ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 61 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 1201 - 1220 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1201 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการการคมนาคมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์ ในท้องที่อำเภอบางพลี อำเภอเมืองสมุทรปราการ และอำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. .... | สว | 13/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการการคมนาคมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างทางพิเศษสายบางพลี-สุขสวัสดิ์ ในท้องที่อำเภอบางพลี อำเภอเมืองสมุทรปราการ และอำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. .... โดยกระทรวงคมนาคมพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่า หน่วยงานได้กำหนดแนวเขตเวนคืนเฉพาะที่จำเป็นในการดำเนินโครงการ โดยคำนึงถึงองค์ประกอบด้านต่าง ๆ ได้แก่ ด้านวิศวกรรม ด้านความปลอดภัยของผู้ใช้ทาง ตลอดจนการจราจร เพื่อให้มีผลกระทบต่อเอกชนเพียงเท่าที่จำเป็น เพื่อประโยชน์สาธารณะในการแก้ไขปัญหาการจราจรให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และทุกหน่วยงานเห็นด้วยที่จะมีกฎหมายกำหนดหลักเกณฑ์เรื่องการคืนอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์แห่งการเวนคืนไว้ให้ชัดเจนเพื่อเป็นแนวปฏิบัติที่ถูกต้องตรงกัน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1202 | ขออนุมัติปรับแผนการดำเนินโครงการป้องกันกำจัดศัตรูมะพร้าว (หนอนหัวดำ) ด้วยวิธีผสมผสานแบบครอบคลุมพื้นที่ โดยการมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืน | กษ | 13/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ปรับแผนการดำเนินโครงการป้องกันกำจัดศัตรูมะพร้าว (หนอนหัวดำ) ด้วยวิธีผสมผสานแบบครอบคลุมพื้นที่ โดยการมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืน จากเดิมดำเนินการในพื้นที่ ๗๘,๙๕๔ ไร่ จำนวน ๑,๙๗๓,๘๕๐ ต้น เป็นดำเนินการในพื้นที่ ๑๐๙,๔๐๙ ไร่ จำนวน ๓,๘๗๗,๑๓๔ ต้น ๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ถัวจ่ายงบประมาณข้ามรายการ ภายใต้วงเงินงบประมาณที่ได้รับเดิมเพื่อดำเนินโครงการป้องกันกำจัดศัตรูมะพร้าว (หนอนหัวดำ) ด้วยวิธีผสมผสานแบบครอบคลุมพื้นที่ โดยการมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืน อนึ่ง หากมีเงินเหลือจ่ายในโครงการขอปรับใช้ในการดำเนินการป้องกันและกำจัดศัตรูมะพร้าว (หนอนหัวดำ) ในพื้นที่ที่อาจเกิดการระบาดเพิ่มขึ้น ๑.๓ ขยายระยะเวลาดำเนินงานโครงการป้องกันกำจัดศัตรูมะพร้าว (หนอนหัวดำ) ด้วยวิธีผสมผสานแบบครอบคลุมพื้นที่ โดยการมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืน จากเดือนเมษายน ๒๕๖๐-เดือนธันวาคม ๒๕๖๐ เป็นเดือนเมษายน ๒๕๖๐-มิถุนายน ๒๕๖๑ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อาทิ การเบิกจ่ายเงินสำหรับการดำเนินโครงการควรทำความตกลงกับกระทรวงการคลังเพื่อขอกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี ตามนัยระเบียบการเบิกจ่ายเงินจากคลัง การเก็บรักษาเงินและการนำเงินส่งคลัง พ.ศ. ๒๕๕๑ และควรเร่งดำเนินการตามโครงการโดยเร็ว เพื่อป้องกันการระบาดเพิ่มขึ้นของศัตรูมะพร้าว (หนอนหัวดำ) และการประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจเกี่ยวกับโครงการควรเป็นไปอย่างต่อเนื่องและทั่วถึงทั้งเกษตรกรชาวสวนมะพร้าวและเกษตรกรที่ปลูกพืชชนิดอื่น ๆ รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับการตรวจสอบสารตกค้างในผลผลิต นอกจากนี้ ควรมีการตรวจสอบ รับรองพื้นที่ และจำนวนต้นมะพร้าวที่จะดำเนินโครงการให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของโครงการ การใช้สารเคมีจะต้องเป็นไปตามหลักวิชาการอย่างเหมาะสม พร้อมทั้งติดตามและรายงานผลการดำเนินโครงการให้คณะรัฐมนตรีรับทราบตามขั้นตอน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป รวมทั้งให้ดำเนินการเพิ่มเติมด้วย ดังนี้ ๒.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนดพื้นที่เป้าหมายในการดำเนินโครงการให้ชัดเจน ครบถ้วน และให้เร่งดำเนินการกำจัดศัตรูมะพร้าว (หนอนหัวดำ) ในพื้นที่ที่มีการระบาดรุนแรงก่อนเป็นลำดับแรก ๒.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งกำหนดพื้นที่เป้าหมายสำหรับการปลูกมะพร้าวของประเทศให้เหมาะสม เพื่อให้มีผลผลิตมะพร้าวเพียงพอต่อการบริโภคและการประกอบการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อทดแทนการนำเข้ามะพร้าวจากต่างประเทศในปัจจุบัน และให้เร่งสร้างความรู้ความเข้าใจแก่เกษตรกร รวมทั้งส่งเสริมให้เกษตรกรฟื้นฟูพื้นที่เพาะปลูกมะพร้าวและขยายพื้นที่เพาะปลูกให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ได้กำหนดไว้ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1203 | การรายงานผลความคืบหน้าการจัดทำแผนการผลิต เพาะปลูกเมล็ดถั่วเหลืองเพิ่มเติม | กษ | 13/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบการรายงานผลความคืบหน้าการจัดทำแผนการผลิต เพาะปลูกเมล็ดถั่วเหลืองเพิ่มเติม ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การดำเนินงานภายใต้คณะอนุกรรมการพัฒนาการผลิตถั่วเหลือง ได้มีการกำหนดกรอบยุทธศาสตร์ถั่วเหลืองเพื่อความมั่นคงด้านอาหาร ระยะเวลา ๒๐ ปี (ปี ๒๕๖๑-๒๕๗๙) แบ่งการดำเนินงานเป็นช่วงละ ๕ ปี มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างแหล่งผลิตถั่วเหลืองสำหรับแปรรูปอาหาร พัฒนาประสิทธิภาพการผลิตและคุณภาพถั่วเหลืองให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด รวมทั้งพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมแปรรูปถั่วเหลืองเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ๑.๒ การดำเนินงานของคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อพัฒนาการผลิตถั่วเหลือง ได้มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรเป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการร่วมกับกรมวิชาการเกษตรและกรมส่งเสริมการเกษตรจัดทำโครงการส่งเสริมการปลูกถั่วเหลืองหลังนาเพื่อเป็นการปรับปรุงบำรุงดินให้มีคุณภาพเพิ่มขึ้นและเพิ่มผลผลิตถั่วเหลือง โดยให้คัดเลือกพื้นที่ดำเนินการในลักษณะเกษตรแปลงใหญ่ประชารัฐ และให้เริ่มดำเนินการโครงการได้ภายในฤดูแล้ง ปี ๒๕๖๐/๒๕๖๑ ๑.