ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 68 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 1341 - 1360 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1341 | โครงการพัฒนาระบบส่งและจำหน่าย ระยะที่ 1 | มท | 01/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดำเนินโครงการพัฒนาระบบส่งและจำหน่าย ระยะที่ ๑ วงเงินลงทุน ๖๒,๖๗๘.๗๑ ล้านบาท โดยใช้เงินกู้ในประเทศ จำนวน ๔๗,๐๐๙.๐๐ ล้านบาท และเงินรายได้ กฟภ. จำนวน ๑๕,๖๖๙.๗๑ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบให้ กฟภ. กู้เงินในประเทศ ภายในกรอบวงเงิน ๔๗,๐๐๙.๐๐ ล้านบาท เพื่อเป็นเงินลงทุนของโครงการดังกล่าว โดย กฟภ. จะทยอยดำเนินการกู้เงินตามความจำเป็นจนกว่างานจะแล้วเสร็จ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ อาทิ การปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ การหลีกเลี่ยงการออกแบบก่อสร้างระบบสายส่งไฟฟ้าที่พาดผ่านบริเวณพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม รวมทั้งพิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มติคณะรัฐมนตรี กฎหมายและระเบียบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด การวางแผนการพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การพัฒนาโครงการให้เชื่อมโยงกับระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก การวางแผนและเตรียมการในการพัฒนาระบบส่งและระบบจำหน่ายให้เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน การวางแผนการเตรียมความพร้อมในขั้นตอนของแผนการปฏิบัติงาน แผนการใช้จ่ายเงิน แผนบริหารความเสี่ยงและควบคุมการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้ การเร่งดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามแผนเพื่อลดความเสี่ยงในการปรับเพิ่มขึ้นของต้นทุน โครงการฯ ซึ่งต้องพาดผ่านพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ และ/หรือพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติจะต้องขออนุญาตใช้พื้นที่ในการดำเนินโครงการฯ การวางแผนพัฒนาระบบส่งและจำหน่ายในระยะต่อไป ให้ กฟภ. คำนึงถึงความเชื่อมโยงกับระบบไฟฟ้าภาพรวมทั้งระบบ และกระทรวงพลังงานควรกำหนดนโยบายที่ชัดเจนในการดำเนินโครงการพัฒนาโรงไฟฟ้าในพื้นที่ภาคใต้เพื่อสร้างความมั่นคงของระบบด้วย ตลอดจนการวางแผนการพัฒนาระบบส่งและจำหน่ายไฟฟ้าให้สอดคล้องกับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๗๙ (PDP 2015) และนโยบายการพัฒนาด้านพลังงานในภาพรวม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1342 | ความคืบหน้าการดำเนินงานด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ยางพารา และความคืบหน้าโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ | อก | 01/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ยางพารา และความคืบหน้าโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ มีประเด็นสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ ข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีเพื่อการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาราคายางพารา กระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการ (๑) จัดทำมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ยางพารา ซึ่งได้ประกาศใช้ในประเทศแล้ว จำนวน ๓,๑๓๑ มาตรฐาน และได้เร่งรัดจัดทำ มอก. ที่เกี่ยวข้องกับยางพาราใน ๓ กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ยาง กลุ่มผลิตภัณฑ์ยางล้อ และกลุ่มผลิตภัณฑ์ยางอื่น และ (๒) ช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางให้สามารถผลิตแผ่นยางปูพื้นที่มีคุณภาพตาม มอก. โดยได้ส่งเสริมและพัฒนาชุมชนสหกรณ์ วิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการ SMEs ให้มีความรู้ความเข้าใจในข้อกำหนดของ มอก. การทดสอบ กระบวนการผลิต และการควบคุมระบบคุณภาพของโรงงาน รวมทั้งร่วมมือกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ส่งเสริมและพัฒนาชุมนุมสหกรณ์กองทุนสวนยางสตูลผลิตแผ่นยางปูพื้นให้มีคุณภาพจนได้รับใบอนุญาตแสดงเครื่องหมาย มอก. ๒๓๗๗-๒๕๕๑ แผ่นยางปูพื้น เป็นรายแรก ๑.๒ โครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ กระทรวงอุตสาหกรรมประมาณการการดำเนินงานโครงการระยะที่ ๑ ส่วนทดสอบยางล้อตามมาตรฐาน UN R117 ได้ประมาณร้อยละ ๒๐ ของแผนการดำเนินงาน หากต้องการดำเนินงานโครงการระยะที่ ๑ ให้แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ และโครงการระยะที่ ๒ ส่วนทดสอบยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ ให้แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๖๓ และแผนการดำเนินงานที่กำหนดไว้ จะต้องใช้งบประมาณในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ รวมทั้งสิ้น ๕๖๔,๔๕๓,๘๐๐ บาท ทั้งนี้ เมื่อที่ปรึกษาโครงการได้ออกแบบก่อสร้างอาคารสำนักงานพร้อมห้องปฏิบัติการทดสอบ และสนามทดสอบยางล้อตามมาตรฐาน UN R117 แล้วเสร็จในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ กระทรวงอุตสาหกรรมจะดำเนินการของบประมาณ งบกลาง ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ ต่อไป ส่วนของค่าชดเชยพื้นที่ตั้งโครงการ กระทรวงอุตสาหกรรมได้รับงบประมาณค่าชดเชยพื้นที่เบื้องต้น จำนวน ๕๓,๐๕๕,๐๐๐ บาท โดยได้ชำระค่าชดเชยพื้นที่ให้กับองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้แล้ว จำนวน ๓๙,๕๑๙,๖๑๙.๒๐ บาท เมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๙ และชำระให้กับกรมป่าไม้แล้ว จำนวน ๑๓,๕๓๕,๓๘๐.