ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 40 จากทั้งหมด 252 หน้า แสดงรายการที่ 781 - 800 จากข้อมูลทั้งหมด 5030 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
781 | ยุทธศาสตร์การบูรณาการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการสนับสนุน ทางการเงินแก่การก่อการร้าย พ.ศ. 2556 - 2558 | ปง | 03/09/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์การบูรณาการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๘ ตามมติคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๕๖ เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐ องค์กรเอกชนที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนไปสู่การปฏิบัติ ตามที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเสนอ โดยมีกลยุทธ์และแนวทางการดำเนินการ ดังนี้
๑. เร่งสร้างความเข้าใจกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ศาล อัยการ ตำรวจ ทหาร กรมสอบสวนคดีพิเศษ หน่วยงานด้านความมั่นคงทั้งระดับชาติและระดับพื้นที่ ๒. ประสานงานกับหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ตามความผิดมูลฐาน และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายนำมาตรการตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายมาใช้อย่างเป็นรูปธรรม ๓. ประชาสัมพันธ์ให้กลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ เพื่อเป็นการป้องปรามมิให้มีการกระทำความผิด รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบเข้าใจว่ามีกฎหมายใหม่ออกมาบังคับใช้ เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการแจ้งข้อมูลเบาะแส พฤติการณ์ของบุคคล กลุ่มบุคคล หรือทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ๔. เร่งรัดการดำเนินการประกาศรายชื่อบุคคลที่ถูกกำหนดตามมติหรือประกาศภายใต้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และตามที่ศาลมีคำสั่ง ซึ่งเป็นไปตามมาตรา ๔ และรายชื่อบุคคลที่ถูกกำหนดตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย พ.ศ. ๒๕๕๖ ๕. บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านการข่าว การสืบสวน สอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน รวมทั้งการปฏิบัติการตรวจค้น จับกุม การยึด/อายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด ๖. การดำเนินการกับผู้กระทำความผิดมูลฐานและความผิดฐานฟอกเงิน และดำเนินการกับทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดอย่างจริงจังและเข้มงวด ๗. ติดตามประเมินผลการปฏิบัติและรายงานผลต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินทุกระยะ เพื่อทราบความคืบหน้าและปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการเพื่อเป็นข้อมูลในการแก้ไขปัญหาและพัฒนานโยบายต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
782 | ผลการเจรจาต่อรองกับบริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) งานสัญญาที่ 4 โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงช่วงบางใหญ่ - บางซื่อ (สถานีคลองบางไผ่ - สถานีเตาปูน) | คค | 03/09/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๖ ที่เห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอผลการพิจารณาคัดเลือกเอกชนลงทุนงานระบบรถไฟฟ้าและรับจ้างดำเนินกิจการ งานสัญญาที่ ๔ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ (สถานีคลองบางไผ่-สถานีเตาปูน) ที่ได้ดำเนินการเจรจาปรับลดค่างานจัดหาขบวนรถไฟฟ้าให้อยู่ในกรอบวงเงินที่กำหนดไว้ ซึ่งบริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ได้รับการคัดเลือก และร่างสัญญาฯ ที่ได้มีการปรับตามข้อสังเกตของสำนักงานอัยการสูงสุด และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ตามนัยมาตรา ๒๑ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
783 | รายงานผลการศึกษาเพิ่มเติม เพื่อคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนฯ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงช่วงเตาปูน - บางซื่อ (สัญญาที่ 5) (ฉบับปรับปรุง - มีนาคม 2556) | คค | 03/09/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๖ ที่เห็นชอบในหลักการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-บางซื่อ (งานสัญญาที่ ๕) โดยให้คณะกรรมการตามมาตรา ๑๓ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ เริ่มต้นกระบวนการคัดเลือกให้เอกชนร่วมงานโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-บางซื่อ (งานสัญญาที่ ๕) ตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด โดยเริ่มต้นจากรูปแบบ PPP Net Cost หากรูปแบบดังกล่าวไม่ประสบผลสำเร็จ ให้คณะกรรมการตามมาตรา ๑๓ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ พิจารณารูปแบบการลงทุน PPP Gross Cost หรือรูปแบบอื่น ๆ ที่มีความเหมาะสมและเกิดประโยชน์ต่อภาครัฐ โดยมีระยะเวลาของสัญญาเท่ากับระยะเวลาที่เหลืออยู่ของสายเฉลิมรัชมงคลซึ่งจะสิ้นสุดลงในวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๗๒ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
784 | มาตรการแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี 2556/57 | พณ | 03/09/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในฤดูกาลปี ๒๕๕๖/๕๗ อย่างเร่งด่วน ภายในกรอบวงเงินงบประมาณไม่เกิน ๑,๙๐๗.๒๕ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๑.