ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 63 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 1241 - 1260 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1241 | โครงการภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี 2560/61 | กษ | 11/04/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณ ภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี ๒๕๖๐/๖๑ (ด้านการผลิต) จำนวน ๓ โครงการ ระยะเวลา ๕ ปี (ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๔) กรอบวงเงินรวมทั้งสิ้นไม่เกิน ๒๕,๘๗๑.๑๔๒ ล้านบาท ๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาดำเนินการ โดยการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ รวมทั้งใช้จ่ายจากเงินทุนหมุนเวียนเพื่อการผลิตและขยายพันธุ์พืชก่อน หากไม่เพียงพอ จึงขอใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงินไม่เกิน ๑,๐๘๗.๕๐๕ ล้านบาท ซึ่งในส่วนของงบดำเนินงานจะต้องเสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณาความเหมาะสมของอัตราค่าใช้จ่ายและในส่วนของงบลงทุนจะต้องเสนอให้สำนักงบประมาณพิจารณาก่อน ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อแก้ไขปัญหาหรือเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายในบางกรณี พ.ศ. ๒๕๕๙ รวมทั้งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะต้องตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินโครงการ ก่อนจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณและรายละเอียดค่าใช้จ่าย แล้วขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ ตามขั้นตอนต่อไป ได้แก่ (๑) โครงการส่งเสริมการใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิคุณภาพดี ภายในวงเงินไม่เกิน ๕๗.๐๐๐ ล้านบาท (๒) โครงการส่งเสริมระบบการเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่หลักเกณฑ์ใหม่) ภายในวงเงินไม่เกิน ๔๑๑.๐๒๕ ล้านบาท และ (๓) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ ภายในวงเงินไม่เกิน ๖๑๙.๔๘๐ ล้านบาท ๑.๓ สำหรับงบประมาณที่จะขอรับจัดสรรตามแผนการดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ นั้น เนื่องจากขณะนี้ล่วงเลยระยะเวลาในการเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามขั้นตอนปกติแล้ว เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดเตรียมความพร้อมของแต่ละโครงการแล้วจัดทำรายละเอียดเพื่อเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณในขั้นตอนการเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ (แปรญัตติ) ตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประเมินผลสัมฤทธิ์และความคุ้มค่าของการดำเนินโครงการในปี ๒๕๖๐ แล้วนำเสนอสำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรีพิจารณา ก่อนดำเนินการในปีต่อไป หากผลการดำเนินโครงการในปีแรกไม่เกิดผลสัมฤทธิ์หรือไม่คุ้มค่า ให้พิจารณายกเลิกโครงการ ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณและความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีมาตรการในการกำกับ ควบคุม ดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเน้นถึงวิธีในการบริหารจัดการ กำหนดให้มีคณะกรรมการ ผู้บริหารของส่วนราชการ และหัวหน้าโครงการ เพื่อรับผิดชอบดูแลโครงการอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งรายงานการติดตามและประเมินผลโครงการฯ โดยเน้นถึงผลสัมฤทธิ์ ทั้งในส่วนของการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตการลดต้นทุนการผลิต และรายได้ของเกษตรกรที่เพิ่มขึ้น ให้คณะรัฐมนตรีรับทราบตามกำหนดระยะเวลาดำเนินโครงการ นอกจากนี้ ควรติดตามและรายงานความก้าวหน้าการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบทุกปี มีการประเมินผลสัมฤทธิ์เมื่อสิ้นสุดโครงการ และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา หากมีการขยายผลการดำเนินการในระยะต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1242 | ขออนุมัติหลักเกณฑ์การคำนวณเงินชดเชยค่างานก่อสร้าง K (Price Adjustment) โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ - คูคต | คค | 04/04/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติเงื่อนไขหลักการคำนวณค่า K เป็นกรณีพิเศษเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ ให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) นำเงื่อนไข หลักเกณฑ์ ประเภทงานก่อสร้าง สูตร และวิธีการคำนวณที่ใช้กับสัญญาแบบปรับราคาได้ของการประกวดราคานานาชาติ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๙ มาใช้ ยกเว้นกรณีที่ รฟม. ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ เกี่ยวกับมาตรการการดำเนินการปรับลดค่างานก่อสร้างของหน่วยงานภาครัฐ ให้ใช้ฐานการคำนวณค่า K ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวด้วย ๑.๒ งานออกแบบและก่อสร้างระบบราง (Design and Build) โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ สัญญาที่ ๒ และช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต สัญญาที่ ๔ ไม่สามารถนำสัญญาแบบปรับราคาได้ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๓๒ มาใช้ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๙ แต่เนื่องจากเป็นข้อผูกพันตามสัญญาที่ รฟม. ได้ลงนามในสัญญากับผู้รับจ้างแล้ว หากแก้ไขสัญญาอาจทำให้ราชการเสียประโยชน์ หรือผู้รับจ้างมีหนังสือร้องเรียนและเรียกร้องค่าเสียหายได้ จึงเห็นควรที่จะพิจารณาผ่อนผันการนำเงื่อนไขหลักเกณฑ์การคำนวณค่า K มาใช้ได้เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย ๑.๓ มอบหมายให้สำนักงบประมาณเป็นผู้พิจารณาและวินิจฉัยการคำนวณเงินเพิ่มหรือเรียกเงินคืนจากผู้รับจ้างตามเงื่อนไขของสัญญาดังกล่าว และให้ถือการพิจารณาวินิจฉัยของสำนักงบประมาณเป็นที่สิ้นสุด ๑.๔ การจ่ายเงินเพิ่มค่างานก่อสร้างตามเงื่อนไขของสัญญาดังกล่าว หากทำให้เกินกรอบวงเงินที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีก็ให้ถือว่าได้รับอนุมัติขยายกรอบวงเงินโครงการจากคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้ ๑.๕ การจัดหาแหล่งเงินที่เหมาะสมเพื่อจ่ายค่า K ให้แก่ผู้รับจ้าง เห็นควรให้ใช้จ่ายจากเงินสำรองจ่าย (Provisional Sum) ของแต่ละสัญญา หรือจ่ายตามแหล่งที่มาของเงินค่าก่อสร้าง หรือตามที่สำนักงบประมาณวินิจฉัยแล้วแต่กรณี โดยเห็นควรให้ รฟม. ขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ การดำเนินโครงการรถไฟฟ้าในอนาคตขอให้ รฟม. นำเงื่อนไข หลักเกณฑ์ ประเภทงานก่อสร้าง สูตร และวิธีการคำนวณที่ใช้กับสัญญาแบบปรับราคาได้ของการประกวดราคานานาชาติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๙ มาใช้ อย่างเคร่งครัด โดยกรณีที่พิจารณาแล้วเห็นว่าจำเป็นต้องขอยกเว้นการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว ให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของประธานกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐที่เห็นว่า เรื่องนี้ควรต้องได้รับการตรวจสอบและความเห็นจากสำนักงบประมาณก่อน ทั้งนี้ สำหรับสัญญาแบบปรับราคาได้ที่จะลงนามในอนาคต เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมกำกับดูแลหน่วยงานในสังกัดให้ถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การคำนวณเงินชดเชยค่างานก่อสร้าง K (Price Adjustment) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๓๒ และเมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๙ อย่างเคร่งครัด และในกรณีที่ไม่สามารถปฏิบัติได้ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนดำเนินการลงนามผูกพันในสัญญา ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคมตรวจสอบสัญญาโครงการอื่นของรัฐวิสาหกิจในสังกัดว่ามีการกำหนดเงื่อนไขการคำนวณเงินชดเชยค่างานก่อสร้าง K (Price Adjustment) ไม่เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี หรือไม่ เพื่อดำเนินการให้ถูกต้อง สำหรับการดำเนินโครงการอื่น ๆ ในอนาคตให้กระทรวงคมนาคมกำกับดูแลการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1243 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงสถานที่ดำเนินการรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 และปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 แผนงานพัฒนาด้านสาธารณสุข | ศธ | 04/04/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้เปลี่ยนแปลงสถานที่ดำเนินการรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ และปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ แผนงานพัฒนาด้านสาธารณสุข ในการดำเนินโครงการของคณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โดยเปลี่ยนแปลงสถานที่ดำเนินการก่อสร้างโครงการฯ จาก ตำบลหนองพลับ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็น ตำบลบางปลา อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ และรายละเอียดแบบแปลนอาคารสิ่งปลูกสร้าง จำนวน ๒ รายการ ได้แก่ (๑) โครงการศูนย์เรียนรู้และพัฒนาสุขภาวะผู้สูงอายุแบบครบวงจรและบริบาลผู้ป่วยระยะท้าย วงเงินทั้งสิ้น ๖๔๙ ล้านบาท และ (๒) โครงการศูนย์การเรียนรู้และพัฒนาสุขภาวะผู้สูงอายุแบบครบวงจรและบริบาลผู้ป่วยระยะท้าย (ระยะที่ ๒) วงเงินทั้งสิ้น ๓๖๓.๗๘ ล้านบาท ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการ (มหาวิทยาลัยมหิดล) ดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้มหาวิทยาลัยมหิดลดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงความประหยัด ความคุ้มค่า และประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ รวมทั้งให้มีการจัดทำรายละเอียดแผนการดำเนินงาน พร้อมทั้งการกำกับติดตามโครงการฯ ให้แล้วเสร็จทันตามระยะเวลาที่กำหนด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1244 | โครงการโรงไฟฟ้าบางปะกง (ทดแทนเครื่องที่ 1 - 2) | พน | 04/04/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าบางปะกง (ทดแทนเครื่องที่ ๑-๒) ในวงเงินลงทุนรวม ๓๓,๙๔๒.๖๕ ล้านบาท และให้ดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ให้ กฟผ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานที่เห็นควรบริหารจัดการเรื่องการเงินและการลงทุนให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสอดรับกับแนวโน้มของอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อองค์กร และควรให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงินขององค์กรในระยะยาวเพื่อตอบสนองการลงทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวมทั้งให้ความสำคัญกับระดับอุณหภูมิของการระบายน้ำทิ้งจากการหล่อเย็นลงสู่แม่น้ำบางปะกง และให้ กฟผ. เสนอแผนการขอใช้น้ำต่อกรมชลประทานทั้งระยะสั้นและระยะยาวเพื่อนำไปประกอบการพิจารณาวางแผนการจัดสรรน้ำดิบตามความเหมาะสมของปริมาณน้ำต้นทุนที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด นอกจากนี้ ในห้วงระยะเวลาดำเนินโครงการควรมีมาตรการในการดูแลไม่ให้ผู้ใช้ไฟฟ้าในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาไฟฟ้าตกหรือดับ และให้ กฟผ. จัดส่งแผนการดำเนินงานโครงการให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานเป็นรายไตรมาส รวมถึงรายงานความก้าวหน้าเปรียบเทียบกับแผนที่วางไว้ให้กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานทราบทุก ๖ เดือน และให้มีการกำกับราคาเฉลี่ยตลอดอายุโครงการ ให้มีราคาเฉลี่ยไม่สูงกว่าราคารับซื้อไฟฟ้าจากภาคเอกชน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. อนุมัติการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนประจำปี ๒๕๕๙ สำหรับโครงการฯ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๓,๐๖๖.๙๗ ล้านบาท ๓. ในการดำเนินโครงการให้ กฟผ. ดำเนินการ ดังนี้ ๓.๑ ให้ใช้เงินจากรายได้เป็นลำดับแรกก่อนการใช้เงินกู้ และหากจำเป็นต้องใช้เงินกู้ ให้กู้ภายในประเทศ โดยกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกัน ๓.๒ ให้กำกับดูแลการบริหารจัดการด้านการเงินและการลงทุนอย่างเหมาะสม และกำหนดแนวทางหรือมาตรการบริหารความเสี่ยงด้านต่าง ๆ เช่น อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อโครงการและคุ้มค่าต่อการลงทุนต่อไป ๓.๓ ให้ดำเนินการตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติและปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามที่กำหนดไว้ในรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม สำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของโครงการอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้พิจารณากำหนดมาตรการเพื่อลดผลกระทบต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ เช่น ผลกระทบต่อการนำน้ำในแม่น้ำบางปะกงไปใช้เพื่อการเกษตร การอุปโภคบริโภค เป็นต้น ๓.๔ ให้ประชาสัมพันธ์ ชี้แจง สร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนและชุมชนเกี่ยวกับการดำเนินโครงการ เช่น ประโยชน์ที่จะได้รับจากการดำเนินโครงการ เพื่อให้เกิดการยอมรับและให้ความร่วมมือในการดำเนินโครงการ รวมทั้งให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ด้วย เช่น การจัดหาแรงงานในพื้นที่ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1245 | ผลการดำเนินงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยในปีงบประมาณ 2559 นโยบายของคณะกรรมการ และโครงการและแผนงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยในอนาคต | คค | 04/04/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ในปีงบประมาณ ๒๕๕๙ นโยบายของคณะกรรมการ และโครงการและแผนงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยในอนาคต ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ มีประเด็นสำคัญ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินการของ รฟม. ในปีงบประมาณ ๒๕๕๙ สามารถดำเนินการด้านต่าง ๆ ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ได้แก่ (๑) ด้านการให้บริการ มีผู้ใช้บริการ รฟม. สายเฉลิมรัชมงคล รวมทั้งสิ้น ๙๘,๕๗๖,๔๖๗ คน-เที่ยว คิดเป็นผู้โดยสารเฉลี่ย ๒๖๙,๓๓๕ คน-เที่ยว/วัน โดยสัดส่วนผู้ใช้บริการร้อยละ ๑๐๐ มีความพึงพอใจต่อการให้บริการรถไฟฟ้า และบริการอื่น ๆ ของ รฟม. (๒) ด้านการเงิน รฟม. สามารถบริหารจัดการทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีสัดส่วนของอัตราผลตอบแทนที่ได้รับจากการบริหารเงินสดเทียบกับค่าเฉลี่ยของตลาดเท่ากับ ๑.๔๒ (๓) ด้านการพัฒนาองค์กรและทรัพยากรบุคคล ได้ดำเนินการพัฒนาบุคลากรให้มีสมรรถนะตามมาตรการที่องค์กรกำหนดได้ร้อยละ ๙๕.๕๖ ซึ่งบุคลากรร้อยละ ๙๐.๘๒ มีความพึงพอใจต่อการบริหารงานภายในองค์กร และ (๔) ด้านการกำกับดูแลที่ดี ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการดำเนินงานและนำข้อคิดเห็นของประชาชนมาพัฒนาและปรับปรุงการดำเนินงานขององค์กร โดยประชาชนร้อยละ ๗๓.๐๖ รู้จักและเชื่อถือการทำงานขององค์กรและผู้ใช้บริการและประชาชนตามแนวสายทาง ร้อยละ ๙๘.