ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 32 จากทั้งหมด 252 หน้า แสดงรายการที่ 621 - 640 จากข้อมูลทั้งหมด 5031 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
621 | รายงานผลการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 39 | ทส | 30/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๓๙ ระหว่างวันที่ ๒๘ มิถุนายน-๘ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ณ กรุงบอนน์ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ซึ่งมีประเด็นสำคัญในส่วนที่เกี่ยวข้องกับราชอาณาจักรไทย ๓ เรื่อง ได้แก่ (๑) การรับรองอนุสรณ์สถานแหล่งต่าง ๆ และภูมิทัศน์ของเชียงใหม่ นครหลวงของล้านนา (Monument, Sites and Cultural Landscape of Chiang Mai, Capital of Lanna) ไว้ในบัญชีรายชื่อเบื้องต้น (Tentative List) (๒) การรับรองรายงานสถานภาพการอนุรักษ์พื้นที่กลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ และนครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา และ (๓) ข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงเอกสารสำหรับการขึ้นทะเบียนพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลก ๑.๒ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนการดำเนินงานตามมติคณะกรรมการมรดกโลกฯ โดยการหารือร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อให้การดำเนินงานตามข้อมติคณะกรรมการมรดกโลกและแผนการดำเนินงานตามแผนขับเคลื่อน (Road Map) พื้นที่กลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ และพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมีผลเป็นรูปธรรม ๑.๓ มอบหมายให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณสนับสนุนให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินงานตามพันธกรณีอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่เห็นควรพิจารณาอนุญาตให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศเข้าศึกษาวิจัยเพื่อนำมาประกอบการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมในพื้นที่กลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ และร่วมกันจัดทำแผนปฏิบัติการป้องกันแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรมเพื่อให้พื้นที่ดังกล่าวยังคงเป็นมรดกโลกต่อไป รวมทั้งพิจารณากันเขตแผนงานโครงการที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานด้านแหล่งน้ำในพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานออกจากแผนที่แนบท้ายการขึ้นทะเบียนแหล่งมรดกโลกกลุ่มป่าแก่งกระจานก่อนเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๔๐ เพื่อให้พื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานยังคงความเป็นธรรมชาติ และความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
622 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 6/2558 | กค | 22/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบและเห็นชอบผลการพิจารณาแผนการแก้ไขปัญหาของรัฐวิสาหกิจ ๔ แห่ง ได้แก่ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย การรถไฟแห่งประเทศไทย และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมเร่งกำกับและติดตามการรถไฟแห่งประเทศไทยให้มีการดำเนินการซ่อมบำรุงรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (Airport Rail Link) และจัดหาขบวนรถไฟสำหรับรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ ๑ ช่วงพญาไท-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ให้ได้โดยเร็ว รวมทั้งเร่งศึกษาและเริ่มดำเนินโครงการรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ส่วนต่อขยายระยะที่ ๓ สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา โดยเร็ว และให้นำเสนอแผนการดำเนินงานต่อคณะกรรมการนโยบายรัฐบาลต่อไป ตลอดจนกำกับและติดตามการจัดซื้อรถโดยสารก๊าซธรรมชาติ NGV ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว ๑.๒ รับทราบกรอบแนวทางในการจัดทำร่างพระราชบัญญัติการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจและหลักทรัพย์ของรัฐ พ.ศ. .... ตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ๑.๓ รับทราบและเห็นชอบการปรับปรุงหลักเกณฑ์การจัดตั้ง/ร่วมทุน และกำกับดูแลบริษัทในเครือของรัฐวิสาหกิจ ตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ๑.๔ รับทราบและเห็นชอบผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจในการพิจารณาโครงการลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่เข้าข่ายเป็นการลงทุนขนาดใหญ่ และการพิจารณาโครงการเกี่ยวกับการขออนุมัติงบประมาณหรือเงินกู้ของรัฐวิสาหกิจ และมอบหมายให้รัฐวิสาหกิจทุกแห่งเร่งดำเนินการในเรื่อง สิทธิประโยชน์ของกรรมการรัฐวิสาหกิจ และเงินบริจาคเพื่อประโยชน์สาธารณะของรัฐวิสาหกิจให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ตลอดจนมีการเปิดเผยและปรับปรุงข้อมูลใน website ให้เป็นปัจจุบันภายใน ๑ เดือน ๒. ให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงการคลัง (สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ) และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการสร้างทางรถไฟ (Airport Rail Link) ควรคำนึงถึงความสะดวกในการเดินทางของประชาชนและนักท่องเที่ยว โดยให้มีการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมครอบคลุมรอบด้าน ส่วนการจัดตั้งบรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติเพื่อกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจที่มีฐานะเป็นบริษัทมหาชนจำกัด ตามร่างพระราชบัญญัติการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจและหลักทรัพย์ของรัฐ พ.ศ. .... ควรมีสาระสำคัญเกี่ยวกับอำนาจในการกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจให้เกิดความคล่องตัวในการดำเนินงาน รวมทั้งการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง จำนวน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อดำเนินการแผนการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจและรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้ที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