๒ ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกันกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี ๒๕๕๖/๕๗ แต่ละขั้นตอนให้มีความรัดกุม ตามแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำของรัฐบาลที่มุ่งเน้นให้เกษตรกรได้รับประโยชน์โดยตรงอย่างแท้จริง โดยให้รับข้อสังเกตของคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เกี่ยวกับวิธีการปฏิบัติและการบริหารจัดการอุปสงค์และอุปทานที่เหมาะสมและชัดเจน เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๓ ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเตรียมความพร้อมตามกระบวนการให้ครบถ้วน เพื่อให้ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในปีต่อไปจะสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วและรัดกุม ๒. เห็นชอบให้ดำเนินการตามมาตรการและแนวทางที่กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้หารือร่วมกันแล้ว โดยมีความเห็นว่ามาตรการแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี ๒๕๕๖/๕๗ ที่คณะกรรมการนโยบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เสนอ เป็นมาตรการที่มีประสิทธิภาพและมีมาตรการกำกับดูแลรัดกุมให้เม็ดเงินตกถึงเกษตรกร และมีการวางแนวทางการกำกับดูแลที่ชัดเจน ซึ่งจำเป็นต้องเร่งดำเนินการ เพื่อแก้ไขปัญหาให้แก่เกษตรกรโดยเร็ว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอเพิ่มเติม โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเป็นต้นไป (๓ กันยายน-๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖) ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลการดำเนินการให้เป็นไปอย่างถูกต้อง รอบคอบ รัดกุม เพื่อให้ได้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่มีคุณภาพมาตรฐานตามที่กำหนด และเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดได้รับราคาจำหน่ายอย่างเป็นธรรม ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและข้อสังเกตของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่เห็นควรให้ความสำคัญต่อการเร่งระบาย/จำหน่าย/ผลักดันการส่งออกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ให้สอดคล้องกับการดำเนินการตามกรอบการค้าระหว่างประเทศ และในอนาคตควรมีมาตรการเชิงป้องกัน อาทิ การพัฒนาไซโลและอุปกรณ์ไล่ความชื้นเพื่อยืดอายุการเก็บข้าวโพดไม่ให้เสื่อมสภาพก่อนเวลา นอกจากนี้ เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการต้องมีเอกสารสิทธิ์ในที่ดินหรือที่ได้รับการผ่อนผันตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๓ (เรื่อง มาตรการเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาหมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ปี ๒๕๕๓) เท่านั้น รวมทั้งการจ่ายเงินชดเชยราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ผ่านผู้รวบรวมในพื้นที่ต้องคำนึงถึงความเป็นไปได้ตามระเบียบราชการ และต้องมีการกำหนดขั้นตอนการดำเนินการที่ชัดเจน รัดกุม รอบคอบ และตรวจสอบได้ เพื่อให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้รับประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
785 | โครงการแก้ไขปัญหายางพาราทั้งระบบ ปี 2557 | กษ | 03/09/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) ในการแก้ไขปัญหายางพาราทั้งระบบ ปี ๒๕๕๗ ประกอบด้วย วัตถุประสงค์ เป้าหมาย ระยะเวลาของโครงการ หน่วยงานรับผิดชอบ เงื่อนไขการดำเนินงาน และงบประมาณ โดยให้ปรับเปลี่ยนข้อเสนอโครงการเพื่อให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้นตามความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้แก่ ๑.๑.๑ วัตถุประสงค์ จากเดิม “เพื่อลดภาระต้นทุนค่าปุ๋ยเคมีของเกษตรกร” เป็น “เพื่อลดภาระต้นทุนค่าปัจจัยการผลิต เช่น ปุ๋ยเคมีของเกษตรกร” ๑.๑.๒ ระยะเวลาโครงการฯ แนวทางระยะสั้น จากเดิม “ตุลาคม ๒๕๕๖-พฤษภาคม ๒๕๕๗” เป็น “กันยายน ๒๕๕๖-พฤษภาคม ๒๕๕๗” ๑.๑.๓ การตรวจสอบพื้นที่ปลูกและพื้นที่เปิดกรีดจริงของเกษตรกร จากเดิม “สุ่มตรวจสอบพื้นที่ปลูกและพื้นที่เปิดกรีดยางพาราที่มีอยู่จริงจำนวนร้อยละ ๒๐ จากบัญชีรายชื่อผู้ขึ้นทะเบียนเกษตรกรฯ” เป็น “ตรวจสอบพื้นที่ปลูกและพื้นที่เปิดกรีดยางพาราที่มีอยู่จริงทุกแปลง จากบัญชีรายชื่อผู้ขึ้นทะเบียนเกษตรกรฯ” ๑.๒ ในส่วนของงบประมาณในการดำเนินงานตามแนวทางระยะสั้น เห็นควรให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงิน ๕,๖๒๘.๐๐๙๓ ล้านบาท หากดำเนินการแล้ววงเงินไม่เพียงพอ ให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๑.๓ ให้ กนย. ทำการศึกษาวิเคราะห์สถานการณ์และคาดการณ์ราคายางพาราในช่วงที่เหลือของปี เพื่อประกอบการพิจารณาความจำเป็นที่จะต้องมีมาตรการเสริมเพิ่มเติมจากแนวทางระยะสั้นและระยะยาว เพื่อแก้ไขปัญหาราคายางอย่างยั่งยืน ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร ในฐานะหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการสนับสนุนค่าปุ๋ยให้แก่เกษตรกรชาวสวนยางพาราควรมีระบบการกำกับดูแล และตรวจสอบการขึ้นทะเบียนอย่างรอบคอบและรัดกุม ตลอดจนควรมีการชี้แจงเกษตรกรชาวสวนยางพาราถึงสิทธิ์ในการเข้าร่วมโครงการอย่างชัดเจนและทั่วถึง ควรมีมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตควบคู่ไปด้วย รวมทั้งพิจารณาปรับปรุงการบริหารจัดการเงินสงเคราะห์การทำสวนยาง (Cess) เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราทั้งระบบ ควรเน้นให้การสนับสนุนสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนให้แก่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และสถาบันเกษตรกรที่มีศักยภาพเป็นหลัก ควรให้มีการจัดทำแผนการดำเนินงานในการลดต้นทุนการผลิตและปริมาณการผลิตอย่างเป็นระบบ รวมทั้งการเพิ่มมูลค่าและส่งเสริมการใช้ยางภายในประเทศ โดยบูรณาการองค์ความรู้และงานวิจัยและพัฒนาของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องประกอบการจัดทำแผนการดำเนินงานเพื่อเร่งปรับระบบการผลิตยางพาราของไทยให้สอดคล้องกับสถานการณ์การผลิตและการตลาดยางพาราโลก ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. เพื่อให้หน่วยงานและผู้ที่เกี่ยวข้องได้ทราบและเข้าใจอย่างถูกต้องตรงกันว่า การดำเนินโครงการแก้ไขปัญหายางพาราทั้งระบบตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติในข้อ ๑ เป็นแนวทางการดำเนินการที่มีความเหมาะสมและจะสามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว จึงให้ฝ่ายเลขานุการ กนย. นำมติคณะรัฐมนตรีเรื่องนี้รายงานต่อที่ประชุม กนย. ว่าเป็นการดำเนินการที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรรายย่อยส่วนใหญ่แล้ว โดยหากจะพิจารณามาตรการเพิ่มเติม ก็ให้ กนย. พิจารณาแล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
