ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 70 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 1381 - 1400 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1381 | โครงการสานพลังประชารัฐ - การพัฒนาพื้นที่บึงบางซื่อ | กค | 06/09/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการดำเนินโครงการสานพลังประชารัฐ-การพัฒนาพื้นที่บึงบางซื่อ ซึ่งเป็นการพัฒนาพื้นที่บึงบางซื่อของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (บรืษัท เอสซีจี) เป็นพื้นที่อยู่อาศัยและพื้นที่สาธารณประโยชน์ให้กับชุมชน เพื่อแก้ไขปัญหาในปัจจุบันที่ประชาชนเข้ามาบุกรุกและสร้างเป็นที่พักอาศัยอย่างหนาแน่นในลักษณะชุมชนแออัด ทำให้สภาพแวดล้อมในบริเวณดังกล่าวมีความเสื่อมโทรม ผู้ที่อยู่อาศัยในพื้นที่ดังกล่าวไม่สามารถขอทะเบียนราษฎร์และไม่สามารถเข้าถึงการให้บริการด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของรัฐได้ รวมทั้งทางเข้า-ออกที่ชุมชนใช้อยู่ในปัจจุบันยังไม่ได้ขออนุญาตการใช้อย่างถูกต้องจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงเสนอขอรับการสนับสนุนจากภาครัฐเพื่อดำเนินโครงการดังกล่าวให้เป็นโครงการต้นแบบที่ภาคธุรกิจมีส่วนร่วมในการสนับสนุนนโยบายประชารัฐ โดยขอความร่วมมือจาก รฟท. ในการอนุญาตให้ใช้พื้นที่เพื่อเป็นทางเข้า-ออก และพื้นที่จอดรถของโครงการดังกล่าว และขอให้มีการแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อขับเคลื่อนให้การทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานไปในทิศทางเดียวกัน และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนการดำเนินการภายใต้โครงการดังกล่าว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยจะต้องป้องกันมิให้เกิดปัญหาการบุกรุกในพื้นที่ ข้อขัดแย้ง การร้องเรียน และการกระทำที่ผิดกฎหมาย ๒. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคม (สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาความเหมาะสมในการออกแบบทางเข้า-ออก และสถานที่จอดรถของโครงการดังกล่าว เพื่อประกอบการพิจารณาอนุญาตใช้พื้นที่ของ รฟท. ตามขั้นตอน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1382 | แนวทางการบริหารจัดการมันสำปะหลังปี 2559/60 | พณ | 30/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติแนวทางการบริหารจัดการมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๙/๖๐ จำนวน ๔ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๙/๖๐ (๒) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกมันสำปะหลังในระบบน้ำหยด ปี ๒๕๕๙/๖๐ (๓) โครงการสินเชื่อเพื่อยกระดับมาตรฐานการผลิตและการแปรรูปมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๙/๖๐ และ (๔) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมมันสำปะหลังและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปี ๒๕๕๙/๖๐ กรอบวงเงินงบประมาณรวม ๕๖๗.๗๒๕ ล้านบาท แยกเป็นวงเงินสินเชื่อ ๔,๘๐๐ ล้านบาท วงเงินชดเชยดอกเบี้ยรวม ๕๖๗.๗๒๕ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณตามภาระที่เกิดขึ้นจริงตามความจำเป็นและเหมาะสม ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ที่เห็นควรบริหารจัดการโครงการให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด และรายงานผลการดำเนินงานให้คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลังทราบ และเมื่อสิ้นสุดโครงการควรที่จะประเมินประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และความคุ้มค่าของโครงการเพื่อประโยชน์ในการจัดทำนโยบายที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งพิจารณากำหนดแนวทางการส่งเสริมและพัฒนาที่ครอบคลุมการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าโดยเฉพาะการแปรรูปผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังประเภทต่าง ๆ โดยมีความเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์ที่จะมีการขับเคลื่อนการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ การดำเนินโครงการจะต้องมีความเหมาะสม ไม่มีความซ้ำซ้อน และทันต่อสถานการณ์ โดยคำนึงถึงประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับอย่างแท้จริง ตลอดจนประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และความเข้าใจในการดำเนินโครงการอย่างชัดเจนและทั่วถึง รวมทั้งกำหนดขั้นตอนการดำเนินงานให้ชัดเจนเพื่อให้การดำเนินงานเกิดประสิทธิภาพประสิทธิผลและเป็นประโยชน์กับอุตสาหกรรมมันสำปะหลังทั้งระบบมากที่สุด นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับมาตรการสนับสนุนด้านการตลาด ทั้งการขยายตลาดและการเชื่อมโยงผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังจากการรวบรวมของสถาบันเกษตรกร/ผู้ประกอบการไปสู่อุตสาหกรรมต่อเนื่อง และการศึกษาแนวทางการผลักดันไปสู่การแปรรูปขั้นสูงเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้มากขึ้น โดยให้สถาบันส่งเสริมสินค้าเกษตรนวัตกรรมที่ได้รับอนุมัติให้จัดตั้งตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๕๙ เข้ามาช่วยเหลือในการพัฒนาสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่มันสำปะหลังที่รวบรวมได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1383 | ขออนุมัติดำเนินงานโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อพัฒนาระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ | กษ | 30/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตรดำเนินงานโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อพัฒนาระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ ๑.๒ อนุมัติกรอบวงเงินสินเชื่อของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวน ๓,๒๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (ระยะเวลา ๓ ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๒) ๑.๓ อนุมัติค่าชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๓ ต่อปี ให้กับ ธ.ก.ส. จำนวน ๒๒๘,๖๐๐,๐๐๐ บาท ๑.๔ อนุมัติค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการ จำนวน ๘,๐๐๐,๑๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๒. ส่วนเรื่องงบประมาณให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยในส่วนของค่าชดเชยดอกเบี้ย ให้ ธ.ก.ส. เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน ทั้งนี้ ในส่วนของกลุ่มเกษตรกร/วิสาหกิจชุมชน/สหกรณ์ ที่เข้าร่วมโครงการฯ ให้จ่ายในอัตราร้อยละ ๐.