ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 35 จากทั้งหมด 252 หน้า แสดงรายการที่ 681 - 700 จากข้อมูลทั้งหมด 5031 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
681 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ครั้งที่ 1/2558 | นร11 | 10/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยที่ประชุมได้พิจารณาข้อเสนอของหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน ๖ สถาบัน ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สภาธุรกิจตลาดทุนไทย และสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย รวม ๑๒ เรื่อง ได้แก่ ๑.๑.๑ มาตรการขับเคลื่อน SMEs ระยะเร่งด่วน ๑.๑.๒ แนวทางการปฏิรูประบบรางของประเทศ ๑.๑.๓ การพิจารณาจัดสรรการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนประเภทที่ใช้วัตถุดิบในประเทศ ๑.๑.๔ การยกเลิกการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตเครื่องปรับอากาศชนิดที่ใช้ตามบ้านเรือนขนาดไม่เกิน ๗๒,๐๐๐ บีทียูต่อชั่วโมง ๑.๑.๕ มาตรการทางวีซ่าเพื่อกระตุ้นตลาดการท่องเที่ยวไทยในปี ๒๕๕๘ ๑.๑.๖ ห้องปฏิบัติการ (Laboratory) และการตรวจสอบมาตรฐานสินค้าเพื่อการส่งออก ๑.๑.๗ การปรับปรุงแก้ไขกฎหมายควบคุมการปล่อยน้ำทิ้งจากโรงงานสู่แหล่งน้ำ ๑.๑.๘ (ร่าง) ยุทธศาสตร์สินค้าเกษตร ๔ สินค้า (ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง ผลิตภัณฑ์ปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม อ้อยโรงงานและน้ำตาลทราย) ๑.๑.๙ ยุทธศาสตร์ข้าวไทย ปี ๒๕๕๘-๒๕๖๒ ๑.๑.๑๐ ความคืบหน้าผลการดำเนินการตามมติคณะกรรมการ กรอ. ครั้งที่ ๑-๒/๒๕๕๗ ๑.๑.๑๑ ความคืบหน้าการติดตามผลการดำเนินการตามมติคณะกรรมการ กรอ. ภูมิภาคของภาคเอกชน ๑.๑.๑๒ ผลการดำเนินการของคณะกรรมการ กรอ. จังหวัด และกลุ่มจังหวัด ๑.๒ เห็นชอบตามมติที่ประชุมคณะกรรมการ กรอ. ครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุม รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ๒. เพื่อส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญประการหนึ่งของรัฐบาลให้สามารถขับเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพและบังเกิดผลที่เป็นรูปธรรมโดยเร็ว จึงมอบหมายรองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) ๒.๑ พิจารณาทบทวนความเหมาะสมของคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาการปรับปรุงองค์ประกอบต่อไป ๒.๒ กำกับให้กระทรวงอุตสาหกรรม (สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง และกระทรวงพาณิชย์ดำเนินการให้ทุกจังหวัดดำเนินมาตรการส่งเสริมและขับเคลื่อน SMEs โดยให้ส่งเสริมวิสาหกิจที่มีศักยภาพและสามารถพัฒนาได้เป็นลำดับแรก โดยให้มีโครงการนำร่องจังหวัดละ ๑ โครงการ และดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายใน ๖ เดือน |
|||||||||||||||||||||||||||
682 | ร่างกฎหมายและการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับกองทุนการออมแห่งชาติ | กค | 03/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ในคราวประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๘ เมื่อวันพุธที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการของกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ๑.๑ ร่างพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๑.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบประเภทของประโยชน์ทดแทน ตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนของบุคคลซึ่งสมัครเป็นผู้ประกันตน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงที่ออกตามพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๗ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ได้แก่ ๑.๒.๑ ร่างกฎกระทรวงกำหนดการเป็นสมาชิกกองทุนหรืออยู่ในระบบบำนาญอื่นที่ไม่มีสิทธิเป็นสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. .... ๑.๒.๒ ร่างกฎกระทรวงกำหนดคุณสมบัติของผู้รับมอบหมายให้จัดการเงินของกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. .... ๑.๒.๓ ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราการจ่ายเงินสะสมและเงินสมทบ พ.