786 | รายงานผลการดำเนินงาน ขอความเห็นชอบขยายระยะเวลาการดำเนินงานโครงการปรับโครงสร้างหนี้และฟื้นฟูอาชีพเกษตรกร ตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 7 เมษายน 2553 และขออนุมัติเปลี่ยนแปลงงบประมาณเพื่อนำมาใช้ในการฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรและการจัดการหนี้ของเกษตรกรตามกฎหมายกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร | นร | 03/09/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานโครงการปรับโครงสร้างหนี้และฟื้นฟูอาชีพเกษตรกร ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๓ (เรื่อง โครงการปรับโครงสร้างหนี้และฟื้นฟูอาชีพเกษตรกร) ๑.๑ เกษตรกรแสดงความจำนงเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน ๑๑๐,๒๒๘ ราย เกษตรกรผ่านการอบรมฯ ทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ได้รับเงินสนับสนุนการฟื้นฟูอาชีพแล้ว จำนวน ๔,๙๑๙ ราย เกษตรกรผ่านการอบรมฯ ทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้รอรับเงินสนับสนุนการฟื้นฟูอาชีพ จำนวน ๕,๗๔๓ ราย เกษตรกรผ่านการอบรมฯ ยังไม่ได้ทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ จำนวน ๖๒,๒๐๐ ราย เกษตรกรยังไม่ผ่านการอบรมฯ และยังไม่ได้ทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ จำนวน ๓๗,๓๖๖ ราย ๑.๒ เกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรแสดงความจำนงเข้าร่วมโครงการฯ ได้ผ่านการอบรมปรับกระบวนทัศน์แต่ยังไม่ได้ทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ และเกษตรกรที่เสนอความจำนงเข้าร่วมโครงการฯ แต่ยังไม่ผ่านการอบรมปรับกระบวนทัศน์และยังไม่ได้ทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ รวมแล้วเหลืออีกจำนวน ๙๙,๕๖๖ ราย เนื่องจากประสบปัญหาอุปสรรคทำให้การดำเนินงานล่าช้าไม่เป็นไปตามแผนงานที่กำหนด ประกอบกับโครงการฯ ได้สิ้นสุดลงในปีงบประมาณ ๒๕๕๕ (กันยายน ๒๕๕๕) จำเป็นต้องขอขยายระยะเวลาการดำเนินงานออกไปอีกเป็นระยะเวลา ๑๘ เดือน โดยนับจากวันที่คณะรัฐมนตรีพิจารณามีมติเพื่อกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรสามารถนำเงินงบประมาณที่เหลืออยู่ไปดำเนินงานตามโครงการฯ ๒. เห็นชอบขยายระยะเวลาการดำเนินงานโครงการปรับโครงสร้างหนี้และฟื้นฟูอาชีพเกษตรกร ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๓ ออกไปอีกเป็นระยะเวลา ๑๘ เดือน นับจากวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓ กันยายน ๒๕๕๖) โดยใช้จ่ายจากเงินโครงการที่คงเหลือในบัญชีสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร เป็นเงิน ๙๔๕,๓๙๒,๗๑๐ บาท และเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาการขยายระยะเวลาโครงการฯ แล้ว หากมีเงินเหลือให้คณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรนำไปดำเนินงานตามกฎหมายต่อไป ๓. อนุมัติเปลี่ยนแปลงงบประมาณเพื่อนำมาใช้ในการฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ตามมาตรา ๓๐ มาตรา ๓๑ และมาตรา ๓๗/๙ วรรคท้าย และการจัดการหนี้ของเกษตรกร ตามมาตรา ๓๗/๙ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร พ.ศ. ๒๕๔๒ และ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๔ พร้อมค่าใช้จ่ายดำเนินงานของสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนดกลไกการตรวจสอบและติดตามการนำงบประมาณที่ได้รับอนุมัติดังกล่าวไปใช้เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ และควรมีการประเมินผลโครงการฯ อย่างต่อเนื่องด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
787 | มติคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ครั้งที่ 7/2556 | กค | 03/09/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบมติคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ในการประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๖ ซึ่งเห็นชอบมาตรการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ และการผ่อนผันขยายระยะเวลาการก่อหนี้และการปรับแผนปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ของหน่วยงาน จำนวน ๒๗ หน่วยงาน จำนวนเงิน ๒๒,๕๑๑.๔๙ ล้านบาท และให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติต่อไป ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเสนอ ๒. การผ่อนผันการขยายระยะเวลาการก่อหนี้และการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ของหน่วยงานต่าง ๆ จำนวน ๒๗ หน่วยงาน ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๒.๑ ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายรายจ่ายประจำ ภายหลังวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ (ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๖) จำนวน ๒๑ หน่วยงาน วงเงิน ๖๘๑.๓๖๐๒ ล้านบาท ๒.๒ ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันรายจ่ายลงทุน ภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ จำนวน ๑๖ หน่วยงาน วงเงิน ๑๔,๗๑๑.๕๑๓๔ ล้านบาท และก่อหนี้ผูกพันภายหลังวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ จำนวน ๔ หน่วยงาน วงเงิน ๔,๗๖๗.๐๕๓๕ ล้านบาท ๒.๓ ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณโดยโอนเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณ รายจ่ายประจำ วงเงิน ๒๐๐.๔๗๙๒ ล้านบาท และรายจ่ายลงทุน วงเงิน ๑,๐๒๐.๔๖๐๓ ล้านบาท รวมทั้งสิ้น ๑,๒๒๐.๙๓๙๕ ล้านบาท เพื่อไปดำเนินโครงการ/รายการใหม่ จำนวน ๑๓ หน่วยงาน วงเงิน ๑,๑๓๐.๖๒๘๗ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