๐๑ สำหรับค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีของแต่ละหน่วยงานก่อน โดยการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปี หรือเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาส่งเสริมการทำเกษตรแบบแปลงใหญ่เฉพาะในพื้นที่ที่เหมาะสมกับการทำการเกษตรประเภทนั้น ๆ เพียงเท่านั้น รวมทั้งควรติดตามและประเมินผลสำเร็จจากการดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนมีการติดตามและประเมินผลโครงการฯ และมีตัวชี้วัดที่เหมาะสมและชัดเจนโดยรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีรับทราบตามขั้นตอนต่อไป นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการสร้างการรับรู้และความเข้าใจแนวทางปฏิบัติของโครงการฯ อย่างทั่วถึง รวมทั้งควรนำบทเรียนของการดำเนินงานตามระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ที่ผ่านมาใช้ประกอบการดำเนินงาน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนด Roadmap การดำเนินการและผลสัมฤทธิ์ของโครงการให้ชัดเจน ทั้งนี้ หากการดำเนินโครงการไม่มีความคืบหน้าให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาทบทวน/เปลี่ยนแปลงแนวทางการดำเนินโครงการดังกล่าวต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1384 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 30/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านการต่างประเทศ ให้กระทรวงคมนาคมศึกษาความเป็นไปได้ในการเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟระหว่างประเทศไทยและราชอาณาจักรกัมพูชา โดยให้พิจารณาการให้ความช่วยเหลือสนับสนุนตู้โดยสารหรือหัวรถจักรซึ่งไม่ได้ใช้งานแล้วแต่ยังใช้การได้แก่ราชอาณาจักรกัมพูชาด้วย ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ ให้ทุกส่วนราชการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลให้แก่ประชาชนทุกระดับโดยมุ่งเน้นการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์ที่ประชาชนแต่ละกลุ่มจะได้รับ รวมทั้งชี้แจงด้วยว่า ในการดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลมิได้มุ่งที่จะสร้างรายได้ให้กับประเทศเท่านั้น แต่ได้ให้ความสำคัญในการดูแลช่วยเหลือประชาชนภายในประเทศทุกระดับอย่างเท่าเทียมกันด้วย ทั้งนี้ ให้ใช้ช่องทางการสื่อสารที่หลากหลาย เช่น สื่อมวลชน ผู้นำท้องถิ่น สื่อสังคมออนไลน์ ๒.๒ ให้คณะกรรมการติดตามการปฏิบัติงานตามนโยบายของรัฐบาลที่มีรองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) เป็นประธานกรรมการ ร่วมกับสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี) ติดตามผลการดำเนินการโครงการที่ใช้งบประมาณของรัฐจำนวนมาก เช่น โครงการที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย และส่งรายงานผลการติดตามให้เลขาธิการนายกรัฐมนตรีทุก ๓ เดือน เพื่อเสนอนายกรัฐมนตรีต่อไป ๒.๓ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการพัฒนาพืชสมุนไพรไทยให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้เป็นที่ยอมรับและสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากสมุนไพรไทยให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว และพิจารณากำหนดมาตรการส่งเสริมการลงทุนและการพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยที่มีศักยภาพ รวมทั้งส่งเสริมการใช้สมุนไพรและยาแผนโบราณเพื่อรักษาโรคตามแนวทางการแพทย์แผนไทยต่อไปด้วย ๒.๔ ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทยพิจารณากำหนดแนวทางเพื่อผลักดันให้จังหวัดที่ยังไม่มีการขึ้นทะเบียนสินค้าบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือสินค้าจีไอ (Geographic Indication : GI) สามารถดำเนินการขึ้นทะเบียนสินค้าจีไอภายในปี ๒๕๖๐ ๒.๕ ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งดำเนินโครงการร้านหนูณิชย์ (รถขายเคลื่อนที่) โดยให้ขยายพื้นที่เป้าหมายไปเปิดจำหน่ายในพื้นที่ชุมชน สถานที่ท่องเที่ยว หรือสวนสาธารณะ เช่น สวนวชิรเบญจทัศ (สวนรถไฟ) สวนลุมพินี ฯลฯ เพื่อสร้างโอกาสในการเข้าถึงของกลุ่มผู้บริโภคที่หลากหลายขึ้น ทั้งคนวัยทำงาน วัยรุ่น และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ อันจะส่งผลให้เกิดรายได้สู่เศรษฐกิจชุมชนและท้องถิ่นมากขึ้น ทั้งนี้ ในการดำเนินการยังต้องคงเป้าหมายหลักในเรื่องคุณภาพและรสชาติของอาหาร รวมทั้งราคาประหยัดด้วย ๒.๖ ตามที่นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการขยายการดำเนินการจำหน่ายสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ไปยังสายการบินอื่น ๆ นั้น ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาขยายช่องทางการจำหน่ายสินค้า OTOP ดังกล่าวให้หลากหลายมากยิ่งขึ้น เช่น บริเวณสถานีรถไฟ บนรถไฟเส้นทางต่าง ๆ ๓. ด้านสังคม ๓.๑ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) กำกับให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการแก้ไขปัญหาการจราจร โดยเฉพาะพื้นที่ในเขตกรุงเทพมหานคร คู่ขนานไปกับการสร้างความรู้ความเข้าใจทั้งแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ ซึ่งต้องบังคับใช้กฎหมาย โดยให้ใช้ทั้งหลักนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ควบคู่กัน รวมทั้งให้ความรู้แก่ประชาชนที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการดำเนินการแก้ไขปัญหาการจราจรของรัฐบาลทั้งในเรื่องการวางโครงข่ายคมนาคมของประเทศและการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าด้วย ๓.๒ ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาจัดให้มีเรือโดยสารรับจ้างสาธารณะขนาดเล็ก (เรือ Taxi) เพื่อบรรเทาปัญหาการจราจรในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยให้เริ่มดำเนินการในลำคลองที่มีศักยภาพก่อน ทั้งนี้ จะต้องกำกับให้มีมาตรฐานควบคุมความปลอดภัยโดยเคร่งครัดด้วย ๓.๓ ตามที่มีการเปิดใช้ขบวนรถไฟโดยสารรุ่นใหม่เส้นทางกรุงเทพฯ-นครปฐม เมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๙ นั้น พบว่า มีการบุกรุกที่ดินบริเวณสองข้างทางของการรถไฟแห่งประเทศไทยเป็นจำนวนมาก โดยคนเร่ร่อนไร้บ้านได้สร้างที่พักอาศัยชิดแนวเส้นทางเดินรถ รวมทั้งทิวทัศน์ทั้งสองข้างทางไม่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย จึงให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดำเนินการช่วยเหลือให้คนเร่ร่อนเหล่านี้มีที่อยู่อาศัยในพื้นที่อื่นที่มีความเหมาะสม และให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์ของสองข้างทางดังกล่าวให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย รวมทั้งเส้นทางอื่น ๆ ของการรถไฟแห่งประเทศไทยด้วย ๔. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๔.๑ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) กำกับและเร่งรัดการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหากองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ๔.๒ ให้ทุกส่วนราชการประเมินผลการดำเนินโครงการที่ใช้จ่ายงบประมาณของรัฐ เช่น มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย และรายงานผลให้สำนักงบประมาณทุก ๓ เดือน ๔.