ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 65 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 1281 - 1300 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1281 | แผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน ปี 2551 - 2556 (ฉบับปรับปรุง) ของการไฟฟ้านครหลวง | มท | 31/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ดำเนินการตามแผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน ปี ๒๕๕๑-๒๕๕๖ (ฉบับปรับปรุง) วงเงินลงทุนรวม ๙,๐๘๘.๘ ล้านบาท โดยใช้เงินกู้ในประเทศ จำนวน ๕,๔๐๐.๐ ล้านบาท และเงินรายได้ของ กฟน. จำนวน ๓,๖๘๘.๘ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ กฟน. เร่งรัดการดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามแผนงานและกรอบระยะเวลาที่กำหนดอย่างเคร่งครัด โดยไม่ให้มีการขยายระยะเวลาและเพิ่มวงเงินลงทุนอีก รวมทั้งให้รายงานผลการดำเนินการตามแผนงานดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ ด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟน. ดำเนินการให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน รวมทั้งรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาความล่าช้าของแผนงานและกำหนดแผนงานให้สอดคล้องกับความสามารถในการดำเนินงาน การกำกับดูแลและควบคุมต้นทุนการดำเนินงานอย่างใกล้ชิดและประหยัดมากที่สุด การประมาณการความต้องการใช้ไฟฟ้าและการให้บริการไฟฟ้าในอนาคตเป็นหลัก การกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าให้เหมาะสมกับการลงทุนและคุณภาพการให้บริการ การปรับปรุงโครงสร้างองค์กรให้สอดคล้องกับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้น การจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินงานตามแผนงาน การประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อลดการลงทุนที่ซ้ำซ้อนระหว่างหน่วยงานและเพื่อให้โครงการสามารถดำเนินงานได้ตามแผนงานที่ตั้งเป้าหมายไว้ และการจัดทำการประเมินผลความคุ้มค่าการลงทุนตามแผนงานในด้านประสิทธิภาพของระบบไฟฟ้า ความมั่นคงและความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า คุณภาพการบริการ รวมถึงผลกระทบค่าไฟฟ้าในอนาคต ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไป ๒. ให้ กฟน. ควบคุมต้นทุนการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนงานเพื่อการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพและลดผลกระทบต่ออัตราค่าไฟโดยรวม และให้จัดทำแผนบริหารความเสี่ยงรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินงานตามแผนงานด้วย ๓. ให้ กฟน. บูรณาการการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรุงเทพมหานคร การประปานครหลวง บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เพื่อให้สามารถดำเนินการตามแผนงานดังกล่าวให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ได้อย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ลดความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติงาน รวมทั้งลดผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และประชาชนผู้ใช้บริการที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลการดำเนินการของ กฟน. ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๔. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้ความสำคัญกับการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานของรัฐวิสาหกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินการโครงการลงทุนให้เป็นไปตามแผนงานอย่างเคร่งครัดและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ โดยให้ความสำคัญกับการเพิ่มสัดส่วนของน้ำหนักตัวชี้วัดในระบบการประเมินคุณภาพรัฐวิสาหกิจ (State Enterprise Performance Appraisal : SEPA) ในการวัดผลการดำเนินโครงการลงทุนตามแผนงานและระยะเวลาที่กำหนดด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1282 | รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง | พม | 31/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ มีประเด็นสำคัญ ดังนี้
๑. โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดงเป็นการสร้างที่อยู่อาศัยใหม่เพื่อรองรับผู้อยู่อาศัยเดิมและผู้อยู่อาศัยกลุ่มใหม่ จำนวน ๒๐,๒๙๒ หน่วย ซึ่งหากดำเนินการแล้วเสร็จจะสามารถพัฒนาที่อยู่อาศัยรองรับผู้อยู่อาศัยเดิมได้จำนวน ๒,๕๔๖ หน่วย และรองรับผู้อยู่อาศัยใหม่ได้จำนวน ๑๓,๗๔๖ หน่วย แบ่งการก่อสร้างเป็น ๔ ระยะ ใช้ระยะเวลาพัฒนา ๘ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๗) ๒. การก่อสร้างโครงการฯ ระยะที่ ๑ เป็นการพัฒนาโครงการอาคารพักอาศัย แปลง G ซึ่งเป็นอาคารพักอาศัยสูง ๒๘ ชั้น จำนวน ๑ อาคาร จำนวน ๓๓๔ หน่วย ขนาดห้องพักอาศัยประมาณ ๓๓ ตารางเมตร ที่จอดรถ ๑๕๕ คัน และส่วนบริการชุมชน วงเงินลงทุนรวม ๔๖๐.๕๓ ล้านบาท โดยคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติได้มีมติเห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) แปลง G ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๙ แล้ว และการเคหะแห่งชาติได้ดำเนินการประกาศประกวดราคาจ้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยเมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ คณะกรรมการการเคหะแห่งชาติได้มีมติอนุญาตให้ดำเนินการจ้างเหมาบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ก่อสร้างอาคารพักอาศัย แปลง G เป็นเงิน ๓๒๔,๑๑๖,๐๐๐ บาท ซึ่งบริษัทฯ ได้เสนอปรับลดราคาเป็น ๓๒๔,๑๐๐,๐๐๐ บาท โดยได้จัดทำพิธีลงนามสัญญาจ้างเหมาในวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ และจัดพิธีวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๙ มีกำหนดระยะเวลาการก่อสร้างตามสัญญา ๕๔๐ วัน การก่อสร้างจะแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๖๑ และพร้อมที่จะดำเนินการเคลื่อนย้ายผู้มีสิทธิพักอาศัยเข้าอยู่อาคารใหม่ได้ทันที สำหรับการดำเนินโครงการฯ ต่อเนื่องในระยะที่ ๒-๔ เพื่อรองรับผู้อยู่อาศัย จำนวน ๑๙,๙๕๘ ครัวเรือน คาดว่าจะเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาได้ภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๖๐