๘๐ บาท เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๙ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดการดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ ทั้งนี้ แหล่งเงินสำหรับการดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมประสานหารือกับกระทรวงการคลังแล้วดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1343 | ทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2559/60 | กค | 01/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๙ และเมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๙ ในส่วนของกรอบระยะเวลาดำเนินโครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ จากเดิมกำหนดให้สิ้นสุดระยะเวลาดำเนินโครงการฯ ในวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ และสำหรับการดำเนินโครงการฯ ในภาคใต้กำหนดให้สิ้นสุดระยะเวลาดำเนินโครงการฯ ในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ เป็นกำหนดให้สิ้นสุดระยะเวลาดำเนินโครงการฯ ในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ และสำหรับการดำเนินโครงการฯ ในภาคใต้กำหนดให้สิ้นสุดระยะเวลาดำเนินโครงการฯ ในวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้กระทรวงการคลังเร่งรัดการดำเนินโครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และไม่ให้มีการขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ อีก ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณในส่วนที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการบูรณาการงานเรื่องการลดต้นทุนการผลิตกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงการช่วยเหลือเกษตรกรในด้านการลดต้นทุนการผลิตได้อย่างเป็นระบบและสามารถเห็นผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรมในระยะยาว ตลอดจนเร่งดำเนินการและกำกับดูแลการดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปอย่างโปร่งใส และสอดคล้องกับเกษตรกรกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงอย่างทั่วถึง รวมทั้งความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่า การดำเนินโครงการฯ จะต้องดำเนินการภายใต้กรอบวงเงินเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติไว้เมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๙ (เรื่อง มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ ด้านการเงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1344 | ทบทวนมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปีการผลิต 2559/60 ด้านการตลาด | พณ | 01/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกข้าวหอมมะลิ ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ โดยสนับสนุนเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกข้าวหอมมะลิตามกลุ่มเป้าหมาย ๒,๐๐๐ บาทต่อตัน (กำหนด ไร่ละ ๘๐๐ บาท รายละไม่เกิน ๑๕ ไร่) ทั้งรายที่เข้าร่วมโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ และไม่ได้เข้าร่วมโครงการฯ โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โอนเงินเข้าบัญชีให้กับเกษตรกร กรอบระยะเวลาดำเนินการ ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ถึงวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ กรอบวงเงินงบประมาณ จำนวน ๑๙,๓๗๕.๓๗ ล้านบาท โดยให้ ธ.ก.ส. ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวเสนอ ๒. ในส่วนของการดำเนินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ ในระยะนี้ ให้กำหนดกรอบวงเงินสินเชื่อต่อตันข้าวเปลือกหอมมะลิไว้ที่ไม่เกิน ๙,๕๐๐ บาท ตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว ครั้งที่ ๗/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงมหาดไทยร่วมกับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ลงพื้นที่กำกับ ติดตาม และตรวจสอบการดำเนินงานโครงการตามมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ให้ถูกต้อง โปร่งใส เป็นธรรม เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1345 | ขออนุมัติดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงนครปฐม - หัวหิน | คค | 01/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงนครปฐม-หัวหิน ในวงเงิน ๒๐,๐๔๖.๔๑ ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗) โดยใช้ระยะเวลาดำเนินการ ๕ ปี (ปีงบประมาณ ๒๕๕๙-๒๕๖๓) และดำเนินการประกวดราคาจ้างก่อสร้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-auction) ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ หรือที่ประกาศใช้ล่าสุด ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้กระทรวงคมนาคมและ รฟท. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ อาทิ การพิจารณาให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในการบริหารจัดการการเดินรถ การแก้ไขปัญหาจุดตัดทางรถไฟ การจัดตั้งกรมการขนส่งทางราง การจัดทำแผนธุรกิจของ รฟท. และในการดำเนินการทุกขั้นตอนจะต้องไม่มีปัญหาที่เป็นเหตุให้ขออนุมัติวงเงินเพิ่มเติมและขยายระยะเวลาออกไปอีก ทั้งนี้ การดำเนินการทุกขั้นตอนการปฏิบัติจะต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. สำหรับแนวทางการรับภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ ให้ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๒.๑ ค่าก่อสร้างและค่าจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ให้กระทรวงการคลังจัดหาเงินกู้ในประเทศที่เหมาะสมและให้กู้ต่อแก่ รฟท. โดยเห็นชอบให้ รฟท. กู้เงินตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓๙ (๔) ทั้งนี้ ให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นงบชำระหนี้เงินกู้รายปีให้แก่ รฟท. ๒.๒ ค่าเวนคืนที่ดินและค่าดำเนินการประกวดราคา (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้กับ รฟท. ๓. ให้กระทรวงคมนาคมกำกับดูแล รฟท. ให้ดำเนินโครงการ ช่วงนครปฐม-หัวหิน ช่วงหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ และช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ให้แล้วเสร็จและสามารถเปิดให้บริการได้ตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1346 | ขออนุมัติดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงลพบุรี - ปากน้ำโพ | คค | 01/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ ในวงเงิน ๒๔,๗๒๒.๒๘ ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ ๖ ปี (ปีงบประมาณ ๒๕๕๙-๒๕๖๔) โดยดำเนินการประกวดราคาจ้างก่อสร้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-auction) ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ หรือที่ประกาศใช้ล่าสุด ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้กระทรวงคมนาคมและ รฟท. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ อาทิ การพิจารณาให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในการบริหารจัดการการเดินรถ การแก้ไขปัญหาจุดตัดทางรถไฟ การจัดตั้งกรมการขนส่งทางราง การจัดทำแผนธุรกิจของ รฟท. และในการดำเนินการทุกขั้นตอนจะต้องไม่มีปัญหาที่เป็นเหตุให้ขออนุมัติวงเงินเพิ่มเติมและขยายระยะเวลาออกไปอีก ทั้งนี้ การดำเนินการทุกขั้นตอนการปฏิบัติจะต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. สำหรับแนวทางการรับภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการให้ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๒.๑ ค่าก่อสร้างและค่าจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ให้กระทรวงการคลังจัดหาเงินกู้ในประเทศที่เหมาะสมและให้กู้ต่อแก่ รฟท. โดยเห็นชอบให้ รฟท. กู้เงินตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ ตามมาตรา ๓๙ (๔) ทั้งนี้ ให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นงบชำระหนี้เงินกู้รายปีให้แก่ รฟท. ๒.๒ ค่าเวนคืนที่ดินและค่าดำเนินการประกวดราคา (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้กับ รฟท.
