ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 39 จากทั้งหมด 252 หน้า แสดงรายการที่ 761 - 780 จากข้อมูลทั้งหมด 5031 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
761 | การใช้อัตราข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาจากผลการเกษียณอายุราชการเพื่อบรรจุบัณฑิตครูคืนถิ่นตามโครงการกองทุนการศึกษา สำนักงานเลขาธิการคณะองคมนตรี | ศธ | 08/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ใช้อัตราข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาจากผลการเกษียณอายุราชการในทุกปีงบประมาณ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นต้นไป เพื่อรองรับการบรรจุนักศึกษาทุนพระราชทาน “บัณฑิตครูคืนถิ่น” โครงการกองทุนการศึกษา สำนักงานเลขาธิการคณะองคมนตรี เท่าจำนวนนักศึกษาทุนที่สำเร็จการศึกษาในแต่ละปีการศึกษา ให้ได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการครูสังกัด สพฐ. ในโรงเรียนที่อยู่ในโครงการกองทุนการศึกษา หรือโรงเรียนเครือข่ายในภูมิลำเนาท้องถิ่นของตนเอง ตามเงื่อนไขข้อผูกพันของโครงการฯ โดยให้รายงานจำนวนอัตราเกษียณอายุราชการที่ต้องใช้ในการบรรจุนักศึกษาทุนพระราชทานในแต่ละปีการศึกษาให้คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) รับทราบด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้ทันต่อการบรรจุนักศึกษาทุนพระราชทานเป็นการเฉพาะเท่าจำนวนที่จะใช้ในการบรรจุในแต่ละปีงบประมาณ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๖ [เรื่อง มาตรการบริหารกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๖)] ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ที่เห็นควรมีการวิเคราะห์โครงสร้างอัตรากำลังคนในภาพรวมของสถานศึกษาในสังกัด สพฐ. ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับภารกิจขององค์กร ควรเน้นการบรรจุครูผู้สอนให้มีคุณวุฒิตรงตามวิชาที่สอนตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความต้องการของโรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่โครงการฯ รวมทั้งควรจัดทำรายละเอียดเกี่ยวกับแผนความต้องการอัตรากำลังคนและข้อมูลครูของโรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่ของโครงการฯ ให้มีความชัดเจน อาทิ จำนวนอัตราและจำนวนโรงเรียนที่ขอบรรจุครู จำนวนบัณฑิตครูคืนถิ่นในแต่ละปี จำนวนครูที่ขาดแคลนในแต่ละสาขาวิชาหรือกลุ่มสาระการเรียนรู้ และการวิเคราะห์ถึงผลกระทบในการบริหารจัดการอัตรากำลังครู กรณีหากมีการยุบหรือยุบเลิกโรงเรียนในพื้นที่พิเศษดังกล่าวในระยะยาว เพื่อเป็นข้อมูลประกอบให้ คปร. พิจารณาตามเหตุผลความจำเป็นเป็นปี ๆ ไป สำหรับการดำเนินการในปีต่อไป เห็นควรดำเนินการตามข้อเสนอมาตรการบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑) ตามมติ คปร. ในการประชุมเมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๖ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
762 | ขออนุมัติดำเนินโครงการปรับปรุงการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ และขอยกเลิกโครงการขยายโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ CDMA | ทก | 08/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการแนวทางการปรับปรุงการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ HSPA ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ โดยมีรูปแบบการให้บริการขายส่งบริการ (Wholesaler) และผู้ให้บริการขายต่อบริการ (Reseller) บนเทคโนโลยี HSPA เพื่อให้สามารถให้บริการแก่ผู้ใช้บริการรายเดิมและปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจสื่อสารไร้สายของบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) (กสท) ให้สามารถแข่งขันในตลาดโทรคมนาคม รวมทั้งเร่งฟื้นฟูฐานะการเงินเพื่อให้องค์กรอยู่ได้แม้ไม่มีรายได้จากสัญญาสัมปทาน ภายใต้แผนยุทธศาสตร์เพื่อพลิกฟื้นฐานะการเงิน ปี ๒๕๕๖-๒๕๖๐ ซึ่งคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจมีมติเห็นชอบแผนดังกล่าวแล้ว ๑.๒ อนุมัติให้ยกเลิกโครงการขยายโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ CDMA ส่วนภูมิภาค มูลค่า ๓,๘๐๐ ล้านบาท ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๓ [เรื่อง โครงการขยายโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ CDMA ของ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน)] อนุมัติให้ดำเนินโครงการดังกล่าว เนื่องจากหมดความจำเป็นจากการที่ กสท เลือกใช้ระบบ HSPA แทนระบบ CDMA ในการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รูปแบบใหม่ ๑.๓ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในฐานะกระทรวงเจ้าสังกัดตรวจสอบการดำเนินโครงการดังกล่าวของ กสท ให้ถูกต้องตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด และตรวจสอบข้อเท็จจริงของการดำเนินโครงการปรับปรุงการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ HSPA รวมทั้งจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงของโครงการและติดตามการดำเนินการอย่างใกล้ชิด ๑.๔ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในฐานะกระทรวงเจ้าสังกัดควรตรวจสอบการดำเนินโครงการดังกล่าวของบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ให้ถูกต้องตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด และตรวจสอบข้อเท็จจริงของการดำเนินโครงการปรับปรุงการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ HSPA การจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงของโครงการและติดตามการดำเนินการอย่างใกล้ชิด และกระทรวงการคลังควรพิจารณาปรับปรุงรูปแบบการดำเนินงาน บทบาท และความจำเป็นในการคงสภาพของรัฐวิสาหกิจในธุรกิจโทรคมนาคมให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแข่งขันในปัจจุบันและเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจขององค์กร ไปดำเนินการ รวมทั้งให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารตรวจสอบรายละเอียดของสัญญา เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อ กสท และไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้บริการ ๒. ให้บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ดำเนินโครงการต่อไปได้ โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานอัยการสูงสุดที่เห็นว่า ในอนาคตหาก กสท มีความประสงค์ที่จะยกเลิกการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในระบบ CDMA ทั้งหมด ก็จำเป็นที่จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบหรือประกาศที่เกี่ยวข้องของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลกิจการโทรคมนาคม และให้ กสท พิจารณาถึงความผูกพันและผลกระทบในสัญญาที่เกี่ยวข้องกับโครงการขยายโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ CDMA รวมถึงผลกระทบต่อผู้ใช้บริการระบบดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
763 | รายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ และรายงานผลการประเมินตนเองของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการคณะต่างๆ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | นร12 | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ (ค.ต.ป.) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๖ ตามที่ ค.ต.ป. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของ ค.ต.ป. ประจำกระทรวง คณะอนุกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ (อ.ค.ต.ป.) กลุ่มกระทรวง และ อ.ค.ต.ป. กลุ่มจังหวัด ที่ได้ดำเนินการสอบทานผลการปฏิบัติงานของส่วนราชการและจังหวัด โดยมีสรุปภาพรวมจากรายงานข้อค้นพบของส่วนราชการและจังหวัดตามประเด็นการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการที่กำหนด พบว่า ส่วนราชการและจังหวัดมีการพัฒนาการดำเนินงานในประเด็นที่ได้สอบทานทั้ง ๕ ด้าน ได้แก่ การตรวจราชการ การตรวจสอบภายใน การควบคุมภายในและการบริหารความเสี่ยง การปฏิบัติราชการตามคำรับรองการปฏิบัติราชการ และรายงานการเงิน อย่างต่อเนื่อง ๑.๒ เห็นชอบข้อเสนอแนะตามความเห็นของ ค.ต.ป. และให้หน่วยงานที่พบปัญหาและผู้รับผิดชอบรายงานผลความก้าวหน้าในการดำเนินการทุก ๖ เดือน ต่อ ค.ต.ป. คณะต่าง ๆ ตามที่รับผิดชอบ ๑.