ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 38 จากทั้งหมด 252 หน้า แสดงรายการที่ 741 - 760 จากข้อมูลทั้งหมด 5031 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
741 | การจัดสรรเงินงบประมาณเหลือจ่ายเพื่อจ่ายเป็นเงินรางวัลและสิ่งจูงใจสำหรับข้าราชการธุรการและลูกจ้างประจำของสำนักงานอัยการสูงสุด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | อส | 29/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๖ รับทราบและเห็นชอบให้เบิกจ่ายเงินเหลือจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๑๐ ล้านบาท ที่ได้ผ่านการพิจารณาจากกระทรวงการคลังแล้วมาดำเนินการจัดสรรเพื่อจ่ายเป็นเงินรางวัลสำหรับข้าราชการธุรการและลูกจ้างประจำของสำนักงานอัยการสูงสุด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดเสนอ โดยให้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ แนวทาง และวิธีการ การจัดสรรเงินรางวัลสำหรับส่วนราชการสังกัดฝ่ายบริหาร ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง แนวทางการจัดสรรเงินรางวัลประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ สำหรับส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา) ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ
|
||||||||||||||||||
742 | การกำหนดอัตราเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นของผู้อำนวยการสถาบันอนุญาโตตุลาการ | ยธ | 29/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ ดังนี้
๑. จัดให้สถาบันอนุญาโตตุลาการอยู่ในกลุ่มองค์การมหาชน กลุ่มที่ ๒ กลุ่มบริการที่ใช้เทคนิควิชาการเฉพาะด้านหรือสหวิทยาการ ซึ่งกำหนดอัตราเงินเดือนผู้อำนวยการองค์การมหาชน ขั้นต่ำและขั้นสูง อยู่ระหว่าง ๑๐๐,๐๐๐-๒๕๐,๐๐๐ บาท ประโยชน์ตอบแทน และค่าตอบแทนพิเศษให้เป็นไปตามกฎหมายและหลักเกณฑ์ที่สำนักงาน ก.พ.ร. กำหนด ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๗ (เรื่อง การปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินเดือนฯ หลักเกณฑ์การกำหนดเบี้ยประชุมฯ และการพัฒนาการดำเนินงานและการประเมินผลองค์การมหาชน) ๒. ให้สถาบันอนุญาโตตุลาการรับข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ.ร. เมื่อสถาบันอนุญาโตตุลาการมีผลการปฏิบัติงานครบ ๑ ปี สมควรให้เข้าสู่ระบบการประเมินผลตามกรอบการประเมินผลหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะตามที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๗ (เรื่อง การปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินเดือนฯ หลักเกณฑ์การกำหนดเบี้ยประชุมฯ และการพัฒนาการดำเนินงานและการประเมินผลองค์การมหาชน) และเมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง กรอบการประเมินผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติเฉพาะ) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
743 | การช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2555/56 | กษ | 29/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๖ เกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรที่ไม่สามารถใช้สิทธิ์ ครั้งที่ ๒ เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปี ๒๕๕๕/๕๖ ได้ทันวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๖ เป็นกรณีพิเศษ โดยอนุมัติวงเงินจำนวน ๑,๙๐๗ ล้านบาท ซึ่งไม่รวมอยู่ในวงเงินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก จำนวน ๕๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ใช้ในการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ และปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ เนื่องจากเป็นผลจากการดำเนินการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ขอให้เกษตรกรเลื่อนการเพาะปลูกและปล่อยน้ำชลประทานล่าช้า ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) รองประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ๒. ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สำรองจ่ายเงินช่วยเหลือไปก่อน และให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณเพื่อชำระคืนต้นเงินและดอกเบี้ยให้ ธ.ก.ส. ในอัตรา FDR+1 ทั้งนี้ ให้ ธ.ก.ส. ขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||
744 | การตั้งงบประมาณโครงการอาหารกลางวันนักเรียน ตามภาวะเศรษฐกิจ | ศธ | 22/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นปรับเพิ่มการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ สำหรับโครงการอาหารกลางวันของนักเรียนจากอัตรา ๑๓ บาทต่อคนต่อวัน เป็น ๒๐ บาทต่อคนต่อวัน ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้หน่วยงานอื่นที่ได้รับจัดสรรงบประมาณเป็นค่าอาหารกลางวันในอัตรา ๑๓ บาทต่อคนต่อวัน ปรับเพิ่มขึ้นเป็นอัตรา ๒๐ บาทต่อคนต่อวัน ทั้งนี้ สำหรับงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยงบประมาณค่าอาหารกลางวันสำหรับนักเรียนในโรงเรียนเอกชนที่จะเพิ่มขึ้นจำนวน ๖๕๙,๙๐๖,๘๐๐ บาท ให้ขอรับการสนับสนุนจากดอกผลของเงินกองทุนเพื่อโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนประถมศึกษา ๑.๒ ให้หน่วยงานที่ได้รับจัดสรรงบประมาณเป็นค่าอาหารกลางวันของนักเรียนพิจารณาเสนอปรับอัตราค่าอาหารกลางวันทุกปี ให้สอดคล้องกับราคาสินค้าและภาวะเศรษฐกิจ โดยให้คำนึงถึงปริมาณและคุณค่าทางโภชนาการเป็นสำคัญ ๒. การปรับเพิ่มอัตราค่าอาหารกลางวันของนักเรียนในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ให้นักเรียนได้รับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการอย่างครบถ้วน จึงให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขพิจารณากำหนดเกณฑ์ชี้วัดมาตรฐานอาหารและโภชนาการของนักเรียนให้ได้รับสารอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนและมีปริมาณที่เหมาะสมกับวัยก่อนเริ่มดำเนินการ รวมทั้งให้มีการติดตามและประเมินผลภาวะโภชนาการของนักเรียนหลังจากได้รับงบประมาณในส่วนนี้เพิ่มแล้ว โดยให้กระทรวงศึกษาธิการรายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะทุก ๖ เดือน ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการนำแนวทางดำเนินการตามโครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวันตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มาปรับใช้กับโครงการนี้ด้วย |
||||||||||||||||||