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1347 | โครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ ประจำปีงบประมาณ 2560 | กค | 25/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบโครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ เพื่อพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งแก่ภูมิภาคผ่านโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของหมู่บ้าน หรือการดำเนินกิจการสาธารณประโยชน์ของหมู่บ้าน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายสุธี มากบุญ) เสนอเพิ่มเติมว่า เพื่อให้การดำเนินโครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ เห็นควรให้ดำเนินการ ๑.๑ ในส่วนของระยะเวลาในการดำเนินโครงการ หากเป็นโครงการที่ดำเนินการได้เอง ให้เบิกจ่ายให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๐ ส่วนโครงการที่เป็นการจ้างเหมาให้ก่อหนี้ผูกพันให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๐ ทั้งนี้ ในกรณีที่มีความจำเป็นโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้อันจะทำให้การดำเนินโครงการต้องล่าช้าออกไป ให้กระทรวงมหาดไทยเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติให้ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการดังกล่าวต่อไป พร้อมชี้แจงเหตุผลความจำเป็นโดยละเอียด ๑.๒ ในขั้นตอนการพิจารณาคัดเลือกโครงการ ให้คณะกรรมการระดับอำเภอในแต่ละพื้นที่พิจารณากลั่นกรองโครงการโดยคำนึงถึงประโยชน์ที่ประชาชนส่วนรวมในแต่ละหมู่บ้านจะได้รับเป็นสำคัญ และจะต้องไม่เป็นโครงการเพื่อการจัดซื้อครุภัณฑ์หรือซ่อมแซมอาคารสถานที่ต่าง ๆ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยนำโครงการที่ไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณในการดำเนินโครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ มาพิจารณาความเหมาะสมและจำเป็นเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณตามโครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการดำเนินการ ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ รวมทั้งความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓.๑ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมการปกครอง) ในฐานะหน่วยงานหลักวางแผนการดำเนินโครงการให้ชัดเจนเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ดำเนินโครงการให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ภายในกรอบระยะเวลาที่กำหนด โดยนำข้อจำกัด ปัญหา และอุปสรรคที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการครั้งก่อนมาใช้เป็นข้อมูลเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงานให้ดียิ่งขึ้น รวมทั้งให้มีการกำหนดมาตรการป้องกันการทุจริตทุกขั้นตอนด้วย ๓.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยติดตามเร่งรัดการดำเนินโครงการอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด และให้นำเสนอโครงการดังกล่าวต่อคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศเพื่อบรรจุไว้เป็นโครงการสำคัญของรัฐบาลที่ต้องติดตามเร่งรัดเป็นกรณีพิเศษ ๔. ให้กระทรวงมหาดไทยนำผลการสำรวจความพึงพอใจของประชาชนที่มีต่อการดำเนินโครงการดังกล่าวมาใช้เป็นข้อมูลประกอบการรายงานผลการดำเนินโครงการต่อสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1348 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองหนองบัวลำภู พ.ศ. .... | มท | 18/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองหนองบัวลำภู พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่เทศบาลเมืองหนองบัวลำภู ตำบลหนองภัยศูนย์ ตำบลโพธิ์ชัย ตำบลลำภู ตำบลนาคำไฮ ตำบลหนองสวรรค์ ตำบลหนองบัว ตำบลบ้านพร้าว และตำบลบ้านขาม อำเภอเมืองหนองบัวลำภู จังหวัดหนองบัวลำภู เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงอุตสาหกรรม อาทิ ร่างกฎกระทรวงฯ มีเขตทับซ้อนกับเขตปฏิรูปที่ดินในบางท้องที่ จึงขอให้มีการตรวจสอบรูปแผนที่ให้ชัดเจนก่อนดำเนินการ การกำหนดคำนิยามของคำว่า “การใช้ที่ดินที่เกี่ยวข้องกับนันทนาการ” และ “การใช้ที่ดินที่เกี่ยวข้องกับเกษตรกรรม” ที่ระบุไว้ในการใช้ที่ดินแต่ละประเภทให้ชัดเจน รวมทั้งการจัดทำฐานข้อมูลที่เป็นปัจจุบันและเผยแพร่ต่อสาธารณะให้ทราบว่ามีการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการอื่นไปแล้วเท่าใด นอกจากนี้ ร่างกฎกระทรวงฯ ไม่สอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริงที่การประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรม จำนวน ๑๕ ประเภท ๒๖ โรงงาน คิดเป็นร้อยละ ๕๔.