ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 36 จากทั้งหมด 252 หน้า แสดงรายการที่ 701 - 720 จากข้อมูลทั้งหมด 5031 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
701 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2557 (ครั้งที่ 1) และมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2557 (ครั้งที่ 146) | พน | 23/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบ ๑.๑ มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๗ (ครั้งที่ ๑) เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๗ เป็นเรื่องเพื่อทราบ รวม ๔ เรื่อง ได้แก่ (๑) แนวทางการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๗๘ (Power Development Plan : PDP 2015) (๒) การแยกกิจการระบบส่งก๊าซของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และการเปิดให้ใช้หรือเชื่อมต่อระบบส่งก๊าซธรรมชาติและสถานีแอลเอ็นจีแก่บุคคลที่สาม (Third Party Access Regime : TPA Regime) (๓) แนวทางการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในรูปแบบ Feed-in Tariff และ (๔) การเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยของบริษัท สตาร์ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) ๑.๒ มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๗ (ครั้งที่ ๑๔๖) เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๗ เป็นเรื่องพิจารณา ๑ เรื่อง ได้แก่ ร่างกฎกระทรวงกำหนดเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน รวม ๗ ฉบับ (๗ ผลิตภัณฑ์) และเรื่องเพื่อทราบ รวม ๒ เรื่อง ได้แก่ (๑) มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๗ (ครั้งที่ ๑) และ (๒) อัตรารับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff ๒. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง รวม ๗ ฉบับ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.๑ ร่างกฎกระทรวงกำหนดรถจักรยานยนต์ที่มีประสิทธิภาพสูง พ.ศ. .... ๒.๒ ร่างกฎกระทรวงกำหนดเครื่องยนต์ดีเซลขนาดเล็กระบายความร้อนด้วยน้ำที่มีประสิทธิภาพสูง พ.ศ. .... ๒.๓ ร่างกฎกระทรวงกำหนดเครื่องยนต์แก๊สโซลีนขนาดเล็กระบายความร้อนด้วยอากาศที่มีประสิทธิภาพสูง พ.ศ. .... ๒.๔ ร่างกฎกระทรวงกำหนดฉนวนใยแก้วเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. .... ๒.๕ ร่างกฎกระทรวงกำหนดเครื่องซักผ้าที่มีประสิทธิภาพสูง พ.ศ. .... ๒.๖ ร่างกฎกระทรวงกำหนดเครื่องสูบน้ำในครัวเรือนที่มีประสิทธิภาพสูง พ.ศ. .... ๒.๗ ร่างกฎกระทรวงกำหนดเครื่องอัดอากาศขนาดเล็กแบบลูกสูบที่มีประสิทธิภาพสูง พ.ศ. .... |
|||||||||||||||||||||||||||
702 | ขอความเห็นชอบให้ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขพ้นจากตำแหน่ง | สธ | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๗ ให้นายสมเกียรติ วัฒนศิริชัยกุล พ้นจากตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๗) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
703 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2557 เรื่อง การแก้ไขปัญหายางพาราตามมติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2557 (โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการยาง) | อก | 09/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ [เรื่อง การแก้ไขปัญหายางพาราตามมติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) เมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๗ (โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการยาง)] ในส่วนของข้อคิดเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับงบประมาณดำเนินการโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการยาง ซึ่งเป็นผลการหารือร่วมกับสำนักงบประมาณและธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โดยขอแก้ไขเป็นดังนี้ ๑.๑ ให้ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) และธนาคารพาณิชย์อื่น ๆ ที่กระทรวงอุตสาหกรรมเห็นสมควร เป็นผู้สนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการยาง ภายในกรอบวงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒ ให้ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ เป็นผู้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ ๓ ตามรายจ่ายที่เกิดขึ้นจริง โดยกำหนดให้มีการจ่ายชดเชยดอกเบี้ยเป็นรายเดือน ตามลักษณะการประกอบธุรกรรมของธนาคาร ภายในกรอบวงเงินไม่เกิน ๓๐๐ ล้านบาท โดยให้ใช้จากเงินทุนที่เป็นสภาพคล่องของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ทั้งนี้ กระบวนการจ่ายเงินชดเชยดอกเบี้ยในโครงการฯ จะจ่ายเป็นรายเดือนตามที่เกิดขึ้นจริง โดยผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการฯ ต้องเปิดบัญชีออมทรัพย์/กระแสรายวันกับสาขาธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ที่ประสงค์จะรับเงินชดเชยดอกเบี้ย และกระทรวงอุตสาหกรรมจะส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบปริมาณการเก็บสต็อกยางทุกวันสุดท้ายของเดือน เพื่อพิจารณาอนุมัติการชดเชยดอกเบี้ยในเดือนถัดไป ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมจะแจ้งข้อมูลรายละเอียดการจ่ายเงินชดเชยดอกเบี้ยของผู้ประกอบการให้ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ทราบ เพื่อธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จะโอนเงินให้แก่ผู้ประกอบการที่เปิดบัญชีไว้กับสาขาธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ต่อไป ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงการคลัง [ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)] รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติในการจ่ายเงินชดเชยดอกเบี้ยให้กับผู้ประกอบการให้ชัดเจน โดยเฉพาะเอกสารหลักฐานประกอบการจ่ายเงิน อาทิ ตั๋วสัญญากู้เงิน ใบเสร็จรับเงินค่าดอกเบี้ย และระยะเวลาที่ผู้ประกอบการยางสามารถยื่นคำขอเข้าร่วมโครงการฯ เป็นต้น รวมทั้งให้มีระบบการติดตามกำกับดูแลและตรวจสอบการดำเนินงานโครงการฯ ให้ถูกต้องตามรายจ่ายที่เกิดขึ้นจริง เกิดประโยชน์สูงสุดและเป็นธรรมต่อไป นอกจากนี้ควรทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการให้รับทราบถึงกระบวนการ ขั้นตอนและระยะเวลาในการเบิกจ่ายเงินชดเชยดอกเบี้ยคืนให้กับผู้ประกอบการ พร้อมทั้งวางระบบและกำกับดูแลให้การเบิกจ่ายเงินคืนเงินให้กับผู้ประกอบการภาคเอกชนที่เข้าร่วมโครงการฯ เป็นไปอย่างรวดเร็ว ตามกำหนดระยะเวลาที่กำหนดไว้ ไปดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