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1283 | บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาว่าด้วยโครงการพัฒนาแผนกฉุกเฉินโรงพยาบาลทวาย | กต | 31/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาว่าด้วยโครงการพัฒนาแผนกฉุกเฉินโรงพยาบาลทวาย (Memorandum of Understanding between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the Republic of the Union of Myanmar Regarding the Development of Emergency Department at Dewei General Hospital) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดกรอบความร่วมมือและความรับผิดชอบในการดำเนินโครงการร่วมกันระหว่างรัฐบาลทั้งสองฝ่ายเพื่อพัฒนาแผนกฉุกเฉินโรงพยาบาลทวายให้มีศักยภาพเพิ่มขึ้นในการช่วยเหลือผู้ป่วยและรองรับการขยายตัวของเมืองทวายเมื่อเขตเศรษฐกิจพิเศษจัดตั้งขึ้นแล้วภายใต้ ๓ แผนงาน ได้แก่ (๑) การก่อสร้างอาคารผู้ป่วยฉุกเฉินและอาคารที่เกี่ยวข้องอื่น (๒) การจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้แก่โรงพยาบาลทวาย และ (๓) การจัดหลักสูตรฝึกอบรมระยะสั้นและการศึกษาดูงานให้แก่บุคลากรของโรงพยาบาลทวายและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่เกี่ยวข้อง ๒. อนุมัติให้อธิบดีกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม ๓. สำหรับงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เห็นควรให้กระทรวงการต่างประเทศใช้จ่ายจากงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบเงินอุดหนุน รายการเงินอุดหนุนแผนงานพัฒนาชุมชนในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย ซึ่งได้รับการจัดสรรงบประมาณไว้แล้ว จำนวน ๑๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ ในปีต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๔. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1284 | โครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคใต้ตอนล่างเพื่อเสริมความมั่นคงของระบบไฟฟ้า | พน | 24/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการโครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคใต้ตอนล่างเพื่อเสริมความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ในวงเงินลงทุนรวม ๓๕,๔๐๐ ล้านบาท โดยให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินโครงการในระยะที่ ๑ ก่อน และเมื่อโครงการโรงไฟฟ้าหลักในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๗๙ (PDP 2015) ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว จึงจะดำเนินโครงการในระยะที่ ๒ ได้ ตามความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๒. ให้กระทรวงพลังงาน กฟผ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และสำนักงบประมาณ อาทิ เห็นควรให้ กฟผ. ใช้เงินรายได้ (Internal Cash Flow) เป็นลำดับแรกก่อนใช้เงินกู้ และบริหารจัดการการเงินและการลงทุนให้สอดรับกับแนวโน้มของอัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงินขององค์กรในระยะยาวเพื่อตอบสนองการลงทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และหากจำเป็นต้องกู้เงินเพื่อดำเนินโครงการฯ เห็นควรให้กู้เงินภายในประเทศ โดยกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกันเงินกู้ดังกล่าว เนื่องจากเป็นโครงการที่มีความคุ้มค่าเชิงพาณิชย์ และเห็นควรให้ กฟผ. ตรวจสอบข้อมูลพื้นที่โครงการฯ และพิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งเร่งสร้างความเข้าใจกับประชาชนและชุมชนในพื้นที่เพื่อให้ได้ข้อยุติในการพัฒนาโรงไฟฟ้าหลักในพื้นที่ภาคใต้โดยเร็ว และเร่งทบทวนปัจจัยที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ที่ประสบปัญหาการพัฒนาโรงไฟฟ้าเพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินงานในอนาคตที่ชัดเจน นอกจากนี้ ควรมีการกำกับดูแลให้มีการดำเนินโครงการฯ ตามขั้นตอนของกฎหมาย การวางแผนการพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าให้สอดคล้องกับแผน PDP 2015 และนโยบายการพัฒนาด้านพลังงานในภาพรวม ตลอดจนควรมีแผนบริหารความเสี่ยงเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนในอนาคต ควรพิจารณาเรื่องคุณภาพและมาตรฐานของอุปกรณ์ตามมาตรฐานสากล รวมทั้งผู้เสนอราคา อัตราแลกเปลี่ยน ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ประกอบการจัดซื้อ และควรกำกับดูแลให้แผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายเงินเป็นไปตามที่ได้รับอนุมัติอย่างเคร่งครัดและเร่งรัดให้มีการเบิกจ่ายงบลงทุน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. อนุมัติการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนประจำปี ๒๕๕๙ สำหรับโครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคใต้ตอนล่างเพื่อเสริมความมั่นคงของระบบไฟฟ้ารวม เป็นเงินทั้งสิ้น ๑๑.๙ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1285 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย - จีน ครั้งที่ 16 ภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟในกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. 2558 - 2565 | คค | 24/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีน ครั้งที่ ๑๖ (The 16th Meeting of the Joint Committee on Railway Cooperation between Thailand and China) เมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน-๒ ธันวาคม ๒๕๕๙ ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีนายหวัง เสี่ยวเทา รองผู้อำนวยการคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีน และนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นประธานร่วมการประชุมฯ ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกันเกี่ยวกับ “ร่างบันทึกความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยการกระชับความร่วมมือในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟ ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕” (MOC) เพื่อยืนยันความพยายามที่จะพัฒนาโครงการรถไฟระยะที่ ๒ (นครราชสีมา-หนองคาย) และได้หารือในรายละเอียดของร่างสัญญา ๒.๑ (การออกแบบรายละเอียด) และร่างสัญญา ๒.๒ (ที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง) ซึ่งคณะทำงานทั้งสองฝ่ายจะเร่งดำเนินการเพื่อให้ได้ข้อสรุปในทุกประเด็นของร่างสัญญาก่อนการประชุมฯ ครั้งที่ ๑๗ รวมทั้งเห็นชอบการปรับปรุงแผนงานโครงสร้างพื้นฐานด้านโยธาและแผนงานความร่วมมือด้านการเงินให้สอดคล้องกับความเป็นจริงของการดำเนินโครงการที่คาดว่าจะสามารถเริ่มก่อสร้างโครงการรถไฟระยะที่ ๑ (กรุงเทพฯ-นครราชสีมา) ได้ภายในปี ๒๕๖๐ นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบในหลักการให้จัดการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีน ครั้งที่ ๑๗ ในวันที่ ๑๖-๑๘ มกราคม ๒๕๖๐ ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้โครงการรถไฟระยะที่ ๑ (กรุงเทพฯ-นครราชสีมา) สามารถเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ภายในเดือนมีนาคม ๒๕๖๐
