ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 64 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 1261 - 1280 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1261 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | กค | 07/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ดังนี้
๑. ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ เห็นชอบและอนุมัติในหลักการโครงการสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ นั้น ให้กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการดำเนินการโครงการดังกล่าวให้แก่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย โดยเฉพาะเจ้าหนี้และลูกหนี้นอกระบบให้ถูกต้องและทั่วถึง รวมทั้งให้ติดตามและประเมินผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบเป็นระยะ ๆ ด้วย ๒. ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ รับทราบโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี ๒๕๖๐ ซึ่งมีกำหนดให้ประชาชนผู้สมัครใจเข้าร่วมโครงการดังกล่าวสามารถลงทะเบียนเพิ่มเติมได้ในระหว่างวันที่ ๓ เมษายน-๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และมอบหมายให้กระทรวงการคลังประชาสัมพันธ์การดำเนินโครงการดังกล่าวให้ประชาชนทราบอย่างทั่วถึงด้วย นั้น ให้กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์มาตรการหรือโครงการอื่น ๆ ของรัฐที่เป็นการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยควบคู่ไปพร้อมกันด้วย เช่น กองทุนการออมแห่งชาติ มาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้มีรายได้น้อย โครงการบ้านประชารัฐ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1262 | ขอความเห็นชอบยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2537 เรื่อง พื้นที่ที่ควรกำหนดให้ระบบขนส่งมวลชน (รถไฟฟ้า) เป็นระบบใต้ดินโครงการระบบขนส่งมวลชนขนาดรองสายสีทอง (สถานีรถไฟฟ้ากรุงธนบุรี - สำนักงานเขตคลองสาน - ประชาธิปก) | มท | 07/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๓๗ [เรื่อง พื้นที่ที่ควรกำหนดให้ระบบขนส่งมวลชน (รถไฟฟ้า) เป็นระบบใต้ดิน] ในการดำเนินโครงการระบบขนส่งมวลชนขนาดรองสายสีทอง (สถานีรถไฟฟ้ากรุงธนบุรี-สำนักงานเขตคลองสาน-ประชาธิปก) เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ บรรลุวัตถุประสงค์ในการรองรับการเดินทางในบริเวณพื้นที่ฝั่งธนบุรี แก้ไขปัญหาการจราจร ประชาชนเดินทางสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ให้ กทม. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐที่เห็นควรให้ กทม. ดำเนินการตามความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๙ [เรื่อง ขอความเห็นชอบดำเนินการโครงการระบบขนส่งมวลชนขนาดรองสายสีทอง (สถานีรถไฟฟ้ากรุงธนบุรี-สำนักงานเขตคลองสาน-ประชาธิปก)] ให้ครบถ้วน และสำหรับการจัดหาแหล่งเงินทุนของโครงการฯ ให้ดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด รวมทั้งควรกำกับดูแลให้โครงสร้างของโครงการฯ มีผลกระทบต่อทัศนียภาพของเมืองให้น้อยที่สุด โดยจะต้องไม่กระทบหรือกีดขวางการเข้าถึงของบริการสาธารณะอื่น ๆ เช่น รถดับเพลิง และระบบสาธารณูปโภค เป็นต้น และประสานงานกับการรถไฟแห่งประเทศไทยและการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยอย่างใกล้ชิดเพื่อให้การเชื่อมต่อกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง (ช่วงหัวลำโพง-มหาชัย) และโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ มีความสมบูรณ์และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน รวมถึงให้เร่งรัดจัดทำรายงานฉบับสมบูรณ์ที่ได้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขรายละเอียดข้อมูลตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานทางบกและอากาศ เพื่อเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณา นอกจากนี้ เห็นควรให้ กทม. พิจารณาทบทวนความเหมาะสมของการแบ่งระยะการพัฒนาออกเป็นช่วง ๆ ของโครงการฯ โดยเร่งแผนการก่อสร้างและเปิดให้บริการโครงการฯ ให้สามารถเชื่อมโยงกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ โดยเร็ว และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรเร่งพิจารณาศึกษาโครงสร้างอัตราค่าโดยสารของระบบขนส่งมวลชนทางรางทั้งขนาดใหญ่และขนาดรองที่เหมาะสมทั้งระบบ เพื่อให้สามารถใช้โครงสร้างอัตราค่าโดยสารร่วมกันได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลการดำเนินโครงการของกรุงเทพมหานครให้เป็นไปตามแผนการลงทุนที่กำหนดไว้ รวมทั้งให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1263 | คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวม 2 ฉบับ | สลธ.คสช. | 28/02/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๘/๒๕๖๐ เรื่อง การขับเคลื่อนการปฏิรูปการบริหารงานส่วนบุคคลท้องถิ่น สั่ง ณ วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๐ ๒. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๙/๒๕๖๐ เรื่อง การดำเนินโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลองลาดพร้าวและคลองเปรมประชากรเพื่อแก้ไขปัญหาการบุกรุกลำน้ำสาธารณะ สั่ง ณ วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๐