623 | ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสมาคมประชาชาติแห่งเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มติคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) | นร | 22/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๘ และให้เสนอร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
||||||||||||||||||||||||
624 | ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (กพข.) ครั้งที่ 2/2558 | นร11 | 25/08/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (กพข.) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๘ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และได้พิจารณาประเด็นที่สำคัญในการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ รวม ๘ เรื่อง ประกอบด้วย ความคืบหน้าผลการดำเนินการตามมติคณะกรรมการ กพข. ครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ แนวทางการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาค ด้านการพัฒนาคลัสเตอร์ ด้านการพัฒนาเชิงกายภาพ ด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ด้านประสิทธิภาพภาครัฐ (Government Efficiency) และกระบวนการทางศุลกากร (Customs Procedures) ด้านการจัดการข้อมูลและการสื่อสารประชาสัมพันธ์ และแนวทางการดำเนินงานร่วมกัน (Alignment) ของคณะอนุกรรมการ ๖ ชุด ภายใต้ กพข. เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
625 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2558 | กษ | 18/08/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ ๔/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ตามที่คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงพลังงานหารือร่วมกับผู้เกี่ยวข้องพิจารณาปรับสัดส่วนการใช้ไบโอดีเซลผสมในน้ำมันดีเซล จากเดิม “ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๖ และไม่สูงกว่าร้อยละ ๗” เป็น “ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๖.๕ และไม่สูงกว่าร้อยละ ๗” ๑.๒ เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อตรวจสอบสต็อกน้ำมันปาล์ม ประกอบด้วยผู้แทนกระทรวงกลาโหม ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้แทนกรมศุลกากร ผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ร่วมเป็นคณะทำงาน ๑.๓ เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพัฒนาโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตน้ำมันปาล์มให้มีอัตราน้ำมันสูงและน้ำมันมีคุณภาพดี โดยมีปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานอนุกรรมการ และคณะอนุกรรมการประกอบด้วย ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ ผู้แทนกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้แทนภาคเอกชน จำนวน ๓ ท่าน ร่วมเป็นคณะอนุกรรมการฯ ๑.๔ เห็นชอบการรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบเก็บสต็อก ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้องค์การคลังสินค้าเพิ่มปริมาณการรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) เก็บสต็อกของปี ๒๕๕๘ อีกจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ ตัน โดยมีเงื่อนไขให้องค์การคลังสินค้ารับซื้อน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) จากโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มเพื่อเก็บสต็อก เมื่อราคาผลปาล์ม (อัตราน้ำมันร้อยละ ๑๗) ที่เกษตรกรขายไม่ต่ำกว่าหรือมีแนวโน้มต่ำกว่ากิโลกรัมละ ๔.๒๐ บาท ๒. ให้คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ในคราวประชุมเมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ที่เห็นชอบในหลักการอนุมัติกรอบวงเงิน จำนวน ๒,๘๙๖.๔๕ ล้านบาท เพื่อให้องค์การคลังสินค้าดำเนินการรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบจากโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มเพิ่มเติมอีก จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ ตัน รวมเป็นจำนวน ๒๐๐,๐๐๐ ตัน ทั้งนี้ ให้เพิ่มเงื่อนไขสำหรับการรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบเพิ่มเติมอีก ๑๐๐,๐๐๐ ตัน โดยกำหนดให้มีการตรวจติดตามว่า เมื่อโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มได้จำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบให้องค์การคลังสินค้าแล้ว โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มดังกล่าวจะต้องรับซื้อผลปาล์มเพิ่มจากเกษตรกรเพื่อแปรรูปเป็นน้ำมันปาล์มดิบมาเติมสต็อกแทนที่น้ำมันปาล์มดิบที่ระบายจำหน่ายให้องค์การคลังสินค้าไปแล้ว ๓. ให้รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำกับและเร่งรัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำมติคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติไปปฏิบัติให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามมาตรการที่กำหนด และรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานให้คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ เพื่อให้สามารถติดตามสถานการณ์ได้อย่างใกล้ชิด และปรับมาตรการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