745 | ข้อเสนอแผนงาน/โครงการภายใต้มาตรการบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำและเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลาง และขนาดเล็ก (ฉบับปรับปรุง) | นร11 | 22/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบข้อเสนอแผนงาน/โครงการภายใต้มาตรการบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำและเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (ฉบับปรับปรุง) ประกอบด้วย ๕ แผนงาน/โครงการ ใช้งบประมาณรวมทั้งสิ้น ๑๘,๘๗๕ ล้านบาท โดยขอใช้เงินกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม วงเงิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท และขอรับจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติม วงเงิน ๑๗,๘๗๕ ล้านบาท ทั้งนี้ สามารถจำแนกข้อเสนอดังกล่าวออกเป็น ๒ ส่วน คือ ส่วนแรก โครงการที่จะต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา จำนวน ๓ แผนงาน/โครงการ วงเงิน ๑๘,๐๐๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการเงินร่วมลงทุนเพื่อพัฒนาเครื่องจักร (Venture Capital) โครงการสนับสนุนการปรับปรุง/ฟื้นฟูสภาพเครื่องจักร การใช้พลังงานทดแทน การประหยัดพลังงานแก่ SMEs (Machine Fund For SMEs) และการขยายเวลาการยกเว้นค่าธรรมเนียมและค่าบริการรายปีตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ และส่วนที่สองโครงการที่ขอรับจัดสรรงบประมาณปี ๒๕๕๖ เพิ่มเติม (คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ความเห็นชอบไปแล้วเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๖) จำนวน ๒ โครงการ วงเงิน ๘๗๕ ล้านบาท ได้แก่ โครงการคลินิกอุตสาหกรรมเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ [โครงการเพิ่มประสิทธิภาพอุตสาหกรรมการผลิต (Productivity For SMI) และโครงการพัฒนาผลิตภาพของ SMEs ด้านการค้าและบริการ] และโครงการอัดฉีดเงินทุนหมุนเวียน โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการ ได้แก่ ๑.๑ ให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมตรวจสอบข้อเท็จจริงการชะลอการร่วมลงทุนของกองทุนร่วมลงทุนเพื่อยกระดับความสามารถการแข่งขันของธุรกิจไทยกับผู้ประกอบการ SMEs ในระยะที่ผ่านมา และพิจารณาระเบียบการจัดสรรเงินกองทุน แนวทางและขั้นตอนการร่วมลงทุนให้เกิดความชัดเจน ก่อนนำเสนอคณะกรรมการบริหารสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กระทรวงอุตสาหกรรม และคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๑.๒ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมหารือร่วมกับสำนักงบประมาณเพื่อปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ของกระทรวงอุตสาหกรรม และแนวทางการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ และ ๒๕๕๙ เพื่อดำเนินโครงการตามข้อเสนอดังกล่าว ๒. เห็นชอบให้กระทรวงอุตสาหกรรมขยายเวลาการยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีให้แก่ผู้ประกอบกิจการโรงงานประเภท ๒ และ ๓ ตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ จากเดิมที่สิ้นสุดในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ ออกไปอีก ๓ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ไปจนถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ ทั้งนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้รับการถ่ายโอนภารกิจชำระคืนค่าธรรมเนียมรายปีให้กับผู้ประกอบการที่ได้รับชำระค่าธรรมเนียมแล้ว ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ จนถึงวันที่กฎกระทรวงมีผลบังคับใช้ |
||||||||||||||||||
746 | การพิจารณาทบทวนค่าตอบแทนกรรมการธุรกรรม และอนุกรรมการในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (คณะกรรมการ ปปง.) | ปง | 22/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ โดยคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีฯ เห็นชอบการกำหนดอัตราค่าตอบแทนกรรมการธุรกรรมและอนุกรรมการในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (คณะกรรมการ ปปง.) ดังนี้
๑. ค่าตอบแทนกรรมการธุรกรรม โดยประธานกรรมการ เดือนละ ๔๐,๐๐๐ บาท กรรมการธุรกรรม เดือนละ ๓๐,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ หากเดือนใดไม่มีการประชุม หรือหากมีการประชุมแต่ไม่เข้าประชุม ให้งดจ่าย ๒. ค่าตอบแทนอนุกรรมการคณะกรรมการ ปปง. ให้จ่ายเป็นรายครั้ง เฉพาะครั้งที่มาประชุม โดยประธานอนุกรรมการ ครั้งละ ๑,๘๗๕ บาท อนุกรรมการ ครั้งละ ๑,๕๐๐ บาท เลขานุการ ครั้งละ ๑,๒๐๐ บาท และผู้ช่วยเลขานุการ ครั้งละ ๘๐๐ บาท ทั้งนี้ หากเดือนใดมีการประชุมเกินกว่าสี่ครั้ง ให้จ่ายเบี้ยประชุมได้เพียงสี่ครั้ง โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ (๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป |
||||||||||||||||||
747 | ขอจัดสรรงบประมาณค่าใช้จ่ายในการขายข้าวสารที่ใช้ไปในโครงการตามนโยบายของรัฐบาล | พณ | 22/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ที่อนุมัติงบประมาณเพื่อชดเชยส่วนต่างของราคาที่ได้รับอนุมัติให้จำหน่ายกับราคาตลาดจากการดำเนินโครงการข้าวสารบริจาค ข้าวสารธงฟ้า และข้าวสารจำหน่ายให้องค์กรของรัฐ ในวงเงิน ๗,๐๔๘.๑๕ ล้านบาท ซึ่งเป็นการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลที่ทำให้มีการส่งมอบและ/หรือการจำหน่ายข้าวในสต็อกของโครงการรับจำนำที่มีระดับราคาต่ำกว่าราคาตลาด ตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๖ โดยให้จัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปี ๒๕๕๗ และให้ขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ในระยะต่อไปหากมีความจำเป็นต้องดำเนินโครงการในลักษณะดังกล่าว ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการ และขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอน ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ๒. การเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อการชดเชยส่วนต่างราคาตามที่ได้รับอนุมัติในข้อ ๑ ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณและเบิกจ่ายงบประมาณตามจำนวนที่จะต้องชดเชยจริงภายในวงเงินที่ได้รับอนุมัติดังกล่าวต่อไป ๓. ให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือเป็นหลักปฏิบัติว่าในกรณีที่ส่วนราชการหรือหน่วยงานใดมีความจำเป็นต้องจัดหาสินค้าเพื่อการอุปโภคและบริโภคชนิดต่าง ๆ ที่มีอยู่ในสต็อกของรัฐบาล (เช่น ข้าวสาร เป็นต้น) เพื่อนำไปใช้ช่วยเหลือหรือแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนตามนโยบายรัฐบาล (เข่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบอุทกภัย กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ จัดจำหน่ายข้าวสารราคาถูกแก่ประชาชน และกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม จัดหาข้าวสารเพื่อใช้จัดเลี้ยงผู้ต้องขัง เป็นต้น) ให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานนั้น ๆ ดำเนินการจัดหาโดยใช้จ่ายจากงบประมาณที่หน่วยงานได้รับการจัดสรรแล้ว หรือดำเนินการเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อการดังกล่าวไว้ที่หน่วยงานของตน โดยรายละเอียดในการเบิกจ่ายให้ขอตกลงกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||