๑๗ ของโรงงานทั้งหมดในพื้นที่วางผังไม่ได้กำหนดไว้ในร่างกฎกระทรวงฯ ส่งผลให้ไม่สามารถตั้งหรือขยายโรงงานได้ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการใช้บังคับร่างกฎกระทรวงฯ ต้องคำนึงถึงความสอดคล้องกับการดำเนินโครงการตามแผนพัฒนาด้านพลังงาน และให้กรมโยธาธิการพิจารณากำกับให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นให้ความสำคัญต่อการควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ดินประเภทที่โล่งเพื่อนันทนาการและการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมให้เป็นไปตามผังเมองโดยไม่ให้มีการรุกล้ำลำน้ำ เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำทั้งระบบมีประสิทธิภาพ สามารถบรรเทาปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากและรองรับการขยายตัวของเมืองได้อย่างเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1349 | ทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง มาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ปีการผลิต 2559/60 ด้านการผลิต (เพิ่มเติม) | กษ | 18/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงกระบือ โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงโคเนื้อ โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงแพะ และโครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการทำนาหญ้า ดำเนินการโดยกรมปศุสัตว์ ให้เพิ่มพื้นที่ดำเนินงานจากเดิม ๔๐ จังหวัด ปรับเพิ่มขึ้น ๕๕ จังหวัด โดยเพิ่มอีก ๑๕ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ลำปาง ลำพูน กำแพงเพชร ตาก พิจิตร อุทัยธานี ลพบุรี สระบุรี ชัยนาท ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา จันทบุรี นครปฐม และเพชรบุรี ๑.๒ โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวไม่เหมาะสมเป็นเกษตรกรรมทางเลือกอื่น ดำเนินการโดยกรมส่งเสริมการเกษตร ให้เพิ่มพื้นที่ดำเนินงานจากเดิม ๓๐ จังหวัด ปรับเพิ่มเป็นทุกจังหวัด ยกเว้น ๑๔ จังหวัดภาคใต้ และขยายพื้นที่ดำเนินการครอบคลุมไปถึงพื้นที่เหมาะสมน้อย (S3) ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการภายใต้กรอบวงเงินเดิมที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไปแล้วเมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๙ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ควรให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงด้านการตลาด โดยประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพาณิชย์ ผู้ประกอบการในท้องถิ่น เครือข่ายสหกรณ์ เป็นต้น ให้มีการจัดทำแผนความร่วมมือทางการตลาด เพื่อให้ผลผลิตทางการเกษตรของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการมีตลาดรองรับที่ชัดเจน สามารถจำหน่ายได้ในราคาที่เป็นธรรมและสร้างรายได้แก่เกษตรกรเพิ่มขึ้น รวมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์มาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ ด้านการผลิต (เพิ่มเติม) ให้เกษตรกรได้รับทราบอย่างทั่วถึง ตลอดจนควรติดตามผลการดำเนินงานและประเมินผลสำเร็จของโครงการทั้ง ๕ โครงการ ในช่วงระยะเวลา ๖/๑๒ เดือน เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาแนวทางการปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตเพื่อลดปริมาณอุปทานข้าวเปลือกภายในประเทศในรอบฤดูกาลผลิตต่อ ๆ ไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการตรวจสอบและคัดเลือกพื้นที่และกลุ่มเกษตรกรเป้าหมายให้ชัดเจนก่อนการดำเนินโครงการตามมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ ด้านการผลิต (เพิ่มเติม) จำนวน ๕ โครงการ เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการอย่างแท้จริง โดยดำเนินการในพื้นที่ปลูกข้าวไม่เหมาะสม (N) และพื้นที่ปลูกข้าวเหมาะสมน้อย (S3) ตามแนวทางและหลักการการกำหนดพื้นที่ที่เหมาะสมในการทำเกษตรกรรม ทั้ง Zoning และ Agri-Map และให้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๙ [เรื่อง มาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ ด้านการผลิต (เพิ่มเติม)] โดยเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการจะต้องไม่ซ้ำซ้อนกับการได้รับสิทธิ์ตามโครงการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรของกระทรวงการคลัง [โครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ (ไร่ละ ๑,๐๐๐ บาท)]
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1350 | ผลการประชุมหารือร่วมระหว่างนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการ กรอ. ส่วนกลาง และคณะกรรมการ กรอ. กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน เมื่อวันศุกร์ที่ 16 กันยายน 2559 | นร11 | 11/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมหารือร่วมกันระหว่างนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ส่วนกลาง และคณะกรรมการ กรอ. กลุ่มภาคใต้ฝั่งอันดามัน (ภูเก็ต พังงา ระนอง กระบี่ ตรัง) เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๙ ๑.๒ เห็นชอบตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ ได้แก่ ยกระดับเมืองสปาน้ำพุร้อนเค็มและพัฒนาเส้นทางอันดามัน โรแมนติกโรด อ.คลองท่อม จ.กระบี่ การสนับสนุนโครงการยกระดับเส้นทางเชื่อมโยงท่องเที่ยวอันดามัน โครงการ Phuket Smart City โครงการก่อสร้างสะพานลันตา โครงการเคลือบผิวจราจรลดการลื่นไหล เส้นทางหลวงหมายเลข ๔ และ ๔๓๑๑ จ.พังงา โครงการก่อสร้างถนนและสะพานแหล่งท่องเที่ยวเกาะคอเขา อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา โครงการศึกษาเส้นทางรถไฟชุมพร-ท่าเรือน้ำลึก จ.ระนอง และโครงการพัฒนาท่าอากาศยานตรัง รวมทั้งรายงานผลการดำเนินการให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทราบต่อไป ๒. ให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรกก่อน โดยหากไม่เพียงพอและมีความจำเป็นเร่งด่วนในการขออนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ก็ให้ดำเนินการตามขั้นตอนของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ สำหรับการดำเนินโครงการในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายตามความจำเป็นและเหมาะสม นอกจากนี้ควรมีการบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานในพื้นที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีหน่วยงานหลักจากกระทรวงที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1351 | โครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าเพื่อรองรับการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ระยะแรก (6 พื้นที่) | มท | 11/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบทั้ง ๒ ข้อ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคดำเนินโครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าเพื่อรองรับการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ระยะแรก (๖ พื้นที่) ในวงเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น ๓,๑๔๐ ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากเงินกู้ในประเทศ จำนวน ๒,๓๕๕ ล้านบาท และเงินรายได้จากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จำนวน ๗๘๕ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคกู้เงินในประเทศ ภายในกรอบวงเงิน ๒,๓๕๕ ล้านบาท เพื่อเป็นเงินลงทุนของโครงการดังกล่าว โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจะทยอยดำเนินการกู้เงินตามความจำเป็นจนกว่างานจะแล้วเสร็จ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน สำนักงบประมาณ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ที่เห็นควรแบ่งแผนการดำเนินโครงการฯ เป็น ๒ ระยะ และให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานวิเคราะห์ผลกระทบค่าไฟฟ้าที่เกิดจากการลงทุนอย่างรอบคอบและไม่เป็นภาระต่อผู้ใช้ไฟฟ้าอย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งควรมีการติดตามและประเมินผลโครงการในระยะแรก เพื่อให้การดำเนินงานโครงการระยะที่ ๒ มีความเหมาะสมและเกิดผลลัพธ์ได้ตรงตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ตลอดจนควรลงทุนเป็นระยะโดยการเปรียบเทียบกับความต้องการใช้ไฟฟ้าตามช่วงเวลาที่เหมาะสม นอกจากนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการไฟฟ้าในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ควรกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าตามประเภทผู้ใช้ไฟฟ้าภาคอุตสาหกรรมเช่นเดียวกับพื้นที่อุตสาหกรรมอื่นเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม รวมทั้งควรเร่งดำเนินโครงการพัฒนาระบบส่งและสถานีไฟฟ้า ระยะที่ ๙ ที่อยู่ในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ระยะแรก ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคปรับระยะเวลาการดำเนินโครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าเพื่อรองรับการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ระยะแรก (๖ พื้นที่) ให้สอดคล้องกับระยะเวลาที่จะสามารถเริ่มดำเนินการได้จริง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1352 | การทบทวนมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปีการผลิต 2559/60 ด้านการตลาด | พณ | 11/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการทบทวนโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ โดยให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ เห็นควรคงหลักเกณฑ์การจ่ายค่าเก็บรักษาข้าวเปลือก โดยจ่ายค่าเก็บรักษาข้าวเปลือกเมื่อมีการไถ่ถอนหลังจากเข้าร่วมโครงการไม่น้อยกว่า ๓๐ วัน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๙ ๑.๒ การขอทบทวนการระบายข้าวเปลือก ในกรณีที่เกิดภาระส่วนต่างระหว่างราคาที่โครงการกำหนดในการให้สินเชื่อกับราคาที่ขายได้จากการระบาย ทำให้มีภาระขาดทุนจากการดำเนินโครงการ โดยขอให้รัฐบาลชดเชยภาระขาดทุนที่เกิดขึ้นแทนผู้เข้าร่วมโครงการนั้น ข้อกำหนดวงเงินสินเชื่อต่อตันข้าวเปลือกเดิมที่กำหนดไว้ร้อยละ ๙๐ ของราคาตลาด จะเป็นแรงจูงใจให้เกษตรกรชำระคืนสินเชื่อผ่านการไถ่ถอนข้าวเปลือกหลังจากเข้าร่วมโครงการ ทำให้ภาระขาดทุนของโครงการลดลง อย่างไรก็ดี กรณีที่ราคาตลาดปรับตัวลดลง อาจทำให้ภาระขาดทุนของโครงการสูงขึ้น เห็นควรให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) บริหารวงเงินสินเชื่อที่ปล่อยกู้ให้แก่ผู้เข้าร่วมโครงการแต่ละรายให้สอดคล้องกับร้อยละ ๙๐ ของราคาตลาด ณ ช่วงเวลานั้น ๆ หรือบริหารจัดการให้วงเงินสินเชื่อที่ปล่อยกู้ต่ำกว่ามูลค่าของข้าวเปลือกที่เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันการกู้เงินจาก ธ.ก.ส. ณ เวลานั้น ๆ อันจะเป็นการป้องกันการเกิดผลขาดทุนของโครงการและลดภาระงบประมาณของรัฐบาลในการชดเชยภาระขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ๒. เห็นชอบการทบทวนโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ ในส่วนของอัตราการชดเชยดอกเบี้ย โดยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวเฉพาะที่เป็นสหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน โดยไม่รวมโรงสี ได้รับชดเชยดอกเบี้ยในอัตราที่เพิ่มขึ้นจากร้อยละ ๓ เป็นร้อยละ ๔ เพื่อเก็บสต็อกข้าวตั้งแต่วันที่ ๙๑-๑๘๐ วัน นับแต่วันที่เบิกจ่ายหรือออกตั๋วสัญญาใช้เงิน เพื่อเป็นการสร้างมาตรการจูงใจให้แก่ผู้ประกอบการค้าข้าวซึ่งเป็นสหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน ในการเก็บสต็อกข้าวเป็นเวลานานขึ้น อันจะเป็นประโยชน์แก่เกษตรกรโดยตรง ทั้งนี้ ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องดำเนินโครงการเกินกรอบเป้าหมายและวงเงินที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีกระบวนการติดตามการดำเนินโครงการและระบบป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นเพื่อให้เกิดภาระทางคลังน้อยที่สุด และควรให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้แก่กลุ่มเป้าหมายที่เพิ่มเติมอย่างทั่วถึง รวมทั้งควรคัดเลือกกลุ่มที่มีความพร้อมในการเข้าร่วมโครงการ เช่น มีสถานที่เก็บรักษาข้าวเปลือกที่มีมาตรฐาน ไม่เกิดการรั่วไหลหรือข้าวเปลือกเสื่อมคุณภาพก่อนเวลาอันควร เป็นต้น ตลอดจนพิจารณาผลการดำเนินโครงการที่ผ่านมาเพื่อใช้เป็นแนวทางในการวางแผนและเตรียมความพร้อม หากเกิดกรณีภาระขาดทุนจากการดำเนินโครงการ นอกจากนี้ หน่วยงานที่รับผิดชอบควรให้ความสำคัญกับการติดตามและตรวจสอบการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจว่าได้มีการรับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรอย่างแท้จริง นอกเหนือจากการตรวจสอบสต็อกข้าวทุกเดือน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1353 | แผนการดำเนินงาน งบประมาณรายจ่าย และประมาณการรายได้ประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2560 ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน | พน | 11/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินงาน การจัดเก็บรายได้ และการใช้จ่ายงบประมาณปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ๑.๒ เห็นชอบแผนการดำเนินงาน งบประมาณรายจ่าย และประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ วงเงินงบประมาณรายจ่าย ๘๕๖.๙๙ ล้านบาท และประมาณการรายได้ ๘๕๗.๐๗ ล้านบาท ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ๑.๓ รับทราบกรอบการดำเนินงาน งบประมาณรายจ่าย และประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๒ ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ๒. ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับการดำเนินงานด้านการส่งเสริมกิจการพลังงานให้มีประสิทธิภาพและเสริมสร้างการแข่งขันที่เป็นธรรม ควรมีการระบุถึงการกำหนดมาตรฐานและคำนึงถึงประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้า ในเกณฑ์การรับซื้อไฟฟ้าหรือการออกใบอนุญาต และควรพิจารณาเพิ่มการศึกษาวิจัยเชิงนโยบาย การดำเนินงานด้านการส่งเสริมการศึกษา วิจัย พัฒนา การเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน การประหยัดพลังงานและการอนุรักษ์พลังงาน การส่งเสริมการศึกษา วิจัยและพัฒนาพลังงานหมุนเวียนเพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้า และควรพิจารณาใช้มาตรการกำหนดให้ผู้ผลิตและผู้ขายไฟฟ้ารายใหญ่ทั้งภาครัฐและเอกชนจะต้องมีมาตรการส่งเสริมให้ลูกค้าผู้ใช้ไฟฟ้า เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ไฟฟ้า (Energy Effciency Resource Standards, EERS) โดยกำหนดเป็นสัดส่วนกับปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตและหรือขายให้กับลูกค้าในช่วงเวลาที่กำหนด ในส่วนของงบลงทุนควรจะมีการเร่งรัดดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ให้ถูกต้องครบถ้วนโดยคำนึงถึงความประหยัด คุ้มค่า และแล้วเสร็จทันตามแผนที่กำหนดไว้ นอกจากนี้ ควรกำกับดูแลการดำเนินโครงการก่อสร้างอาคารสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานเป็นการถาวรอย่างใกล้ชิดเพื่อให้การดำเนินโครงการฯ เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้ และไม่ส่งผลกระทบต่อกรอบวงเงินงบประมาณโครงการฯ ในกรณีที่ดำเนินงานล่าช้า รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับตัวชี้วัดสำคัญ ๆ รายยุทธศาสตร์ที่จำเป็นต้องขับเคลื่อนในปีงบประมาณ ๒๕๖๐ เพื่อใช้ตัวชี้วัดดังกล่าวเป็นเครื่องมือในการติดตามประเมินผลการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลอย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงพลังงานหารือกับคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานในการกำกับดูแลการบริหารงบประมาณของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานให้เกิดความคุ้มค่าและเหมาะสมทั้งในส่วนของการหารายได้และการใช้จ่ายงบประมาณ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรและการจัดการและบริหารสำนักงาน |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1354 | โครงการทดแทนโรงไฟฟ้าพระนครใต้ ระยะที่ 1 | พน | 11/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินโครงการทดแทนโรงไฟฟ้าพระนครใต้ ระยะที่ ๑ ในวงเงินลงทุนรวม ๓๓,๕๙๐ ล้านบาท ทั้งนี้ กฟผ. จะดำเนินโครงการฯ ได้ เมื่อรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแล้ว ๑.๒ อนุมัติการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนประจำปี ๒๕๕๙ สำหรับโครงการฯ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๓,๐๑๖.๘๐ ล้านบาท ๒. ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน และคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจที่เห็นควรบริหารจัดการเรื่องการเงินและการลงทุนให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ สอดรับกับแนวโน้มของอัตราแลกเปลี่ยน โดยอาจพิจารณากำหนดแผนการบริหารความเสี่ยงในกรณีที่ผลการดำเนินงานทางด้านการเงินไม่เป็นไปตามประมาณการที่ตั้งไว้ และให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงินขององค์กรในระยะยาว เพื่อตอบสนองการลงทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยอาจพิจารณาผสมผสานรูปแบบ วิธีการ และเครื่องมือทางการเงินสำหรับการระดมทุนเพื่อให้มีต้นทุนทางการเงินที่เหมาะสม รวมทั้งควรพิจารณาเรื่องคุณภาพและมาตรฐานอุปกรณ์จากต่างประเทศที่จะจัดซื้อตามมาตรฐานสากล รวมถึงผู้เสนอราคา อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างค่าเงินบาทกับเงินสกุลต่างประเทศ ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ประกอบการจัดซื้อ อีกทั้งควรมีการกำกับดูแลโครงการฯ ให้แผนดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายลงทุนเป็นไปตามที่ได้รับอนุมัติไว้อย่างเคร่งครัด และเร่งรัดให้มีการเบิกจ่ายงบลงทุนในทิศทางที่สอดคล้องกับมาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายและการลงทุนของรัฐบาล การจัดส่งแผนการดำเนินงานโครงการฯ และรายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการฯ ให้กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานทราบ ตลอดจนให้ความสำคัญกับการรักษาประสิทธิภาพในการผลิตพลังงานไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานได้ตลอดอายุการใช้งาน และบริหารจัดการต้นทุนทั้งในช่วงก่อสร้างและดำเนินโครงการฯ อย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ ควรพิจารณาแหล่งเงินทุนโครงการฯ อย่างรอบคอบ โดยอาจพิจารณาให้เครื่องมือทางการเงินที่หลากหลายเพื่อให้มีต้นทุนทางการเงินที่เหมาะสม การวางแผนในเรื่องการบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนอย่างรัดกุม และระยะเวลาในการจัดหาเงินให้สอดคล้องกับแผนการเบิกจ่ายเงิน เพื่อให้วงเงินของโครงการฯ อยู่ภายใต้กรอบที่ได้รับอนุมัติไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1355 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2559 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (โครงการเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ ส่งเสริมการท่องเที่ยว สร้างอาชีพ สร้างรายได้ และกระตุ้นเศรษฐกิจของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด) | นร07 | 11/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๒๔๖,๑๑๙,๙๑๗.๕๓ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ ส่งเสริมการท่องเที่ยว สร้างอาชีพ สร้างรายได้ และกระตุ้นเศรษฐกิจ ของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด รวม ๑๐ จังหวัด ๔ กลุ่มจังหวัด จำนวน ๕๑ รายการ โดยรวมกรณีของจังหวัดฉะเชิงเทรา ๑ รายการ จำนวน ๑๔,๔๑๒,๐๐๐ บาท ด้วย ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1356 | รายงานผลการดำเนินโครงการอุตสาหกรรมรวมใจภักดิ์ รักษ์แม่น้ำ ประจำปี 2559 | อก | 04/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานผลการดำเนินโครงการอุตสาหกรรมรวมใจภักดิ์ รักษ์แม่น้ำ ประจำปี ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ มีประเด็นสำคัญ ดังนี้