704 | การปรับค่าตอบแทนพนักงานราชการ | นร10 | 09/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการบริหารพนักงานราชการ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๗ ตามที่คณะกรรมการบริหารพนักงานราชการเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ การปรับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราว ให้พนักงานราชการที่ได้รับการจ้างวุฒิการศึกษาระดับต่ำกว่าปริญญาตรี ที่มีค่าตอบแทนไม่ถึง ๑๓,๒๘๕ บาท ให้ได้รับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวเดือนละ ๒,๐๐๐ บาท แต่เมื่อรวมกับค่าตอบแทนแล้ว ต้องไม่เกินเดือนละ ๑๓,๒๘๕ บาท และกรณีที่รวมกันแล้วมีค่าตอบแทนไม่ถึง ๑๐,๐๐๐ บาท ให้ได้รับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวเพิ่มขึ้นจากค่าตอบแทนอีกจนถึงเดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาท โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ ๑.๒ ให้พนักงานราชการกลุ่มงานบริการ กลุ่มงานเทคนิคทั่วไป กลุ่มงานบริหารทั่วไป และกลุ่มงานวิชาชีพเฉพาะ ได้รับค่าตอบแทนเพิ่มร้อยละ ๔ โดยให้มีผลใช้บังคับ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๑.๓ ปรับเพดานบัญชีค่าตอบแทนขั้นสูง กลุ่มงานบริการ กลุ่มงานเทคนิคทั่วไป กลุ่มงานบริหารทั่วไป และกลุ่มงานวิชาชีพเฉพาะ ร้อยละ ๔ และให้มีผลใช้บังคับวันเดียวกับการปรับเพิ่มเพดานเงินเดือนขั้นสูงของข้าราชการพลเรือนสามัญ ๒. สำหรับงบประมาณค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ จากงบบุคลากร เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดังกล่าวก่อน หากไม่เพียงพอก็ให้ขอใช้จ่ายจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||
705 | แนวทางการบริหารจัดการตลาดมันสำปะหลังปี 2557/58 | พณ | 02/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติแนวทางการบริหารจัดการตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๗/๒๕๕๘ ตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลัง ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ภายในกรอบวงเงิน ๒,๗๖๐ ล้านบาท ประกอบด้วย มาตรการระยะสั้น (๔-๖ เดือน) โดยการชดเชยดอกเบี้ยเพื่อชะลอการเก็บเกี่ยว วงเงินชดเชย ๓๗๕ ล้านบาท และการเพิ่มสภาพคล่องทางการค้า วงเงินชดเชย ๑๐๐ ล้านบาท และมาตรการระยะปานกลาง (๒ ปี หรือ ๒๔ เดือน) โดยการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกในระบบน้ำหยด วงเงินชดเชย ๑,๓๘๐ ล้านบาท และการยกระดับมาตรฐานการแปรรูปมันสำปะหลัง วงเงินชดเชย ๙๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของภาครัฐ วงเงิน ๕ ล้านบาท ให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าภายใน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ไปดำเนินการ สำหรับค่าใช้จ่ายชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ตามมาตรการระยะสั้นและระยะปานกลาง จำนวน ๒,๗๕๕ ล้านบาท ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นผู้ดำเนินการปล่อยสินเชื่อ และเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามรายจ่ายจริงที่เกิดขึ้นต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการวางแผนเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ และสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในการส่งเสริมและพัฒนาสินค้ามันสำปะหลังตลอดห่วงโซ่อุปทาน เพื่อปรับวิธีการปลูกและเก็บเกี่ยวมันสำปะหลังได้อย่างเหมาะสม โดยศึกษารูปแบบการดำเนินงานที่ประสบผลสำเร็จ เช่น สีคิ้วโมเดล เป็นต้น มาเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนหรือขยายผลให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ในการดำเนินการให้สินเชื่อแก่เกษตรกรและผู้ประกอบการตามมาตรการระยะปานกลางของแนวทางการบริหารจัดการตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๗/๒๕๕๘ ให้กระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. ให้ความสำคัญในการบริหารจัดการความเสี่ยงที่เกิดขึ้นด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
706 | ขอความเห็นชอบให้ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรมพ้นจากตำแหน่ง | สธ | 02/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการองค์การเภสัชกรรม ครั้งที่ ๑ ปีงบประมาณ ๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๗ ที่ให้นายสุวัช เซียศิริวัฒนา พ้นจากตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม ตามนัยมาตรา ๒๕ แห่งพระราชบัญญัติองค์การเภสัชกรรม พ.ศ. ๒๕๐๙ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