748 | การกำหนดแนวทางการจัดทำงบประมาณและปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | นร07 | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการกำหนดแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ และการกำหนดปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ โดยในส่วนของแนวทางการจัดทำงบประมาณฯ ให้กระทรวง ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑ ให้ความสำคัญกับการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการ ทั้งมิตินโยบายสำคัญของรัฐบาลและมิติของพื้นที่เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัด และประสานสอดคล้องกัน โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันกำหนดเป้าหมายการดำเนินงานและติดตามผลการดำเนินงานเพื่อนำมาปรับปรุงวิธีการดำเนินงานให้เหมาะสมมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ๑.๒ ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานเจ้าภาพหลักบูรณาการยุทธศาสตร์ของประเทศ โดยร่วมกันทบทวน/ปรับปรุง เป้าหมาย กลยุทธ์ ตัวชี้วัดผลสำเร็จของยุทธศาสตร์ประเทศ เพื่อให้การดำเนินงานบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ๑.๓ ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น จัดทำแผนความต้องการงบลงทุนเบื้องต้นประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามหลักเกณฑ์พิจารณาแผนความต้องการงบลงทุน ในขั้นตอนการวางแผนงบประมาณเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการงบลงทุนให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล และยุทธศาสตร์ของประเทศ ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการทำสัญญาก่อหนี้ผูกพันและเบิกจ่ายเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ และปีงบประมาณก่อนหน้าและเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยสำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อมูลการก่อหนี้และการเบิกจ่ายงบประมาณของหน่วยงานต่าง ๆ ดังกล่าว จากระบบ GFMIS ณ วันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ไปประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ต่อไป ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๕๖ (เรื่อง มติคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ครั้งที่ ๗/๒๕๕๖) ๓. ในการดำเนินการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น รวมทั้งกลุ่มจังหวัดและจังหวัดยึดหลักความสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล และยุทธศาสตร์ประเทศที่มุ่งเน้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงตัวชี้วัดในระดับจังหวัดด้วย
|
||||||||||||||||||
749 | การดำเนินการตามมติคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช | กษ | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้เปิดตลาดเสรีนำเข้าเมล็ดถั่วเหลืองภายใต้กรอบองค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) คราวละ ๓ ปี (ปี ๒๕๕๗-๒๕๕๙) คือ เสรีนำเข้าไม่จำกัดปริมาณและช่วงเวลานำเข้าอัตราภาษีนำเข้าในโควตาร้อยละ ๐ นอกโควตาร้อยละ ๘๐ และให้มีการบริหารการนำเข้าปีต่อปี โดยคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชเป็นผู้กำหนดแนวทางและมาตรการบริหารการนำเข้า ๑.๒ รับทราบแนวทางการบริหารการนำเข้าเมล็ดถั่วเหลืองปี ๒๕๕๗ และการเปิดตลาดนำเข้าน้ำมันถั่วเหลือง มะพร้าว เนื้อมะพร้าวแห้ง น้ำมันมะพร้าว ปี ๒๕๕๗ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการให้ความรู้ที่ถูกต้องในการเพาะปลูกถั่วเหลืองเพื่อเพิ่มคุณภาพและประสิทธิภาพการเพาะปลูกถั่วเหลืองในประเทศให้แก่เกษตรกร ตั้งแต่กระบวนการเพาะปลูก การเก็บเกี่ยว จนถึงการจัดจำหน่าย การวิจัยและพัฒนาเมล็ดถั่วเหลืองพันธุ์ดี การดูแลและส่งเสริมการผลิตถั่วเหลืองในประเทศเพื่อความมั่นคงด้านอาหาร การจัดหาความรู้และเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้แก่เกษตรกร การป้องกันและกำจัดการระบาดของหนอนหัวดำด้วยวิธีการผสมผสานหลาย ๆ เทคโนโลยี และการตรวจสอบการนำเข้ามะพร้าวอย่างรอบคอบเพื่อไม่ให้มีแมลงศัตรูมะพร้าวติดเข้ามาในประเทศ การวิจัยและพัฒนาเมล็ดถั่วเหลืองพันธุ์ดี และส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกถั่วเหลืองในพื้นที่ที่เหมาะสมหรือหลังการปลูกข้าว รวมทั้งสนับสนุนแหล่งน้ำชลประทาน เพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตและลดต้นทุนการผลิต และเพื่อเป็นทางเลือกของเกษตรกรในการปลูกพืชที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดและเป็นการช่วยปรับปรุงบำรุงดิน ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
750 | แผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน รัชดาภิเษก ของการไฟฟ้านครหลวง | มท | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน รัชดาภิเษก ของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เฉพาะที่จะดำเนินการในพื้นที่ถนนสายหลัก ในวงเงินลงทุนรวม ๘,๘๙๙.๕๘ ล้านบาท โดยให้ กฟน. เร่งประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านสาธารณูปโภคทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และกรุงเทพมหานคร เป็นต้น เพื่อหาข้อตกลงร่วมกันในการนำสายไฟฟ้าและสายสื่อสารลงใต้ดินในคราวเดียวกัน เพื่อแก้ไขปัญหาความล่าช้าในการดำเนินงานตามแผนฯ เพิ่มความปลอดภัย และปรับสภาพภูมิทัศน์ให้สวยงาม ๑.๒ ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของหน่วยงานอื่นที่เห็นควรให้ กฟน. ทบทวนแผนแม่บทโครงการเปลี่ยนระบบสายอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน ปี ๒๕๕๑-๒๕๖๕ ที่จะดำเนินการในอนาคต และประสานกับหน่วยงานเจ้าของพื้นที่ เช่น กรุงเทพมหานคร และจังหวัดนนทบุรี เป็นต้น เพื่อร่วมกันวางแผนคัดเลือกและจัดลำดับความสำคัญพื้นที่ที่จะดำเนินการปรับปรุงระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นระบบสายไฟฟ้าใต้ดินตามแผนแม่บทฯ ตลอดจนการวางแผนและกำหนดงบประมาณสำหรับการลงทุนดังกล่าวร่วมกัน และให้ กฟน. กำกับดูแลและควบคุมต้นทุนการดำเนินแผนงานฯ อย่างใกล้ชิดและประหยัด รวมทั้งเร่งประสานงานร่วมกับหน่วยงานด้านสาธารณูปโภคทั้งของภาครัฐและเอกชนเพื่อบูรณาการในการดำเนินงานนำสายไฟฟ้าและสายสื่อสารลงใต้ดิน เพื่อแก้ไขปัญหาความล่าช้าในการดำเนินการตามแผนงานฯ และเพื่อให้สามารถปรับปรุงภูมิทัศน์เพิ่มความปลอดภัยให้กับประชาชนได้ตามแผนที่กำหนดไว้ เป็นต้น ไปดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่า ปัจจุบันยังมีหลายพื้นที่ที่มีการติดตั้งระบบสายไฟฟ้าอากาศอยู่ในระดับความสูงที่ไม่เหมาะสมซึ่งอาจเกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน จึงเห็นควรให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟน. รับไปพิจารณาปรับแผนงานเพื่อเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินในพื้นที่ดังกล่าวเป็นกรณีเร่งด่วน และจากกรณีปัญหากระแสไฟฟ้าดับในหลายพื้นที่ส่งผลให้เกิดความเสียหายในวงกว้างและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในพื้นที่นั้น จึงควรมีการพิจารณาจัดทำแผนเพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว และจัดทำระบบสำรองเพื่อลดพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบให้น้อยลง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