788 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ชั้นคุณภาพลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ เพื่อก่อสร้างโครงการวางท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกจากชายแดนไทย - สหภาพพม่า มายังสถานีควบคุมก๊าซที่ BVW01 | พน | 27/08/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบผ่อนผันการใช้พื้นที่ชั้นคุณภาพลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ ระยะทางโดยประมาณ ๒๘๗ เมตร เพื่อดำเนินการโครงการวางท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกจากชายแดนไทย-สหภาพพม่า มายังสถานีควบคุมก๊าซที่ BVW01 ในพื้นที่หมู่ ๑ บ้านอีต่อง ตำบลปิล๊อก อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอเป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย ทั้งนี้ ให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (บมจ. ปตท.) ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมฯ ตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติโดยเคร่งครัด ตามความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการดำเนินโครงการวางท่อส่งก๊าซธรรมชาติในอนาคตของ บมจ. ปตท. ควรหลีกเลี่ยงการใช้พื้นที่ชั้นคุณภาพลุ่มน้ำ หรือพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ หรือพื้นที่ที่มีความสำคัญทางทรัพยากรธรรมชาติ โดยศึกษาทางเลือกอื่นในการดำเนินโครงการ เพื่อลดผลกระทบต่อทรัพยากรที่อาจไม่สามารถกลับสู่สภาพเดิมหรือทดแทนได้ การให้ความสำคัญต่อการดำเนินการตามกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมของเมียนมาร์ เพื่อลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมอันเกิดจากการดำเนินโครงการในเมียนมาร์ เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของไทย และป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ที่สร้างผลกระทบต่อความรู้สึกของประชาชนและภาคประชาสังคมที่มีต่อการลงทุนและการเข้าไปพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติของไทยในเมียนมาร์ที่อาจส่งผลต่อการดำเนินความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างสองประเทศ นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับระบบตรวจสอบผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมต่อชุมชน และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมของการดำเนินโครงการ ทั้งในระยะก่อสร้าง และระยะดำเนินการ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
789 | การขอขยายระยะเวลาการลงนามในสัญญาจ้างของกระทรวงสาธารณสุข | กค | 27/08/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๖ ที่เห็นควรผ่อนผันการก่อหนี้ของกระทรวงสาธารณสุข จำนวน ๑๔ รายการ โดยให้ก่อหนี้ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ และไม่เห็นควรผ่อนผัน จำนวน ๓ รายการ ประกอบด้วย รายการอาคารห้องสมุดและเทคโนโลยีวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี เชียงใหม่ รายการอาคารศูนย์การเรียนรู้ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ และอาคารที่ทำการและสิ่งก่อสร้างประกอบเป็นอาคารคลังเก็บวัคซีนมาตรฐานของภูมิภาค เนื่องจากเป็นรายการที่ไม่ได้เกิดประโยชน์ต่อสาธารณชนในวงกว้าง ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเสนอ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการกำกับและติดตามการดำเนินงานให้เป็นไปตามระยะเวลาที่ผ่อนผัน โดยรายการที่ไม่ได้รับการผ่อนผัน จำนวน ๓ รายการ ให้พิจารณาทบทวนและปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๖ ตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖) ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
790 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำสินค้าเกษตรตามโครงการความร่วมมือเกษตรแบบมีสัญญากับประเทศเพื่อนบ้าน ภายใต้ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี - เจ้าพระยา - แม่โขง (ACMECS) เข้ามาในราชอาณาจักร ประจำปี 2556 พ.ศ. .... | พณ | 27/08/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำสินค้าเกษตรตามโครงการความร่วมมือเกษตรแบบมีสัญญากับประเทศเพื่อนบ้านภายใต้ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (ACMECS) เข้ามาในราชอาณาจักร ประจำปี ๒๕๕๖ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้การนำเข้าสินค้าเกษตรทั้ง ๑๐ ชนิด ได้แก่ ข้าวโพดหวาน ถั่วเขียวผิวมัน มันสำปะหลัง (มันเส้น) ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ลูกเดือย ถั่วเหลือง ถั่วลิสง ละหุ่ง งา และไม้ยูคาลิปตัส ซึ่งมีถิ่นกำเนิดและส่งตรงมาจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ราชอาณาจักรกัมพูชา และสหภาพเมียนมาร์ ตามโครงการความร่วมมือเกษตรแบบมีสัญญากับประเทศเพื่อนบ้าน เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองตามที่กำหนดแสดงต่อกรมศุลกากรในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับบทอาศัยอำนาจ และความถูกต้องของรายละเอียดต่าง ๆ เช่น การระบุชื่อประเทศสหภาพเมียนมาร์หรือพิกัดอัตราศุลกากร โดยเฉพาะถั่วเหลืองและไม้ยูคาลิปตัส ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. เห็นชอบข้อสังเกตของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการให้คณะกรรมการจัดทำแผนการลงทุนเกษตรแบบมีสัญญากับประเทศเพื่อนบ้านพิจารณาจัดสรรสินค้าเกษตร โดยคำนึงถึงช่วงระยะเวลาที่ผลผลิตสินค้าเกษตรออกสู่ท้องตลาด การดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้ครอบคลุมทุกภาคส่วนเพื่อให้การดำเนินโครงการฯ ไม่เกิดการร้องเรียนในภายหลัง การบูรณาการในการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การกำกับดูแลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล การเร่งพัฒนาศักยภาพการให้บริการของด่านสินค้าเกษตรชายแดนให้มีระบบตรวจสอบสินค้าเกษตรให้ได้มาตรฐานและเป็นที่ยอมรับของต่างประเทศ การพัฒนาระบบการติดตามและตรวจสอบสินค้าเกษตรที่นำเข้าให้ปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบอย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันการนำเข้าสินค้าเกษตรที่ไม่ได้คุณภาพ การป้องกันโรคพืชที่อาจจะติดมากับสินค้าเกษตรนำเข้า รวมทั้งการติดตามการนำเข้าสินค้าเกษตรอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่มีผลผลิตเกินความต้องการใช้ภายในประเทศ อาทิ มันสำปะหลัง เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อปริมาณและราคาสินค้าเกษตรภายในประเทศ และให้กระทรวงพาณิชย์รับไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