๕๒ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ๒. นโยบายของคณะกรรมการ รฟม. เช่น เร่งรัดดำเนินโครงการ รฟม. สายต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จและเปิดให้บริการได้ตามแผน ให้บริการด้วยความสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และตรงเวลาดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล รวมทั้งดำเนินการบริหารสินทรัพย์และให้บริการเสริมต่าง ๆ เพื่อเพิ่มรายได้และลดการสนับสนุนจากภาครัฐ เป็นต้น ๓. โครงการและแผนงานของ รฟม. ในอนาคต ได้วางแผนดำเนินโครงการที่มีความสอดคล้องกับนโยบายของคณะกรรมการฯ ทั้งทางด้านการให้บริการ ด้านการเงิน ด้านการพัฒนาองค์กรและทรัพยากรบุคคล โดยมีโครงการที่สำคัญ ได้แก่ การพัฒนาระบบรถไฟฟ้าจำนวน ๑๐ โครงการ ให้สามารถเปิดบริการได้ตามกำหนด นอกจากนี้ ได้กำหนดให้มีการดำเนินโครงการพัฒนาพื้นที่รองรับการเชื่อมต่อการเดินทาง และโครงการเตรียมความพร้อมสำหรับการใช้ตั๋วร่วมด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1246 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2560 (ครั้งที่ 11) | พน | 28/03/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ (ครั้งที่ ๑๑) เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ รวม ๖ เรื่อง ได้แก่ (๑) ความคืบหน้าการดำเนินงานโครงการไฟฟ้าพลังน้ำสตึงมนัม (๒) สถานภาพการรับซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ (๓) ร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน ๑ (๔) สถานการณ์และแนวทางการสร้างความมั่นคงด้านไฟฟ้าภาคใต้ (๔) แนวนโยบาย “โรงไฟฟ้า-ประชารัฐ” สำหรับพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ (๕) อัตรารับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) และ (๖) การปรับโครงสร้างธุรกิจของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) และมอบหมายให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กรมทรัพยากรน้ำ และกรมชลประทานรับไปเตรียมการวางแผนการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการนำน้ำจากโครงการไฟฟ้าพลังน้ำสตึงมนัมไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่ภาคตะวันออก โดยให้ประสานงานกับกระทรวงพลังงานในส่วนที่เกี่ยวข้องตามขั้นตอนต่อไป ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินโครงการไฟฟ้าพลังน้ำสตึงมนัมและการนำน้ำจากโครงการฯ ไปใช้ประโยชน์ ให้แล้วเสร็จโดยเร็วต่อไป ๒. ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชนไปพิจารณาดำเนินการต่อไป และให้ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน กลต.) เกี่ยวกับประเด็นการนำ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (PTTOR) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ต้องได้รับอนุญาตจาก สำนักงาน กลต. ก่อน และควรกำหนดขอบเขตและแบ่งแยกธุรกิจน้ำมันภายในการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยให้ชัดเจน รวมทั้งต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทจดทะเบียน ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1247 | ขออนุมัติจัดสรรเงินจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรโครงการฟาร์มโคเนื้อสร้างอาชีพ ระยะที่ 2 | กษ | 28/03/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติจัดสรรเงินจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรให้กรมปศุสัตว์ จำนวน ๙๐๗,๔๕๘,๐๐๐ บาท เพื่อดำเนินโครงการฟาร์มโคเนื้อสร้างอาชีพ ระยะที่ ๒ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อาทิ ควรให้ความสำคัญในการสนับสนุนองค์ความรู้ในการเลี้ยงโคเนื้อให้แก่เกษตรกร และกำกับดูแล ติดตามประเมินผล การดำเนินโครงการอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินโครงการให้คณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกรทราบเป็นรายปีอย่างต่อเนื่อง มีการติดตามและกำกับดูแลการเชื่อมโยงการผลิตการตลาดให้เป็นไปตามแผนอย่างรัดกุม และมอบหมายให้คณะกรรมการหมู่บ้าน (คณะทำงานด้านส่งเสริมเศรษฐกิจ) เป็นกลไกในการสนับสนุนส่งเสริมหรือคัดเลือกเกษตรกรในพื้นที่และมีส่วนผลักดันให้โครงการฯ บรรลุผลสัมฤทธิ์มากยิ่งขึ้น ควรมีมาตรการด้านการตลาดที่ชัดเจนในการรองรับผลผลิตที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ควรควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์โคให้ได้มาตรฐานเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมโคเนื้อทั้งระบบ มีการวิเคราะห์สถานการณ์โคเนื้อในประเทศที่มีอยู่ในปัจจุบันและแนวโน้มการผลิตโคเนื้อในอนาคต เปรียบเทียบกับปริมาณความต้องการโคเนื้อของตลาดอย่างรอบคอบ รวมถึงมีการกำกับดูแลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจเยี่ยม ให้คำแนะนำการเลี้ยง การจัดการอาหารสัตว์ การดูแลสุขภาพสัตว์ การผสมเทียมอย่างใกล้ชิด และกำกับดูแลการชำระคืนเงินจากเกษตรกรให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนด ตลอดจนให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมของโครงการฯ ในด้านต่าง ๆ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาดำเนินโครงการส่งเสริมการเลี้ยงโคเนื้อเพื่อสร้างอาชีพตามแนวทางที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ โดยการส่งเสริมการปศุสัตว์ให้แก่เกษตรกรตามแนวทางประชารัฐ โดยอาจพิจารณาจัดหาหรือรับบริจาคปศุสัตว์ เช่น โค เพื่อนำมาจำหน่ายในราคาถูก ให้ยืม ให้เช่า หรือแจกจ่ายให้เกษตรกรนำไปใช้ประโยชน์ในการเกษตรกรรม เพื่อเสริมสร้างอาชีพและเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการส่งเสริมการปศุสัตว์ให้เหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศ และคำนึงถึงผลผลิตที่จะออกสู่ตลาดในแต่ละช่วงให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1248 | ขอปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเพื่อขยายขอบเขตการทำธุรกิจและแก้ไขข้อขัดข้องในการดำเนินกิจการของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ร่างกฎหมาย รวม 3 ฉบับ) | กค | 28/03/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติธนาคารอาคารสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๔๙๖ เพื่อแก้ไขวัตถุประสงค์ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ให้รองรับการให้สินเชื่อเพื่อผู้สูงอายุ (Reverse Mortgage : RM) ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการ ธอส. แก้ไขอำนาจในการแต่งตั้งและถอดถอนกรรมการผู้จัดการ แก้ไขอำนาจในการออกและขายพันธบัตร หุ้นกู้ และแก้ไขเพิ่มเติมให้ ธอส. มีอำนาจในการออกและขายสลากออมทรัพย์ เพื่อให้ ธอส. มีช่องทางใหม่ในการระดมทุนระยะยาวยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดกิจการอันพึงเป็นงานธนาคารของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการขยายขอบเขตการดำเนินงานของ ธอส. ให้สามารถประกอบกิจการในการให้บริการเงินอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งการเข้าถือหุ้นในกิจการประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัย กิจการประเมินมูลค่าทรัพย์สิน กิจการรับจัดทำสัญญา และจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม และกิจการประกันวินาศภัยและประกันชีวิตได้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว โดยให้รับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับการกำหนดให้ ธอส. สามารถรับประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัย อาจเกิดความขัดแย้งกันในบทบาทในกรณีที่ ธอส. เป็นผู้ให้สินเชื่อและเป็นผู้รับประกันความเสี่ยงเอง ซึ่งไม่ได้เป็นการปิดความเสี่ยงที่เกิดกับ ธอส. ได้จริง รวมทั้งการกำหนดให้ ธอส. สามารถรับประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัย รับประเมินมูลค่าทรัพย์สิน จัดทำสัญญา และจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม และประกอบธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัยและประกันชีวิต ไม่สอดคล้องกับหลักการและเหตุผลที่ระบุว่า ให้เป็นการลงทุนในกิจการโดยการเข้าถือหุ้นในกิจการดังกล่าว จึงควรพิจารณาให้สอดคล้องกันเพื่อให้เกิดความชัดเจนในการปฏิบัติ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติธนาคารอาคารสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๔๙๖ มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขขอบเขตการให้กู้ยืมเงินที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถาม แก้ไขการออก ขาย ขายลด หรือขายตั๋วเงินหรือตราสารเปลี่ยนมือ แก้ไขเงื่อนไขการซื้อตั๋วเงินหรือตราสารเปลี่ยนมือ และแก้ไขอำนาจในการซื้อหรือรับโอน การขายหรือจำหน่ายสินทรัพย์ประเภทสินเชื่อที่อยู่อาศัย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๔. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๕. มอบหมายให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการขอแก้ไขพระราชบัญญัติธนาคารอาคารสงเคราะห์ เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการสินเชื่อเพื่อผู้สูงอายุ ควรศึกษาถึงปัจจัยความสำเร็จ ตลอดจนปัญหาอุปสรรคของการดำเนินโครงการในประเทศต่าง ๆ เพื่อกำหนดให้มีกลไกการบริหารความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ ให้ครบถ้วนก่อนที่จะดำเนินโครงการ และมีการสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ผู้สูงอายุและครอบครัวเกี่ยวกับภาระและความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ส่วนการขอแก้ไขพระราชกฤษฎีกากำหนดกิจการอันพึงเป็นงานของ ธอส. เพื่อขยายขอบเขตการดำเนินงานในธุรกิจการรับประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัย (Mortgage Insurance : MI) ควรศึกษาความเหมาะสมและความเสี่ยงจากการดำเนินการดังกล่าวให้รอบคอบ และในการขยายขอบเขตการดำเนินงานธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัยและประกันชีวิต ควรจำกัดให้สามารถทำได้เฉพาะการประกอบธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัยสำหรับที่อยู่อาศัยเท่านั้น รวมทั้งการขอแก้ไขกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติธนาคารอาคารสงเคราะห์ เกี่ยวกับการซื้อหรือรับโอน การขายหรือจำหน่ายสินทรัพย์ประเภทสินเชื่อที่อยู่อาศัยให้เป็นอำนาจของ ธอส. ควรพิจารณาถึงความเหมาะสมในการบริหารงานและการกำกับดูแล ธอส. ให้มีความรอบคอบและรัดกุมในอนาคตด้วย นอกจากนี้ การออกและขายสลากออมทรัพย์ของ ธอส. ตามร่างพระราชบัญญัติธนาคารอาคารสงเคราะห์ ควรมีมาตรฐานการออกและขายสลากออมทรัพย์เป็นไปในแนวทางเดียวกันกับธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1249 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (AEM Retreat) ครั้งที่ 23 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | พณ | 28/03/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (AEM Retreat) ครั้งที่ ๒๓ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๘-๑๐ มีนาคม ๒๕๖๐ ณ กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นหัวหน้าผู้แทนไทย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ มีประเด็นสำคัญ ดังนี้
๑. การประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ ๒๓ ที่ประชุมฯ ได้หารือแผนการจัดกิจกรรมในวาระการครบรอบ ๕๐ ปีของการก่อตั้งอาเซียน และสนับสนุนประเด็นที่ฟิลิปปินส์ในฐานะประธานอาเซียนในปี ๒๕๖๐ เสนอให้เป็นมาตรการสำคัญเพื่อดำเนินการให้เสร็จในปีนี้ รวม ๙ เรื่อง เช่น การพัฒนาเครื่องมือสำหรับวัดการอำนวยความสะดวกทางการค้าในอาเซียน การส่งเสริมให้วิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs) มีส่วนร่วมในห่วงโซ่มูลค่าของบริษัทขนาดใหญ่ และได้รับรองแผนงานเรื่องแนวปฏิบัติที่ดีด้านกฎระเบียบของอาเซียน รวมทั้งเห็นชอบแนวทางและกรอบการทำงานของเจ้าหน้าที่เศรษฐกิจอาวุโสและแนวทางการให้เอกชนมีส่วนร่วมภายใต้ AEC และได้มีการลงนามพิธีสารเพื่อการแก้ไขความตกลงด้านการลงทุนอาเซียน (ACIA) ฉบับที่ ๒ เพื่อรองรับการแก้ไขคำนิยามเรื่องนักลงทุนที่เป็นผู้มีถิ่นพำนักถาวรและประเด็นลดหรือห้ามเงื่อนไขที่เข้มงวดของรัฐที่มีต่อนักลงทุน รวมถึงกำหนดแนวทางการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) เพื่อให้บรรลุเป้าหมายและสรุปผลภายในปี ๒๕๖๐ นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้หารือถึงความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับประเทศต่าง ๆ ได้แก่ ญี่ปุ่น ฮ่องกง จีน อินเดีย และเกาหลีใต้ โดยมีกำหนดจะลงนามพิธีสารเพื่อผนวกเรื่องการค้าบริการและการเคลื่อนย้ายบุคคลธรรมดาในความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ญี่ปุ่น และความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกง ภายในปีนี้ ๒. การประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน-สหภาพยุโรป ครั้งที่ ๑๕ ที่ประชุมฯ เห็นชอบการดำเนินการขั้นต่อไปสำหรับการรื้อฟื้นการเจรจาความตกลงการค้าเสรีระดับภูมิภาคอาเซียน-สหภาพยุโรป และมอบหมายเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเศรษฐกิจจัดทำกรอบการทำงานที่กำหนดตัวแปรสำหรับการเจรจาความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-สหภาพยุโรปในอนาคต ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้หารือกับสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน (ABAC) ซึ่งได้มีการนำเสนอข้อเสนอแนะและการดำเนินโครงการของภาคเอกชนที่มุ่งเน้นให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกภาคส่วนได้รับประโยชน์จากการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมขีดความสามารถของผู้ประกอบการรายย่อยในการเข้าถึงตลาดและแหล่งเงินทุนเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่มูลค่าโลก และได้หารือกับสภาธุรกิจอาเซียน-สหภาพยุโรป ซึ่งได้นำเสนอแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกและขยายการค้าของอาเซียน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1250 | ผลการคัดเลือกเอกชน ผลการเจรจา และร่างสัญญาร่วมลงทุน โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย | คค | 28/03/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบผลการคัดเลือกเอกชนและร่างสัญญาสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสีน้ำเงิน (โครงการรถไฟฟ้าสายเฉลิมรัชมงคล ช่วงหัวลำโพง-บางซื่อ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ) ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอเพิ่มเติม ดังนี้ ๑.๑ ขอแก้ไขร่างสัญญาสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ข้อ ๑๙ การให้ความร่วมมือกับระบบขนส่งอื่น ๆ และการจัดเก็บค่าโดยสารระบบตั๋วร่วม จากเดิม “บีอีเอ็มจะให้ความร่วมมือแก่ รฟม. ...” เป็น “บีอีเอ็มต้องเข้าร่วมระบบจัดเก็บค่าโดยสารตั๋วร่วม และระบบการจำหน่ายตั๋วโดยสาร รวมทั้งความร่วมมือรูปแบบอื่น ๆ ของ รฟม. เพื่อให้การเชื่อมต่อระบบในโครงข่ายรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนและการเชื่อมต่อกับระบบขนส่งอื่นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ...” เพื่อให้การใช้ระบบตั๋วร่วม (Common Ticket) และการใช้อัตราค่าโดยสารร่วม (Common Fare) ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลสามารถดำเนินการได้ตามแผนที่วางไว้ ๑.