751 | แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2555 - 2559) ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2555 - 2559) ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) | มท | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนพัฒนาระบบไฟฟ้าในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙ ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ประกอบด้วย ๑๑ โครงการ ๓ แผนงาน วงเงินลงทุนรวม ๑๐๓,๑๓๐ ล้านบาท และการลงทุนด้านการพัฒนาพลังงานทดแทนของบริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กรอบวงเงินลงทุนและร่วมลงทุนรวม ๓๒,๗๓๒ ล้านบาท รวมวงเงินลงทุนทั้งสิ้น ๑๓๕,๘๖๒ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๑.๒ ให้รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ การคัดเลือกพื้นที่ดำเนินโครงการต่าง ๆ โดยเฉพาะโครงการด้านพลังงานทดแทนอย่างละเอียดรอบคอบ การควบคุมการดำเนินโครงการต่าง ๆ ให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดและสอดคล้องกับความต้องการไฟฟ้าในช่วงเวลานั้น ๆ การพิจารณาประเมินแผนการลงทุนเพื่อพัฒนาระบบไฟฟ้าในช่วงครึ่งระยะเวลาดำเนินการตามแผนฯ (Midterm Review) เพื่อให้มีความสอดคล้องและทันกับสถานการณ์การลงทุนในช่วงเวลานั้น ๆ การให้ความสำคัญในการติดตามประเมินผลโครงการลงทุนต่าง ๆ และพิจารณาหาแนวทางการแก้ปัญหาที่เป็นอุปสรรคในการดำเนินโครงการในช่วงที่ผ่านมา รวมทั้งให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาทั้งในกรณีการวิจัยพัฒนาต้นแบบ การวิจัยพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และการขยายผลการวิจัยไปสู่การปฏิบัติในวงกว้าง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงพลังงานร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องหารือเกี่ยวกับการกำหนดแนวทางและมาตรการการบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าในอนาคตให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้ใช้ไฟฟ้า เช่น การกำหนดทางเลือกการใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาที่ประหยัดค่าใช้จ่ายของภาคประชาชน การคิดค่าไฟฟ้าแบบเหมารวม (package) ที่เหมาะสม และการใช้พลังงานทางเลือกต่าง ๆ เพื่อรองรับภาวะวิกฤติด้านพลังงานไฟฟ้า เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานที่ผลิตจากพืชผลทางการเกษตร เช่น อ้อย เป็นต้น รวมทั้งการปรับโครงสร้างภาษี และการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อให้สอดคล้องกับการบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าในอนาคตดังกล่าวด้วย |
||||||||||||||||||
752 | ขออนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ - คูคต | คค | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) วงเงิน ๓๘,๑๖๕ ล้านบาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยใช้แหล่งเงินกู้จากร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. .... ทั้งหมด และให้ รฟม. รับความเห็นและข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เห็นควรมีการประสานกับส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีพื้นที่ว่างเปล่าตามแนวสายทางเพื่อร่วมกันพัฒนาและบริหารการใช้พื้นที่เพื่อเป็นสถานที่จอดรถรองรับการเปลี่ยนแปลงการเดินทางจากรถยนต์ส่วนบุคคลมาใช้บริการรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้น การพิจารณารูปแบบการลงทุนและการบริหารจัดการสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหมาะสมเพิ่มเติม โดยให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ การพิจารณารูปแบบการลงทุนและการบริหารจัดการระบบไฟฟ้าและรถไฟฟ้าจะต้องให้ความสำคัญกับการกำหนดรูปแบบการลงทุนระบบไฟฟ้าและรถไฟฟ้าที่สามารถสนับสนุนให้เกิดการลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางเชื่อมต่อภายในระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ และควรเป็นรูปแบบที่สามารถสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมระบบรางและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง รวมทั้งให้ความสำคัญกับผลกระทบต่อฐานะการเงินของ รฟม. และขีดความสามารถในการลงทุนของ รฟม. และภาระทางการเงินของภาครัฐในกรณีที่จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนทางการเงินเพิ่มเติม นอกจากนี้ ในช่วงก่อนดำเนินโครงการฯ รฟม. จะต้องพิจารณาปรับปรุงสมมติฐานที่ใช้ในการศึกษาต้นทุนทางการเงินของโครงการฯ เช่น อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ราคาค่าวัสดุก่อสร้าง และค่าน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับในช่วงระยะการดำเนินโครงการก่อสร้าง ควรดำเนินการด้วยความระมัดระวัง โดยยึดความปลอดภัยและควบคุมป้องกันมิให้เกิดอุบัติเหตุอย่างเคร่งครัด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคม และ รฟม. เร่งพิจารณารูปแบบการลงทุนและบริหารจัดการระบบไฟฟ้าและรถไฟฟ้าที่มีความเหมาะสม และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนโดยเร็ว เพื่อให้โครงการฯ สามารถเปิดให้บริการได้ตามเป้าหมายที่กำหนดในปี ๒๕๖๑ ทั้งนี้ ในการพิจารณารูปแบบการลงทุนฯ ควรพิจารณารูปแบบที่จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางเชื่อมต่อและใช้บริการระบบขนส่งมวลชนสาธารณะของประชาชน และไม่ส่งผลกระทบต่อฐานะการเงิน และขีดความสามารถในการลงทุนของ รฟม. รวมทั้งภาระทางการเงินของภาครัฐ ๑.๓ สำหรับการขอยกเว้นการดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ และให้ดำเนินการจัดจ้างด้วยวิธีการประกวดราคาแบบแข่งขันราคานานาชาติ นั้น ให้ รฟม. เสนอเรื่องไปยังคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ต่อไป ๒. ในส่วนของการดำเนินการด้านการเงิน (financing) ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. ประสานงานกับกระทรวงการคลังเพื่อดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามข้อกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งให้พิจารณาดำเนินโครงการฯ ให้สอดคล้องเชื่อมโยงกับโครงการรถไฟฟ้าสายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย |
||||||||||||||||||
753 | แนวทางการแก้ไขปัญหาราษฎร 5 หมู่บ้านในพื้นที่อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปางร้องเรียนขออพยพ | พน | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้อพยพราษฎร ๕ หมู่บ้าน (บ้านห้วยคิง หมู่ที่ ๖ ตำบลแม่เมาะ บ้านหัวฝาย หมู่ที่ ๑ บ้านดง หมู่ที่ ๒ บ้านสวนป่าแม่เมาะ หมู่ที่ ๗ และบ้านหัวฝายหล่ายทุ่ง หมู่ที่ ๘ ตำบลบ้านดง อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง) ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของราษฎรและสนับสนุนการปฏิบัติงานของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในพื้นที่ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพลังงาน และ กฟผ. รับข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เห็นควรกำหนดแนวทางหรือมาตรการในการดำเนินการอพยพราษฎรที่เป็นทิศทางเดียวกัน ซึ่งรวมถึงแนวทางหรือมาตรการในการแก้ไขปัญหาราษฎรที่ไม่อพยพออกจากพื้นที่ และเห็นควรให้คณะกรรมการที่กระทรวงพลังงานจะแต่งตั้งเพื่อดำเนินการในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการอพยพราษฎร ๕ หมู่บ้าน ในพื้นที่อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง พิจารณาการใช้พื้นที่ดังกล่าวอย่างรอบคอบ และให้ กฟผ. จัดทำแผนการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ที่ราษฎรได้รับค่าชดเชยและอพยพออกจากพื้นที่นั้นอย่างรอบคอบและก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้ กฟผ. ร่วมกับกระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำรวจและรับฟังความคิดเห็นของราษฎรและผู้มีส่วนได้เสียในบริเวณใกล้เคียงที่มีแนวโน้มที่อาจได้รับผลกระทบจากการดำเนินการโรงไฟฟ้าแม่เมาะเพิ่มเติมในอนาคตเพื่อจัดทำแนวทางหรือมาตรการในการแก้ไขปัญหาอพยพราษฎรอย่างยั่งยืนต่อไป นอกจากนี้ ให้กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กฟผ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการเพื่อป้องกันการย้ายกลับเข้าพื้นที่เดิมของราษฎรกลุ่มเดิม หรือการย้ายเข้าพื้นที่ของราษฎรกลุ่มใหม่ที่ชัดเจน และมาตรการป้องกันการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ และสวนป่า (ป่าสัก) ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับพื้นที่รองรับการอพยพเพื่อป้องกันการบุกรุกพื้นที่ดังกล่าว ตลอดจนพิจารณาแนวทางการทำความเข้าใจกับชุมชนเพื่อป้องกันการขออพยพในอนาคต และจัดทำแนวทางการใช้ประโยชน์ที่ดินที่ได้จากการอพยพของประชาชนในการพัฒนาเป็นแนวป้องกันด้านสิ่งแวดล้อม (Buffer zone) เป็นต้น ไปดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้ กฟผ. จัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่าง กฟผ. กับราษฎรที่ยืนยันไม่ต้องการอพยพให้ชัดเจนเพื่อเป็นการยอมรับร่วมกันว่า พื้นที่รองรับการอพยพราษฎร ๕ หมู่บ้าน มีความเหมาะสมและได้รับความเห็นชอบจากการประชาคมหมู่บ้านแล้ว หากในอนาคต กฟผ. มีความจำเป็นต้องใช้ที่ดินของราษฎร กฟผ. จะเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อขอความเห็นชอบในการเวนคืนที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ และต้องดำเนินการขออนุญาตตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้ กฟผ. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักด้านงบประมาณ จำนวน ๒,๙๗๐.๕ ล้านบาท โดยให้ กฟผ. ประสานงานกับคณะกรรมการพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณบางส่วนจากกองทุนพัฒนาโรงไฟฟ้าแม่เมาะ และให้ กฟผ. หารือร่วมกับองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) เพื่อพิจารณาข้อตกลงด้านงบประมาณที่เป็นค่าชดเชยต้นสักของ อ.อ.ป. ในพื้นที่รองรับการอพยพและพื้นที่ก่อสร้างอ่างเก็บน้ำ ๔. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการประเมินและทบทวนสถานภาพความเป็นหมู่บ้านของทั้ง ๕ หมู่บ้าน ในกรณีจำนวนครัวเรือนที่เหลืออยู่ในหมู่บ้านเดิมมีจำนวนน้อยเกินกว่าที่จะคงสถานภาพเป็นหมู่บ้านภายหลังการอพยพของครัวเรือนในแต่ละหมู่บ้านแล้ว โดยพิจารณากำหนดแนวทางการโอนครัวเรือนที่เหลืออยู่ไปสมทบร่วมกับหมู่บ้านอื่น หรือพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมในการบริหารจัดการครัวเรือนที่เหลืออยู่ให้สอดคล้องกับแนวทางการปกครองในระดับหมู่บ้านต่อไป ๕. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยุติการให้บริการสาธารณูปโภคและสาธารณูปการพื้นฐาน เช่น ระบบไฟฟ้า ระบบสื่อสาร และระบบประปา ในพื้นที่ของครัวเรือนที่ขออพยพ เพื่อป้องกันการย้ายกลับเข้าพื้นที่เดิม สำหรับพื้นที่ของครัวเรือนที่ยืนยันไม่ต้องการขออพยพ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดหาบริการสาธารณูปโภคและสาธารณูปการพื้นฐานดังกล่าวให้กับครัวเรือนในพื้นที่ต่อไปตามสิทธิพื้นฐานที่ประชาชนพึงได้รับจากภาครัฐ |
||||||||||||||||||
754 | โครงการขยายระบบไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ระยะที่ 3 | พน | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบโครงการขยายระบบไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ระยะที่ ๓ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) วงเงินลงทุนรวม ๑๒,๑๐๐ ล้านบาท และอนุมัติการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนประจำปี ๒๕๕๗ สำหรับโครงการฯ จำนวน ๓๓๓.๒ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ๒. ให้ กฟผ. รับข้อสังเกตเพิ่มเติมของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน กระทรวงพลังงาน และกระทรวงการคลัง เกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับทราบขั้นตอนการดำเนินงานอย่างชัดเจนเพื่อป้องกันการร้องเรียนจากประชาชนในพื้นที่ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากการขยายและปรับปรุงระบบไฟฟ้า การทำประกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Currency Hedge) การวิเคราะห์และจัดทำแผนบริหารจัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับระบบพลังงานไฟฟ้าของประเทศเพื่อลดความเสี่ยงด้านความมั่นคงของระบบพลังงานไฟฟ้า รวมถึงการเตรียมแนวทางแก้ไขปัญหาด้านการจัดหาเชื้อเพลิงและกำลังผลิตไฟฟ้าที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต การให้ความสำคัญกับการส่งเสริม รณรงค์ และให้ความรู้กับผู้ใช้ไฟฟ้าเกี่ยวกับการประหยัดพลังงาน การดำเนินโครงการฯ ด้วยความรอบคอบ โดยเฉพาะกรณีโครงการที่มีการรอนสิทธิจากพื้นที่เอกชน เพื่อมิให้ส่งผลกระทบและเกิดการต่อต้านโครงการอื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ ในการบริหารจัดการการจัดซื้อที่ดินให้รอบคอบและมีประสิทธิภาพ โดยพิจารณาใช้แหล่งเงินกู้ในประเทศเป็นลำดับแรก รวมทั้งบริหารจัดการเรื่องการเงินและการลงทุนให้สอดรับกับแนวโน้มของอัตราแลกเปลี่ยน โดยพิจารณากำหนดแผนการบริหารความเสี่ยงในกรณีที่ผลการดำเนินงานทางด้านการเงินไม่เป็นไปตามประมาณการตั้งไว้ และให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงินขององค์กรในระยะยาว โดยพิจารณารูปแบบการระดมทุนที่มีต้นทุนทางการเงินที่เหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
