ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 37 จากทั้งหมด 252 หน้า แสดงรายการที่ 721 - 740 จากข้อมูลทั้งหมด 5031 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
721 | โครงการพัฒนาปรับปรุงทำเนียบรัฐบาลและบ้านพิษณุโลก (ระยะที่ 2) | นร04 | 19/08/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติเห็นชอบการดำเนินการพัฒนาปรับปรุงทำเนียบรัฐบาลและบ้านพิษณุโลก (ระยะที่ ๒) และงบประมาณเพื่อการดำเนินการดังกล่าว วงเงินรวม ๑๘๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามมติคณะกรรมการอำนวยการพัฒนาปรับปรุงทำเนียบรัฐบาลและบ้านพิษณุโลก เมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๗ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ โดยให้ขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น การจัดซื้อจัดจ้างและการตรวจรับให้ถูกต้องเป็นไปตามระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
722 | การจ่ายเงินตอบแทนพิเศษให้แก่พนักงานที่มีเงินเดือนเต็มขั้นสูงของระดับตำแหน่ง | อก | 13/08/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติเห็นชอบการจ่ายเงินตอบแทนพิเศษให้แก่พนักงานการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยที่มีเงินเดือนเต็มขั้นสูงของระดับตำแหน่ง ภายใต้วงเงินรวมไม่เกินร้อยละ ๔ ของฐานเงินเดือนรวมของพนักงานที่มีเงินเดือนเต็มขั้นสูงของระดับตำแหน่ง ตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
723 | นโยบายและมาตรการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ปี 2557 และปี 2558 - 2560 | พณ | 29/07/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดนโยบายและมาตรการนำเข้ากากถั่วเหลืองปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐ นโยบายและมาตรการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี ๒๕๕๗ นโยบายและมาตรการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐ และนโยบายและมาตรการนำเข้าปลาป่นปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐ ตามมติคณะกรรมการนโยบายอาหาร ครั้งที่ ๑/๒๕๕๗ (ครั้งที่ ๗๖) เมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๗ และเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน สำหรับปี ๒๕๕๗ พ.ศ. ๒๕๕๗ และร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน สำหรับปี ๒๕๕๘ ถึงปี ๒๕๖๐ พ.ศ. ๒๕๕๗ รวม ๒ ฉบับ โดยกำหนดระยะเวลานำเข้าของผู้นำเข้าทั่วไป จากเดิมให้นำเข้าระหว่างเดือนมีนาคม-สิงหาคม ๒๕๕๖ เป็นให้นำเข้าเดือนกุมภาพันธ์-สิงหาคม ๒๕๕๗ และกุมภาพันธ์-สิงหาคม ๒๕๕๘-๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ยกเว้นในส่วนของการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี ๒๕๕๗ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติมีมติ (๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗) เป็นต้นไป และให้ส่งร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ ทั้ง ๒ ฉบับ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วนต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อกำหนดมาตรการรองรับการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กากถั่วเหลือง และปลาป่นที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าเกษตรภายในประเทศ และให้รายงานสถานการณ์ราคาสินค้าเกษตรทั้ง ๓ รายการดังกล่าวทุกเดือนในช่วงระยะเวลาที่มีการนำเข้า ต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
724 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) ครั้งที่ 1/2557 | นร08 | 22/07/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ กนพ. เสนอ ดังนี้
๑. เรื่องเสนอเพื่อทราบ ๑.๑ รับทราบนโยบายของประธานกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ที่มุ่งหมายให้การจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ในฐานะส่วนหนึ่งของ Road Map ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ มีส่วนสนับสนุนการนำประเทศเข้าสู่ประชาคมอาเซียน กระตุ้นเศรษฐกิจ ลดความเหลื่อมล้ำ และช่วยรักษาความมั่นคงของประเทศ ๑.๒ รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในช่วงปีที่ผ่านมา ได้แก่ (๑) การศึกษาเพื่อวางยุทธศาสตร์การพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในระดับประเทศและระดับพื้นที่ (๒) การหารือร่วมกับหน่วยงานในเรื่องการให้สิทธิประโยชน์ การให้บริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ และมาตรการสนับสนุนการใช้แรงงานต่างด้าว (๓) การเตรียมความพร้อม สร้างความเข้าใจและการรับฟังความคิดเห็นของภาคส่วนการพัฒนาในพื้นที่ชายแดน (๔) การศึกษาตัวอย่างรูปแบบการพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในต่างประเทศ (๕) การสำรวจพื้นที่ชายแดนที่มีศักยภาพและโอกาสการเชื่อมโยงไปยังประเทศในภูมิภาค และ (๖) การประสานความร่วมมือในระดับทวิภาคีกับราชอาณาจักรกัมพูชาและมาเลเซียในการพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษร่วมกัน ๒. เรื่องเสนอเพื่อพิจารณา ๒.๑ ให้ความเห็นชอบพื้นที่ที่มีศักยภาพเหมาะสมในการจัดตั้งเป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษระยะแรกของไทยใน ๔ พื้นที่ชายแดน ได้แก่ (๑) อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก (๒) อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว (๓) พื้นที่ชายแดนจังหวัดตราด (๔) พื้นที่ชายแดนจังหวัดมุกดาหาร และ (๕) อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา (ด่านศุลกากรสะเดา และด่านศุลกากรปาดังเบซาร์) ๒.