๓ รับทราบรายงานผลการประเมินตนเองของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการคณะต่าง ๆ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ซึ่งพบว่า คณะกรรมการฯ มีผลการประเมินตนเองในภาพรวมรายคณะอยู่ในเกณฑ์ระดับดีเยี่ยม ๒. ให้ ค.ต.ป. รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีที่เห็นควรปรับวิธีการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการเพิ่มขึ้นใน ๒ มิติ คือ มิติด้านการเงิน โดยมุ่งเน้นการตรวจสอบและประเมินผลด้านประสิทธิภาพในการใช้จ่ายงบประมาณ ความสามารถในการลดต้นทุนและลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินการ และความสามารถในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และมิติด้านการบริหารจัดการ โดยคำนึงถึงความโปร่งใส ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการบริหารจัดการ ซึ่งควรกำหนดตัวชี้วัดให้ชัดเจนและใช้เป็นกลไกในการบริหารจัดการ และในการตรวจสอบและประเมินผลควรพิจารณาขยายไปถึงราชการส่วนท้องถิ่น มีการวางมาตรการในการตรวจสอบที่กระชับมากขึ้น และให้ฝ่ายเลขานุการของ ค.ต.ป. ควรมีพื้นฐานความรู้ที่หลากหลายและสามารถตรวจสอบในเชิงลึกได้ รวมทั้งความเห็นของกระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรเพิ่มอัตรากำลังผู้ตรวจสอบภายในจังหวัด จากเดิมจังหวัดละ ๓ คน เป็นจังหวัดละ ๕-๗ คน เพื่อให้เหมาะสมกับขอบเขตปริมาณงานของแต่ละจังหวัด นอกจากนี้ เห็นควรให้นำข้อค้นพบและแนวทางแก้ไขในรายงานดังกล่าวเชื่อมโยงเข้ากับระบบการติดตามผลการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญของรัฐบาลผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศซึ่งเป็นระบบที่เชื่อมโยงกับศูนย์ปฏิบัติการของนายกรัฐมนตรี (PMOC) เพื่อคณะรัฐมนตรีจะได้ใช้ประโยชน์ในการกำกับการบริหารราชการของส่วนราชการอย่างบูรณาการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
764 | มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 5 พ.ศ. 2555 เรื่อง การป้องกันและลดผลกระทบด้านสุขภาพจากโรงไฟฟ้าชีวมวล และแผนการขับเคลื่อนมติฯ | สช | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ โดยคณะกรรมการกลั่นกรองฯ เห็นชอบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ ๕ พ.ศ. ๒๕๕๕ เรื่อง การป้องกันและลดผลกระทบด้านสุขภาพจากโรงไฟฟ้าชีวมวล พร้อมทั้งแผนการขับเคลื่อนมติฯ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติฯ ที่เกี่ยวข้องต่อไป ยกเว้นประเด็นการห้ามใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงในโรงโรงไฟฟ้าชีวมวล [ตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติฯ ข้อ ๑.๔ (๘)] และประเด็นการให้กระทรวงสาธารณสุขออกประกาศให้โรงไฟฟ้าชีวมวลเป็นกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ [ตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติฯ ข้อ ๑.๖ (๒)] ให้ดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑ การห้ามใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าชีวมวล [ตามมติฯ ข้อ ๑.๔ (๘)] ให้กระทรวงพลังงานและสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดมาตรการในการลดและเลิกการใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง ในโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลให้ชัดเจน โดยเฉพาะในโรงไฟฟ้าชีวมวลที่มีขนาดกำลังผลิตกระแสไฟฟ้ารวมต่ำกว่า ๑๐ เมกะวัตต์ ๑.๒ การให้กระทรวงสาธารณสุขออกประกาศให้โรงไฟฟ้าชีวมวลเป็นกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ [ตามมติฯ ข้อ ๑.๖ (๒)] ให้กระทรวงสาธารณสุข (กรมอนามัย) ร่วมกับกระทรวงพลังงาน และสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานดำเนินการปรับปรุงการจัดทำประมวลหลักการปฏิบัติงาน (COP) โดยให้มีมาตรการควบคุมและป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพอย่างครอบคลุมด้วย และให้กรมอนามัยในฐานะเลขานุการคณะกรรมการสาธารณสุขร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาความเหมาะสมในการออกประกาศตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๓๕ ให้การประกอบกิจการโรงไฟฟ้าชีวมวลเป็นกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพต่อไป ๒. ยกเว้นประเด็นการห้ามใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าชีวมวล [ตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติฯ ข้อ ๑.๔ (๘)] และประเด็นการให้กระทรวงสาธารณสุขออกประกาศให้โรงไฟฟ้าชีวมวลเป็นกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ [ตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติฯ ข้อ ๑.๖ (๒)] ให้กระทรวงพลังงานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาในประเด็นดังกล่าวว่าจะสามารถดำเนินการได้หรือไม่เพียงใด หรือมีแนวทางใดที่เหมาะสม และนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
765 | ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | รง | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ โดยคณะกรรมการฯ มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๕ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน)เกี่ยวกับการกำหนดให้มีระบบการรับรองความสามารถ และการกำหนดให้มีศูนย์ประเมินความสามารถทั้งภาครัฐและเอกชน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงานเป็นศูนย์ประเมินความสามารถกลางนั้น เป็นบทบาทที่ซ้ำซ้อนกับการดำเนินงานของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) จะเป็นการเพิ่มภาระงบประมาณของประเทศ และอาจสร้างความสับสนให้กับประชาชนผู้รับบริการ จึงควรให้ความสำคัญกับการสร้างระบบการรับรองความสามารถที่เป็นเอกภาพ เพื่อเตรียมความพร้อมในการเพิ่มขีดความสามารถของแรงงานไทยเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
766 | ขอความเห็นชอบช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยปี 2554 กรณีพิเศษ (ส้มโอ และทุเรียน) | กษ | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการพิจารณาทบทวนความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกรณีขอความเห็นชอบช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย ปี ๒๕๕๔ กรณีพิเศษ (ส้มโอ และทุเรียน) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดย ๑.๑.๑ การขอความช่วยเหลือให้เกษตรกรผู้ปลูกส้มโอและทุเรียน เป็นการขอความช่วยเหลือเพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนการผลิตที่แท้จริงของเกษตรกร ประกอบกับพื้นที่ประสบภัยเป็นแหล่งผลิตสำคัญของส้มโอและทุเรียน จึงจำเป็นต้องช่วยเหลือเกษตรกรให้สามารถฟื้นฟูสภาพสวนได้ หากได้รับการช่วยเหลือตามอัตราที่เสนอ เกษตรกรจะต้องถูกหักเงินในอัตราไร่ละ ๕,๐๙๘ บาท ที่เคยได้รับการช่วยเหลือไปแล้วในเบื้องต้นออก ๑.๑.๒ การพิจารณาการช่วยเหลือกรณีส้มโอและทุเรียนที่ประสบอุทกภัย ปี ๒๕๕๔ ควรใช้แนวทางการช่วยเหลือเป็นเงินสดเหมือนกับการช่วยเหลือกรณีพืชอื่นซึ่งเกิดภัยในช่วงเดียวกัน ๑.๑.๓ ให้มีการทบทวนและปรับปรุงหลักเกณฑ์การช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติด้านการเกษตรทั้งระบบ และในระยะต่อไปควรมีการปรับปรุงและกำหนดแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรในรูปแบบอื่น เช่น การให้เงินกู้ปลอดดอกเบี้ย และการประกันภัยพืชผลทางการเกษตร ในกรณีของหลักเกณฑ์การช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัย ๑.๒ เห็นชอบช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย ปี ๒๕๕๔ กรณีพิเศษ (ส้มโอ และทุเรียน) วงเงินช่วยเหลือ ๔๕๘,๓๐๒,๘๗๐ บาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เนื่องจากสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ แล้ว โดยให้สำนักงบประมาณจัดสรรเงินงบประมาณให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อดำเนินการเบิกจ่ายให้เกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย ปี ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ เกษตรกรที่จะได้รับการช่วยเหลือกรณีพิเศษ (ส้มโอ และทุเรียน) ดังกล่าว จะต้องเป็นเกษตรกรที่ประสบความเสียหายจากการเกิดอุทกภัย ปี ๒๕๕๔ และจะต้องดำเนินการเพาะปลูกพืชชนิดเดิมที่ได้รับความเสียหาย (ส้มโอ และทุเรียน) เพื่อเป็นการอนุรักษ์ให้พืชผลไม้ที่มีชื่อเสียงประจำถิ่นคงอยู่สืบไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานงานและหารือร่วมกับกระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. กระทรวงมหาดไทย และสำนักงบประมาณ เพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินการให้การจ่ายเงินช่วยเหลือผ่าน ธ.ก.ส. ไปยังเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยในกรณีนี้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของการให้ความช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษที่ต้องการให้เกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยสามารถนำเงินที่ได้รับการช่วยเหลือไปใช้สำหรับการเพาะปลูกและฟื้นฟูส้มโอ และทุเรียน ทดแทนของเดิมที่ได้รับความเสียหาย เพื่อเป็นการอนุรักษ์ผลไม้ที่มีชื่อเสียงประจำถิ่นให้คงอยู่ได้อย่างแท้จริงต่อไป และให้รายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