707 | ขออนุมัติปรับเพิ่มราคาน้ำนมดิบเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรโคนม | กษ | 25/11/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม ในการประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ปรับเพิ่มราคารับซื้อน้ำนมโค เพิ่มขึ้นกิโลกรัมละ ๑.๐๐ บาท (จากเดิมราคา ๑๘.๐๐ บาท/กิโลกรัม เพิ่มขึ้นเป็น ๑๙.๐๐ บาท/กิโลกรัม) ทั้งนี้ ให้มีผลนับตั้งแต่วันที่กระทรวงพาณิชย์อนุญาตให้ผู้ประกอบการนมพาณิชย์ปรับราคาจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมในตลาดนมพาณิชย์ได้ ๑.๒ ปรับราคากลางนมโรงเรียน เพิ่มขึ้นจากราคากลางเดิม ตามมติคณะรัฐมนตรีครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๔ เพิ่มขึ้นถุงหรือกล่องละ ๐.๒๑ บาท ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๕๗ เป็นต้นไป โดยนมพาสเจอร์ไรส์ จากเดิมราคา ๖.๓๗ บาท/ถุง เป็นราคา ๖.๕๘ บาท/ถุง นม ยู.เอช.ที ชนิดกล่อง จากเดิมราคา ๗.๖๑ บาท/กล่อง เป็นราคา ๗.๘๒ บาท/กล่อง และชนิดซอง จากเดิมราคา ๗.๕๑ บาท/ซอง เป็นราคา ๗.๗๒ บาท/ซอง ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตาม ตรวจสอบและควบคุมคุณภาพของนมโรงเรียนอย่างสม่ำเสมอ และเห็นควรให้พัฒนาศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบทุกแห่งผ่านการรับรองมาตรฐาน GMP รวมทั้งพิจารณาแนวทางในการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตน้ำนมโคให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมทั้งในด้านคุณภาพและการลดต้นทุนการผลิต เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในอุตสาหกรรมโคนมกับต่างประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ศึกษาแนวทางการดำเนินการของสหกรณ์โคนมของประเทศต่าง ๆ เช่น ประเทศนิวซีแลนด์ เพื่อหาแนวทางในการส่งเสริมความร่วมมือด้านเทคโนโลยีการเกษตรและการจัดการเกษตร โดยเฉพาะด้านการบริหารสหกรณ์การเกษตรและการปศุสัตว์ ตลอดจนความร่วมมือและสนับสนุนงบประมาณด้านการวิจัยและพัฒนาเพื่อประโยชน์สำหรับการดำเนินการอุตสาหกรรมโคนมของประเทศไทยต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
708 | การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารแผนงาน/โครงการของส่วนราชการ (มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2556 และครั้งที่ 1/2557) | ทส | 25/11/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๖ ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้มีมติในเรื่องเชิงนโยบายที่สำคัญและได้ข้อยุติแล้ว จำนวน ๑๒ เรื่อง และการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๗ คณะกรรมการฯ ได้มีมติในเรื่องเชิงนโยบายที่สำคัญและได้ข้อยุติแล้ว จำนวน ๑๘ เรื่อง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้ทุกส่วนราชการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ในความรับผิดชอบที่ได้ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องและได้รับความเห็นชอบ/อนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ดำเนินการแล้ว เพื่อให้ประชาชนและผู้สนใจได้ทราบการดำเนินงานของรัฐบาลอย่างถูกต้องโดยทั่วกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและโครงการอื่น ๆ ที่อาจมีผลกระทบด้านต่าง ๆ และอยู่ในความสนใจของประชาชน รวมทั้งให้มีการรายงานความคืบหน้าของการดำเนินโครงการต่าง ๆ ดังกล่าวเป็นระยะ ๆ เพื่อสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องแก่ประชาชนด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
709 | การเสนอเรื่องจากมติการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ | พม | 25/11/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติในหลักการตามมติคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๗ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติในหลักการให้เพิ่มอัตราเบี้ยความพิการให้แก่คนพิการ จากเดิมรายละ ๕๐๐ บาทต่อเดือน เป็นรายละ ๘๐๐ บาทต่อเดือน ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นต้นไป โดยมีผลครอบคลุมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา เพื่อใช้เป็นแนวทางในการเบิกจ่ายเบี้ยความพิการให้เป็นอัตราเดียวกันทั้งประเทศ สำหรับภาระงบประมาณเพื่อการนี้ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๓,๓๕๓,๖๒๘,๘๐๐ บาท โดยภาระงบประมาณส่วนที่เพิ่มขึ้น จำนวน ๓,๓๓๘,๔๐๗,๒๐๐ บาท ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณในการใช้เงินเหลือจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ และพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ภายใต้มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ มาดำเนินการเป็นลำดับแรกก่อน หากไม่เพียงพอ ก็ให้ขอรับการสนับสนุนงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๑.๒ อนุมัติการถอนถ้อยแถลงตีความข้อ ๑๘ ของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ และให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๑.๓ มอบให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาดำเนินการในการจัดหารถยนต์โดยสารสาธารณะที่เหมาะสมและสามารถอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้บริการทุกกลุ่ม เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของคนในสังคม โดยเฉพาะผู้สูงอายุ คนพิการหรือทุพพลภาพ เพื่อให้เป็นไปตามหลักมาตรฐานสากล ทั้งนี้ ต้องคำนึงถึงข้อจำกัดทางด้านสภาพของถนนด้วย ๒. สำหรับการขออนุมัติในหลักการอัตรากำลังข้าราชการประจำศูนย์บริการคนพิการระดับจังหวัดทั่วประเทศ ศูนย์ละ ๒ อัตรา รวมจำนวน ๑๕๔ อัตรา นั้น ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับไปพิจารณาเหตุผลความจำเป็นของการกำหนดอัตรากำลังข้าราชการเพิ่มใหม่ในกรณีดังกล่าว โดยอาจพิจารณาจ้างบุคลากรประเภทอื่นทดแทน และหากมีความจำเป็นอันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๖ [เรื่อง มาตรการบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑)] โดยให้ อ.ก.พ. กระทรวง พิจารณาเกลี่ยอัตรากำลังให้สอดคล้องกับความจำเป็นตามภารกิจของแต่ละส่วนราชการ หากไม่เพียงพอ ให้ดำเนินการจัดทำรายละเอียดเกี่ยวกับภารกิจ อัตรากำลังทุกประเภทและค่าใช้จ่ายด้านบุคคล พร้อมทั้งเหตุผลความจำเป็น เสนอคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐพิจารณาตามขั้นตอนก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