๒ เห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการสนับสนุนการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ๔ เรื่อง ได้แก่ (๑) สิทธิประโยชน์สำหรับการลงทุน (๒) การให้บริการจุดเดียวแบบเบ็ดเสร็จ (๓) มาตรการสนับสนุนการใช้แรงงานต่างด้าว และ (๔) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและด่านศุลกากรในพื้นที่เพื่อให้สามารถรองรับกิจกรรมในพื้นที่เขตเศรษฐกิจและเชื่อมโยงประเทศในภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๒.๓ เห็นชอบให้ตั้งคณะอนุกรรมการ ๓ ชุด เพื่อจัดทำแนวทางการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้อง และเสนอให้ กนพ. พิจารณาภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๗ ได้แก่ (๑) คณะอนุกรรมการด้านสิทธิประโยชน์ ขอบเขตพื้นที่ และศูนย์บริการเบ็ดเสร็จด้านการลงทุน (๒) คณะอนุกรรมการศูนย์บริการเบ็ดเสร็จด้านแรงงาน สาธารณสุข และความมั่นคง และ (๓) คณะอนุกรรมการด้านโครงสร้างพื้นฐานและด่านศุลกากร ๒.๔ อนุมัติแต่งตั้งกรรมการใน กนพ. เพิ่มเติม ประกอบด้วย (๑) พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ และ (๒) พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๗ เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
725 | องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกขอสิทธิพิเศษในการรับจ้างพัฒนาหรือก่อสร้างปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งน้ำ งานขุดลอกคูคลอง ลำรางสาธารณะ งานสร้างฝายกั้นน้ำ และงานลอกท่อระบายน้ำ | กค | 15/07/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติรับทราบมติคณะกรรมการพิจารณาสิทธิพิเศษของหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจ ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ ที่ให้องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก (อผศ.) ได้รับสิทธิพิเศษประเภทไม่บังคับในการรับจ้างพัฒนาหรือก่อสร้างปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งน้ำ งานขุดลอกคูคลอง ลำรางสาธารณะ งานสร้างฝายกั้นน้ำ และงานลอกท่อระบายน้ำ ให้แก่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้ อผศ. ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามระเบียบ หลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเงื่อนไขที่คณะกรรมการพิจารณาสิทธิพิเศษของหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจกำหนด ตลอดจนขีดความสามารถและความพร้อมของ อผศ. เองด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
726 | การให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวไร่อ้อยในฤดูการผลิตปี 2556/2557 | อก | 24/06/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการให้ความช่วยเหลือเพิ่มค่าอ้อยในอัตราตันละ ๑๖๐ บาท ตามมติคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ๑.๒ อนุมัติให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายกู้เงิน (Straight loan) จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ตามนัยมาตรา ๒๗ (๖) แห่งพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ ในอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนเพื่อนำมาช่วยเหลือเพิ่มค่าอ้อยในฤดูการผลิตปี ๒๕๕๖/๒๕๕๗ ในอัตราตันอ้อยละ ๑๖๐ บาท โดยให้จ่ายตรงให้กับชาวไร่อ้อยในทุกตันอ้อยที่ส่งเข้าหีบในโรงงานน้ำตาลทรายในฤดูการผลิตปี ๒๕๕๖/๒๕๕๗ จากผลผลิตอ้อยทั้งสิ้น ๑๐๓.๗๐ ล้านตัน รวมเป็นเงินประมาณ ๑๖,๕๙๒ ล้านบาท หรือจำนวนเงินที่จะต้องจ่ายตามปริมาณอ้อยเข้าหีบจริงฤดูการผลิตปี ๒๕๕๖/๒๕๕๗ ตามแผนชำระหนี้ของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย ใช้ระยะเวลาประมาณ ๑๗ เดือน โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมควบคุม ตรวจสอบ กำกับดูแล การจ่ายเงินช่วยเหลือชาวไร่อ้อยให้ถึงมือชาวไร่อ้อยที่มีสิทธิ์ให้ถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์ มีการบันทึกบัญชีให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยเป็นลูกหนี้ของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย และให้มีข้อมูลลูกหนี้แยกเป็นรายให้ชัดเจน อีกทั้งจัดระบบควบคุม ตรวจสอบ และกำกับดูแล โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมดำเนินการด้วย ๑.๓ เห็นชอบให้คงการปรับขึ้นราคาน้ำตาลทรายภายในประเทศกิโลกรัมละ ๕ บาท เพื่อนำไปเป็นรายได้ของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายสำหรับนำไปชำระหนี้เฉพาะเงินกู้ที่นำมาช่วยเหลือเพิ่มค่าอ้อยในฤดูการผลิตปี ๒๕๕๖/๒๕๕๗ จนกว่าจะใช้หนี้หมดเท่านั้น ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ เกี่ยวกับการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งในด้านปริมาณผลผลิตต่อไร่และค่าความหวาน การส่งเสริมให้มีการเพิ่มมูลค่าในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายตลอดห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) เพื่อลดภาระการอุดหนุนจากกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายลง การเพิ่มความสามารถในการพึ่งตนเองของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายอย่างยั่งยืน การควบคุม ตรวจสอบ กำกับดูแล และติดตามการใช้เงินจากการจัดเก็บรายได้จากการจำหน่ายน้ำตาลทรายเพื่อนำไปชำระหนี้เฉพาะเงินกู้ที่นำมาช่วยเหลือเพิ่มค่าอ้อย การเร่งรัดการทบทวนสูตรการคำนวณต้นทุนการผลิตอ้อย และการกำหนดราคาอ้อยและน้ำตาลทรายให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงและสอดคล้องกับสถานการณ์ประเทศ การเร่งนำผลการศึกษาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) มาประกอบการพิจารณาปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายในระยะยาวโดยเร็ว การเพิ่มองค์ประกอบของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของอุตสาหกรรม การปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป การเพิ่มองค์ประกอบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายให้ครอบคลุมผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดในอุตสาหกรรม การเร่งรัดให้เกิดการส่งเสริมการพัฒนาด้านอ้อยตามระเบียบวาระอ้อยแห่งชาติ ระยะ ๕ ปี (ปี ๒๕๕๕-๒๕๕๙) และเร่งปรับปรุงร่างแผนพัฒนาอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๓ ให้มีรายละเอียดชัดเจนมากขึ้น การกำกับดูแลและตรวจสอบให้การช่วยเหลือบรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนด การควบคุมดูแลการเบิกจ่ายเงินโดยเคร่งครัด รวมทั้งร่วมกับส่วนที่เกี่ยวข้องเร่งรัดพิจารณากำหนดแนวทางในการลดต้นทุนการผลิต และปรับปรุงประสิทธิภาพผลผลิตอ้อยแทนการให้ความช่วยเหลือเพื่อให้ลดภาระการใช้จ่ายเงินในการช่วยเหลือเยียวยา และเพื่อให้อุตสาหกรรมสามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการประชาสัมพันธ์ชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินการเรื่องนี้ให้ประชาชนผู้สนใจได้ทราบอย่างถูกต้องและทั่วถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดอัตราเงินช่วยเหลือชาวไร่อ้อยดังกล่าว คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายได้มีมติเห็นชอบแล้วตั้งแต่วันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๗ แต่เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมามีเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองและได้มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร ทำให้ไม่สามารถพิจารณาเรื่องนี้ได้ ๔. ให้รองหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแนวทางและมาตรการในการแก้ไขปัญหาอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบในระยะยาว แล้วนำเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
727 | ขออนุมัติงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2556/57 | พณ | 25/02/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ที่เห็นชอบให้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขอใช้งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อให้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศ จ่ายให้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดย ธ.ก.ส. จะได้จ่ายให้เกษตรกรตามใบประทวนที่เกษตรกรได้จำนำไว้กับรัฐบาลต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. อนุมัติในหลักการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงิน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ให้กรมการค้าต่างประเทศเพื่อขอทำความตกลงกับกระทรวงการคลังตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการ พ.ศ. ๒๕๔๗ สำหรับนำไปใช้จ่ายตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๖/๕๗ โดยเมื่อได้รับกระแสเงินสดจากกระทรวงการคลังและการระบายข้าวแล้ว ให้กรมการค้าต่างประเทศนำเงินจำนวนดังกล่าวมาชดใช้คืนเงินทดรองราชการต่อไป โดยให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบและยืนยันความถูกต้องของใบประทวนให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนด รวมทั้งพิจารณาดำเนินการให้ถูกต้องและครบถ้วนตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และตามมาตรฐานของทางราชการ โดยคำนึงถึงประโยชน์ของทางราชการเป็นสำคัญก่อนการเบิกจ่ายด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไปได้เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งได้พิจารณาให้ความเห็นชอบแล้ว |
|||||||||||||||||||||||||||
728 | การแก้ไขปัญหาเกษตรกรเข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2555/56 | พณ | 11/02/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๗ เกี่ยวกับการเพิ่มปริมาณการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ โดย กขช. มีมติอนุมัติให้เพิ่มปริมาณการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ของเกษตรกร จำนวน ๕ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดฉะเชิงเทรา เพชรบูรณ์ ปราจีนบุรี อุทัยธานี และพระนครศรีอยุธยา เนื่องจากเกิดปัญหาใบประทวนสินค้าโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ตกค้าง และยังไม่ได้รับเงิน รวมเกษตรกรจำนวน ๓,๙๗๑ ราย ปริมาณจำนวน ๔๗,๔๔๒.๐๖ ตัน โดยไม่ให้เพิ่มปริมาณรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ อีก ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และที่รองนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอเพิ่มเติมว่า กระทรวงพาณิชย์อยู่ระหว่างการดำเนินการระบายข้าว และยังไม่สามารถใช้เงินหมุนเวียนจากการระบายข้าวเพื่อการนี้ได้ ๒. อนุมัติในกรอบวงเงิน ๗๑๒.๐๘๗ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่ได้รับอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปีแล้วตามแนวทางที่กำหนดโดยสำนักงบประมาณ เพื่อเยียวยาความเดือดร้อนของเกษตรกร จำนวน ๓,๙๗๑ รายดังกล่าว และให้มีผลการดำเนินการต่อไปได้เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาให้ความเห็นชอบแล้ว ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตรวจสอบขั้นตอนและระบบการรายงานผลการเข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของเกษตรกร และพิจารณากำหนดแนวทางและมาตรการในการดำเนินการที่เกี่ยวข้องให้มีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อมิให้เกษตรกรได้รับผลกระทบและความเดือดร้อนดังเช่นกรณีดังกล่าวขึ้นอีก |