767 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ครั้งที่ 1/2556 | นร | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ตามที่ประธาน กพต. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบ จำนวน ๖ เรื่อง ๑.๑.๑ รายงานการปฏิบัติตามนโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ ตามวัตถุประสงค์ ข้อ ๘ (เพื่อสร้างสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมและเอื้อต่อการพูดคุยในการแสวงหาทางออกจากความขัดแย้ง และการให้หลักประกันในการเข้ามามีส่วนร่วมของผู้ที่เกี่ยวข้อง และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในกระบวนการเสริมสร้างสันติภาพ) กรณีการพูดคุยกับผู้มีความเห็นต่าง ที่มีประเทศมาเลเซียเป็นผู้อำนวยความสะดวก ๑.๑.๒ การแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายพลเรือนที่ปฏิบัติหน้าที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ๑.๑.๓ โครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลปกครองยะลาและบ้านพักอาศัย ๑.๑.๔ การช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ๑.๑.๕ การส่งเสริมและสนับสนุนการเรียนสังคมพหุวัฒนธรรมที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและอัตลักษณ์ของนักเรียนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ๑.๑.๖ การขอรับโอนโครงการนิคมอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล จังหวัดปัตตานี ๑.๒ เห็นชอบ จำนวน ๕ เรื่อง ๑.๒.๑ การทบทวนสรุปผลการประชุม กพต. ครั้งที่ ๔/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๕ เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ๒ เรื่อง ได้แก่ การขอขยายระยะเวลาการรับคำขอสินเชื่อโครงการส่งเสริมสินเชื่อผู้ประกอบอาชีพให้บริการรถสาธารณะ ในพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ออกไป ๑ ปี ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ และการขอสนับสนุนงบประมาณงานระวังป้องกันเพิ่มเติมจากการขยายระยะเวลาการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข ๔๑๐ สายยะลา-เบตง ตอนสะพานข้ามอ่างเก็บน้ำบางลาง เป็นเงิน ๔,๐๒๖,๐๐๐ บาท ของกรมทางหลวง ๑.๒.๒ ร่างแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๗ ๑.๒.๓ การส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ๑.๒.๔ การเพิ่มกรอบอัตรากำลังพลสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ๑.๒.๕ การขอรับจัดสรรงบประมาณเพื่อเสริมมาตรการรักษาความปลอดภัยท่าอากาศยานนราธิวาส ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ส่วนงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้ ศอ.บต. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับโครงการพัฒนาคุณภาพการศึกษาในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส ปัตตานี ยะลา และ ๔ อำเภอของจังหวัดสงขลา (อำเภอสะบ้าย้อย เทพา จะนะ นาทวี) ให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาอย่างรอบคอบและครอบคลุมข้าราชการทุกประเภท โครงการปรับปรุงหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขการจัดสรรเงินอุดหนุนรายบุคคล โรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษา ศาสนาควบคู่สามัญ และประเภทอาชีวศึกษาในเขตพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และโครงการสร้างหอพัก อาคารเรียน อาคารเอนกประสงค์ ให้กระทรวงศึกษาธิการ และ ศอ.บต. ดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบที่กำหนดอย่างเคร่งครัด เป็นธรรม โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ และติดตามผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการสนับสนุนสวัสดิการครูและบุคลากรทางการศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้ ศอ.บต. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาอย่างรอบคอบและให้ครอบคลุมข้าราชการทุกคนทุกประเภทที่ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ นอกจากนี้ ให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นผู้พัฒนาโครงการนิคมอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล จังหวัดปัตตานี และรัฐให้การสนับสนุนงบประมาณสำหรับการพัฒนาโครงการดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ในส่วนของโครงการจัดสร้างสนามฟุตซอลเพื่อเยาวชนห่างไกลยาเสพติด ไม่หลงผิดในสิ่งที่ไม่ดี มีพลังสร้างสันติสุขชายแดนใต้ ตามแนวทางการส่งเสริมและสนับสนุนการเรียนสังคมพหุวัฒนธรรมที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและอัตลักษณ์ของนักเรียนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น เมื่อดำเนินการเสร็จแล้ว ให้ ศอ.บต. ประสานงานกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการจัดการแข่งขันกีฬาฟุตซอลต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
768 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2556 | ทส | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. การปรับปรุงมาตรฐานระดับเสียงรถยนต์ ๑.๑ เห็นชอบให้ปรับปรุงประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดระดับเสียงรถยนต์ ลงวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ให้เป็นไปตามร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดมาตรฐานระดับเสียงของรถยนต์ ตามความเห็นของคณะกรรมการควบคุมมลพิษ และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ๑.๒ ให้กรมควบคุมมลพิษนำร่างประกาศฯ ที่ปรับแก้ไขตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมลงนามและประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป และให้กรมการขนส่งทางบกระบุความเร็วรอบของเครื่องยนต์ที่ให้กำลังสูงสุดไว้ในสมุดทะเบียนรถ สำหรับรถยนต์ที่จดทะเบียนใหม่นับจากวันที่ประกาศฯ มีผลใช้บังคับ ๒. แนวทางการนำกลับและส่งกลับของเสียอันตรายที่เคลื่อนย้ายข้ามแดนอย่างผิดกฎหมาย ๒.๑ เห็นชอบแนวทางการนำกลับและส่งกลับของเสียที่เคลื่อนย้ายข้ามแดนอย่างผิดกฎหมาย ตามความเห็นของคณะอนุกรรมการอนุสัญญาบาเซล ในการประชุมครั้งที่ ๓๖-๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๕ และ ๔๐-๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๖ ๒.๒ ให้กรมควบคุมมลพิษนำแนวทางดังกล่าวเผยแพร่ให้แก่ผู้เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการขนส่งสินค้า และผู้สนใจทั่วไป และประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสาธารณะต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องได้รับทราบและนำไปใช้เป็นแนวทางปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ และให้รับความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ร่างรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๕ ๓.๑ เห็นชอบร่างรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๕ และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมปรับปรุงข้อมูลด้านพลังงานในร่างรายงานฯ ให้สมบูรณ์ ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป ๓.๒ ให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแจ้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมแบบองค์ร่วม และนำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติไปใช้เป็นกรอบในการจัดทำรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๖ ต่อไป ๔. ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม บริเวณทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๐๖ ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลวัดเกต ตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่ ตำบลหนองผึ้ง ตำบลยางเนิ้ง และตำบลสารภี อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลอุโมงค์ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน พ.ศ. .... ๔.๑ เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม บริเวณทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๐๖ ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลวัดเกต ตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่ ตำบลหนองผึ้ง ตำบลยางเนิ้ง และตำบลสารภี อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลอุโมงค์ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน พ.ศ. .... และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำร่างประกาศฯ เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป ๔.๒ ให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาดำเนินการ ๕. โครงการปรับปรุงขยายท่าอากาศยานนราธิวาส ของกรมการบินพลเรือน ๕.๑ เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคม ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการปรับปรุงขยายท่าอากาศยานนราธิวาส ของกรมการบินพลเรือน โดยให้กรมการบินพลเรือนดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ และให้ตรวจสอบข้อมูลในเอกสารให้ถูกต้องครบถ้วน ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรี ๕.๒ นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๖. โครงการเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น ๔ ช่องจราจร (ระยะที่ ๒) ทางหลวงหมายเลข ๑๐๕ ตอน ตาก-อ.แม่สอด ของกรมทางหลวง ๖.๑ เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น ๔ ช่องจราจร (ระยะที่ ๒) ทางหลวงหมายเลข ๑๐๕ ตอน ตาก-อ.แม่สอด ของกรมทางหลวง เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยให้กรมทางหลวงดำเนินการตามมาตรการป้องกัน แก้ไข และลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ ๖.๒ ให้นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป ๗. รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่โครงการเหมืองแร่สังกะสี ของบริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) ประทานบัตรที่ ๓๐๗๖๙/๑๕๕๒๕ ร่วมแผนผังโครงการทำเหมืองเดียวกันกับประทานบัตรที่ ๓๐๗๗๙/๑๕๗๙๗ ตั้งอยู่ที่ตำบลพระธาตุผาแดง อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ๗.๑ เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านเหมืองแร่ และอุตสาหกรรมถลุง หรือแต่งแร่ ซึ่งให้ความเห็นชอบรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่ โครงการเหมืองแร่สังกะสีฯ เพื่อประกอบการพิจารณาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในการอนุญาตให้บริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่สอด เพื่อการทำเหมืองแร่ โดยให้บริษัทฯ ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานฯ อย่างเคร่งครัด และรายงานผลการปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนดให้กรมป่าไม้และสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อพิจารณาเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติทราบปีละ ๑ ครั้ง ๗.๒ ให้กรมป่าไม้นำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่โครงการฯ ไปกำหนดเป็นเงื่อนไขแนบท้ายหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ รวมทั้งให้กรมป่าไม้และกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่กำกับดูแลให้บริษัทฯ ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่โครงการฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน ๗.๓ ให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่นำมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่ไปกำหนดเป็นเงื่อนไขเพิ่มเติมแนบท้ายใบอนุญาตประทานบัตรเหมืองแร่ และให้ถือเป็นแนวปฏิบัติสำหรับโครงการลักษณะเดียวกันทุกโครงการ ๗.๔ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้ผู้ประกอบกิจการโครงการเหมืองแร่ทุกโครงการดำเนินการตามขั้นตอนการขอต่ออายุหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติล่วงหน้าได้เป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๒ ปี ก่อนที่อายุหนังสือขออนุญาตฯ จะสิ้นสุดลง และประสานแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ ๘. โครงการวางท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกจากชายแดนไทย-สหภาพพม่า มายังสถานีควบคุมก๊าซที่ BVW 01 ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ตั้งอยู่ที่ตำบลปิล๊อก อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ๘.๑ เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านโรงไฟฟ้าพลังความร้อน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการวางท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกจากชายแดนไทย-สหภาพพม่าฯ เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี โดยให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ ๘.๒ ให้นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป ๙. โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบก นครสวรรค์ (เพื่อขยายโอกาสใช้พลังงานสะอาดและลดมลภาวะในภาคขนส่ง และอุตสาหกรรมเขตภาคกลางและภาคเหนือตอนล่าง) ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ตั้งอยู่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดอ่างทอง จังหวัด
|
|||||||||||||||||||||||||||
769 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2556 | ทส | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. เหตุการณ์ท่อส่งน้ำมันดิบรั่วไหลในทะเลบริเวณมาบตาพุดจังหวัดระยอง ๑.๑ รับทราบสถานการณ์เหตุการณ์ท่อส่งน้ำมันดิบรั่วไหลในทะเลบริเวณมาบตาพุดจังหวัดระยอง และการดำเนินงานของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำแผนงานแก้ไขและฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบริเวณอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด และพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากคราบน้ำมัน ๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคม โดยกรมเจ้าท่า เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน พ.ศ. ๒๕๔๗ โดยปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน รวมทั้งพิจารณาแต่งตั้งเจ้าหน้าที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมควบคุมมลพิษ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมปฏิบัติหน้าที่เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการพาณิชย์นาวี พ.ศ. ๒๕๒๑ ๑.๓ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบริเวณที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ท่อส่งน้ำมันดิบรั่วไหล ๑.๔ ให้บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) นำแผนการแก้ไขและฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาในอนาคต และรับความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. แนวทางและขั้นตอนในการจัดทำและพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ตามมาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุมน้ำ ข้อ ๑๐ ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ ๒.๑ เห็นชอบให้มีการปรับปรุงมาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ ข้อ ๑๐ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ เป็นดังนี้ “ให้มีการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) สำหรับโครงการหรือกิจการซึ่งต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ที่ออกตามมาตรา ๔๔ (๓) และมาตรา ๔๖ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๔ เรื่อง การทบทวนการกำหนดประเภทและขนาดโครงการของหน่วยงานของรัฐที่ต้องเสนอรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับป่าอนุรักษ์เพิ่มเติม (๑๓ กันยายน ๒๕๓๗) ที่อยู่ในพื้นที่ชุ่มน้ำที่เป็นแรมซาร์ ไซต์ (Ramsar site) พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติและระดับชาติ” และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๒.