626 | มติคณะกรรมการเตรียมการด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ครั้งที่ 2/2558 | ทก | 11/08/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการเตรียมการด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ครั้งที่ ๒/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมได้รับทราบเกี่ยวกับการแต่งตั้งคณะทำงานภายใต้คณะกรรมการเตรียมการด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รวม ๕ ชุด ได้แก่ คณะทำงานบรอดแบนด์แห่งชาติ คณะทำงานศูนย์ข้อมูลในประเทศ คณะทำงานด้านการส่งเสริมการค้าผ่านสื่อดิจิทัล คณะทำงานการเรียนรู้ตลอดชีวิต และคณะทำงานติดตามกฎหมายเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล รวมทั้งการประชุมแบบลดกระดาษ เพื่อให้สอดรับนโยบายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล และเพื่อเป็นแบบอย่างในการทำงานที่ส่งเสริมการนำดิจิทัลมาใช้ในทุกกระบวนการและกิจกรรม การประชุมคณะกรรมการเตรียมการฯ และคณะทำงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล ทั้ง ๕ ชุด จะปรับรูปแบบการประชุมจากเดิมที่จัดทำเอกสารประกอบการประชุมเป็นกระดาษเข้าแฟ้ม เป็นเอกสารในรูปแบบดิจิทัล ซึ่งนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ เห็นชอบแนวทางการประชุมแบบลดกระดาษ เนื่องจากเป็นการลดการใช้กระดาษ ประหยัดทรัพยากร ประหยัดงบประมาณ และยังเป็นการช่วยลดมลภาวะ ทั้งนี้ ได้ให้ข้อสังเกตว่าในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย ยังคงต้องมีเอกสารในรูปแบบกระดาษอยู่ เนื่องจากต้องใช้เป็นหลักฐานประกอบทางกฎหมาย ๒. ที่ประชุมได้พิจารณาในประเด็นต่าง ๆ เกี่ยวกับการดำเนินงานของคณะทำงานการเรียนรู้ตลอดชีวิต การดำเนินงานของคณะทำงานศูนย์ข้อมูลในประเทศ การดำเนินงานของคณะทำงานบรอดแบนด์แห่งชาติ การใช้โครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมร่วมกัน (Infrastructure sharing) การเตรียมการประมูลคลื่นความถี่ในกิจการโทรคมนาคมของ กสทช. การดำเนินงานของคณะทำงานติดตามกฎหมายเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล การดำเนินโครงการบูรณาการงานบริการภาครัฐให้มีประสิทธิภาพภายใต้คณะอนุกรรมการพัฒนาระบบราชการเกี่ยวกับการบริหารโครงการบูรณาการงานบริการภาครัฐให้มีประสิทธิภาพ โครงการนำร่องเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล ปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ทั้งนี้ เห็นชอบให้เพิ่มผู้แทนจากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในคณะทำงานด้านการส่งเสริมการค้าผ่านสื่อดิจิทัล (Digital Commerce) การส่งเสริมธุรกิจเกิดใหม่ดิจิทัล (Digital Entrepreneur) และการส่งเสริมเนื้อหาดิจิทัล (Digital Content)
|
||||||||||||||||||||||||
627 | ร่างพระราชบัญญัติปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | พน | 04/08/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบคำอธิบายและคำชี้แจงของกระทรวงพลังงานใน ๓ ประเด็นต่อข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชบัญญัติปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบไว้เมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ และได้ผ่านการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามาแล้ว มีบทบัญญัติสำคัญ ๆ ระบุไว้ชัดเจนแล้ว ทั้งในเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย การกำหนดระยะเวลาของสัญญา/ต่อระยะเวลา การแบ่งปันผลประโยชน์รัฐที่เหมาะสมและเป็นธรรม รวมถึงข้อกำหนดอื่น ๆ ที่จำเป็น โดยได้นำกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมบางมาตราในปัจจุบันมาใช้บังคับโดยอนุโลม ๑.๒ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ที่ได้เห็นชอบในกรอบแนวทางการบริหารจัดการแหล่งก๊าซที่สัมปทานจะหมดอายุในปี ๒๕๖๕/๖๖ โดยมอบให้กระทรวงพลังงานเป็นผู้พิจารณาแนวทางในการบริหารจัดการแปลงดังกล่าวให้เหมาะสม โดยคำนึงถึงความต่อเนื่องของการรักษาระดับการผลิตและผลประโยชน์ของรัฐเป็นสำคัญ แล้วจึงนำมาเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งภายในกรอบเวลา ๓ ปี ดังนั้น จึงไม่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมทั้ง ๒ ฉบับดังกล่าวที่เป็นการดำเนินการเพื่อรองรับการให้สิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบใหม่ ๑.๓ กระทรวงพลังงานมีความเห็นว่า ในขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็นที่จะจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ เพราะมีหน่วยงานรัฐ คือ กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติทำหน้าที่แทนรัฐในการให้สิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียม กำกับดูแลผู้รับสัมปทาน การจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติจะเป็นการทำหน้าที่ซ้ำซ้อนและสิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดิน ๒. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้การให้สิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมมีทางเลือกอีกทางหนึ่งให้รัฐสามารถพิจารณานำระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิตมาใช้ในการบริหารจัดการทรัพยากรปิโตรเลียมนอกเหนือไปจากการพิจารณาให้สัมปทานปิโตรเลียมภายใต้กฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบัน และร่างพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดอัตราและหลักเกณฑ์ในการคำนวณภาษีเงินได้ปิโตรเลียม รวม ๒ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว โดยให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) ร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานนำร่างพระราชบัญญัติทั้ง ๒ ฉบับดังกล่าว รวมทั้งคำอธิบายและคำชี้แจงของกระทรวงพลังงานไปชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหาการบังคับใช้พระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔ และพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔ สภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ได้ข้อสรุป ก่อนเสนอคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
628 | แนวทางประหยัดน้ำในหน่วยงานภาครัฐ | ทส | 28/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการประหยัดน้ำในหน่วยงานภาครัฐ ตามมติคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ที่ให้ขอความร่วมมือทุกภาคส่วนร่วมกันประหยัดน้ำ โดยให้หน่วยงานภาครัฐลดการใช้น้ำอย่างน้อยร้อยละ ๑๐ และรายงานผลทุกเดือน ตามที่กรมทรัพยากรน้ำในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
