ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 69 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 1361 - 1380 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1361 | โครงการปรับปรุงกิจการประปาแผนหลัก ครั้งที่ 9 ของการประปานครหลวง | มท | 04/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้การประปานครหลวง (กปน.) ดำเนินงานโครงการปรับปรุงกิจการประปาแผนหลัก ครั้งที่ ๙ วงเงินลงทุนรวม ๔๒,๗๕๐ ล้านบาท โดยใช้เงินรายได้ของ กปน. จำนวน ๑๙,๗๕๐ ล้านบาท และเงินกู้ในประเทศ จำนวน ๒๓,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒ ให้ กปน. กู้เงินในประเทศ ภายในกรอบวงเงิน ๒๓,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อเป็นเงินลงทุนของโครงการฯ โดย กปน. จะทยอยดำเนินการกู้เงินตามความจำเป็นจนกว่างานจะแล้วเสร็จ ๒. ให้ กปน. ปรับระยะเวลาของโครงการฯ ให้สอดคล้องกับการดำเนินการจริงที่จะสามารถเริ่มได้ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยและ กปน. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดการจัดทำแผนการบริหารจัดการน้ำสูญเสียขององค์กรให้เป็นไปตามเป้าหมาย ควรบริหารความเสี่ยงและควบคุมการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ รวมถึงให้ความสำคัญต่อการวางแผนการเตรียมความพร้อมในขั้นตอนของแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินที่ชัดเจน ตลอดจนมีการติดตามประเมินผลการดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่อง และให้ กปน. พิจารณาดำเนินการ เช่น ประสานการขอใช้พื้นที่ระหว่างหน่วยงานสาธารณูปโภคและหน่วยงานเจ้าของพื้นที่ให้สอดคล้องและเป็นไปตามแผนงานที่กำหนด ศึกษาความเหมาะสมการปรับโครงสร้างอัตราค่าน้ำสำหรับกลุ่มผู้ใช้น้ำประเภทต่าง ๆ รวมทั้งให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาดำเนินการ เช่น พิจารณาความเหมาะสมของกฎหมายควบคุมอาคารที่เกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรน้ำของอาคาร กำกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการควบคุมการก่อสร้างอาคารให้มีการบำบัดน้ำเสียอย่างเข้มงวด และพิจารณากำหนดอัตราและแนวทางการจัดเก็บค่าบำบัดน้ำเสียตามหลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย นอกจากนี้ กปน. ควรมีการกำกับและติดตามการเบิกจ่ายงบลงทุนให้เป็นไปตามแผนอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งเสนอแผนการขอใช้น้ำต่อกรมชลประทานทั้งระยะสั้นและระยะยาวเพื่อนำไปประกอบการพิจารณาวางแผนการจัดสรรน้ำดิบตามความเหมาะสมของปริมาณน้ำต้นทุนที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสร้างการรับรู้และการมีส่วนร่วมให้กับทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน เกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น แนวทางการลดน้ำสูญเสีย การบำบัดน้ำเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1362 | การบริหารโครงการลงทุนภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 | กค | 27/09/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติการขยายระยะเวลาการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินกู้สำหรับโครงการตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะ ๓ เดือนแรก จนถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ รวมทั้งสิ้น ๑๑๐ รายการ วงเงินรวม ๓๘๕,๗๘๗,๑๗๒.๕๔ บาท ทั้งนี้ หากหน่วยงานไม่สามารถดำเนินการได้แล้วเสร็จให้ใช้เงินจากแหล่งอื่นต่อไป และอนุมัติการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินกู้ที่เกินกรอบระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ โดยให้สัตยาบันการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินกู้โครงการตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะ ๓ เดือนแรกที่ดำเนินการไปแล้ว ของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จำนวน ๑๐ รายการ วงเงิน ๒๘,๖๐๔,๕๐๒.๐๐ บาท และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน ๓ รายการ วงเงิน ๒,๗๓๓,๓๙๐.๐๐ บาท ๑.๒ อนุมัติการขอยกเลิกการดำเนินโครงการตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะ ๓ เดือนแรก จำนวน ๒๔ รายการ วงเงินรวม ๓๐,๗๔๐,๗๖๒.๖๘ บาท ๑.๓ อนุมัติให้กรมบัญชีกลางเป็นผู้ดำเนินการดึงเงินเหลือจ่ายคืนจากหน่วยงานเจ้าของโครงการโดยตรงหลังจากวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ ตามที่คณะรัฐมนตรีขยายระยะเวลาการดำเนินการและเบิกจ่ายตามข้อ ๑.๑ เพื่อสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะจะได้ดำเนินการปิดบัญชีแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ และนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ พ.ศ. ๒๕๕๒ ต่อไป ๑.๔ เห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ เรื่อง การบริหารโครงการลงทุนภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ จากเดิม “เห็นชอบการปิดโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ และยุติการดำเนินงานของคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ภายในวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๙” เป็น “เห็นชอบการปิดโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ และยุติการดำเนินงานของคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ” ๑.๕ อนุมัติการดำเนินการและการเบิกจ่ายเงินกู้เกินกรอบระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ โดยให้สัตยาบันการดำเนินการและการเบิกจ่ายเงินกู้ของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ สำหรับโครงการจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างระบบสูบน้ำและระบบส่งน้ำ MC๑ พร้อมอาคารประกอบ โครงการพัฒนาลุ่มน้ำตาปี-พุมดวง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ของกรมชลประทาน จำนวนทั้งสิ้น ๒.๑๗ ล้านบาท ๑.๖ อนุมัติการจัดสรรวงเงินสำรองจ่ายของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จำนวน ๑ รายการ วงเงิน ๒,๓๕๕,๗๔๒.