|||||||||||||||||||||||||||
729 | การขออนุมัติการซื้อหุ้นเพิ่มทุนเพิ่มเติมของบรรษัทประกันต่อแห่งเอเชียของรัฐบาลไทย | กค | 03/12/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการซื้อหุ้นเพิ่มทุนเพิ่มเติมของบรรษัทประกันต่อแห่งเอเชีย จำนวน ๖.๘๒๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อให้ครบ ๑๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามเจตนารมณ์เดิมในการก่อตั้งบรรษัทฯ ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกันพิจารณาถึงข้อกฎหมายและระเบียบปฏิบัติที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งกรอบระยะเวลาที่ต้องใช้ในการดำเนินการในกรณีกระทรวงการคลังจะขอใช้จ่ายเงินตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจำหน่ายหุ้นและซื้อหุ้นของส่วนราชการ พ.ศ. ๒๕๓๕ เพื่อการซื้อหุ้นเพิ่มทุนเพิ่มเติมของบรรษัทฯ และให้นำเสนอผลการพิจารณาเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป และหากกระทรวงการคลังไม่สามารถซื้อหุ้นเพิ่มทุนเพิ่มเติมของบรรษัทฯ โดยใช้จ่ายเงินตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจำหน่ายหุ้นและซื้อหุ้นของส่วนราชการ พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้ หรือไม่สามารถดำเนินการได้ทันภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๖ คณะกรรมการกลั่นกรองฯ เห็นควรให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เสนอให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี ภายในกรอบวงเงินจำนวน ๒๑๙ ล้านบาท อัตราแลกเปลี่ยน ๑ ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ ๓๒ บาท โดยให้เบิกจ่ายตามอัตราจริง ณ วันเบิกจ่าย ทั้งนี้ ให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังประสานสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจพิจารณาปรับแผนการใช้จ่ายเงินที่ได้รับตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจำหน่ายหุ้นและซื้อหุ้นของส่วนราชการมาใช้จ่ายเพื่อการนี้อีกครั้งหนึ่งก่อน |
|||||||||||||||||||||||||||
730 | โครงการจัดหารถไฟฟ้าธรรมดา (City Line Airport Rail Link) จำนวน 7 ขบวน ของบริษัท รถไฟฟ้า รฟท. จำกัด | คค | 03/12/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบโครงการจัดหารถไฟฟ้าธรรมดา (City Line Airport Rail Link) จำนวน ๗ ขบวน ขบวนละ ๔ ตู้ วงเงินรวม ๔,๘๕๔.๔๑ ล้านบาท (รวมค่าใช้จ่ายสำหรับอะไหล่สำรอง ร้อยละ ๑๐ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ร้อยละ ๗ และค่าใช้จ่ายในการแก้ไขระบบอาณัติสัญญาณและการเดินรถ) ของบริษัท รถไฟฟ้า รฟท. จำกัด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มรายได้เชิงพาณิชย์ด้านการโดยสารรถไฟฟ้าและเพิ่มความปลอดภัยในการเดินขบวนรถไฟฟ้าเนื่องจากเป็นการจัดหาขบวนรถไฟฟ้าธรรมดาเพิ่มเติม จำนวน ๗ ขบวน ขบวนละ ๔ ตู้ และเสริมการให้บริการของขบวนรถไฟฟ้าที่บริษัทฯ มีอยู่เดิมที่จะครบวาระในการซ่อมหนัก (Overhaul) เมื่อวิ่งครบระยะทาง ๑ ล้านกิโลเมตร ในช่วงต้นปี ๒๕๕๗ รวมทั้งปริมาณผู้โดยสารคาดการณ์ ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ขบวนรถไฟฟ้าธรรมดา ที่บริษัทฯ มีอยู่ในปัจจุบัน จำนวน ๕ ขบวน ขบวนละ ๓ ตู้ ไม่สามารถรองรับได้อย่างเพียงพอ โดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งด่วน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้ใช้แหล่งเงินกู้ในประเทศในการดำเนินโครงการฯ โดยให้กระทรวงการคลังดำเนินการกู้เงิน และนำมาให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กู้ต่อเพื่อนำไปเพิ่มทุนให้กับบริษัทฯ เพื่อดำเนินโครงการฯ โดยจะให้ รฟท. ถือหุ้นร้อยละ ๑๐๐ ต่อไป อย่างไรก็ตาม กรณีการให้กระทรวงการคลังเข้าร่วมถือหุ้นในบริษัทฯ แทน รฟท. ให้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของกระทรวงคมนาคม และ รฟท. ทั้งนี้ หากกระทรวงคมนาคม และ รฟท. ประสงค์ให้กระทรวงการคลังเข้าถือหุ้นในบริษัทฯ กระทรวงการคลังจะต้องเปิดโอกาสให้ รฟท. สามารถซื้อหุ้นของบริษัทฯ คืนจากกระทรวงการคลังได้ในราคาทุนในอนาคต |
|||||||||||||||||||||||||||
731 | โครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบศูนย์สั่งการจ่ายไฟ (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) | มท | 03/12/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการกลั่นกรองฯ คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองฯ คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ครั้งที่ ๑๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๖ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) รองประธานกรรมการ ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบศูนย์สั่งการจ่ายไฟ ในวงเงินลงทุนรวม ๔,๕๓๐ ล้านบาท แบ่งเป็นเงินกู้ในประเทศ ๓,๓๙๕ ล้านบาท และเงินรายได้ กฟภ. วงเงิน ๑,๑๓๕ ล้านบาท และเห็นชอบให้ กฟภ. กู้เงินในประเทศภายในกรอบวงเงิน ๓,๓๙๕ ล้านบาท เพื่อเป็นเงินลงทุนของโครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบศูนย์สั่งการจ่ายไฟ ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามนัยมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ. ๒๕๐๓ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๒. ให้ กฟภ. รับข้อสังเกตเพิ่มเติมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับโครงการดังกล่าวมีรายละเอียดการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบศูนย์สั่งการจ่ายไฟทั้งด้านฮาร์ตแวร์ และซอฟต์แวร์ โดยมีการติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก กฟภ. จึงควรมุ่งเน้นด้านการพัฒนาเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงระบบไฟฟ้ากำลังเป็นอันดับแรก เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายการเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ และให้ความสำคัญกับการปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบศูนย์สั่งการจ่ายไฟให้สอดรับกับแนวทางการพัฒนาระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) ในอนาคต นอกจากนี้ กฟภ. ควรพิจารณาดำเนินการปรับปรุงพัฒนาให้ระบบศูนย์สั่งการจ่ายไฟสามารถรองรับการใช้งานได้ในระยะยาว เพื่อเป็นการใช้สินทรัพย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และใช้งบประมาณให้เกิดความคุ้มค่าสูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