710 | การแก้ไขปัญหายางพาราตามมติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2557 (โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการยาง) | อก | 18/11/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอเพิ่มเติมมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ [เรื่อง การแก้ไขปัญหายางพารา ตามมติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) เมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๗] จากเดิม งบประมาณในการดำเนิน ๔ โครงการ ประกอบด้วย โครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง โครงการชดเชยรายได้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง โครงการสนับสนุนสินเชื่อเกษตรกรชาวสวนยางรายย่อยเพื่อประกอบอาชีพเสริม และโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการยาง ในส่วนของค่าใช้จ่ายชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันการเงิน เห็นสมควรให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรและธนาคารออมสิน ขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามรายจ่ายจริงที่จะเกิดขึ้น ทั้งนี้ เห็นสมควรชดเชยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยแก่เกษตรกร สถาบันเกษตรกร และภาคเอกชนที่ขอสินเชื่อในอัตราร้อยละ ๓ ซึ่งเป็นอัตราเดียวกับโครงการภายใต้การช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางตามแนวทางพัฒนายางพาราทั้งระบบที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๗ โดยไม่รวมรายจ่ายชำระต้นเงินกู้ โดยเพิ่มสาระสำคัญสำหรับโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการยาง ดังนี้ ๑.๑ ให้ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เป็นหน่วยจัดสรรเงินชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ ๓ ต่อปี ให้กับธนาคารพาณิชย์ที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อชดเชยให้กับผู้ประกอบการยางและเป็นผู้ดำเนินการตั้งค่าใช้จ่ายในการชดเชยดอกเบี้ย จำนวน ๓๐๐ ล้านบาท จากสำนักงบประมาณ ๑.๒ ให้สำนักงบประมาณตั้งงบประมาณค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการ จำนวน ๑ ล้านบาท ให้แก่กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังได้อนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารกำกับการดำเนินงานโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการ ให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่กำหนดไว้ ๒. สำหรับงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๒.๑ ให้ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐเป็นผู้รับผิดชอบการให้สินเชื่อโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการยาง ซึ่งเป็นโครงการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ กรอบวงเงินสินเชื่อ ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท เงินกู้ระยะสั้นไม่เกิน ๑ ปี และเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ ๓ ตามรายจ่ายที่เกิดขึ้นจริง ภายในกรอบวงเงินงบประมาณไม่เกิน ๓๐๐ ล้านบาท โดยให้ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ใช้จากเงินทุนที่เป็นสภาพคล่องของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อสนับสนุนการให้สินเชื่อโครงการตามนโยบายของรัฐบาลแทนการหารายได้ตามปกติ ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าว ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน และขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ รวมทั้งเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๒.๒ ให้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ขอรับจัดสรรงบประมาณค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการ จำนวน ๑ ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังได้อนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว |
|||||||||||||||||||||||||||
711 | การระงับการชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่บริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) | กค | 12/11/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการระงับการชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาให้ผู้บริหารแผน (กระทรวงการคลัง) คืนเงินส่วนที่เป็นค่าจ้างของบริษัท ซินเนอจี โซลูชั่น จำกัด พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จำนวนทั้งสิ้น ๒๓๖,๑๘๒,๒๕๓.๐๖ บาท ให้แก่บริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) ปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) เนื่องจากบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) เห็นว่า ผู้บริหารแผน (กระทรวงการคลัง) ได้ปฏิบัติงานในหน้าที่ด้วยความเรียบร้อย ได้ผลสำเร็จเป็นอย่างดี ทำให้บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) สามารถฟื้นฟูกิจการเป็นผลสำเร็จและได้ประกอบกิจการได้เป็นปกติ ทำให้ผู้ถือหุ้นได้รับแบ่งปันกำไร เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ และพนักงานยังสามารถทำงานอยู่ได้โดยไม่ต้องตกงาน ทั้งกิจการของบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) ก็กำลังเจริญก้าวหน้าขึ้นตามลำดับ นอกจากนี้ แผนฟื้นฟูกิจการยังมีข้อจำกัดความรับผิดชอบซึ่งทำให้ผู้บริหารแผน (กระทรวงการคลัง) ไม่ต้องรับผิดชอบในกรณีดังกล่าวอีก บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) โดยมติคณะกรรมการบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) จึงไม่ประสงค์จะบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวต่อกระทรวงการคลัง ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงได้ระงับการจ่ายเงินและได้มีหนังสือตอบขอบคุณไปยังบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) แล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้สำนักงบประมาณดำเนินการในขั้นตอนที่เกี่ยวกับงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๒๓๖,๑๘๒,๒๕๓.๐๖ บาท ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