๑. กระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินโครงการฯ ภายใต้แนวคิด “หนึ่งทศวรรษที่ยิ่งใหญ่ ร้อยสายใยสู่สายน้ำ” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๙ และมุ่งเน้นอนุรักษ์และฟื้นฟูคุณภาพน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำสายหลักทั่วประเทศด้วยการส่งเสริมและสนับสนุนให้โรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่ลุ่มน้ำ ใส่ใจ ดูแลสิ่งแวดล้อมและสังคม ควบคู่กับการผสานความร่วมมือจากภาคอุตสาหกรรม ภาครัฐ เยาวชน และประชาชน ในการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ ผ่านกิจกรรม ได้แก่ การจัดเสวนาให้ความรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน การจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ การประกวดภาพวาด สำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษา และการประกวดแอนิเมชัน อินโฟกราฟฟิค การคัดเลือกโรงงานเพื่อรับรางวัลการอนุรักษ์และฟื้นฟูแม่น้ำ ๒. ค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ จำนวนเงิน ๖,๐๑๗,๘๒๕ บาท จากงบประมาณแผ่นดิน ประจำปี ๒๕๕๙ ของกรมโรงงานอุตสาหกรรม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1357 | แนวทางการลดอุบัติเหตุทางถนนด้วยใบอนุญาตขับรถแบบอิเล็กทรอนิกส์ | คค | 04/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการลดอุบัติเหตุทางถนนด้วยใบอนุญาตขับรถแบบอิเล็กทรอนิกส์ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการ “มั่นใจทั่วไทยรถใช้ GPS” ได้ออกประกาศให้รถโดยสารสาธารณะและรถลากจูงที่จดทะเบียนก่อนมกราคม ๒๕๕๙ จะต้องติดตั้ง GPS ให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๖๐ ส่วนรถโดยสารสาธารณะ รถลากจูง และรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่จดทะเบียนตั้งแต่มกราคม ๒๕๕๙ ต้องติดตั้ง GPS ทันที รวมทั้งรถบรรทุกขนาดใหญ่ตั้งแต่สิบล้อขึ้นไปทุกคันจะต้องติดตั้ง GPS ให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๖๒ โดยขณะนี้กรมการขนส่งทางบกอยู่ระหว่างเร่งจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการเดินรถระบบ GPS ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ๒. โครงการจัดหาระบบและอุปกรณ์ในการออกใบอนุญาตขับรถแบบอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมระบบบริหารจัดการด้านความปลอดภัยทางถนน เป็นโครงการพัฒนากระบวนการออกใบอนุญาตขับรถรูปแบบใหม่ให้เป็นบัตรแบบพลาสติกที่มีแถบแม่เหล็ก มีคุณสมบัติในการป้องกันการปลอมแปลง เพื่อลดความเสี่ยงจากการนำไปใช้อย่างผิดกฎหมายอันก่อให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยจะนำมาใช้ร่วมกับเครื่อง GPS เพื่อควบคุมผู้ขับรถให้เกิดความปลอดภัย คาดว่าจะสามารถเริ่มออกใบอนุญาตอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าวได้ในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ ๒๕๖๐ โดยในอนาคตจะกำหนดให้ใช้ใบอนุญาตขับรถแบบใหม่นี้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ สำหรับแหล่งเงินที่จะใช้ในการดำเนินโครงการ จำนวน ๕๓๓,๗๒๙,๐๘๙ บาท ซึ่งคณะกรรมการกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนได้มีมติ (๒๑ เมษายน ๒๕๕๙) เห็นชอบให้จัดสรรเงินกองทุนฯ เพื่อการดำเนินโครงการในระยะเริ่มต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1358 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2546 และขอผ่อนผันยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2550 เพื่อก่อสร้างถนนในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ สำหรับโครงการเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น 4 ช่องจราจร (ระยะที่ 2) ทางหลวงหมายเลข 105 หรือ ทางหลวงหมายเลข 12 (ปรับใหม่) ตอน ตาก - อ. แม่สอด | คค | 04/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ได้รับการผ่อนผันและยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการขอใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ และการก่อสร้างถนนในพื้นที่อุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า สำหรับโครงการเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น ๔ ช่องจราจร (ระยะที่ ๒) ทางหลวงหมายเลข ๑๐๕ หรือทางหลวงหมายเลข ๑๒ (ปรับใหม่) ตอน ตาก-อ.แม่สอด เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย ๒. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ดำเนินการตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๖ และความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินงานอยู่ในเขตทางเดิมเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น และจะต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน แก้ไข และลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ส่วนการขอเข้าทำประโยชน์ในเขตพื้นที่ป่าไม้และเขตอุทยานแห่งชาติ ให้ดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย แนวทางปฏิบัติ ตลอดจนมติคณะรัฐมนตรีและนโยบายที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยกระทรวงคมนาคมจะต้องดำเนินการปลูกป่าทดแทนพื้นที่ป่าไม้ที่สูญเสียไปไม่น้อยกว่า ๓ เท่าของพื้นที่ป่าไม้ที่ถูกใช้ประโยชน์ (หรือไม่น้อยกว่า ๑,๒๐๐ ไร่) รวมทั้งต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคมชี้แจงให้ประชาชนในพื้นที่เข้าใจถึงเหตุผลความจำเป็นและประโยชน์ที่ประชาชนในพื้นที่และประเทศจะได้รับในการดำเนินโครงการขยายถนนสายดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1359 | แนวทางการบริหารจัดการมันสำปะหลัง ปี 2559/60 เพิ่มเติม | พณ | 04/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและรับทราบตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้เลื่อนระยะเวลาการดำเนินโครงการ ๓ โครงการ ประกอบด้วย (๑) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกมันสำปะหลังในระบบน้ำหยด (๒) โครงการสินเชื่อเพื่อยกระดับมาตรฐานการผลิตและการแปรรูปมันสำปะหลัง และ (๓) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมมันสำปะหลังและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร จากเดิมที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จะเริ่มดำเนินโครงการวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ และสิ้นสุดระยะเวลาโครงการวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๒ เป็นเริ่มดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๙ เป็นต้นไป โดยอัตราดอกเบี้ยและระยะเวลาในการชดเชยดอกเบี้ยและกรอบวงเงินงบประมาณยังคงเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๙ ๑.