732 | ร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยการดำเนินการทางวินัย พ.ศ. .... | นร10 | 25/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๖ ที่มีมติเห็นชอบร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยการดำเนินการทางวินัย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาการดำเนินการทางวินัยตามมาตรา ๙๔ มาตรา ๙๕ มาตรา ๙๖ มาตรา ๙๗ มาตรา ๑๐๑ และมาตรา ๑๐๕ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
733 | ขออนุมัติอัตรากำลังเพิ่มใหม่ของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ | ศธ | 19/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๖ เกี่ยวกับการขออนุมัติอัตรากำลังเพิ่มใหม่ของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ ตามข้อเสนอของกระทรวงศึกษาธิการ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ เพื่อรองรับการเปิดการสอนในคณะแพทยศาสตร์ ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการผลิตแพทย์และเป็นสาขาวิชาที่มีความขาดแคลนและจำเป็นต่อการให้บริการทางวิชาการและการแพทย์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง การขอสนับสนุนนโยบายการโอนย้ายข้าราชการจากส่วนราชการอื่นมารับราชการในมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี) ซึ่งอนุมัติในหลักการให้สถาบันอุดมศึกษาของรัฐที่มีวิทยาเขตในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส) สามารถใช้อัตราข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาที่ว่างลงจาการเกษียณอายุและอัตราว่างโดยเหตุอื่น เพื่อรองรับการโอนย้ายข้าราชการต่างประเภทจากส่วนราชการอื่นมาเป็นข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาได้เป็นกรณีพิเศษเฉพาะตัว โดยต้องปฏิบัติงานในตำแหน่งวิชาการซึ่งทำหน้าที่สอนและวิจัยเท่านั้น ๒. ในส่วนกรอบอัตรากำลังเพิ่มใหม่ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐ ของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์นั้น เห็นสมควรให้การสนับสนุนอัตรากำลังเพิ่มใหม่ตำแหน่งพนักงานมหาวิทยาลัยเป็นกรณีพิเศษ จำนวน ๑๕๐ อัตรา โดยให้กระทรวงศึกษาธิการ (คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์) ไปดำเนินการเกลี่ยอัตรากำลังให้เป็นสายผู้สอนและสายสนับสนุนตามความจำเป็นและเหมาะสม ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการ (มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ และสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา) และคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ไปพิจารณาดำเนินการปรับปรุงค่าตอบแทน สวัสดิการ สิทธิประโยชน์ รวมทั้งความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ของพนักงานมหาวิทยาลัยที่มีวิทยาเขตในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส) เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนและสามารถดึงดูดและรักษาบุคลากรไว้ในระบบ ภายใต้ความจำเป็นตามภาระงานของสถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส) ต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
734 | แนวทางการดำเนินโครงการบัตรสมาชิกพิเศษ (Thailand Privilege Card) | กก | 19/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบการดำเนินการของบริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด ที่จะมีการปรับปรุงการกำหนดรูปแบบประเภทบัตรสมาชิกพิเศษ (Thailand Privilege Card) ราคาบัตร สิทธิประโยชน์/บริการต่าง ๆ และค่าธรรมเนียมการโอนให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงการกำหนดค่าตอบแทน (Commission) ให้มีความเหมาะสมมากขึ้น ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการบริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด ตามข้อบังคับของบริษัทฯ อยู่แล้ว ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวให้คณะกรรมการบริษัทฯ ดำเนินการอย่างโปร่งใส คำนึงถึงผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศและผลประโยชน์ของบริษัทฯ ๑.๒ การที่คณะกรรมการบริษัทฯ ควรให้มีการลงทุนหรือร่วมลงทุนกับกิจการอื่นที่เกี่ยวเนื่อง โดยได้มีการพิจารณาแล้วว่า การดำเนินการจะก่อให้เกิดประโยชน์กับบริษัทฯ สมาชิก และประเทศ สามารถดำเนินการได้ตามอำนาจของคณะกรรมการบริษัทฯ ทั้งนี้ การดำเนินการต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ รวมทั้งจะต้องเสนอเรื่องให้คณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๑.๓ ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจศึกษาในรายละเอียดเพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติในการจัดตั้งบริษัทลูกของรัฐวิสาหกิจทั้งในกรณีรัฐวิสาหกิจถือหุ้นทั้งหมดหรือถือหุ้นเพียงบางส่วน และให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจนำเสนอคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด) รับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการพิจารณาลงทุนหรือร่วมทุนกับกิจการอื่นที่เกี่ยวเนื่อง ควรให้มีการพิจารณาวิเคราะห์แผนธุรกิจเพื่อแก้ปัญหาการขาดทุนที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