712 | การแก้ไขปัญหายางพารา ตามมติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2557 | กษ | 21/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแนวทางการบริหารจัดการยางขององค์การสวนยาง และเห็นชอบการดำเนินงานตามโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง โครงการชดเชยรายได้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง โครงการสนับสนุนสินเชื่อเกษตรกรชาวสวนยางรายย่อยเพื่อประกอบอาชีพเสริม และโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการยาง ตามมติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยกรอบวงเงินและการบริหารงบประมาณในการดำเนิน ๔ โครงการดังกล่าว ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ เกี่ยวกับการหาตลาดผลิตภัณฑ์ยางให้กับผู้ประกอบการ การส่งเสริมให้มีการใช้ยางพาราเพื่อผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ยางในประเทศเพิ่มขึ้น การระบายสต็อกยางและรับซื้อยางเพื่อทดแทนปริมาณสต็อกที่ระบายออกสู่ตลาดในแต่ละครั้งควรพิจารณาตามความเหมาะสมของเงื่อนไขของราคาและภาวะตลาดในขณะนั้น การกำหนดมาตรการเพื่อบรรเทาปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำเป็นการเฉพาะหน้าอย่างเป็นระบบ โดยพิจารณาอัตราการให้ความช่วยเหลือที่ชัดเจนและเป็นธรรมแก่เกษตรกรทุกกลุ่ม การสนับสนุนองค์ความรู้และแนวทางพัฒนาอาชีพทางเลือกให้เหมาะสมกับเกษตรกรในแต่ละพื้นที่โดยการให้สินเชื่อแก่เกษตรกรชาวสวนยางรายย่อยเพื่อประกอบอาชีพเสริมต้องมีความรัดกุม เหมาะสมตามศักยภาพของเกษตรกรอย่างแท้จริง และการจัดทำฐานข้อมูลเกษตรกร การจ่ายเงิน จะต้องมีการจัดทำทะเบียนอย่างถูกต้อง ไม่รั่วไหล รวมทั้งมีการควบคุม ให้โปร่งใสและตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ในการระบายยางในสต็อกของโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์พิจารณากำหนดราคาให้เหมาะสม โดยใช้ระดับคุณภาพยางเป็นเกณฑ์ ๓. ในส่วนของโครงการชดเชยรายได้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง ให้จ่ายเงินชดเชยรายได้ให้แก่เกษตรกรตามพื้นที่สวนยางเปิดกรีดที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์โดยช่วยเหลือแก่ครัวเรือนที่มีพื้นที่สวนยางเปิดกรีดไม่เกิน ๑๕ ไร่ อัตราไร่ละ ๑,๐๐๐ บาท และกรณีครัวเรือนที่มีพื้นที่สวนยางเปิดกรีดเกินกว่า ๑๕ ไร่ขึ้นไป ให้จ่ายไม่เกิน ๑๕ ไร่ ในอัตรา ๑,๐๐๐ บาทต่อไร่ หรือไม่เกินครัวเรือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท (เช่น กรณีครัวเรือนที่มีพื้นที่สวนยางเปิดกรีด ๒๕ ไร่ จะได้รับการจ่ายเงินชดเชยรายได้ ๑๕,๐๐๐ บาท) โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงการคลัง (ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) กำหนดแนวทางการดำเนินการจ่ายเงินที่ถูกต้อง โปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้ โดยเฉพาะในเรื่องการตรวจสอบผู้มีสิทธิรับเงินชดเชยรายได้ โดยให้ประสานงานกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในการตรวจสอบความถูกต้องว่าเป็นพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์หรือสิทธิทำกินในพื้นที่นั้น ซึ่งรวมถึงประเภทเอกสารสิทธิ์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งเป็นที่ยอมรับของกรมป่าไม้ รวม ๔๖ รายการ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอแนวทางการจ่ายเงินดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วนก่อนดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
713 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2557 | ทส | 01/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยคณะกรรมการฯ มีมติเห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านอาคาร การจัดสรรที่ดิน และบริการชุมชน ในการประชุมครั้งที่ ๕๕/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๗ ซึ่งให้ความเห็นต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการก่อสร้างอาคารเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ของโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า โดยให้โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าดำเนินการ ดังนี้
๑. ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการก่อสร้างอาคารเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ของโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ซึ่งผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านอาคาร การจัดสรรที่ดิน และบริการชุมชน ในการประชุมครั้งที่ ๕๕/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๗ ๒. รับผิดชอบในการขอจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ ๓. ให้นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณา ตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
714 | การวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการก่อสร้างอาคารเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ของโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า | กห | 01/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการก่อสร้างอาคารเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ของโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๕๗ ที่เห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการก่อสร้างอาคารเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ของโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านอาคาร การจัดสรรที่ดิน และบริการชุมชน ในการประชุมครั้งที่ ๕๕/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๗ โดยให้โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าดำเนินการ ดังนี้
๑. ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการก่อสร้างอาคารเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ของโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ซึ่งผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านอาคาร การจัดสรรที่ดิน และบริการชุมชน ในการประชุมครั้งที่ ๕๕/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๗ ๒. รับผิดชอบในการขอจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ ๓. ให้นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณา ตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