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทบทวนคำนิยาม (Definition) ของพื้นที่ชุ่มน้ำของประเทศไทยให้เป็นไปตามความมุ่งหมายของอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ รวมทั้งปรับปรุงหลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียนพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติและระดับชาติให้มีความชัดเจนเหมาะสมและสอดคล้องกับการดำเนินงานของประเทศ พร้อมทั้งทบทวนสถานภาพและปรับปรุงทะเบียนรายนามพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติและระดับชาติให้มีความถูกต้องเหมาะสม และนำเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณา นอกจากนี้ ให้จัดทำแผนที่แสดงขอบเขตและแนวกันชน (Buffer Zone) สำหรับพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติและระดับชาติที่ยังไม่มีขอบเขตชัดเจน ๒.๓ เห็นชอบให้ปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยให้นำเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาต่อไป ๒.๔ ให้เร่งรัดการดำเนินการตามมติทุกข้อ เนื่องจากพบว่ามีปัญหาการบูรณะแหล่งน้ำธรรมชาติจากน้ำท่วมใหญ่ ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จากการใช้งบประมาณ ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ๓. การดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕ เรื่อง พิจารณาแก้ไขปัญหาอุปสรรคและระยะเวลาการพิจารณาโครงการที่เหมาะสมให้สอดคล้องกับการปฏิบัติตามมาตรา ๖๗ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๓.๑ เห็นชอบหลักการในการแก้ไขประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติและแนวทางในการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม สำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ ลงวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๒ โดยให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดทำร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติและแนวทางในการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม สำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อมทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ (ฉบับที่ ๔) และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา ๓.๒ เห็นชอบหลักการในการแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการประสานงานการให้ความเห็นชอบองค์การอิสระในโครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประสานสำนักนายกรัฐมนตรีในการปรับแก้ไขระเบียบดังกล่าวในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๔. การกำหนดประเภทโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ (การผลิต กำจัด หรือปรับแต่งสารกัมมันตรังสี) ๔.๑ เห็นชอบให้ยกเลิกโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ ที่ออกตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๓ ลำดับที่ ๖ “การผลิต กำจัด หรือปรับแต่งสารกัมมันตรังสี ทุกขนาด” และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "การผลิต มีไว้ครอบครอง หรือใช้ซึ่งพลังงานปรมาณูจากเครื่องปฏิกรณ์ปรมาณูที่มีกำลังตั้งแต่ ๒ เมกะวัตต์ขึ้นไป” ๔.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดทำร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกำหนดให้การผลิต มีไว้ครอบครอง หรือใช้ซึ่งพลังงานปรมาณูจากเครื่องปฏิกรณ์ปรมาณูที่มีกำลังตั้งแต่ ๒ เมกะวัตต์ขึ้นไป เป็นโครงการหรือกิจการที่อาจมีผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านสุขภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการออกประกาศและประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๕. การกำหนดประเภทโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ (อุตสาหกรรมผลิตถ่านโค้ก ทุกขนาด) ๕.๑ เห็นชอบการกำหนดให้อุตสาหกรรมผลิตถ่านโค้กทุกขนาดเป็นโครงการหรือกิจการที่อาจมีผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ ๕.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดทำร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกำหนดประเภทและขนาดของอุตสาหกรรมผลิตถ่านโค้ก ทุกขนาด เป็นโครงการหรือกิจการที่อาจมีผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการออกประกาศและประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๕.๓ เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมปรับปรุงโครงสร้างขององค์กร และเพิ่มอัตรากำลังของเจ้าหน้าที่สำนักวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สามารถรองรับงานด้านการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และด้านการพัฒนาระบบการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการให้การสนับสนุนการดำเนินงานดังกล่าวต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
770 | โครงการลงทุนจัดตั้งสายการบินไทยสมายล์แอร์เวย์ ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) | คค | 24/09/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ดำเนินโครงการลงทุนจัดตั้งสายการบินไทยสมายล์แอร์เวย์ วงเงิน ๑,๘๐๐ ล้านบาท โดยให้กระทรวงคมนาคม บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จำกัด รับความเห็นและข้อสังเกตของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรสร้างความแตกต่างระหว่างสายการบินไทยและสายการบินไทยสมายล์แอร์เวย์ในรูปแบบและคุณภาพบริการให้โดดเด่น ชัดเจน ควบคู่ไปกับการประชาสัมพันธ์ทางการตลาด และการควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และพิจารณานำระบบการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมมาปรับใช้ในการให้บริการบนเครื่องบิน เพื่อให้ผู้ใช้บริการเห็นภาพลักษณ์ความแตกต่างในเรื่องคุณภาพการให้บริการและราคาที่คุ้มค่าของสายการบินไทยสมายล์แอร์เวย์ที่เป็นสายการบินภูมิภาค กับสายการบินที่ให้บริการเต็มรูปแบบ (Full Service Carriers) และสายการบินราคาประหยัด (Low Cost Carriers) ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในรายละเอียดต่อไป ๑.๒ เห็นชอบให้จัดตั้งบริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จำกัด โดยจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นร้อยละ ๑๐๐ เป็นหุ้นสามัญ จำนวน ๑๘๐ ล้านหุ้น (หุ้นละ ๑๐ บาท) และใช้เงินลงทุนจากแหล่งเงินที่มาจากเงินรายได้ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ๑.๓ ให้บริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จำกัด ได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำหลักเกณฑ์ คำสั่ง กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรี ในหลักการเดียวกันกับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) โดยยังคงต้องปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๒๑ และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ออกตามความในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม [บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน)] รับความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่าโครงสร้างคณะกรรมการบริหารบริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จำกัด ควรมีผู้แทนจากคณะกรรมการบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือผู้บริหารระดับสูงของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ไม่เกินกึ่งหนึ่งของจำนวนคณะกรรมการบริหารทั้งหมด และให้บริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จำกัด ได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำหลักเกณฑ์ คำสั่ง กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีมาปฏิบัติในหลักการเดียวกันกับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) โดยยังคงต้องปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๒๑ และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ออกตามความในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคมรับข้อสังเกตของนายกรัฐมนตรีไปเป็นเงื่อนไขประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓.๑ การกำหนดตำแหน่งทางการตลาด (Positioning) ของบริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จำกัด ต้องมีความชัดเจน เหมาะสม ไม่ขัดแย้งกับบริการของสายการบินไทยและมีอัตราค่าบริการที่สามารถแข่งขันกับสายการบินคู่แข่งในตลาด ๓.๒ การบริหารจัดการทรัพยากรและบุคลากรของบริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จำกัด ต้องยึดหลักประสิทธิภาพ ประสิทธิผลของการดำเนินการโดยต้องพิจารณาให้ชัดเจนว่า กิจกรรม/ภารกิจใดที่สมควรใช้ร่วมกันหรือแยกต่างหากจากบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือใช้วิธีการจัดจ้างจากภายนอก (Outsource) ทั้งนี้ กิจกรรม/ภารกิจใดที่มีศักยภาพและมีความเชี่ยวชาญอยู่แล้วและมีอัตราค่าบริการที่สามารถแข่งขันได้ในตลาดอยู่แล้ว ก็ควรพิจารณาใช้บริการของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ๓.๓ การกำหนดเส้นทางบินของบริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จำกัด ควรเน้นการให้บริการผู้โดยสารที่เดินทางแบบจุดต่อจุด (Point to Point) โดยเฉพาะการเชื่อมโยงเมืองหลักทางเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียนเพื่อรองรับการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) ทั้งนี้ ควรบูรณาการเส้นทางบินกับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อมิให้เกิดปัญหาความซ้ำซ้อนและแย่งผู้โดยสารกันเองด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
771 | ขอเงินงบกลางช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกพืชต้นทุนสูงที่ประสบอุทกภัยปี 2554 กรณีพิเศษ เพิ่มเติม | กษ | 24/09/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๖ ที่อนุมัติเงินช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกพืชต้นทุนสูงที่ประสบอุทกภัยปี ๒๕๕๔ กรณีพิเศษ จำนวน ๕ จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี จังหวัดนครปฐม จังหวัดลพบุรี และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้แก่เกษตรกร จำนวน ๒๒๗ ราย ภายในกรอบวงเงิน ๕๗,๑๔๖,๙๑๗ บาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ จำนวน ๑,๒๐๓,๙๑๗ บาท และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๕๕,๙๔๓,๐๐๐ บาท ที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว ทั้งนี้ ให้กรมส่งเสริมการเกษตรตรวจสอบความถูกต้องในขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรี และหลักเกณฑ์ในการช่วยเหลือเกษตรกรดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างถูกต้อง โปร่งใส เป็นธรรม และสามารถตรวจสอบได้ โดยให้ทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนก่อนดำเนินการต่อไป ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ๒. คณะรัฐมนตรีเห็นว่า กรอบหลักเกณฑ์และอัตราการให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติในระยะที่ผ่านมา ยังมีหลักเกณฑ์และอัตราการให้ความช่วยเหลือในแต่ละกรณีที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีพืชต้นทุนสูง ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ รวมทั้งความเหมาะสมเป็นธรรมในการให้ความช่วยเหลือด้วย จึงให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และอัตราการให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติในแต่ละกรณีให้ชัดเจน เหมาะสม เป็นธรรมมากยิ่งขึ้น และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
772 | ขออนุมัติการดำเนินงานโครงการศูนย์การเรียนสำหรับเด็กเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาล (ช่วงที่ 2) ระยะเวลา 5 ปี (ปีงบประมาณ 2557 - 2561) | ศธ | 24/09/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ดำเนินงานโครงการศูนย์การเรียนสำหรับเด็กเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาล (ช่วงที่ ๒) ระยะเวลา ๕ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑) เพื่อให้เด็กเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาลได้มีโอกาสเข้ารับการศึกษาในรูปแบบการเรียนในโรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง สามารถกลับไปเรียนต่อในสถานศึกษาและมีสิทธิสอบเลื่อนชั้น รวมทั้งได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกาย จิตใจ การเรียนรู้ และพัฒนาด้านต่าง ๆ ๒. งบประมาณดำเนินโครงการฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ สำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบประมาณไว้แล้ว จำนวน ๑๒.๑๖๒ ล้านบาท หากไม่เพียงพอให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานมาดำเนินการก่อนในโอกาสแรก และให้เสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. และฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเกี่ยวกับการจัดตั้งศูนย์การเรียน รวมทั้งการจ้างครูอัตราจ้างในแต่ละปี ให้กระทรวงศึกษาธิการจัดทำรายละเอียดตามความจำเป็นเร่งด่วนและเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณเป็นรายปี ไปพิจารณาดำเนินการ ๔. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรให้ติดตามประเมินผลการดำเนินงานของศูนย์การเรียนสำหรับเด็กเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาลในแต่ละพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ส่วนการจัดซื้อครุภัณฑ์คอมพิวเตอร์ เห็นควรให้พิจารณาใช้เกณฑ์ราคากลางและคุณลักษณะพื้นฐานครุภัณฑ์คอมพิวเตอร์ของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
773 | การได้รับเงินเดือนของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา | ศธ | 24/09/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมหารือเรื่อง การได้รับเงินเดือนของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ระหว่างกระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา) กระทรวงการคลัง สำนักงาน ก.พ. สำนักงบประมาณ และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพิจารณาเงินเดือนแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยที่ประชุมมีมติว่า การกำหนดให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาตำแหน่งวิชาการที่ได้รับเงินเดือนถึงขั้นสูงของอันดับเงินเดือนของตำแหน่งที่ดำรงอยู่ให้ผู้นั้นได้รับเงินเดือนสูงกว่าขั้นสูงของอันดับเงินเดือนเดิม โดยให้ไปอาศัยรับเงินเดือนในตำแหน่งถัดไปอีกตำแหน่งนั้น ก่อให้เกิดความเสมอภาคและเป็นธรรม ในการได้รับค่าตอบแทนเช่นเดียวกับข้าราชการครูซึ่งทำหน้าที่สอนเหมือนกัน ก่อให้เกิดขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงาน ลดการสูญเสียบุคลากรให้กับหน่วยงานอื่นโดยเฉพาะภาคเอกชน ทำให้คณาจารย์สามารถทุ่มเทงานอย่างเต็มที่โดยไม่ต้องไปหารายได้เสริมภายนอกสถาบันอุดมศึกษา ประกอบกับคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ก.พ.อ.) มีแนวทางที่เตรียมไว้ในเรื่อง มาตรฐานภาระงานทางวิชาการของผู้ดำรงตำแหน่งวิชาการที่จะดูแลให้คณาจารย์ผลิตผลงานวิชาการออกมาอย่างต่อเนื่อง ๒. อนุมัติหลักการร่างกฎ ก.พ.อ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาได้รับเงินเดือน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติม กฎ ก.พ.อ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาได้รับเงินเดือน พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาปรับแก้ไขถ้อยคำ ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการเห็นชอบด้วยแล้ว และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรกำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางในการประเมินผลหรือการวัดผลปฏิบัติงานประกอบการดำเนินการตามร่างกฎ ก.พ.อ.ฯ ด้วย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลการปฏิบัติงานของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา สำหรับค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้กระทรวงศึกษาธิการปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