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1264 | แผนปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ฉบับที่ 11 ปี 2555 - 2559 (ฉบับปรับปรุง) และแผนปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ฉบับที่ 12 ปี 2560 - 2564 ของการไฟฟ้านครหลวง | มท | 28/02/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การไฟฟ้านครหลวงดำเนินการตามแผนปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ฉบับที่ ๑๑ ปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙ (ฉบับปรับปรุง) วงเงินลงทุนรวม ๕๑,๓๐๕.๕ ล้านบาท และแผนปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ฉบับที่ ๑๒ ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๔ วงเงินลงทุนรวม ๘๔,๖๙๔.๐ ล้านบาท ตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๕๙ และให้การไฟฟ้านครหลวงดำเนินการตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดังกล่าว รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และสำนักงบประมาณ อาทิ เร่งรัดดำเนินการให้เสร็จตามแผนและควบคุมต้นทุนการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผน และจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินงานตามแผน ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลการดำเนินการของการไฟฟ้านครหลวงให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๒. ให้การไฟฟ้านครหลวงเร่งรัดการดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามแผนงานและกรอบระยะเวลาที่กำหนด โดยควบคุมต้นทุนการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนงานและให้จัดทำแผนบริหารความเสี่ยงรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินงานตามแผนงานด้วย โดยหากตรวจพบปัญหาที่เป็นอุปสรรคหรือการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ที่มีผลต่อการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ ให้การไฟฟ้านครหลวงพิจารณากำหนดแนวทางการแก้ปัญหาที่เป็นอุปสรรคในการดำเนินแผนงานโดยเร็ว ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้ความสำคัญกับการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานของรัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินการโครงการลงทุนให้เป็นไปตามแผนงานอย่างเคร่งครัดและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ โดยให้ความสำคัญกับการเพิ่มสัดส่วนของน้ำหนักตัวชี้วัดในระบบการประเมินคุณภาพรัฐวิสาหกิจ (State Enterprise Performance Appraisal : SEPA) ในการวัดผลการดำเนินโครงการลงทุนตามแผนงานและระยะเวลาที่กำหนดด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1265 | ขอขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช | มท | 28/02/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช จากเดิมสิ้นสุดวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ เป็นสิ้นสุดวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๐
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1266 | รายงานผลโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2559 และโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2560 | กค | 28/02/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รายงานผลโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี ๒๕๕๙ มีจำนวนผู้มาลงทะเบียนทั้งสิ้น ๘,๓๗๕,๓๘๓ คน เป็นผู้มีสิทธิ์ได้รับเงินโอน ๗,๗๑๕,๓๕๙ คน และผู้ที่ไม่มีสิทธิ์ได้รับเงินโอน ๖๖๐,๐๒๔ คน ซึ่งผู้ลงทะเบียนในโครงการลงทะเบียนฯ ปี ๒๕๕๙ ได้รับสวัสดิการช่วยเหลือจากภาครัฐ รวม ๒ มาตรการ คือ (๑) มาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้มีรายได้น้อย โดยโอนเงินให้แก่ผู้มีรายได้น้อยที่เป็นเกษตรกรรายละ ๓,๐๐๐ บาท และ (๒) มาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อยที่ไม่ใช่เกษตรกร โดยโอนเงินให้แก่ผู้มีรายได้น้อยที่ไม่ใช่เกษตรกร รายละ ๓,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ จากผลการสำรวจวัตถุประสงค์ของการนำเงินสวัสดิการไปใช้ พบว่า อันดับ ๑ ต้องการนำเงินไปใช้จ่ายซื้อของอุปโภคบริโภคที่จำเป็น อันดับ ๒ ต้องการนำเงินไปชำระหนี้สิน และอันดับ ๓ ต้องการนำเงินไปชำระค่าเล่าเรียน ส่วนที่เหลือต้องการนำเงินไปลงทุนประกอบอาชีพ ให้พ่อแม่ ฝากธนาคาร ทำบุญบริจาค เป็นต้น ๑.๒ โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี ๒๕๖๐ มีวัตถุประสงค์ในการยกระดับประสิทธิภาพของการจัดสวัสดิการสังคมและการช่วยเหลือของภาครัฐ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างยั่งยืน ๒. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์การดำเนินโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี ๒๕๖๐ ให้ประชาชนทราบอย่างทั่วถึงด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1267 | โครงการสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน | กค | 21/02/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ หลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน โดยให้สินเชื่อแก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกรรายย่อยที่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้จ่ายเงินฉุกเฉินเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนภายในครอบครัว โดยต้องไม่เป็นการ Refinance หนี้ในระบบ วงเงินให้สินเชื่อไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาทต่อราย ระยะเวลาการให้กู้ยืมไม่เกิน ๕ ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ (Flat Rate) ไม่เกินร้อยละ ๐.๘๕ ต่อเดือน มีบุคคลค้ำประกันอย่างน้อย ๑ คน และ/หรือมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ๑.๒ วงเงินงบประมาณที่ใช้ในโครงการสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉินเป็นวงเงินงบประมาณสูงสุดไม่เกิน ๔,๐๐๐ ล้านบาท โดยให้ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณเป็นรายปีตามความเหมาะสมและความจำเป็นต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส.) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เห็นว่าเพื่อให้การอนุมัติสินเชื่อเป็นไปอย่างรอบคอบ ลดความเสี่ยงจากการเกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loan : NPL) และภาระการชดเชยของภาครัฐที่อาจเกิดขึ้น ควรมีการกำหนดหลักเกณฑ์ให้ธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส. ร่วมรับภาระ NPLในส่วนที่ภาครัฐต้องรับภาระเต็มจำนวน และควรประเมินภาระหนี้นอกระบบทั้งหมดของลูกหนี้ว่าจะต้องมีการบริหารจัดการหนี้อย่างไร และมีระบบการจัดเก็บข้อมูลเพื่อให้สามารถติดตามลูกหนี้กลุ่มนี้ได้อย่างใกล้ชิดเพื่อให้การแก้ไขปัญหามีผลเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงบประมาณว่า การให้สินเชื่อตามแนวทางของกระทรวงการคลังเสนอในครั้งนี้จะสูงกว่าที่มีอยู่เดิมเมื่อเปรียบเทียบกับโครงการที่ดำเนินการไปแล้วของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม อาทิ โครงการค้ำประกันในเหตุอุทกภัยปี ๒๕๕๔ และโครงการค้ำประกันภัยผู้ประกอบการใหม่ ที่มีอัตราสูงสุดร้อยละ ๓๐ จึงเห็นควรให้ธนาคารทั้งสองแห่งมีส่วนรับผิดชอบในการดำเนินโครงการ และดำเนินการบริหารสินเชื่อให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และพิจารณาอนุมัติสินเชื่อด้วยความรอบคอบและระมัดระวังเพื่อมิให้เกิดภาระหนี้เสีย หรือหนี้สงสัยจะสูญเกิดขึ้นน้อยที่สุด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1268 | การนำเสนอวีดิทัศน์เกี่ยวกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากต่อคณะรัฐมนตรี | นร | 21/02/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากเพื่อส่งเสริมสนับสนุนการประกอบการของผู้มีรายได้น้อยผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น การส่งเสริมการทำเกษตรแบบแปลงใหญ่ การพัฒนาภาคการเกษตรให้เกษตรกรเป็นเกษตรกรปราดเปรื่อง (Smart Farmer) การกำหนดมาตรการเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย นั้น เพื่อประโยชน์ในการสร้างการรับรู้ข่าวสารต่าง ๆ ให้แก่ผู้เกี่ยวข้องและสาธารณชนโดยทั่วไป จึงให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่มีการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมใด ๆ ที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับนโยบายดังกล่าวจัดทำวีดิทัศน์เกี่ยวกับโครงการหรือกิจกรรมนั้น ๆ เสนอต่อคณะรัฐมนตรีทราบ ก่อนเผยแพร่ต่อประชาชนตามความเหมาะสมต่อไป ทั้งนี้ การจัดทำวีดิทัศน์ดังกล่าวควรมีความยาวไม่เกินเรื่องละ ๓ นาที และควรมีคำบรรยาย (Subtitle) เป็นภาษาอังกฤษด้วย เพื่อประโยชน์ในการสร้างการรับรู้แก่ประชาชนและสื่อต่างประเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1269 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 21/02/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ดังนี้
๑. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการให้มีคณะกรรมการกลางเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบโครงการลงทุนของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีมูลค่าสูงตั้งแต่ก่อนเริ่มดำเนินโครงการ เพื่อป้องกันปัญหาการทุจริตในโครงการ ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการดังกล่าวนำร่องการตรวจสอบโครงการด้านการคมนาคมขนส่ง เช่น โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ๒. ในการจัดทำเอกสารหรือสื่อต่าง ๆ ของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐเพื่อใช้ในการประชาสัมพันธ์หรือเพื่อสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับการดำเนินโครงการ/กิจกรรมตามนโยบายของรัฐบาล ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐจัดส่งเอกสารหรือสื่อดังกล่าวที่จัดทำขึ้นให้กระทรวงมหาดไทยและผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดเพื่อทำความเข้าใจและนำไปถ่ายทอดหรือเผยแพร่ให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติและประชาชนในพื้นที่ที่รับผิดชอบให้ถูกต้อง รวดเร็ว และทั่วถึง โดยให้พิจารณาใช้ช่องทางการเผยแพร่ที่หลากหลายและเหมาะสมตามแต่กรณี ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยกำชับผู้ว่าราชการจังหวัดดำเนินการเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่องด้วย ๓. ให้ทุกส่วนราชการเร่งรัดตรวจสอบการดำเนินการเรื่องต่าง ๆ ในความรับผิดชอบที่มีปัญหาติดขัด ล่าช้า หรือค้างการดำเนินการมาเป็นเวลานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาอนุมัติหรืออนุญาตของทางราชการที่ประชาชนหรือเอกชนได้ยื่นเรื่องไว้ รวมทั้งเรื่องที่เป็นการอำนวยความสะดวกและให้บริการแก่ประชาชนในด้านต่าง ๆ ทั้งนี้ ให้ส่วนราชการเสนอเรื่องดังกล่าวพร้อมทั้งแนวทางการแก้ไขปัญหาต่อรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1270 | การดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทคโนโลยีสะอาดกระบี่ | พน | 21/02/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานรายงานแนวทางการดำเนินงานโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทคโนโลยีสะอาดกระบี่และสถานการณ์ระบบไฟฟ้าภาคใต้ว่า คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติได้มีมติในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ เห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินการโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทคโนโลยีสะอาดกระบี่ และโครงการท่าเทียบเรือบ้านคลองรั้วตามขั้นตอนของกฎหมาย รวมทั้งเร่งรัดการสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง และเห็นชอบให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) ของทั้งสองโครงการ โดยให้นำความเห็นของคณะกรรมการศึกษาการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินจังหวัดกระบี่ (คณะกรรมการไตรภาคี) ไปประกอบการพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ในส่วนโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทคโนโลยีสะอาดกระบี่ หากการดำเนินโครงการเป็นไปตามแผนที่กำหนดคาดว่าจะแล้วเสร็จและเปิดใช้งานได้ในปี พ.