๓ การดำเนินโครงการปลูกถั่วหลังนาประชารัฐ ปี ๒๕๕๙ ได้กำหนดพื้นที่ในการส่งเสริมการปลูกถั่วเหลืองหลังนาเพื่อเพิ่มผลผลิต เป้าหมาย ๕,๐๐๐ ไร่ มีพื้นที่เข้าร่วมโครงการจริง ๑,๗๑๙ ไร่ ใน ๔ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดศรีสะเกษ อุดรธานี เชียงใหม่ และพะเยา โดยจัดทำแปลงต้นแบบถั่วเหลือง จำนวน ๙ แปลง ซึ่งได้มีการเก็บเกี่ยวผลผลิตเสร็จสิ้นแล้วในจังหวัดศรีสะเกษ อุดรธานี และอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ส่วนอำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ อยู่ระหว่างการเก็บเกี่ยวผลผลิต สำหรับผลผลิตในจังหวัดพะเยาไม่ได้เก็บเกี่ยวเนื่องจากต้นกล้าได้รับผลกระทบจากอากาศหนาวเย็น ส่วนสาเหตุที่มีพื้นที่เข้าร่วมโครงการน้อย เพราะบางพื้นที่ประสบปัญหาภัยแล้งและยังไม่มีความพร้อมในเรื่องของแหล่งน้ำ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ศึกษาหรือตรวจสอบข้อมูลความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการต่าง ๆ อย่างละเอียดในทุกมิติก่อนดำเนินการ เพื่อให้แผนงาน/โครงการต่าง ๆ เป็นไปตามกรอบเวลา บรรลุผลตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1204 | รายงานความคืบหน้าโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2560 และเสนอให้จัดทำโครงการสำรวจข้อมูลผู้มีรายได้น้อย | กค | 13/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานความคืบหน้าโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี ๒๕๖๐ ซึ่งเมื่อสิ้นสุดโครงการลงทะเบียนฯ มีผู้มาลงทะเบียนทั้งสิ้น ๑๔,๑๘๐,๓๓๖ คน โดยอยู่ระหว่างการจัดทำข้อมูลและตรวจสอบคุณสมบัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคาดว่าจะตรวจสอบคุณสมบัติแล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ และจะเผยแพร่ผลการตรวจสอบต่อไป ๑.๒ เห็นชอบในสาระสำคัญของโครงการสำรวจข้อมูลผู้มีรายได้น้อย มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจสภาพความเป็นอยู่และความต้องการสวัสดิการจากภาครัฐของผู้มีรายได้น้อย ซึ่งครอบคลุมผู้ที่ลงทะเบียนในโครงการลงทะเบียนฯ ปี ๒๕๖๐ และมอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติเป็นหน่วยงานจัดทำโครงการสำรวจฯ และประสานกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นว่า นักศึกษาผู้สำรวจข้อมูลควรมีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่ที่จะทำการสำรวจเป็นหลัก ซึ่งจะทำให้สะดวกและประหยัดค่าใช้จ่ายในการลงพื้นที่ในการสำรวจ อีกทั้งควรพิจารณาจัดทำแบบสำรวจให้ครอบคลุมข้อมูลที่เหมาะสมตามความจำเป็น เพื่อให้รัฐบาลมีฐานข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วน และประสานความร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทยเพื่อประชาสัมพันธ์และอำนวยความสะดวกให้กับการสำรวจข้อมูลประชากรในพื้นที่เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญเพิ่มเติมกับการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียน และนำไปสู่การสร้างฐานข้อมูลผู้มีรายได้น้อยที่สมบูรณ์แบบ ตลอดจนควรมีการหารือร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้เชี่ยวชาญด้านการสำรวจภาคครัวเรือนในการจัดทำแบบสอบถามเพื่อใช้ในการสำรวจ รวมทั้งการดำเนินโครงการสำรวจควรพิจารณาถึงการได้มาของข้อมูลในระดับครัวเรือนควบคู่กับข้อมูลในระดับบุคคล การพิจารณาถึงบริบทด้านครัวเรือนเพิ่มเติมจะช่วยลดความซ้ำซ้อนในการจัดสวัสดิการให้ความช่วยเหลือของภาครัฐได้อีกส่วนหนึ่ง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1205 | โครงการสำรวจข้อมูลผู้มีรายได้น้อย | ดศ | 13/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการสำรวจข้อมูลผู้มีรายได้น้อย มีวัตถุประสงค์เพื่อให้มีข้อมูลในการกำหนดนโยบายจัดสวัสดิการช่วยเหลือของรัฐที่มีประสิทธิภาพ เหมาะสม และยั่งยืน ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้มีรายได้น้อยให้ดีขึ้น ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม มีข้อมูลที่สำคัญและจำเป็นในการติดตาม ประเมินผลในระยะยาวในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำของประเทศ และส่่งเสริมให้นักศึกษา/นักเรียนได้เรียนรู้สภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่แท้จริงของประชาน และมีส่วนร่วมช่วยเหลือสังคมได้ต่อไปในอนาคต ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ทั้งนี้ ในการดำเนินการจัดทำแบบสำรวจข้อมูลผู้มีรายได้น้อยให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดหัวข้อการสำรวจให้ครอบคลุมถึงประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน ครบถ้วน เช่น สภาพความเป็นอยู่ สภาพปัญหาและความต้องการพื้นฐานของผู้มีรายได้น้อย เป็นต้น เพื่อให้ภาครัฐได้ข้อมูลที่จะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการวิเคราะห์และกำหนดนโยบายด้านสวัสดิการของรัฐได้อย่างเหมาะสม สอดคล้องกับความต้องการของผู้มีรายได้น้อยอย่างแท้จริง ๒. สำหรับงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินโครงการดังกล่าว ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจภายในประเทศ ภายในกรอบวงเงิน ๙๒๑,๑๖๘,๗๐๐ บาท ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรีประธานกรรมการพิจารณาการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ แผนงานบูรณาการเสริมสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ แล้ว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1206 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ 1/2560 | กษ | 13/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๖๐ ที่ให้ความเห็นชอบ (๑) การขยายระยะเวลาดำเนินโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อรวบรวมยางพารา (๒) การดำเนินโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง (เพิ่มเติม) (๓) การขยายระยะเวลาชำระคืนเงินกู้โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางและโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง และ (๔) การดำเนินโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการยาง ๒. เห็นชอบและอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๒.๑ เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อรวบรวมยางพาราเป็นระยะเวลา ๓ ปี (วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๐-๓๑ มีนาคม ๒๕๖๓) โดยดำเนินโครงการภายใต้กรอบวงเงินสินเชื่อเดิม ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท และให้การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) รับผิดชอบโครงการแทนกรมส่งเสริมสหกรณ์ โดยภาครัฐจะชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๓ ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราเดียวกับเงื่อนไขโครงการเดิม โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามรายจ่ายจริงที่จะเกิดขึ้น โดยไม่รวมรายจ่ายชำระต้นเงินกู้และไม่รวมถึงการชดเชยความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต สำหรับค่าใช้จ่ายเบี้ยประกันภัยในอัตราร้อยละ ๐.๓๖ ต่อปี จำนวน ๓๖ ล้านบาท นั้น เห็นควรให้ กยท. นำเงินกองทุนพัฒนายางพารา ตามนัยมาตรา ๔๙ (๓) แห่งพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘ มาสนับสนุนค่าใช้จ่ายเบี้ยประกันดังกล่าวในโอกาสแรกก่อน ๒.๒ เห็นชอบให้ดำเนินโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง (เพิ่มเติม) เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยาง จำนวน ๑๑,๔๖๐ ครัวเรือน ซึ่งอยู่ภายในกรอบวงเงินการช่วยเหลือเดิมตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ โดยเห็นควรให้ดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายใน ๙๐ วันนับจากวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ ๒.