๓ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณากำหนดมาตรการหรือหลักเกณฑ์ในการดูแลช่วยเหลือนักกีฬาอาชีพที่สร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศโดยให้ครอบคลุมถึงอดีตนักกีฬาและนักกีฬาคนพิการด้วย ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงความเหมาะสม เป็นธรรม และความเท่าเทียมกันเป็นสำคัญ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1385 | ขอความเห็นชอบร่างกรอบความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยการกระชับความร่วมมือ ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟ ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. 2558 - 2565 ฉบับใหม่ | คค | 23/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างกรอบความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยการกระชับความร่วมมือในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟ ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ ฉบับใหม่ ซึ่งเป็นเอกสารที่มีการปรับปรุงสาระสำคัญให้สอดคล้องกับแนวทางการดำเนินโครงการและรูปแบบความร่วมมือที่เปลี่ยนแปลงไปตามที่นายกรัฐมนตรีทั้งสองฝ่ายได้เห็นชอบร่วมกัน โดยจะใช้แทนกรอบความร่วมมือฯ ฉบับเดิมที่ได้ลงนามเมื่อวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างกรอบความร่วมมือฯ ที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศไทยและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงคมนาคมนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๓. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า เพื่อให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าของโครงการความร่วมมือรถไฟไทย-จีนในปัจจุบันควรพิจารณาความเหมาะสมของการกำหนดระยะเวลาการเริ่มต้นก่อสร้างระยะแรกที่กำหนดไว้ในกรอบความร่วมมือฯ ให้สอดคล้องกับแผนดำเนินงานของฝ่ายไทยที่จะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ส่วนการดำเนินโครงการภายใต้สัญญาจัดซื้อจัดจ้างและการก่อสร้าง (อีพีซี) ที่เป็นการบริหารและการช่วยเหลือจากฝ่ายจีนตามความต้องการของฝ่ายไทย นั้น ควรระบุให้มีการสงวนสิทธิ์เพื่อให้ฝ่ายไทยสามารถพิจารณากำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะด้านการพัฒนาบุคลากรและอุตสาหกรรมระบบราง ซึ่งในเบื้องต้นฝ่ายไทยอาจกำหนดให้ฝ่ายจีนร่วมพัฒนากำหนดหลักสูตรการพัฒนาบุคลากรที่ใช้ในกิจการรถไฟความเร็วสูงทั้งระบบ และจัดตั้งโรงงานประกอบรถไฟความเร็วสูง รวมทั้งพิจารณาใช้วัสดุชิ้นส่วนภายในประเทศที่มีความเหมาะสม ซึ่งจะเป็นการวางรากฐานของการพัฒนาอุตสาหกรรมระบบรางในประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย และให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้แทนสำหรับการลงนามดังกล่าว ๕. ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดดำเนินโครงการให้สามารถเริ่มการก่อสร้างรถไฟระยะแรกได้ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ รวมทั้งให้พิจารณาการเชื่อมโยงกับโครงการรถไฟความเร็วสูงของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวให้มีความชัดเจนด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1386 | มติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2559 | ทก | 23/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ตามที่ประธานกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการพัฒนากฎหมายอวกาศ แบ่งออกเป็น ๒ ประเด็นหลัก ได้แก่ การประสานงานกับต่างประเทศ และด้านการจัดกิจกรรมการพัฒนากฎหมายในประเทศ ๒. รับทราบผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการดาวเทียมสื่อสารภาครัฐเพื่อความมั่นคงเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินโครงการดาวเทียมสื่อสารภาครัฐเพื่อความมั่นคง และแนวทางการดำเนินงานภายหลังสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศสิ้นสุดในปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ๓. รับทราบมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๙ เรื่องโครงการระบบดาวเทียมสำรวจเพื่อพัฒนา (THEOS-2) ๔. รับทราบผลการศึกษาแนวทางการบริหารจัดการดาวเทียมสื่อสารหลังสิ้นสุดสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ โดยในการจัดทำดาวเทียมภาครัฐเองอาจจะไม่คุ้มค่า แต่หากอนาคตมีความต้องการเพิ่มมากขึ้นก็มีความคุ้มค่าที่จะสามารถทำได้ ๕. รับทราบข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารมวลชน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในการบริหารทรัพยากรอวกาศเพื่อการสื่อสาร ได้แก่ การดำเนินการกับวงโคจรดาวเทียมที่รัฐได้รับการจัดสรร การกำหนดนโยบายการใช้ประโยชน์ในตำแหน่งวงโคจร การกำหนดให้กิจการดาวเทียมสื่อสารแยกออกจากกิจการโทรคมนาคม และการทบทวนบทบาทหน้าที่ของหน่วยงานกำกับดูแลกิจการดาวเทียมสื่อสารให้ชัดเจน ๖. เห็นชอบให้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาแนวทางการกำหนดสิทธิในการใช้วงโคจรดาวเทียมของประเทศเพื่อพิจารณาแนวทางการกำหนดสิทธิในการใช้วงโคจรดาวเทียมของประเทศให้สอดคล้องกับกฎ ระเบียบ ข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง กำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและขั้นตอนการอนุญาต รวมทั้งการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการใช้เอกสารข่ายงานดาวเทียม (filing) ของผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม ๗. มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการดำเนินการตามกระบวนการเดิมในการจัดทำคำสั่งแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติที่จะหมดวาระเดือนมิถุนายน ๒๕๕๙ แล้วเสนอรองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ประธานคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ เพื่อนำเสนอนายกรัฐมนตรีลงนามในคำสั่งแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1387 | รายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง การพิจารณาศึกษาผลการดำเนินงานของกรมธนารักษ์ กรณีการดำเนินโครงการการประเมินราคาทุนทรัพย์ที่ดินและกรณีการดำเนินโครงการการบริหารจัดการที่ราชพัสดุ | กค | 17/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง การพิจารณาศึกษาผลการดำเนินงานของกรมธนารักษ์ กรณีการดำเนินโครงการการประเมินราคาทุนทรัพย์ที่ดินและกรณีการดำเนินโครงการการบริหารจัดการที่ราชพัสดุ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป โดยผลการพิจารณาสรุปได้ ดังนี้