715 | โครงการเพื่อการพัฒนา ปี 2557 ของการประปาส่วนภูมิภาค | มท | 02/09/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. เห็นชอบการดำเนินโครงการเพื่อการพัฒนาปี ๒๕๕๗ ของการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) จำนวน ๒๓ โครงการ กรอบวงเงินลงทุนรวม ๕,๒๑๘.๓๓๖ ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการที่ใช้เงินรายได้ของ กปภ. จำนวน ๒ โครงการ และโครงการที่ใช้เงินงบประมาณและเงินรายได้ จำนวน ๒๑ โครงการ ตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ โดยแหล่งเงินและรายละเอียดเกี่ยวกับงบประมาณสำหรับโครงการที่ขอรับเงินงบประมาณประจำปีจากภาครัฐ จำนวน ๒๑ โครงการ ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่ได้พิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่าย ดังนี้ ๑.๑ โครงการซึ่งเป็นรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ แล้ว จำนวน ๗ โครงการ วงเงินลงทุน ๑,๑๑๖.๒๑๗ ล้านบาท ๑.๒ โครงการซึ่งเป็นรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่ได้เสนอตั้งงบประมาณไว้ในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ แล้ว จำนวน ๔ โครงการ วงเงินลงทุน ๖๔๐.๐๕๐ ล้านบาท ๑.๓ โครงการที่ยังไม่มีแหล่งเงินรองรับ จำนวน ๑๐ โครงการ วงเงินลงทุน ๑,๘๙๖.๕๖๖ ล้านบาท เห็นควรให้ กปภ. พิจารณาแหล่งเงินลงทุนจากเงินรายได้ของ กปภ. เป็นลำดับแรกก่อน หรือขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป ทั้งนี้ เห็นควรให้ กปภ. พิจารณาเร่งรัดการก่อหนี้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่ได้รับจัดสรรไว้ให้ทันภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ และเตรียมความพร้อมการดำเนินงานโครงการที่จะได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ รวมทั้งพิจารณาในเรื่องของความคุ้มค่าจากการลงทุนทางด้านการเงิน โดยการควบคุมค่าใช้จ่ายการผลิตและเพิ่มรายได้จากการให้การบริการ และลดอัตราน้ำสูญเสียให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มความสามารถในการลงทุนของ กปภ. และลดภาระของภาครัฐในการสนับสนุนงบประมาณสำหรับการลงทุนในโครงการก่อสร้างระบบประปาต่อไป ๒. ให้ กปภ. รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเกี่ยวกับการเร่งดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลและนำเสนอโครงการเพื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบโดยเร็วเพื่อให้การดำเนินโครงการมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนด การพิจารณาแนวทางการจัดการน้ำประปาอย่างมีระบบเพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่มีคุณภาพเป็นมาตรฐานเดียวกันอย่างทั่วถึงและเพียงพอ และการปรับอัตราค่าน้ำประปาใหม่ ควรกำหนดอัตราที่สะท้อนต้นทุนการผลิตที่แท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ทั้งนี้ ให้ กปภ. เร่งรัดการดำเนินการโครงการเพื่อการพัฒนาปี ๒๕๕๗ ดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยยึดหลักความโปร่งใสและตรวจสอบได้ รวมทั้งให้สอดคล้องกับแนวทางการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
716 | ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ (กบส.) ครั้งที่ 1/2557 | นร11 | 02/09/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ (กบส.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๗ ตามที่รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ประธานกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เรื่องเสนอเพื่อทราบ จำนวน ๓ เรื่อง ได้แก่ ๑.๑ รับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศภายใต้การดำเนินการของคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ ๓ ด้าน ได้แก่ ด้านอุตสาหกรรม ด้านเกษตร และด้านการเชื่อมโยงข้อมูลแบบบูรณาการสำหรับการนำเข้า ส่งออก และโลจิสติกส์ ๑.๒ รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์สำหรับการนำเข้า การส่งออก การนำผ่าน และโลจิสติกส์ (National Single Window : NSW) ๑.๓ รับทราบรายงานโลจิสติกส์ของประเทศไทย ประจำปี ๒๕๕๖ ๒. เรื่องเสนอเพื่อพิจารณา จำนวน ๒ เรื่อง ได้แก่ ๒.๑ เห็นชอบหลักการของแผนปฏิบัติการตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐) ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบอำนวยความสะดวกทางการค้า การพัฒนาระบบการขนส่งทางราง และการพัฒนาเส้นทางยุทธศาสตร์การค้าในการเชื่อมโยงโครงข่ายทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน โดยให้ปรับกรอบระยะเวลาของแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย ฉบับที่ ๒ จากปี ๒๕๕๖-๒๕๖๐ เป็น ๒๕๕๖-๒๕๕๙ ให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ ที่มีระยะเวลาถึงปี ๒๕๕๙ ๒.๒ เห็นชอบแนวทางการแก้ปัญหาการขนส่งชายฝั่งทะเลของประเทศ ประกอบด้วย ๒.๒.๑ การแก้ไขปัญหาระยะสั้น ให้กระทรวงคมนาคมและการท่าเรือแห่งประเทศไทยเจรจากับผู้ประกอบการท่าเทียบเรือต่าง ๆ ภายในท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อให้แต่ละท่าเพิ่มช่องว่างให้เรือชายฝั่งสามารถเข้าเทียบท่าเพื่อขนถ่ายสินค้าโดยตรงไปยังเรือสินค้าระหว่างประเทศ และให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยเร่งดำเนินการโครงการยกระดับท่าเรือแหลมฉบังให้เป็นท่าขนส่งอิเล็กทรอนิกส์ (e-port) ทั้งนี้ ในระหว่างที่โครงการยังไม่แล้วเสร็จ การท่าเรือแห่งประเทศไทยควรประสานกับศุลกากรในการอำนวยความสะดวกในการเข้า-ออกให้กับตู้สินค้าเรือชายฝั่ง รวมทั้งให้กระทรวงการคลังเร่งวินิจฉัยในประเด็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับรูปแบบการลงทุนโครงการท่าเทียบเรือชายฝั่ง (ท่าเทียบเรือ A) ที่ท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อให้กระทรวงคมนาคมสามารถนำเสนอโครงการเพื่อพิจารณาตามขั้นตอนได้โดยเร็วต่อไป ๒.