๐๐ บาท ๒. มอบหมายให้คณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ และกระทรวงการคลังกำกับหน่วยงานเจ้าของโครงการให้ดำเนินงานและเบิกจ่ายเงินกู้ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ และเร่งรัดดำเนินการปิดโครงการลงทุนภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ โดยคณะรัฐมนตรีจะไม่อนุมัติการขยายระยะเวลาดำเนินงานหรือการเบิกจ่ายเงินอีกต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบสาเหตุการเบิกจ่ายเงินเกินกรอบระยะเวลาตามมติคณะรัฐมนตรีของส่วนราชการ รวมทั้งเสนอแนวทางป้องกันมิให้ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นอีก แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1363 | กรอบและงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2560 | นร11 | 27/09/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบกรอบและงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ วงเงินดำเนินการ ๑,๕๒๐,๕๔๑ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน ๕๘๐,๙๘๐ ล้านบาท สำหรับโครงการที่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี และการลงทุนที่ใช้เงินงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้ดำเนินการได้เมื่อได้รับอนุมัติตามขั้นตอนแล้ว ทั้งนี้ กำหนดเป้าหมายให้รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๕ ของกรอบวงเงินอนุมัติเบิกจ่ายลงทุน ๑.๒ เห็นชอบให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติปรับวงเงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ให้สอดคล้องกับผลการจัดสรรงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และการอนุมัติลงทุนเพิ่มเติมตามมติคณะรัฐมนตรี ๑.๓ มอบหมายให้คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้พิจารณาอนุมัติการเปลี่ยนแปลงงบลงทุนระหว่างปีในส่วนงบลงทุนเพื่อการดำเนินงานปกติและโครงการต่อเนื่องที่การเปลี่ยนแปลงไม่มีผลกระทบต่อสาระสำคัญและกรอบวงเงินโครงการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้แล้ว โดยกรณีการปรับลดเป้าหมายการลงทุนต้องเป็นเหตุจากปัจจัยภายนอกที่รัฐวิสาหกิจไม่สามารถบริหารจัดการได้เท่านั้น ๑.๔ ให้รัฐวิสาหกิจรายงานผลความก้าวหน้าของการดำเนินงานและการลงทุนปี ๒๕๖๐ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทราบภายในทุกวันที่ ๕ ของเดือนอย่างเคร่งครัด และให้กระทรวงเจ้าสังกัดรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ระดับกระทรวง และระดับองค์กรไปพิจารณาดำเนินการ รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะและความก้าวหน้าการดำเนินโครงการลงทุนทุกไตรมาส เพื่อประโยชน์ในการติดตามประเมินผลการดำเนินงานและการลงทุนของรัฐวิสาหกิจได้อย่างต่อเนื่อง ๑.๕ รับทราบประมาณการงบทำการประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ ประมาณ ๑๐๗,๗๒๒ ล้านบาท และรับทราบประมาณการแนวโน้มการดำเนินงานช่วงปี ๒๕๖๑-๒๕๖๓ ของรัฐวิสาหกิจในเบื้องต้นที่คาดว่าจะมีการลงทุนเฉลี่ยประมาณปีละ ๗๒๐,๓๑๓ ล้านบาท และผลประกอบการจะมีกำไรสุทธิเฉลี่ยประมาณปีละ ๑๐๒,๗๑๑ ล้านบาท ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้รัฐวิสาหกิจเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ให้มากกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งรัดการดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในปีงบประมาณ ๒๕๖๐ รวมทั้งให้กระทรวงเจ้าสังกัด และรัฐวิสาหกิจจัดทำแผนการเบิกจ่ายงบลงทุนที่สอดคล้องกับวงเงินที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีและรายงานให้กระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทราบ ตลอดจนให้จัดทำแผนเร่งรัดการเบิกจ่ายในโครงการตามแผนการลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่ได้รับความเห็นชอบแล้วให้มีการก่อหนี้โดยเร็ว สำหรับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ให้เลื่อนการลงทุนให้เร็วขึ้น (Front Load) ทั้งนี้ ให้เน้นการเบิกจ่ายในไตรมาสที่ ๑ ประจำปี ๒๕๖๐ ให้เร็วขึ้น นอกจากนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ รัฐมนตรีเจ้าสังกัดที่กำกับดูแล และคณะกรรมการของแต่ละรัฐวิสาหกิจให้ความสำคัญในการติดตามผลการปฏิบัติงานและผลการใช้จ่ายงบประมาณอย่างต่อเนื่อง ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1364 | ขออนุมัติโครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ ปี 2559 (เพิ่มเติม) (สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ราชอาณาจักรกัมพูชา และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม) | ยธ | 27/09/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ โครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ ปี ๒๕๕๙ (เพิ่มเติม) สนับสนุนให้แก่ประเทศเพื่อนบ้าน (สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ราชอาณาจักรกัมพูชา และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม) วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๑.๒ ให้เลขาธิการ ป.ป.ส. มีอำนาจอนุมัติโครงการ แผนงาน และกิจกรรมภายใต้กรอบงบประมาณ งบเงินอุดหนุน รายการโครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ ปี ๒๕๕๙ (เพิ่มเติม) และสามารถจ่ายเงินงบประมาณสนับสนุนแต่ละประเทศ เพื่อให้มีการดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ตามที่ได้รับการจัดสรร ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของสำนักงบประมาณและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเกี่ยวกับการดำเนินโครงการฯ จะต้องคำนึงถึงความประหยัด ความคุ้มค่า ความมั่นคง และความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน อย่างมั่นคงยั่งยืน เพื่อประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ และรายงานผลการดำเนินการตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้สำนักงาน ป.