ศ. .... ๑.๒.๔ ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณเงินบำนาญและจำนวนเงินบำนาญขั้นต่ำ พ.ศ. .... ๑.๒.๕ ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการจ่ายเงินให้กับสมาชิก หรือผู้รับบำนาญ หรือผู้รับเงินดำรงชีพ ตามมาตรา ๔๐ ของกฎหมายว่าด้วยกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. .... ๑.๒.๖ ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการเงินของกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. .... ๑.๒.๗ ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการจ่ายเงินชดเชย พ.ศ. .... ๒. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง หลักเกณฑ์และอัตราค่าตอบแทนของคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. สำหรับการขอจัดสรรงบประมาณจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น กรณีที่มีผู้เข้าเป็นสมาชิก กอช. จำนวนมากเกินกว่างบประมาณคงเหลือจะรองรับได้ นั้น ให้กระทรวงการคลังดำเนินการตามแนวทางปฏิบัติกรณีการขออนุมัติใช้เงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๗ ต่อไป ๔. ให้กระทรวงการคลังรับข้อสังเกตของคณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินงานของ กอช. จะต้องมีความพร้อมที่จะรับโอนผู้ประกันตนและเงินของผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ กรณีบำนาญชราภาพไปเข้า กอช. ทั้งด้านงบประมาณ สำนักงานและบุคลากร เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้การดำเนินภารกิจและการบริหารงานของ กอช. เป็นไปตามวัตถุประสงค์ มีความคล่องตัว และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งการประชาสัมพันธ์ที่สามารถเข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย สร้างความตระหนักให้แรงงานนอกระบบเห็นถึงความสำคัญของการออม สร้างการรับรู้ และความเข้าใจเกี่ยวกับการโอนย้ายของผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ กรณีชราภาพของกองทุนประกันสังคมมาที่ กอช. การเพิ่มช่องทางรับสมัครการรับเงินสะสมจากสมาชิกและการหาสมาชิกใหม่ โดยพัฒนาระบบเชื่อมต่อกับ กอช. และมีการกำกับดูแลการปฏิบัติงานในระดับพื้นที่อย่างเข้มงวด การปรับเพิ่มเป้าหมายการดำเนินงานของ กอช. ให้รับสมาชิกเพิ่มจากเฉลี่ยปีละ ๕ แสนราย เป็นไม่ต่ำกว่าปีละ ๑ ล้านราย ตลอดจนการสรรหาเลขาธิการคณะกรรมการ กอช. ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
683 | ขออนุมัติโครงการตามแผนพัฒนาระบบขนส่งทางถนนระยะเร่งด่วนของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทโดยใช้เงินกู้ | คค | 03/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๒/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ [เห็นชอบในหลักการโครงการตามแผนพัฒนาระบบขนส่งทางถนนระยะเร่งด่วน ของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท โดยใช้เงินกู้ วงเงินรวม ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท (กรมทางหลวง วงเงิน ๒๕,๐๐๐ ล้านบาท และกรมทางหลวงชนบท วงเงิน ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท)] และโดยที่โครงการที่ได้รับอนุมัติในครั้งนี้เดิมเป็นโครงการที่เสนอในงบลงทุนปี ๒๕๕๙ จึงให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท) เสนอคำของบลงทุน ประจำปี ๒๕๕๙ เพิ่มเติมต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงคมนาคมเร่งเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านถึงการดำเนินการก่อสร้างถนนภายในประเทศนั้น ๆ ที่มีแผนเชื่อมโยงกับประเทศไทยตามแนวชายแดนเพื่อให้มีแผนและกำหนดเวลาที่แน่นอนชัดเจนก่อนดำเนินการก่อสร้างทางหรือสะพานเพื่อเชื่อมโยงในส่วนของประเทศไทย เช่น ระเบียงเศรษฐกิจแม่สอด สะพานข้ามแม่น้ำเมย สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ ๕ และจุดผ่านแดนต่าง ๆ เช่น พุน้ำร้อนจังหวัดกาญจนบุรี เป็นต้น ๓. ให้กระทรวงคมนาคมสำรวจและปรับปรุงช่องทางจราจรในเส้นทางที่มีการสัญจรติดขัดคับคั่ง (Bottle neck) บริเวณจุดผ่านแดนต่าง ๆ เช่น จุดผ่านแดนช่องอานม้า ด่านศุลกากรอรัญประเทศ ด่านศุลกากรช่องเม็ก เป็นต้น โดยให้พิจารณาถึงความคุ้มค่าและความจำเป็นด้วย ๔. ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติสำรวจและพิจารณาความเป็นไปได้ในการก่อสร้างเส้นทางใหม่เชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อเพิ่มช่องทางในการคมนาคมขนส่งเพื่อรองรับการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษต่าง ๆ รวมถึงระเบียงเศรษฐกิจ เช่น เส้นทางบ้านป่าไร่ และให้คณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการพิจารณาความเชื่อมโยงของเส้นทางที่จะพัฒนาขึ้นกับตลาดและแหล่งค้าขายในพื้นที่นั้น ๆ ด้วย ๕. หากจะมีการค้าขายชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านในบริเวณพื้นที่อ้างสิทธิ์ ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาปักปันเขตแดน ควรจะมีการเจรจาหรือทำข้อตกลงรวมทั้งสองฝ่าย (Joint Agreement) เพื่อกำหนดว่าบริเวณที่สามารถทำการค้าขายได้ โดยไม่ถือเป็นแนวเขตแดน ทั้งนี้ หากเส้นทางใดมีความเสี่ยงหรือไม่ปลอดภัย เช่น มีกับระเบิดหลงเหลือในพื้นที่ ให้ประสานฝ่ายความมั่นคงสำรวจเส้นทางเพื่อความปลอดภัยก่อนดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
684 | มติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ | ทก | 03/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ และครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ครั้งที่ ๑/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ที่ประชุมได้พิจารณายุทธศาสตร์ เป้าหมาย แผนงาน และกิจกรรมภายใต้แนวทางการพัฒนากิจการอวกาศของประเทศไทย โดยมีประเด็นสำคัญ ได้แก่ ๑.๑ ดาวเทียมสื่อสาร ที่ประชุมได้พิจารณากรณีการประสานงานความถี่ข่ายสื่อสารดาวเทียมในระดับหน่วยงานอำนวยการ (Administration) และเห็นชอบในหลักการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในฐานะผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงานอำนวยการของไทยให้ความเห็นชอบต่อรายงานการประชุมประสานงานความถี่ฯ ซึ่งเป็นการประชุมหารือเชิงเทคนิคและเป็นไปตามกฎข้อบังคับวิทยุคมนาคมแห่งสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ ๑.๒ ดาวเทียมสำรวจทรัพยากร ที่ประชุมได้พิจารณาแนวทางการพัฒนาและดำเนินโครงการลดความยากจนและเหลื่อมล้ำทางภูมิเศรษฐกิจโดยการรังสรรค์นวัตกรรมอวกาศ (เดิมคือ โครงการระบบสำรวจโลกด้วยดาวเทียมของประเทศ ระยะที่ ๒) ใน ๒ ทางเลือกคือ (๑) ลักษณะกิจการร่วมค้า (Joint Venture หรือ PPP) โดยรัฐร่วมลงทุนกับบริษัทเอกชนของต่างประเทศ และ (๒) ลักษณะรัฐลงทุนเอง ซึ่งที่ประชุมมีมติเลือกทางเลือกที่ ๒ คือ รัฐลงทุนเอง และมอบให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ไปศึกษาแนวทางการดำเนินงานและแผนปฏิบัติการที่จะพัฒนาดาวเทียมของไทยเอง โดยให้คำนึงถึงประโยชน์ความคุ้มค่าที่จะได้รับ รวมทั้งความเหมาะสมเปรียบเทียบกับหลายประเทศเพื่อนำเสนอคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติพิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๓ ดาวเทียมเพื่อความมั่นคง ที่ประชุมให้กระทรวงกลาโหมพิจารณาในรายละเอียดเกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีอวกาศมาประยุกต์ใช้งานด้านความมั่นคงเพื่อรองรับภัยคุกคามและสงครามในรูปแบบใหม่ ซึ่งพัฒนาไปสู่พื้นที่ปฏิบัติการ ๕ มิติ ประกอบด้วย มิติทางบก มิติทางทะเล มิติทางอากาศ มิติด้านไซเบอร์ และมิติด้านอวกาศ และนำเสนอต่อที่ประชุมในโอกาสต่อไป ๒. ครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๘ ที่ประชุมได้พิจารณาแนวทางการพัฒนากิจการอวกาศของประเทศไทย โดยมีประเด็นสำคัญ คือ แนวทางการพัฒนากิจการอวกาศของประเทศไทยดังกล่าวมีลักษณะค่อนข้างกว้าง เห็นควรให้มีการทบทวนปรับปรุงเพิ่มเติม และให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการปรับปรุงแนวทางการพัฒนากิจการอวกาศของประเทศไทยขึ้นคณะหนึ่ง มีหน้าที่ปรับปรุงแนวทางการพัฒนากิจการอวกาศของประเทศไทยให้ทันสมัย รวมทั้งให้ข้อเสนอแนะการดำเนินโครงการลดความยากจนและเหลื่อมล้ำทางภูมิเศรษฐกิจโดยการรังสรรค์นวัตกรรมอวกาศ (THEOS-2) ในคราวเดียวกัน
|
|||||||||||||||||||||||||||
685 | ขอเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแนวทางการส่งเสริมกิจการเพื่อสังคมตามมติคณะกรรมการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2557 เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2557 | นร | 24/02/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมอบหมายให้สำนักงานสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติทำหน้าที่เป็นหน่วยงานรับรองกิจการเพื่อสังคมตาม (ร่าง) ประกาศคณะกรรมการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติ ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการยื่นคำขอหนังสือรับรองกิจการเพื่อสังคม พ.ศ. .... ตามมติคณะกรรมการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๗ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ ยุทธวงศ์) ประธานกรรมการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรแจ้งมาตรการที่กำหนดให้ผู้ประกอบการตามทะเบียนรายชื่อเพื่อทราบหลักเกณฑ์ เงื่อนไข สิทธิประโยชน์ และบทลงโทษโดยเร็ว เพื่อสร้างความเข้าใจที่เอื้อต่อการดำเนินงานกิจการเพื่อสังคมที่มีคุณภาพอย่างเป็นระบบและยั่งยืน รวมทั้งให้ความสำคัญกับการสร้างความรู้ความเข้าใจในการดำเนินการที่เกี่ยวกับกิจการเพื่อสังคมแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดการขยายผลในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ในกรณีที่คณะกรรมการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติจะออกประกาศที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมใด ๆ จะต้องไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
686 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ | กค | 24/02/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ในการประชุมเมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๕๗ และเดือนมกราคม ๒๕๕๘ และเห็นชอบมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการและรายงานผลการดำเนินงานให้คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจทราบภายใน ๑ เดือน ในเรื่องเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ตามที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รฟท. ๑.๑.๑ สร้างความชัดเจนของนโยบายและทิศทางระบบขนส่งทางราง โดยให้มีการกำกับดูแลการขนส่งทางรางที่ชัดเจนและมีความเชื่อมโยงของระบบขนส่งรูปแบบอื่น ๑.๑.๒ สร้างความชัดเจนระหว่างบทบาทของกรมรางและ รฟท. ในการก่อสร้างและบำรุงรักษาทางรถไฟ รวมถึงให้จัดทำแนวทางการให้เอกชนมาร่วมในการเดินรถไฟฟ้าสายสีแดงและรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (Airport Rail Link) ๑.๑.๓ กำกับติดตามการดำเนินการของโครงการสำคัญให้สำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะความสำเร็จของโครงการก่อสร้างทางคู่ ๖ เส้นทางที่มีกำหนดแล้วเสร็จทั้งหมดในปี ๒๕๖๓ และการเสริมสร้างความมั่นคงของระบบขนส่งทางราง โดยการเปลี่ยนหมอนรองจากหมอนไม้เป็นหมอนคอนกรีตราง ๑๐๐ ปอนด์ ที่มีกำหนดแล้วเสร็จในปี ๒๕๕๙ ๑.๒ ขสมก. ๑.๒.๑ กำหนดให้ ขสมก. ดำเนินการในฐานะผู้ประกอบการเท่านั้น และให้กรมการขนส่งทางบกทำหน้าที่เป็นผู้กำกับดูแล (Regulator) ผู้ให้บริการรถโดยสารสาธารณะแทน และสำหรับการให้ใบอนุญาตเดินรถ หากสัญญาในเส้นทางใดสิ้นสุดลง ให้กรมการขนส่งทางบกจัดให้มีการประมูลใบอนุญาตในแต่ละเส้นทางต่อไป นอกจากนี้ กรมการขนส่งทางบกจะต้องจัดให้มีกลไกในการกำกับดูแลผู้ให้บริการ (Operator) ทั้ง ขสมก. และรถร่วมบริการเอกชนให้ดำเนินการเดินรถให้มีคุณภาพได้ตามมาตรฐาน ๑.๒.๒ สร้างความชัดเจนของการปรับปรุงเส้นทางการเดินรถและการจัดสรรเส้นทางระหว่าง ขสมก. และเอกชนร่วมบริการ รวมทั้งการจัดซื้อรถโดยสาร NGV ให้สอดคล้องกับเส้นทางที่ได้รับจัดสรรและมีสถานี NGV ที่เพียงพอต่อไป ๑.๒.๓ เรื่องการจัดการภาระหนี้สินของ รฟท. และ ขสมก. โดยหารือร่วมกับกระทรวงการคลังในการโอนสิทธิในการใช้ที่ดินของ รฟท. เพื่อให้กระทรวงการคลังรับภาระหนี้สิน และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้บริหารที่ดินดังกล่าวต่อไป และกระทรวงการคลังจะพิจารณาการรับภาระหนี้สินของ ขสมก. ก็ต่อเมื่อกระทรวงคมนาคมมีความชัดเจนในนโยบายด้านการเดินรถโดยสารสาธารณะตามข้อ ๑.