๒.๒ การส่งเสริมการขนส่งชายฝั่งในระยะยาว ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยพิจารณากำหนดพื้นที่สำหรับรองรับท่าเทียบเรือชายฝั่งในโครงการท่าเรือแหลมฉบังขั้นที่ ๓ เพื่อรองรับการขยายตัวของตู้สินค้าที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และให้กระทรวงคมนาคมพิจารณารูปแบบการพัฒนาท่าเรือชายฝั่งอ่าวไทยเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพให้มีความทันสมัย และพิจารณาแนวทางการเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างท่าเรือชายฝั่งและท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อส่งเสริมการขนส่งชายฝั่งในระยะยาว ๓. ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปเร่งดำเนินการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ให้มีประสิทธิภาพเพื่อสนับสนุนการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยเฉพาะการพัฒนาสนามบินและท่าเรือ เช่น สนามบินดอนเมือง สนามบินอู่ตะเภา ท่าเรือแหลมฉบัง และท่าเรือมาบตาพุด เป็นต้น โดยให้หน่วยงานรับผิดชอบเร่งจัดทำเป็นโครงการพร้อมรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งงบประมาณค่าใช้จ่ายเพื่อเสนอขอความเห็นชอบตามขั้นตอน โดยให้เริ่มดำเนินโครงการให้ทันภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘
|
|||||||||||||||||||||||||||
717 | การเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจระหว่างปีงบประมาณ 2557 | กค | 26/08/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ ในคราวประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๗ ตามที่ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับกรอบวงเงินดำเนินการและเบิกจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ๑๐ แห่ง โดยเพิ่มกรอบวงเงินดำเนินการจาก ๑๒๔,๒๔๗ ล้านบาท เป็น ๑๒๙,๔๑๗ ล้านบาท หรือปรับเพิ่ม จำนวน ๕,๑๗๐ ล้านบาท และปรับลดวงเงินเบิกจ่ายจาก ๕๔,๑๔๓ ล้านบาท เป็น ๔๖,๓๓๓ ล้านบาท หรือปรับลด จำนวน ๗,๘๑๐ ล้านบาท ๒. เห็นชอบหลักการในการดำเนินการเรื่องการเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมงบลงทุนระหว่างปีงบประมาณในครั้งต่อไป โดยให้รัฐวิสาหกิจนำเสนอเรื่องการเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมงบลงทุนระหว่างปีงบประมาณที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจและกระทรวงเจ้าสังกัดแล้วให้คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาอนุมัติต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
718 | ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 1/2557 | นร11 | 26/08/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก (กพอ.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ กพอ. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เรื่องเสนอเพื่อทราบ ที่ประชุมมีมติรับทราบความก้าวหน้าการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก และโครงการความร่วมมือของประเทศญี่ปุ่นที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอุตสาหกรรมและชุมชนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ๑.๒ เรื่องเสนอเพื่อพิจารณา ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการแผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจร (ฉบับปรับปรุง) และเห็นชอบการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนในพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก ด้านโครงสร้างพื้นฐานการขนส่ง การแก้ไขปัญหาเร่งด่วนในพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก ด้านสิ่งแวดล้อม และการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนในพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๒. โครงการที่ กพอ. ให้ความเห็นชอบเพื่อขอจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ๘ โครงการ วงเงิน ๖๗๗.๖๒ ล้านบาท ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณเป็นรายโครงการอีกครั้งหนึ่ง และสำหรับโครงการที่ต้องมีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียก่อน ก็ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนและประชาสัมพันธ์ให้ทราบอย่างทั่วถึงกันด้วย ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดทำรายงานสรุปผลความคืบหน้าการดำเนินการและการใช้จ่ายงบประมาณตามแผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจร ๘ แผนงาน ๙๒ โครงการ ในกรอบวงเงินรวม ๔,๓๔๗ ล้านบาท ที่เคยได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕ เสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบต่อไป ๔. ให้ กพอ. รับข้อสังเกตของคณะรักษาความสงบแห่งชาติเกี่ยวกับการแก้ปัญหาเส้นทางคมนาคมชำรุดเสียหาย โดยอาจพิจารณาจัดทำเส้นทางสำหรับรถบรรทุกสินค้าเป็นการเฉพาะแยกออกจากเส้นทางสำหรับการสัญจรปกติไปพิจารณาต่อไป ๕. ให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำรับไปเร่งรัดการดำเนินการแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำในเขตพื้นที่ภาคตะวันออกโดยการเชื่อมโยงแหล่งน้ำต่าง ๆ ในพื้นที่ เพื่อให้มีปริมาณน้ำสำหรับการอุปโภคบริโภคและสำหรับนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ อย่างเพียงพอ รวมทั้งให้รับข้อสังเกตของคณะรักษาความสงบแห่งชาติไปพิจารณาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการนำเทคนิคการฝังท่อลงไปในท้องน้ำเพื่อให้น้ำจากแหล่งน้ำระหว่างประเทศซึมไหลไปสู่แหล่งน้ำในประเทศที่มีระดับต่ำกว่าเพื่อนำน้ำไปใช้ประโยชน์ได้ เช่น กรณีแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาละวิน เป็นต้น ไปพิจารณาต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