ป.ส. ดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบ หลักเกณฑ์ และวิธีการที่กฎหมายกำหนด พึงระมัดระวังและกำกับดูแลมิให้มีการใช้จ่ายที่ผิดวัตถุประสงค์ของโครงการ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1365 | เงินกู้จากรัฐบาลญี่ปุ่นสำหรับโครงการรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต ระยะที่ 3 | กค | 27/09/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนว่าด้วยความร่วมมือทางการเงินระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่นและเอกสารที่เกี่ยวข้อง และร่างสัญญาเงินกู้ ๑.๒ เห็นชอบในการระบุให้ใช้อนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาทตามร่างสัญญาเงินกู้และ General Terms and Conditions for Japanese ODA Loans ฉบับเดือนพฤศจิกายน ปี ๒๕๕๗ ขององค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency : JICA) ๑.๓ อนุมัติให้กระทรวงการคลังกู้เงินในนามรัฐบาลไทยจาก JICA สำหรับโครงการรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต ระยะที่ ๓ วงเงิน ๑๖๖,๘๖๐ ล้านเยน ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กล่าวข้างต้น และอนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กู้ต่อจากกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามกฎ ระเบียบ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขของกระทรวงการคลังที่จะได้ตกลงกับ รฟท. ต่อไป และให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีในส่วนที่รัฐบาลรับภาระให้แก่ รฟท. เพื่อชำระหนี้คืนแก่แหล่งเงินกู้โดยตรงสำหรับเงินต้นและดอกเบี้ย รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ๑.๔ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่ากระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามในนามรัฐบาลไทยในหนังสือแลกเปลี่ยนว่าด้วยความร่วมมือทางการเงินระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่นและเอกสารที่เกี่ยวข้อง และลงนามในสัญญาเงินกู้กับ JICA ๑.๕ มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจัดทำคำรับรองทางกฎหมาย (Legal Opinion) สำหรับสัญญาเงินกู้ดังกล่าวในโอกาสแรกภายหลังจากที่ได้มีการลงนามในสัญญาเงินกู้แล้ว ๒. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมรับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ และ รฟท. ดำเนินการควบคุมจัดทำระบบบัญชีเงินกู้ในส่วนที่รัฐบาล และ รฟท. รับภาระแยกออกจากกันให้ชัดเจน เพื่อให้ทราบภาระต้นเงินกู้ ค่าดอกเบี้ย และภาระค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องของแต่ละฝ่ายที่รับผิดชอบ และให้กระทรวงคมนาคมพิจารณารูปแบบการลงทุนและการเดินรถโครงการรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต และช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ที่มีความเหมาะสม และในกรณีที่กระทรวงคมนาคมพิจารณาแล้วยืนยันว่า รฟท. จำเป็นต้องเป็นผู้ลงทุนและเดินรถโครงการดังกล่าว เห็นควรให้ รฟท. เร่งจัดทำแผนธุรกิจ แผนบริหารจัดการหนี้สิน และแผนการปรับโครงสร้างองค์กร รวมทั้งแนวทางการจัดเตรียมบุคลากรเพื่อรองรับการดำเนินโครงการดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็ว เพื่อสร้างความมั่นใจว่า รฟท. จะสามารถเปิดให้บริการประชาชนได้ทันทีที่ดำเนินการก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1366 | ขออนุมัติดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงมาบกะเบา - ชุมทางถนนจิระ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 27/09/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินการโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ ในกรอบวงเงิน ๒๙,๔๔๙.๓๑ ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗) ตามความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมและ รฟท. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และข้อสังเกตของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ เพื่อให้การดำเนินโครงการของ รฟท. มีประสิทธิภาพและสามารถสร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจได้ในระดับที่เสนอ เช่น การพิจารณาให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนและบริหารจัดการเดินรถร่วมกับ รฟท. การกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาดให้สามารถแข่งขันกับการขนส่งรูปแบบอื่น ๆ ได้ การแก้ไขปัญหาจุดตัดทางรถไฟ การพัฒนาที่ดินที่ไม่ใช้ในการเดินรถตามแนวทางเขตรถไฟ การปรับโครงสร้างการบริหารจัดการกิจการรถไฟ ตลอดจนการขับเคลื่อนโครงการลงทุนต่าง ๆ ให้สามารถเชื่อมโยงการขนส่งหลายรูปแบบ (Multi-modal) ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. สำหรับแนวทางการรับภาระการลงทุน ให้ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ โดยค่าเวนคืนที่ดินและค่าดำเนินการประกวดราคา (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดังกล่าวให้แก่ รฟท. และในส่วนของค่าก่อสร้างและค่าจ้างที่ปรึกษาควบคุมงาน (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ให้กระทรวงการคลังจัดหาเงินกู้ในประเทศและให้กู้ต่อแก่ รฟท. โดยเห็นชอบให้ รฟท. กู้เงินตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓๙ (๔) ทั้งนี้ ให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณเป็นรายจ่ายชำระหนี้ดังกล่าวให้แก่ รฟท.