791 | ร่างหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติปลีกย่อยเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือด้านการเกษตรผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2556 | กษ | 27/08/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๖ ที่รับทราบร่างหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติปลีกย่อยเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือด้านการเกษตรผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ปรับปรุงแก้ไขร่างหลักเกณฑ์ฯ ข้อ ๕.๑ (๓) โดยตัดข้อความ “ยกเว้นรายการสินค้าควบคุมที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด” เนื่องจากกระทรวงพาณิชย์มิได้มีกฎหมายกำหนดราคาจำหน่ายปลีก เพียงแต่กำหนดให้ผู้จำหน่ายปลีกปิดป้ายแสดงราคาจำหน่ายปลีกให้ชัดเจนและเปิดเผย และกำกับดูแลให้ราคาจำหน่ายเป็นไปตามกลไกตลาด สำหรับราคาจำหน่าย ณ โรงงาน จะกำหนดให้ผู้ผลิต ผู้ว่าจ้างผลิต ผู้นำเข้า เพื่อจำหน่ายแจ้งราคาจำหน่าย และรายละเอียดของสินค้า ห้ามจำหน่ายแตกต่างจากที่แจ้งไว้ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเลขาธิการคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการเท่านั้น ตามความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ แล้วดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไปได้ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับไปดำเนินการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติปลีกย่อยในการให้ความช่วยเหลือด้านการเกษตรผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินให้ประชาชนในแต่ละพื้นที่ได้รับทราบอย่างถูกต้องและทั่วถึงต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
792 | ขอเงินงบกลางช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติด้านการเกษตร ปี 2555 - 2556 | กษ | 27/08/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้อนุมัติเงินงบกลางช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติด้านการเกษตร ปี ๒๕๕๕-๒๕๕๖ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย ภัยแล้ง ภัยฝนทิ้งช่วง วาตภัย โรคพืชระบาด ได้แก่ โรคแอนแทรคโนสในหอมแดง โรคเหี่ยวในมะเขือเทศ โรคเหี่ยวเขียวในแตงโม โรคไหม้ในข้าวนาปรัง โรคใบหงิกเหลืองในมะเขือเทศ โรคใบจุดสีม่วงในกระเทียมและหอมแดง และไรกระเทียม รวมทั้งศัตรูพืชระบาด และภัยอื่น ๆ ได้แก่ น้ำทะเลเป็นพิษจากการตายของแพลงตอนจมลงสู่พื้นทะเล เกิดก๊าซแอมโมเนียและก๊าซไข่เน่า น้ำทะเลเปลี่ยนสี (ขี้ปลาวาฬ) ช่วงประสบภัยระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ถึงเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ รวม ๔๒ จังหวัด เกษตรกรจำนวน ๖๙๒,๓๑๗ ราย วงเงินขอรับความช่วยเหลือรวมทั้งสิ้น ๖,๐๙๒,๘๗๘,๙๖๗ บาท ๑.๒ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของช่วงระยะเวลาและกรอบวงเงินให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ ตลอดจนระเบียบและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับการปฏิบัติงานและการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติในระดับพื้นที่ ๑.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งสำรวจจำนวนเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติก่อนวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๖ ที่เหลือทั้งหมด เพื่อเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) พิจารณาโดยด่วนต่อไป ๒. การใช้จ่ายเงินงบประมาณเพื่อให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติในกรณีต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี เช่น อุทกภัย ภัยศัตรูพืชระบาด และภัยแล้ง เป็นต้น เป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ ทำให้สูญเสียงบประมาณจำนวนมากและไม่เกิดความยั่งยืน ดังนั้น เพื่อให้การใช้จ่ายเงินงบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดความคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น สมควรที่หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย จะได้พิจารณาจัดทำแผนงาน/โครงการในเชิงรุกเพื่อการเตรียมการและป้องกันหรือบรรเทาปัญหา/ภัยต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นล่วงหน้า โดยให้นำผลการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) ที่เกี่ยวข้องมาพิจารณาประกอบการจัดทำแผนงาน/โครงการด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
793 | โครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า 500,000 บาท ผ่านสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร | กษ | 27/08/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบโครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท ผ่านสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. เห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณการดำเนินโครงการระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๘ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๓,๖๘๔.๗๑๔ ล้านบาท จำแนกเป็น ๒.๑ อนุมัติเงินงบกลาง รายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๑,๙๖๖.๙๖๐ ล้านบาท เพื่อชดเชยให้สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรที่พักหนี้หรือลดภาระหนี้ให้สมาชิก จำนวน ๑,๔๔๕.๘๒๑ ล้านบาท และจัดสรรให้สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรเป็นเงินอุดหนุนจ่ายขาดเพื่อฟื้นฟูอาชีพแก่สมาชิก จำนวน ๕๒๑.๑๓๙ ล้านบาท ๒.๒ อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินการโครงการเพื่อจ่ายชดเชยดอกเบี้ย โดยให้กับสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรปีที่ ๒ และปีที่ ๓ ปีละ ๘๕๘.๘๗๗ ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑,๗๑๗.๗๕๔ ล้านบาท โดยให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ประสานกับสำนักงบประมาณในการขอตั้งงบประมาณต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
