ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 67 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 1321 - 1340 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1321 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดตราด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดตราด พ.ศ. 2556) | มท | 29/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดตราด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดตราด พ.ศ. ๒๕๕๖) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้ผู้ที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการควบคุมการวางผังเมือง ให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎกระทรวงฯ และเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมมากที่สุด โดยคำนึงถึงปริมาณน้ำต้นทุนและปริมาณการใช้น้ำในพื้นที่ด้วย ในส่วนของที่ดินประเภทอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อการท่องเที่ยว ที่ดินประเภทที่โล่งเพื่อนันทนาการและการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม และที่ดินประเภทอนุรักษ์ป่าไม้ ไม่ควรที่จะให้มีโรงงานอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นใหม่ หรือหากมี ก็ควรเป็นโรงงานอุตสาหกรรมขนาดเล็กที่ให้บริการแก่ชุมชนใกล้เคียง นอกจากนี้ การใช้บังคับร่างกฎกระทรวงฯ ต้องคำนึงถึงความสอดคล้องกับการดำเนินโครงการตามแผนพัฒนาด้านพลังงานซึ่งคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบแล้ว และประกาศคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ลงวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๙ เรื่อง หลักเกณฑ์และรายละเอียดของโครงการหรือกิจกรรมที่ได้รับการยกเว้นการใช้บังคับกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวม สำหรับการประกอบกิจการบางประเภท ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๔/๒๕๕๙ ลงวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๙ และเนื่องจากจังหวัดตราดมีโอกาสขยายตัวระดับสูงจากการเป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ จึงเห็นควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองพิจารณาสนับสนุนให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นให้ความสำคัญต่อการควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินริมแม่น้ำและลำคลองอย่างเข้มงวด และมีการประเมินผลผังเมืองรวมจังหวัดตราดอย่างสม่ำเสมอ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1322 | แนวทางการดำเนินการประชาสัมพันธ์งานของรัฐบาลโดยโฆษกกระทรวง ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี (6 ตุลาคม 2558) ประจำเดือนตุลาคม 2559 | นร02 | 29/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแนวทางการดำเนินการประชาสัมพันธ์งานของรัฐบาลโดยโฆษกกระทรวง ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี (๖ ตุลาคม ๒๕๕๘) ประจำเดือนตุลาคม ๒๕๕๙ ตามที่คณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติเสนอ มีประเด็นสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ เดือนที่ผ่านมา (ตุลาคม ๒๕๕๙) เช่น การจัดกิจกรรมถวายความอาลัยและสนับสนุนงานพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ภารกิจของนายกรัฐมนตรีในการเข้าร่วมประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย (ACD) ครั้งที่ ๒ โดยประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ แนวทางการพัฒนาสิทธิมนุษยชนของประเทศไทยให้สอดคล้องกับข้อเสนอแนะที่ได้รับจากกลไก UPR การดูแลปัญหาค่าครองชีพของประชาชน การบริหารจัดการตลาดสินค้าเกษตร การพัฒนาผู้ประกอบการ และการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ การประชาสัมพันธ์การอนุรักษ์และจัดการต้นน้ำ สัตว์ป่า และการคุ้มครองสัตว์ป่าตามอนุสัญญา CITES และการควบคุมการค้างาช้าง การจัดกิจกรรม Digital Startup เพื่อก้าวสู่การเป็นสตาร์ทอัพ การแจ้งเตือนประชาชนดูแลสุขภาพในช่วงอากาศเปลี่ยนแปลงเน้น ๖ โรคสำคัญช่วงฤดูหนาว การแจ้งเตือนเกษตรกรให้ระวังโรคและศัตรูพืช และโรคระบาดในสัตว์ปีกในช่วงปลายฝนต้นหนาว การบริหารจัดการน้ำและมาตรการให้ความช่วยเหลือเกษตรกร การเตรียมความพร้อมในการเป็นเจ้าภาพจัดงานสภาผู้บริหารโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU Telecom World 2016) การเตรียมร่างแผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ และการดำเนินการตามโรดแมปของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ๑.๒ เดือนต่อไป (ธันวาคม ๒๕๕๙) เช่น โครงการน้อมเกล้าฯ ถวายความอาลัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช การจัดกิจกรรมสนับสนุนและอำนวยความสะดวกและรักษาความปลอดภัยแก่ประชาขนที่เดินทางมาถวายบังคมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช การประชุมระดับรัฐมนตรีเชียตะวันออกด้านครอบครัวและด้านความเสมอภาคระหว่างเพศ ระหว่างวันที่ ๒๑-๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๙ การดำเนินการเรื่องการลดต้นทุนการผลิต การดำเนินโครงการพัฒนาการเกษตรครบวงจรในพื้นที่ที่มีศักยภาพ การดำเนินโครงการสานพลังประชารัฐ การคุ้มครองพันธุ์สัตว์ป่าตามอนุสัญญา CITES และการคุ้มครองการค้างาช้าง การประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมรายได้ของประชาชน การแก้ไขปัญหา IUU และวางมาตรฐานการผลิตและตรวจสอบสินค้าประมงให้มีประสิทธิภาพ การสัมมนาในหัวข้อ “Digital Communication : ต่อยอดทฤษฎีลงมือปฏิบัติ” และการดำเนินการตามโรดแมปของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ๒. ให้กรมประชาสัมพันธ์และโฆษกกระทรวงติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลและดำเนินการประชาสัมพันธ์ข้อมูลให้ตรงตามเป้าหมาย ข้อสงสัยของประชาชน รวมทั้งให้ชี้แจงข้อมูลที่มีการเผยแพร่ในสื่อต่าง ๆ ที่อาจคลาดเคลื่อนไปจากข้อเท็จจริงให้สาธารณชนรับทราบอย่างถูกต้องและทันท่วงทีด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1323 | ขอผ่อนผันยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2550 เพื่อก่อสร้างถนนในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ สำหรับโครงการทางหลวงหมายเลข 118 สายเชียงใหม่ - เชียงราย ตอนอำเภอดอยสะเก็ด - บ้านแม่เจดีย์ | คค | 29/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ (เรื่อง แนวทางพิจารณาการก่อสร้างถนนในพื้นที่อุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า) เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย เพื่อก่อสร้างถนนในพื้นที่อุทยานแห่งชาติสำหรับโครงการทางหลวงหมายเลข ๑๑๘ สายเชียงใหม่-เชียงราย ตอนอำเภอดอยสะเก็ด-บ้านแม่เจดีย์ โดยให้ดำเนินการตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๘ อย่างเคร่งครัด และพิจารณาจัดทำทางลอดทางข้ามสำหรับสัตว์ป่าในบริเวณที่เหมาะสม โดยประสานงานกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ในการกำหนดรูปแบบที่จะดำเนินการ ตามความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ตลอดจนมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๒. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมทางหลวงประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่เพื่อดูแลความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชนและอุบัติเหตุระหว่างการก่อสร้าง และให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖ กรณีการดำเนินโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าจะต้องมีการปลูกป่าทดแทนเพื่ออนุรักษ์หรือรักษาสภาพแวดล้อมของพื้นที่ดังกล่าวอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้กรมทางหลวงดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามที่กำหนดไว้ในรายงาน EIA อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะในประเด็นการจัดการและฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ การสร้างรั้วกั้น ทางลอด ในช่วงที่ผ่านอุทยานแห่งชาติขุนแจ นอกจากนี้ ให้กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทจัดทำรายงาน EIA หรือขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีให้เสร็จสิ้นทั้งเส้นทางก่อนขอรับการจัดสรรงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงคมนาคมถือเป็นหลักปฏิบัติว่า การออกแบบและการก่อสร้างหรือขยายถนนต้องมีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบริเวณสองข้างทางน้อยที่สุด ต้องหลีกเลี่ยงการตัดต้นไม้ขนาดใหญ่ หรือใช้วิธีการเคลื่อนย้ายต้นไม้ไปปลูกบริเวณริมทางที่มีการก่อสร้างหรือขยายขึ้นใหม่ เพื่อคงสภาพสิ่งแวดล้อมและภูมิทัศน์เดิมไว้ให้มากที่สุด รวมทั้งการปลูกไม้ยืนต้นทดแทนอย่างจริงจัง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1324 | ผลการเข้าร่วมประชุมผู้นำลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ 8 | กต | 29/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการเข้าร่วมประชุมผู้นำลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ ๘ ของนายกรัฐมนตรี ในวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๙ ณ เวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มีประเด็นที่สำคัญ ได้แก่ (๑) การพัฒนาความเชื่อมโยงด้านกายภาพในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ประเทศสมาชิกเน้นย้ำความสำคัญการพัฒนาความเชื่อมโยง เช่น การพัฒนาให้ระเบียงคมนาคมเป็นระเบียงเศรษฐกิจ เป็นต้น โดยไทยได้ขอให้ญี่ปุ่นพิจารณาให้ความร่วมมือในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งทางบก อากาศ ทะเล และราง (๒) การพัฒนาความเชื่อมโยงด้านกฎระเบียบ ทรัพยากรมนุษย์ และสิ่งแวดล้อม ที่ประชุมมุ่งเน้นความร่วมมือด้านเศรษฐกิจเพื่อส่งเสริมห่วงโซ่การพัฒนาระดับโลกและระดับภูมิภาค ความร่วมมือด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สิ่งแวดล้อม โดยไทยได้เน้นย้ำความพร้อมการดำเนินโครงการในรูปแบบไตรภาคีร่วมกับญี่ปุ่นเพื่อให้ความช่วยเหลือประเทศที่สามในลุ่มน้ำโขง และ (๓) ความมั่นคงในภูมิภาค ที่ประชุมเน้นย้ำความสำคัญของสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค โดยญี่ปุ่นและเวียดนามมีท่าทีชัดเจนในการขอให้ประชาคมระหว่างประเทศร่วมสนับสนุนข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติซึ่งกำหนดมาตรการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือ และสนับสนุนให้การดำเนินการใด ๆ ในทะเลจีนใต้เป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการกำหนดบทบาทของไทยในฐานะหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาร่วมกับญี่ปุ่น ควรเป็นบทบาทที่สนับสนุนนโยบายการพัฒนาที่สำคัญของไทย อาทิ นโยบาย Thailand 4.0 นโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ นโยบาย S-Curve และนโยบาย Thailand plus 1 ของญี่ปุ่น รวมทั้งการดำเนินงานตามกรอบความร่วมมือฯ ควรมุ่งเน้นประเด็นความร่วมมือทางเศรษฐกิจเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยหลีกเลี่ยงประเด็นที่มีความอ่อนไหวและส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและสันติภาพ โดยเฉพาะในทะเลจีนใต้และคาบสมุทรเกาหลี นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศควรหารือในรายละเอียดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำแผนการดำเนินการที่ชัดเจน และกำหนดแผนการติดตามความคืบหน้าในการดำเนินการที่เป็นระบบอย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1325 | ขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารที่จะมีการรับรองระหว่างการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านการคมนาคมขนส่งในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก สมัยที่ 3 การประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน - สหพันธรัฐรัสเซีย และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | คค | 29/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างเอกสารที่จะมีการรับรองระหว่างการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านการคมนาคมขนส่งในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก สมัยที่ ๓ การประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน-สหพันธรัฐรัสเซีย และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๘-๙ ธันวาคม ๒๕๕๙ ณ กรุงมอสโก สหพันธรัฐรัสเซีย โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารฯ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างปฏิญญารัฐมนตรีว่าด้วยการเชื่อมโยงการคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (Draft ministerial declaration on sustainable transport connectivity in Asia and the Pacific) มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของรัฐมนตรีด้านคมนาคมขนส่งที่จะรับรองแผนปฏิบัติการระดับภูมิภาคว่าด้วยการเชื่อมโยงการคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ระยะที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) ๑.๒ ร่างแผนปฏิบัติการระดับภูมิภาคว่าด้วยการเชื่อมโยงการคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ระยะที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) [Draft regional action programme for sustainable transport connectivity in Asia and the Pacific, phase (2017-2021)] มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดแผนงานเพื่อความเชื่อมโยงด้านคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ระหว่างปี ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ครอบคลุมความเชื่อมโยงด้านการขนส่ง ๗ สาขา ได้แก่ (๑) ความเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งระดับภูมิภาค (๒) ความเชื่อมโยงด้านการดำเนินงานด้านการขนส่งระดับภูมิภาค (๓) ความเชื่อมโยงด้านการขนส่งระหว่างยุโรปและเอเชีย (๔) ความเชื่อมโยงด้านการขนส่งในประเทศที่มีการพัฒนาน้อย ประเทศหมู่เกาะ และประเทศกำลังพัฒนาที่เป็นหมู่เกาะ (๕) การขนส่งในเมืองที่ยั่งยืน (๖) ความเชื่อมโยงด้านการขนส่งในชนบทสู่โครงข่ายที่กว้างขวาง และ (๗) การปรับปรุงด้านความปลอดภัยทางถนน ๑.