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1286 | ขอความเห็นชอบ (ร่าง) แผนแม่บทโครงการ "รักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน" ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) | กษ | 24/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบ (ร่าง) แผนแม่บทโครงการ “รักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน” ระยะที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) โดยมีกรอบแนวคิดหลักการพัฒนา ประกอบด้วย การดำเนินงานสนองพระราชดำริสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ มุ่งพัฒนาคนและพื้นที่ไปพร้อมกันโดยยึดพื้นที่ลุ่มน้ำเป็นหลักดำเนินการพัฒนาภายใต้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และให้ความสำคัญกับการพัฒนาคนในพื้นที่ลุ่มน้ำ โดยมีพื้นที่เป้าหมายดำเนินงานใน ๗ จังหวัด ๑๑ ลุ่มน้ำ ได้แก่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ๔ ลุ่มน้ำ จังหวัดเชียงใหม่ ๒ ลุ่มน้ำ จังหวัดเชียงราย จังหวัดน่าน จังหวัดอุตรดิตถ์ จังหวัดพิษณุโลก และจังหวัดเลย จังหวัดละ ๑ ลุ่มน้ำ พื้นที่รวม ๒,๘๗๔.๓๗ ตารางกิโลเมตร หมู่บ้านเป้าหมายจำนวน ๑๒๙ หมู่บ้าน ๒๔,๕๓๔ ครัวเรือน งบประมาณดำเนินการ ๑,๑๙๙.๗๓๖ ล้านบาท ๑.๒ มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานโครงการฯ จัดทำแผนงาน/โครงการภายใต้กรอบแผนแม่บทโครงการฯ เพื่อขอสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่เห็นควรเพิ่มบทบาทภาคเอกชนที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านการตลาด เทคโนโลยีการผลิตและบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสม เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลผลิตของชุมชน และการดำเนินโครงการด้านการเกษตรในพื้นที่สูงโดยเฉพาะพื้นที่ต้นน้ำลำธารควรส่งเสริมการทำเกษตรอินทรีย์เป็นหลัก เพื่อลดการใช้สารเคมี รวมทั้งการดำเนินงานควรพิจารณาเรื่องความสอดคล้องกับพระราชดำริเป็นสำคัญ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. สำหรับงบประมาณในการดำเนินการตามแผนแม่บทโครงการฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับจัดสรรงบประมาณแล้ว จำนวน ๑๐๙,๒๖๖,๗๑๐ บาท ซึ่งหากมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณเพื่อดำเนินการเพิ่มเติม ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อดำเนินการในโอกาสแรกก่อน และหากไม่เพียงพอและมีความจำเป็นเร่งด่วน ก็ให้เสนอขอรับการสนับสนุนงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามขั้นตอนของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ส่วนค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป เห็นควรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1287 | ขออนุมัติจัดสรรเงินจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรโครงการฟื้นฟูช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยด้านการประมง | กษ | 24/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ จัดสรรเงินจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร ให้กรมประมงกู้ยืมเงิน จำนวน ๓๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท กำหนดชำระคืนภายใน ๒ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๒) เพื่อดำเนินโครงการฟื้นฟูช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยด้านการประมง ๑.๒ เงินจ่ายขาด สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานโครงการฯ จำนวน ๓,๔๘๒,๐๐๐ บาท ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้ความสำคัญกับการคัดเลือกเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ การติดตามและดูแลเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ให้ประสบความสำเร็จในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เพื่อให้เกษตรกรสามารถชำระคืนเงินยืมได้ในเวลาที่กำหนดด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งจัดเตรียมแผนการดำเนินงานในแต่ละขั้นตอนโดยละเอียด เช่น ช่องทางการประชาสัมพันธ์โครงการฯ หลักเกณฑ์การคัดเลือกเกษตรกรเข้าร่วมโครงการฯ หลักเกณฑ์การพิจารณากำหนดวงเงินกู้ยืม แผนการชำระคืนเงินกองทุนฯ กลไกในการส่งเสริมให้ความรู้ และการติดตามผลการดำเนินโครงการฯ เพื่อให้สามารถดำเนินการช่วยเหลือเกษตรกรได้ทันทีหลังน้ำลด รวมทั้งควรจัดเตรียมแผนการส่งเสริมประกอบอาชีพเกษตรอื่น ๆ เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับเกษตรกรที่ไม่สามารถฟื้นฟูอาชีพเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเดิมที่อาจเสียหายมาก และต้องการเปลี่ยนไปทำการเกษตรด้านอื่น ๆ หรือจำเป็นต้องทำการเกษตรด้านอื่น ๆ เพื่อหารายได้ไปฟื้นฟูการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1288 | การจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ของกลุ่มจังหวัด | นร12 | 17/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ของกลุ่มจังหวัด ตามมติคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.น.จ.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๐ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. ในฐานะฝ่ายเลขานุการ ก.น.จ. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรอบวงเงินคำขอโครงการตามแนวทางการสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศ สำหรับโครงการตามแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการที่มีความพร้อมดำเนินการได้ โดยให้เป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดและแผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เพิ่มเติม โดยมีวงเงินทั้งสิ้น ๑๑๐,๔๓๓,๖๖๘,๕๓๕ บาท แยกเป็น ๑.๑.๑ บัญชี ๑ วงเงิน ๘๒,๔๗๑,๒๒๑,๔๑๙ บาท ๑.๑.๒ บัญชี ๒ วงเงิน ๒๗,๙๖๒,๔๔๗,๑๑๖ บาท ๑.๒ วงเงินคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ของกลุ่มจังหวัดที่ยังไม่ได้รับจัดสรรในครั้งนี้อีกประมาณ ๙๑,๐๐๐ ล้านบาท ให้เสนอเป็นคำขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยให้กลุ่มจังหวัดจัดทำแผนระยะปานกลาง ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐, พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๔) รองรับไว้ด้วย ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่นของรัฐให้การสนับสนุนกลุ่มจังหวัดและจังหวัดในการดำเนินโครงการตามแนวทางการสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศ ทั้งด้านบุคลากร วิชาการ วัสดุอุปกรณ์ และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ๓. ให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติในการเบิกจ่ายงบประมาณของกลุ่มจังหวัด การบริหารจัดการทรัพย์สิน และการมอบอำนาจ เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความถูกต้อง ชัดเจน สะดวก รวดเร็ว และเป็นไปในแนวทางเดียวกัน ๔. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ในฐานะฝ่ายเลขานุการ ก.น.จ. ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1289 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา ครั้งที่ 2/2559 | นร11 | 10/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา ครั้งที่ ๒/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการของ (ร่าง) แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๔ ของกระทรวงศึกษาธิการ และให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาปรับปรุง (ร่าง) แผนฯ ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนต่อไป เช่น ควรเน้นการต่อยอดและการพัฒนาให้คนไทยมีทักษะความรู้และการทำงานที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่หรือเทคโนโลยีขั้นสูงทดแทนการใช้ชาวต่างชาติ รวมทั้งควรสนับสนุนการผลิตและพัฒนากำลังคน ๑.๒ เห็นชอบในหลักการกรอบอัตรากำลังพนักงานมหาวิทยาลัยเพิ่มเติมของสถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปีงบประมาณ ๒๕๖๐-๒๕๖๓ ของกระทรวงศึกษาธิการ และให้กระทรวงศึกษาธิการนำอัตรากำลังครูและบุคลากรทางการศึกษาในภาพรวมของประเทศที่มีอัตราครูขาด-เกิน-เกษียณอายุ มาประกอบการพิจารณาด้วย สำหรับกรอบอัตรากำลังพนักงานมหาวิทยาลัยที่เสนอขอเพิ่มเติม ให้กำหนดเงื่อนไขในการคัดเลือกบรรจุบุคลากรสายวิชาการในสาขาวิชาที่ขาดแคลนและสาขาที่สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ และกำหนดระยะเวลาการปฏิบัติงานในพื้นที่ ทั้งนี้ ให้เสนอคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนต่อไป ๑.๓ รับทราบความคืบหน้าการปฏิรูปการศึกษา ได้แก่ การแก้ปัญหาการทุจริตสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา การแก้ปัญหาหนี้ครู การยุบโรงเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียนไม่เกิน ๒๐ คน และการบูรณาการระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของกระทรวงศึกษาธิการ โดยที่ประชุมมีความเห็นว่า ควรให้ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมาสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนและการเรียนรู้ และควรให้ภาคเอกชนหรือต่างประเทศเข้ามาสนับสนุนการดำเนินโครงการใหม่ ๆ ๑.๔ มอบหมายให้กระทรวงแรงงานร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และกระทรวงศึกษาธิการจัดทำข้อมูลความต้องการกำลังคนในระยะ ๕ ปีให้ชัดเจน เพื่อใช้ในการวางแผนการผลิตกำลังคนและรองรับการปรับตัวของภาคการผลิตที่มีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลหรือหุ่นยนต์มาใช้มากขึ้น รวมถึงการพัฒนาหลักสูตรเฉพาะทางที่เป็นการพัฒนาคนทั้งระบบตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง มีทักษะความรู้พื้นฐานที่สามารถต่อยอดและบูรณาการความรู้และการทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการศึกษาแนวทางการพัฒนาการศึกษาของประเทศบรูไนด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1290 | แนวทางการดำเนินงานโครงการความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐ (CoST) | กค | 10/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อส่งเสริมความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐ (CoST Committee) ประกอบด้วยผู้แทนจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณากำหนดแนวทางปฏิบัติและระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการเปิดเผยข้อมูลและกลไกอื่นในการเสริมสร้างความโปร่งใสในการก่อสร้างของหน่วยงานของรัฐ ๑.๒ กรอบแนวทางการดำเนินงานโครงการความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐ (Construction Sector Transparency Initiative : CoST) ประกอบด้วยการพิจารณาคัดเลือกโครงการ การเปิดเผยข้อมูลโครงการ ช่องทางการเปิดเผยข้อมูล คณะทำงานตรวจสอบข้อมูล (Assurance Team) และการประเมินผล ๒. สำหรับงบประมาณดำเนินการ ให้กระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลางจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการพัฒนาความรู้ให้กับผู้ปฏิบัติงานของหน่วยงานที่ได้รับการคัดเลือกให้ดำเนินการโครงการความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐ (CoST) สู่การปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการกำหนดองค์ประกอบของคณะกรรมการเพื่อส่งเสริมความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐ (CoST Committee) ที่มาจากทุกภาคส่วนควรกำหนดให้เหมาะสมและไม่ขัดกับหลักความมีส่วนได้เสีย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้คณะกรรมการเพื่อส่งเสริมความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐ (CoST Committee) ดำเนินการ ๓.๑ พิจารณาดำเนินการตามแนวทางการดำเนินงานโครงการความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐ (CoST) ในลักษณะเชิงรุกเพื่อมุ่งเน้นการป้องกันการทุจริต เช่น การซักซ้อมความเข้าใจที่ถูกต้องแก่หน่วยงานผู้รับผิดชอบก่อนการดำเนินโครงการ เพื่อไม่ให้เกิดการร้องเรียนในภายหลังซึ่งอาจส่งผลให้โครงการเกิดความล่าช้าได้ ๓.๒ ประสานการดำเนินการกับคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักเกณฑ์การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการในปัจจุบันเพื่อให้มีความเข้าใจที่สอดคล้องตรงกันเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินงานตามโครงการความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐ (CoST) รวมทั้งเพื่อพัฒนามาตรฐานในการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐให้มีความเหมาะสม ๓.๓ ประสานการดำเนินการกับคณะกรรมการความร่วมมือป้องกันการทุจริต (Anti-Corruption Committee) เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับแนวทางการดำเนินงานโครงการความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐ (CoST) และระบบข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) ให้ประชาชนเข้าใจในรายละเอียดของการดำเนินการดังกล่าว ๓.