๒ อนุมัติโครงการพักชำระหนี้ต้นเงินและลดดอกเบี้ยให้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังที่เป็นลูกค้าของ ธ.ก.ส. จำนวนประมาณ ๕๐๐,๐๐๐ ราย รายละไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท สำหรับต้นเงินกู้ ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยเลื่อนกำหนดชำระคืนต้นเงินเป็นระยะเวลา ๒ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๙ ถึงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ และให้ ธ.ก.ส. ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แก่เกษตรกรร้อยละ ๓ และรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยแทนเกษตรกรแก่ ธ.ก.ส. แทนเกษตรกรร้อยละ ๑.๕๐ ต่อปี ระยะเวลา ๒ ปี สำหรับภาระงบประมาณในการชดเชยดอกเบี้ยไม่เกิน ๑,๒๐๐ ล้านบาท นั้น เห็นควรให้ ธ.ก.ส. ดำเนินโครงการดังกล่าวไปก่อน เนื่องจากมีสภาพคล่องทางการเงินเพียงพอ และจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อชดเชยดอกเบี้ยตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ทั้งนี้ เงื่อนไขในการดำเนินโครงการเป็นไปในลักษณะเดียวกันกับโครงการพักชำระหนี้ต้นเงินและลดดอกเบี้ยเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี ๒๕๕๙/๖๐ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๙ ๑.๓ รับทราบโครงการให้สินเชื่อเพื่อค่าใช้จ่ายฉุกเฉินสำหรับเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังที่เป็นลูกค้า ธ.ก.ส. เป้าหมาย ๕๐๐,๐๐๐ ราย วงเงินสินเชื่อรายละไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท รวมวงเงินสินเชื่อ ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยคิดดอกเบี้ยจากเกษตรกรในอัตราร้อยละ ๐.๕ ต่อเดือน (ร้อยละ ๖ ต่อปี) กำหนดชำระคืนไม่เกิน ๑๒ เดือน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม และ ธ.ก.ส. เป็นต้น ในการจัดทำแผนงาน/แนวทางการฟื้นฟูอาชีพให้กับเกษตรกรในช่วงที่มีการพักชำระหนี้ เพื่อให้เกษตรกรสามารถพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต รวมทั้งการวางแผนการผลิตที่เชื่อมโยงไปถึงตลาด ซึ่งจะทำให้เกษตรกรมีรายได้และนำมาชำระหนี้ได้ต่อไปเมื่อครบระยะเวลาที่กำหนด ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. การดำเนินโครงการพักชำระหนี้ต้นเงินและลดดอกเบี้ยให้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังจะต้องไม่มีความซ้ำซ้อนกับมาตรการช่วยเหลืออื่น ๆ ของรัฐบาล
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1360 | โครงการเมืองต้นแบบ "สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" | นร11 | 04/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” (ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๓) และแนวทางการดำเนินงานตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ วัตถุประสงค์ของโครงการเมืองต้นแบบฯ เพื่อพัฒนาพื้นที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เป็นพื้นที่เศรษฐกิจเฉพาะ ด้วยการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนจากภาคเอกชน เพื่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่และพื้นที่ใกล้เคียง โดยนำร่องในพื้นที่อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส และอำเภอเบตง จังหวัดยะลา ให้เป็นเมืองต้นแบบ ๑.๒ แผนการดำเนินงานโครงการเมืองต้นแบบฯ จำนวน ๖๓ โครงการ กรอบวงเงิน ๕,๑๗๕.๓๘๙ ล้านบาท โดยเป็นโครงการที่จะสนับสนุนให้เกิดการลงทุนของภาคเอกชนโดยเร็ว จำนวน ๓๙ โครงการ แบ่งเป็นโครงการที่ขอรับการจัดสรรงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ จำนวน ๑๗ โครงการ วงเงิน ๓๔๓.๖๔๑ ล้านบาท และโครงการที่ต้องขอรับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ จำนวน ๒๒ โครงการ วงเงิน ๑,๑๙๐.๙๕๓ ล้านบาท ๑.๓ จัดตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” เพื่อทำหน้าที่กำหนดนโยบายและแผนยุทธศาสตร์การพัฒนา รวมทั้งติดตามและประเมินผล ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เป็นต้น นำแนวทางดังกล่าวไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง และพิจารณาแนวทางการให้ประชาชนในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมและได้รับประโยชน์ในการดำเนินการด้วย ๓. สำหรับงบประมาณในการดำเนินโครงการลงทุนภายใต้โครงการเมืองต้นแบบฯ เห็นควรให้หน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการจำนวน ๖๓ โครงการ จัดทำแผนการปฏิบัติงาน การเตรียมความพร้อม และรายละเอียดค่าใช้จ่าย โดยให้ดำเนินการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ มาดำเนินงานในส่วนที่จำเป็นเร่งด่วนและมีความพร้อมที่จะดำเนินการได้ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ก่อน หากไม่เพียงพอ ก็ให้เสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสม หรือเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามขั้นตอนต่อไป รวมทั้งประสานงานกับกลุ่มจังหวัดชายแดนภาคใต้ จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา และจังหวัดนราธิวาส เพื่อพิจารณาบรรจุโครงการไว้ในแผนพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัด ๔ ปี และแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด/กลุ่มจังหวัด เพื่อให้เกิดการบูรณาการงบประมาณ ส่วนกรณีที่จะให้มีการจัดตั้งกองทุนเพื่อเป็นแหล่งทุนในระยะยาวให้กับผู้ประกอบการที่จะลงทุนในพื้นที่ นั้น เห็นควรที่กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๔. ในการจัดตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการเมืองต้นแบบฯ ให้เพิ่ม “กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้” ในองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการฯ ตามความเห็นของประธานกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ |
.....