719 | แผนการลงทุนหลัก โครงการเพื่อการพัฒนา ปี 2557 (เพิ่มเติม) ของการประปาส่วนภูมิภาค | มท | 26/08/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. อนุมัติแผนการลงทุนหลัก โครงการเพื่อการพัฒนา ปี ๒๕๕๗ (เพิ่มเติม) ของการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) จำนวน ๔ โครงการ ได้แก่ โครงการปรับปรุงขยาย กปภ. สาขารังสิต โครงการปรับปรุงขยาย กปภ. สาขาเกาะสมุย โครงการปรับปรุงขยาย กปภ. สาขาหาดใหญ่-สงขลา และโครงการปรับปรุงขยาย กปภ. สาขาปทุมธานี วงเงินลงทุนรวม ๑๐,๘๓๑.๒๑๘ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๗ โดยให้ กปภ. รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับการจัดการน้ำประปาอย่างมีระบบเพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่มีคุณภาพเป็นมาตรฐานเดียวกันอย่างทั่วถึงและเพียงพอ การเร่งจัดทำแผนแม่บทการจัดหาและพัฒนาแหล่งน้ำดิบให้ครอบคลุมพื้นที่ให้บริการเพื่อรองรับการขาดแคลนน้ำดิบที่ใช้ในการผลิตน้ำประปาอย่างยั่งยืน การเร่งจัดทำแผนแม่บทการลดน้ำสูญเสียให้สอดคล้องกับการบริหารจัดการแรงดันน้ำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการประปาและการบริหารต้นทุนการผลิต การจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (Initial Environmental Examination : IEE ) การเสนอแผนการใช้น้ำล่วงหน้าทั้งระยะสั้นและระยะยาวให้กรมชลประทานเพื่อนำไปประกอบการพิจารณาวางแผนการจัดสรรน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด การพิจารณาหาแหล่งน้ำดิบที่มีปริมาณน้ำเพียงพอตลอดปี การจัดหาแหล่งเก็บกักน้ำสำรองไว้เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับปัญหาความเค็มและน้ำเสียในแผนการลงทุนโครงการปรับปรุงขยาย กปภ. สาขารังสิต และสาขาปทุมธานี การประสานในเรื่องน้ำต้นทุนและการจัดสรรน้ำกับกรมชลประทานและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่เกาะสมุย รวมทั้งการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ได้กำหนดตามแผนการลงทุนหลักฯ อย่างเคร่งครัด เพื่อให้การดำเนินโครงการส่งผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่น้อยที่สุด ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. เนื่องจากผลประกอบการของ กปภ. ยังมีความไม่แน่นอนด้านรายได้ รวมทั้งการขึ้นราคาค่าน้ำประปาจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนผู้บริโภค ดังนั้น จึงให้ กปภ. เร่งดำเนินการปรับปรุงการบริหารจัดการของ กปภ. ทั้งระบบให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่ดีขึ้นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระบบการผลิต ระบบท่อส่งน้ำ และระบบการจ่ายน้ำ เพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่ายและเพิ่มรายได้ รวมตลอดถึงการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ปัญหาอัตราน้ำสูญเสียสูง ปัญหาน้ำประปากร่อยในบางพื้นที่ ซึ่งควรพิจารณานำเอาระบบหมุนเวียนน้ำ (Recycle) มาใช้ ปัญหาการจ่ายน้ำให้กับผู้ขอใช้น้ำที่มีคุณสมบัติไม่ถูกต้องตามกฎหมายและเป็นผู้บุกรุกปลูกสร้างที่อยู่อาศัยทำให้เรียกเก็บค่าน้ำประปาจากผู้ใช้ไม่ได้ เป็นต้น ทั้งนี้ ให้ กปภ. จัดทำเป็นแผนปฏิบัติงานประจำปีให้ชัดเจนเพื่อดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
720 | แผนการลงทุนโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุดที่ 1 ปี 2557 - 2560 ภายใต้แผนพลิกฟื้นองค์กรของการเคหะแห่งชาติ | พม | 26/08/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักการกรอบแผนการลงทุนโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย ชุดที่ ๑ ปี ๒๕๕๗-๒๕๖๐ ภายใต้แผนพลิกฟื้นองค์กรของการเคหะแห่งชาติ กรอบวงเงินลงทุนรวม ๓๔,๑๙๘.๔๗๕ ล้านบาท และอนุมัติโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย ชุดที่ ๑ ปี ๒๕๕๗ จำนวน ๓๘ โครงการ จำนวน ๑๖,๑๔๖ หน่วย กรอบวงเงินลงทุนรวม ๙,๕๗๗.๗๕๒ ล้านบาท ประกอบด้วย เงินอุดหนุนรวม จำนวน ๑,๒๔๙.๙๕๘ ล้านบาท เงินกู้ภายในประเทศ จำนวน ๗,๑๑๓.๕๗๐ ล้านบาท และเงินรายได้ของการเคหะแห่งชาติ จำนวน ๑,๒๑๔.๒๒๔ ล้านบาท ตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๖ และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้จัดหาและค้ำประกันเงินกู้ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ โดยกรอบวงเงินอุดหนุนจากรัฐบาล จำนวน ๑,๒๔๙.๙๕๘ ล้านบาท สำหรับดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณ งบเงินอุดหนุน ที่ได้รับจัดสรรไว้แล้ว และหมดความจำเป็นเนื่องจากยกเลิกการดำเนินการรายการเดิมในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ และ ๒๕๕๕ ที่กระทรวงการคลังได้อนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีจนถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน ๒๕๕๗ แล้ว โดยให้การเคหะแห่งชาติขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ในการดำเนินการโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยของการเคหะแห่งชาติดังกล่าว ให้การเคหะแห่งชาติมุ่งเน้นให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง และให้มีมาตรการป้องกันผู้มีรายได้สูงเข้ามาแสวงหาประโยชน์และผลกำไรจากการเข้าครอบครองและถือกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (การเคหะแห่งชาติ) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๗ ที่ให้กำหนดมาตรการจัดระเบียบและแก้ไขปัญหาชุมชนแออัดและการสร้างที่อยู่อาศัยรุกล้ำแนวลำคลองและทางระบายน้ำ ทั้งนี้ ให้พิจารณากำหนดมาตรการดำเนินการทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อให้ประชาชนกลุ่มดังกล่าวมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองอย่างเหมาะสม โดยคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น ขีดความสามารถในการผ่อนชำระ ความสะดวกในการเดินทาง โอกาสและความเป็นไปได้ในการประกอบอาชีพของผู้อยู่อาศัย เป็นต้น โดยอาจพิจารณาดำเนินโครงการในพื้นที่รอบนอกของกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเป็นลำดับแรกก่อน และให้นำเรื่องนี้เสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติต่อไป |
.....