๒ ให้ รฟม. จัดให้มีผู้ตรวจสอบอิสระด้านการเงินและการบัญชี เพื่อสนับสนุน รฟม. ในการตรวจสอบความถูกต้องของการคำนวณผลตอบแทนการลงทุน (Equity IRR) เพื่อให้การคำนวณผลตอบแทนการลงทุน (Equity IRR) และการแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างรัฐและเอกชนเป็นไปอย่างโปร่งใส เหมาะสม และเป็นไปตามที่ได้เจรจาไว้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม รฟม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง (สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด และคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ในประเด็นการกำหนดระบบการตรวจสอบ การแบ่งรายได้ และการกำกับสัญญา ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. สำหรับการให้การส่งเสริมการลงทุนแก่โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน กรณีการรวมโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายในโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน เพื่อให้ครอบคลุมตลอดทั้งสาย (สายเฉลิมรัชมงคล ช่วงหัวลำโพง-บางซื่อ และส่วนต่อขยาย ช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ นั้น เป็นอำนาจของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนที่จะพิจารณาให้การส่งเสริม ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน จึงให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. ในฐานะหน่วยงานเจ้าของโครงการนำเสนอคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนพิจารณาตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน พ.ศ. ๒๕๒๐ ต่อไป ๔. ให้กระทรวงคมนาคมกำกับดูแลการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินให้เป็นไปตามสัญญาสัมปทานอย่างเคร่งครัดและกำกับดูแลให้รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงเตาปูน-บางซื่อ แล้วเสร็จ และสามารถเปิดให้บริการได้ภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๖๐ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ (เรื่อง การจัดจ้างติดตั้งระบบรถไฟฟ้า จัดการเดินรถไฟฟ้า และบริหารการเดินรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงเตาปูน-บางซื่อ ของ รฟม.)โดยให้ระบุกำหนดเวลาเปิดให้บริการของรถไฟฟ้าดังกล่าวไว้ในสัญญาสัมปทาน [ในข้อ ๔.๑ (ข)] ให้ชัดเจนด้วย ๕. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. พิจารณากำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับการแบ่งรายได้และการกำหนดค่าโดยสาร เพื่อรองรับการเชื่อมต่อระหว่างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินกับรถไฟฟ้าสายอื่น ๆ ในอนาคตให้ชัดเจนและเป็นไปในแนวทางเดียวกันเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการที่กำหนดให้คิดค่าแรกเข้าระบบครั้งเดียว และเกิดความเป็นธรรมแก่ประชาชนผู้โดยสาร
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1251 | รายงานผลการพิจารณาการดำเนินการโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ จำนวน 7 เส้นทาง ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | กค | 28/03/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการพิจารณาการดำเนินการโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ จำนวน ๗ เส้นทาง ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ตามที่คณะกรรมการกำกับการจัดซื้อจัดจ้าง (คกจ.) รายงาน สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ โครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง จำนวน ๒ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออกช่วงฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย และ (๒) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น ให้ดำเนินการต่อไป โดยให้มีการกำกับติดตามในขั้นตอนการบริหารสัญญาให้มีความโปร่งใส ๑.๒ โครงการที่อยู่ระหว่างการประกวดราคา จำนวน ๕ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงมาบกระเบา-ชุมทางถนนจิระ (๒) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ (๓) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงนครปฐม-หัวหิน (๔) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ และ (๕) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ทบทวน TOR ทั้ง ๕ เส้นทาง โดยปรับลดเงื่อนไขการกำหนดผลงาน จากเดิมกำหนดร้อยละ ๑๕ คงเหลือร้อยละ ๑๐ ของค่าก่อสร้าง และไม่ให้กำหนดเงื่อนไขการส่งมอบเครื่องจักรอุปกรณ์ของผู้รับจ้างที่ใช้ในการก่อสร้างให้กับ รฟท. เมื่องานก่อสร้างแล้วเสร็จ รวมทั้งให้ รฟท. ทบทวน แยกงานระบบอาณัติสัญญาณออกจากงานระบบรางและงานโยธา ตามข้อสรุปร่วมกันระหว่าง คกจ. และคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการขนาดกลางสามารถเข้าร่วมการเสนอราคาได้มากราย ๒. รับทราบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมรายงานเพิ่มเติมว่า คกจ. ได้หารือร่วมกันและได้รับฟังความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องแล้ว ได้ข้อสรุปแนวทางการดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ คกจ. ตามที่เสนอมาในครั้งนี้ ซึ่งแนวทางดังกล่าวจะทำให้การดำเนินโครงการมีความโปร่งใสและเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการขนาดกลางสามารถเข้าร่วมการเสนอราคาได้มากราย ส่งผลให้เกิดการแข่งขันมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ คกจ. ได้ประชุมร่วมกับคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทยแล้วมีความเห็นสอดคล้องกันว่า การดำเนินโครงการนี้ควรแยกงานระบบอาณัติสัญญาณออกจากงานระบบรางและงานโยธา โดยจะแบ่งการดำเนินโครงการออกเป็น ๑๓ สัญญา ประกอบด้วย งานระบบรางและงานโยธา ๑๐ สัญญา และงานระบบอาณัติสัญญาณ ๓ สัญญา ทั้งนี้ การดำเนินการตามแนวทางที่ คกจ. เสนอจะอยู่ภายใต้กรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติไว้แล้ว ๓. ให้ รฟท. เร่งรัดดำเนินการประกวดราคาโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ คกจ. รวม ๕ โครงการ ให้ได้ผู้รับจ้างภายใน ๓ เดือน ๔. สำหรับงานระบบอาณัติสัญญาณ ซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้เทคโนโลยีและต้องดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีระบบขนส่งทางราง นั้น ให้ คกจ. พิจารณาประกวดราคาโดยวิธีการประกวดราคานานาชาติ (International bidding) เพื่อให้มีผู้ประกอบการที่มีคุณสมบัติสามารถเข้าแข่งขันได้มากราย อันนำไปสู่การใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนผู้ใช้บริการ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1252 | มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ผ่านโครงการสินเชื่อ SMEs Transformation Loan | กค | 21/03/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ผ่านโครงการสินเชื่อ SMEs Transformation Loan ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ และอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ จำนวน ๒,๒๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (บสย.) จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป สำหรับกรณีของค่าประกันชดเชย ให้ บสย. ใช้เงินรายได้จากค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อของโครงการฯ ก่อนเป็นลำดับแรก ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย และข้อสังเกตของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการกำหนดกรอบ นิยาม เงื่อนไข หรือแนวทางในการอนุมัติสินเชื่ออย่างชัดเจน มีความโปร่งใส และชี้แจงได้ การกำหนดเงื่อนไขให้ SMEs ที่เข้าร่วมโครงการฯ เป็นนิติบุคคล การจัดทำบัญชีและการตรวจสอบบัญชีโดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาต การยื่นงบการเงินเป็นประจำทุกปี การบ่มเพาะและพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการใหม่ (New/Start-up) ที่ใช้นวัตกรรมในการดำเนินธุรกิจให้มากขึ้น การให้ความช่วยเหลือ SMEs ที่มีแนวโน้มเติบโตเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม ๔.