๓ เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาชำระคืนเงินกู้โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง และโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง ซึ่งคงเหลือ ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๐ จำนวน ๒๘,๑๗๔.๘๖๙ ล้านบาท ให้กับ ธ.ก.ส. ออกไปอีก ๓ ปี จากเดิมสิ้นสุดวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๐ เป็นสิ้นสุดวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๓ และยกเว้นค่าธรรมเนียมในการค้ำประกันเงินกู้ โดยให้กระทรวงการคลังขยายระยะเวลาการค้ำประกันเงินกู้กับ ธ.ก.ส. ออกไปตามระยะเวลาการขยายชำระเงินกู้ให้กับ ธ.ก.ส. พร้อมชดเชยต้นทุนเงินในอัตราดอกเบี้ย FDR+1 ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรเร่งรัดดำเนินโครงการให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนด ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการและภาระค่าชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ ๒.๔ อนุมัติให้ดำเนินโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการยาง วงเงินสินเชื่อ ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ๒๕๖๐ จนถึงเดือนเมษายน ๒๕๖๒ โดยภาครัฐจะชดเชยดอกเบี้ยในอัตราตามที่จ่ายจริงไม่เกินร้อยละ ๓ ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราเดียวกับโครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย กยท. หารือกับกระทรวงการคลังเพื่อมอบหมายธนาคารของรัฐทำหน้าที่เป็นหน่วยรับจัดสรรงบประมาณเพื่อชดเชยดอกเบี้ยแทนธนาคารพาณิชย์อื่น ๆ และให้กระทรวงการคลังขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นต่อไป โดยไม่รวมรายจ่ายชำระต้นเงินกู้และไม่รวมถึงการชดเชยความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ๒.๕ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์นำผลการติดตามและประเมินผลโครงการรายงานต่อคณะรัฐมนตรีเป็นระยะ ๆ ด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งระบายสต็อกและส่งมอบยางพาราตามโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางและโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายางตามความเหมาะสม โดยคำนึงถึงภาระงบประมาณที่เกี่ยวข้อง และเร่งปิดบัญชีโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางและโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรราคายางเพื่อขอจัดสรรงบประมาณเพื่อชดเชยผลขาดทุนภายใต้โครงการทั้งสอง รวมทั้งควรมีการติดตามและสนับสนุนให้สถาบันเกษตรกรสามารถแปรรูปและระบายผลิตภัณฑ์ยาง เพื่อเร่งชำระหนี้คืนให้เสร็จสิ้นภายใน ๓ ปี เพื่อมิให้ภาครัฐต้องมีภาระการชดเชยดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น และมีการติดตามผลการรับซื้อยางของผู้ประกอบการยางอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการและปรับปรุงแนวทางการดูดซับอุปทานส่วนเกินในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับกรณีเกษตรกรชาวสวนยางที่ไม่ได้มาแจ้งเข้าร่วมโครงการภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ ให้ได้รับโอกาสเช่นเดียวกับเกษตรกรชาวสวนยางและแรงงานกรีดยางในช่วงที่ผ่านมา นั้น ควรยึดหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติตามที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัดเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับเกษตรกรทุกกลุ่ม นอกจากนี้ ควรเร่งหาตลาดหรือมาตรการเสริมอื่น ๆ เพื่อให้สามารถระบายสต็อกยางทั้งหมดในช่วงเวลาที่เหมาะสมให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1207 | การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2555 เรื่อง การให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วนของรัฐบาลไทยในโครงการอาเซียนโปแตช (ประเทศไทย) | กค | 06/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงการคลังดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับการให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วนของรัฐบาลไทยในโครงการอาเซียนโปแตช (ประเทศไทย) ให้ได้ข้อยุติ โดยหากรัฐภาคีเห็นว่าข้อเสนอของกระทรวงการคลังเป็นเรื่องที่สามารถดำเนินการได้โดยไม่ขัดกับหลักเกณฑ์ของข้อตกลงพื้นฐานว่าด้วยโครงการอุตสาหกรรมอาเซียน (Basic Agreement on ASEAN Industrial Projects) ก็ให้กระทรวงการคลังดำเนินการตามที่เสนอได้ โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบอีก และให้รายงานคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลให้รอบคอบและรัดกุม เพื่อไม่ให้เป็นภาระที่รัฐต้องใช้งบประมาณในการแก้ปัญหาในภายหลัง โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งควรมีมาตรการรองรับในกรณีที่ไม่มีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ส่วนราชการและ/หรือรัฐวิสาหกิจถือหุ้นในสัดส่วนที่มีอำนาจในการควบคุมจัดการสนใจเข้าร่วมโครงการฯ เพื่อให้สามารถดำเนินการตามแผนการลงทุนได้อย่างต่อเนื่องและเป็นไปตามเจตนารมณ์ของโครงการฯ และพิจารณาหาสาเหตุที่ไม่มีหน่วยงานรัฐสาหกิจสนใจลงทุนในโครงการฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการในรูปแบบอื่น เพื่อรองรับกรณีที่ผลการหารือกับรัฐภาคีระบุว่าข้อเสนอของกระทรวงการคลังไม่สอดคล้องกับ Basic Agreement ต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประเมินความคุ้มค่าในการดำเนินโครงการอาเซียนโปแตช (ประเทศไทย) พร้อมทั้งกำหนดมาตรการรองรับในกรณีที่การดำเนินโครงการฯ ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ รวมทั้งให้ชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการต่อต้านจากมวลชนในการดำเนินโครงการฯ ดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1208 | สรุปสาระสำคัญการประชุมคณะกรรมการบริหาราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ ครั้งที่ 7/2560 | นร05 | 06/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปสาระสำคัญการประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ (บยศ.) ครั้งที่ ๗/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๖๐ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ตามที่ฝ่ายเลขานุการ บยศ. เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมรับทราบผลการดำเนินงานของกระทรวงสาธารณสุขในช่วง ๓ ปีที่ผ่านมา เช่น การนำร่องโครงการคลินิกหมอครอบครัว การบริการจัดการผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติมีสิทธิ์ทุกที่ (UCEP) และการพัฒนางานสมุนไพรสนับสนุนการสร้างรายได้โดยสร้างเมืองสมุนไพรต้นแบบ (Herbal city) จำนวน ๑๓ แห่ง และเป้าหมายที่จะดำเนินการในช่วงต่อไป (ระยะเวลา ๑ ปี ๔ เดือน) เช่น (๑) การต่อยอดการดำเนินโครงการ Smart citizen (๒) การพัฒนาอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจรเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ (๓) การพัฒนาเขตสุขภาพพิเศษ และ (๔) การพัฒนาโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข ๙๕๙ แห่ง เพื่อลดมลพิษ ลดการใช้พลังงาน ลดภาวะโรคร้อน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒. ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการ (๑) การจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (District Health Board : DHB) เพื่อบูรณาการและกำกับดูแลการใช้จ่ายงบประมาณด้านสาธารณสุขในระดับพื้นที่ (๒) การดำเนินโครงการคลินิกหมอครอบครัว เพื่อให้การดูแลประชาชนแบบปฐมภูมิ (๓) ให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กรมบัญชีกลาง (ในฐานะหน่วยงานเจ้าของงบประมาณสำหรับสิทธิการรักษาพยาบาลสำหรับข้าราชการ) และสำนักงานประกันสังคมหารือร่วมกันถึงแนวทางการจ่ายเงินเพื่อสนับสนุนให้แก่คลินิกหมอครอบครัวเพิ่มเติมจากในปัจจุบันที่จ่ายได้เฉพาะโรงพยาบาลที่ทำการรักษา (๔) สร้างแรงจูงใจให้แพทย์ ๓ สาขา ประกอบด้วย สาขาเวชศาสตร์ครอบครัว สาขาระบาดวิทยา และสาขาเวชศาสตร์ฉุกเฉิน (เพื่อรองรับการดำเนินโครงการคลินิกหมอครอบครัว ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข และการดูแลผู้ป่วย UCEP) โดยการออกระเบียบเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษของผู้ปฏิบัติงานด้านการสาธารณสุขฉบับใหม่ และสนับสนุนความก้าวหน้าด้านวิชาชีพ และ (๕) ให้กระทรวงสาธารณสุขประสานความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาเขตสุขภาพพิเศษ เพื่อดูแลงานสาธารณสุขชายแดน งานสาธารณสุขทางทะเลและเกาะ และเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก รวมถึงพื้นที่เฉพาะอื่น ๆ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และรับข้อสังเกตที่ประชุมไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1209 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 29 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2559 - 28 กุมภาพันธ์ 2560) | นร | 06/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๒๙ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๙-๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ มีผลงานสำคัญโดยสรุป ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เช่น โครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกระดับจังหวัด อำเภอ ท้องถิ่น การจัดงานประเพณีกิจกรรมทางศาสนาและกิจกรรมพัฒนา และการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนร้องทุกข์ ๒. การปฏิรูปประเทศ ได้แก่ การปฏิรูปการเงินฐานรากและร่างพระราชบัญญัติสถาบันการเงินชุมชน การปฏิรูประบบการให้ความรู้พื้นฐานทางการเงินแก่ประชาชน การเสริมสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย การปฏิรูปกฎหมายและระบบบริหารจัดการขยะมูลฝอยชุมชนของประเทศ ระบบการแพทย์ฉุกเฉินช่วงก่อนถึงโรงพยาบาล การปฏิรูปโครงสร้างองค์กรภาครัฐ การจัดความสัมพันธ์ระหว่างราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น : การปฏิรูปการบริหารจัดการของหน่วยรับผิดชอบงานทาง ธนาคารที่ดินและร่างพระราชบัญญัติธนาคารที่ดิน พ.ศ. .... และการปฏิรูปการดำเนินการด้านการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทยและแนวทางการดำเนินงานไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ๓. การบริหารราชการแผ่นดิน ๓.๑ ด้านความมั่นคง เช่น การเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้ด้วยความจงรักภักดีและปกป้องรักษาพระบรมเดชานุภาพ การน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและร่วมแสดงความอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และการรักษาความมั่นคงของรัฐและต่างประเทศ ๓.๒ ด้านสังคมจิตวิทยา เช่น การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม การจัดทำโครงการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่น โครงการห้องเรียนกีฬา โครงการโรงเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือและพัฒนาเป็นพิเศษอย่างเร่งด่วน (โรงเรียนไอซียู) การจัดงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาเนื่องในเทศกาลมาฆบูชา และการยกระดับคุณภาพบริการด้านสาธารณสุข และสุขภาพของประชาชน ๓.๓ ด้านเศรษฐกิจ เช่น การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ การดำเนินโครงการสนับสนุนสินเชื่อสถาบันเกษตรแปรรูปยางพาราภายใต้แนวทางพัฒนายางพาราทั้งระบบ การดำเนินโครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังด้วยมาตรการสนับสนุนสินเชื่อ การดำเนินมาตรการด้านการเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ปี ๒๕๖๐ เพิ่มเติม การดำเนินโครงการส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมด้านอาหารไทย ประจำปี ๒๕๖๐ การดูแลผู้บริโภคหลังการปรับราคาจำหน่ายปลีกก๊าซหุงต้ม และการดำเนินโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ๓.๔ ด้านการต่างประเทศ ได้พัฒนาฝีมือแรงงานนานาชาติในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงให้มีสมรรถนะและทักษะฝีมือตามมาตรฐานเทียบเท่าระดับสากลอันจะนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาคให้เข้มแข็งและยั่งยืน รวมถึงเพื่อเป็นการส่งเสริมและผลักดันมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติของประเทศไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับภูมิภาคและระดับสากล ตลอดจนเพื่อส่งเสริมการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึง ๓.๕ ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เช่น การส่งเสริมและการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาลและการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ การป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ และการปรับปรุงกฎหมายที่ล้าสมัยไม่เป็นธรรม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1210 | ขออนุมัติกู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่องสำหรับการดำเนินโครงการตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพประชาชน (รถเมล์ฟรี) และเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ (PSO) ปีงบประมาณ 2560 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค | 06/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่องสำหรับการดำเนินโครงการตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพประชาชน (รถเมล์ฟรี) และเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ (PSO) ปีงบประมาณ ๒๕๖๐ จำนวนรวม ๑,๗๗๗.๒๐๒ ล้านบาท และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ รวมทั้งพิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ในการกู้เงิน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย ขสมก. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการบริหารจัดการบริการสาธารณะของ ขสมก. และการบริหารหนี้สินของ ขสมก. ตลอดจนการปรับปรุงขั้นตอนการขอรับการจัดสรรเงินงบประมาณสำหรับการดำเนินการตามมาตรการรถเมล์ฟรี และ PSO ให้สอดคล้องกับระยะเวลาการชำระค่าใช้จ่ายภายในปีงบประมาณนั้น ๆ เพื่อลดปัญหาการชำระค่าใช้จ่ายล่าช้าที่ทำให้เกิดหนี้ค้างชำระและค่าเบี้ยปรับค้างชำระ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1211 | ขอสนับสนุนงบกลางเพื่อดำเนินงานโครงการโคบาลบูรพา | กษ | 06/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการแนวทางดำเนินงานโครงการโคบาลบูรพาของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยเป็นการส่งเสริมปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวที่ไม่เหมาะสมไปเลี้ยงปศุสัตว์ (โคเนื้อและแพะ) ในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว มีเป้าหมายเพื่อให้มีการเลี้ยงแม่โคเนื้อ รวม ๑๒๐,๐๐๐ ตัว และแพะพันธุ์ดี ๒๗,๒๐๐ ตัว รวมทั้งปลูกพืชอาหารสัตว์ทดแทนการปลูกพืชชนิดอื่นที่ให้ผลผลิตต่ำ รวม ๑๐๓,๘๒๓ ไร่ ภายในระยะเวลาโครงการ ๖ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๕) ผ่านการสนับสนุนของภาครัฐ สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจภายในประเทศ ที่ได้รับความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการพิจารณาการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ แผนงานบูรณาการเสริมสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ แล้ว ภายในกรอบวงเงิน ๙๗๐.๕๐ ล้านบาท ที่ครอบคลุมการดำเนินกิจกรรมส่งเสริมการเลี้ยงแม่โคเนื้อผลิตลูก กิจกรรมส่งเสริมอาชีพเลี้ยงแพะ และกิจกรรมส่งเสริมการปลูกพืชอาหารสัตว์เฉพาะในส่วนของเกษตรกรที่ได้รับการส่งเสริมการเลี้ยงแม่โคเนื้อผลิตลูกและเกษตรกรที่ได้รับการส่งเสริมการเลี้ยงแพะ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อาทิ การกู้ยืมเงินจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรเพื่อให้เกษตรกรนำไปใช้ร่วมในการดำเนินงาน ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร พ.ศ. ๒๕๕๔ และควรให้มีการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลโครงการอย่างต่อเนื่อง ควรจัดให้มีการฝึกอบรมให้ความรู้ที่จำเป็น มีการกำหนดแผนการติดตาม กำกับดูแล ประเมินผลและให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิดต่อเนื่องตลอดโครงการ ควรพิจารณาการสนับสนุนเงินกู้ยืมปลอดดอกเบี้ยตามความจำเป็น ความเหมาะสม และความสามารถในการชำระเงินกู้ยืมของเกษตรกรเพื่อมิให้เป็นภาระภาครัฐ และควรมีแนวทางการดำเนินงานที่สอดคล้องกับพันธกรณีของไทยภายใต้องค์การการค้าโลก ควรมีกระบวนการหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกเกษตรกรเข้าร่วมโครงการที่เหมาะสมและเป็นธรรม และควรมีการติดตามประเมินผลโครงการดังกล่าวในลักษณะถอดบทเรียน (Best Practice) ว่าประสบผลสำเร็จมากน้อยเพียงใด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาดำเนินการเพิ่มเติมด้วย ดังนี้ ๓.๑ เร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการให้ชัดเจนและทั่วถึงเพื่อให้เกษตรกรเข้าร่วมโครงการได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ รวมทั้งเร่งดำเนินโครงการให้เป็นไปตามแผนงานเพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณไม่เกิดความล่าช้าและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการด้วย ๓.๒ ในการคัดเลือกเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ ควรพิจารณาเลือกเกษตรกรที่มีความพร้อมและสมัครใจเข้าร่วมโครงการ โดยให้ความสำคัญกับเกษตรกรที่ยังไม่ได้รับการสนับสนุนจากโครงการอื่นที่มีลักษณะเดียวกัน (เช่น โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงโคเนื้อ โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงแพะ และโครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการทำนาหญ้า) เป็นลำดับแรก และควรให้คำปรึกษาแนะนำเกษตรกรในการปรับเปลี่ยนอาชีพอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง โดยคำนึงถึงปริมาณความต้องการโคเนื้อและแพะของตลาดและจัดหาตลาดสำหรับจำหน่ายโคเนื้อและแพะของเกษตรกร เพื่อให้เกษตรกรประสบความสำเร็จในการปรับเปลี่ยนอาชีพตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ มีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพ และเกิดความเชื่อมั่นต่อโครงการในลักษณะดังกล่าวของภาครัฐ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1212 | ขออนุมัติให้ดำเนินโครงการทางพิเศษสายพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (เอกสารรอการแก้ไข) | คค | 06/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ดำเนินโครงการทางพิเศษสายพระราม ๓-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก วงเงินลงทุนรวม ๓๑,๒๔๔ ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน จำนวน ๘๐๗ ล้านบาท และค่าก่อสร้าง จำนวน ๓๐,๔๓๗ ล้านบาท ๑.๒ อนุมัติให้รัฐอุดหนุนค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งหมด วงเงินรวม ๘๐๗ ล้านบาท ๑.๓ อนุมัติให้ กทพ. ใช้แหล่งเงินลงทุนโครงการจากการระดมทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund : TFF) เพื่อเป็นค่าก่อสร้าง โดยให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๐ เกี่ยวกับการระดมทุนผ่านกองทุนรวม TFF ของ กทพ. ต่อไป ๑.๔ อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... ตามโครงการทางพิเศษสายพระราม ๓-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก ๒. ในส่วนของร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... ตามโครงการทางพิเศษสายพระราม ๓-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก ให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงคมนาคม โดย กทพ. ปฏิบัติตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๙ อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ในส่วนของโครงการฯ ในช่วง กม. ๑๓+๐๐๐ ถึง กม. ๑๑+๒๐๐ ระยะทางประมาณ ๑.๘ กิโลเมตร ซึ่งเชื่อมต่อกับโครงการทางยกระดับบนทางหลวงหมายเลข ๓๕ (ธนบุรี-ปากท่อ) นั้น ให้ กทพ. ประสานงานกับกรมทางหลวงเพื่อเร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการฯ ในช่วงดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ก่อนดำเนินการก่อสร้างโครงการตามความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๔. ให้กระทรวงคมนาคม และ กทพ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรให้ กทพ. คำนึงถึงการบูรณาการการใช้พื้นที่ร่วมกันของกรมทางหลวงเพื่อลดความซ้ำซ้อนและเกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งเร่งพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการโครงการทางพิเศษศรีรัชที่จะสิ้นสุดสัญญาสัมปทานในปี ๒๕๖๓ ให้เกิดความชัดเจนโดยเร็ว และเห็นควรให้กระทรวงคมนาคมเตรียมการบริหารจัดการจราจรในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลภายหลังจากที่ก่อสร้างโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนทางราง ๑๐ เส้นทางแล้วเสร็จ เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๕. ให้ กทพ. เร่งรัดการดำเนินโครงการฯ และประสานงานกับกระทรวงการคลังอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การระดมทุนผ่านกองทุนรวม TFF และแผนดำเนินการก่อสร้างโครงการสอดคล้องกัน รวมทั้งให้กระทรวงการคลังหารือร่วมกับ กทพ. เพื่อพิจารณามาตรการหรือแนวทางในการลดผลกระทบจากการระดมทุนผ่านกองทุนรวม TFF ให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว โดยนำข้อเสนอของ กทพ. ไปประกอบการพิจารณาต่อไปด้วย ๖. ให้กระทรวงคมนาคม และ กทพ. เร่งเตรียมการในส่วนของโครงการทางด่วนขั้นที่ ๓ สายเหนือตอน N2 และ E-W Corridor ด้านตะวันออกให้แล้วเสร็จโดยเร็วตามระเบียบ ข้อกฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเป็นไปตามแนวทางของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๐ [เรื่อง การระดมทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund)]