794 | ขอขยายระยะเวลาการดำเนินงานโครงการกระจายแพทย์หนึ่งอำเภอหนึ่งทุน | สธ | 27/08/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ ดังนี้
๑. เห็นสมควรปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๔๘ (เรื่อง การขอรับการสนับสนุนโครงการกระจายแพทย์หนึ่งอำเภอหนึ่งทุน) โดยให้ขยายกำหนดเวลาสิ้นสุดการดำเนินโครงการกระจายแพทย์หนึ่งอำเภอหนึ่งทุน จากเดิมสิ้นสุดในปี ๒๕๕๖ เป็นสิ้นสุดในปี ๒๕๖๐ โดยใช้กรอบวงเงินงบประมาณเดิมที่ได้รับอนุมัติไว้แล้ว เพื่อรับนักเรียนเข้าศึกษาในโครงการฯ ให้ได้ครบตามเป้าหมาย จำนวน ๓,๒๓๒ ทุน ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรมีกลไกการประสานงานการดำเนินงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับนักเรียนผู้ที่สมัครเข้าร่วมโครงการฯ อย่างเข้มข้น และควรมีแนวทางการพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนของการศึกษาระดับขั้นพื้นฐานตั้งแต่ประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษาโดยเฉพาะโรงเรียนระดับอำเภอ เพื่อให้นักเรียนมีศักยภาพมากพอที่จะสอบแข่งขันให้ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกของสถาบันฝ่ายผลิตแพทย์ รวมทั้งควรมีแผนรองรับการบรรจุนักเรียนแพทย์ที่จบการศึกษาและวางระบบบริหารจัดการอัตรากำลังให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ระบบบริหารกำลังคนด้านสุขภาพ และควรมีการประเมินผลการดำเนินการที่ผ่านมาและปรับปรุงเพื่อให้สามารถดำเนินตามแผนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ เห็นควรปรับปรุงกระบวนการคัดสรรนักเรียน ตั้งแต่ช่วงมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีบทบาทร่วมกันดูแลนักเรียนอย่างใกล้ชิด จัดหลักสูตรพัฒนาศักยภาพเพิ่มเติมเพื่อให้ผู้เรียนสามารถศึกษาได้จนจบหลักสูตร ตลอดจนให้ความสำคัญกับการรักษามาตรฐานการผลิตบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อพัฒนามาตรการการรักษาบุคลากรทางการแพทย์โครงการฯ ให้มีประสิทธิภาพ โดยจัดสรรค่าตอบแทน สวัสดิการ และสร้างความก้าวหน้าในอาชีพให้ชัดเจน เพื่อดึงดูดบุคลากรกลุ่มนี้ไว้ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
795 | การทบทวนกฎหมายที่ตราโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ 2550 | อื่นๆ | 20/08/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการทบทวนกฎหมายที่ตราโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ๒๕๕๐ ตามที่คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) เสนอ ซึ่งได้จำแนกการพิจารณาปรับปรุงกฎหมายที่ตราขึ้นโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติออกเป็นกฎหมายที่ควรปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญ (แก้ไขเนื้อหาของกฎหมาย) กฎหมายที่ควรให้ยกเลิก และกฎหมายที่ควรให้คงไว้เช่นเดิม (แต่อาจมีการพิจารณาทบทวนเพื่อแก้ไขภายหลัง) โดยแบ่งออกเป็น ๑.๑.๑ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกระจายอำนาจและการมีส่วนร่วมของประชาชน ได้แก่ กฎหมายที่ควรปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญ จำนวน ๔ ฉบับ และกฎหมายที่ควรให้คงไว้เช่นเดิม จำนวน ๒ ฉบับ ๑.๑.๒ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม ได้แก่ กฎหมายที่ควรปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญ จำนวน ๕ ฉบับ และกฎหมายที่ควรให้คงไว้เช่นเดิม จำนวน ๓๗ ฉบับ ๑.๑.๓ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ได้แก่ กฎหมายที่ควรปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญ จำนวน ๙ ฉบับ กฎหมายที่ควรยกเลิก จำนวน ๒ ฉบับ และกฎหมายที่ควรให้คงไว้เช่นเดิม จำนวน ๗ ฉบับ ๑.๑.๔ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ได้แก่ กฎหมายที่ควรปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญ จำนวน ๑๔ ฉบับ และกฎหมายที่ควรให้คงไว้เช่นเดิม จำนวน ๙ ฉบับ ๑.๑.๕ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการสังคม ประกอบด้วย กฎหมายที่ควรปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญ จำนวน ๒ ฉบับ และกฎหมายที่ควรให้คงไว้เช่นเดิม จำนวน ๒๐ ฉบับ ๑.๒ ให้ส่วนราชการที่มีความเห็นสอดคล้องกับการแก้ไขกฎหมายตามที่ คปก. เสนอ จำนวน ๘ ฉบับ ได้แก่ พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๙ พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๑ พระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชน พ.ศ. ๒๕๕๑ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ พระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๕๑ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ พระราชบัญญัติพัฒนาที่ดิน พ.ศ. ๒๕๕๑ และพระราชบัญญัติส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐ รับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ให้ส่วนราชการที่รักษาการตามกฎหมายพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของกฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมายที่มีปัญหาอุปสรรคในการบังคับใช้ ทั้งนี้ หากมีกฎหมายที่ไม่ใช่ในส่วนของฝ่ายบริหาร ซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการปรับปรุงและพัฒนากฎหมาย เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งส่วนราชการเห็นว่าควรที่จะได้มีการปรับปรุงแก้ไขหรือเร่งรัด ก็ให้สามารถนำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เป็นประธานกรรมการ พิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
796 | แผนการบริหารจัดการสินทรัพย์ที่ได้มาจากสัญญาสัมปทาน และแนวทางการขอปรับปรุงการใช้งานคลื่นความถี่ของบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) และบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) | ทก | 20/08/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบแผนการบริหารจัดการสินทรัพย์ที่ได้มาจากสัญญาสัมปทาน และแนวทางการขอปรับปรุงการใช้งานคลื่นความถี่ของบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) (กสท) และบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) (ทีโอที) โดยการนำทรัพย์สินโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2G ที่รับมอบจากคู่สัญญาสัมปทานมาให้บริการได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ใช้บริการไม่ได้รับผลกระทบจากการสิ้นสุดสัญญาสัมปทานของ กสท และลูกค้าเฉพาะกลุ่มของ ทีโอที ได้รับบริการอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการพัฒนาต่อยอดโครงข่ายโทรศัพท์ 2G เป็นโครงข่ายสื่อสารข้อมูลความเร็วสูงไร้สายด้วยเทคโนโลยี Long Term Evolution (LTE) ให้กระจายทั่วภูมิภาค สร้างความเท่าเทียมให้แก่ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลในการเข้าถึงเทคโนโลยี ICT ๒. รับทราบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจะเป็นผู้แทน กสท และ ทีโอที ในการดำเนินการเจรจากับคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ซึ่งเป็นอำนาจในการพิจารณาของ กสทช. เพื่อขอปรับปรุงการใช้งานคลื่นความถี่ตามแผนการบริหารจัดการสินทรัพย์ดังกล่าว |
|||||||||||||||||||||||||||
797 | ผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ 9/2556 | นร01 | 20/08/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมติคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ในการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายยุคล ลิ้มแหลมทอง) ปฏิบัติหน้าที่ประธาน กบอ. เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน ดำเนินการก่อสร้างประตูระบายน้ำและสถานีสูบน้ำคลองบางบัวทอง ตำบลอ้อมเกร็ด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ในวงเงินทั้งสิ้น ๔๔๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยจำแนกเป็นงานจ้างเหมาก่อสร้าง เป็นเงิน ๔๓๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยให้กรมชลประทานใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ จำนวน ๑๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือ จำนวน ๒๘๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และงานดำเนินการเอง ค่าควบคุมงาน เป็นเงิน ๑๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีของกรมชลประทาน และเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ รองรับตามความจำเป็นต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. เห็นชอบให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยขยายระยะเวลาการดำเนินการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง พ.ศ. ๒๕๕๖ ออกไปอีก โดยเริ่มตั้งแต่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ เป็นต้นไป จนกว่าการให้ความช่วยเหลือจะแล้วเสร็จ ทั้งนี้ ไม่เกินสิ้นปีงบประมาณ หรือภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ |
|||||||||||||||||||||||||||
798 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2556 | ทส | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่จังหวัดพังงาและจังหวัดกระบี่ รวม ๓ ฉบับ ตามความเห็นของคณะอนุกรรมการพิจารณาการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำร่างประกาศกระทรวงฯ เสนอคณะรัฐมนตรี รวมทั้งแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาข้อมูลและผลกระทบที่เกิดขึ้นระหว่างที่ประกาศกระทรวงฯ สิ้นผลการบังคับใช้ โดยดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายใน ๒ เดือน และรายงานต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พร้อมทั้งประสานจังหวัดเพื่อทราบ ๒. เห็นชอบร่างรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๔ (ฉบับปรับปรุงแก้ไข) และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแจ้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างบูรณาการ รวมทั้งนำรายงานดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป ๓. รับทราบผลการดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการลักลอบทิ้งและบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมที่เป็นอันตราย ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๕ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๕๒ (เรื่อง มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการลักลอบทิ้งและบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมที่เป็นอันตราย) โดยให้กรมควบคุมมลพิษจัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานหรือคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณากำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการลักลอบทิ้งและบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมที่เป็นอันตรายและขยะติดเชื้อ ในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว และให้กรมควบคุมมลพิษนำมาตรการฯ (ระยะสั้น) เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณามอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปปฏิบัติให้บังเกิดผลสำเร็จ โดยระบุว่าจะมีการนำมาตรการระยะกลาง และระยะยาว ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดทำมาตรการเสนอคณะรัฐมนตรีในลำดับถัดไป ๔. เห็นชอบในหลักการแนวทางการสนับสนุนเงินกองทุนสิ่งแวดล้อม เพื่อการฟื้นฟูระบบบำบัดน้ำเสียรวม หรือระบบกำจัดของเสียรวม ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย ปี ๒๕๕๔ โดยเป็นการสนับสนุนเงินกองทุนฯ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรร ข้อ ๑๕ (๒) ของระเบียบคณะกรรมการกองทุนสิ่งแวดล้อม ว่าด้วยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการขอจัดสรรและขอกู้ยืมเงินกองทุนสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๒ โดยให้คณะกรรมการกองทุนสิ่งแวดล้อมเป็นผู้พิจารณาอนุมัติจัดสรรเงินกองทุนฯ ให้กับ อปท. ที่มีความประสงค์ขอรับการสนับสนุนเป็นรายโครงการ และให้ อปท. ดำเนินการจัดเก็บค่าบริการบำบัดน้ำเสียและค่าปรับ และนำมาหักส่งเข้ากองทุนฯ ตามอัตราที่คณะกรรมการกองทุนสิ่งแวดล้อมกำหนด รวมทั้งเห็นชอบให้มาตรการสนับสนุนเงินกู้จากกองทุนสิ่งแวดล้อมเพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้รับบริการจากกองทุนสิ่งแวดล้อมที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย พ.