629 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาโครงการอ่างเก็บน้ำคลองหลวง จังหวัดชลบุรี พร้อมทั้งขออนุมัติในหลักการให้จ่ายค่าชดเชยพิเศษแทนการจัดสรรแปลงอพยพให้ราษฎรที่ถูกเขตชลประทาน | กษ | 21/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการการเพิ่มกรอบวงเงินของโครงการอ่างเก็บน้ำคลองหลวง จังหวัดชลบุรี จากเดิมวงเงิน ๖,๗๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๙,๓๔๑,๓๖๔,๗๐๐ บาท ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการจากเดิม ๗ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๙) เป็น ๑๐ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๖๒) ๒. อนุมัติการเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันรายการก่อสร้างเขื่อนหัวงานและอาคารประกอบพร้อมส่วนประกอบอื่น จากวงเงินเดิม ๘๕๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๘๙๖,๖๐๓,๖๐๐ บาท และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๖ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๙ ๓. อนุมัติในหลักการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานสามารถจ่ายค่าชดเชยพิเศษแทนการจัดสรรแปลงอพยพให้แก่ราษฎรที่ถูกเขตชลประทาน และอนุมัติการแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณากำหนดราคาจ่ายค่าชดเชยพิเศษแทนการจัดสรรแปลงอพยพ เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปด้วยความถูกต้องและโปร่งใส โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เป็นประธานกรรมการ หัวหน้าฝ่ายจัดหาที่ดิน ๙ สำนักกฎหมายและที่ดิน กรมชลประทาน เป็นกรรมการและเลขานุการ ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับวงเงินค่าที่ดินซึ่งสูงกว่าวงเงินค่าก่อสร้าง กรมชลประทานจะต้องคำนึงถึงความคุ้มค่าและผลประโยชน์ที่ได้รับ ส่วนการจัดการค่าชดเชยพิเศษแทนการจัดสรรแปลงอพยพ ควรดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่เคยอนุมัติ โดยปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี หนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง และมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วน รวมถึงการจ่ายค่าที่ดิน ค่าทดแทน ค่ารื้อย้าย ค่าอุทธรณ์ราคาค่าที่ดิน และค่าชดเชยพิเศษแทนการจัดสรรแปลงอพยพ ให้ถือตามมติคณะกรรมการกำหนดราคาค่าทดแทนทรัพย์สินเพื่อการชลประทาน คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เงินค่าทดแทนอสังหาริมทรัพย์ และคณะกรรมการพิจารณากำหนดราคาค่าชดเชยพิเศษแทนการจัดสรรแปลงอพยพ เป็นที่สิ้นสุด และความเห็นของกระทรวงการคลังและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นควรให้เพิ่มผู้แทนกรมธนารักษ์เป็นกรรมการในคณะกรรมการพิจารณากำหนดราคาค่าจ่ายชดเชยพิเศษแทนการจัดสรรแปลงอพยพ และเมื่อมีการจ่ายเงินชดเชยดังกล่าวแล้ว ให้ติดประกาศในที่สาธารณะ ได้แก่ ที่ว่าการอำเภอ และที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบล เป็นต้น เพื่อให้มีการตรวจสอบความถูกต้องจากภาคประชาชน รวมทั้งการดำเนินการทุกขั้นตอนการปฏิบัติจะต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
630 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2558 (ครั้งที่ 2) | พน | 30/06/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๕๘ (ครั้งที่ ๒) เมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๘ จำนวน ๖ เรื่อง ได้แก่ ๑.๑ การเลื่อนกำหนดออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ด้วยกลไกการแข่งขันด้านราคา ๑.๒ การสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อความมั่นคงด้านพลังงาน ๑.๓ แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๗๙ (PDP 2015) ๑.๔ กรอบแนวทางการบริหารจัดการแหล่งก๊าซธรรมชาติที่สัมปทานจะสิ้นสุดอายุในปี ๒๕๖๕-๒๕๖๖ ๑.๕ บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) ขอขยายกำหนดเวลาจำหน่ายหุ้นให้กับประชาชน ๑.๖ แผนระบบรับส่งและโครงสร้างพื้นฐานก๊าซธรรมชาติเพื่อความมั่นคง ๒. ให้กระทรวงพลังงานและคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับประเด็นการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อความมั่นคงด้านพลังงาน เห็นควรสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้เฉพาะในกิจการทหารในอัตราเดิมไปก่อน และให้หน่วยงานผู้รับผิดชอบในการศึกษาและจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการระบบขนส่งปิโตรเลียมและน้ำมันเชื้อเพลิงทางท่อจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ รวมทั้งเห็นควรเร่งประชาสัมพันธ์และทำความเข้าใจกับทุกภาคส่วนเกี่ยวกับทิศทางการพัฒนาด้านพลังงานของประเทศไทย และให้ประสานกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานอย่างใกล้ชิดเพื่อร่วมกันเตรียมความพร้อมในด้านกฎระเบียบโครงสร้างพื้นฐาน ตลอดจนกลไกการบริหารจัดการที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถเปิดรับซื้อพลังงานไฟฟ้าจากภาคเอกชนได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงพลังงานรับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับข้อจำกัดทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการกำหนดแนวทางการบริหารจัดการแหล่งก๊าซธรรมชาติที่สัมปทานจะสิ้นสุดอายุในปี ๒๕๖๕-๒๕๖๖ ให้มีความชัดเจน ไปประกอบการพิจารณากำหนดแนวทางการบริหารจัดการแหล่งก๊าซธรรมชาติที่สัมปทานจะสิ้นสุดอายุในปี ๒๕๖๕-๒๕๖๖ ด้วย |
||||||||||||||||||||||||