๔ รายงานผลการดำเนินการให้คณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติทราบทุก ๆ ๓ เดือน เพื่อกำกับดูแลการดำเนินการในภาพรวมให้เป็นไปตามนโยบายการต่อต้านการทุจริตต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1291 | ค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง | กษ | 10/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติคณะกรรมการการยางแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๙ อนุมัติให้นำเงินกองทุนพัฒนายางพาราตามมาตรา ๔๙ (๓) จำนวน ๗๕๓.๑๐๒ ล้านบาท จ่ายคืนให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง และการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ได้จ่ายเงินให้ ธ.ก.ส. แล้ว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย กยท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและข้อสังเกตของสำนักงบประมาณที่เห็นควรพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้ ธ.ก.ส. ในส่วนที่เหลือต่อไป สำหรับสัดส่วนวงเงินที่ กยท. นำมาจ่ายคืนให้ ธ.ก.ส. ยังมีจำนวนไม่มากเมื่อเทียบกับกรอบวงเงินค่าใช้จ่ายของโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสาวยาง ดังนั้น หาก กยท. พิจารณาเห็นว่าสถานะเงินกองทุนพัฒนายางพารายังมีสภาพคล่องเพียงพอ ก็เห็นควรที่ กยท. จะเร่งรัดดำเนินการเพื่อนำมาจ่ายสมทบเพิ่มเติม ตามนัยของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๘ และแนวทางดำเนินการตามโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง) ในโอกาสแรก ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1292 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี พ.ศ. .... | มท | 10/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี ในท้องที่ตำบลบางคู้ ตำบลท่าวุ้ง และตำบลโพตลาดแก้ว อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นควรเพิ่มประเภทโรงงานในร่างกฎกระทรวงดังกล่าว เช่น โรงงานประเภท ๑๐๑ ปรับคุณภาพของเสียรวม โรงงานประเภท ๑๐๕ โรงงานคัดแยก ฝังกลบสิ่งปฏิกูล โรงงานประเภท ๑๐๖ โรงงานนำผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่ไม่ใช้แล้วหรือของเสียจากโรงงานมาผลิตเป็นวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ใหม่โดยผ่านกรรมวิธีการผลิตทางอุตสาหกรรม ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการควบคุมการวางผังเมือง ให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของร่างกฎกระทรวงดังกล่าว และเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมมากที่สุด โดยคำนึงถึงปริมาณน้ำต้นทุนและปริมาณการใช้น้ำในพื้นที่ รวมทั้งการใช้บังคับร่างกฎกระทรวงดังกล่าวต้องคำนึงถึงความสอดคล้องกับการดำเนินโครงการตามแผนพัฒนาด้านพลังงาน และให้กรมโยธาธิการและผังเมืองพิจารณาสนับสนุนให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นกำกับ ดูแล และอนุมัติการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเข้มงวด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1293 | โครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก (คปก.) ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2560 - 2579) | นร62 | 10/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการดำเนินโครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก (คปก.) ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) ให้กับผู้ที่ได้รับทุนในระยะแรก (พ.ศ. ๒๕๖๐) ในวงเงิน ๑,๐๗๕.๐๐ ล้านบาท และให้ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ๒. ให้สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยปรับปรุงแผนการดำเนินงานในระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๒) และระยะที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๗๙) ให้มีความสอดคล้องกับกรอบยุทธศาสตร์การวิจัยแห่งชาติ ๒๐ ปี และนำเสนอสภานโยบายวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติพิจารณา ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๓. ให้สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษาที่เห็นควรพิจารณากำหนดสัดส่วนการทำวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาในโครงการฯ ให้ตอบโจทย์ประเทศใน ๑๐ อุตสาหกรรม และในด้านต่าง ๆ เพิ่มขึ้น และพิจารณาสนับสนุนงบประมาณ/ค่าใช้จ่ายในการทำวิจัยของนักศึกษาในโครงการฯ อย่างเหมาะสมและสอดคล้องตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ในกรอบยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๗๗) รวมทั้งสนับสนุนการสร้างเครือข่ายการทำวิจัยร่วมกันของบัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาจากโครงการฯ เพื่อนำความรู้ในหลากหลายสาขามาแก้โจทย์ปัญหาของประเทศ และสร้างความสามารถในระยะยาวให้กับภาคการผลิตและบริการ โดยเฉพาะในสาขาที่เป็นความต้องการของประเทศ และในการดำเนินโครงการฯ ควรคำนึงถึงความต้องการที่แท้จริงและประโยชน์ที่ทางราชการจะได้รับเป็นสำคัญ นอกจากนี้ ควรนำผลการศึกษาทบทวนการจัดสรรทุนการศึกษาวิจัยในภาพรวมของประเทศมาประกอบการพิจารณาเพื่อให้โจทย์วิจัยในแต่ละระยะของโครงการฯ สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศและความต้องการของประเทศตามช่วงระยะเวลาของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมถึงยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศที่เกี่ยวข้อง และควรดำเนินการประเมินผลโครงการฯ ตามระยะเวลาของแผนปฏิบัติการก่อนการดำเนินการในระยะถัดไป โดยเฉพาะในระยะที่ ๓ ปีงบประมาณ ๒๕๖๓-๒๕๗๙ ซึ่งเป็นแผนการดำเนินการระยะยาว โดยอาจแบ่งรอบการประเมินเป็นรอบละ ๓ ปี เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศ ตลอดจนความต้องการของประเทศในแต่ละช่วงเวลาของการพัฒนาประเทศ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยควรร่วมกับสภานโยบายวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติผลักดันให้มีการสร้างเส้นทางความก้าวหน้าด้านอาชีพของนักวิจัยและกำหนดให้มีมาตรฐานวิชาชีพนักวิจัยเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมระบบวิจัยและนวัตกรรมของประเทศให้มีความเข้มแข็ง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1294 | โครงการปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาคสาขาขอนแก่น - น้ำพอง และการประปาส่วนภูมิภาคสาขาพัทยา - แหลมฉบัง - ศรีราชา ปี 2559 | มท | 10/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ดำเนินโครงการปรับปรุงขยาย กปภ. สาขาขอนแก่น-น้ำพอง และ กปภ. สาขาพัทยา-แหลมฉบัง-ศรีราชา วงเงินลงทุนรวม ๕,๖๒๑.