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1367 | ขอขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณปี พ.ศ. 2557 และขอดำเนินงานโครงการเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลเพิ่มเติม | ดท | 27/09/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้ ๒. รับทราบการดำเนินโครงการภายใต้กรอบโครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลเพิ่มเติม จำนวน ๕ โครงการ วงเงินรวม ๓๖๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ประกอบด้วย (๑) โครงการพัฒนาผู้ประกอบการรายใหม่เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านเทคโนโลยีดิจิทัล (Incubation network) (๒) โครงการจัดหาระบบเฝ้าระวังสื่อออนไลน์ (๓) โครงการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจจากเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information & Communication Technology : ICT) สู่เศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy : DE) (๔) โครงการสำรวจข้อมูลสถานภาพการรู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศของประเทศไทย (Media and Information Literacy) และ (๕) โครงการยกระดับคุณภาพงานบริการภาครัฐเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล (ระยะที่ ๒) ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ๓. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการเกี่ยวกับการใช้จ่ายและการเบิกจ่ายงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ โดยให้ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และความประหยัดเป็นสำคัญ โดยให้ขอทำความตกลงในรายละเอียดการดำเนินโครงการกับสำนักงบประมาณกรณีการโอนเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี รวมทั้งจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้ชัดเจน โดยเร่งรัดการใช้จ่ายและเบิกจ่ายให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ รวมถึงจัดทำสรุปรายงานผลการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณและผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลให้คณะรัฐมนตรีทราบในโอกาสต่อไปด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเร่งรัดดำเนินโครงการที่อยู่ระหว่างการจัดทำข้อกำหนดขอบเขตของงานและกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ตลอดจนนำโครงการฯ ไปบรรจุไว้ในแผนปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนารายยุทธศาสตร์ของแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเพื่อให้การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลมีความสอดคล้องและครอบคลุมในทุกมิติ รวมทั้งสามารถขับเคลื่อนการพัฒนาได้อย่างมีเอกภาพและให้เกิดความยั่งยืนต่อไป ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1368 | ผลการดำเนินการแผนงาน/โครงการและงบประมาณในการดำเนินการภายใต้โครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และขอขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณปี พ.ศ. 2559 | ดท | 27/09/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้ ๒. รับทราบผลการดำเนินการแผนงาน/โครงการและงบประมาณในการดำเนินการภายใต้โครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ วงเงินงบประมาณ ๑๕,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ประกอบด้วยกิจกรรมการขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศ วงเงิน ๑๓,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และกิจกรรมการเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Digital Hub) วงเงิน ๒,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ๓. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการเกี่ยวกับการใช้จ่ายและการเบิกจ่ายงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ จะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และความประหยัดเป็นสำคัญ สำหรับกรณีที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมมีความจำเป็นต้องขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันนั้น ให้ขอทำความตกลงกับกระทรวงการคลังเพื่อกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีหรือขอโอนเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณกับสำนักงบประมาณตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๙ ตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งประสานกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และเร่งจัดทำรายละเอียดของโครงการให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งในด้านพื้นที่ดำเนินการ ความต้องการใช้งานของผู้ใช้บริการ วงเงินลงทุน การบริหารจัดการและการดูแลบำรุงรักษา และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1369 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินโครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ | นร | 27/09/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ๒. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นชอบการขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ จนถึงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ภายในวงเงินเดิมจำนวน ๓๕,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในหลักการไว้แล้ว และหากมีความจำเป็นต้องดำเนินการสนับสนุนกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติเพิ่มเติม ก็ให้ใช้จ่ายจากเงินสะสมของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติต่อไป ๓. ให้สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้เร่งรัดการอนุมัติโครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ โดยจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณพร้อมรายละเอียดการใช้จ่ายเงินงบกลางผ่านสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณและดำเนินการโอนเงินงบประมาณให้กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ รวมทั้งติดตามการดำเนินงานโครงการให้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่ขยายเพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ คุ้มค่า บรรลุตามวัตถุประสงค์และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน ไปดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1370 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนเชียงคำ - สบบง - บ้านทราย จังหวัดพะเยา พ.ศ. .... | มท | 20/09/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนเชียงคำ-สบบง-บ้านทราย จังหวัดพะเยา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวมในท้องที่ตำบลสบบง อำเภอภูซาง และตำบลหย่วน ตำบลเวียง ตำบลฝายกวาง อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบทในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม เกี่ยวกับการกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทต่าง ๆ ให้พิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสภาพแวดล้อม พื้นที่ชุ่มน้ำ และแหล่งศิลปกรรมอันมีคุณค่าแก่การอนุรักษ์ การกำหนดพื้นที่การใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการอื่น ๆ ที่เป็นการใช้ประโยชน์ที่ดินรองของการใช้ประโยชน์ที่ดินหลักในแต่ละประเภท เมื่อมีการใช้ประโยชน์ที่ดินในแต่ละบริเวณแล้ว ควรจัดทำฐานข้อมูลที่เป็นปัจจุบันและเผยแพร่ต่อสาธารณะให้ทราบว่ามีการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการอื่นไปแล้วเท่าใด และใช้ฐานข้อมูลดังกล่าวเป็นฐานในการกำหนดผังเมืองรวมฉบับที่จะมีการปรับปรุงของแต่ละเมืองด้วย สำหรับการบังคับใช้ร่างกฎกระทรวงฯ ต้องคำนึงถึงความสอดคล้องกับการดำเนินโครงการตามแผนพัฒนาด้านพลังงาน นอกจากนี้ เห็นควรเพิ่มประเภทโรงงานอุตสาหกรรมในร่างกฎกระทรวงฯ ให้สอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริง ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ร่างกฎกระทรวงฯ มีเขตดำเนินการทับซ้อนกับเขตปฏิรูปที่ดินในบางท้องที่ ควรให้มีการตรวจสอบรูปแผนที่ให้ชัดเจน ก่อนมีการประกาศใช้บังคับ นอกจากนี้ อำเภอเชียงคำและอำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศและมีความเสี่ยงจากปัญหาน้ำท่วม จึงเห็นควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองพิจารณาสนับสนุนให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เป็นไปตามผังเมืองรวม ให้ความสำคัญต่อการรักษาพื้นที่เกษตรกรรม แหล่งน้ำและพื้นที่รับน้ำ รวมทั้งรักษาสภาพแวดล้อมชุมชนให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของผังเมืองรวมฉบับนี้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1371 | การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป รายการก่อสร้างทางวิ่ง ทางขับ ลานจอดเครื่องบินและอื่น ๆ ท่าอากาศยานเบตง จังหวัดยะลา และรายการค่าจ้างควบคุมงานก่อสร้างทางวิ่งทางขับ ลานจอด เครื่องบินและอื่น ๆ ท่าอากาศยานเบตง จังหวัดยะลา | คค | 20/09/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบกรณีกรมท่าอากาศยานก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ที่มีวงเงินตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป ของรายการที่อยู่ในโครงการก่อสร้างท่าอากาศยานเบตง จังหวัดยะลา รวม ๒ รายการ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รายการก่อสร้างทางวิ่ง ทางขับ ลานจอดเครื่องบินและอื่น ๆ วงเงินทั้งสิ้น ๑,๓๑๖,๗๓๒,๓๙๖.๑๖ บาท ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-พ.ศ. ๒๕๖๒ ๑.๒ รายการค่าจ้างควบคุมงานก่อสร้างทางวิ่ง ทางขับ ลานจอดเครื่องบิน และอื่น ๆ วงเงินทั้งสิ้น ๔๘,๐๕๐,๐๐๐ บาท ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-พ.ศ. ๒๕๖๒ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมท่าอากาศยาน) กำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1372 | ร่างพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. .... | มท | 20/09/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการผังเมือง ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติ เกี่ยวกับประเด็นองค์ประกอบของคณะกรรมการผังเมือง ข้อกำหนดการใช้พื้นที่ในการดำเนินโครงการด้านพลังงาน และระยะเวลาในการพิจารณาอุทธรณ์ กระบวนการแจ้งสิทธิและข้อมูลให้ผู้มีส่วนได้เสียในพื้นที่วางผังรับทราบเป็นการล่วงหน้า การรับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของประชาชนจะต้องประกอบด้วยการจัดประชุมประชาชนเพื่อรับฟังข้อคิดเห็นเกี่ยวกับผังเมืองอย่างน้อยหนึ่งครั้ง รวมทั้งการจัดทำผังเมืองจะต้องมีความสมดุลระหว่างด้านการพัฒนาและการควบคุมการใช้พื้นที่อย่างเหมาะสม ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๕๙ (เรื่อง การดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองและแผนการเสนอกฎหมายลำดับรอง และการเร่งรัดดำเนินการเสนอกฎหมายหรือปรับปรุงกฎหมายสำคัญ) และให้กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดการเสนอแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวเพื่อเสนอสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการควบคุมการวางผังเมืองให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมมากที่สุด รวมทั้งคำนึงถึงปริมาณน้ำต้นทุนที่มีอยู่เดิม และประสานกับกรมชลประทานเรื่องปริมาณความต้องการใช้น้ำที่คาดว่าจะใช้เพิ่มขึ้นในพื้นที่ เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาวางแผนการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อไป และให้กรมโยธาธิการและผังเมืองกำหนดแนวเขตปฏิรูปที่ดินพร้อมทั้งสัญลักษณ์สีแสดงการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมในผังแสดงการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อความสะดวกชัดเจนในการตรวจสอบ นอกจากนี้ ควรกำหนดลักษณะการใช้ประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินต้องเป็นไปตามกฎหมายปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1373 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลแห่งมาเลเซีย ว่าด้วยโครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าระหว่าง ลาว ไทย และมาเลเซีย | พน | 20/09/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลแห่งมาเลเซีย ว่าด้วยโครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าระหว่าง ลาว ไทย และมาเลเซีย (Memorandum of Understanding Between the Government of Lao People’s Democratic Republic, the Government of The Kingdom of Thailand and the Government of Malaysia on Power Integration Project) มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในระดับรัฐบาล ในการดำเนินโครงการนำร่องเพื่อศึกษากรอบความร่วมมือการบูรณาการด้านพลังงานไฟฟ้า และเพื่อส่งเสริมความมั่นคงทางพลังงาน ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพลังงานดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานหรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ โดยไม่ต้องให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง หลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม) ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๓. ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการศึกษาอัตราค่าใช้ระบบเชื่อมโยงสายส่งไฟฟ้า ควรประเมินมูลค่าผลกระทบทางอ้อม อาทิ การสูญเสียความสามารถในการรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศของระบบส่งไฟฟ้าของประเทศไทย รวมถึงผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ประกอบการศึกษาความเป็นไปได้ทางเศรษฐกิจ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1374 | ยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) (พ.ศ. 2559 - 2568) ระยะ10 ปี | สธ | 13/09/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักการยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๘) ระยะ ๑๐ ปี ซึ่งมีเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบริการสุขภาพของโลกใน ๔ ด้านหลัก ได้แก่ ศูนย์กลางบริการเพื่อส่งเสริมสุขภาพ ศูนย์กลางบริการสุขภาพ ศูนย์กลางบริการวิชาการและงานวิจัย และศูนย์กลางยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ โดยให้กระทรวงสาธารณสุขปรับระยะเวลาของยุทธศาสตร์ให้สอดคล้องกับระยะเวลาของยุทธศาสตร์ชาติและแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) และฉบับที่ ๑๓ (พ.ศ. ๒๕๖๕-๒๕๖๙) ส่วนงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ในส่วนของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๐ ให้ส่วนราชการที่รับผิดชอบพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณก่อน ส่วนค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป ให้กำหนดหน่วยงานที่รับผิดชอบกิจกรรมต่าง ๆ ให้ชัดเจน และต้องมีการบูรณาการร่วมกันจากสัดส่วนของเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณจากความร่วมมือจากภาครัฐ ภาคเอกชน และงบประมาณจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อาทิ การคำนึงถึงมาตรการรองรับการพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์ที่เหมาะสมเพื่อให้คนไทยเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้อย่างเพียงพอ การพิจารณากำหนดตัวชี้วัดเพิ่มเติมให้ครอบคลุมเป้าประสงค์ของยุทธศาสตร์ฯ ที่กำหนดไว้เพื่อให้การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และการพิจารณาให้ความสำคัญกับการบริหารและขับเคลื่อนนโยบายการเป็นศูนย์กลางบริการสุขภาพนานาชาติที่ไม่เกิดผลกระทบต่อระบบสุขภาพของคนไทย โดยกำหนดเป็นโครงการสำคัญและให้มีการดำเนินการตั้งแต่ในระยะแรก ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขให้ความสำคัญกับการดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาบริการทางวิชาการและงานวิจัยทางการแพทย์ (Academic Hub) และร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ (มหาวิทยาลัยมหิดล) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินโครงการสถาบันทางด้านพันธุกรรมเฉพาะบุคคลและเวชพันธุ์รักษ์ระดับนานาชาติ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อเสนอโครงการพัฒนาศูนย์ความเป็นเลิศด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1375 | ผลการประชุมเรื่อง แนวทางการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจจังหวัดร้อยเอ็ด ระหว่างนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี กับส่วนราชการ ภาคเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันพุธที่ 24 สิงหาคม 2559 | นร11 | 13/09/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมเรื่อง แนวทางการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจจังหวัดร้อยเอ็ด ระหว่างนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี กับส่วนราชการ ภาคเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๙ ซึ่งที่ประชุมฯ เห็นชอบในหลักการของยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดด้วยโมเดล “ร้อยเอ็ด ๔.๑๐๑” ประกอบด้วย (๑) การพัฒนาทุ่งกุลาร้องไห้ให้เป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มข้าวหอมมะลิ (๒) การพัฒนาจังหวัดร้อยเอ็ดให้เป็นพื้นที่เป้าหมายของนักท่องเที่ยว (๓) การเชื่อมโยงเครือข่ายการคมนาคมขนส่ง เพื่อสนับสนุนให้จังหวัดร้อยเอ็ดเป็นพื้นที่น่าสนใจทางการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง และ (๔) การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำเพื่อบรรเทาอุทกภัยและภัยแล้งซ้ำซากในพื้นที่อำเภอจังหาร ทุ่งเขาหลวง และเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามผลการประชุมดังกล่าว รวมทั้งรายงานผลการดำเนินการให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในการดำเนินโครงการตามผลการประชุมดังกล่าวให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรกก่อน โดยหากไม่เพียงพอและมีความจำเป็นเร่งด่วนในการขออนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ให้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ เรื่อง แนวทางการเสนอเรื่องงบประมาณต่อคณะรัฐมนตรี สำหรับการดำเนินโครงการในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1376 | สรุปผลการดำเนินการตามโครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ | มท | 