง ต่อศูนย์มรดกโลกรับทราบ ๑.๔ รับทราบองค์ประกอบคณะผู้แทนไทยในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๔๐ (ต่อเนื่อง) ตามองค์ประกอบเดิมในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๔๐ โดยมอบหมายให้เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงปารีส (นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว) เป็นหัวหน้าคณะ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวัฒนธรรม และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมอบหมายให้ผู้แทนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเลขานุการหัวหน้าคณะ ๒. หากมีความจำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงท่าทีของราชอาณาจักรไทยในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๔๐ (ต่อเนื่อง) ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสามารถดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
533 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2559 (เพิ่มเติม) และครั้งที่ 3/2559 | ทส | 04/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๙ (เพิ่มเติม) จำนวน ๑ เรื่อง ได้แก่ รายงานการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ กรณีปรับปรุงรูปแบบอาคารจอดรถสถานีแยกนนทบุรี ๑ ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ๒. มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๙ จำนวน ๔ เรื่อง ได้แก่ (๑) โครงการก่อสร้างอาคารพักอาศัย (แปลง G) โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดงของการเคหะแห่งชาติ (๒) โครงการระบบรถไฟทางคู่เพื่อการขนส่งและจัดการโลจิสติกส์ (ระยะที่ ๑) แนวเส้นทางลพบุรี-ปากน้ำโพ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (๓) โครงการระบบรถไฟทางคู่เพื่อการขนส่งและจัดการโลจิสติกส์ (ระยะที่ ๑) แนวเส้นทางนครปฐม-ชุมทางหนองปลาดุก-หัวหิน ของการรถไฟแห่งประเทศไทย และ (๔) ข้อชี้แจงการดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ โครงการก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าระบบแรงดัน ๑๑๕ กิโลโวลต์ ช่วงสถานีไฟฟ้าฮอด อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ถึงสถานีไฟฟ้าแม่สะเรียง อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
534 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2546 และขอผ่อนผันยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2550 เพื่อก่อสร้างถนนในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ สำหรับโครงการเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น 4 ช่องจราจร (ระยะที่ 2) ทางหลวงหมายเลข 105 หรือ ทางหลวงหมายเลข 12 (ปรับใหม่) ตอน ตาก - อ. แม่สอด | คค | 04/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ได้รับการผ่อนผันและยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการขอใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ และการก่อสร้างถนนในพื้นที่อุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า สำหรับโครงการเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น ๔ ช่องจราจร (ระยะที่ ๒) ทางหลวงหมายเลข ๑๐๕ หรือทางหลวงหมายเลข ๑๒ (ปรับใหม่) ตอน ตาก-อ.แม่สอด เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย ๒. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ดำเนินการตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๖ และความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินงานอยู่ในเขตทางเดิมเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น และจะต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน แก้ไข และลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ส่วนการขอเข้าทำประโยชน์ในเขตพื้นที่ป่าไม้และเขตอุทยานแห่งชาติ ให้ดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย แนวทางปฏิบัติ ตลอดจนมติคณะรัฐมนตรีและนโยบายที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยกระทรวงคมนาคมจะต้องดำเนินการปลูกป่าทดแทนพื้นที่ป่าไม้ที่สูญเสียไปไม่น้อยกว่า ๓ เท่าของพื้นที่ป่าไม้ที่ถูกใช้ประโยชน์ (หรือไม่น้อยกว่า ๑,๒๐๐ ไร่) รวมทั้งต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคมชี้แจงให้ประชาชนในพื้นที่เข้าใจถึงเหตุผลความจำเป็นและประโยชน์ที่ประชาชนในพื้นที่และประเทศจะได้รับในการดำเนินโครงการขยายถนนสายดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
535 | การจำแนกประเภทที่ดิน จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดน่าน และจังหวัดลำปาง (ขอเปลี่ยนแปลงมติคณะรัฐมนตรีเดิมเฉพาะแห่ง) | กษ | 04/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการจำแนกประเภทที่ดินพื้นที่ป่าลุ่มน้ำทา จังหวัดเชียงใหม่ ป่าแม่สาครฝั่งขวา ถนนสายแพร่-น่าน จังหวัดน่าน และป่าแม่ตุ๋ยฝั่งซ้าย (ป่าแม่เมาะแปลง ๒) จังหวัดลำปาง ออกจากป่าไม้ถาวร ตามมติคณะกรรมการพัฒนาที่ดิน ครั้งที่ ๒/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๙ เพื่อให้หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องรับไปปฏิบัติ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์แจ้งให้คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติรับทราบการจำแนกประเภทที่ดินดังกล่าวเพื่อให้เกิดการบูรณาการเกี่ยวกับการจัดทำนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรที่ดินในภาพรวมของประเทศและเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรตรวจสอบพื้นที่เพื่อมิให้ทับซ้อนกับพื้นที่อุทยานแห่งชาติ พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าคุ้มครองที่ยังไม่ได้กำหนดเป็นป่าสงวนแห่งชาติ และพื้นที่หวงห้ามที่ดินของกรมป่าไม้ รวมทั้งควรมีการสร้างความรู้ความเข้าใจและรณรงค์ให้เกษตรกรทำการเกษตรแบบผสมผสาน ลดการใช้สารเคมีและลดการเผา เพื่อสร้างความยั่งยืนให้แก่อาชีพเกษตรกรรมและลดผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของราษฎร และพิจารณาผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อสภาพแวดล้อม ควรทบทวนระบบการจัดการที่ดินที่มีอยู่และชะลอการดำเนินการระบบจัดการที่ดินที่พิจารณาแล้วพบว่ามีความซ้ำซ้อนกับการดำเนินการตามระบบของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ และเร่งรัดการออกแบบปรับปรุงให้ระบบที่คาบเกี่ยวกันนั้นให้มีการบูรณาการอย่างแท้จริง เพื่อนำไปสู่การบริหารจัดการที่ดินของประเทศที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
536 | มติที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2559 เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2559 | นร | 04/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๙ ตามที่ประธานกรรมการนโยบายการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงแก้ไขกฎหมายความปลอดภัยทางถนน จำนวน ๕ ประเด็น ได้แก่ (๑) เมาแล้วขับ (๒) ขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด (๓) การได้มาซึ่งใบอนุญาตขับรถ (๔) รถโดยสารสาธารณะ และ (๕) การคาดเข็มขัดนิรภัย และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑.๑ ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบในการแก้ไขกฎหมายทั้ง ๕ ประเด็น ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย กฎกระทรวง ระเบียบ และข้อบังคับที่อยู่ในอำนาจหน้าที่เพื่อให้มีผลบังคับใช้ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๖๐ ๑.๑.๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำมติที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนแห่งชาติเป็นแนวทางปฏิบัติในการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนตามอำนาจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน โดยให้ความสำคัญในการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ๑.๑.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยสั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน โดยนำนโยบายประชารัฐมาเป็นแนวทางในการดำเนินงานในพื้นที่อย่างจริงจังและต่อเนื่อง ๑.๑.๔ ให้ทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนร่วมกันรณรงค์และประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัยทางถนนอย่างเข้มข้น จริงจัง ให้เกิดความตระหนักและเกิดเป็นวัฒนธรรมการใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัยโดยเร่งด่วน ๑.๒ เห็นชอบในหลักการให้จัดทำแผนแม่บทความปลอดภัยทางถนน พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๓ และให้ใช้แผนแม่บทความปลอดภัยทางถนน พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๙ เป็นแนวทางการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพลางก่อน จนกว่าแผนแม่บทความปลอดภัยทางถนน พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๓ จะแล้วเสร็จ ทั้งนี้ ให้พิจารณาปรับกรอบระยะเวลาการดำเนินการจัดทำแผนแม่บทความปลอดภัยทางถนน พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๓ ให้มีระยะเวลาสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) ด้วย ๒. ในการจัดหาเครื่องมือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนแห่งชาติพิจารณาดำเนินการให้เกิดความชัดเจนในเรื่องของแผนความต้องการและแผนการจัดสรรเครื่องมือดังกล่าว ตลอดจนเรื่องของคุณลักษณะเฉพาะและราคาที่เหมาะสม โดยคำนึงถึงหลักความประหยัดและคุ้มค่า เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม ตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้คณะกรรมการนโยบายการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในลักษณะของการบูรณาการเพื่อลดความซ้ำซ้อน โดยกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบ ตัวชี้วัด และเป้าหมายให้ชัดเจน รวมทั้งให้ความสำคัญกับการสร้างกลไกการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนตั้งแต่กระบวนการจัดทำแผนจนถึงการประเมินผลการดำเนินงาน และพิจารณาถึงคุณสมบัติและความคุ้มค่าที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์การใช้งานเครื่องตรวจวัดความเร็ว เพื่อความมีประสิทธิภาพของการดำเนินงานอย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