735 | โครงการขยายเขตไฟฟ้าให้บ้านเรือนราษฎรรายใหม่ | มท | 19/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ที่เห็นชอบโครงการขยายเขตไฟฟ้าให้บ้านเรือนราษฎรรายใหม่ ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) วงเงินลงทุนรวม ๓,๖๘๗ ล้านบาท และเงินรายได้ ๙๒๖ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และเห็นชอบให้ กฟภ. กู้เงินในประเทศภายในกรอบวงเงิน ๒,๗๖๑ ล้านบาท เพื่อให้เป็นไปตามนัยของพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ. ๒๕๐๓ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๔๒ (๒) โดยให้ กฟภ. รับข้อสังเกตเพิ่มเติมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการสำรวจครัวเรือนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้และมีความพร้อมดำเนินการขยายเขตระบบไฟฟ้าได้ทันทีเพื่อจัดเข้าโครงการฯ ในปีต่อไป (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๐) การให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับการใช้งานและการบำรุงรักษาอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะการดูแลรักษาระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ การทบทวนกรอบเงินลงทุนโครงการฯ เนื่องจากการประมาณการค่าสำรองเผื่อราคาของโครงการฯ อยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างสูง การกำกับ ดูแล และติดตามการดำเนินโครงการฯ ให้สามารถดำเนินการเป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ การให้ความสำคัญในการวางแผนทางการเงินและการบริหารการลงทุนของโครงการฯ อย่างรอบคอบและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการกำหนดแนวทางในการแสวงหารายได้อื่นเพื่อชดเชยผลขาดทุนของโครงการฯ ที่เกิดขึ้น เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อฐานะทางการเงินของ กฟภ. ในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒.๑ ให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของการขยายเขตไฟฟ้าแก่ผู้ขอไฟฟ้ารายใหม่อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะในพื้นที่เขตป่าสงวนและพื้นที่ของราชการ เพื่อป้องกันการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวน ที่สาธารณะ และที่ราชพัสดุเพิ่มเติม อันอาจจะส่งผลกระทบต่อการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินสาธารณะในระยะยาว ๒.๒ การดำเนินโครงการขยายเขตไฟฟ้าให้บ้านเรือนราษฎรรายใหม่ควรพิจารณาให้สอดคล้องกับเกณฑ์ตัวชี้วัดของยุทธศาสตร์จังหวัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานอยู่ในเกณฑ์ต่ำ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน รวมทั้งควรพิจารณาให้สอดคล้องกับนโยบายการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบ และการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรม (Zoning) ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
736 | สมาคมญาติและวีรชน 14 ตุลา 16 ขอให้พิจารณาจ่ายเงินดำรงชีพแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 | พม | 19/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการจ่ายเงินดำรงชีพรายเดือนเป็นครั้งสุดท้ายแก่วีรชน ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ หรือทายาทของวีรชนและค่าจัดการศพกรณีวีรชน ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ที่เสียชีวิตตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๑.๑.๑ ให้การช่วยเหลือเป็นเงินดำรงชีพรายเดือนเป็นครั้งสุดท้ายในอัตรา ๗,๐๐๐ บาทต่อเดือน แก่ผู้ที่เคยได้รับความช่วยเหลือตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๔๙ (เรื่อง การพิจารณาหลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖) จนเสียชีวิต โดยสิทธิดังกล่าวจะไม่ตกทอดถึงทายาทและให้จ่ายย้อนหลังตั้งแต่วันจันทร์ที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่นายกรัฐมนตรีเห็นชอบมอบหมายกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการนำเรื่องนี้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๔๙ มติคณะรัฐมนตรีวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๔๙ (เรื่อง รายงานการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖) และวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๐ (เรื่อง ตัวแทนวีรชน ๑ ตุลาคม ๒๕๑๖ ขอให้พิจารณาดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี แก่วีรชนที่พิการ ทุพพลภาพ) และให้ความเห็นชอบการให้ความช่วยเหลือสมาชิกสมาคมญาติและวีรชน ๑๔ ตุลา ๑๖ ซึ่งเสียชีวิตตั้งแต่วันจันทร์ที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ให้มีสิทธิได้รับเงินดำรงชีพรายเดือนตั้งแต่วันจันทร์ที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๕ จนถึงวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในการให้ความช่วยเหลือสมาชิกสมาคมญาติและวีรชน ๑๔ ตุลา ๑๖ หรือตามที่คณะรัฐมนตรีเห็นสมควร ๑.๑.๒ กรณีวีรชน ๑๔ ตุลา ๑๖ ซึ่งเสียชีวิตตั้งแต่ปี ๒๕๕๒ ในช่วงระหว่างการเรียกร้องครั้งนี้ ให้ช่วยเหลือค่าจัดการศพ รายละ ๒๐,๐๐๐ บาท ไม่รวมกรณีญาติวีรชนที่เสียชีวิตในช่วงระหว่างการเรียกร้อง เนื่องจากทางราชการได้ให้ความช่วยเหลือค่าจัดการศพวีรชนไปแล้ว ๑.