631 | ท่าทีของราชอาณาจักรไทยในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยสามัญ ครั้งที่ 39 (39th Session of the World Heritage Committee) ระหว่างวันที่ 28 มิถุนายน - 8 กรกฎาคม 2558 ณ กรุงบอนน์ สหพันธ์สาธารณรัฐ เยอรมนี | ทส | 23/06/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกต่อการกำหนดท่าทีของราชอาณาจักรไทยในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยสามัญ ครั้งที่ ๓๙ ใน ๓ ประเด็น ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นด้วยกับร่างข้อมติคณะกรรมการมรดกโลก ทั้ง ๓ วาระ ๑.๑.๑ วาระที่ 39COM 7B.71 รายงานสถานภาพการอนุรักษ์นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา (State of conservation of Historic City of Ayutthaya) ๑.๑.๒ วาระที่ 39COM 7B.17 รายงานสถานภาพการอนุรักษ์พื้นที่กลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ (State of conservation of Dong Phayayen-Khaoyai Forest Complex) ๑.๑.๓ วาระที่ 39COM 8B.5 การขึ้นทะเบียนแหล่งมรดกโลกพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน (Nominations of Kaeng Krachan Forest Complex to the World Heritage List) ๑.๒ เห็นชอบกับร่างแผนขับเคลื่อน (Road Map) พื้นที่กลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ และพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน และหากคณะกรรมการมรดกโลกและ/หรือองค์กรที่ปรึกษา มีข้อสงสัยและขอให้ชี้แจงเพิ่มเติม ให้คณะผู้แทนไทยยึดแนวทางตามที่ระบุไว้ในแผนขับเคลื่อนเป็นกรอบในการชี้แจง ๑.๓ กรณีมีประเด็นอื่นที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ให้อยู่ในดุลยพินิจของหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการพิจารณากำหนดท่าทีในประเด็นนั้น ๆ ทั้งนี้ ให้คณะผู้แทนไทยพิจารณาร่วมกันระหว่างการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยสามัญ ครั้งที่ ๓๙ โดยคำนึงถึงหลักการของอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และข้อมูลด้านเทคนิคและวิชาการจากองค์กรที่ปรึกษา ทั้งนี้ ในการพิจารณากำหนดท่าทีประเด็นอื่นที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทยใช้ดุลยพินิจได้เฉพาะกรณีประเด็นทางเทคนิคเท่านั้น หากเป็นกรณีประเด็นเชิงนโยบายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลอนุรักษ์พื้นที่นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา พื้นที่กลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ และพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน โดยเฉพาะพื้นที่กลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ และพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน ซึ่งมีการบุกรุกพื้นที่ โดยกำชับให้เจ้าหน้าที่ในระดับปฏิบัติให้ดำเนินการตามแผนขับเคลื่อน (Road Map) ของทั้ง ๒ พื้นที่อย่างเคร่งครัด เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
632 | รายงานสรุปผลดำเนินงานการกำกับดูแลการจ่ายเงินช่วยเหลือชาวไร่อ้อยในฤดูการผลิตปี 2556/2557 | อก | 02/06/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการจ่ายเงินช่วยเหลือชาวไร่อ้อยในฤดูการผลิตปี ๒๕๕๖/๒๕๕๗ ของคณะกรรมการกำกับการจ่ายเงินช่วยเหลือชาวไร่อ้อยในฤดูการผลิตปี ๒๕๕๖/๒๕๕๗ ประจำเดือนเมษายน ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการจ่ายเงินเพิ่มราคาอ้อยขั้นต้นฤดูการผลิตปี ๒๕๕๖/๒๕๕๗ ณ วันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๘ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โอนเงินเพิ่มราคาอ้อยขั้นต้นฤดูการผลิตปี ๒๕๕๖/๒๕๕๗ เข้าบัญชีชาวไร่อ้อยแล้วรวม ๑๖ งวด คิดเป็นปริมาณอ้อย ๑๐๓,๒๙๘,๗๒๔.๐๕๐ ตัน จำนวนเงินทั้งสิ้น ๑๖,๕๒๗,๗๙๕,๘๔๘ บาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๙๙.๖๕ ๒. ชาวไร่อ้อยส่วนที่เหลือที่ยังไม่ได้รับเงินช่วยเหลือค่าอ้อยฤดูการผลิตปี ๒๕๕๖/๒๕๕๗ คิดเป็นปริมาณอ้อย จำนวน ๓๖๗,๐๒๖.๔๑๐ ตัน จำนวนเงิน ๕๘,๗๒๔,๒๒๕.๖๐ บาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๐.๓๕ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการบริหาร (กบ.) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๘ โดยชาวไร่อ้อย จำนวน ๑,๗๑๓ ราย ที่มีหลักฐานการส่งอ้อยเข้าโรงงานน้ำตาลในฤดูการผลิตปี ๒๕๕๖/๒๕๕๗ และได้จดทะเบียนเป็นชาวไร่อ้อยถูกต้องเรียบร้อยแล้วเมื่อเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ ให้สำนักงานกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายเร่งรัดจ่ายเงินเพิ่มราคาอ้อยฤดูการผลิตปี ๒๕๕๖/๒๕๕๗ ในอัตราตันละ ๑๖๐ บาท ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ส่วนชาวไร่อ้อยที่ยังไม่ได้จดทะเบียนเป็นชาวไร่อ้อย จำนวน ๑๐๙ ราย ให้สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายดำเนินการให้มีการจดทะเบียนชาวไร่อ้อยให้ถูกต้องตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนดเพื่อจะได้มีสิทธิในการขอรับเงินช่วยเหลือ สำหรับกรอบระยะเวลาการจ่ายเงินให้เป็นไปตามที่สำนักงานกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายกำหนด ภายในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๘ ๓. การดำเนินงานตามมติที่ประชุมคณะกรรมการกำกับดูแลการจ่ายเงินช่วยเหลือชาวไร่อ้อยฤดูการผลิตปี ๒๕๕๖/๒๕๕๗ และมติ กบ. ในคราวประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๘ ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ วันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๘ ธ.ก.ส. ได้โอนเงินเพิ่มราคาอ้อยขั้นต้นฤดูการผลิตปี ๒๕๕๖/๒๕๕๗ เข้าบัญชีชาวไร่อ้อย รวม ๒๐ งวด คิดเป็นปริมาณอ้อย ๑๐๓,๕๓๒,๖๖๕.๙๕๐ ตัน จำนวนเงินทั้งสิ้น ๑๖,๕๖๕,๒๒๖,๕๕๒ บาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๙๙.๘๗ สำหรับชาวไร่อ้อยที่ยังไม่ได้รับเงินช่วยเหลือ สำนักงานกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายได้จัดทำหนังสือแจ้งให้มาขอรับสิทธิการช่วยเหลือเป็นรายบุคคล โดยมีชาวไร่อ้อยแจ้งความประสงค์ไม่ขอรับสิทธิการช่วยเหลือ จำนวน ๖๑ ราย คิดเป็นปริมาณอ้อย ๓,๘๔๕.๓๙๐ ตัน จำนวนเงิน ๖๑๕,๒๖๒.๔๐ บาท ส่วนชาวไร่อ้อยที่ยังไม่ได้มีสิทธิรับเงินช่วยเหลือ จำนวน ๔๘๙ ราย คิดเป็นปริมาณอ้อย ๑๒๙,๒๓๙.๑๒๐ ตัน จำนวนเงิน ๒๐,๖๗๘,๒๕๙.๒๐ บาท อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลของโรงงานน้ำตาลและคณะทำงานควบคุมการผลิตประจำโรงงาน โดยสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายจะเปิดให้ชาวไร่อ้อยมาจดทะเบียนชาวไร่อ้อยให้ถูกต้องตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด เพื่อขอรับสิทธิการช่วยเหลือภายในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๘
|
||||||||||||||||||||||||