755 | แผนแม่บทโครงการหมู่บ้านพัฒนาเพื่อความมั่นคงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน และจังหวัดตาก | นร08 | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบแผนแม่บทโครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคงพื้นที่ชายแดนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน และจังหวัดตาก ระยะ ๔ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๐) เพื่อเสริมสร้างคน ชุมชน พื้นที่บริเวณชายแดน จำนวน ๔๘ หมู่บ้าน (จังหวัดเชียงใหม่ ๑๓ หมู่บ้าน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ๓๔ หมู่บ้าน จังหวัดตาก ๑ หมู่บ้าน) ให้มีภูมิคุ้มกันตนเองในการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่กระทบต่อความมั่นคง โดยให้คนและชุมชนสามารถดำรงชีวิตอย่างยั่งยืนภายใต้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง รวมทั้งสามารถสนับสนุนหน่วยงานรัฐในการเสริมสร้างความมั่นคงชายแดน เฝ้าระวังแจ้งเตือน ตลอดจนเป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีกับชุมชนประเทศเพื่อนบ้าน โดยมียุทธศาสตร์ดำเนินงานของแผนแม่บทโครงการฯ รวม ๔ ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างความมั่นคง ยุทธศาสตร์การพัฒนาสังคม คุณภาพชีวิต และเศรษฐกิจชุมชน ยุทธศาสตร์การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายและอำนวยการพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคงของชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๖ ที่ให้ปรับแผนงาน/โครงการ/งบประมาณของหน่วยงานในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เพื่อดำเนินการในพื้นที่เป้าหมายเร่งด่วน และจัดทำแผนงาน/โครงการรองรับในแผนงบประมาณปกติตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นต้นไป ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ หากมีโครงการที่จำเป็นเร่งด่วนและไม่สามารถสนับสนุนงบประมาณตามแผนงานปกติของหน่วยงาน เห็นสมควรให้เสนอของบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นต่อไป |
||||||||||||||||||
756 | การชดเชยผลกระทบด้านเสียงจากการดำเนินงานท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ | คค | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๖ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบความเห็นของกระทรวงคมนาคมเกี่ยวกับการชดเชยการแก้ไขปัญหาผลกระทบด้านเสียงจากการดำเนินงานท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็นหน้าที่ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) ที่จะต้องดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาท่าอากาศยานฯ ในระยะต่อไป รวมทั้งเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมด้วยการให้ความช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบในเชิงมนุษยธรรม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ (เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ) โดยกระทรวงคมนาคมมอบหมายให้ ทอท. พิจารณาการชดเชยผลกระทบด้านเสียงจากการดำเนินงานท่าอากาศยานฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ (เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และเรื่อง การจัดการปัญหามลพิษทางเสียงจากสนามบินสุวรรณภูมิ) ตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยพิจารณาจ่ายเงินชดเชยตามกรอบวงเงินงบประมาณที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๒ [เรื่อง ขออนุมัติขยายกรอบวงเงินลงทุนโครงการก่อสร้างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ระยะที่ ๑) ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)] จำนวน ๑๑,๒๓๓.๗๐๐ ล้านบาท ๑.๒ ให้ ทอท. เร่งรัดการจ่ายเงินชดเชยผลกระทบด้านเสียงจากการดำเนินงานท่าอากาศยานฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การแก้ไขปัญหาในการดำเนินกิจการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ) และวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๓ (เรื่อง การดำเนินการแก้ไขปัญหาผลกระทบด้านเสียงจากการดำเนินงาน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กรณีการบินในช่วงฤดูหนาว) ที่เหลืออยู่ทั้งหมดให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ๑.๓ ให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในหลักการให้ ทอท. พิจารณาขยายกรอบการชดเชยผลกระทบด้านเสียงจากการดำเนินงานท่าอากาศยานฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๐ และวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๓ ให้แก่อาคารที่ปลูกสร้างตั้งแต่ปี ๒๕๔๔ จนถึงวันที่ท่าอากาศยานฯ เริ่มเปิดดำเนินการในวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๔๙ โดยใช้หลักเกณฑ์การจ่ายเงินชดเชยตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๐ และวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๓ และพิจารณาจ่ายจากกรอบวงเงินงบประมาณที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๒ จำนวน ๑๑,๒๓๓.๗๐๐ ล้านบาท ๑.๔ ให้ ทอท. เป็นผู้พิจารณาการชดเชยผลกระทบด้านเสียงจากการดำเนินงานท่าอากาศยานฯ ในกรณีที่มีการร้องเรียนเรื่องผลกระทบด้านเสียงจากผู้ที่ได้รับผลกระทบด้านเสียงที่อยู่นอกเหนือจากบริเวณพื้นที่ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๐ และวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๓ โดยขยายกรอบการชดเชยให้แก่อาคารที่ปลูกสร้างจนถึงวันที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเริ่มเปิดดำเนินการเป็นกรณีไป โดยประสานกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อดำเนินการตรวจวัดระดับเสียงในหน่วย NEF และใช้งบประมาณของ ทอท. เพื่อความน่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย ๑.๕ รับทราบแนวทางการพัฒนาที่ดินและการสร้างมูลค่าเพิ่มสำหรับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ ทอท. ได้ดำเนินการจัดซื้อมาจากผู้ที่ได้รับผลกระทบด้านเสียงจากการดำเนินงานท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและอยู่ในพื้นที่ได้รับผลกระทบด้านเสียงที่ระดับ NEF มากกว่า ๔๐ จนถึงปัจจุบัน จำนวน ๑๘๐ อาคาร ค่าใช้จ่ายประมาณ ๘๒๖.