๒ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จัดทำหลักฐานว่าผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ที่ได้รับเงินการช่วยเหลือเป็นเงินดำรงชีพในครั้งนี้ได้รับการเยียวยาที่เหมาะสมตามหลักมนุษยธรรมแล้ว จะไม่เรียกร้องขอรับเงินช่วยเหลืออื่นใดจากทางราชการอีก ๒. สำหรับงบประมาณดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้กันไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว ภายในกรอบวงเงิน จำนวน ๙,๔๑๐,๐๐๐ บาท โดยขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ หลังจากดำเนินการตามขั้นตอนและตรวจสอบหลักฐานในการจ่ายเงินให้ความช่วยเหลือจนได้ข้อยุติแล้ว ทั้งนี้ การให้ความช่วยเหลือในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป จะมีภาระงบประมาณ จำนวน ๕,๘๘๐,๐๐๐ บาทต่อปี หากช่วยเหลือเป็นเวลา ๑๐ ปี จะมีภาระงบประมาณทั้งสิ้น ๕๘,๘๐๐,๐๐๐ บาท สำหรับในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ไปดำเนินการเป็นลำดับแรกก่อน ส่วนในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
737 | รายงานสถานการณ์การใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย ประจำปี 2555 | รง | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานสถานการณ์การใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย ประจำปี ๒๕๕๕ ตามมติคณะกรรมการระดับชาติเพื่อขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ สถานการณ์การใช้แรงงานเด็กของประเทศไทยในปี ๒๕๕๕ มีแนวโน้มลดลง โดยข้อมูลลูกจ้างเด็กจากการตรวจแรงงานทั่วประเทศ เมื่อปี ๒๕๕๔ จำนวน ๑๙,๐๗๔ คน ลดลงเหลือ ๑๔,๙๗๒ คน ในปี ๒๕๕๕ เช่นเดียวกับข้อมูลลูกจ้างเด็กที่เป็นผู้ประกันตน จากสำนักงานประกันสังคม จำนวน ๕๐,๒๓๙ คน ในปี ๒๕๕๔ ลดลงเหลือ ๒๐,๔๖๕ คน ในปี ๒๕๕๕ ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจากการสำรวจภาวะการมีงานทำของประชากร ของสำนักงานสถิติแห่งชาติที่พบว่าจำนวนลูกจ้างภาคเอกชน ในปี ๒๕๕๔ มีจำนวน ๒๒๗,๐๑๓ คน และลดลงเหลือ ๑๘๙,๖๓๓ คน ในปี ๒๕๕๕ ๑.๒ ปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงาน ได้แก่ ประเทศไทยไม่มีการสำรวจแรงงานเด็กและแรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายในภาพรวมของทั้งประเทศ ทำให้ไม่มีข้อมูลที่แท้จริง ไม่มีระบบการจัดเก็บข้อมูลเพื่อสนับสนุนภารกิจการขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายเป็นการเฉพาะ และไม่มีการจัดสรรงบประมาณเป็นการเฉพาะสำหรับหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวข้องกับการขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย ๑.๓ ข้อเสนอแนะ ได้แก่ ควรให้มีการสำรวจจำนวนแรงงานเด็กและแรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายในระดับประเทศเพื่อใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการวางแผนการแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานเด็กอย่างเป็นระบบ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรวางระบบการจัดเก็บข้อมูลเพื่อสนับสนุนภารกิจการขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายเป็นการเฉพาะ ควรผลักดันให้มีเรื่องการขจัดการใช้แรงงานเด็กเป็นวาระแห่งชาติ และการให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทำ MOU ระหว่างกัน โดยกระตุ้นให้ทุกฝ่ายตระหนักรู้ถึงสภาพปัญหาและอาศัยความร่วมมืออย่างจริงจัง เพื่อให้ประเทศไทยปราศจากการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายจริงตามเป้าหมายโลกที่กำหนดไว้ให้มีการดำเนินการขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายให้หมดสิ้นไปภายในปี ๒๕๕๙ และขจัดการใช้แรงงานเด็กในทุกรูปแบบให้หมดสิ้นไปในปี พ.ศ. ๒๕๖๓ ๒. ให้กระทรวงแรงงาน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงยุติธรรมรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการระดับชาติเพื่อขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลยร้ายไปพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
738 | การจัดทำแผนเผชิญเหตุการณ์ป้องกันอันตรายและลดผลกระทบต่อประชาชนที่เกิดจากไฟฟ้าดับบริเวณกว้าง | มท | 05/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างแผนเผชิญเหตุป้องกันอันตรายและลดผลกระทบต่อประชาชนที่เกิดจากไฟฟ้าดับบริเวณกว้าง ตามมติคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (กปภ.ช.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๖ โดยวัตถุประสงค์ของร่างแผนฯ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการป้องกันอันตรายและลดผลกระทบต่อประชาชนที่เกิดจากไฟฟ้าดับบริเวณกว้างได้อย่างรวดเร็วและทันต่อสถานการณ์ มีการบูรณาการในการปฏิบัติงานระหว่างหน่วยงานและการประชาสัมพันธ์ต่อประชาชนและสื่อมวลชนได้อย่างรวดเร็ว ตลอดจนการรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นต่อผู้บังคับบัญชาทุกระดับ เพื่อบริหารจัดการในภาวะฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ให้ กปภ.