ศ. ๒๕๕๔ สิ้นสุดการบังคับใช้ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ โดยไม่มีการขยายระยะเวลาการบังคับใช้ ๕. เห็นชอบสรุปผลการวิเคราะห์แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำโครงการที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อขอตั้งงบประมาณแผ่นดิน หมวดเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ ประจำปี ๒๕๕๗ และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานหรือคณะอนุกรรมการ เพื่อพิจารณาทบทวนและให้ข้อเสนอแนะแนวทางในการพัฒนาระบบการบริหารจัดการกองทุนสิ่งแวดล้อม การสรรหาแหล่งเงินทุน การจัดสรรเงินกองทุนสิ่งแวดล้อม การกำหนดสัดส่วนการสมทบเงินกองทุนสิ่งแวดล้อม การสร้างความเข้าใจกับท้องถิ่น และการจัดเก็บเงินจากผู้ก่อมลพิษตามหลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย และนำเสนอประธานกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาลงนาม ๖. เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ด้านการพัฒนาโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ในการประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๔ ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการกังหันลมผลิตไฟฟ้าลำตะคอง ระยะที่ ๒ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี โดยให้ กฟผ. ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมฯ และนำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณา
|
|||||||||||||||||||||||||||
799 | รายงานการแก้ไขปัญหาการรั่วไหลของน้ำมันดิบลงทะเลอ่าวมาบตาพุดและการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ | พน | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการแก้ไขปัญหาการรั่วไหลของน้ำมันดิบลงทะเลอ่าวมาบตาพุดและการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การบริหารจัดการเหตุฉุกเฉินและการขจัดคราบน้ำมันดิบในพื้นที่ที่น้ำมันดิบรั่วไหล บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ได้ดำเนินการหยุดการรั่วไหลทันที โดยการปิดวาล์วและหยุดขนถ่ายน้ำมัน มีการประกาศเหตุฉุกเฉินพร้อมการตั้งศูนย์ควบคุมเหตุฉุกเฉิน และประสานงานกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัทในกลุ่ม ปตท. และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ความช่วยเหลือตามแนวทางปฏิบัติจากการซ้อมแผนฉุกเฉินรองรับภาวะวิกฤต และบริหารความต่อเนื่องของธุรกิจ ๒. ความคืบหน้าการกำจัดคราบน้ำมัน พบว่าสภาพในทะเลและชายหาดเริ่มเข้าสู่สภาวะปกติ ยังคงเหลือคราบน้ำมันบริเวณซอกหินเท่านั้น ทั้งนี้ PTTGC ได้ดำเนินการทำความสะอาดอย่างต่อเนื่อง โดยมีการใช้น้ำแรงดันสูง ซึ่งสามารถขจัดคราบได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีการพลิกทรายเพื่อให้น้ำมันขนาดเล็กทำปฏิกริยากับแสงแดดและสลายได้เองตามธรรมชาติ ๓. การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ มีผู้ร้องเรียน ๑,๒๕๐ ราย แบ่งกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบเป็น ๔ กลุ่มหลัก คือ กลุ่มอาชีพประมง มีผู้ร้องเรียนประมาณ ๔๐๐ กว่าราย มีผู้ผ่านหลักเกณฑ์การพิจารณาผ่านการตรวจสอบเอกสาร และได้รับอนุมัติจากจังหวัด จำนวน ๑๑๗ ราย โดยจะมีการจ่ายเงินชดเชยในวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๖ จ่ายค่าชดเชยรายละ ๓๐,๐๐๐ บาท (อัตราค่าชดเชย ๑,๐๐๐ บาทต่อวัน x จำนวน ๓๐ วัน) กลุ่มผู้ประกอบการโรงแรมและร้านอาหาร มีผู้ร้องเรียน จำนวนประมาณ ๖๐๐ กว่าราย อยู่ระหว่างการเจรจารายละเอียด กลุ่มผู้ได้รับผลกระทบทางด้านสุขภาพ มีผู้ร้องเรียน จำนวน ๑ ราย อยู่ระหว่างการเจรจารายละเอียด และกลุ่มอื่น ๆ ประกอบด้วย อาชีพรับจ้าง ค้าขาย และให้บริการ เช่น รถ-เรือเช่า ก่อสร้าง นวดแผนไทย เป็นต้น อยู่ระหว่างการเจรจารายละเอียด ๔. การกลับเข้าปฏิบัติงาน (Resume operation) อยู่ระหว่างการจัดทำแผนการกลับมาดำเนินการตามปกติ ตามมติคณะกรรมการ ปตท. และ PTTGC โดยก่อนใช้งานจริงจะมีการตรวจสอบระบบท่อและระบบที่เกี่ยวข้อง การเฝ้าระวังของเรือตรวจการณ์ ระบบความปลอดภัย แผนการจัดการหากเกิดเหตุฉุกเฉิน รวมถึงการทบทวนแผนปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง และได้มีการจัดตั้งคณะทำงานของ PTTGC เพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการ (Action plan) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ยังได้ศึกษาขีดความสามารถและความพร้อมของอุปกรณ์และระบบที่เกี่ยวข้อง ศึกษาศักยภาพของสมาคมต่าง ๆ ในด้านการจัดการความปลอดภัย และทบทวนกฎระเบียบ ข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง และปรับปรุงการดำเนินงานภายใต้ความปลอดภัย
|
|||||||||||||||||||||||||||
800 | ขออนุมัติเงินงบกลางเพื่อเบิกจ่ายเป็นเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวของข้าราชการอัยการ | อส | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ที่เห็นชอบในหลักการให้ข้าราชการอัยการผู้ดำรงตำแหน่งอัยการประจำสำนักงานอัยการสูงสุด รองอัยการจังหวัด อัยการประจำกอง อัยการจังหวัดผู้ช่วย และอัยการผู้ช่วย ได้รับเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราว ตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวของข้าราชการอัยการ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ เป็นเงินทั้งสิ้น ๑๗๔,๓๐๐,๑๕๐ บาท ให้สำนักงานอัยการสูงสุดเจียดจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ มาดำเนินการ จำนวน ๒๙,๘๘๑,๐๖๐ บาท และใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว จำนวน ๑๔๔,๔๑๙,๐๙๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ
|
.....