๓๙ ล้านบาท (กระจายอยู่ในพื้นที่ของตำบลบางโฉลง อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ และเขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร) โดยเป็นที่ดินพร้อมปลูกสร้างแปลงใหญ่สุดประมาณ ๑๗ ไร่ จำนวน ๑ ราย นอกนั้นส่วนใหญ่เป็นที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง พื้นที่โดยเฉลี่ยไม่เกิน ๕๐-๖๐ ตารางวา มีทั้งที่อยู่ในสภาพดีและชำรุดไม่เหมาะเป็นที่พักอาศัย ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการ ทอท. ได้แก่ ๑.๕.๑ การจำหน่ายสินทรัพย์อาจไม่เหมาะสมและไม่เกิดประโยชน์สูงสุดต่อ ทอท. เพราะอาจจะเกิดข้อพิพาทด้านกฎหมายเรื่องผลกระทบด้านเสียงในอนาคตได้ ๑.๕.๒ ที่ดินซึ่งประกอบด้วยอาคารและพื้นที่ว่างเปล่าขนาดใหญ่ เห็นควรให้ผู้ประกอบการที่สนใจใช้ประโยชน์ที่ดินดังกล่าว เสนอแนวทางในการใช้ประโยชน์ที่ดินเองเพื่อให้สอดคล้องกับอุปสงค์ของตลาด ๑.๕.๓ ทอท. จะใช้ประโยชน์เพื่อเป็นสวัสดิการให้แก่พนักงานหรือผู้ปฏิบัติงานของส่วนต่าง ๆ ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สำหรับสิ่งปลูกสร้างที่มีสภาพดีและสามารถเข้าพักอาศัยได้ ๑.๕.๔ ทอท. จะพิจารณาหลักเกณฑ์และข้อกำหนดเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินการใช้ประโยชน์ที่ดินและการบริหารจัดการที่ดิน และสิ่งปลูกสร้างที่เหมาะสมโดยเร็วต่อไป ทั้งนี้ ให้ ทอท. พิจารณาแนวทางการใช้ประโยชน์ทรัพย์สินดังกล่าวให้เกิดความคุ้มค่า สามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม และประโยชน์สูงสุดให้กับ ทอท. ต่อไป ๑.๖ ให้ ทอท. เร่งดำเนินการสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่โดยรอบท่าอากาศยานฯ ทั้งในระดับชุมชน ท้องถิ่น และจังหวัด ให้มีความรู้ความเข้าใจในบริเวณพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบตามแนวเส้นเสียง และวิธีการจ่ายเงินชดเชยผลกระทบด้านเสียงจากการดำเนินงานท่าอากาศยานฯ ตลอดจนประเด็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเขตความปลอดภัยในการเดินอากาศ และคำพิพากษาของศาลในคดีฟ้องร้องเกี่ยวกับผลกระทบด้านเสียงต่อไป ๒. ให้ตัดแนวทางการพัฒนาที่ดินและการสร้างมูลค่าเพิ่มสำหรับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี ในข้อที่ว่า “ทอท. จะใช้ประโยชน์เพื่อเป็นสวัสดิการให้แก่พนักงานหรือผู้ปฏิบัติงานของส่วนต่าง ๆ ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สำหรับสิ่งปลูกสร้างที่มีสภาพดีและสามารถเข้าพักอาศัยได้” ออก |
||||||||||||||||||
757 | มาตรการบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. 2557 - 2561) | นร | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่ คปร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบมาตรการบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑) ประกอบด้วย มาตรการบริหารจัดการอัตรากำลังปกติ มาตรการบริหารจัดการเชิงยุทธศาสตร์ และแนวทางการนำมาตรการดังกล่าวไปสู่การปฏิบัติ ๑.๒ ให้ คปร. สำนักงาน ก.พ สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ กรมบัญชีกลาง สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ ร่วมกับส่วนราชการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีการนำมาตรการบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑) ไปปฏิบัติให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ๒. ให้ คปร. รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรพิจารณาความเหมาะสมในการจัดสรรอัตรากำลังคืนให้กับส่วนราชการที่มีภารกิจตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล ยุทธศาสตร์ประเทศ และมีภารกิจเพิ่มขึ้น การจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการคืนทั้งหมดเพื่อรองรับกับภารกิจของหน่วยงานในปัจจุบันและที่จะเกิดขึ้นในอนาคตที่เพิ่มมากขึ้น การพัฒนาข้าราชการร้อยละ ๑๐๐ ให้มีความรู้ความสามารถทักษะและสมรรถนะตามแผนพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนควรมีการจัดสรรงบประมาณให้สอดคล้องกับการพัฒนา และในการดำเนินมาตรการบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐฯ ควรครอบคลุมพนักงานมหาวิทยาลัยในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ เช่นเดียวกับข้าราชการ พนักงานราชการ และลูกจ้างประจำ การทำความเข้าใจกับผู้บริหารและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกส่วนราชการในราชการบริหารฝ่ายพลเรือนให้เล็งเห็นถึงความสำคัญและความจำเป็นของการดำเนินการ การพัฒนาเครื่องมือ กลไก หรือคู่มือการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจนเพื่อให้ส่วนราชการสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม การให้ความสำคัญกับการวางกรอบหลักเกณฑ์การพิจารณาเพิ่มอัตราตั้งใหม่ให้เหมาะสมกับฐานะการคลังของประเทศในระยะยาวเพื่อให้มีความยั่งยืนและคุ้มค่าด้านบุคลากรอย่างมีประสิทธิภาพ การวางระบบหรือกลไกที่สามารถบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐทั้งระบบให้เหมาะสมมากยิ่งขึ้น การขยายขอบเขตการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวให้ครอบคลุมกำลังคนภาครัฐทุกประเภท (ทั้งในฝ่ายพลเรือนและทหาร) รวมทั้งการจัดทำแนวทางในการส่งเสริมและ/หรือมาตรการสร้างแรงจูงใจอย่างชัดเจน เพื่อให้การถ่ายโอนบุคลากรไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้ คปร. และสำนักงาน ก.พ. รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีในส่วนที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓.๑ เนื่องจากแนวทางการบริหารและการพัฒนากำลังคนภาครัฐทั้งระบบทั้งที่สังกัดหน่วยงานภายใต้ฝ่ายบริหารและสังกัดองค์กรต่าง ๆ ที่มิได้อยู่ภายใต้ฝ่ายบริหารยังมีความเหลื่อมล้ำ และไม่ได้มีการบูรณาการการทำงานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ดังนั้น เพื่อให้เกิดการบูรณาการในเรื่องดังกล่าวอย่างเหมาะสมและเป็นรูปธรรม ควรให้ คปร. รับไปประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การบริหารและการพัฒนากำลังคนภาครัฐเพื่อดำเนินการในเรื่องดังกล่าว ๓.๒ ในกระบวนการสรรหาและพัฒนากำลังคนในภาคราชการ ควรคำนึงถึงการเสริมสร้างบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมที่กระตุ้นให้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถได้มีโอกาสแสดงศักยภาพและได้รับการยอมรับ รวมทั้งควรมีการพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานเพื่อให้มีศักยภาพที่หลากหลายมากขึ้น (Multi Skill) ทั้งนี้ ในกระบวนการสรรหาและพัฒนากำลังคนในภาคราชการควรมีการพิจารณาปรับปรุง หลักเกณฑ์และวิธีการสรรหา เพื่อให้ได้กำลังคนที่มีทักษะ สมรรถนะ และทัศนคติที่เหมาะสมและมีใจรักในงานบริการ เพื่อให้สอดคล้องและรองรับการเปลี่ยนแปลงการบริหารราชการแนวใหม่ ควรให้สำนักงาน ก.พ. รับไปพิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์การสรรหากำลังคนเข้าสู่ระบบราชการให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น |