๒.๒ ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญในเรื่องกรอบระยะเวลา และการติดตามประเมินผลการดำเนินงานตามนโยบายและแนวทางปฏิบัติเพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจได้กำหนดไว้ นอกจากนี้ ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบในการดำเนินการแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจที่เหลืออีก ๕ แห่ง ได้แก่ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) และบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เร่งดำเนินการและรายงานผลการดำเนินงานตามมติคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจโดยเร็ว เพื่อให้คณะอนุกรรมการกำหนดยุทธศาสตร์รัฐวิสาหกิจใช้เป็นข้อมูลประกอบในการกำหนดโครงสร้างการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
687 | การเปิดตลาดสินค้าเกษตรตามข้อผูกพันองค์การการค้าโลก (WTO) | กษ | 18/02/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการเปิดตลาดนำเข้าหอมหัวใหญ่และเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ สำหรับปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐ โดยหอมหัวใหญ่ให้ชุมนุมสหกรณ์ผู้ปลูกหอมหัวใหญ่แห่งประเทศไทย จำกัด เป็นผู้บริหารการนำเข้า และสำหรับเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ ให้ชุมนุมสหกรณ์ผู้ปลูกหอมหัวใหญ่แห่งประเทศไทย จำกัด เป็นผู้นำเข้าแต่เพียงผู้เดียว โดยการดำเนินการทั้งสองสินค้าให้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะอนุกรรมการจัดการการผลิตและการตลาดกระเทียม หอมแดง หอมหัวใหญ่ และมันฝรั่ง ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประธานกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ ให้ชุมนุมสหกรณ์ผู้ปลูกหอมหัวใหญ่แห่งประเทศไทย จำกัด รับซื้อผลผลิตหอมหัวใหญ่ทั้งหมดจากเกษตรกรในราคาตลาด และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ส่งเสริมและพัฒนาปรับปรุงเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ให้ตรงกับความต้องการใช้ในประเทศเพื่อให้สามารถแข่งขันกับสินค้าหอมหัวใหญ่ที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ และเพื่อเป็นการนำเข้าหอมหัวใหญ่ในอนาคต รวมทั้งให้กำหนดมาตรการรองรับการนำเข้าหอมหัวใหญ่ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าเกษตรภายในประเทศด้วย ๑.๒ เห็นชอบการเปิดตลาดหัวพันธุ์มันฝรั่งและหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป สำหรับปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐ โดยจัดสรรให้นิติบุคคลภายใต้เงื่อนไขที่คณะอนุกรรมการจัดการการผลิตและการตลาดกระเทียม หอมแดง หอมหัวใหญ่ และมันฝรั่ง กำหนด โดยผู้นำเข้าต้องทำสัญญารับซื้อผลผลิตมันฝรั่งสดทั้งหมดจากเกษตรกรในราคาตลาด โดยขั้นต่ำราคาในฤดูแล้งกิโลกรัมละ ๑๐.๔๐ บาท และฤดูฝนกิโลกรัมละ ๑๔ บาท ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประธานกรรมการนโยบายและพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ ให้งดเว้นการนำเข้าในช่วงที่ผลผลิตของเกษตรกรออกสู่ตลาด และก่อนสิ้นสุดการนำเข้าในปีแรก ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประเมินผลการดำเนินงาน ราคานำเข้า ราคาตลาด เพื่อกำหนดราคาในปีต่อไปที่เป็นธรรมต่อผู้ผลิต รวมทั้งกำหนดมาตรการรองรับการนำเข้าหัวมันฝรั่งสดที่อาจจะส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าเกษตรภายในประเทศ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีก่อนดำเนินการเปิดตลาดในปีต่อไป และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ส่งเสริมการปลูกมันฝรั่งพันธุ์โรงงานในประเทศโดยพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ให้ตรงกับความต้องการใช้ในประเทศที่เพิ่มมากขึ้น สามารถแข่งขันกับสินค้าหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูปที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ และเพื่อเป็นการลดการนำเข้าหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูปในอนาคต ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับเรื่องร้องเรียนของสหกรณ์ผู้ปลูกหอมหัวใหญ่ฝาง จำกัด ไปพิจารณาดำเนินการรวมทั้งชี้แจงทำความเข้าใจกับกลุ่มผู้ร้องเรียนให้ชัดเจนก่อนที่จะอนุมัติโควตา ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับข้อสังเกตของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการเปิดตลาดนำเข้าสินค้าเกษตรต้องเป็นการดำเนินการที่สอดคล้องตามหลัก ๓ ประการคือ (๑) การป้องกันการขาดแคลนสินค้าในประเทศ (๒) การส่งเสริมการเพาะปลูกในประเทศให้เพียงพอและสอดคล้องกับความต้องการของตลาดในประเทศ และ (๓) การป้องกันการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรจากต่างประเทศ และความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณาขยายปริมาณโควตาการนำเข้าหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป ควรพิจารณาผลกระทบต่อนโยบายของรัฐบาลที่ส่งเสริมการปลูกมันฝรั่งพันธุ์โรงงานและการปลูกพืชอื่นที่ไม่เหมาะสม เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบทั้งต่อเกษตรกรและโรงงานแปรรูป และหากสินค้าที่ไทยไม่สามารถผลิตได้ภายในประเทศ แต่มีความต้องการในประเทศ อาจพิจารณายกเลิกการจำกัดโควตา เช่น สินค้าเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ เพื่อให้มีการนำเข้าได้อย่างเสรีด้วยอัตราภาษีที่ต่ำ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกร นอกจากนี้ ควรมีการติดตามผลการดำเนินงานอย่างใกล้ชิดเพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาได้ทันสถานการณ์ และควรเร่งรัดการวิจัยและพัฒนาพันธุ์และเพิ่มการผลิตเมล็ดพันธุ์อย่างต่อเนื่อง ไปดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
688 | แนวทางการดำเนินการระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังคงเหลือในสต็อกของรัฐบาล | พณ | 18/02/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ในคราวประขุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ที่เห็นชอบแนวทางการระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังคงเหลือในสต็อกของรัฐบาลตามที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลัง ในคราวประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๗ และครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ก่อนดำเนินการระบายให้มีการจัดตั้งคณะทำงานระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังคงเหลือในสต็อกของรัฐบาล เพื่อพิจารณาหลักเกณฑ์ แนวทางและเงื่อนไขการระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังตามโครงการแทรกแซงตลาด ให้เป็นไปตามแนวทางการระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังคงเหลือในสต็อกของรัฐบาลที่ได้รับความเห็นชอบ ๑.๒ มอบหมายให้องค์การคลังสินค้าแจ้งยืนยันปริมาณที่มีอยู่จริง สภาพของผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ภาระผูกพันของผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง รวมทั้งปริมาณคงเหลือที่ปลอดภาระผูกพันที่สามารถระบายได้เป็นรายคลัง ๑.๓ มอบหมายคณะทำงานระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังคงเหลือในสต็อกของรัฐบาลพิจารณากรอบในการระบาย เช่น วัตถุประสงค์ในการระบาย เกณฑ์การพิจารณาราคาขาย รวมถึงคุณสมบัติของผู้มีสิทธิเสนอซื้อ เป็นต้น แล้วนำเสนอประธานกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลังพิจารณาให้ความเห็นชอบให้ดำเนินการระบายตามกรอบที่นำเสนอ ๑.๔ ระบายด้วยวิธีการเปิดประมูลขายให้ผู้ประกอบการเป็นการทั่วไป ทั้งนี้ ส่วนต่างของราคาที่ประมูลได้กับราคาที่รัฐควรได้รับตามคุณภาพสินค้าที่ควรจะเป็นตามระยะเวลาที่เก็บรักษา รวมทั้งค่าเสียหายใด ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งก่อนและหลังการขาย ให้องค์การคลังสินค้าพิจารณาดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่เกี่ยวข้องและรายงานผลให้คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลังทราบต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งประชาสัมพันธ์การดำเนินงานที่ผ่านมาในเรื่องดังกล่าว