๑๒๙ ล้านบาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยใช้เงินกู้ภายในประเทศเต็มวงเงินโครงการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบประปาและขยายเขตการให้บริการน้ำประปาให้สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างเพียงพอและทั่วถึงมากขึ้น ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจของพื้นที่ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กปภ. ขอบรรจุโครงการฯ ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปี ๒๕๖๐ ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงบประมาณ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ อาทิ การให้ กปภ. หารือแนวทางการระดมทุน (การกู้เงิน) กับสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะตามระเบียบและขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งประสานงาน ติดตาม และประเมินผลการดำเนินโครงการฯ เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายภายใต้กรอบวงเงินลงทุนที่กำหนด การศึกษารูปแบบและแนวทางการจัดหาแหล่งเงินทุนอื่น การใช้เงินรายได้ชำระคืนการกู้เงิน การควบคุมค่าใช้จ่ายในการผลิตและบริหารจัดการโครงการฯ การจัดทำและดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้นอย่างเคร่งครัด การจัดทำแผนการใช้น้ำตามข้อตกลงกับกรมชลประทาน การเร่งประสานการขอใช้ที่ดินจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เกิดความชัดเจน การศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีระบบการผลิตให้สามารถรองรับกับคุณภาพน้ำที่เสื่อมโทรมได้มากขึ้น หรือมีกระบวนการปรับปรุงคุณภาพน้ำดิบก่อนเข้าสู่ระบบ การศึกษาแนวทางให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุนในกิจการประปา นอกจากนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยประสานกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อบูรณาการบริหารจัดการแผนปฏิบัติการรองรับปริมาณน้ำเสียที่จะเกิดขึ้น การวางแผนและกำกับดูแลการดำเนินโครงการโดยเคร่งครัดเพื่อให้การลงทุนโครงการฯ เป็นไปตามแผนการกู้เงิน ตลอดจนมีการดำเนินงานโดยโปร่งใส มีประสิทธิภาพ และเพื่อให้ประชาชนได้รับบริการน้ำประปาที่มีคุณภาพอย่างครอบคลุม รวมทั้งให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบด้านน้ำอื่น ๆ ผลักดันให้มีการจัดตั้งหน่วยงานกำกับดูแล (Regulator) ในการพิจารณาการบริหารจัดการน้ำในภาพรวม และมีการจัดทำแผนยุทธศาสตร์บริหารจัดการน้ำให้ชัดเจน โดยมีการบูรณาการโครงการที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1295 | แนวทางการดำเนินการประชาสัมพันธ์งานของรัฐบาลโดยโฆษกกระทรวงตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี (6 ตุลาคม 2558) ประจำเดือนพฤศจิกายน 2559 | นร02 | 04/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการดำเนินการประชาสัมพันธ์งานของรัฐบาลโดยโฆษกกระทรวง ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี (๖ ตุลาคม ๒๕๕๘) ประจำเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๙ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ในฐานะประธานกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติเสนอ มีประเด็นสำคัญ ดังนี้
๑. เดือนที่ผ่านมา (พฤศจิกายน ๒๕๕๙) เช่น การจัดงาน “รวมพลังแห่งความภักดี” เพื่อแสดงความจงรักภักดี สถานการณ์เศรษฐกิจ การจัดทำแผนกระตุ้นการท่องเที่ยวจากต่างชาติเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ การน้อมนำ “ศาสตร์พระราชา” ไปสู่การปฏิบัติ เพื่อนำพาประเทศชาติและประชาชนให้มีความอยู่ดี กินดีอย่างแท้จริง การแก้ไขปัญหาราคาข้าวตกต่ำ การวางมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร การขับเคลื่อนดำเนินงานศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร การประกาศเตือนภัยและเฝ้าระวังโรคติดต่อ โรคติดต่ออุบัติใหม่ ภัยสุขภาพ โรคที่พบบ่อยในช่วงฤดูหนาว เช่น โรคมือ เท้า ปาก โรคจากยุงลาย ไข้หวัดใหญ่ การเปิดประชุมสภาการศึกษาเสวนา (OEC Forum) ครั้งที่ ๒ เรื่องบทบาทการศึกษากับการก้าวสู่ยุคไทยแลนด์ ๔.๐ การประชุมอาเซียนว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา ครั้งที่ ๑ การดูแลปัญหาค่าครองชีพ เช่น การลดราคาสินค้าทั่วไทยกระตุ้นเศรษฐกิจปลายปี การตรวจสอบราคาสินค้าภายหลังการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ การจัดงาน “รวมใจ ช่วยไทย ลดรับปีใหม่” การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ ครั้งที่ ๑๖ เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองและวิสัยทัศน์การพัฒนา ICT ในประชาคมอาเซียน การสัมมนาคาร์บอนฟุตพริ้นท์อุตสาหกรรมพลาสติก และการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “การบูรณาการด้านการรายงานปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทย ปี พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๓” ๒. เดือนต่อไป (มกราคม ๒๕๖๐) เช่น การดำเนินการและความก้าวหน้าเรื่องการลดต้นทุนการผลิต โครงการพัฒนาการเกษตรครบวงจรในพื้นที่ที่มีศักยภาพ โครงการสานพลังประชารัฐเพื่อปัจจัยการผลิตทางการเกษตร ความก้าวหน้าการแก้ไขปัญหาราคาข้าวตกต่ำและการวางมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร การสัมมนาคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์กลุ่มยานยนต์และผลิตภัณฑ์กลุ่มโรงแรม ความคืบหน้าการดำเนินโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล (โครงการอินเทอร์เน็ตหมู่บ้าน) การดำเนินงานและความก้าวหน้าเรื่องการแก้ไขปัญหา IUU และวางมาตรฐานการผลิตและการตรวจสอบย้อนกลับสินค้าประมงให้มีประสิทธิภาพ ดัชนีทางการค้าและสถานการณ์ภาวะเงินเฟ้อ สถานการณ์ราคาสินค้า โครงการลดภาระค่าครองชีพต่าง ๆ จากภาครัฐ การเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการสู่การเป็นซุปเปอร์คลัสเตอร์ และการจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “พลิกธุรกิจสู่ยุคอุตสาหกรรมและ SME 4.0”