633 | การให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวไร่อ้อยในฤดูการผลิต ปี 2557/2558 | อก | 02/06/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการให้ความช่วยเหลือเพิ่มค่าอ้อยในอัตราตันละ ๑๖๐ บาท ตามมติคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย เพื่อให้ชาวไร่อ้อยได้รับค่าอ้อยในระดับที่ใกล้เคียงกับต้นทุนการผลิตและมีเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการปลูกอ้อยในฤดูการผลิตถัดไป รวมทั้งสามารถลดภาระหนี้สินและสร้างความมั่นคงในอาชีพให้แก่เกษตรกรชาวไร่อ้อยโดยรวมต่อไป ๑.๒ อนุมัติให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายกู้เงิน (Straight loan) จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือธนาคารพาณิชย์อื่น ตามนัยมาตรา ๒๗ (๖) แห่งพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ ในอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนเพื่อนำมาช่วยเหลือเพิ่มค่าอ้อยในฤดูการผลิตปี ๒๕๕๗/๒๕๕๘ ในอัตราตันอ้อยละ ๑๖๐ บาท โดยให้จ่ายตรงให้กับชาวไร่อ้อยในทุกตันอ้อยที่ส่งเข้าหีบในโรงงานน้ำตาลทราย ในฤดูการผลิตปี ๒๕๕๗/๒๕๕๘ จากประมาณการผลผลิตอ้อยเบื้องต้น ๑๐๒.๒๐ ล้านตัน จำเป็นต้องใช้วงเงินช่วยเหลือทั้งสิ้นประมาณ ๑๖,๓๕๒ ล้านบาท หรือจำนวนเงินที่จะต้องจ่ายตามปริมาณอ้อยเข้าหีบจริง ฤดูการผลิตปี ๒๕๕๗/๒๕๕๘ ตามแผนชำระหนี้ของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย ใช้ระยะเวลาประมาณ ๑๘ เดือน โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมควบคุม ตรวจสอบ กำกับดูแล การจ่ายเงินช่วยเหลือชาวไร่อ้อยให้ถึงมือชาวไร่อ้อยที่มีสิทธิ์ให้ถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์ มีการบันทึกบัญชีให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยเป็นลูกหนี้ของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย และให้มีข้อมูลลูกหนี้แยกเป็นรายให้ชัดเจน อีกทั้งจัดระบบควบคุม ตรวจสอบ และกำกับดูแล โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมดำเนินการด้วย ๑.๓ เห็นชอบให้คงการปรับขึ้นราคาน้ำตาลทรายภายในประเทศกิโลกรัมละ ๕ บาท เพื่อนำไปเป็นรายได้ของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย สำหรับนำไปชำระหนี้เฉพาะเงินกู้ที่นำมาช่วยเหลือเพิ่มค่าอ้อยในฤดูการผลิตปี ๒๕๕๗/๒๕๕๘ จนกว่าจะใช้หนี้หมดเท่านั้น ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ที่เห็นควรกำกับดูแลและตรวจสอบการจ่ายเงินช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยดังกล่าวให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนด และเร่งทบทวนโครงสร้างการคำนวณต้นทุนการผลิตอ้อยให้มีความเหมาะสม สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง และเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย รวมทั้งเร่งรัดการหาข้อยุติเรื่องการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบ ตลอดจนพิจารณาแนวทางการหารายได้อื่นนอกเหนือจากการจัดเก็บรายได้จากการปรับขึ้นราคาน้ำตาลทรายเพื่อบริโภคภายในประเทศ เพื่อให้การชำระหนี้เงินกู้เพื่อช่วยเหลือเพิ่มค่าอ้อยแล้วเสร็จโดยเร็ว และจัดทำแนวทางเตรียมความพร้อมในการรองรับปริมาณอ้อยที่จะเพิ่มขึ้นจากนโยบายของรัฐบาลที่ส่งเสริมการปรับเปลี่ยนการปลูกข้าวในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมเป็นการปลูกอ้อยโรงงาน โดยเร่งเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและคุณภาพความหวานให้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ เห็นควรส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการรวมกลุ่มของเกษตรกรรายย่อยเพื่อให้มีการจัดการพื้นที่ปลูกในระบบรวมแปลงใหญ่เพื่อให้เกิดการประหยัดต่อขนาดจากการใช้เครื่องจักรกลการเกษตรอย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า และเร่งรัดให้มีการนำผลการวิจัยและพัฒนาพื้นที่ประโยชน์เชิงพาณิชย์ในการสร้างมูลค่าเพิ่มของผลิตภัณฑ์และเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ให้มากยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมนำผลการศึกษาวิจัยแนวทางการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายของไทย ของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ตามโครงการวิจัย “การศึกษาเพื่อปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายของไทย” มาพิจารณาประกอบการดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบให้เหมาะสมและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับแนวทางการลดต้นทุนการผลิต การปรับปรุงพันธุ์อ้อย แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนเสนอราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้ายฤดูการผลิตปี ๒๕๕๗/๒๕๕๘ ต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
634 | ขออนุมัติจ่ายบำเหน็จดำรงชีพให้แก่อดีตผู้ปฏิบัติงานของการรถไฟแห่งประเทศไทยในอัตรา 15 เท่าของเงินสงเคราะห์รายเดือน แต่ไม่เกินรายละ 200,000 บาท | คค | 02/06/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทยจ่ายบำเหน็จดำรงชีพให้แก่อดีตผู้ปฏิบัติงานของการรถไฟแห่งประเทศไทยในอัตรา ๑๕ เท่าของเงินสงเคราะห์รายเดือน แต่ไม่เกินรายละ ๒๐๐,๐๐๐ บาท ตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ตามมาตรา ๑๓ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ ๒. เห็นชอบในหลักการแก้ไขข้อบังคับฉบับที่ ๔.๙ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อรองรับการจ่ายบำเหน็จดำรงชีพให้แก่อดีตผู้ปฏิบัติงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย ตามมาตรา ๔๖ แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ที่เห็นว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยยังอาจมีภาระในการจัดสรรบำเหน็จดำรงชีพให้แก่อดีตผู้ปฏิบัติงานในส่วนที่เหลือ ตลอดจนภาระบำเหน็จดำรงชีพของอดีตผู้ปฏิบัติงานในอนาคต จึงขอให้การรถไฟแห่งประเทศไทยวางแผนการจัดหาแหล่งเงินที่เหมาะสมโดยไม่กระทบต่อสถานะและสภาพคล่องทางการเงินขององค์กรและภาครัฐทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และให้การรถไฟแห่งประเทศไทยหาแนวทางในการเพิ่มรายได้ให้สอดคล้องกับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ควรเร่งดำเนินการลงทุนแผน/โครงการต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้ประสิทธิภาพการเดินรถและการให้บริการมีคุณภาพและมาตรฐานที่ดีขึ้น รวมทั้งเร่งรัดการจัดหาประโยชน์จากที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์กรภายใต้การดำเนินการที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