เพื่อเป็นการชี้แจงและสร้างการรับรู้ต่อสาธารณะให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นควรมีการกำกับดูแลขั้นตอนการระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังอย่างใกล้ชิด รวมทั้งมีการตรวจสอบและรายงานผลการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เมื่อคณะทำงานระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังคงเหลือในสต็อกรัฐบาลพิจารณากำหนดกรอบในการระบายแล้ว ควรเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลังพิจารณาให้ความเห็นชอบ เพื่อเป็นแนวทางให้คณะทำงานระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังคงเหลือในสต็อกรัฐบาล ใช้ในการกำหนดหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขการระบายตามความเหมาะสม นอกจากนี้ การติดตามตรวจสอบปัญหาคุณภาพและปริมาณผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังในสต็อกของรัฐบาล ซึ่งมีการตรวจพบการทุจริต เช่น การปลอมปน และการแจ้งปริมาณไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง เป็นต้น ควรเร่งรัดให้องค์การคลังสินค้าดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ประกอบการอย่างเคร่งครัด สำหรับกรณีค่าเสียหายใด ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งก่อนและหลังการขายที่จะให้องค์การคลังสินค้าพิจารณาดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่เกี่ยวข้องนั้น ควรพิจารณาถึงสาเหตุของความเสียหายที่เกิดขึ้นให้ชัดเจนก่อน เพื่อพิจารณาความเป็นไปได้และความเหมาะสมในการดำเนินการทางกฎหมาย ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
689 | ขออนุมัติเปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนย ปี 2558 เพิ่มเติม | กษ | 18/02/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการเปิดตลาดนำเข้าโควตานมผงขาดมันเนย ปี ๒๕๕๘ เพิ่มเติม ปริมาณ ๒๒,๑๗๒.๘๘ ตัน ในอัตราภาษีร้อยละ ๕ เท่ากับอัตราภาษีในโควตาที่เก็บจริงในปัจจุบัน ให้แก่ผู้ประกอบการที่มีความจำเป็นและเดือดร้อนจากการขาดแคลนวัตถุดิบเพื่อใช้ในการผลิต โดยยกเว้นการจัดสรรโควตาตามสัดส่วนผู้ประกอบการกลุ่มนิติบุคคลที่ ๑ กับกลุ่มนิติบุคคลที่ ๒ ในอัตรา ๘๐ : ๒๐ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ และให้คณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมเป็นผู้กำหนดเงื่อนไขและหลักเกณฑ์การจัดสรรโควตาในส่วนนี้ โดยยึดหลักตามลำดับความจำเป็นและความเดือดร้อน และให้ผู้ประกอบการนำเข้าให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ รวมทั้งไม่ให้กระทบต่อมาตรการและปริมาณการรับซื้อน้ำนมโคจากเกษตรกร ตามมติคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม ในการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยให้นำเข้าเฉพาะในช่วงเวลาที่น้ำนมขาดแคลนเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผลผลิตภายในประเทศ ทั้งนี้ ให้ผู้มีสิทธินำเข้ารับซื้อนมดิบทั้งหมดจากเกษตรกรในราคาตลาด โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ต้องติดตามราคาการรับซื้อว่าถูกต้องและเป็นธรรมต่อผู้ผลิต ๑.๒ ก่อนสิ้นสุดการนำเข้าในปี ๒๕๕๘ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประเมินผลการดำเนินงานเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีหากจะขอเปิดตลาดนำเข้าเพิ่มเติมในปีต่อไป ๑.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ติดตามระดับราคานมผงขาดมันเนย ทั้งราคานำเข้าและราคาตลาด และกำหนดมาตรการรองรับการนำเข้านมผงขาดมันเนยที่อาจจะส่งผลกระทบต่อราคาผลผลิตภายในประเทศ แล้วรายงานต่อคณะรัฐมนตรีเป็นระยะ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการติดตามผลการนำเข้านมผงขาดมันเนยอย่างใกล้ชิด และติดตามผลการดำเนินงานการบริหารจัดการโควตานำเข้านมผงขาดมันเนย เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบต่อเกษตรกรและอุตสาหกรรมนมในภาพรวมอย่างต่อเนื่อง แล้วรายงานคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมทราบ เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที ไปดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