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1296 | การบริหารโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : เงินกู้ DPL) | กค | 04/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมทางศุลกากรด้วยระบบเอ็กซเรย์ตู้คอนเทนเนอร์สินค้า สัมภาระและหีบห่อสินค้าของผู้เดินทางรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) วงเงิน ๑,๓๑๘.๐๐ ล้านบาท ของกรมศุลกากร ทั้งนี้ ในกรณีโครงการต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบใด ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัดด้วย ๑.๒ มอบหมายให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเป็นผู้พิจารณารายละเอียดค่าใช้จ่ายโครงการอีกครั้ง ในขั้นตอนการอนุมัติจัดสรรเงินกู้เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : เงินกู้ DPL) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสม ๒. ให้กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการติดตั้งระบบ X-Ray ของกรมศุลกากร ขอให้ปฏิบัติตามมาตรฐานและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวงเรื่อง กำหนดเงื่อนไข วิธีการขอรับใบอนุญาต และการดำเนินการเกี่ยวกับวัสดุนิวเคลียร์พิเศษ วัสดุต้นกำลัง วัสดุพลอยได้ หรือพลังงานปรมาณู โดยค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทั้งหมดกรมศุลกากรควรเป็นผู้รับผิดชอบ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้คณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจัดทำรายงานสรุปผลการดำเนินโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในภาพรวม รวมทั้งพิจารณาถึงการใช้วงเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เหลืออยู่ด้วยว่ายังมีความจำเป็นหรือไม่เพียงใด และนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1297 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนบ้านค่าย - มาบข่า จังหวัดระยอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนบ้านค่าย - มาบข่า จังหวัดระยอง พ.ศ. 2555) | มท | 04/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนบ้านค่าย-มาบข่า จังหวัดระยอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินตามกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนบ้านค่าย-มาบข่า จังหวัดระยอง พ.ศ. ๒๕๕๕ ในที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย และที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม เพื่อเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อยบางส่วน และที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรมบางส่วน เป็นที่ดินประเภทอุตสาหกรรมและคลังสินค้า และแก้ไขเพิ่มเติมรายการประกอบแผนผังกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินตามที่ได้จำแนกประเภทท้ายกฎกระทรวงของที่ดินประเภทดังกล่าว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับข้อกำหนดของกฎกระทรวงฯ มีการใช้บัญชีกำหนดประเภทและจำพวกโรงงานท้ายกฎกระทรวงบังคับใช้ผังเมืองรวม/เมือง/ชุมชน ซึ่งตามมติคณะรัฐมนตรี (๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๘) ให้ยกเลิกการใช้บัญชีกำหนดประเภทและจำพวกโรงงานท้ายกฎกระทรวงบังคับใช้ผังเมืองรวม/เมือง/ชุมชน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสภาพแวดล้อม พื้นที่ชุ่มน้ำ แหล่งศิลปกรรม และในการกำหนดพื้นที่การใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการอื่น ๆ ที่เป็นการใช้ประโยชน์ที่ดินรองของการใช้ประโยชน์ที่ดินหลักในแต่ละประเภท เมื่อมีการใช้ประโยชน์ที่ดินในแต่ละบริเวณแล้ว ควรมีการจัดทำฐานข้อมูลที่เป็นปัจจุบันและเผยแพร่ต่อสาธารณะให้ทราบว่ามีการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการอื่นไปแล้วเท่าใด และใช้ฐานข้อมูลดังกล่าวเป็นฐานในการกำหนดผังเมืองรวมฉบับที่จะมีการปรับปรุงของแต่ละเมืองด้วย นอกจากนี้ การใช้บังคับร่างกฎกระทรวงฯ ต้องคำนึงถึงความสอดคล้องกับการดำเนินโครงการตามแผนพัฒนาด้านพลังงาน และกรมโยธาธิการและผังเมืองควรกำกับดูแลเจ้าพนักงานท้องถิ่นให้ควบคุม บังคับ และอนุญาตการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เป็นไปตามผังเมืองรวมอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่เว้นว่าง พื้นที่กันชน และที่ตั้งของพื้นที่อุตสาหกรรม รวมทั้งการอนุญาตประกอบกิจการโรงงานตามบัญชีแนบท้ายกฎกระทรวงฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1298 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนวังกะพี้ จังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. .... | มท | 04/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนวังกะพี้ จังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับเมืองรวมชุมชนวังกะพี้ ในท้องที่ตำบลวังกะพี้ อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นควรเพิ่มประเภทโรงงานในร่างกฎกระทรวงฯ และเพิ่มประเภทโรงงาน เช่น โรงงานประเภท ๑๐๑ ปรับคุณภาพของเสียรวม โรงงานประเภท ๑๐๕ โรงงานคัดแยก ฝังกลบสิ่งปฏิกูล โรงงานประเภท ๑๐๖ โรงงานนำผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่ไม่ใช้แล้วหรือของเสียจากโรงงานมาผลิตเป็นวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ใหม่โดยผ่านกรรมวิธีการผลิตทางอุตสาหกรรม ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงพลังงานและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการใช้บังคับร่างกฎกระทรวงฯ ต้องคำนึงถึงความสอดคล้องกับการดำเนินโครงการตามแผนพัฒนาด้านพลังงาน และให้กรมโยธาธิการและผังเมืองสนับสนุนให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นกำกับ ดูแล และอนุมัติการใช้ประโยชน์ที่ดินริมฝั่งแม่น้ำลำคลองหรือแหล่งน้ำสาธารณะอย่างเข้มงวด ไม่ให้มีการรุกล้ำลำน้ำ รวมทั้งที่เว้นว่างตามแนวขนานลำน้ำเพื่อให้การบริหารจัดการน้ำทั้งระบบมีประสิทธิภาพ สามารถบรรเทาปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากและรองรับการขยายตัวของเมืองได้อย่างดี ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1299 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. .... | มท | 04/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลคอรุมและตำบลในเมือง อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะและสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงวัฒนธรรม และกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการดำเนินการวางและจัดทำผังเมืองตามร่างกฎกระทรวงฯ อาจมีพื้นที่ทับซ้อนกับเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม การระบุโบราณสถาน เช่น โบราณสถานคูปราสาท โบราณสถานวัดมหาธาตุ โบราณสถานวัดเอกา เป็นต้น ในรายการประกอบแผนผังกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดิน รวมทั้งการเพิ่มประเภทและขนาดโรงงานในร่างกฎกระทรวงฯ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทต่าง ๆ ให้พิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสภาพแวดล้อม พื้นที่ชุ่มน้ำ และแหล่งศิลปกรรม และการกำหนดพื้นที่การใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการอื่น ๆ ที่เป็นการใช้ประโยชน์ที่ดินรองของการใช้ประโยชน์ที่ดินหลักในแต่ละประเภท เมื่อมีการใช้ประโยชน์ที่ดินในแต่ละบริเวณแล้วควรมีการจัดทำฐานข้อมูลที่เป็นปัจจุบันและเผยแพร่ต่อสาธารณะให้ทราบว่ามีการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการอื่นไปแล้วเท่าใด และใช้ฐานข้อมูลดังกล่าวเป็นฐานในการกำหนดผังเมืองรวมฉบับที่จะมีการแก้ไขปรับปรุงของแต่ละเมืองด้วย นอกจากนี้ การใช้บังคับร่างกฎกระทรวงฯ ต้องคำนึงถึงความสอดคล้องกับการดำเนินโครงการตามแผนพัฒนาด้านพลังงาน และเห็นควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองพิจารณาสนับสนุนให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นกำกับ ดูแล และอนุมัติการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเข้มงวด เพื่อรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมและป้องกันผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตประชาชนในพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1300 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 04/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการให้มีการนำสมุนไพรไปใช้ประโยชน์ในส่วนราชการให้เป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๖๐ เพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจของประเทศเกิดการพึ่งพาตนเอง ประหยัดงบประมาณ และเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง นั้น ให้ส่วนราชการดำเนินการ ๑.๑.๑ ให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งรัดดำเนินการส่งเสริมผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยในปัจจุบันให้มีการพัฒนาคุณภาพให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศให้มากยิ่งขึ้น โดยให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายใน ๓ เดือน รวมทั้งให้มีการพิจารณานำผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพรของไทยมาใช้ประโยชน์สำหรับการรักษาพยาบาลของสถานพยาบาลต่าง ๆ ให้มากยิ่งขึ้นด้วย ๑.๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาดำเนินการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเพาะปลูกพืชของเกษตรกรให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ โดยส่งเสริมให้เกษตรกรเพาะปลูกพืชสมุนไพรให้มากยิ่งขึ้นเพื่อนำมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพรต่อไป ๑.๑.๓ ให้ทุกส่วนราชการจัดให้มีตู้ยาสมุนไพรประจำทุกส่วนราชการเพื่อส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพรให้แพร่หลาย ๑.๒ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงมหาดไทยพิจารณากำหนดแนวทางการขยายพื้นที่เพาะปลูกและเพิ่มผลผลิตมะพร้าวในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ นั้น ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งดำเนินการแจกจ่ายพันธุ์มะพร้าวให้แก่เกษตรกร เพื่อให้มีพื้นที่เพาะปลูกมะพร้าวเพิ่มมากขึ้นและป้องกันการขาดแคลนผลผลิตมะพร้าวในอนาคต รวมทั้งลดการนำเข้าผลผลิตมะพร้าวจากต่างประเทศด้วย ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ มอบหมายให้หัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวงและอธิบดีลงพื้นที่ตรวจการปฏิบัติราชการของเจ้าหน้าที่ในระดับพื้นที่ พร้อมทั้งสร้างการรับรู้ให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานและประชาชนในพื้นที่ให้มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องต่อการปฏิบัติงานของภาครัฐ เพื่อให้เกิดความร่วมมือจากทุกภาคส่วนต่อไปด้วย ๒.๒ ตามที่ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๖๐ ที่ผ่านมา มีรายงานสถิติการเกิดอุบัติเหตุจากการเดินทางของประชาชนเป็นจำนวนมาก นั้น เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุในระยะต่อไปให้เหมาะสมและเป็นรูปธรรม จึงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ๒.๒.๑ ให้คณะกรรมการนโยบายป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงคมนาคม กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เร่งรัดสรุปบทเรียนจากรายงานสถิติการเกิดอุบัติเหตุจากการเดินทางในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๖๐ ที่ผ่านมา และกำหนดมาตรการเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุในระยะต่อไป เช่น การสร้างกระแสเพื่อให้เด็กนักเรียนชักชวนผู้ปกครองขับขี่ยานพาหนะด้วยความปลอดภัย การสร้างจิตสำนึกแก่ประชาชนในการป้องกันอุบัติเหตุและรักษาวินัยการจราจร การกำหนดให้ผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะตรวจตราสภาพรถและความพร้อมของผู้ขับขี่ การจัดทำประกันภัยรถยนต์และผู้โดยสาร การบังคับใช้กฎหมาย รวมทั้งการจับกุมและลงโทษผู้กระทำผิดกฎหมายอย่างเคร่งครัด ๒.๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดการดำเนินการ ๒.๒.๒.๑ ติดตั้งระบบเทคโนโลยีติดตามตำแหน่งยานพาหนะหรือ (Global Positioning System : GPS) ในรถโดยสารสาธารณะ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๙ (เรื่อง โครงการ “มั่นใจทั่วไทย รถใช้ GPS”) รวมทั้งรายงานผลการดำเนินโครงการดังกล่าวและการควบคุมการขับรถเกินเวลาที่กำหนดในมาตรฐานความปลอดภัยให้คณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๑ เดือน ๒.๒.๒.๒ กำหนดมาตรการเพิ่มเติมเพื่อควบคุมความปลอดภัยการขับขี่รถโดยสารสาธารณะและปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีบทลงโทษผู้กระทำผิดกฎหมายที่มีความเข้มงวดมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการหรือผู้ขับขี่ซึ่งต้องมีการตรวจสอบสภาพรถโดยสารให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัย การตรวจสอบรถโดยสารที่บรรทุกผู้โดยสารเกินจำนวน และการควบคุมการขับรถเกินเวลาที่กำหนดในมาตรฐานความปลอดภัย ๒.๒.๓ ให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงคมนาคมพิจารณาความเป็นไปได้ในการกำหนดมาตรการทางภาษีเพื่อสนับสนุนให้มีการใช้ยานพาหนะในการเดินทางอย่างปลอดภัยและป้องกันการเกิดอุบัติเหตุในระยะต่อไป เช่น การส่งเสริมให้ผู้ประกอบการรถตู้โดยสารสาธารณะปรับเปลี่ยนการใช้พลังงานในการขับเคลื่อนรถจากก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) เป็นก๊าซธรรมชาติ (NGV) รวมทั้งการใช้รถโดยสารประจำทางขนาดเล็กในการให้บริการการเดินทางแก่ประชาชนระหว่างกรุงเทพมหานครและจังหวัดใกล้เคียงแทนการใช้รถตู้โดยสารที่ไม่ได้มาตรฐานความปลอดภัย
|