635 | ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก ครั้งที่ 1/2558 | นร11 | 02/06/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๘ รวมทั้งผลการพิจารณาและมติของ กพอ. และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้บรรลุเป้าหมาย ตามที่ กพอ. เสนอ สรุปได้ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการเร่งด่วนภายใต้แผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจร ( ฉบับปรับปรุง) ที่ได้รับอนุมัติให้ดำเนินโครงการโดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๓๖๘.๘๖ ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการก่อสร้างศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยรวมแบบครบวงจร จังหวัดระยอง (ระยะที่ ๒) ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง วงเงิน ๓๒๒.๓๐ ล้านบาท และโครงการศูนย์บัญชาการตอบโต้สถานการณ์ฉุกเฉินและกระจายข่าวของประเทศเมืองมาบตาพุด วงเงิน ๔๖.๕๖ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งในพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก จำนวน ๙๑ โครงการ วงเงินรวม ๑๐๙,๙๑๓.๘๑ ล้านบาท ประกอบด้วย การพัฒนาการขนส่งทางน้ำ ๑๘ โครงการ การพัฒนาระบบราง ๘ โครงการ และการพัฒนาโครงข่ายถนน ๖๕ โครงการ ๑.๓ เห็นชอบให้กรมทางหลวงดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข ๗ ช่วงพัทยา-มาบตาพุด โดยให้ใช้จ่ายจากเงินทุนค่าธรรมเนียมผ่านทาง วงเงิน ๑๔,๒๐๐ ล้านบาท ๑.๔ รับทราบ (๑) การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการติดตามการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่มาบตาพุดและบริเวณใกล้เคียง (๒) ความก้าวหน้าการดำเนินงานตามมติคณะกรรมการ กพอ. ครั้งที่ ๑/๒๕๕๗ (๓) สถานการณ์น้ำในพื้นที่จังหวัดระยองและชลบุรี (๔) ข้อร้องเรียนกรณีการถมทะเลของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (๕) รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานตามแผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจร (ฉบับคณะรัฐมนตรีอนุมัติเมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕) (๖) สถานการณ์ปัญหามลพิษในพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก และ (๗) ความก้าวหน้าการปรับปรุงผังเมืองรวมบริเวณอุตสาหกรรมหลักและชุมชนจังหวัดระยอง (ผังเมืองรวมมาบตาพุด) ๒. ให้ กพอ. รับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการระยะเร่งด่วนภายใต้แผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจรที่ได้รับอนุมัติให้ดำเนินโครงการจากหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๘ โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๓๖๘.๘๖ ล้านบาท ให้ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
636 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ของบริษัท ศิลาอุตสาหกรรม จำกัด ที่จังหวัดยะลา | อก | 26/05/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ และเพื่อการจัดตั้งสถานที่เพื่อการเก็บขังน้ำขุ่นข้นหรือมูลดินทรายนอกเขตเหมืองแร่ ของบริษัท ศิลาอุตสาหกรรม จำกัด ตามคำขอต่ออายุประทานบัตรที่ ๑/๒๕๕๓ และคำขอใบอนุญาตจัดตั้งสถานที่เพื่อการเก็บขังน้ำขุ่นข้นหรือมูลดินทรายนอกเขตเหมืองแร่ที่ ๒/๒๕๕๓ ที่จังหวัดยะลา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ (เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่องการกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคใต้ และข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำ) และวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ (เรื่อง การอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้) ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมจะต้องมีมาตรการที่เคร่งครัดในการติดตามให้ผู้ประกอบการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๘ (เรื่อง ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ ๑ บี ๑ เอเอ็ม และ ๑ บีเอ็ม เพื่อทำเหมืองแร่ ของบริษัท เคมีแมน จำกัด ที่จังหวัดสระบุรี) ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการประเมินภาพรวมการให้อนุญาตหรือต่ออายุสัมปทานทำเหมืองแร่ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ ทั้งหมด และมีการประเมินคุณค่าและศักยภาพของพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์และสภาพภูมิประเทศที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งผลักดันนโยบายเหมืองแร่สีเขียวให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว พร้อมทั้งร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดแนวทางส่งเสริมให้เกิดการปรับปรุงเทคโนโลยีการทำเหมืองหินอุตสาหกรรมของสถานประกอบอย่างต่อเนื่องด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
637 | การแต่งตั้งกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาต่าง ๆ เพิ่มเติม (จำนวน 10 คน 1. นายนิพนธ์ โพธิ์พัฒนชัย ฯลฯ) | นร01 | 26/05/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้แต่งตั้งกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาต่าง ๆ เพิ่มเติม จำนวน ๑๐ คน ตามมติคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๘ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๘) เป็นต้นไป ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. สาขาการแพทย์และสาธารณสุข ๑.๑ นายนิพนธ์ โพธิ์พัฒนชัย ๑.๒ ศาสตราจารย์กิตติคุณประมวล วีรุตมเสน ๒. สาขาต่างประเทศและความมั่นคงของประเทศ ๒.๑ นายถวิล เปลี่ยนศรี ๒.๒ นายรัฐกิจ มานะทัต ๓. สาขาเศรษกิจ และการคลังของประเทศ นายชานน กิตติ์จิรกุล ๔. สาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดิน และการบังคับใช้กฎหมาย ๔.๑ นายปกรณ์ นิลประพันธ์ ๔.๒ พลโท สุขสันต์ สิงหเดช ๔.๓ นายกิตติ อิทธิวิทย์ ๔.๔ นายธนะ ดวงรัตน์ ๔.๕ นายสุขจิตต์ ประยูรหงษ์