๐ ในการหาตลาดส่งออก การกระจายวงเงินสินเชื่อของโครงการฯ แก่ผู้ประกอบการ SMEs ที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่ออย่างทั่วถึง และคัดกรองผู้ประกอบการ SMEs ที่เข้าร่วมโครงการฯ ให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ รวมทั้งการสื่อสารกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเกี่ยวกับการกำหนดอัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ ๓ ต่อปี ในช่วง ๓ ปีแรก โดยจะปรับเป็นอัตราดอกเบี้ยในปีที่ ๔-๗ และความเห็นเพิ่มเติมของเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ขอปรับแก้ไขหนังสือสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ด่วนที่สุด ที่ นร ๑๑๑๓/๑๕๑๒ ลงวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ ในข้อ ๓ จากเดิม “.... เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs ได้รับความช่วยเหลืออย่างทั่วถึง จึงเห็นควรกำหนดให้ผู้เข้าร่วมโครงการสินเชื่อ SMEs Transformation Loan จะต้องไม่เป็นผู้ได้รับสินเชื่อในโครงการ Policy Loan มาก่อน” เป็น “.... เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs ได้รับความช่วยเหลืออย่างทั่วถึง จึงเห็นควรให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย) พิจารณาการปล่อยสินเชื่อให้แก่ผู้เข้าร่วมโครงการสินเชื่อ SMEs Transformation Loan ที่ไม่เคยเข้าร่วมโครงการ Policy Loan เป็นลำดับแรกก่อน” ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังพิจารณาความเป็นไปได้ในการให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจอื่น ๆ ที่มีศักยภาพในการปล่อยสินเชื่อ เช่น ธนาคารออมสิน หรือธนาคารกรุงไทย เป็นต้น เข้าร่วมดำเนินโครงการฯ ด้วย ๔. ให้กระทรวงการคลัง โดย ธพว. และ บสย. ดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการ SMEs กลุ่มเป้าหมายทราบถึงรายละเอียดโครงการอย่างถูกต้องทั่วถึง เพื่อเป็นการส่งเสริมให้กลุ่มเป้าหมายเข้ามาร่วมโครงการต่อไป รวมทั้งให้ ธพว. และ บสย. ดำเนินการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs เพื่อให้การดำเนินธุรกิจประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ เช่น จัดฝึกอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจ และให้คำแนะนำในการวางแผนธุรกิจแก่ผู้ประกอบการ SMEs เป็นต้น ๕. ให้กระทรวงการคลังนำเสนอโครงการสินเชื่อ SMEs Transformation Loan ต่อคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศเพื่อบรรจุไว้เป็นโครงการสำคัญของรัฐบาลที่ต้องติดตามเร่งรัดต่อไป รวมทั้งให้กระทรวงการคลังประเมินผลสัมฤทธิ์ที่ได้จากการดำเนินการโครงการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ในภาพรวมเสนอต่อคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1253 | การลงทุนจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสระแก้ว | อก | 21/03/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการลงทุนจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสระแก้ว ซึ่งจะจัดตั้งขึ้นในพื้นที่ตำบลป่าไร่ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว บนที่ดินราชพัสดุ จำนวน ๖๖๐-๒-๒๓ ไร่ ที่ได้ทำสัญญาเช่าที่ดินกับกรมธนารักษ์เป็นเวลา ๕๐ ปี เงินลงทุนโครงการรวม ๑,๖๖๐.๒๖ ล้านบาท แบ่งเป็นงบประมาณแผ่นดิน (งบอุดหนุน) จำนวน ๗๐๐.๐๐ ล้านบาท ซึ่งสำนักงบประมาณได้จัดสรรให้แล้ว และงบประมาณของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) จำนวน ๙๖๐.๒๖ ล้านบาท ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดย กนอ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ เช่น กนอ. ควรมีการวางแผนบริหารจัดการด้านสาธารณูปโภค สาธารณูปการ และสิ่งแวดล้อมของโครงการให้มีความพร้อมสามารถรองรับปัญหาและความต้องการได้อย่างเพียงพอและมีเสถียรภาพ ควบคู่กับการเร่งรัดให้เกิดการลงทุนอย่างรวดเร็ว โดยมีแผนการตลาดและกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ชัดเจน รวมทั้งควรมีกระบวนการอนุมัติอนุญาตแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จที่สะดวกและมีประสิทธิภาพ และควรพิจารณากำหนดอัตราค่าเช่าให้ใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในการดึงดูดนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินโครงการ/มาตรการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และสนับสนุนส่งเสริมการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสระแก้วให้แล้วเสร็จโดยเร็วต่อไป เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและสาธารณูปโภค การเชิญชวนนักลงทุนให้เข้ามาประกอบกิจการในพื้นที่ เป็นต้น ทั้งนี้ ให้กำหนดระยะเวลาดำเนินการ รวมทั้งตัวชี้วัดความสำเร็จที่ชัดเจนด้วย ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดย กนอ. ร่วมกับคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ คณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการและกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมายของเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสระแก้วและระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกให้มีความสอดคล้องเชื่อมโยงและส่งเสริมกันด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1254 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาโครงการกิ่วคอหมา จังหวัดลำปาง และขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการก่อสร้างภายใต้โครงการกิ่วคอหมา จังหวัดลำปาง | กษ | 21/03/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ขยายระยะเวลาโครงการกิ่วคอหมา จังหวัดลำปาง จากเดิม ๑๑ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘-๒๕๕๘) เป็น ๑๔ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘-๒๕๖๑) ภายใต้กรอบวงเงินโครงการเดิม ๓,๖๗๐,๕๐๐,๐๐๐ บาท ๑.๒ ให้เพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการก่อสร้างระบบชลประทานแจ้ห่ม ระยะที่ ๒ จากวงเงินตามสัญญา ๑๖๒,๔๘๑,๙๘๕.๓๘ บาท เป็นวงเงิน ๑๗๖,๕๖๘,๐๗๒.๘๖ บาท (วงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้เดิม ๑๗๕,๒๐๐,๐๐๐ บาท เพิ่มขึ้น ๑,๓๖๘,๐๗๒.๘๖ บาท) และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณจากเดิม ๔ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๘) เป็น ๖ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๖๐) ๒. สำหรับวงเงินที่เพิ่มขึ้นให้กรมชลประทานพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินรายการก่อสร้างระบบชลประทานแจ้ห่ม ระยะที่ ๒ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดติดตามการดำเนินโครงการกิ่วคอหมา จังหวัดลำปาง ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เป็นไปตามกรอบเวลาและวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้อย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1255 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาโครงการพัฒนาลุ่มน้ำตาปี - พุมดวง จังหวัดสุราษฎร์ธานี | กษ | 21/03/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ขยายระยะเวลาโครงการพัฒนาลุ่มน้ำตาปี-พุมดวง จังหวัดสุราษฎร์ธานี จากเดิม ๘ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๙) เป็น ๑๓ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๖๔) ภายใต้กรอบวงเงินโครงการเดิม ๓,๓๓๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) เร่งรัดดำเนินโครงการฯ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินการดูแลผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการฯ อย่างเคร่งครัด เช่น การปนเปื้อนของสารเคมีทางการเกษตรลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ ผลกระทบการใช้น้ำช่วงฤดูแล้ง การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน และความสามารถในการผลักดันน้ำเค็ม เป็นต้น ควรเร่งดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้างให้ถูกต้องครบถ้วน และควรสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ ให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับอย่างเหมาะสมและทันต่อสถานการณ์ในการขอขยายระยะเวลาในครั้งนี้ รวมทั้งให้ความสำคัญกับการศึกษาความเหมาะสมและออกแบบโครงการและการวางแผนด้านกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนตั้งแต่ก่อนเริ่มดำเนินโครงการฯ เพื่อไม่ให้การดำเนินโครงการต่อไปในอนาคตต้องล่าช้าและส่งผลให้การใช้งบประมาณที่จะเกิดกับราษฎรในพื้นที่อาจไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด ตลอดจนจัดทำแผนและรายละเอียดแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเพิ่มเติม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1256 | ขออนุมัติดำเนินโครงการและงบประมาณเพื่อป้องกันกำจัดศัตรูมะพร้าว (หนอนหัวดำ) ด้วยวิธีผสมผสาน แบบครอบคลุมพื้นที่ โดยการมีส่วนร่วม อย่างยั่งยืน | กษ | 21/03/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการดำเนินโครงการป้องกันกำจัดศัตรูมะพร้าว (หนอนหัวดำ) ด้วยวิธีผสมผสานแบบครอบคลุมพื้นที่ โดยการมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืน ในพื้นที่ ๗๘,๙๕๔ ไร่ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สำหรับงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ จำนวน ๒๘๗,๗๓๔,๗๔๒ บาท ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยให้จัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่าย แผนการปฏิบัติงาน และแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมอีกครั้งหนึ่ง สำหรับกิจกรรมในการประชาสัมพันธ์โครงการฯ การสร้างความเข้าใจและชี้แจงโครงการฯ ให้กับเจ้าหน้าที่ การติดตามสถานการณ์ศัตรูมะพร้าว และการติดตามประเมินผล วงเงินรวม ๑๒,๙๙๒,๕๐๘ บาท ให้กรมส่งเสริมการเกษตรปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ในโอกาสแรกก่อน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมส่งเสริมการเกษตร) เร่งรัดการดำเนินการให้แล้วเสร็จและเกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง โปร่งใส เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรนำบทเรียนและประสบการณ์การดำเนินโครงการฯ ในระยะแรก และผลการประเมินโครงการฯ ที่ผ่านมา มาประยุกต์ใช้ในการดำเนินโครงการฯ ที่เสนอในครั้งนี้ และให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานและเกษตรกรที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการ มีการกำกับและควบคุมการใช้สารเคมีให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ และปฏิบัติตามเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่สอดคล้องกับมาตรฐานสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชอย่างเคร่งครัดและรอบคอบ และข้อสังเกตของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาความเหมาะสมในการจัดหาสารเคมี ควรเป็นไปอย่างโปร่งใส รอบคอบ เกิดการแข่งขันในด้านราคาตามกลไกตลาด และพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายในกิจกรรมสนับสนุนปัจจัยการผลิตและปล่อยแตนเบียน กิจกรรมฉีดสารเคมีเข้าต้น และกิจกรรมพ่นสารเคมีทางใบอีกครั้ง รวมทั้งกำหนดแนวทางในการดำเนินการเพื่อให้สามารถใช้วิธีป้องกันและกำจัดศัตรูมะพร้าวแบบผสมผสานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการกำหนดมาตรการในการควบคุมดูแลสำหรับพื้นที่ที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการฯ อย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปดำเนินการเพิ่มเติมด้วย ดังนี้ ๓.๑ ดำเนินการประชาสัมพันธ์และแนะนำให้เกษตรกรใช้สารเคมีให้ถูกต้อง เหมาะสมในอัตราที่แนะนำ รวมทั้งตรวจสอบสารพิษตกค้างในผลมะพร้าวด้วย ๓.๒ กำหนดมาตรการตรวจสอบและกักกันต้นปาล์ม พืชไม้ดอกและไม้ประดับที่นำเข้ามาจากต่างประเทศซึ่งอาจเป็นพาหะของศัตรูมะพร้าว (หนอนหัวดำ) รวมทั้งประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้ามะพร้าวซึ่งไม่ได้ดำเนินการตามมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชอย่างเข้มงวด และตรวจสอบพื้นที่เพาะปลูกรกร้างในพื้นที่ซึ่งอาจเป็นแหล่งรวมตัวของหนอนหัวดำด้วย ๓.๓ ติดตามตรวจสอบพื้นที่ดำเนินโครงการให้ถูกต้อง ครอบคลุมพื้นที่ที่เกิดการระบาดของหนอนหัวดำทั้งหมดเพื่อให้สถานการณ์การระบาดหมดสิ้นไป โดยพิจารณานำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการดำเนินการด้วย เช่น การใช้ GPS กำหนดตำแหน่งพื้นที่ และการใช้เครื่องบินขนาดเล็ก (Drone) สำรวจพื้นที่ เป็นต้น ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1257 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาโครงการอ่างเก็บน้ำมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี | กษ | 14/03/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการขยายระยะเวลาโครงการอ่างเก็บน้ำมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี จากเดิมระยะเวลาโครงการ ๖ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๖๐) เป็น ๗ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๖๑) โดยยังคงใช้งบประมาณภายใต้กรอบวงเงินเดิม ๓,๗๔๕ ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงบประมาณที่เห็นควรมีการวางแผนการใช้น้ำและการบริหารจัดการน้ำอย่างเหมาะสมในพื้นที่โครงการดังกล่าว และให้มีการจัดสรรน้ำเพิ่มให้กับการอุปโภค บริโภค ตามลำน้ำสาขาของลุ่มน้ำป่าสักและแม่น้ำป่าสักสายหลักในช่วงที่ขาดแคลนน้ำได้ รวมทั้งให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการทั้งก่อนและหลังเข้ามามีส่วนร่วม และควรมีแนวทางหรือมาตรการในการบรรเทาและลดผลกระทบอย่างเหมาะสม เป็นธรรมกับทุกฝ่าย ทั้งนี้ เมื่อดำเนินโครงการแล้วเสร็จควรจัดตั้งกลุ่มผู้ใช้น้ำเพื่อบริหารจัดการระบบกระจายน้ำให้เกิดประสิทธิภาพ สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานได้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายไว้แล้ว จึงเห็นควรให้กรมชลประทานเร่งดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จตามระยะเวลาที่ขอขยายในครั้งนี้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการสำรวจแหล่งน้ำที่มีอยู่ในปัจจุบัน และซ่อมแซมระบบส่งน้ำที่เสียหายให้สามารถใช้งานได้ตามปกติโดยเร็ว รวมทั้งให้ตรวจสอบการเชื่อมต่อของระบบส่งน้ำให้เหมาะสมและใช้งานได้อย่างเต็มศักยภาพด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1258 | โครงการระบบดาวเทียมสำรวจเพื่อการพัฒนา (THEOS-2) | วท | 14/03/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการดำเนินโครงการระบบดาวเทียมสำรวจเพื่อการพัฒนา (THEOS-2) วงเงิน ๗,๘๐๐ ล้านบาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและอากรศุลกากร) ระยะเวลาดำเนินการ ๕ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐-พ.ศ. ๒๕๖๔) โดยมอบหมายให้สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (สทอภ.) รับผิดชอบโครงการ THEOS-2 ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ส่วนรายละเอียดค่าใช้จ่ายของโครงการ THEOS-2 ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้ สทอภ. ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ และเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๑,๐๕๙ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดหาระบบดาวเทียมสำรวจพร้อมระบบภาคพื้นดินและระบบแอปพลิเคชันภูมิสารสนเทศ และการก่อสร้างอาคารประกอบและทดสอบดาวเทียม สำหรับการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน ICT และงบดำเนินงานบริหารโครงการ เห็นควรให้ สทอภ. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดย สทอภ. ดำเนินการตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๙ เช่น จัดทำแผนเกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยงของโครงการการส่งเสริมงานวิจัยและพัฒนาและการสร้างรายได้ เป็นต้น และให้รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เช่น ให้จัดทำข้อเสนอเกี่ยวกับการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน ICT ให้คณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐพิจารณาให้ความเห็นชอบ เนื่องจากเป็นกรณีการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมูลค่าเกินกว่า ๑๐๐ ล้านบาท และควรขยายขอบข่ายการพัฒนาเทคโนโลยีให้ครอบคลุมในด้านอื่น ๆ ด้วย เช่น ด้านระบบนำทางผ่านระบบสัญญาณเซ็นเซอร์ GPS และด้านสาธารณสุข เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบการลงทุนของโครงการ THEOS-2 จากเดิมที่เป็นการลงทุนของรัฐเพื่อการพัฒนาระบบสำรวจโลกของประเทศผ่านการถ่ายทอดเทคโนโลยีขั้นสูงจากประเทศเจ้าของเทคโนโลยีแบบรัฐต่อรัฐ (Government to Government : G to G) เป็นการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๕๓ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดย สทอภ. ตรวจสอบระเบียบสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๕๓ และที่แก้ไขเพิ่มเติมด้วยว่าจะต้องดำเนินการประการใดหรือไม่เพื่อให้สอดคล้องและเป็นไปตามกฎหมาย/ระเบียบที่เกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน เช่น พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นต้น และให้ สทอภ. ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๔. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเร่งรัดติดตามการดำเนินโครงการ THEOS-2 ให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ต่อไป รวมทั้งติดตามการดำเนินการเพื่อให้บุคลากรของไทยได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาดาวเทียมในการปฏิบัติงานจริงทุกขั้นตอน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาดาวเทียมเป็นของตนเองและพัฒนาบุคลากรในสาขานี้อย่างครบวงจรด้วย ๕. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประสานงานกับส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ รวมทั้งจัดฝึกอบรมในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถนำเทคโนโลยีและข้อมูลต่าง ๆ จากโครงการ THEOS-2 มาใช้ประโยชน์ร่วมกันและเกิดความคุ้มค่าแก่ทางราชการในภาพรวมให้มากที่สุด รวมทั้งให้พิจารณาจัดทำแผนการสร้างรายได้และกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อจำหน่ายภาพถ่ายดาวเทียมให้แก่ประเทศต่าง ๆ ที่ดาวเทียม THEOS-2 โคจรผ่านเพื่อให้มีรายได้กลับมาชดเชยการลงทุนของโครงการ THEOS-2 ได้อย่างต่อเนื่อง |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1259 | การรายงานผลการดำเนินโครงการ "มั่นใจทั่วไทย รถใช้ GPS" และการกำหนด มาตรการเพิ่มเติม | คค | 14/03/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินโครงการ “มั่นใจทั่วไทย รถใช้ GPS” และการกำหนดมาตรการเพิ่มเติมเพื่อควบคุมความปลอดภัยการขับขี่รถโดยสารสาธารณะ ซึ่งกรมการขนส่งทางบกได้ออกประกาศเมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๘ กำหนดให้รถที่จดทะเบียนตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ ต้องติดตั้งระบบ GPS เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๕๙ และได้ออกประกาศเพิ่มเติมเมื่อวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๖๐ เร่งรัดให้รถตู้โดยสารประจำทางหมวด ๒ ซึ่งเป็นรถโดยสารที่วิ่งประจำอยู่ในเส้นทางที่มีจุดเริ่มต้นจากสถานีขนส่งในกรุงเทพมหานครและไปสุดเส้นทางในจังหวัดต่าง ๆ ในส่วนภูมิภาค ต้องติดตั้ง GPS ให้แล้วเสร็จภายใน ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๐ ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนรถที่เชื่อมต่อข้อมูลกับศูนย์ GPS รวมทั้งสิ้น ๑๓๖,๔๖๐ คัน และมีรถตู้โดยสารประจำทางที่เชื่อมต่อข้อมูลกับศูนย์ GPS จำนวนรวม ๒,๔๔๒ คัน รวมทั้งจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการเดินรถระบบ GPS ในส่วนภูมิภาค มีหน้าที่ติดตามการเดินรถให้มีความปลอดภัยตลอด ๒๔ ชั่วโมง และได้จัดทำแอปพลิเคชัน DLT-GPS ซึ่งประชาชนสามารถแจ้งเรื่องร้องเรียนมายังกรมการขนส่งทางบกได้โดยตรงทันที นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมได้ดำเนินการเกี่ยวกับมาตรการในการสร้างความปลอดภัยเพิ่มเติม แบ่งออกเป็น ๓ ระยะ คือ มาตรการระยะสั้น มาตรการระยะกลาง และมาตรการระยะยาว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1260 | ขอความเห็นชอบยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2537 เรื่อง พื้นที่ที่ควรกำหนดให้ระบบขนส่งมวลชน (รถไฟฟ้า) เป็นระบบใต้ดินโครงการระบบขนส่งมวลชนขนาดรองสายสีทอง (สถานีรถไฟฟ้ากรุงธนบุรี - สำนักงานเขตคลองสาน - ประชาธิปก) | มท | 07/03/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๓๗ [เรื่อง พื้นที่ที่ควรกำหนดให้ระบบขนส่งมวลชน (รถไฟฟ้า) เป็นระบบใต้ดิน] ในการดำเนินโครงการระบบขนส่งมวลชนขนาดรองสายสีทอง (สถานีรถไฟฟ้ากรุงธนบุรี-สำนักงานเขตคลองสาน-ประชาธิปก) เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ บรรลุวัตถุประสงค์ในการรองรับการเดินทางในบริเวณพื้นที่ฝั่งธนบุรี แก้ไขปัญหาการจราจร ประชาชนเดินทางสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ให้ กทม. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐที่เห็นควรให้ กทม. ดำเนินการตามความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๙ [เรื่อง ขอความเห็นชอบดำเนินการโครงการระบบขนส่งมวลชนขนาดรองสายสีทอง (สถานีรถไฟฟ้ากรุงธนบุรี-สำนักงานเขตคลองสาน-ประชาธิปก)] ให้ครบถ้วน และสำหรับการจัดหาแหล่งเงินทุนของโครงการฯ ให้ดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด รวมทั้งควรกำกับดูแลให้โครงสร้างของโครงการฯ มีผลกระทบต่อทัศนียภาพของเมืองให้น้อยที่สุด โดยจะต้องไม่กระทบหรือกีดขวางการเข้าถึงของบริการสาธารณะอื่น ๆ เช่น รถดับเพลิง และระบบสาธารณูปโภค เป็นต้น และประสานงานกับการรถไฟแห่งประเทศไทยและการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยอย่างใกล้ชิดเพื่อให้การเชื่อมต่อกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง (ช่วงหัวลำโพง-มหาชัย) และโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ มีความสมบูรณ์และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน รวมถึงให้เร่งรัดจัดทำรายงานฉบับสมบูรณ์ที่ได้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขรายละเอียดข้อมูลตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานทางบกและอากาศ เพื่อเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณา นอกจากนี้ เห็นควรให้ กทม. พิจารณาทบทวนความเหมาะสมของการแบ่งระยะการพัฒนาออกเป็นช่วง ๆ ของโครงการฯ โดยเร่งแผนการก่อสร้างและเปิดให้บริการโครงการฯ ให้สามารถเชื่อมโยงกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ โดยเร็ว และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรเร่งพิจารณาศึกษาโครงสร้างอัตราค่าโดยสารของระบบขนส่งมวลชนทางรางทั้งขนาดใหญ่และขนาดรองที่เหมาะสมทั้งระบบ เพื่อให้สามารถใช้โครงสร้างอัตราค่าโดยสารร่วมกันได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลการดำเนินโครงการของกรุงเทพมหานครให้เป็นไปตามแผนการลงทุนที่กำหนดไว้ รวมทั้งให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย |
.....