||||||||||||||||||
758 | ผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ 11/2556 เรื่อง ขอแก้ไขแผนรายประมาณการโครงการแก้ไขปัญหา อุทกภัยระยะเร่งด่วน (ถนนซอยวัดมะขาม - วัดโบสถ์ แยกทางหลวงหมายเลข 346 ตำบลกลาง อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี) ของกรมทางหลวง | นร | 08/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเสนอมติคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ในการประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๖ ที่เห็นชอบการขอแก้ไขแผนรายประมาณการโครงการแก้ไขปัญหาอุทกภัยระยะเร่งด่วน (ถนนซอยวัดมะขาม-วัดโบสถ์ แยกทางหลวงหมายเลข ๓๔๖ ตำบลบ้านกลาง อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี) ของกรมทางหลวง จากเดิม ถนนซอยวัดมะขาม-วัดโบสถ์ แยกทางหลวงหมายเลข ๓๔๖ ตำบลบ้านกลาง อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี ๑,๙๓๐ เมตร (ยกระดับถนนสูงขึ้น ๐.๖ เมตร) วงเงิน ๔๑.๑๔๓ ล้านบาท แก้ไขเป็น ถนนซอยวัดมะขาม-วัดโบสถ์ แยกทางหลวงหมายเลข ๓๔๖ ตำบลบ้านกลาง อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี (ก่อสร้างแท่งคอนกรีตเสริมเหล็กกั้นน้ำจากถนนซอยวัดมะขามถึงคลองวัดโบสถ์ ๑,๙๓๖ เมตร และยกระดับถนนติวานนท์บริเวณทางเข้าท่าเรือปทุมธานี ๔๐๐ เมตร) วงเงิน ๑๐.๓๒ ล้านบาท ซึ่งหลังจากการแก้ไขแผนรายประมาณการโครงการฯ จะมีเงินคงเหลือ ๓๐.๘๒๓ ล้านบาท และให้กรมทางหลวงส่งเงินเหลือจ่ายคืนสำนักงบประมาณ รวมทั้งให้สำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (สบอช.) พิจารณาจัดทำหลักเกณฑ์วิธีการใช้เงินเหลือจ่ายนำเสนอคณะรัฐมนตรี ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ประธาน กบอ. เสนอ ๒. ให้ สบอช. กรมทางหลวง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการแก้ไขแผนรายประมาณการโครงการฯ เห็นควรให้สำนักงบประมาณเป็นผู้พิจารณาความเหมาะสมด้านราคา ส่วนกรณีวงเงินคงเหลือ ๓๐.๘๒๓ ล้านบาท เห็นควรให้กรมทางหลวงส่งคืนเป็นเงินเหลือจ่ายเข้าระบบบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) โดยการพิจารณานำเงินเหลือจ่ายไปใช้ดำเนินโครงการใหม่ต้องอยู่ภายใต้กรอบการใช้จ่ายเงินกู้ที่เสนอรัฐสภา และต้องมีขั้นตอนการดำเนินโครงการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารโครงการและการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ และควรให้สำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติเร่งรัดการจัดทำหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดสรรวงเงินเหลือจ่ายของโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ นอกจากนี้ ในการพิจารณาแผนงาน/โครงการที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำในระยะต่อไป ควรให้หน่วยงานผู้เสนอแผนงาน/โครงการให้ความสำคัญกับกระบวนการมีส่วนร่วมของผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการ เพื่อให้เกิดการยอมรับในการดำเนินโครงการ ความครบถ้วนและถูกต้องของข้อมูล รวมทั้งความพร้อมของหน่วยงานดำเนินการ เพื่อให้แผนงาน/โครงการที่เสนอสามารถแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และทันต่อสถานการณ์ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
759 | ร่างพระราชกฤษฎีกาค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายอื่นในการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | อื่นๆ | 08/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๖ ที่อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายอื่นในการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายอื่นในการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการปฏิรูปกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อปรับปรุงแก้ไขบัญชีค่าตอบแทนที่เป็นเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และเงินค่าตอบแทนรายเดือนของกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ตามที่สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ โดยให้ใช้บัญชีแนบท้ายค่าตอบแทนดังกล่าวตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ
|
||||||||||||||||||
760 | ขออนุมัติหลักการเพื่อปรับอัตราค่าจ้างสำหรับลูกจ้างรายเดือน นักการภารโรง และบุคลากรอื่นๆ ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานที่จ้างด้วยงบดำเนินงานให้เทียบเท่าการเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวของข้าราชการลูกจ้างประจำและลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ | ศธ | 08/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการเพื่อปรับอัตราค่าจ้างสำหรับลูกจ้างรายเดือน นักการภารโรง และบุคลากรอื่น ๆ ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานที่จ้างด้วยงบดำเนินงาน ให้เทียบเท่าการเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวของข้าราชการ ลูกจ้างประจำและลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ ซึ่งสำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อรองรับการปรับดำเนินการดังกล่าวแล้ว จำนวน ๓,๓๐๐.๘๒๐๘ ล้านบาท ๑.๒ ให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่มีเจ้าหน้าที่/ลูกจ้างที่ได้รับค่าจ้างรายวัน/รายเดือน ในลักษณะจ้างเหมา ประเมินถึงความเหมาะสมและความจำเป็นของจำนวนลูกจ้างให้สอดคล้องกับภารกิจของหน่วยงาน และเสนอให้คณะกรรมการระดับชาติเพื่อศึกษาทบทวนความเหมาะสมของค่าตอบแทนของผู้บริหารและบุคลากรในหน่วยงานภาครัฐในภาพรวมทั้งหมด พิจารณาความเหมาะสมในภาพรวม โดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับภารกิจของหน่วยงาน และภาระงบประมาณในระยะยาว ๒. ให้ปรับเพิ่มค่าจ้างสำหรับลูกจ้างรายเดือน นักการภารโรง และบุคลากรอื่น ๆ ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานที่จ้างด้วยงบดำเนินงาน ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ซึ่งสำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ไว้แล้ว จำนวน ๓,๓๐๐.๘๒๐๘ ล้านบาท เพื่อรองรับการปรับเพิ่มค่าจ้างดังกล่าวตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕-๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดมาตรการในการกระจายครูให้สอดคล้องกับความต้องการของพื้นที่และจำนวนนักเรียนอย่างจริงจัง สำหรับกลุ่มลูกจ้างรายเดือนที่ปฏิบัติงานตามโครงการหรืองานที่มีระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดแน่นอน เช่น โครงการคืนครูให้นักเรียน โครงการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา เป็นต้น ควรปรับแผนการจ้างลูกจ้าง/บุคลากรให้สอดคล้องกับงบดำเนินงานตามที่ได้รับจัดสรรจนสิ้นสุดโครงการ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
.....