|
||||||||||||||||||||||||
638 | แต่งตั้งผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (นายเสริมสกุล คล้ายแก้ว) | มท | 26/05/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งนายเสริมสกุล คล้ายแก้ว ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ตามมติคณะกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ในการประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๘ โดยให้นายเสริมสกุล คล้ายแก้ว ลาออกจากการเป็นพนักงานก่อนลงนามในสัญญาจ้างด้วย ส่วนค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์อื่น รวมทั้งเงื่อนไขการจ้างและการประเมินผลการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไปแต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
|
||||||||||||||||||||||||
639 | การประเมินการปฏิบัติตามมาตรฐานสากลด้านการป้องกันปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายของ FATF ในปี พ.ศ. 2559 | ปง | 19/05/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบการเข้ารับการประเมินการปฏิบัติตามมาตรฐานสากลด้านการป้องกันปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย (Anti-Money Laundering and Combating the Financing of Terrorism : AML/CFT) ของ Financial Action Task Force (FATF) ในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ และเห็นชอบมาตรการรองรับการประเมินฯ ตามมติคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ตามที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรณีความผิดเกี่ยวกับภาษีอากรเป็นความผิดมูลฐาน มีมติมอบหมายให้กรมสรรพากรดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับข้อแนะนำของ FATF ๑.๒ กรณีการสำแดงเงินและตราสารผ่านแดน มีมติมอบหมายสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทยดำเนินการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบให้สอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และมาตรฐานสากลตามข้อแนะนำของ FATF ๑.๓ กรณีการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาและพิธีสารระหว่างประเทศเกี่ยวกับการก่อการร้าย มีมติมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการให้ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาและพิธีสารระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายในส่วนที่ประเทศไทยยังมิได้เป็นภาคี และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนการดำเนินมาตรการรองรับการประเมินดังกล่าว ๒. มอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ และธนาคารแห่งประเทศไทยดำเนินการตามมาตรการรองรับการประเมินฯ ตามที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเสนอ |
||||||||||||||||||||||||
640 | โครงการระบบดาวเทียมสำรวจเพื่อการพัฒนา (THEOS-2) | ทก | 19/05/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการดำเนินโครงการระบบดาวเทียมสำรวจเพื่อการพัฒนา (THEOS-2) เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องของการให้บริการภาพถ่ายและข้อมูลภูมิสารสนเทศต่าง ๆ แก่ผู้ใช้งาน โดยมีองค์ประกอบของโครงการฯ ๕ ส่วน ได้แก่ (๑) การจัดดาวเทียมสำรวจและการปรับปรุงระบบสถานีรับสัญญาณและผลิตภาพถ่ายจากดาวเทียมของประเทศ (๒) การพัฒนาระบบผลิตและบริการภูมิสารสนเทศจากภาพถ่ายดาวเทียม (๓) การพัฒนาระบบประยุกต์ใช้ประโยชน์ภูมิสารสนเทศจากภาพถ่ายดาวเทียมของหน่วยปฏิบัติตามภารกิจต่าง ๆ (๔) การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อเชื่อมโยงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและการใช้งานภูมิสารสนเทศ และ (๕) การพัฒนาขีดความสามารถของประเทศด้านเทคโนโลยีอุตสาหกรรมและบริการด้านอวกาศและภูมิสารสนเทศจากการสำรวจจากระยะไกล มีระยะเวลาดำเนินการ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๓) วงเงินโดยรวมประมาณ ๗,๘๐๐ ล้านบาท ๒. รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๘ ที่มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเจรจา เพื่อทำหน้าที่ศึกษาในรายละเอียดและดำเนินการเจรจากับประเทศที่คณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติให้ความเห็นชอบ ในประเด็นทางเทคนิคของเทคโนโลยีดาวเทียม การพัฒนาระบบประยุกต์ การถ่ายทอดเทคโนโลยีและการพัฒนาขีดความสามารถของประเทศ และให้คณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณากรอบและแนวทางการเจรจา วิธีการจัดหาดาวเทียม ระยะเวลา ประโยชน์ที่จะได้รับ รวมถึงหน่วยงานที่จะเป็นผู้รับผิดชอบการดำเนินโครงการระบบดาวเทียมสำรวจเพื่อการพัฒนา (THEOS-2) ทั้งนี้ ก่อนที่จะดำเนินการในขั้นตอนการลงทุนโครงการจะต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบอีกครั้งหนึ่ง ๓. ให้คณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยที่เห็นว่า ดาวเทียมเป็นระบบหนึ่งที่ประกอบไปด้วยระบบย่อยหลากหลายระบบและมีข้อจำกัดพิเศษที่แตกต่างจากระบบอื่น ๆ คือเมื่อส่งขึ้นสู่วงโคจรไปแล้วจะไม่สามารถนำกลับมาซ่อมแซมหรือแก้ไขใหม่ได้อีก (nonrepairable system) ดังนั้น ในการพัฒนาดาวเทียมระบบนั้นจะต้องเป็นระบบที่ robust และ zero-defect มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เมื่อระบบทุกระบบทำงานร่วมกัน นอกจากนี้ แนวทางการพัฒนาพื้นฐานความรู้ในการออกแบบและสร้างดาวเทียม ควรมีแผนการพัฒนาสร้างขนาดดาวเทียมโดยเริ่มจากขนาดเล็ก ตั้งแต่ระดับ 1kg 10kg จนถึง 100kg ส่งเข้าสู่วงโคจรจริงและต้องทำการออกแบบและพัฒนาสร้างด้วยตัวเองภายในประเทศ ๑๐๐% ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
.....