537 | การปรับค่าจ้างของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ | รง | 04/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับค่าจ้างของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ โดยกำหนดเป็นขอบเขตสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงิน ตามมาตรา ๑๓ (๒) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ โดยให้ปรับค่าจ้างของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ครั้งที่ ๘/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ ได้แก่ ลูกจ้างที่มีค่าจ้างไม่เกิน ๔๓,๘๙๐ บาท สำหรับรัฐวิสาหกิจที่ใช้บัญชีโครงสร้างอัตราค่าจ้างแบบช่วง ให้ปรับในอัตราที่สูงกว่าอัตราที่ได้รับอยู่เดิมอีกไม่เกินร้อยละ ๒ ของค่าจ้างที่ได้รับอยู่ และสำหรับรัฐวิสาหกิจที่ใช้บัญชีโครงสร้างอัตราค่าจ้างแบบขั้น ให้ปรับในอัตราที่สูงกว่าอัตราที่ได้รับอยู่เดิมอีกไม่เกิน ๐.๕ ขั้น ของค่าจ้างที่ได้รับอยู่ ให้มีผลไม่ก่อนวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ทั้งนี้ ลูกจ้างที่เคยได้รับอัตราค่าจ้างน้อยกว่าหลังจากปรับค่าจ้างดังกล่าวแล้ว จะยังคงได้รับอัตราค่าจ้างไม่สูงกว่าลูกจ้างที่มีค่าจ้างสูงกว่า และไม่เกินอัตราค่าจ้างขั้นสูงของแต่ละระดับตำแหน่ง โดยให้ใช้งบประมาณของแต่ละรัฐวิสาหกิจเอง ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้รัฐวิสาหกิจคำนึงถึงสถานะการเงิน ผลการดำเนินงานของกิจการ และกำหนดมาตรการเพิ่มรายได้ลดรายจ่ายให้สอดคล้องกับค่าใช้จ่ายที่จะเพิ่มขึ้นจากการปรับอัตราค่าจ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐวิสาหกิจที่ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อไม่ให้เป็นภาระงบประมาณในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงแรงงานได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
538 | ขอความเห็นชอบในการแต่งตั้งผู้ว่าการสถาบันการบินพลเรือน (นาวาเอก ปิยะ อาจมุงคุณ) | คค | 04/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นาวาเอก ปิยะ อาจมุงคุณ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการสถาบันการบินพลเรือน และการกำหนดอัตราเงินเดือนของผู้ว่าการสถาบันการบินพลเรือน ตามมติคณะกรรมการสถาบันการบินพลเรือน ครั้งที่ ๔/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๙ และครั้งที่ ๗/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ส่วนค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์อื่น รวมทั้งเงื่อนไขการจ้างและการประเมินผลการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
539 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2559 (ครั้งที่ 8) | พน | 27/09/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๙ (ครั้งที่ ๘) เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๙ ซึ่งคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติมีมติเห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาภาษีมูลค่าเพิ่มจากมาตรการอุดหนุนค่าไฟฟ้าฟรีสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าที่ด้อยโอกาสตามนโยบายของรัฐ และรับทราบมติคณะกรรมการนโยบายแห่งชาติเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ (๑) แผนงานพัฒนาระบบไฟฟ้าเพื่อรองรับการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (Special Economic Zone : SEZ) (๒) การทบทวนนโยบายการนำส่งเงินเข้ากองทุนพัฒนาไฟฟ้า สำหรับผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการไฟฟ้า ประเภทใบอนุญาตผลิตไฟฟ้า และ (๓) ปรับปรุงเพิ่มเติมประกาศคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ๒. ในส่วนของแนวทางการแก้ไขปัญหาภาษีมูลค่าเพิ่มจากมาตรการอุดหนุนค่าไฟฟ้าฟรีสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าที่ด้อยโอกาสตามนโยบายของรัฐ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า อธิบดีกรมสรรพากรโดยอนุมัติของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีอำนาจกำหนดค่าตอบแทนใดไม่ให้รวมเป็นมูลค่าของฐานภาษีได้ตามมาตรา ๗๙(๔) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ๓๐) พ.ศ. ๒๕๓๔ โดยคณะรัฐมนตรีก็สามารถมีมติมอบหมายให้กระทรวงการคลังดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามประมวลรัษฎากรเพื่อบรรเทาภาระภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าวให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายได้ต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงพลังงานรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อาทิ การพิจารณาหักลดรายได้นำส่งคลังให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายโดยเร็ว และการส่งเสริมให้มีโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก และอำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร ควรให้ความสำคัญกับศักยภาพการผลิตพลังงานหมุนเวียนในพื้นที่ และให้โอกาสแก่ชุมชนในพื้นที่ในการเข้ามามีส่วนร่วมในการผลิตแหล่งเชื้อเพลิงและการผลิตพลังงานให้กับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษก่อนเป็นลำดับแรก รวมทั้งควรพิจารณาความคุ้มค่าและความจำเป็นในการวางแผนพัฒนาโรงไฟฟ้าฐาน (base power plants) ที่ต้องทำหน้าที่รองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าในกรณีที่โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนไม่สามารถผลิตไฟฟ้าด้วย ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
540 | การแต่งตั้งผู้อำนวยการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ (นายไพโรจน์ สัตยสัณห์สกุล) | ทส | 27/09/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นายไพโรจน์ สัตยสัณห์สกุล ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ และการกำหนดอัตราเงินเดือนของผู้อำนวยการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ ตามมติคณะกรรมการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ ครั้งที่ ๔/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๙ และครั้งที่ ๕/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๙ ส่วนค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์อื่น ๆ รวมทั้งเงื่อนไขการจ้างและการประเมินผลการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
|
.....