๑. กรณีการดำเนินโครงการประเมินราคาทุนทรัพย์ที่ดิน กรมธนารักษ์ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเสริมสร้างความเข้มแข็งและก้าวหน้าของประเทศตามแนวทางปฏิรูป เพื่อดำเนินโครงการจัดทำฐานภาษีเพื่อรองรับการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จำนวน ๘๑๙.๑๐๔ ล้านบาท คาดว่าจะสามารถดำเนินโครงการดังกล่าวแล้วเสร็จและมีราคาประเมินที่ดินรายแปลงครบ ๓๒ ล้านแปลงทั่วประเทศภายในปี ๒๕๖๐ ๒. กรณีการดำเนินโครงการบริหารจัดการที่ราชพัสดุ กรมธนารักษ์ได้สำรวจข้อมูลที่ดินราชพัสดุที่เป็นที่ว่างไม่ใช้ประโยชน์ในราชการหรือใช้ประโยชน์ในราชการไม่เต็มพื้นที่เพิ่มเติม เพื่อขอคืนและนำมาสนับสนุนการดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาด้านที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย (Social Enterprise) โดยกรมธนารักษ์ได้ทำหนังสือแจ้งให้ส่วนราชการส่งคืนที่ราชพัสดุ และจัดให้มีการประชุมชี้แจงทำความเข้าใจกับส่วนราชการในการนำที่ราชพัสดุไปสนับสนุนการดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวแล้ว รวมทั้งได้กำหนดแนวทางการดำเนินการโครงการพัฒนาที่ราชพัสดุไว้ในแผนบริหารจัดการที่ราชพัสดุ เป้าหมาย ๕ ปี (ปี พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๓) และแผนปฏิบัติ ๑ ปี (ปี พ.ศ. ๒๕๕๙) โดยมีคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๗ ซึ่งมีอำนาจหน้าที่บริหารจัดการการใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐทั่วประเทศในภาพรวมให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันด้วยแล้ว |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1388 | รายงานผลการพิจารณาศึกษาข้อเสนอโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินสะอาด ณ บ้านน้ำบ่อ อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี ของคณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | พน | 17/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาศึกษาข้อเสนอโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินสะอาด ณ บ้านน้ำบ่อ อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี ของคณะกรรมาธิการการพลังงาน ซึ่งกระทรวงพลังงาน (สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน) ได้จัดประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว สรุปได้ว่า โครงการนี้จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๗๙ (PDP 2015) ซึ่งยังไม่มีความต้องการโรงไฟฟ้าถ่านหินในภาคใต้ใหม่จนกว่าช่วงเวลา พ.ศ. ๒๕๖๙ เป็นต้นไป ดังนั้น การที่จะมีการดำเนินโครงการในช่วงเวลาปัจจุบัน ซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อโครงการที่อยู่ระหว่างการดำเนินงาน เช่น โรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ โรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และการเปิดรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าชีวมวลด้วยระบบ FiT-Bidding ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน จึงอาจจะสร้างความสับสนมากกว่าที่จะช่วยสร้างความชัดเจนต่อการขับเคลื่อนแผน PDP 2015 ดังนั้น จึงเห็นว่าโครงการนี้ควรมีการชะลอออกไปก่อน ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และแจ้งให้สำนักเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1389 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองเมืองปัก จังหวัดนครราชสีมา พ.ศ. .... | มท | 17/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองเมืองปัก จังหวัดนครราชสีมา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลธงชัยเหนือ ตำบลตะคุ ตำบลเมืองปัก ตำบลนกออก และตำบลงิ้ว อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน และกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นควรให้มีการตรวจสอบรายละเอียดแผนที่ท้ายกฎกระทรวงฯ ในขั้นตอนการตรวจพิจารณาร่างกฎกระทรวงฯ ก่อน เพื่อป้องกันปัญหาผลกระทบต่อการใช้ประโยชน์เพื่อการปฏิรูปที่ดิน และการบังคับใช้กฎกระทรวงฯ ต้องคำนึงถึงความสอดคล้องกับการดำเนินโครงการตามแผนพัฒนาด้านพลังงานที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบแล้ว และประกาศคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์และรายละเอียดของโครงการหรือกิจกรรมที่ได้รับการยกเว้นการใช้บังคับผังเมืองรวม สำหรับการประกอบกิจการบางประเภท รวมทั้งข้อกำหนดของร่างกฎกระทรวงฯ อาจส่งผลให้ไม่สามารถตั้งหรือขยายโรงงานได้ และก่อให้เกิดผลกระทบต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองสนับสนุนให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นกำกับ ดูแล และอนุมัติการใช้ประโยชน์ที่ดินริมฝั่งลำคลองหรือแหล่งน้ำสาธารณะอย่างเข้มงวด ไม่ให้มีการรุกล้ำลำน้ำ เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำทั้งระบบอย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1390 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนปง จังหวัดพะเยา พ.ศ. .... | มท | 17/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนปง จังหวัดพะเยา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลนาปรัง ตำบลควร และตำบลปง อำเภอปง จังหวัดพะเยา เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะและสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน และกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นว่าร่างกฎกระทรวงฯ มีเขตดำเนินการทับซ้อนกับเขตปฏิรูปที่ดิน ดังนั้น ในขั้นตอนการตรวจพิจารณาควรมีการตรวจสอบรูปแผนที่ให้ชัดเจนก่อนดำเนินการ รวมทั้งการใช้บังคับร่างกฎกระทรวงฯ ต้องคำนึงถึงความสอดคล้องกับการดำเนินโครงการตามแผนพัฒนาด้านพลังงานที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบแล้ว และประกาศคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์และรายละเอียดของโครงการหรือกิจกรรมที่ได้รับการยกเว้นการใช้บังคับกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวม สำหรับการประกอบกิจการบางประเภท นอกจากนี้ข้อกำหนดของร่างกฎกระทรวงฯ อาจส่งผลให้ไม่สามารถตั้งหรือขยายโรงงานได้ และก่อให้เกิดผลกระทบต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองพิจารณาสนับสนุนให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นกำกับ ดูแล และอนุมัติการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันน้ำท่วมซ้ำซาก ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1391 | ขอความเห็นชอบและอนุมัติการลงนามใน MoU โครงการ Implementing the Strategic Action Programme (SAP) for the South China Sea | ทส | 17/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการลงนามบันทึกความเข้าใจในกลุ่มประเทศแถบทะเลจีนใต้เกี่ยวกับการประสานงานการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการเชิงกลยุทธ์สำหรับทะเลจีนใต้ เนื่องจากเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่สามารถดำเนินการได้ ซึ่งเป็นการจัดทำความตกลงในระดับหน่วยงานมิใช่ระดับรัฐและไม่เข้าลักษณะเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการของประเทศเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของแผนปฏิบัติการเชิงกลยุทธ์ ควรมีการประสานกับหน่วยงานและสถาบันการศึกษาที่มีการดำเนินงานวิจัยเกี่ยวข้องกับทรัพยากรชีวภาพชายฝั่งทะเลรวมถึงเครือข่ายองค์กรบริหารงานวิจัยแห่งชาติ เพื่อประสานและเสริมการทำงานร่วมกันให้เกิดประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น รวมทั้งควรมีการเตรียมการรองรับการดำเนินงานภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ ทั้งในประเด็นการแบ่งมอบหน่วยงานรับผิดชอบและการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ประเทศไทยสามารถปฏิบัติตามพันธกรณีได้อย่างเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1392 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พร้อมขออนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเสริมสร้างความเข้มแข็งและก้าวหน้าของประเทศตามแนวทางปฏิรูป (โครงการก่อสร้างระบบระบายน้ำในถนนสายหลักพื้นที่กรุงเทพมหานคร) | มท | 17/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณโครงการก่อสร้างระบบระบายน้ำในถนนสายหลักพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน ๑๑ โครงการ เป็นเงิน ๒,๒๐๘,๗๙๐,๐๐๐ บาท ระยะเวลาดำเนินการ ๒ ปี (ผูกพันงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๙-พ.ศ. ๒๕๖๐) รวมทั้งจัดสรรงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเสริมสร้างความเข้มแข็งและก้าวหน้าของประเทศตามแนวทางปฏิรูป เป็นเงิน ๔๔๑,๗๕๘,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ ให้กรุงเทพมหานครเร่งรัดการดำเนินการให้ทันต่อสถานการณ์ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน ตลอดจนจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเสริมสร้างความเข้มแข็งและก้าวหน้าของประเทศตามแนวทางปฏิรูป และรายละเอียดประกอบการพิจารณาให้ครบถ้วน ก่อนขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ สำหรับงบประมาณส่วนที่เหลือ จำนวน ๑,๗๖๗,๐๓๒,๐๐๐ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อ ๆ ไป โดยให้อยู่นอกกรอบวงเงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้แก่กรุงเทพมหานคร และให้นับรวมอยู่ในสัดส่วนรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ก่อนการดำเนินโครงการฯ กรุงเทพมหานครควรให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่จะเกิดแก่ประชาชนที่สัญจรไปมา รวมถึงผลกระทบที่อาจเกิดกับการจราจรในพื้นที่และบริเวณใกล้เคียง ทั้งนี้ เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จ กรุงเทพมหานครต้องเตรียมการจัดสรรงบประมาณสำหรับการบริหารจัดการระบบระบายน้ำให้สามารถดำเนินการได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1393 | ขอความเห็นชอบแผนแม่บทโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง (พ.ศ. 2559 - 2567) และขออนุมัติการดำเนินโครงการอาคารพักอาศัยแปลง G ของการเคหะแห่งชาติ | พม | 17/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการแผนแม่บทโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๗) โดยการเคหะแห่งชาติใช้ประโยชน์พื้นที่ในชุมชนดินแดง ประมาณ ๒๐๗ ไร่ เป็นที่ดินของการเคหะแห่งชาติ ประมาณ ๑๙.๕ ไร่ และดำเนินการบนพื้นที่ราชพัสดุซึ่งใช้ในการพัฒนาโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดงประมาณ ๑๘๗.๕๓ ไร่ ๒. เห็นชอบในหลักการกรอบแผนการลงทุนพัฒนาพื้นที่ตามแผนแม่บทโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๗) วงเงิน ๓๕,๗๕๔.๒๕ ล้านบาท โดยใช้แหล่งเงินกู้ภายในประเทศ และอนุมัติการดำเนินโครงการอาคารพักอาศัย แปลง G วงเงิน ๔๖๐.๕๓ ล้านบาท โดยรัฐบาลสนับสนุนการชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ ๒.๑๕ ต่อปี ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รับความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และกรุงเทพมหานคร ที่เห็นควรให้การเคหะแห่งชาติดำเนินการในประเด็นต่าง ๆ เพิ่มเติมเพื่อให้การดำเนินโครงการเกิดประสิทธิภาพและประโยชน์สูงสุดต่อชุมชน เช่น การพิจารณาให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมลงทุนในการพัฒนาเชิงพาณิชย์ การพิสูจน์สิทธิและเงื่อนไขการชดเชยสิทธิเช่าของผู้อยู่อาศัยเดิม เพื่อป้องกันการขายสิทธิต่อและการเช่าช่วง รวมถึงการกำหนดพื้นที่เช่าเชิงพาณิชย์และเชิงสังคมให้มีความเหมาะสม ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย ๔. เห็นชอบในหลักการการจ่ายค่าชดเชยสิทธิในการเช่าและการจ่ายเงินช่วยเหลือค่าขนย้ายสำหรับผู้อยู่อาศัยเดิมที่เป็นคู่สัญญากับการเคหะแห่งชาติ ส่วนอัตราการจ่ายให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ โดยการจ่ายค่าชดเชยสิทธิในการเช่าสำหรับผู้อยู่อาศัยเดิมที่เป็นคู่สัญญากับการเคหะแห่งชาติที่ประสงค์จะย้ายออกจากโครงการ จะจ่ายเป็นเงินชดเชยสิทธิหน่วยละ ๔๐๐,๐๐๐ บาท และจ่ายเงินช่วยเหลือค่าขนย้ายสำหรับผู้อยู่อาศัยเดิมที่เป็นคู่สัญญากับการเคหะแห่งชาติ หน่วยละ ๑๐,๐๐๐ บาท ๕. ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๓ (เรื่อง ขออนุมัติแผนผังแม่บทการพัฒนาพื้นที่และฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง) เฉพาะประเด็นข้อ ๕.๗ ที่กำหนดให้ต้องมีการจัดสรรพื้นที่ในพื้นที่เชิงพาณิชย์จำนวนหนึ่งเพื่อให้สิทธิผู้อยู่อาศัยเดิมได้เช่าเป็นอันดับแรกในอัตราค่าเช่าพิเศษ โดยไม่มีการโอนสิทธิหรือกิจการไปให้อีกคนหนึ่งโดยได้ค่าตอบแทน (ค่าเซ้ง)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1394 | ทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แผนดำเนินการและแนวปฏิบัติในการดำเนินโครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2559/60 | กค | 17/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๙ (เรื่อง แผนดำเนินการและแนวปฏิบัติในการดำเนินโครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐) โดยกำหนดให้เกษตรกรผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการฯ เป็นเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ และมีคุณสมบัติอื่น ๆ ตามแผนดำเนินการและแนวปฏิบัติในการดำเนินโครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ (ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแผนฯ ดังกล่าว เมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๙) และให้มีการตรวจสอบคุณสมบัติของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ เพิ่มเติม โดยจะต้องเป็นเกษตรกรผู้ปลูกข้าวตามทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในช่วง ๒-๓ ปี ที่ผ่านมา ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในฤดูการเพาะปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๕๙ ด้านเศรษฐกิจ ๒. ให้คณะกรรมการบริหารระดับพื้นที่ชี้แจงทำความเข้าใจกับเกษตรกรให้ชัดเจนเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การเข้าร่วมโครงการและพิจารณากลั่นกรองเกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการฯ ทั้งโครงการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรของกระทรวงการคลัง (โครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐) และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงกระบือ โคเนื้อ แพะ การทำนาหญ้า และโครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวไม่เหมาะสมเป็นเกษตรกรรมทางเลือกอื่น) โดยเกษตรกรจะต้องเลือกใช้สิทธิ์เข้าร่วมในโครงการใดโครงการหนึ่งเท่านั้น ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๕๙ ด้านเศรษฐกิจ ๓. ในกรณีที่กระทรวงมหาดไทยมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณในการดำเนินโครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ ให้กระทรวงมหาดไทยขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ควรร่วมกันบูรณาการการพัฒนา Agri-Map เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการเชิงนโยบายในระดับพื้นที่ให้มีความชัดเจนมากขึ้นและสามารถใช้ประโยชน์ในการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรมหรือโซนนิ่งเกษตร ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1395 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 17/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) กำกับให้กระทรวงคมนาคมเร่งหารือการดำเนินโครงการเชื่อมต่อเส้นทางรถไฟระหว่างประเทศไทยกับมาเลเซีย เพื่อขยายการเชื่อมโยงไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่มีพื้นที่ต่อเนื่องกัน ๒. ด้านการต่างประเทศ ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการให้มีการชี้แจงยุทธศาสตร์และแผนการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ของประเทศไทยเป็นวาระพิเศษเพิ่มเติมในการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ ๒ (2nd ACD Summit) ที่จะมีขึ้นในช่วงเดือนตุลาคม ๒๕๕๙ ที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งจะมีหัวหน้าคณะผู้แทนระดับผู้นำประเทศหรือผู้แทนระดับสูงจากประเทศสมาชิกเดินทางมาเข้าร่วมประชุม ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาการคัดค้านการดำเนินโครงการบ้านประชารัฐบนพื้นที่ราชพัสดุตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๕๙ โดยให้ชี้แจงข้อมูลข้อเท็จจริงและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชนในพื้นที่ให้ทั่วถึงเป็นการล่วงหน้า รวมทั้งจัดหาพื้นที่ที่เหมาะสมเพื่อให้สามารถดำเนินโครงการได้ตามวัตถุประสงค์ ๓.๒ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) และรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) กำกับติดตามให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดทำหนังสือซึ่งรวบรวมแนวความคิด หลักการและเหตุผลในการดำเนินนโยบายสำคัญต่าง ๆ ของรัฐบาลให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๖๐ เพื่อใช้เผยแพร่ให้ทุกภาคส่วนและต่างประเทศได้ทราบแนวคิดในการดำเนินการเรื่องดังกล่าวต่อไป ๓.๓ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน และกระทรวงสาธารณสุขพิจารณากำหนดมาตรการเยียวยาช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตกรณีเหตุระเบิดและไฟไหม้ใน ๗ จังหวัดภาคใต้ ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๙ ทั้งนี้ ให้พิจารณาให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์การให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บจากกรณีเหตุระเบิดบริเวณแยกราชประสงค์เมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๘ ด้วย ๓.๔ ให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางในการขยายการดำเนินการเพื่อส่งเสริมสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือสินค้าจีไอ (Geographical Indication : GI) ของไทยจากเดิมที่เน้นผลิตภัณฑ์ผ้าและอาหาร เป็นผลิตภัณฑ์ซึ่งมีการแปรรูป เช่น เครื่องใช้หรือเครื่องประดับที่ใช้พืช วัตถุดิบในท้องถิ่น หรือใช้ความชำนาญ หรือภูมิปัญญาท้องถิ่น ๓.๕ ให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน พิจารณากำหนดเป้าหมายการนำนักเรียนที่อยู่นอกระบบการศึกษาเข้าสู่ระบบการศึกษาและเร่งรัดการดำเนินการให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดต่อไป พร้อมทั้งให้พิจารณาเพิ่มเติมเนื้อหาการเรียนการสอนให้มีลักษณะเป็นการเชื่อมโยงการเรียนรู้ทั้งในและนอกห้องเรียน เช่น ความรู้เกี่ยวกับการดำรงชีวิตประจำวัน ความรู้เกี่ยวกับต้นไม้และทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ความรู้เกี่ยวกับดาราศาสตร์ เป็นต้น ๓.๖ ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ ให้กระทรวงศึกษาธิการ (มหาวิทยาลัยมหิดล) เร่งรัดการดำเนินโครงการสถาบันทางด้านพันธุกรรมเฉพาะบุคคลและเวชพันธุรักษ์ระดับนานาชาติของมหาวิทยาลัยมหิดล (คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล) และนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป และข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ให้กระทรวงศึกษาธิการรายงานความคืบหน้าให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยด่วน นั้น ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดนำเรื่องดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว ๓.๗ ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๕๙ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพิจารณาดำเนินการศึกษา ค้นคว้า และวิจัยวิธีการกำจัดผักตบชวา เพื่อยับยั้งการแพร่พันธุ์เพิ่มขึ้น นั้น ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว และให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการที่ยั่งยืนในการแก้ไขปัญหาผักตบชวาในแม่น้ำลำคลอง เช่น นำผักตบชวาไปใช้ให้เกิดประโยชน์มากยิ่งขึ้น ให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา กำหนดมาตรการทางกฎหมาย และทบทวนแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ๓.๘ ให้กระทรวงพาณิชย์หารือร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางในการประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการปรุง การบริโภค และการใช้ผลิตภัณฑ์อาหารไทยทั่วโลก ตลอดจนการรับรองร้านอาหารไทยในต่างประเทศให้มีมาตรฐานคุณภาพที่เหมาะสมและเป็นไปในแนวทางเดียวกัน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1396 | วีดิทัศน์เรื่อง ขอความเห็นชอบแผนแม่บทโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง (พ.ศ. 2559 - 2567) และขออนุมัติการดำเนินโครงการอาคารพักอาศัยแปลง G ของการเคหะแห่งชาติ | พม | 17/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1397 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 09/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๙) เห็นชอบให้กระทรวงการคลังดำเนินโครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ นั้น ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการ ๑.