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1213 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 06/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านการต่างประเทศ ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่อาจส่งผลกระทบต่อประเทศไทย เช่น การประกาศตัดสัมพันธ์ทางการทูตของประเทศในตะวันออกกลางกับกาตาร์ อย่างใกล้ชิด และรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยเร็ว ๒. ด้านสังคม ให้กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุขศึกษาปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ตามแนวชายแดนที่ติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เมียนมา ลาว กัมพูชา โดยเฉพาะปัญหาโรคระบาด การจัดบริการด้านสาธารณสุขและการศึกษา การเข้ามาทำงานของแรงงานต่างด้าว และการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย เพื่อพิจารณากำหนดแนวทางและมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าวตั้งแต่ต้นทางที่เป็นสาเหตุ ๓. ด้านเศรษฐกิจ ๓.๑ ให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พิจารณาแนวทางการพัฒนาและส่งเสริมการลงทุนรูปแบบใหม่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษต่าง ๆ โดยเฉพาะเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยอาจศึกษาจากรูปแบบต่าง ๆ จากต่างประเทศที่มีศักยภาพ เช่น การจัดตั้งศูนย์เพื่อวิจัยและพัฒนาด้านการลงทุนร่วมกันระหว่างประเทศจีนและมาเลเซีย และนำแนวทางต่าง ๆ ดังกล่าวมาปรับใช้เพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมและพัฒนาการลงทุนให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทยต่อไป ๓.๒ ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแผนการบริหารจัดการการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งและระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานต่าง ๆ เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ ให้มีความชัดเจนและเป็นระบบ โดยเฉพาะโครงการที่มีกรอบระยะเวลาและพื้นที่ก่อสร้างใกล้เคียงกัน เพื่อป้องกันไม่ให้กระทบต่อสภาพการจราจร ทั้งนี้ ให้เร่งดำเนินการเพื่อให้ทุกโครงการเริ่มต้นดำเนินงานได้ทันภายในปี ๒๕๖๐ ๓.๓ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๖๐ มอบหมายให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กรมทรัพยากรน้ำ และกรมชลประทาน รับไปเตรียมการวางแผนการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการนำน้ำจากโครงการไฟฟ้าพลังน้ำสตึงมนัมไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่ภาคตะวันออก และให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินโครงการไฟฟ้าพลังน้ำสตึงมนัมและการนำน้ำจากโครงการฯ ไปใช้ประโยชน์ ให้แล้วเสร็จโดยเร็วต่อไป นั้น ให้กระทรวงพลังงานเร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวโดยเร็ว ๔. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๔.๑ ในการดำเนินโครงการ/กิจกรรมต่าง ๆ ตามนโยบายของรัฐบาล ให้ทุกส่วนราชการกำหนดเป้าหมาย และกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน เพื่อให้สามารถวางแผนการประชาสัมพันธ์ การสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้ตรงตามกลุ่มเป้าหมาย ครอบคลุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสามารถวิเคราะห์ปัญหาและแนวทางแก้ไขได้อย่างเหมาะสม เช่น โครงการด้านการเกษตร อาจแบ่งเป็นกลุ่มผู้ผลิต (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย) กลุ่มผู้แปรรูป (กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม) และกลุ่มการตลาด (กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ) หรือโครงการด้านคุณภาพชีวิต ที่อาจแบ่งตามกลุ่มช่วงวัยของประชาชน โดยมีหน่วยงาน เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแรงงาน เกี่ยวข้องตามช่วงวัยต่าง ๆ ๔.๒ ให้ทุกส่วนราชการพิจารณาแผนงาน/โครงการเร่งด่วนต่าง ๆ ในความรับผิดชอบ ว่ามีปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการหรือไม่ อย่างไร และให้เร่งรัดการดำเนินโครงการในส่วนที่มีความเป็นไปได้ และไม่มีปัญหาและอุปสรรคใด ๆ ก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผนงาน/โครงการที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบที่ควรดำเนินการเร่งด่วน เช่น การขุดลอกคูคลอง การแก้ไขปัญหาเครื่องกีดขวางทางน้ำ การขุดคลองระบายน้ำใหม่ การส่งน้ำจากพื้นที่ที่น้ำท่วมขังไปยังพื้นที่เก็บกักน้ำหรือพื้นที่ขาดแคลนน้ำโดยใช้ทางน้ำธรรมชาติ เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาที่มีผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมากให้เกิดผลเป็นรูปธรรมได้โดยเร็วต่อไป ๔.๓ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำรวจและดำเนินการแก้ไขปัญหาโครงสร้างพื้นฐานกีดขวางทางระบายน้ำในจุดต่าง ๆ ทั่วประเทศให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๖๐ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำและป้องกันปัญหาอุทกภัยที่อาจจะเกิดขึ้นอีก นั้น ให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าว และให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลให้กรุงเทพมหานครเร่งรัดการสำรวจและศึกษารายละเอียดการจัดทำโครงการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำคลองเปรมประชากรจากคลองบางบัวลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาโดยเร็ว เพื่อใช้สำหรับการระบายน้ำในกรณีเกิดอุทกภัยและป้องกันน้ำท่วมชุมชนเมืองในพื้นที่เขตกรุงเทพมหานคร ๔.๔ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติมอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เป็นหน่วยงานตรวจสอบคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมที่ขอขึ้นทะเบียนบัญชีนวัตกรรมไทย และให้สำนักงบประมาณเป็นหน่วยงานตรวจสอบราคาของผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมที่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติดังกล่าว รวมทั้งจัดทำและประกาศบัญชีนวัตกรรมไทย และต่อมานายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้สำนักงบประมาณเร่งรัดดำเนินการแจ้งบัญชีนวัตกรรมไทยให้ทุกหน่วยงานทราบและใช้เป็นข้อมูลประกอบการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมให้ตรงกับความต้องการใช้งานของแต่ละหน่วยงานตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยอย่างน้อยให้แต่ละหน่วยงานจัดซื้อจัดจ้างผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมในอัตราส่วนร้อยละ ๓๐ ของความต้องการใช้งานทั้งหมดของหน่วยงาน นั้น ให้ดำเนินการเพิ่มเติม ๔.๔.๑ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ที่ขอขึ้นทะเบียนบัญชีนวัตกรรมไทยให้มีความสะดวกรวดเร็วมากขึ้น ๔.๔.๒ ให้สำนักงบประมาณปรับปรุงบัญชีนวัตกรรมไทยให้มีความครบถ้วนและเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ รวมทั้งจัดให้มีช่องทางในการเผยแพร่บัญชีนวัตกรรมไทยให้ทุกหน่วยงานทราบอย่างชัดเจนและทั่วถึงต่อไปด้วย ๔.๕ ให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานขอความร่วมมือให้ผู้ประกอบการค้าขายรายใหญ่ให้ร่วมมือกับภาครัฐในการลดการใช้ถุงพลาสติก โดยอาจพิจารณาให้มีการลดราคาสินค้าเมื่อผู้ใช้บริการไม่ใช้ถุงพลาสติกหรือการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอื่นเพื่อรณรงค์การลดใช้ถุงพลาสติก ทั้งนี้ ให้กำหนดพื้นที่เป้าหมายในการดำเนินการให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และให้เร่งดำเนินการในพื้นที่ที่มีความพร้อมก่อน แล้วจึงขยายผลการดำเนินการไปยังพื้นที่อื่นต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1214 | ขออนุมัติขยายกรอบวงเงินงบประมาณและระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณโครงการก่อสร้างทางเลี่ยงเมืองแม่สอดพร้อมสะพานข้ามแม่น้ำเมยแห่งที่ 2 จังหวัดตาก ของกรมทางหลวง | คค | 30/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติขยายกรอบวงเงินงบประมาณโครงการก่อสร้างทางเลี่ยงเมืองแม่สอดพร้อมสะพานข้ามแม่น้ำเมยแห่งที่ ๒ จังหวัดตาก ของกรมทางหลวง จากวงเงินเดิม ๓,๙๐๐ ล้านบาท ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๕๘ เป็นวงเงิน ๔,๒๖๗.๕๗๐๐ ล้านบาท ๑.๒ อนุมัติการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการงานก่อสร้างอาคารด่าน BORDER CONTROL FACLITIES (BCF) ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-พ.ศ. ๒๕๖๒ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๑,๑๘๗.๕๖๖๘ ล้านบาท เป็นกรณีเฉพาะราย ตามนัยมาตรา ๒๓ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๑.๓ สำหรับงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ กรมทางหลวงได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-พ.ศ. ๒๕๖๐ ไว้แล้ว จำนวน ๓,๒๙๒ ล้านบาท โดยสำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ รองรับไว้แล้ว จำนวน ๑๒๗ ล้านบาท ส่วนที่ขาดอีก จำนวน ๘๔๘.๕๗๐๐ ล้านบาท ให้กรมทางหลวงเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๑.๔ ให้กระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวงขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามนัยระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประชาชนที่จะได้รับเป็นสำคัญด้วย ๒. ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประสานกับเมียนมาในการพิจารณาหารือรูปแบบและแนวทางที่จะเปิดใช้ทางเลี่ยงเมืองและสะพานข้ามแม่น้ำเมยแห่งที่ ๒ ที่ได้ก่อสร้างแล้วเสร็จไปพลางก่อนในช่วงที่ยังอยู่ระหว่างก่อสร้างอาคารด่าน BCF เพื่อรองรับการเดินทางและขนส่งสินค้าข้ามแดนระหว่างไทยกับเมียนมาในแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor) ซึ่งจะช่วยให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ในการริเริ่มแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ในอนาคต ให้กระทรวงคมนาคมถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) อย่างเคร่งครัดด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1215 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลเขื่อน ตำบลยางน้อย และตำบลยางท่าแจ้ง อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ให้เป็นเขตสำรวจการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 30/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลเขื่อน ตำบลยางน้อย และตำบลยางท่าแจ้ง อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ให้เป็นเขตสำรวจการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตสำรวจการจัดรูปที่ดินเพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่เข้าทำการสำรวจพื้นที่ที่จะจัดทำเป็นโครงการจัดรูปที่ดิน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประเมินผลการดำเนินโครงการจัดรูปที่ดินและการนำที่สาธารณะไปจัดรูปที่ดินที่ผ่านมา โดยเฉพาะปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ เพื่อนำมาใช้ในการปรับปรุงและวางแผนการดำเนินงานในระยะต่อไปให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1216 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับโครงการพัฒนาเคหะชุมชนคลองเตย ระยะที่ 3 | คค | 30/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับโครงการพัฒนาเคหะชุมชนคลองเตย ระยะที่ ๓ ซึ่งเดิมมีวัตถุประสงค์ที่จะแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยให้กับชาวชุมชนแออัด เพื่อให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยสามารถนำอาคารแฟลตดังกล่าวมาบริหารจัดการด้านที่อยู่อาศัยให้แก่พนักงานการท่าเรือแห่งประเทศไทย ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยคัดเลือกพนักงานชั้นผู้น้อยที่ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเองเข้าพักในอาคารแฟลต ๒๖-๒๙ จำนวน ๖๒๐ หน่วยเป็นลำดับแรก ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ทั้งนี้ ในการดำเนินโครงการที่อยู่อาศัยในอนาคต ให้สำรวจความต้องการของชุมชนก่อนดำเนินการ และเสนอผลการสำรวจประกอบการพิจารณาอนุมัติโครงการตามความเห็นของสำนักงบประมาณด้วย ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดยการท่าเรือแห่งประเทศไทยเร่งพิจารณาจัดทำแผนการบริหารจัดการชุมชนแออัดในปัจจุบันให้มีความชัดเจนและเหมาะสมตามความเห็นของกระทรวงการคลัง รวมทั้งกำหนดมาตรการไม่ให้เกิดการบุกรุกที่ดินว่างเปล่าขึ้นอีก ตามความเห็นของกระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยให้มุ่งเน้นการทำความเข้าใจกับชาวชุมชนอย่างต่อเนื่องและทั่วถึงด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคม โดยการท่าเรือแห่งประเทศไทยร่วมกับการเคหะแห่งชาติ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาใช้ประโยชน์จากโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยแก่ผู้มีรายได้น้อยของรัฐบาลโครงการอื่น เช่น โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง โครงการบ้านประชารัฐ เป็นต้น เพื่อให้ชาวชุมชนมีทางเลือกที่อยู่อาศัยที่หลากหลายและตรงกับความต้องการของชาวชุมชนมากยิ่งขึ้น ตลอดจนเพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปอย่างคุ้มค่าต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1217 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันงบประมาณ สำหรับโครงการปรับปรุงทำเนียบเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี | กต | 30/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันงบประมาณสำหรับโครงการปรับปรุงทำเนียบเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี รายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ แผนงานขับเคลื่อนนโยบายการต่างประเทศและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ผลผลิตความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศต่าง ๆ ในกรอบทวิภาคี กิจกรรมที่ ๑ การดำเนินกิจกรรมเสริมสร้างความสัมพันธ์ในระดับทวิภาคี งบลงทุน รายการค่าปรับปรุงทำเนียบเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี จากเดิมวงเงิน ๘๐,๖๐๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๘๔,๙๔๙,๐๐๐ บาท และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันงบประมาณ จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-พ.