13/09/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินการตามโครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับใช้ในการดำเนินโครงการฯ แล้ว ได้แก่ (๑) จัดสรรงบประมาณให้แก่จังหวัด โดยให้ที่ทำการปกครองจังหวัดเป็นหน่วยเบิกจ่ายให้แก่หมู่บ้าน ๆ ละ ๒๐๐,๐๐๐ บาท งบประมาณทั้งสิ้น ๑๔,๙๑๗,๖๐๐,๐๐๐ บาท และ (๒) จัดสรรงบประมาณให้แก่กรมการปกครอง สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการให้แก่ส่วนกลาง จังหวัด อำเภอ และหมู่บ้าน งบประมาณทั้งสิ้น ๘๒,๔๐๐,๐๐๐ บาท โดยกรมการปกครองได้โอนจัดสรรให้แก่จังหวัด อำเภอ และหมู่บ้านเรียบร้อยแล้ว ๒. กระทรวงการคลังได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเบิกจ่ายงบประมาณให้จังหวัดถือปฏิบัติเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งกระทรวงมหาดไทย โดยกรมการปกครอง ได้เน้นย้ำให้จังหวัดถือปฏิบัติตามนัยหนังสือกระทรวงการคลังอย่างเคร่งครัด ๓. ผลการดำเนินการของหมู่บ้าน ข้อมูล ณ วันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๙ (วันสิ้นสุดโครงการฯ) จำนวนหมู่บ้าน ๗๔,๕๘๘ แห่ง จำนวนโครงการที่เสนอ ๘๕,๓๙๗ โครงการ งบประมาณทั้งสิ้น ๑๔,๙๐๑,๗๘๐,๕๖๔ บาท โครงการที่หมู่บ้านดำเนินการแล้วเสร็จ ๘๕,๓๙๓ โครงการ คิดเป็นร้อยละ ๙๙.๙๙ งบประมาณทั้งสิ้น ๑๔,๘๘๘,๕๕๖,๖๗๘ บาท คิดเป็นร้อยละ ๙๙.๙๑ ๔. การประเมินผลการดำเนินการตามโครงการฯ พบว่าประชาชนมีความพึงพอใจและได้รับประโยชน์จากการดำเนินการตามโครงการฯ เป็นอย่างมาก สามารถแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนได้อย่างแท้จริง สร้างรายได้ สร้างอาชีพ สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงใช้งบประมาณในการดำเนินการตามโครงการฯ ได้อย่างคุ้มค่า และได้รับข้อเสนอแนะเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากในครั้งต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1377 | มาตรการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจและสังคมภายในท้องถิ่น | กค | 13/09/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการมาตรการสนับสนุนการใช้จ่ายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ อปท. นำเงินสะสมมาใช้จ่ายในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจและสังคมในท้องถิ่น ประกอบด้วย ๒ มาตรการ ได้แก่ มาตรการสนับสนุนการลงทุนร่วมระหว่างรัฐบาลและ อปท. (Matching Fund) และมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนผ่านการใช้จ่ายเงินสะสมของ อปท. ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. สำหรับงบประมาณที่ใช้ดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ใช้จ่ายจากเงินสะสมของ อปท. เป็นลำดับแรกตามบัญชาของนายกรัฐมนตรี และให้ อปท. พิจารณาแผนความต้องการ/ความจำเป็นเร่งด่วน ความพร้อมและรายละเอียดค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการที่ชัดเจนของ อปท. จำนวน ๗,๘๕๑ แห่งก่อน โดยรายการดังกล่าวจะต้องไม่มีความซ้ำซ้อนกับโครงการ/รายการที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ และที่ได้เสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยให้ความสำคัญกับหลักการกระจายงบประมาณอย่างแท้จริง และหากแผนความต้องการของ อปท. มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายงบประมาณในการดำเนินการตามมาตรการฯ เกินกว่าเงินสะสมของ อปท. ที่มีอยู่ และไม่สามารถปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณได้ เห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นให้ อปท. ในลักษณะของเงินอุดหนุนเฉพาะกิจตามประเภทและขนาดของ อปท. ภายในกรอบวงเงินไม่เกิน ๙,๘๙๗.๕๐ ล้านบาท ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบแล้ว และมีบัญชาเพิ่มเติม “หลักการใช้งบประมาณของ อปท. ก่อน ไม่พอของบกลาง จัดทำแผนงานให้ละเอียด ขั้นต้น สนับสนุนงบประมาณรายจ่ายงบกลาง ๙,๘๙๗.๕๐ ล้านบาท (Matching Fund)” ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เห็นควรให้ อปท. ที่มีเงินสะสมไม่เพียงพอสามารถใช้งบประมาณจากข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีมาสมทบได้ และให้ อปท. จัดทำโครงการและเสนอขอความเห็นชอบโครงการให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ ๑ และรีบก่อหนี้ผูกพันและเบิกจ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ ๓ ของปีงบประมาณ ๒๕๖๐ สำหรับกรณีข้อเสนอที่จะให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการให้สิทธิประโยชน์หรือสิ่งจูงใจให้ อปท. นำเงินสะสมมาใช้พัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ด้อยโอกาส ผู้สูงอายุ ผู้พิการ นั้น ควรหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการกำหนดเงื่อนไข/วิธีการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพสอดคล้องกับกรอบระยะเวลาที่กำหนด รวมทั้งคำนึงถึง อปท. ขนาดเล็กที่อาจจะไม่มีเงินสะสมเพียงพอที่จะร่วมทุน เพื่อให้เกิดความทั่วถึงในการดำเนินโครงการ และเห็นควรให้จังหวัดเป็นผู้พิจารณาและอนุมัติโครงการ เพื่อให้ อปท. สามารถดำเนินการก่อหนี้ผูกพันและดำเนินโครงการและเบิกจ่ายให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือร่วมกันเพื่อกำหนดแนวปฏิบัติในการดำเนินมาตรการฯ ให้ชัดเจน เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของมาตรการฯ และประชาชนได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึง ก่อนดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1378 | สรุปผลการหารือข้อราชการเรื่อง ความร่วมมือด้านการควบคุมยาเสพติดไทย - เมียนมาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม | ยธ | 06/09/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการหารือข้อราชการเรื่อง ความร่วมมือด้านการควบคุมยาเสพติดไทย-เมียนมา ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ระหว่างวันที่ ๒๗-๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ณ กรุงเนปิดอว์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. การเข้าพบ พลโท จ่อ ส่วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้หารือเกี่ยวกับโครงการแม่น้ำโขงปลอดภัย การขอความร่วมมือเมียนมาให้ช่วยสืบสวนจับกุมนักค้ายาเสพติดรายสำคัญที่หลบหนีหมายจับเข้ามาซ่อนตัวอยู่ในเมียนมา ๑๓ ราย การควบคุมเคมีภัณฑ์และสารตั้งต้นมิให้เข้าสู่พื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ ๒. การเข้าพบ ดร.