๑.๑ ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดดำเนินโครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ โดยเกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการต้องเป็นเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ และต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในฤดูกาลเพาะปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ ๑.๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดเสนอโครงการปรับเปลี่ยนการผลิตในพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสม โดยการสนับสนุนความช่วยเหลือให้ดำเนินการผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ๑.๑.๓ ให้คณะกรรมการบริหารระดับพื้นที่ชี้แจงทำความเข้าใจหลักเกณฑ์การเข้าร่วมโครงการและพิจารณากลั่นกรองเกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการ ทั้งโครงการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรของกระทรวงการคลังและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยเกษตรกรจะต้องเลือกใช้สิทธิ์เข้าร่วมในโครงการใดโครงการหนึ่งเท่านั้น ๑.๒ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงแรงงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งผลิตแรงงานให้ตรงกับข้อมูลประมาณการความต้องการกำลังคนในสาขาต่าง ๆ และพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานให้สอดคล้องกับแนวโน้มความต้องการในอนาคต รวมทั้งเร่งผลิตแรงงานในสาขาที่ต่างประเทศมีความต้องการ เช่น แม่ครัว คนเลี้ยงเด็ก คนดูแลคนชรา นั้น ๑.๒.๑ ให้กระทรวงแรงงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกันพัฒนาและยกระดับแรงงานไทยให้ครอบคลุมทั้งกระบวนการ เช่น การสำรวจข้อมูลความต้องการแรงงานไทยจากตลาดแรงงานในประเทศและต่างประเทศ การพัฒนาความรู้ความสามารถและทักษะให้ทันกับสภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป และความต้องการของตลาด การส่งออกแรงงานไทยที่ต้องมีหน่วยงานรับผิดชอบและมีมาตรฐานที่ชัดเจน ตลอดจนการพิจารณาจัดตั้งโรงงานตามแนวชายแดนเพื่อรองรับการขยายตัวของแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน ๑.๒.๒ ให้กระทรวงแรงงานเร่งรัดการกำหนดมาตรฐานแรงงานอาชีพต่าง ๆ เช่น แม่ครัว คนเลี้ยงเด็ก คนดูแลคนชรา รวมทั้งออกใบรับรองมาตรฐานอาชีพให้แก่แรงงานเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการประกอบอาชีพทั้งในประเทศและต่างประเทศต่อไป ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายใน ๓ เดือน ๑.๓ ในการทำความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดรายละเอียดการดำเนินการต่าง ๆ ให้ชัดเจน เช่น ขนาดหรือประเภทของรถยนต์ และจำนวนรถยนต์ที่สามารถข้ามพรมแดนได้ และให้พิจารณาให้ครอบคลุมถึงโครงสร้างพื้นฐานอื่นและระบบงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องที่ต้องปฏิบัติบริเวณพรมแดนให้ครบถ้วนเพื่อประกอบการหารือกับคู่ภาคี เช่น การตรวจคนเข้าเมือง ระบบศุลกากร ทั้งนี้ ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลักและอยู่บนหลักการปฏิบัติต่างตอบแทน ๒. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑ มีนาคม ๒๕๕๙) รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอว่า ในช่วงระยะเวลาหลังจากร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติแล้ว สภานิติบัญญัติแห่งชาติจะต้องพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหลายฉบับและต้องพิจารณาโดยเร็ว และเพื่อให้การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและตามกรอบระยะเวลา จึงให้ส่วนราชการเร่งรัดเสนอร่างพระราชบัญญัติในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อคณะรัฐมนตรี รวมทั้งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งรัดการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว นั้น บัดนี้ ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้ผ่านประชามติโดยผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติเห็นชอบด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญฯ แล้ว จึงให้ส่วนราชการและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวด้วย ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติ (๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๗) เห็นชอบและอนุมัติการดำเนินโครงการลานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชแล้ว นั้น ให้คณะกรรมการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษถนนราชดำเนิน และกระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) เร่งรัดการดำเนินโครงการดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๓.๒ ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายในการจัดให้มีรุกขกรเพื่อทำหน้าที่ดูแลรักษาและตัดแต่งต้นไม้ใหญ่ทั่วประเทศ นั้น ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการจัดหาและพัฒนารุกขกรให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญในสายอาชีพให้เป็นไปตามหลักวิชาการต่อไป ทั้งนี้ ให้สร้างเครือข่ายในระดับพื้นที่ เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน เพื่อทำหน้าที่สอดส่องดูแลและป้องกันการลักลอบตัดต้นไม้ในพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตัดไม้มีค่าและไม้หวงห้าม เช่น ไม้พะยูง ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1398 | ขออนุมัติดำเนินโครงการ/งานในลักษณะงบลงทุนของกองบัญชาการกองทัพไทย | กห | 02/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กองบัญชาการกองทัพไทยดำเนินโครงการก่อสร้างอาคารอเนกประสงค์ สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ และงานจัดหาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์พร้อมติดตั้งซอฟแวร์ โดยให้สามารถลงนามจัดซื้อจัดจ้างได้ภายหลังวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย ทั้งนี้ การดำเนินโครงการก่อสร้างและการจัดหาครุภัณฑ์คอมพิวเตอร์ดังกล่าว ขอให้กองบัญชาการกองทัพไทยดำเนินการตามประกาศหรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี หนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง และมาตรฐานของทางราชการ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงกลาโหมได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๙ (เรื่อง หลักเกณฑ์และแนวทางการจัดทำร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. ....) ๓. ให้กระทรวงกลาโหมเร่งรัดการก่อหนี้ผูกพันและดำเนินโครงการดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็วต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1399 | ผลการประชุม เรื่อง แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ระหว่างนายกรัฐมนตรีกับส่วนราชการ ภาคเอกชน และ ศอ.