774 | ความเห็นและข้อสังเกตของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 5) เรื่อง สถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักเป็นโรงงานตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 หรือไม่ | กค | 24/09/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในคราวประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๖ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นควรให้คณะรัฐมนตรีรับทราบว่ากระทรวงอุตสาหกรรมพร้อมที่จะพิจารณาดำเนินการซึ่งรวมถึงการปฏิบัติและการผ่อนผันตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ ที่เกี่ยวข้องกับสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลัก เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนผู้ใช้บริการ เนื่องจากสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักมีความสำคัญต่อการจัดหาและกระจายเชื้อเพลิงที่จำเป็นต่อภาคการขนส่ง หากมีการหยุดให้บริการชั่วคราวย่อมส่งผลกระทบต่อประชาชน ระบบการขนส่ง และระบบเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวมได้ โดยในระหว่างที่สถานีก๊าซธรรมชาติหลักยังอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ ผู้ประกอบการสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักจะต้องยื่นขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน เพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ ทั้งนี้ ในกรณีที่การขออนุญาตประกอบกิจการสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักที่อยู่ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยการผังเมือง กระทรวงอุตสาหกรรมเห็นว่า หากสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักดำเนินการจัดตั้งก่อนประกาศบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการผังเมืองในพื้นที่กระทรวงอุตสาหกรรมจะสามารถออกใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานได้ สำหรับสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักที่ดำเนินการจัดตั้งหลังประกาศบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการผังเมืองในพื้นที่ กระทรวงอุตสาหกรรมจะไม่มีอำนาจในการออกใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน อย่างไรก็ดี มาตรา ๑๖ แห่งพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้ให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมในการพิจารณาออกใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานได้ หากผู้ขอใบอนุญาตอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีฯ ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับทราบคำสั่ง โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมได้ให้ความมั่นใจว่าพร้อมที่จะพิจารณาดำเนินการเพื่อมิให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจ ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมจะสามารถพิจารณาออกใบอนุญาตให้กับสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักที่ยื่นขอใบอนุญาตให้แล้วเสร็จได้ภายในระยะเวลา ๙๐ วัน [ทั้งนี้ ภายหลังจากที่คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๕) ได้แจ้งผลการพิจารณาในเรื่องดังกล่าวแล้ว ได้มีผู้ประกอบการจำนวนหนึ่งดำเนินการยื่นขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานจากกระทรวงอุตสาหกรรมแล้ว] ๑.๒ หากคณะรัฐมนตรีมีนโยบายจะให้กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจพลังงานด้านต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงการกำกับดูแลสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักด้วยนั้น กระทรวงพลังงานต้องดำเนินการให้มีกฎหมายที่ใช้ในการกำกับดูแลสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักที่มีมาตรฐานที่ไม่ด้อยไปกว่ากฎหมายเดิมที่ได้ดำเนินการอยู่โดยหน่วยงานอื่น ๆ ก่อนที่จะรับมอบภารกิจในการกำกับดูแลสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักไปดำเนินการ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดการดำเนินการตามแนวทางที่ได้เสนอต่อคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เพื่อมิให้เกิดความเสียหายในด้านพลังงานของประเทศ ๓. เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายในการจัดตั้งกระทรวงพลังงานเพื่อกำกับดูแลการพลังงานทั้งระบบ คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้กระทรวงพลังงานร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาปรับแก้ไขกฎหมายเพื่อให้กฎหมายภายใต้กระทรวงพลังงานครอบคลุมการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับด้านพลังงานทุกประเภท เช่น แก๊สธรรมชาติ Biogas พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานทดแทนประเภทอื่น ๆ ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
775 | ขออนุมัติดำเนินโครงการควบคุมและกำจัดศัตรูมะพร้าว (หนอนหัวดำ) แบบครอบคลุมพื้นที่ โดยการใช้สารเคมีฉีดเข้าลำต้น | กษ | 24/09/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้ดำเนินโครงการควบคุมและกำจัดศัตรูมะพร้าว (หนอนหัวดำ) แบบครอบคลุมพื้นที่ โดยการใช้สารเคมีฉีดเข้าลำต้น วงเงิน ๒๙๐.๘๖๓ ล้านบาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ปรับแผนปฏิบัติงานให้ครอบคลุมพื้นที่ระบาดทุกพื้นที่ จัดทำแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายงวดเพื่อทำความตกลงในรายละเอียดเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณจากสำนักงบประมาณ และรายงานผลการดำเนินงานระยะที่ ๑ ให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยทันทีก่อนดำเนินการระยะที่ ๒ ต่อไป ๑.๒ ให้ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่กำกับ ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินโครงการฯ โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้การสนับสนุนและอำนวยความสะดวกแก่ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีในการติดตาม และประเมินผลการดำเนินโครงการฯ ๑.๓ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเร่งทำการศึกษาวิจัย เพื่อหาแนวทางเพิ่มเติมในการควบคุมและกำจัดศัตรูมะพร้าว รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นควรมีมาตรการกำกับดูแล ควบคุม และติดตามผลการดำเนินงานอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้สารเคมี ไปพิจารณา โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องสารเคมีตกค้างจากการใช้สารเคมีฉีดเข้าลำต้น เพื่อมิให้ส่งผลกระทบกับอุตสาหกรรมต่อเนื่องของผลิตภัณฑ์จากมะพร้าว ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งดำเนินโครงการควบคุมและกำจัดศัตรูมะพร้าว (หนอนหัวดำ) โดยใช้สารเคมีฉีดเข้าลำต้นในพื้นที่ที่มีการระบาดของหนอนหัวดำอย่างรุนแรง โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในวงเงิน ๑๒๓,๖๒๔,๘๐๐ บาท และให้ประสานการดำเนินการกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อประเมินผลการดำเนินการและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ก่อนที่จะดำเนินการในระยะต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
776 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2555 เรื่อง แผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจร | นร11 | 24/09/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕ เรื่อง แผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจร ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การปรับปรุงแผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจร โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้จัดประชุมหารือการปรับปรุงแผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจรร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยขอให้หน่วยงานพิจารณาทบทวนแผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจร ใน ๓ กรณี ได้แก่ การเพิ่มเติมโครงการที่สอดคล้องกับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในการตรวจเยี่ยมนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และมติคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๕ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕ การเพิ่มเติมโครงการอื่นสมควรดำเนินการในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๙ เพื่อให้การแก้ไขปัญหามาบตาพุดมีความครบถ้วนสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งการทบทวนโครงการเดิมปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และ ๒๕๕๖ ภายใต้แผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจร โดยหากยังไม่ได้รับงบประมาณและยังมีความจำเป็นต้องดำเนินการ ให้ปรับปรุงรายละเอียดโครงการและแผนการใช้งบประมาณเป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๙ เพื่อให้เป็นปัจจุบัน ๒. การแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก โดยนายกรัฐมนตรีได้ลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ ๑๖๔/๒๕๕๖ แต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก เมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เป็นประธานกรรมการ รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมอบหมาย เป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาเสนอแนะแนวทางและมาตรการในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออกต่อคณะรัฐมนตรี และกำกับดูแล ประสานงาน และเร่งรัดติดตามการดำเนินงานของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง
|
|||||||||||||||||||||||||||
777 | มติคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ครั้งที่ 8/2556 | กค | 24/09/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๖ ซึ่งเห็นชอบผ่อนผันขยายระยะเวลาการก่อหนี้และการปรับแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ (รอบที่ ๒) ของหน่วยงาน จำนวน ๒๗๘ หน่วยงาน จำนวนเงิน ๑๒๓,๖๐๕.๘๙๗๕ ล้านบาท โดยส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐที่ดำเนินการตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพฯ และไม่สามารถก่อหนี้ได้ทันภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ ต้องตกลงกับกระทรวงการคลังขอกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีกรณีไม่มีหนี้ด้วย ตามที่คณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
778 | (ร่าง) ยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพเยาวสตรีในสถานศึกษา (พ.ศ. 2556- 2559) | ศธ | 17/09/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการ (ร่าง) ยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพเยาวสตรีในสถานศึกษา (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๙) ตามมติคณะกรรมการสภาการศึกษา ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๖ โดย (ร่าง) ยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพเยาวสตรีฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาศักยภาพเยาวสตรี ทั้งจากภาครัฐและเอกชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และสถานศึกษานำไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาศักยภาพเยาวสตรีทั้งการพัฒนาเยาวสตรีทางร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ การพัฒนาทักษะความรู้ด้านอาชีพและศักยภาพทางเศรษฐกิจ และการสร้างครอบครัวอบอุ่นและภูมิคุ้มกันตนเองจากภัยสังคม เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาครอบครัว ชุมชน และประเทศชาติ ประกอบด้วย ๓ ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างภูมิปัญญา ทักษะชีวิต และค่านิยมสร้างสรรค์ ธำรงไว้ซึ่งคุณลักษณะอันพึงประสงค์ทางวัฒนธรรมของเยาวสตรีไทย ยุทธศาสตร์การส่งเสริมพัฒนาคุณภาพชีวิต มีทักษะอาชีพพื้นฐาน และศักยภาพทางเศรษฐกิจของเยาวสตรี และยุทธศาสตร์การเสริมสร้างครอบครัวอบอุ่น เยาวสตรีมีภูมิคุ้มกันตนเองต่อภัยคุกคามของปัญหาสังคม รวมทั้งแผนงานโครงการที่เป็นตัวอย่างไปดำเนินการเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพเยาวสตรีฯ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำยุทธศาสตร์และกลยุทธ์ไปดำเนินการจัดทำแผนงาน/โครงการ หรือนำแผนงานโครงการที่เป็นตัวอย่างไปดำเนินการเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพเยาวสตรีฯ สู่การปฏิบัติต่อไป ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการหารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในการบูรณาการแผนงานให้สอดคล้องและเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ประเทศ (Country Strategy) และยุทธศาสตร์การพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิต (Life Cycle Development) ให้ชัดเจนก่อน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการส่งเสริม พัฒนาและสร้างความตระหนักให้เยาวสตรีในสถานศึกษาใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ มีคุณธรรม จริยธรรม มีวิจารณญาน และรู้เท่าทัน เพื่อประโยชน์ในการศึกษา เรียนรู้ และทำงาน การปลูกฝังให้เยาวสตรีได้เรียนรู้และมีความภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์และบรรพบุรุษของชาติไทยโดยเฉพาะวีรสตรีท่านต่าง ๆ พร้อมทั้งการมีจิตสำนึกที่จะธำรงรักษาไว้ซึ่งสถาบันหลักอันเป็นเอกลักษณ์ของชาติ คือ สถาบันชาติ สถาบันศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์ และสถาบันการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การให้ความสำคัญกับการสร้างภาคีเครือข่ายความร่วมมือและขับเคลื่อนเพื่อขยายผลการดำเนินงานด้านการพัฒนาศักยภาพสตรีและเยาวสตรี ทั้งในระดับจังหวัด โรงเรียน และชุมชนให้มีความเข้มแข็ง เป็นรูปธรรม รวมทั้งมีการพัฒนาสตรีและเยาวสตรีอย่างต่อเนื่อง ทั้งสตรีในสถานศึกษาและนอกสถานศึกษา โดยใช้ประชากรสตรีในพื้นที่เป็นเป้าหมายมุ่งพัฒนาเชื่อมโยงกับสภาพปัญหาต่าง ๆ ของสตรีและเยาวชนสตรีในพื้นที่ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
779 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้พนักงานและลูกจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุขตามมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติ หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 พ.ศ. .... | สธ | 17/09/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้พนักงานและลูกจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุขตามมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้พนักงานและลูกจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุขตามมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. .... ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรองฯ คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) และความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับร่างมาตรา ๕ ที่กำหนดขอบเขตสิทธิรับบริการสาธารณสุขของพนักงานส่วนท้องถิ่นและบุคคลในครอบครัวให้เป็นไปตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของพนักงานส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๑ และที่แก้ไขเพิ่มเติม อาจไม่สอดคล้องกับมาตรา ๙ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติฯ ที่ให้กำหนดเฉพาะบุคคลหรือหน่วยงานที่สามารถใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุขตามพระราชบัญญัตินี้เท่านั้น และการเร่งพัฒนาระบบฐานข้อมูลผู้มีสิทธิตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยฯ รวมทั้งการเร่งบูรณาการระบบจัดส่งข้อมูลระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และสถานพยาบาลให้มีความพร้อมในการดำเนินการก่อนการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฯ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติรับประเด็นอภิปรายและความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
780 | ร่างพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถาน พ.ศ. .... | วธ | 10/09/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๖ ซึ่งเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถาน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว โดยให้แก้ไขเพิ่มเติมร่างมาตรา ๔ นิยามคำว่า “โบราณสถาน” ให้แก้ไขเป็น “หมายความว่าอสังหาริมทรัพย์ที่โดยอายุหรือโดยลักษณะแห่งการก่อสร้าง หรือโดยหลักฐานเกี่ยวกับประวัติของอสังหาริมทรัพย์ หรือเกี่ยวกับวัตถุที่พบอยู่ในอสังหาริมทรัพย์นั้น เป็นประโยชน์ทางศิลปะ วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม หรือโบราณคดี และให้รวมถึงสถานที่ที่เป็นแหล่งโบราณคดี แหล่งประวัติศาสตร์ และอุทยานประวัติศาสตร์ ทั้งนี้ เฉพาะที่มีอายุตั้งแต่เจ็ดสิบห้าปีขึ้นไป” ตามที่ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแก้ไข รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมร่างมาตรา ๓๒ วรรคหนึ่ง ให้แก้ไขจาก “ภายในหกสิบวัน” เป็น “ภายในเก้าสิบวัน” แล้วให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ
|
.....