ศ. ๒๕๕๙ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ส่วนเรื่องงบประมาณให้เป็นตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยวงเงินงบประมาณที่เพิ่มขึ้นจากสัญญาดังกล่าวให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ของกระทรวงการต่างประเทศที่เหลือจ่ายจากการดำเนินงานที่บรรลุวัตถุประสงค์แล้ว ทั้งนี้ การดำเนินโครงการและการขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ให้กระทรวงการต่างประเทศปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1218 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี 2560 และแนวโน้มปี 2560 | นร11 | 23/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๐ และแนวโน้มปี ๒๕๖๐ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๐ ขยายตัวร้อยละ ๓.๓ ต่อเนื่องจากการขยายตัวร้อยละ ๓.๐ ในไตรมาสก่อนหน้า และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกขยายตัวจากไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๕๙ ร้อยละ ๑.๓ ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้จ่ายภาคครัวเรือน การส่งออกบริการและสินค้า และการลงทุนภาครัฐขยายตัวดีขึ้น โดยเฉพาะด้านการส่งออกสินค้าขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ ๖.๖ ซึ่งเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ ๑๗ ไตรมาส ๒. เสถียรภาพทางเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยอัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำร้อยละ ๑.๒ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยร้อยละ ๑.๓ บัญชีเดินสะพัดเกินดุล ๑๓,๓๑๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ (๔๖๘,๑๔๗ ล้านบาท) หรือคิดเป็นร้อยละ ๑๒.๓ ของ GDP เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๖๐ อยู่ที่ ๑๘๐.๙ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๖๐ มีมูลค่าทั้งสิ้น ๖,๑๖๖.๕ พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๐.๗ ของ GDP ๓. แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี ๒๕๖๐ มีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ ๓.๓-๓.๘ ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากการขยายตัวร้อยละ ๓.๒ ในปี ๒๕๕๙ โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าจะขยายตัวร้อยละ ๓.๖ การบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ ๓.๐ และร้อยละ ๔.๔ ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในช่วงร้อยละ ๐.๘-๑.๓ และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๘.๙ ของ GDP ๔. ประเด็นการบริหารเศรษฐกิจในปี ๒๕๖๐ ควรให้ความสำคัญกับ (๑) การใช้จ่ายของรัฐบาลและการดำเนินโครงการลงทุนภาครัฐให้ได้ตามเป้าหมาย (๒) การสนับสนุนการส่งออกให้สามารถขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ร้อยละ ๕.๐ (๓) การสนับสนุนการขยายตัวของรายได้เกษตรกรและการดูแลผู้มีรายได้น้อย (๔) การสร้างความเชื่อมั่นและสนับสนุนการฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชน และ (๕) การสนับสนุนการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1219 | การเข้าร่วมโครงการ Base Erosion and Profit Shifting Project (BEPS Project) ของ OECD ในฐานะ Associate Country ภายใต้ Inclusive Framework | กค | 16/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการเข้าร่วมโครงการ Base Erosion and Profit Shifting Project (BEPS Project) ขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา [Organisation for Economic Co-operation and Development (OECD)] ในฐานะประเทศสมาชิก (Associate Country) ภายใต้กรอบความร่วมมือ (Inclusive Framework) เพื่อให้ประเทศไทยมีการดำเนินการเพื่อป้องกันการวางแผนเพื่อกัดกร่อนฐานภาษีและโอนกำไรไปต่างประเทศของบริษัทข้ามชาติ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเกี่ยวกับงบประมาณเพื่อเป็นค่าธรรมเนียม จำนวน ๒๐,๐๐๐ ยูโรต่อปี หรือประมาณ ๘๐๐,๐๐๐ บาทต่อปี และค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นจากการเข้าร่วมโครงการฯ ให้ใช้จ่ายจากเงินนอกงบประมาณของกรมสรรพากร รวมทั้งให้ทำการศึกษาถึงความรุนแรงของปัญหาการหลบเลี่ยงภาษีของธุรกิจข้ามชาติที่เกิดขึ้นในประเทศไทย และศึกษาเปรียบเทียบถึงรายได้ภาษีที่รัฐบาลจะสูญเสียจากการหลบเลี่ยงภาษีระหว่างประเทศดังกล่าวทั้งก่อนและหลังการดำเนินโครงการฯ นอกจากนี้ ในการเข้าร่วมโครงการฯ จะต้องระมัดระวังไม่ให้มีผลกระทบต่อการดำเนินนโยบายและมาตรการเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจเฉพาะด้านของประเทศไทยในอนาคต และหากการเข้าร่วมโครงการฯ มีการระบุถึงมาตรการส่งเสริมการลงทุนที่มีการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่บริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ให้แจ้งรายละเอียดที่เกี่ยวข้องให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนทราบด้วย และความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่เห็นควรมีแผนเตรียมการรองรับการเข้าร่วมโครงการฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายภายในของประเทศไทยที่เกี่ยวข้องให้มีความสอดคล้องกับหลักปฏิบัติสากล ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1220 | การต่ออายุความตกลงก่อตั้งศูนย์อาเซียน - ญี่ปุ่น (ASEAN - Japan Centre: AJC) | พณ | 16/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการต่ออายุความตกลงก่อตั้งศูนย์อาเซียน-ญี่ปุ่น (The Agreement Establishing the ASEAN Promotion Centre on Trade, Investment and Tourism) ออกไปอีก ๕ ปี (๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๐-๒๔ พฤษภาคม ๒๕๖๕) และเห็นชอบให้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศซึ่งเป็นผู้แทนประเทศไทยในสมาชิกคณะมนตรีของศูนย์อาเซียน-ญี่ปุ่น เป็นผู้แทนในการลงนามให้การรับรองการต่ออายุความตกลงฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการริเริ่มการจัดกิจกรรมในรูปแบบใหม่ ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของทั้งสองฝ่าย เช่น การจัดตั้งโครงการ Creative Industry Village เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เป็นต้น และควรมีการบูรณาการการดำเนินกิจกรรมร่วมกับศูนย์อาเซียนอื่น ๆ เช่น ศูนย์อาเซียน-จีน และศูนย์อาเซียน-เกาหลี เพื่อรองรับการจัดทำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) รวมทั้งควรพิจารณารูปแบบการดำเนินโครงการและกิจกรรมบนหลักการที่เท่าเทียมกันให้มากขึ้น โดยคำนึงถึงการก่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันอย่างสมดุลต่อทั้งญี่ปุ่นและประเทศสมาชิกอาเซียน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
.....