ศ. ๒๕๖๕ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ได้มีประชาชนบางกลุ่มออกมาคัดค้านการดำเนินโครงการ โดยเรียกร้องให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินโครงการดังกล่าวเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเป็นที่ยอมรับของประชาชนผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย จึงเห็นควรให้ กฟผ. จัดทำ EIA และ EHIA ตลอดจนกระบวนการมีส่วนร่วมเพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนให้ครบถ้วน สมบูรณ์ ชัดเจน และเป็นที่ยอมรับของผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย โดยให้ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ การดำเนินการตามข้อเรียกร้องดังกล่าวจะทำให้โครงการมีความล่าช้ากว่าแผนที่กำหนดไว้เดิมและอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางพลังงานไฟฟ้าของภาคใต้ได้ ๒. รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติมว่า โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทคโนโลยีสะอาดกระบี่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจและชุมชนในภาคใต้ การพัฒนานิคมอุตสาหกรรม ตลอดจนการพัฒนาเส้นทางคมนาคมในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งได้มีการพิจารณาแนวทางการดำเนินการต่าง ๆ อย่างรอบด้านแล้วพบว่า โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทคโนโลยีสะอาดกระบี่มีความเหมาะสมคุ้มค่าที่จะดำเนินการ และไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1271 | โครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าในเมืองใหญ่ ระยะที่ 1 | มท | 14/02/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดำเนินโครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าในเมืองใหญ่ ระยะที่ ๑ มีวัตถุประสงค์เพื่อก่อสร้างและปรับปรุงระบบไฟฟ้า พร้อมทั้งติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมในพื้นที่โครงการเพื่อเพิ่มความมั่นคงและเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า ลดปัญหาและอุปสรรคด้านการปฏิบัติการบำรุงรักษาและความปลอดภัย พื้นที่ดำเนินการ ๔ เมือง (เทศบาลนครเชียงใหม่ เทศบาลนครนครราชสีมา เมืองพัทยา และเทศบาลนครหาดใหญ่) ระยะเวลาดำเนินการ ๕ ปี (๒๕๕๙-๒๕๖๓) วงเงินลงทุน ๑๑,๖๖๘.๕๖ ล้านบาท โดยใช้เงินกู้ในประเทศ จำนวน ๘,๗๔๘.๕๖ ล้านบาท และเงินรายได้ กฟภ. จำนวน ๒,๙๒๐ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบให้ กฟภ. กู้เงินในประเทศ ภายในกรอบวงเงิน ๘,๗๔๘.๕๖ ล้านบาท เพื่อเป็นเงินลงทุนของโครงการดังกล่าว โดย กฟภ. จะทยอยดำเนินการกู้เงินตามความจำเป็นจนกว่างานจะแล้วเสร็จ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. ดำเนินการให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและมติคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานเกี่ยวกับการกำกับดูแลและควบคุมต้นทุนการดำเนินโครงการฯ เพื่อให้การลงทุนเกิดความคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพสูงสุด การศึกษาแนวทางการกำหนดอัตราค่าบริการขอใช้ไฟฟ้าแรงต่ำและแรงสูงในพื้นที่ระบบสายใต้ดินที่เหมาะสมและเป็นธรรม และการจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงในโครงการฯ รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และสำนักงบประมาณ อาทิ การพัฒนาโครงการฯ ควรคำนึงถึงความสอดคล้องและความเชื่อมโยงกับแผนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การพัฒนาระบบไฟฟ้าของประเทศเป็นไปในทิศทางเดียวกันและไม่ให้เกิดการลงทุนซ้ำซ้อน และให้ความสำคัญต่อการวางแผนการเตรียมความพร้อมในขั้นตอนของแผนการปฏิบัติงานกับหน่วยงานในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องและแผนการใช้จ่ายเงินที่ชัดเจน ตลอดจนการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องเพื่อนำผลที่ได้มาปรับปรุงและพัฒนาโครงการให้มีประสิทธิภาพและปลอดภัย สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. เร่งรัดดำเนินการตามโครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าในเมืองใหญ่ ระยะที่ ๑ ให้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดอย่างเคร่งครัดโดยให้บูรณาการการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การประปาส่วนภูมิภาค บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการฯ ให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ได้อย่างเป็นรูปธรรม ลดความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติงาน รวมทั้งลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและประชาชน ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลการดำเนินการของ กฟภ. ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๔. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้ความสำคัญกับการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานของรัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินการโครงการลงทุน เช่น กรณีโครงการนี้ของ กฟภ. ให้เป็นไปตามแผนงานอย่างเคร่งครัดและมีประสิทธิภาพ โดยให้ความสำคัญกับการเพิ่มสัดส่วนของน้ำหนักตัวชี้วัดในระบบการประเมินคุณภาพรัฐวิสาหกิจ (State Enterprise Performance Appraisal : SEPA) ในการวัดผลการดำเนินโครงการลงทุนตามแผนงานและระยะเวลาที่กำหนดด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1272 | การจัดจ้างติดตั้งระบบรถไฟฟ้า จัดการเดินรถไฟฟ้า และบริหารการเดินรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงเตาปูน - บางซื่อ ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย | คค | 14/02/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบข้อตกลงการจ้าง และร่างสัญญาจ้าง เพื่อดำเนินการว่าจ้างบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BEM) ติดตั้งระบบรถไฟฟ้า จัดการเดินรถไฟฟ้า และบริหารการเดินรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงเตาปูน-บางซื่อ ในวงเงินค่าจ้างรวม ๙๑๘,๔๘๘,๐๔๖ บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยให้กระทรวงการคลังจัดหาแหล่งเงินกู้ในประเทศที่เหมาะสม วิธีการให้กู้ต่อและค้ำประกันเงินกู้ และให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อชำระต้นเงินกู้และดอกเบี้ย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ รวมทั้งเห็นชอบให้ รฟม. กู้เงินในกรอบวงเงินดังกล่าวได้ตามมาตรา ๗๕ (๓) แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๓ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมกำกับดูแลการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงเตาปูน-บางซื่อ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้สามารถเปิดให้บริการได้ภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๖๐ ๓. ให้กระทรวงคมนาคม สำนักงานอัยการสูงสุด และ รฟม. เร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องและนำเสนอผลการคัดเลือกเอกชน และร่างสัญญาสัมปทานของโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงบางซื่อ-ท่าพระ และช่วงหัวลำโพง-บางแค ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบอย่างช้าภายในช่วงต้นเดือนมีนาคม ๒๕๖๐ เพื่อประโยชน์ของรัฐและประชาชน ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1273 | ขออนุมัติการสนับสนุนการดำเนินโครงการ The Michelin Guide Thailand ในปี พ.ศ. 2560 - 2564 เป็นระยะเวลา 5 ปีงบประมาณ | กก | 14/02/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการดำเนินโครงการ The Michelin Guide Thailand ในปี พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ เป็นระยะเวลา ๕ ปีงบประมาณ โดยการสนับสนุนทางการเงินแก่บริษัท มิชลิน ทราเวล พาร์ทเนอร์ ในการดำเนินโครงการฯ เพื่อร่วมสนับสนุนการผลิตคู่มือแนะนำร้านอาหารในประเทศไทยที่ผ่านการคัดสรรตามมาตรฐานของมิชลิน สำหรับงบประมาณให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้ ททท. ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและต่อรองให้ได้ราคาต่ำสุด เพื่อเสนอขอปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีของ ททท. ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดย ททท. ดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ ดำเนินการตามมติคณะกรรมการ ททท. ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๙ ให้ครบถ้วน โดยในการเจรจาทำสัญญากับบริษัท มิชลินฯ สมควรระบุในสัญญาให้ชัดเจนเกี่ยวกับการขยายพื้นที่จัดโครงการฯ ในจังหวัดท่องเที่ยวหลักอื่น ๆ นอกเหนือจากกรุงเทพมหานคร ซึ่งจะเป็นประโยชน์ สอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองหลักและเมืองรองของรัฐบาล รวมทั้งให้ ททท. จัดทำแผนงานส่งเสริมการท่องเที่ยวที่สนับสนุนหรือขยายผลจากการให้การสนับสนุนโครงการฯ และทิศทางของโครงการฯ ภายหลังสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินงาน ๕ ปี และนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป ๒.๒ ติดตามผลการดำเนินงานและประเมินผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการฯ อย่างต่อเนื่องทุกปี และรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย ทั้งนี้ ในการทำสัญญาควรต้องมีข้อกำหนดให้ ททท. สามารถขอยกเลิกการดำเนินโครงการก่อนครบกำหนดระยะ ๕ ปีได้ หากผลการประเมินรายปีไม่เป็นไปตามข้อกำหนดในสัญญาหรือมีเหตุอันควรอื่นใด โดยแจ้งให้บริษัท มิชลินฯ ทราบล่วงหน้า โดย ททท. ไม่ต้องเสียค่าปรับหรือค่าใช้จ่ายใด ๆ ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดย ททท. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและกระทรวงการคลังที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้กับผู้ประกอบการและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งควรมีระบบการติดตามและประเมินผลโครงการฯ เชิงลึก และหากมีความจำเป็น เพื่อให้มีความคุ้มค่าและเกิดผลสัมฤทธิ์อันเป็นประโยชน์ต่อทางราชการและไม่ทำให้ราชการเสียประโยชน์แล้ว เห็นควรจะต้องมีการปรับปรุงและแก้ไขเงื่อนไขในการดำเนินโครงการฯ ในโอกาสแรกให้เหมาะสมด้วย รวมถึงควรดำเนินการให้ครอบคลุมจังหวัดต่าง ๆ ในประเทศไทย เพื่อสนับสนุนการกระจายการท่องเที่ยวและกระจายรายได้ไปยังจังหวัดอื่น ๆ นอกจากนี้ ในการทำสัญญา กำหนดข้อตกลง และเงื่อนไขของโครงการฯ ควรระบุเรื่องสิทธิประโยชน์ และความคุ้มค่าที่ประเทศไทยควรจะได้รับจากการสนับสนุนโครงการฯ ให้ชัดเจน เพื่อให้การประชาสัมพันธ์มีประสิทธิภาพสูงสุด ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1274 | ขออนุมัติใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลาง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินโครงการ ตามแผนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพิ่มเติม ปี 2559 โครงการพัฒนาแหล่งน้ำ 6 ตำบล อำเภอท่าหลวง จังหวัดลพบุรี | ทส | 07/02/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการให้ใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลาง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินโครงการตามแผนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพิ่มเติม ปี ๒๕๕๙ โครงการพัฒนาแหล่งน้ำ ๖ ตำบล อำเภอท่าหลวง จังหวัดลพบุรี วงเงินงบประมาณ ๓๑๘.