๓ ร่างแถลงการณ์ร่วมมอสโกสำหรับการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน-รัสเซีย (Moscow Joint Declaration of the Russia-ASEAN Transportation Ministerial Meeting) มีสาระสำคัญเป็นการแสดงความยินดีกับกิจกรรมเฉลิมฉลองการครบรอบ ๒๐ ปีของความสัมพันธ์อาเซียน-รัสเซีย ผสานระบบการขนส่งเชื่อมโยงภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกให้เกิดประโยชน์ร่วมกัน เพื่อนำไปสู่การอำนวยความสะดวกด้านการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ โดยการแลกเปลี่ยนการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ และการอบรมบุคลากรด้านการขนส่งให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมทั้งกำหนดกลไกและแนวทางการพิจารณาทบทวนการดำเนินโครงการความร่วมมือเป็นประจำทุกปี ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1326 | การแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย โครงการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำประมงไทยก้าวไกลสู่สากล | นร | 29/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ ๕ (ด้านความมั่นคง ลดความเหลื่อมล้ำ การเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเรื่องที่เป็นวาระเร่งด่วนและการแก้ไขปัญหาการดำเนินการตามพันธกรณีระหว่างประเทศ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้เพิ่มเติมวัตถุประสงค์การกู้เงินโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำประมงไทยก้าวไกลสู่สากลให้ครอบคลุมกรณีชาวประมงที่ขอเปลี่ยนอาชีพ ภายใต้เงื่อนไข หลักเกณฑ์ และวงเงินในโครงการฯ ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (๘ มีนาคม ๒๕๕๙) เห็นชอบไว้ ๑.๒ ให้ขยายเวลาในการดำเนินโครงการฯ จากสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ เป็น ๓๐ เมษายน ๒๕๖๐ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้การสนับสนุนข้อมูลและองค์ความรู้ด้านการผลิต การแปรรูป และการตลาด รวมทั้งร่วมกับภาคเอกชนในการสนับสนุนและเชื่อมโยงด้านการตลาดในระดับพื้นที่และตลาดเพื่อการส่งออก พร้อมทั้งมีกระบวนการติดตามดูแลให้การประกอบอาชีพใหม่ของชาวประมงที่เข้าร่วมโครงการฯ ประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ สามารถสร้างความมั่นคงในด้านรายได้และความเป็นอยู่ให้กับประชาชนในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1327 | ร่างหนังสือความตกลงว่าด้วยการดำเนินโครงการการใช้สารสนเทศจากดาวเทียมและการประกันภัยพืชผลเพื่อเศรษฐกิจยุคใหม่ ระยะที่ 2 (RIICE Phase II) ในประเทศไทย | กษ | 22/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างหนังสือความตกลงว่าด้วยการดำเนินโครงการการใช้สารสนเทศจากดาวเทียมและการประกันภัยพืชผลเพื่อเศรษฐกิจยุคใหม่ ระยะที่ ๒ (RIICE Phase II) ในประเทศไทย โดยการดำเนินโครงการ RIICE Phase II เป็นการพัฒนาข้อมูลสารสนเทศจากดาวเทียมแบบ Synthetic Aperture Radar (SAR) ในการประเมินผลผลิตข้าว รวมทั้งจัดทำแผนที่ภูมิศาสตร์พื้นที่ปลูกข้าวและประเมินความเสียหายจากธรรมชาติในการผลิตข้าวของเกษตรกรระดับแปลงนาเพื่อปรับปรุงและพัฒนาระบบการประกันภัยพืชผลในอนาคต มีขั้นตอนการดำเนินงานต่าง ๆ ได้แก่ การจัดหาข้อมูลระยะไกลจากดาวเทียมแปลภาพและจัดทำแผนที่ การติดตามสภาพจริงในแปลงนาและเจริญเติบโตของข้าวในพื้นที่เป้าหมาย การประเมินและพยากรณ์ผลผลิตโดยใช้แบบจำลอง การตรวจสอบความถูกต้องของแผนที่เพาะปลูกกับสภาพพื้นที่จริง รวมทั้งการจัดการด้านไอทีและฐานข้อมูล ๑.๒ การลงนามในหนังสือความตกลงฯ โดยมอบหมายให้อธิบดีกรมการข้าว ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) และอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เป็นผู้มีอำนาจในการลงนามในหนังสือความตกลงฯ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ อาทิ ควรระบุรายละเอียดการดำเนินงานภายใต้ร่างหนังสือความตกลงฯ โดยให้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการพัฒนาบุคลากรในด้านการประยุกต์ใช้ข้อมูลสารสนเทศจากดาวเทียมชนิดเรดาร์ (Synthetic Aperture Radar : SAR) ในการประเมินผลผลิตข้าวร่วมกัน รวมทั้งเพิ่มสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลหรือร่วมกันพัฒนาซอฟต์แวร์การผลิตข้าวของไทยเพื่อให้บุคลากรไทยสามารถพัฒนาซอฟต์แวร์และดำเนินงานด้านการพยากรณ์ผลผลิต (Yield Prediction/Yield Estimation) เองได้อย่างยั่งยืน และควรให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องนำข้อมูลภูมิสารสนเทศจากดาวเทียมมาประยุกต์ใช้ร่วมกัน ทั้งในส่วนของโครงการ RIICE Phase II โครงการระบบดาวเทียมสำรวจเพื่อการพัฒนา (THEOS-2) และแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Agri-Map) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกรมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลสารสนเทศจากดาวเทียม และสามารถนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้ประโยชน์ในการทำการเกษตรต่อไป เช่น การวางแผนผลผลิตข้าว และการปลูกพืชหมุนเวียน เป็นต้น เพื่อให้เป็น Smart farmers อย่างแท้จริง |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1328 | ผลการประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค ครั้งที่ 4 | กษ | 22/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค ครั้งที่ ๔ ระหว่างวันที่ ๒๖-๒๗ กันยายน ๒๕๕๙ ณ เมืองเพียวร่า สาธารณรัฐเปรู ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมฯ ได้รับรองปฏิญญาเพียวร่าว่าด้วยความมั่นคงอาหารเอเปค ในระหว่างการประชุมฯ เพื่อเป็นแนวทางการดำเนินงานและความร่วมมือในการส่งเสริมความมั่นคงระหว่างสมาชิกเอเปค โดยไม่มีข้อผูกพันทางกฎหมาย มีสาระสำคัญประกอบด้วย ๗ หัวข้อหลัก คือ (๑) ความท้าทายและโอกาสสำหรับความมั่นคงอาหารในภูมิภาค (๒) ตลาดอาหารในภูมิภาคและการค้า (๓) ความยั่งยืนสำหรับระบบอาหารที่มีความยืดหยุ่นปรับตัวได้ (๔) นวัตกรรมและเทคโนโลยี (๕) การพัฒนาชนบทและเขตเมือง (๖) โครงสร้างพื้นฐาน การลงทุน และการบริการเพื่อความมั่นคงอาหาร และ (๗) การเข้าสู่ระบบอาหารในปี ค.ศ. ๒๐๒๐ โดยไม่มีการปรับปรุงแก้ไขปฏิญญาฯ ในส่วนที่เป็นสาระสำคัญหรือมีนัยสำคัญที่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ๒. รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ) ในฐานะผู้แทนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้กล่าวถ้อยแถลงในหัวข้อ “การพัฒนาชนบทและเขตเมือง (Rural-Urban Development)” เพื่อแสดงแนวทางการดำเนินงานความมั่นคงอาหารของประเทศไทยที่ได้น้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชในการวางแผนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งเป็นแนวทางที่มีความยั่งยืน คำนึงถึงชุมชน ทรัพยากรธรรมชาติ และเป็นการจัดการความเสี่ยงให้กับเกษตรกร รวมถึงการดำเนินโครงการต่าง ๆ ผ่านโครงการประชารัฐในการพัฒนา การเกษตรอย่างยั่งยืน ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อยกระดับการผลิตและการค้าสินค้าเกษตรของไทยในระยะยาว ๓. ประเทศสมาชิกเอเปค ได้แก่ จีน รัสเซีย แคนาดา สหรัฐอเมริกา ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ ได้กล่าวถ้อยแถลงที่สำคัญเพื่อส่งเสริมความมั่นคงอาหาร