ช. รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการกำหนดรูปแบบวิธีการรายงานสถานการณ์ต่าง ๆ ให้มีความชัดเจน โดยเฉพาะการระบุระดับของความรุนแรงของภัยที่เกิดขึ้นและผู้ที่จะต้องได้รับรายงานในแต่ละระดับ และพิจารณาการเพิ่มช่องทางพิเศษในการรายงานให้เกิดความรวดเร็วทันต่อสถานการณ์ เช่น SMS E-mail การรายงานเป็นลายลักษณ์อักษรหรือ Application ต่าง ๆ ที่สามารถสื่อสารได้อย่างรวดเร็ว โดยคำนึงถึงกรณีที่ไม่สามารถติดต่อสื่อสารในช่องทางปกติด้วย ทั้งนี้ กรณีไฟฟ้าดับบริเวณกว้างนอกจากจะคำนึงถึงมิติด้านขนาดพื้นที่แล้วควรพิจารณาในมิติด้านผลกระทบที่มีต่อระบบเศรษฐกิจ ไปพิจารณาปรับปรุงแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยต่าง ๆ ด้วย รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เกี่ยวกับการกำหนดให้มีผู้แทนจากกระทรวงพลังงานในส่วนบังคับบัญชาและอำนวยการศูนย์ปฏิบัติการป้องกันอันตรายและลดผลกระทบต่อประชาชนที่เกิดจากไฟฟ้าดับบริเวณกว้าง การกำหนดคำนิยามทางไฟฟ้าในแผนเผชิญเหตุป้องกันอันตรายและลดผลกระทบต่อประชาชนที่เกิดจากไฟฟ้าดับบริเวณกว้างให้ชัดเจน การกำหนดระดับดัชนีชี้วัดด้านความรุนแรงของเหตุการณ์ เช่น ปัจจัยด้านระยะเวลาจ่ายไฟฟ้าคืนระบบ ปัจจัยด้านจำนวนผู้ได้รับผลกระทบ และปัจจัยด้านความสำคัญของพื้นที่ เพื่อเป็นเครื่องมือในการตัดสินใจและบริหารจัดการในภาวะฉุกเฉินให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการบูรณาการระหว่างหน่วยงานด้านไฟฟ้าและหน่วยงานหลักในการเผชิญเหตุและหน่วยงานสนับสนุนที่รับผิดชอบในการจัดทำแผนฯ ก่อนนำไปปฏิบัติใช้จริง เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย และให้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาและดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ภายใต้กฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
739 | กฎกระทรวงกำหนดการจัดทำ ปัก ติดตั้งป้ายจราจร เครื่องหมายจราจร หรือสัญญาณจราจร สำหรับการจราจรบนทางหลวง พ.ศ. 2556 | คค | 01/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๖ ที่เห็นชอบกฎกระทรวงกำหนดการจัดทำ ปัก ติดตั้งป้ายจราจร เครื่องหมายจราจร หรือสัญญาณจราจร สำหรับการจราจรบนทางหลวง พ.ศ. ๒๕๕๖ มีสาระสำคัญคือ กำหนดการจัดทำ ปัก ติดตั้งป้ายจราจร เครื่องหมายจราจร หรือสัญญาณจราจรสำหรับการจราจรบนทางหลวง ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยร่วมกันลงนามในกฎกระทรวงฉบับนี้ใหม่ สำหรับค่าใช้จ่ายเพื่อดำเนินการตามประกาศกระทรวงฯ ให้กรมทางหลวงใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี ซึ่งได้รับการจัดสรรงบประมาณไว้แล้วในแผนงานพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ผลผลิตโครงข่ายทางหลวงมีความปลอดภัย กิจกรรมอำนวยความปลอดภัยเพื่อป้องกันและแก้ไขอุบัติเหตุทางถนน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) และกระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาในการปรับปรุงป้ายจราจรที่ใช้ภาษาอังกฤษสำหรับบางเมืองหรือจังหวัดที่เขียนแตกต่างจากหลักเกณฑ์การถอดอักษรไทยเป็นอักษรโรมันแบบถ่ายเสียงของราชบัณฑิตยสถานจนเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในการเขียนแบบนั้น เพื่อให้ชาวต่างประเทศเข้าใจได้โดยถูกต้อง ๓. ให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และราชบัณฑิตยสถาน ประสานและหารือร่วมกันในการจัดทำป้ายจราจร ป้ายบอกแหล่งท่องเที่ยว และป้ายบอกทางแหล่งท่องเที่ยว เพื่อให้มีภาษาของประเทศที่มีเขตแดนติดต่อกับประเทศไทย อันจะเป็นประโยชน์ต่อการท่องเที่ยวต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
740 | การปรับปรุงค่าตอบแทนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ปี 2556 และ ปี 2557 | ศธ | 01/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๕ต เมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี(นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบข้อเสนอการปรับปรุงค่าตอบแทนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ปี ๒๕๕๖ และ ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๑.๑ เห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดอัตราเงินเดือนสำหรับคุณวุฒิที่คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) รับรองเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ๑.๒ เห็นชอบการกำหนดอัตราเงินเดือนสำหรับคุณวุฒิที่ ก.ค.ศ. รับรองเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ และตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๗ มีหลักการ คือ กำหนดอัตราเงินเดือนแรกบรรจุให้ใกล้เคียงกับข้าราชการพลเรือนสามัญ และยึดโยงตามบัญชีเงินเดือนชั่วคราวของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ๑.๓ เห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดอัตราเงินเดือนและจำนวนเงินที่ได้ปรับตามคุณวุฒิที่ ก.ค.ศ. รับรอง ๑.๔ เห็นชอบการกำหนดอัตราเงินเดือนและจำนวนเงินที่ได้ปรับตามคุณวุฒิที่ ก.ค.ศ. รับรอง (การปรับเงินเดือนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบจากการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุใหม่) โดยให้มีผลใช้บังคับในวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ และในวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๗ ๑.๕ อนุมัติให้ใช้จ่ายงบประมาณสำหรับการปรับอัตราเงินเดือนสำหรับคุณวุฒิที่ ก.ค.ศ. รับรองเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาและการปรับเงินเดือนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบจากการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุใหม่ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ จำนวนเงินที่ใช้ปรับเพิ่ม ๒,๕๒๖,๗๘๒,๑๓๐ บาท โดยให้ใช้เงินเหลือจ่ายของแต่ละส่วนราชการก่อน หากไม่พอให้ใช้จ่ายจากงบกลาง รายการเงินเลื่อนเงินเดือนและเงินปรับวุฒิข้าราชการ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ และประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ๒. งบประมาณสำหรับดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้ส่วนราชการใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบบุคลากร หรือจากเงินงบประมาณที่มีเหลือจ่ายของแต่ละส่วนราชการเป็นลำดับแรกก่อน หากไม่เพียงพอให้ใช้จ่ายจากงบกลาง รายการเงินเลื่อนเงินเดือน และเงินปรับวุฒิข้าราชการในลำดับต่อไป |
.....