๐๓๑๗ ล้านบาท ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมทรัพยากรน้ำและกรมทรัพยากรน้ำบาดาล) เร่งรัดการดำเนินโครงการดังกล่าวให้ถูกต้อง โปร่งใส ตรวจสอบได้ โดยให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่เกษตรกรจะได้รับเป็นสำคัญ รวมทั้งมีการประเมินผลโครงการดังกล่าว โดยรายงานผลการดำเนินโครงการให้คณะรัฐมนตรีรับทราบภายหลังจากเสร็จสิ้นโครงการ และให้กรมทรัพยากรน้ำจัดส่งรายละเอียดความพร้อมของโครงการ แผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณงบกลาง เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณต่อสำนักงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1275 | ขออนุมัติยกเลิกรายการและปรับเปลี่ยนสถานที่ดำเนินโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค ภายใต้แผนยุทธศาสตร์บริหารจัดการทรัพยากรน้ำ | ทส | 07/02/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติยกเลิกรายการและเห็นชอบการปรับเปลี่ยนสถานที่ดำเนินโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค ภายใต้แผนยุทธศาสตร์บริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ตามหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินกู้ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่เห็นควรพิจารณากลั่นกรองความจำเป็น ความพร้อม และความซ้ำซ้อนในพื้นที่ดำเนินโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลฯ ก่อนเสนอขออนุมัติโครงการ และเร่งรัดการดำเนินงานในพื้นที่ที่ปรับเปลี่ยนใหม่ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว สำหรับวงเงินคงเหลือจากการยกเลิกรายการที่ไม่สามารถดำเนินการได้จากการดำเนินโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ ๒ ให้ดำเนินการส่งคืนเป็นเงินเหลือจ่ายต่อไป นอกจากนี้ เห็นควรเร่งรัดดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ และขอทำความตกลงในรายละเอียดด้านงบประมาณกับสำนักงบประมาณ รวมทั้งประสานงานกับสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ และกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง เกี่ยวกับการส่งคืนเงินกู้ตามขั้นตอนและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ไปดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเร่งดำเนินโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลฯ ให้แล้วเสร็จโดยเร็วเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคให้ทันในช่วงฤดูแล้งนี้ โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้อง โปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้บูรณาการแผนการดำเนินโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลฯ ให้สอดคล้องกับแผนเตรียมความพร้อมเพื่อลดความเสี่ยงจากภัยแล้งด้านการเกษตรของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และแผนการดำเนินโครงการเกี่ยวกับแหล่งน้ำของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1276 | มาตรการด้านการเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ปี 2560 เพิ่มเติม | กค | 07/02/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ หลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน และโครงการสินเชื่อเพื่อฟื้นฟูการผลิตให้แก่เกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ปี ๒๕๕๙/๖๐ โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และอนุมัติงบประมาณในการดำเนินมาตรการเป็นวงเงินไม่เกิน ๑,๒๐๐ ล้านบาท โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามภาระที่เกิดขึ้นจริงตามขั้นตอนต่อไป และให้ ธ.ก.ส. ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณในรายละเอียดต่อไป ๑.๒ หลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการสินเชื่อประชารัฐเพื่อประชาชน และโครงการสินเชื่อเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของ SMEs ที่ประสบภัยน้ำท่วม ปี ๒๕๖๐ โดยธนาคารออมสิน ๑.๓ หลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการสินเชื่อฟื้นฟู SMEs จากอุทกภัยภาคใต้ ปี ๒๕๖๐ โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) และอนุมัติงบประมาณในการดำเนินโครงการเป็นวงเงินไม่เกิน ๘๒๕ ล้านบาท โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามภาระที่เกิดขึ้นจริงตามขั้นตอนต่อไป และให้ ธพว. และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมทำความตกลงกับสำนักงบประมาณในรายละเอียดต่อไป ๒. ให้ ธ.ก.ส. และ ธพว. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ พร้อมรายละเอียดเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อาทิ กระทรวงการคลังควรประสานงานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการบูรณาการโครงการภายใต้มาตรการด้านการเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ภาคใต้และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ปี ๒๕๖๐ เพิ่มเติมกับแผนการช่วยเหลือฟื้นฟูเกษตรกรที่ประสบอุทกภัยภาคใต้ ปี ๒๕๕๙/๖๐ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่อนุมัติให้ความช่วยเหลือด้านปัจจัยการผลิต และควรมีการประชาสัมพันธ์โครงการและสร้างความรู้ความเข้าใจแก่เกษตรกรในการปรับเปลี่ยนประเภทการผลิตให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ พร้อมทั้งให้การสนับสนุนด้านการตลาดแก่เกษตรกรที่ปรับเปลี่ยนผลผลิต ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ๔. ให้กระทรวงการคลังได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1277 | ความคืบหน้าผลการดำเนินมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปีการผลิต 2559/60 ช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาด ณ เดือนมกราคม 2560 | พณ | 07/02/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ความคืบหน้าผลการดำเนินมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและรักษาเสถียรภาพราคาข้าวช่วงผลผลิตออกสู่ตลาด จำนวน ๔ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกและการจ่ายเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ (๒) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ (๓) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้แก่ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ และ (๔) โครงการจัดตลาดนัดข้าวเปลือก โดย ณ สิ้นเดือนมกราคม ๒๕๖๐ สามารถดึงอุปทานข้าวเปลือกออกจากตลาดประมาณ ๕.๐๙๙ ล้านตัน หรือคิดเป็นร้อยละ ๓๗.๗๗ จากเป้าหมายเพื่อดึงอุปทานข้าวเปลือกจากตลาด ๑๓.๕ ล้านตัน ๑.๒ สถานการณ์ด้านการตลาด ผลการดำเนินมาตรการ ส่งผลให้ราคาข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวเปลือกเหนียว ข้าวเปลือกปทุมธานี และข้าวเปลือกเจ้า ที่ความชื้นร้อยละ ๑๕ ณ วันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๖๐ ปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับก่อนที่จะดำเนินโครงการ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดการดำเนินมาตรการให้เป็นไปตามเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง ไม่ซ้ำซ้อน และรายงานผลการดำเนินการต่อคณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ รวมทั้งเร่งรัดการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด และติดตามปัญหาอุปสรรคของการดำเนินโครงการ โดยเฉพาะโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกและการจ่ายเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ ในส่วนของการจ่ายเงินค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ที่ดำเนินการได้เพียงร้อยละ ๖.๙๒ และรายงานให้คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวทราบ เพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาอุปสรรค ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1278 | แผนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวโดยชุมชนอย่างยั่งยืน พ.ศ. 2559 - 2563 (CBT Thailand) | กก | 31/01/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแผนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวโดยชุมชนอย่างยั่งยืน พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๓ (CBT Thailand) ประกอบด้วย ๕ ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ (๑) การเสริมสร้างคุณภาพ ทักษะ และความสามารถของทรัพยากรมนุษย์ในชุมชนให้มีศักยภาพในการจัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชนแบบพึ่งพาตนเองบนฐานความพอเพียงและความรู้ (๒) การส่งเสริมการเพิ่มคุณค่าและมูลค่าของต้นทุนทรัพยากรชุมชนสู่การเป็นสินค้าและบริการบนฐานอัตลักษณ์ เอกลักษณ์ และการมีส่วนร่วมของชุมชนสู่ต้นแบบเป็นแหล่งเรียนรู้การพัฒนาและจัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชนในระดับต่าง ๆ (๓) การพัฒนาการบริหารจัดการการตลาดการท่องเที่ยวโดยชุมชนที่มุ่งเน้นการสร้างสมดุลของความสุขอย่างเท่าเทียมระหว่างชุมชนและนักท่องเที่ยว (๔) การพัฒนากลไกการขับเคลื่อน ระบบการบริหารจัดการและการทำงานเชื่อมโยงเชิงเครือข่ายประชารัฐที่มีเอกภาพ มั่นคง และยั่งยืน และ (๕) การพัฒนาดัชนีชี้วัดความสุขระหว่างชุมชนและนักท่องเที่ยวตลอดจนพัฒนาไปสู่การเป็นแหล่งเรียนรู้ในภูมิภาคอาเซียน และมอบหมายหน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรปรับกรอบระยะเวลาแผนยุทธศาสตร์ฯ ให้สอดคล้องกับระยะเวลาการดำเนินงานในปัจจุบัน และให้สอดคล้องกับกรอบระยะเวลาของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) และแผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาควรบูรณาการกับองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน พิจารณาให้ความสำคัญกับการสร้างเครือข่ายเพื่อเป็นกลไกการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ฯ รวมทั้งจัดทำฐานข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวโดยชุมชนอย่างเป็นระบบให้ครอบคลุมแหล่งท่องเที่ยวโดยชุมชนของทุกจังหวัด โดยกำหนดเป็นโครงการสำคัญและให้มีการดำเนินการในระยะแรก และคณะอนุกรรมการการท่องเที่ยวโดยชุมชนควรให้ความสำคัญกับการติดตามและประเมินผลตามกรอบที่กำหนด พร้อมทั้งติดตามและประเมินผลกระทบกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของชุมชนที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการที่เกี่ยวข้องภายใต้แผนยุทธศาสตร์ฯ และรายงานความก้าวหน้าตามแผนพัฒนายุทธศาสตร์ฯ ให้คณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติทราบเป็นระยะเพื่อเป็นข้อมูลในการพิจารณาปรับทิศทางและการพัฒนาที่สอดคล้องกันในทุกระดับ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. เมื่อแผนยุทธศาสตร์ชาติประกาศใช้แล้ว ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาปรับปรุงแผนยุทธศาสตร์ฯ ให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1279 | แนวทางการดำเนินการประชาสัมพันธ์งานของรัฐบาลโดยโฆษกกระทรวงตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี (6 ตุลาคม 2558) ประจำเดือนธันวาคม 2559 | นร | 31/01/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการดำเนินการประชาสัมพันธ์งานของรัฐบาลโดยโฆษกกระทรวง ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี (๖ ตุลาคม ๒๕๕๘) ประจำเดือนธันวาคม ๒๕๕๙ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ในฐานะประธานกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติเสนอ มีประเด็นสำคัญ ดังนี้