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1329 | มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs ทวีทุน (Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 6) | กค | 22/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการค้ำประกันสินเชื่อผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมทวีทุน (Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ ๖) (PGS ระยะที่ ๖) มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือ SMEs ที่มีศักยภาพแต่ขาดหลักประกันให้มีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อสถาบันการเงินได้มากขึ้น และช่วยเหลือ SMEs ในภาคส่วนต่าง ๆ ให้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินในระบบสถาบันการเงินได้มากขึ้น รวมทั้งช่วยให้เกิดความคล่องตัวในการอนุมัติสินเชื่อให้กับ SMEs เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตและเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นในการจ่ายค่าประกันชดเชยให้แก่สถาบันการเงินในอัตราไม่เกินร้อยละ ๒๓.๒๕ ของวงเงินค้ำประกันสินเชื่อ ๕,๗๕๐ ล้านบาท ให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง โดยใช้จ่ายจากค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อของโครงการ PGS ระยะที่ ๖ ก่อน หากไม่เพียงพอ จึงขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ส่วนแหล่งเงินการจ่ายค่าประกันชดเชยจาก บสย. วงเงิน ๕๐๐ ล้านบาท ให้ บสย. จัดทำแผนการบริหารจัดการและแผนการบริหารความเสี่ยง โดยมีการจัดหาเงินรายได้สำหรับนำมาใช้จ่ายค่าประกันชดเชยดังกล่าวอย่างเหมาะสมและชัดเจน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการด้วย ดังนี้ ๒.๑ เพื่อให้การประเมินผลการดำเนินโครงการนี้เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินการในระยะต่อไป ให้กระทรวงการคลังรวบรวมข้อมูลผลผลิต ผลลัพธ์ และผลกระทบทุกด้านของโครงการ PGS ระยะที่ ๖ รวมทั้งปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ พร้อมทั้งมาตรการและแนวทางปรับปรุงแก้ไขปัญหาดังกล่าว แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป ๒.๒ ให้ บสย. และสถาบันการเงินร่วมกันกำหนดหลักเกณฑ์ในการคัดกรองผู้ประกอบการ SMEs ที่เข้าร่วมโครงการเพื่อให้ได้ลูกค้าที่มีคุณภาพและมีคุณสมบัติตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่รัฐบาลต้องการให้ความช่วยเหลืออย่างแท้จริง โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ที่อยู่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) เช่น อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เป็นต้น นอกจากนี้ ควรมีแผนการบริหารความเสี่ยงเพื่อควบคุมสัดส่วนของการค้ำประกันที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Guarantee : NPG) ไม่ให้เพิ่มสูงขึ้นด้วย ๒.๓ โดยที่การให้ความช่วยเหลือในด้านการค้ำประกันสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดย่อมถือเป็นภารกิจหลักของ บสย. และเป็นภารกิจที่สอดคล้องกับนโยบายหลักของรัฐบาลที่ต้องการส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs เพื่อให้เป็นกลจักรสำคัญในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ สมควรที่กระทรวงการคลังจะได้ดำเนินการให้ บสย. พิจารณาปรับปรุงการดำเนินงานให้มีความเข้มแข็งและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เน้นการทำงานเชิงรุก โดยเฉพาะการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตรงตามความต้องการของตลาด เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถลดการพึ่งพิงงบประมาณภาครัฐได้ในอนาคต
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1330 | ขออนุมัติโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อพัฒนาการเกษตรแบบแปลงใหญ่ | กษ | 22/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ยกเลิกโครงการสนับสนุนสินเชื่อให้กลุ่มชาวนาผู้ผลิตข้าวแบบแปลงใหญ่ ปี ๒๕๕๙/๖๐ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ และโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อพัฒนาระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๙ ๑.๒ อนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตรดำเนินงานโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อพัฒนาการเกษตรแบบแปลงใหญ่ จำนวน ๒,๐๐๐ แปลง ๑.๓ อนุมัติกรอบวงเงินสินเชื่อ จำนวน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท (ระยะเวลา ๕ ปี ตั้งแต่เดือนธันวาคม ๒๕๕๙-ธันวาคม ๒๕๖๔) ๑.๔ อนุมัติค่าชดเชยดอกเบี้ยให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวน ๓,๐๐๐ ล้านบาท โดยให้ ธ.ก.ส. เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง ตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ ธ.ก.ส. ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณในส่วนที่เกี่ยวข้อง อาทิ ให้ ธ.ก.ส. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามรายจ่ายที่จะเกิดขึ้นจริง โดยไม่รวมรายจ่ายชำระต้นเงินกู้ และไม่รวมถึงการชดเชยความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และควรพิจารณาผ่อนปรนเงื่อนไข หลักเกณฑ์ ในการขออนุมัติวงเงินสินเชื่อ และสนับสนุนสร้างความรับรู้และเข้าใจในการจัดทำแผนธุรกิจ รวมทั้งการดำเนินโครงการฯ ต้องไม่ซ้ำซ้อนกับโครงการให้ความช่วยเหลือสินเชื่อแก่เกษตรกรของภาครัฐในลักษณะเดียวกัน และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์สำรวจความต้องการของเกษตรกร/กลุ่มเกษตรกร/สหกรณ์การเกษตรที่จะเข้าร่วมโครงการฯ เพื่อกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้มีความเหมาะสมอย่างชัดเจน และสามารถวางแผนการดำเนินงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับกรอบวงเงินสินเชื่อของกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่ควรคำนึงถึงความเหมาะสมของต้นทุนการผลิตของกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่ที่แท้จริง ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ ธ.ก.ส. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมในการดำเนินการสำหรับกลุ่มเกษตรกร/วิสาหกิจชุมชน/สหกรณ์การเกษตรที่ได้รับสินเชื่อจากโครงการฯ และควรกำหนดกรอบวงเงินชดเชยความเสียหายที่ชัดเจน เพื่อให้รัฐบาลทราบถึงภาระขาดทุนและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น โดยไม่ควรเป็นภาระทางการคลังและงบประมาณในอนาคตมากจนเกินไป รวมทั้งให้นำบทเรียนที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการที่ผ่านมา มาปรับปรุงวิธีการดำเนินโครงการฯ ให้มีประสิทธิภาพและสร้างการรับรู้ข้อมูลโครงการฯ ที่ได้ปรับปรุงเงื่อนไขในการกู้เงินและระยะเวลา เพื่อจูงใจให้กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และสหกรณ์การเกษตรเข้าร่วมโครงการฯ ได้รับประโยชน์ในวงกว้างมากขึ้น นอกจากนี้ หลักเกณฑ์การสนับสนุนสินเชื่อยังคงจะต้องให้ความสำคัญกับการจัดทำแผนธุรกิจที่มีรายละเอียดของแผนการผลิตและแผนการตลาดรองรับที่ชัดเจน สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุนการผลิต มีการพัฒนาคุณภาพสินค้าที่ได้มาตรฐาน และดำเนินการในพื้นที่ที่เหมาะสมตามแผนที่เพื่อบริหารธุรกิจเชิงรุกของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ในการยกเลิกโครงการสนับสนุนสินเชื่อให้กลุ่มชาวนาผู้ผลิตข้าวแบบแปลงใหญ่ ปี ๒๕๕๙/๖๐ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ และโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อพัฒนาระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๙ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะต้องดำเนินการโดยไม่ให้เกิดผลกระทบกับกลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และสหกรณ์การเกษตรที่ได้รับสินเชื่อในการดำเนินโครงการไปแล้วด้วย ๕. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ติดตามและประเมินผลโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อพัฒนาการเกษตรแบบแปลงใหญ่ แล้วให้รายงานความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ โดยให้กำกับดูแลการดำเนินงานตามโครงการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และโปร่งใสทุกขั้นตอน ๖. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1331 | ทบทวนโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี และการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2559/60 (เพิ่มเติม) | พณ | 22/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติการทบทวนโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี และการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ (เพิ่มเติม) ตามที่กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวเสนอ และให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียวสามารถเข้าร่วมโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ โดยให้เป็นไปตามกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ความเห็นชอบไว้แล้วเมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๙ ๑.๒ เห็นชอบการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกข้าวเปลือกเหนียวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ จำนวน ๑๒,๔๗๑.๔๗ ล้านบาท จำแนกเป็นวงเงินค่าเก็บเกี่ยว ๑๒,๑๘๒.๐๓ ล้านบาท ต้นทุนเงิน ๒๗๑.๐๕ ล้านบาท และค่าบริหาร ๑๘.๓๙ ล้านบาท ๑.๓ อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณ จำนวน ๑๒,๔๗๑.๔๗ ล้านบาท โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณต่อไป ๑.๔ ขยายระยะเวลาโครงการฯ สำหรับภาคใต้ จากเดิมที่กำหนดระยะเวลาตั้งแต่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๙-๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ เป็นสิ้นสุดวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ๒. สำหรับภาระงบประมาณในการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวเปลือกเหนียว จำนวน ๑๒,๔๗๑.๔๗ ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย FDR+1 นั้น ให้ ธ.ก.ส. จัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้งบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรมีการตรวจสอบและติดตามการดำเนินโครงการฯ เพื่อให้เกษตรกรได้รับประโยชน์จากการดำเนินโครงการฯ อย่างถูกต้องและทั่วถึง และมีการประเมินผลโครงการฯ เสนอคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว และคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป รวมทั้งในระยะยาว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรสนับสนุนให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนแนวคิดและระบบการผลิตสู่การพึ่งตนเองให้มากขึ้น โดยยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมและการดำเนินชีวิต เช่น การทำเกษตรทฤษฎีใหม่ เกษตรผสมผสาน และการรวมกลุ่มเพื่อผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ดีและแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1332 | เอกสารที่จะมีการรับรองในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ ครั้งที่ 16 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง | ดท | 15/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบเอกสาร จำนวน ๔ ฉบับ ซึ่งจะมีการรับรองในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ (ASEAN Telecommunications and Information Technology Ministers Meeting : TELMIN) ครั้งที่ ๑๖ และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ระหว่างที่ ๒๒-๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ณ ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ได้แก่ ๑.๑.๑ ร่างเอกสารกรอบการดำเนินงานด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างอาเซียนด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและอำนวยความสะดวกในการดำเนินงานร่วมกันเพื่อส่งเสริมการค้าภายในภูมิภาคและระดับโลก รวมถึงการไหลเวียนของข้อมูล ๑.๑.๒ ร่างแผนปฏิบัติการว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนเชิงลึกระหว่างอาเซียน-จีน ภายใต้ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาร่วมกันด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดขอบเขตของแผนงานและกิจกรรมสำคัญระหว่างอาเซียนและจีน ภายใต้ความร่วมมือสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในระยะ ๕ ปี คือ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ๑.๑.๓ ร่างปฏิญญาบรูไน ดารุสซาลาม ว่าด้วยประชาคมแห่งการเชื่อมโยงนวัตกรรม เป็นเอกสารที่แสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียนในการดำเนินความร่วมมือด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศภายใต้แผนแม่บท ASEAN ICT Masterplan 2020 ให้มีความก้าวหน้าด้วยการมียุทธศาสตร์ความร่วมมือด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศ รวมถึงการรับรองกรอบการดำเนินงานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของอาเซียน และแผนปฏิบัติการที่จะดำเนินโครงการในปี ๒๕๖๐ ๑.๑.๔ แผนปฏิบัติการภายใต้การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ และการประชุมสภาหน่วยงานกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมแห่งอาเซียน ปี ๒๕๖๐ เป็นการดำเนินโครงการตามยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการตามแผนแม่บท ASEAN ICT Masterplan 2020 จำนวน ๑๓ โครงการ ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารดังกล่าว ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารที่จะมีการรับรองในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ ครั้งที่ ๑๖ และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้องในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1333 | ขอความเห็นชอบทบทวนโครงการส่งเสริมการให้บริการเครื่องจักรกลทางการเกษตรเพื่อลดต้นทุนสมาชิก ระยะขยายผล ปี พ.