มิ้นท์ ทวย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ฝ่ายไทยได้แจ้งว่านายกรัฐมนตรียินดีดูแลแรงงานเมียนมาด้านสาธารณสุขให้เป็นแรงงานที่ถูกกฎหมาย รวมถึงไทยยินดีสนับสนุนการฝึกอบรม และวัสดุอุปกรณ์ให้กับงานสาธารณสุขตามแนวชายแดนเมียนมา ๓. การเข้าพบ พลโท เย อ่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการชายแดน ได้หารือเกี่ยวกับการพัฒนาหมู่บ้านชายแดนที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดที่เมืองสาด จังหวัดท่าขี้เหล็ก ซึ่งไทยสนับสนุนการดำเนินโครงการพัฒนาทางเลือก ๖ ปี (๒๐๑๒-๒๐๑๘) รวมทั้งโครงการหมู่บ้านคู่ขนานทั้ง ๑๔ คู่ ๒๘ หมู่บ้าน มีกิจกรรมยาเสพติดร่วมด้วย โดยเน้นด้านการรณรงค์ป้องกัน การบำบัดรักษา เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1379 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 30.00 ล้านบาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 จำนวน 170.00 ล้านบาท และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 จำนวน 25.10 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 3126 สายแยกทางหลวงหมายเลข 3 - ทางเข้าท่าอากาศยานอู่ตะเภา ของกรมทางหลวง | คค | 06/09/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นชอบให้กระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวงดำเนินการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข ๓๑๒๖ สายแยกทางหลวงหมายเลข ๓-ทางเข้าท่าอากาศยานอู่ตะเภา ตั้งแต่กิโลเมตร ๐+๐๐๐-กิโลเมตร ๓+๔๐๐ ระยะทาง ๓.๔๐๐ กิโลเมตร ในวงเงิน ๒๒๕,๑๐๔,๗๙๕ บาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๓๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือ จำนวน ๑๙๕,๑๐๔,๗๙๕ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐-พ.ศ. ๒๕๖๑ ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวงจะต้องดำเนินการนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณตามนัยมาตรา ๒๓ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และให้กรมทางหลวงดำเนินการตามประกาศหรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่เกี่ยวข้อง และปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี หนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ และต่อรองราคาจนถึงที่สุด และหากมีงบประมาณเหลือจ่าย ขอให้นำส่งคืนสำนักงบประมาณในโอกาสแรกด้วย ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรตรวจสอบการดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข ๓๑๒๖ สายแยกทางหลวงหมายเลข ๓-ทางเข้าท่าอากาศยานอู่ตะเภา ของกรมทางหลวง ว่าเข้าข่ายต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการซึ่งต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติ และแนวทางการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ ประกาศ ณ วันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ เอกสารท้ายประกาศ ๓ ลำดับที่ ๒๐ ซึ่งหากต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โดยให้เสนอในขั้นขออนุมัติหรือขออนุญาตโครงการ และเร่งดำเนินการประกวดราคาให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณในการดำเนินโครงการดังกล่าวเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1380 | ขออนุมัติขยายกรอบวงเงินลงทุนเพื่อการดำเนินการชดเชยผลกระทบด้านเสียงสืบเนื่องจากโครงการพัฒนาท่าอากาศยานภูเก็ต ของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) | คค | 06/09/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๒ [เรื่อง โครงการพัฒนาท่าอากาศยานภูเก็ต (ปีงบประมาณ ๒๕๕๒-๒๕๕๖ งบประมาณประจำปี ๒๕๕๒ เพิ่มเติม ครั้งที่ ๗ และงบประมาณประจำปี ๒๕๕๓ เพิ่มเติม ครั้งที่ ๒) ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)] โดยให้เพิ่มกรอบวงเงินลงทุนโครงการพัฒนาท่าอากาศยานภูเก็ต จากจำนวน ๕,๗๙๑.๑๒๒ ล้านบาท เป็นจำนวน ๘,๘๖๑.๐๑๗ ล้านบาท เพิ่มขึ้น ๓,๐๖๙.๘๙๕ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายชดเชยผู้ได้รับผลกระทบด้านเสียงสืบเนื่องจากโครงการพัฒนาท่าอากาศยานภูเก็ต โดยใช้งบประมาณจากเงินรายได้ของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจที่เห็นควรให้ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เร่งดำเนินการชดเชยผู้ได้รับผลกระทบด้านเสียงให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และเร่งรัดดำเนินการตามมาตรการอื่น ๆ ที่เสนอไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้วย รวมทั้งดำเนินการประชาสัมพันธ์รายละเอียดการชดเชยดังกล่าวให้ชัดเจน และให้กระทรวงคมนาคมกำกับดูแล บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ให้พิจารณาลำดับความเร่งด่วนตามความเดือดร้อนของประชาชนในแต่ละบริเวณที่ได้รับผลกระทบ ตลอดจนประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้ต่อประชาชนให้เกิดความมั่นใจ เพื่อช่วยลดความขัดแย้งและการต่อต้านในการดำเนินโครงการในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดสรรเวลาเข้า-ออก (Slot) ของอากาศยานในแต่ละท่าอากาศยานภายในประเทศให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศและผู้ประกอบการทุกฝ่าย โดยเฉพาะในท่าอากาศยานหลักที่มีความต้องการเที่ยวบินจำนวนมาก เช่น ท่าอากาศยานภูเก็ต เพื่อให้ท่าอากาศยานภายในประเทศสามารถให้บริการและอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการได้อย่างเต็มศักยภาพและสอดรับกับอุตสาหกรรมการบินที่ขยายตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง
|
.....