๑. เดือนที่ผ่านมา (ธันวาคม ๒๕๕๙) เช่น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ได้ขึ้นทรงราชย์สืบราชสันตติวงศ์เป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ ๑๐ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ผลการดำเนินงานตาม Road Map ระยะ ๓ ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ผลงานการบริหารราชการของรัฐบาล สถานการณ์และการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัย การบริหารจัดการน้ำ การจัดงานเนื่องในเทศกาลปีใหม่ และการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงปีใหม่ การจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี การเผยแพร่ข่าวสารร่างพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ฉบับใหม่ โรคติดต่อ โรคติดต่ออุบัติใหม่ โรคที่พบบ่อยในช่วงฤดูหนาว การโอนเงินเข้าบัญชีให้ผู้เข้าร่วมโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว การดูแลปัญหาค่าครองชีพประชาชน และการขับเคลื่อนนโยบายเร่งด่วน ๖ ด้าน ตามแผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ๒. เดือนต่อไป (กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐) เช่น การดำเนินงานตาม Road Map ระยะ ๓ ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โครงการส่งเสริมเกษตรทฤษฎีใหม่ โครงการเกษตรอินทรีย์ การบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรม (Zoning) การขับเคลื่อนองค์ความรู้ด้านการเกษตรผ่านศูนย์การเรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร การส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ สถานการณ์น้ำ การบริหารจัดการน้ำและมาตรการให้ความช่วยเหลือเกษตรกร การดำเนินการและความก้าวหน้าการแก้ไขปัญหาราคาข้าว มาตรการแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรในฤดูเก็บเกี่ยว การพัฒนาเกษตรกรให้เป็น Smart Farmer การเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร การเชื่อมโยงตลาดท้องถิ่นกับตลาดส่วนกลาง การส่งเสริมสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (สินค้า GI) ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด โครงการติดตามและเฝ้าฟังสถานการณ์ปัญหายาเสพติดผ่านสื่อสังคม การประชาสัมพันธ์ในการสร้างความรู้ความเข้าใจและจิตสำนึกด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ความคืบหน้าการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว และการปิดการจราจรบนถนนพหลโยธิน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1280 | การบริหารโครงการลงทุนภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 | กค | 31/01/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับการผ่อนผันการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ พ.ศ. ๒๕๕๒ ข้อ ๑๙ ในส่วนของการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการที่ไม่ได้ดำเนินการขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรีก่อน รวมทั้งผ่อนผันการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๒ [เรื่อง ขออนุมัติโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ (เพิ่มเติมครั้งที่ ๒)] เป็นกรณีเฉพาะราย สำหรับการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดวงเงินค่าก่อสร้างโครงการวิจัยสู่ภาคเอกชน ณ โครงการพัฒนาที่ดิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สระบุรี ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จำนวน ๓ รายการ ที่ลงนามในสัญญาจ้างเกินกว่าวงเงินที่ได้รับอนุมัติจัดสรร จำนวน ๖,๖๙๙,๓๕๓.๐๗ บาท ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณีดังกล่าว เนื่องจากดำเนินการไม่ถูกต้องตามขั้นตอนในการขอเพิ่มวงเงินโครงการโดยไม่ได้ขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนที่จะดำเนินการ แล้วรายงานคณะรัฐมนตรีภายใน ๔๕ วัน ๒. อนุมัติให้กระทรวงสาธารณสุข (สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข) ได้รับการผ่อนผันการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ (เรื่อง การบริหารโครงการลงทุนภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒) เป็นกรณีเฉพาะราย สำหรับการดำเนินการและการเบิกจ่ายเงินกู้เกินกรอบระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติของโครงการสนับสนุนการปฏิบัติงานของเครือข่ายทุกระดับ รายการอาคารผู้ป่วยนอกและอุบัติเหตุ ๔ ชั้น โรงพยาบาลชุมแพ จังหวัดขอนแก่น จำนวน ๒๗,๑๖๖,๕๑๗.๒๖ บาท ๓. รับทราบรายงานผลการตรวจสอบการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โครงการตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ระยะ ๓ เดือนแรก รายงานผลการสอบข้อเท็จจริงกรณีโครงการเพิ่มประสิทธิภาพของส่วนราชการกระทรวงศึกษาธิการ (โครงการขยายวิทยาเขตราชบุรี) รายการก่อสร้างหอประชุม ๑ หลัง ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และรายงานผลการตรวจสอบสาเหตุและแนวทางการแก้ไขปัญหาการเบิกจ่ายเงินเกินกรอบระยะเวลาตามมติคณะรัฐมนตรีของส่วนราชการ
|