บต. เมื่อวันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม 2559 | นร11 | 02/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมเรื่อง แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ระหว่างนายกรัฐมนตรีกับส่วนราชการ ภาคเอกชน และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามผลการประชุมฯ ดังกล่าว และรายงานผลการดำเนินการให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทราบต่อไป สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ โครงการเมืองต้นแบบ "สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" (จังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส) มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ศอ.บต. หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนกลางและในพื้นที่จัดทำรายละเอียดโครงการฯ โดยพิจารณาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ รวมทั้งผลกระทบให้ครอบคลุมทุกมิติทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และความมั่นคง และเสนอให้รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงร่วมกับฝ่ายเศรษฐกิจ เพื่อพิจารณากลั่นกรองและนำเสนอคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนต่อไป ๑.๒ โครงการพัฒนาด้านศุลกากรบูเก๊ะตา ตำบลโล๊ะจูด อำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการคลัง โดยกรมศุลกากร รับไปดำเนินการเร่งรัดการก่อสร้างโครงการฯ ระยะที่ ๓ ให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๕๙ การปรับปรุงเพิ่มเติมงานก่อสร้างด่าน ระยะที่ ๒ และการจัดสรรอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ศุลกากรเพื่อรองรับการเปิดด่านได้ก่อนภายในปี ๒๕๖๐ รวมทั้งพิจารณาปรับปรุงและขยายด่านศุลกากรบูเก๊ะตา (ระยะที่ ๔) เพื่อเปิดด่านอย่างเต็มรูปแบบให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๖๑ ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของ ศอ.บต. ที่เห็นควรให้มีการบูรณาการการทำงานจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งในระดับนโยบายและระดับปฏิบัติสนับสนุนการทำงานให้เกิดเมืองต้นแบบที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทุกด้านภายใต้กรอบแนวทางการทำงานร่วมกัน ให้เกิดการเชื่อมโยงทุกมิติการพัฒนาทุกด้านและให้มีการกำกับ ติดตามและรายงานให้ผู้บริหารระดับนโยบายทราบและพิจารณาเป็นระยะ ไปพิจารณาดำเนินการ รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อสั่งการเพิ่มเติมของนายกรัฐมนตรีที่ให้มีการจัดหาที่ดินเพิ่มเติมเพื่อการดำเนินโครงการพัฒนาด่านศุลกากรบูเก๊ะตา และพื้นที่เศรษฐกิจจังหวัดนราธิวาสด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1400 | ขอความเห็นชอบร่างบันทึกความร่วมมือด้านระบบราง ระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่งและการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น และร่างบันทึกความร่วมมือด้านความปลอดภัยทางถนน ระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่งและการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น | คค | 02/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอเพิ่มเติมว่า ขอแก้ไขข้อความในข้อ ๑ (๑) (๒) (๓) และข้อ ๒ (๑) ของร่างบันทึกความร่วมมือด้านระบบรางระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่งและการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น เป็นดังนี้ ๑.๑ ทั้งสองฝ่ายยืนยันการดำเนินการร่วมกันในโครงการต่าง ๆ ดังนี้ (๑) การพัฒนา BCHSR จะใช้ระบบรถไฟความเร็วสูง/ชินคันเซ็นของญี่ปุ่น รวมถึงการใช้รางเฉพาะตลอดเส้นทาง การใช้ระบบอาณัติสัญญาณและขบวนรถไฟเป็นระบบย่อยหลัก (ต่อไปนี้จะเรียกว่า “ระบบรถไฟความเร็วสูง/ชินคันเซ็น”) (๒) รูปแบบการลงทุนและการเงินสำหรับการพัฒนาและการดำเนินการ BCHSR ทั้งสองฝ่ายจะเร่งรัดผลการศึกษาความเหมาะสมเบื้องต้นของโครงการให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๕๙ และจะร่วมกันพิจารณาเสนอแนะรูปแบบการลงทุนและการเงินที่เหมาะสมต่อไป (๓) เพื่อให้การดำเนินการ BCHSR เป็นไปอย่างราบรื่น จะแบ่งการดำเนินโครงการเป็น ๒ ระยะ คือ ช่วงกรุงเทพมหานคร- พิษณุโลก และช่วงพิษณุโลก-เชียงใหม่ โดยจะเริ่มดำเนินการช่วงกรุงเทพมหานคร-พิษณุโลกก่อน ๑.๒ จากการพิจารณาร่วมกัน ทั้งสองฝ่ายเห็นควรที่จะพัฒนา BCHSR ดังต่อไปนี้ (๑) เมื่อฝ่ายไทยตัดสินใจใช้ระบบรถไฟความเร็วสูง/ชินคันเซ็นของญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการแล้ว ฝ่ายญี่ปุ่นจะดำเนินการโครงการศึกษาของ JICA สำหรับ BCHSR ต่อ และจะจัดทำรายงานขั้นสุดท้าย ซึ่งประกอบด้วย รายละเอียดเส้นทาง ที่ตั้งสถานี และต้นทุนโครงการเบื้องต้นให้แล้วเสร็จภายใน ๖ เดือน ๒. เห็นชอบร่างบันทึกความร่วมมือด้านระบบราง ระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่งและการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น มีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินการให้มีความร่วมมือด้านระบบรางระหว่างประเทศไทย-ญี่ปุ่น ในระดับกระทรวงให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น และร่างบันทึกความร่วมมือด้านความปลอดภัยทางถนน ระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่งและการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาความปลอดภัยทางถนนของประเทศไทย โดยให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงในประเทศไทยต้องศึกษาความเหมาะสมทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเงินอย่างละเอียดและรอบคอบ และให้ความสำคัญกับการกำหนดโครงสร้างองค์กรที่เหมาะสมในระดับนโยบายที่ทำหน้าที่กำกับดูแลมาตรฐานการให้บริการ ความปลอดภัย และอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสม และไม่เป็นภาระทางการเงินแก่ภาครัฐในระยะยาว พร้อมทั้งพิจารณามอบหมายหน่วยงานรับผิดชอบที่ชัดเจนเพื่อรองรับการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์การพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงให้กับบุคลากรที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ ควรพิจารณาแนวทางการบูรณาการการทำงานด้านความปลอดภัยทางถนนร่วมกันกับคณะกรรมการนโยบายการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนแห่งชาติที่มีกระทรวงมหาดไทยเป็นกระทรวงรับผิดชอบหลัก เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากกรอบความร่วมมือด้านความปลอดภัยทางถนนภายใต้ความร่วมมือระหว่างประเทศไทย-ญี่ปุ่น ได้อย่างเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างบันทึกความร่วมมือดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยในร่างบันทึกความร่วมมือดังกล่าว ๔. ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) |
.....