ศ. 2559 - 2562 | กษ | 15/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการเปลี่ยนชื่อโครงการ จากเดิม “โครงการส่งเสริมการให้บริการเครื่องจักรกลทางการเกษตรเพื่อลดต้นทุนสมาชิก” เป็น “โครงการส่งเสริมการให้บริการเครื่องจักรกลทางการเกษตรและอุปกรณ์การตลาดเพื่อลดต้นทุนสมาชิก” ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอเพิ่มเติม ๒. อนุมัติให้ขยายกลุ่มเป้าหมายเพิ่มเติมจากเดิม โดยให้ครอบคลุมถึงวิสาหกิจชุมชน และให้เพิ่มเติมรายการอุปกรณ์การตลาด และโรงสีข้าวชุมชน ขนาดไม่เกิน ๕ ตัน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายในการชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้โครงการ ในระยะขยายผล ปี พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๒ เห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยในการชดเชยเงินกู้โครงการ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๘ ที่ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กำหนดอัตราดอกเบี้ยโครงการเป็น MLR-๑ และรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๒ ต่อปี ระยะเวลา ๕ ปี นับตั้งแต่วันที่สหกรณ์กู้ยืมเงิน ภายในกรอบวงเงิน ๒๗๘,๙๔๐,๐๐๐ บาท ไม่รวมค่าใช้จ่ายชำระคืนเงินต้นและค่าชดเชยความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยให้ ธ.ก.ส. เสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณถัดไป ตามภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความรับผิดชอบภาระดอกเบี้ยร่วมกันระหว่างรัฐบาลกับสถาบันเกษตรกรจากการแก้ไขปัญหาต้นทุนการผลิตสินค้าเกษตร ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการชดเชยภาระดอกเบี้ยให้กับ ธ.ก.ส. ควรพิจารณาเทียบเคียงกับโครงการนโยบายรัฐบาลด้านการเกษตรที่ผ่านมา ซึ่งรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยในอัตราประมาณร้อยละ ๓ ต่อปี และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ในการให้ความรู้เพิ่มเติมแก่เกษตรกร ทั้งในเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพด้านการผลิตและด้านการตลาดโดยใช้เครื่องจักรกลทางการเกษตร ตลอดจนให้มีการติดตามและประเมินผลของโครงการอย่างใกล้ชิด เพื่อให้งบประมาณที่ใช้ในการดำเนินโครงการเกิดประสิทธิภาพและสามารถช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรได้ตามวัตถุประสงค์ของโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณจัดทำรายละเอียดแผนปฏิบัติการ โดยกำหนดกลุ่มเป้าหมาย ประเภทเครื่องจักรกลการเกษตร เงื่อนไขในการเข้าร่วมโครงการ และการบริหารจัดการเครื่องจักรกลให้ชัดเจน โดยให้คำนึงถึงความเท่าเทียมและเป็นธรรมในการคัดเลือกสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชนเข้าร่วมโครงการ แล้วดำเนินการต่อไปได้และให้รายงานคณะรัฐมนตรีทราบด้วย ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงมหาดไทยจัดทำทะเบียนรายชื่อโรงสีคุณธรรมในทุกจังหวัด เพื่อเป็นการสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมในการดำเนินนโยบายร่วมกับรัฐบาลต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1334 | ผลการประชุมหารือร่วมระหว่างนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการ กรอ. ส่วนกลาง และคณะกรรมการ กรอ. กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก เมื่อวันพุธที่ 12 ตุลาคม 2559 ณ จังหวัดชลบุรี | นร11 | 08/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมหารือร่วมระหว่างนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจส่วนกลาง และคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก (ชลบุรี จันทบุรี ตราด ระยอง) เมื่อวันพุธที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๙ ๒. เห็นชอบตามข้อสั่งการของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ รวมทั้งรายงานผลการดำเนินการให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทราบต่อไป ได้แก่ ๒.๑ มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาเร่งรัดการดำเนินงานภายใต้โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) รวมทั้งมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งรัดขับเคลื่อนการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) สู่การปฏิบัติตามขั้นตอน โดยรายงานผลการดำเนินงานให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะด้วย ๒.๒ มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องรับยุทธศาสตร์เพื่อยกระดับการผลิต การแปรรูป การตลาดผลไม้ภาคตะวันออก (ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๔) ไปขับเคลื่อนผ่านกระบวนการจัดทำแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด/จังหวัดตามแนวประชารัฐ เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในทางปฏิบัติ และให้กระทรวงมหาดไทยประสานสำนักงบประมาณร่วมพิจารณาให้การสนับสนุนงบประมาณในการจัดงาน “มหานครผลไม้” ที่จังหวัดจันทบุรีในปี ๒๕๖๐ เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์และสร้างภาพลักษณ์การเป็นศูนย์กลางผลไม้ของไทยตามขั้นตอนต่อไป ๒.๓ มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการร่วมกับกระทรวงแรงงาน กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงบประมาณ และหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาจัดทำแผนบูรณาการเพื่อยกระดับเทคโนโลยีการผลิตและทักษะแรงงานไปสู่ขั้นสูงเพื่อรองรับการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมฐานเดิมของประเทศให้เป็นอุตสาหกรรม ๔.๐ โดยคำนึงถึงความต้องการของผู้ประกอบการในพื้นที่และนอกพื้นที่ ก่อนเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ๒.๔ มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับไปพิจารณาจัดทำแผนปรับปรุงการพัฒนาเส้นทางการท่องเที่ยวเลียบชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก-สาย รย.๑๐๐๑ แยกทางหลวงหมายเลข ๓-เลียบหาดแม่รำพึง อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง (ระยะทาง ๗ กิโลเมตร) โดยคำนึงถึงการเชื่อมโยงยุทธศาสตร์การพัฒนาเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศ รวมทั้งการสร้างความเข้าใจกับประชาชนในเส้นทางที่ดำเนินการดังกล่าวด้วย ๒.๕ มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการ (๑) เพิ่มประสิทธิภาพการถ่ายลำและผ่านแดนของท่าเรือแหลมฉบังในการเป็น ASEAN GATEWAY (๒) เร่งรัดการต่ออายุสัมปทานของภาคเอกชนที่ได้รับสัมปทานท่าเรือ และติดตามภาคเอกชนที่ได้รับสัญญาสัมปทานให้ดำเนินการตามกฎหมาย และ (๓) แก้ไขประกาศกรมศุลกากรตามความเหมาะสมเพื่อให้เอื้อต่อการขนส่งสินค้าแบบถ่ายลำและผ่านแดน ๒.๖ มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมรับไปเร่งรัดโครงการก่อสร้างเพิ่มช่องจราจรจาก ๔ ช่องจราจรเป็น ๖ ช่องจราจร รวมสะพานข้ามทางแยกทางหลวงหมายเลข ๓๖ ตอนชลบุรี (แยกกระทิงลาย)-บรรจบทางหลวงหมายเลข ๓ (ระยอง) ระยะทาง ๔๑ กิโลเมตร โดยให้คำนึงถึงความเหมาะสมและความจำเป็นเร่งด่วนของโครงการ เพื่อรองรับการลงทุนและการพัฒนาโครงการ EEC ๒.๗ มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับไปพิจารณาดำเนินการตามความเหมาะสมและความจำเป็นเร่งด่วนของโครงการตามที่ภาคเอกชนเสนอก่อนเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอน รวมทั้งให้มีการติดตามประเมินผลความสำเร็จของการดำเนินโครงการอย่างเป็นระบบ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1335 | โครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ | กค | 08/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๕๓ วันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๖ และวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๗ เพื่อให้ธนาคารออมสินปล่อยสินเชื่อโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้แก่ผู้ประกอบกิจการได้เช่นเดียวกับสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ โดยใช้หลักเกณฑ์และเงื่อนไขเดียวกับสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ และให้รัฐบาลชดเชยส่วนต่างระหว่างต้นทุนเงินกับอัตราผลตอบแทนที่ธนาคารออมสินได้รับจากการปล่อยสินเชื่อ โดยให้ธนาคารออมสินบริหารจัดการวงเงินของโครงการได้ตามความเหมาะสมเพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ให้ธนาคารออมสินมุ่งเน้นปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบกิจการการผลิต การให้บริการ ค้าส่งและค้าปลีก ใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นอันดับแรก ๑.๒ รับทราบการขยายวงเงินสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ตามโครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (สำหรับลูกค้ารายย่อย) ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ จากเดิมกรอบวงเงินโครงการไม่เกิน ๑,๕๐๐ ล้านบาท เป็นกรอบวงเงินโครงการไม่เกิน ๒,๕๐๐ ล้านบาท โดยใช้หลักเกณฑ์และเงื่อนไขเดิม ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้ธนาคารออมสินพิจารณาขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อชดเชยส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยตามภาระและผลการดำเนินงานที่เกิดขึ้นจริง และให้กระทรวงการคลังติดตามประเมินผลการดำเนินงานเพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงของปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการ รวมทั้งเป็นข้อมูลสำหรับประกอบการพิจารณาปรับปรุงการกำหนดมาตรการให้ความช่วยเหลือทางการเงินในระยะต่อไปได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ และความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่า ธนาคารออมสินควรนำปัญหา อุปสรรคในการดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ได้ดำเนินการไปแล้วตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๕๓ วันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๖ และวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๗ มาใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินงานของธนาคารออมสินให้เหมาะสมเพื่อดึงดูดให้ผู้ประกอบกิจการสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1336 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินงานและการใช้จ่ายงบประมาณโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรในพื้นที่ประสบภัยแล้ง ระยะเร่งด่วน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 (งบกลาง) ภายใต้โครงการบูรณาการมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง ปี 2558/59 ตามมาตรการที่ 6 การเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุน | ทส | 08/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ขยายระยะเวลาดำเนินงานและการใช้จ่ายงบประมาณ โครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรในพื้นที่ประสบภัยแล้ง ระยะเร่งด่วน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ (งบกลาง) ภายใต้โครงการบูรณาการมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง ปี ๒๕๕๘/๕๙ ตามมาตรการที่ ๖ การเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุน จากสิ้นสุดโครงการเดือนกันยายน ๒๕๕๙ เป็นสิ้นสุดโครงการเดือนมกราคม ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมทรัพยากรน้ำบาดาล) รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรจัดทำแผนการดำเนินงานโครงการฯ โดยมีการวิเคราะห์ข้อมูลให้ชัดเจน รอบคอบ เช่น การกำหนดพื้นที่ การสำรวจทางธรณีฟิสิกส์ เป็นต้น สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ ตั้งแต่ก่อนดำเนินงานโครงการฯ จัดทำรายงานและติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์การดำเนินโครงการดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป ทั้งนี้ หากไม่สามารถดำเนินการโครงการฯ ให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดในคราวนี้ ก็เห็นควรให้ยกเลิกการดำเนินการและส่งคืนงบประมาณในส่วนที่เหลือ ไปดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกำกับติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการฯ แล้วรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบภายในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1337 | ทบทวนโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี และการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2559/60 | พณ | 08/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ทบทวนโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี และการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ ตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ครั้งที่ ๘/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ที่เห็นชอบให้ขยายการดำเนินโครงการฯ ให้ครอบคลุมเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเปลือกหอมมะลิ (ข้าวขาวดอกมะลิ ๑๐๕ และ กข.๑๕) ข้าวเปลือกเจ้า และข้าวเปลือกปทุมธานี ๑ ในทุกพื้นที่ ตามที่กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะฝ่ายเลขานุการ นบข. เสนอ ๒. สำหรับภาระงบประมาณให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดวงเงินชดเชยภาระขาดทุนที่ชัดเจน เพื่อไม่ให้เป็นภาระทางการคลังมากจนเกินไปและมีกระบวนการในการระบายข้าวเปลือกตามโครงการฯ ร่วมกับ ธ.ก.ส. เพื่อให้เกิดความเสียหายจากการดำเนินโครงการฯ น้อยที่สุด การสร้างการรับรู้ให้กับเกษตรกรและทุกภาคส่วนได้เข้าใจในทิศทางเดียวกัน รวมทั้งมีระบบการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการฯ ที่เหมาะสมและทันต่อสถานการณ์ โดยคำนึงถึงความประหยัด ความคุ้มค่า และความโปร่งใสที่สามารถตรวจสอบได้ เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อทางราชการและประชาชน นอกจากนี้ ควรให้การสนับสนุนสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชนที่มีเครื่องอบความชื้นที่สามารถให้บริการแก่สมาชิกและเกษตรกรผู้ปลูกข้าวอื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนส่งเสริมให้เกษตรกรลดต้นทุนการผลิตอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ และส่งเสริมการทำเกษตรทฤษฎีใหม่ และไร่นาสวนผสม เพื่อลดความเสี่ยงด้านราคาตกต่ำจากการปลูกข้าวอย่างเดียว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้ นบข. ติดตามและตรวจสอบการดำเนินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี และการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ ทั้งในเรื่องปริมาณข้าวเปลือก และการจ่ายเงินสินเชื่อ และเงินช่วยเหลือให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบเป็นประจำทุกเดือน ๔. ให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐและสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีติดตามและตรวจสอบการดำเนินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี และการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ ให้เป็นไปอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๕. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1338 | ขออนุมัติดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงหัวหิน - ประจวบคีรีขันธ์ | คค | 01/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ ในวงเงิน ๑๐,๒๓๙.๕๘ ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗) โดยใช้ระยะเวลาดำเนินการ ๕ ปี (ปีงบประมาณ ๒๕๕๙-๒๕๖๓) และดำเนินการประกวดราคาจ้างก่อสร้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-auction) ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ หรือที่ประกาศใช้ล่าสุด ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้กระทรวงคมนาคมและ รฟท. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ อาทิ การพิจารณาให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในการบริหารจัดการการเดินรถ การแก้ไขปัญหาจุดตัดทางรถไฟ การจัดตั้งกรมการขนส่งทางราง การจัดทำแผนธุรกิจของ รฟท. และในการดำเนินการทุกขั้นตอนจะต้องไม่มีปัญหาที่เป็นเหตุให้ขออนุมัติวงเงินเพิ่มเติมและขยายระยะเวลาออกไปอีก ทั้งนี้ การดำเนินการทุกขั้นตอนการปฏิบัติจะต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. สำหรับแนวทางการรับภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ ให้ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๒.๑ ค่าก่อสร้างและค่าจ้างที่ปรึกษาควบคุมงาน (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ให้กระทรวงการคลังจัดหาเงินกู้ในประเทศที่เหมาะสมและให้กู้ต่อแก่ รฟท. โดยเห็นชอบให้ รฟท. กู้เงินตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓๙ (๔) ทั้งนี้ ให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นงบชำระหนี้เงินกู้รายปีให้แก่ รฟท. ๒.๒ ค่าเวนคืนที่ดินและดำเนินการประกวดราคา (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้กับ รฟท. ๓. ให้กระทรวงคมนาคมและ รฟท. ปฏิบัติตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๙/๒๕๕๙ เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่กำหนดให้ส่วนราชการเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติให้ดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งเอกชนผู้ดำเนินการตามโครงการไปพลางก่อนได้ แต่จะลงนามผูกพันในสัญญาไม่ได้จนกว่ารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมจะได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ๔. ให้กระทรวงคมนาคมกำกับดูแล รฟท. ให้ดำเนินโครงการ ช่วงนครปฐม-หัวหิน ช่วงหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ และช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ให้แล้วเสร็จและสามารถเปิดให้บริการได้ตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1339 | ขอความเห็นชอบการยกเลิกโครงการเงินกู้เพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 | ทส | 01/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการยกเลิกโครงการเงินกู้เพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ ๒ รายการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำแยกคลองเปรม-ประตูน้ำพระอินทร์ ตำบลเชียงรากน้อย อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี วงเงิน ๑,๙๒๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการยกเลิกสัญญากับผู้รับจ้างเห็นควรให้คำนึงถึงประโยชน์ของทางราชการและผลกระทบที่ได้รับ โดยดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบราชการที่เกี่ยวข้อง ประกอบกับการดำเนินโครงการเงินกู้ฯ มีต้นทุนที่เป็นภาระดอกเบี้ย ดังนั้น เพื่อเป็นการรักษาวินัยทางการเงินการคลัง เห็นควรให้หน่วยงานเจ้าของโครงการพิจารณาความจำเป็น ความพร้อม และความซ้ำซ้อนในการดำเนินโครงการก่อนเสนอขออนุมัติดำเนินโครงการอื่น ๆ ในโอกาสต่อไป รวมทั้งประสานงานกับสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะและกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง เกี่ยวกับการส่งคืนเงินกู้ตามขั้นตอนของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้ถูกต้องครบถ้วน นอกจากนี้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพิจารณากำกับดูแลและเร่งรัดโครงการต่าง ๆ ภายใต้โครงการเงินกู้ฯ ให้สามารถเบิกจ่ายเงินได้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1340 | โครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าแบบโครงข่ายไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (Micro Grid) ที่อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน | มท | 01/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดำเนินโครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าแบบโครงข่ายไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (Micro Grid) ที่อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน วงเงินลงทุน จำนวนรวม ๒๖๕ ล้านบาท โดยใช้เงินกู้ในประเทศ จำนวน ๑๙๘ ล้านบาท และเงินรายได้ กฟภ. จำนวน ๖๗ ล้านบาท ๑.๒ ให้ กฟภ. กู้เงินในประเทศ ภายในกรอบวงเงิน ๑๙๘ ล้านบาท เพื่อเป็นเงินลงทุนของโครงการฯ โดย กฟภ. จะทยอยดำเนินการกู้เงินตามความจำเป็นจนกว่างานจะแล้วเสร็จ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน และประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจที่เห็นควรให้ความสำคัญในการวางแผนทางการเงินและบริหารการลงทุนของโครงการฯ อย่างรอบคอบ โดยพิจารณาใช้เงินรายได้เพื่อดำเนินโครงการฯ เป็นลำดับแรก และใช้เงินกู้เท่าที่จำเป็น และ กฟภ. จะต้องมีการวางแผนการดำเนินการพัฒนาร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลความมั่นคงของระบบไฟฟ้าหลักของประเทศ ตลอดจนติดตามประเมินผลการเพิ่มความเชื่อถือได้ในการจ่ายไฟและลดหน่วยสูญเสียในระบบสายส่งและจำหน่ายของโครงการฯ อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะประสิทธิผลจากการนำแบตเตอรี่ชนิดลิเทียมไอออนมาใช้ และจัดทำแผนดำเนินงานการพัฒนาระบบ Micro Grid ภายหลังจากการศึกษาและรวบรวมข้อมูลจากการดำเนินโครงการฯ รวมทั้งมีการติดตามประเมินผลโครงการฯ เพื่อให้ทราบความก้าวหน้าปัญหาและอุปสรรคและผลสำเร็จของโครงการฯ นอกจากนี้ ให้ กฟภ. ประสานงานกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน และร่วมกับ กฟผ. และการไฟฟ้านครหลวงศึกษาระบบ Micro Grid จากโครงการฯ เพื่อให้เกิดการบูรณาการในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
.....