690 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2557 (เพิ่มเติม) | ทส | 18/02/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๕๗ (เพิ่มเติม) เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๕๗ จำนวน ๔ เรื่อง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สรุปได้ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานและอื่น ๆ ซึ่งให้ความเห็นชอบต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการก่อสร้างท่าอากาศยานเบตง ตั้งอยู่ที่ตำบลยะรม อำเภอเบตง จังหวัดยะลา ของกรมการบินพลเรือน โดยให้กรมการบินพลเรือนรับความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในประเด็นการเพิ่มเติมมาตรการการย้ายถิ่นของนกในพื้นที่ และประเด็นมาตรการลดผลกระทบทางเสียง รวมทั้งแนวทางการดำเนินโครงการก่อสร้างท่าอากาศยานอื่น ๆ ในอนาคต ๒. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติ และแนวทางในการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น และรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมในบริเวณท้องที่ตำบลตลิ่งงาม ตำบลบ่อผุด ตำบลมะเร็ต ตำบลแม่น้ำ ตำบลหน้าเมือง ตำบลอ่างทอง ตำบลลิปะน้อย อำเภอเกาะสมุย และตำบลเกาะพะงัน ตำบลบ้านใต้ ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี และมอบให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำร่างประกาศดังกล่าวเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อพิจารณาลงนามให้มีผลบังคับใช้ต่อไป ๓. เห็นชอบการกำหนดให้อุตสาหกรรมผลิตถ่านโค้ก ทุกขนาด เป็นโครงการหรือกิจการซึ่งต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กำหนดประเภทและขนาดของอุตสาหกรรมผลิตถ่านโค้ก ทุกขนาด เป็นโครงการหรือกิจการซึ่งต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมอบให้สำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำร่างประกาศดังกล่าว เสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๔. เห็นชอบให้ปรับปรุงประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการซึ่งต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติ และแนวทางการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ฉบับลงวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ ในเอกสารท้ายประกาศ ๓ ลำดับที่ ๑.๕ ทุกขนาด เสนอในชั้นขอประทานบัตร โดยให้ยกเว้นโครงการเหมืองแร่ทรายแก้วหรือทรายซิลิกา โครงการเหมืองแร่ดินอุตสาหกรรมชนิดดินซีเมนต์ โครงการเหมืองแร่ดินเหนียวสี โครงการเหมืองแร่ดินมาร์ล โครงการเหมืองแร่บอลเคลย์ โครงการเหมืองแร่ดินทนไฟ และโครงการเหมืองแร่ดินเบา และให้จัดทำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Code of Practice) ตามประกาศกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและเหมืองแร่ และเห็นชอบร่างประกาศดังกล่าว และมอบให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นำร่างประกาศดังกล่าว เสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมลงนาม และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป รวมทั้งให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวงอุตสาหกรรม นำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Code of Practice) ไปกำหนดเป็นเงื่อนไขประกอบการอนุญาตประทานบัตร โดยถือว่า เป็นเงื่อนไขที่กำหนดตามกฎหมายในเรื่องนั้นด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
691 | การจัดระบบแรงงานต่างด้าวสัญชาติเวียดนาม | รง | 10/02/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการแนวทางการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวสัญชาติเวียดนามตามมติคณะกรรมการพิจารณาการทำงานของคนต่างด้าว ครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แนวทางการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวสัญชาติเวียดนาม โดยดำเนินการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวสัญชาติเวียดนาม ซึ่งเป็นบุคคลที่ถือหนังสือเดินทาง (Passport) และเข้ามาในราชอาณาจักรอย่างถูกกฎหมายครั้งสุดท้ายก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการจัดระบบแรงงานต่างด้าวสัญชาติเวียดนาม แต่ระยะเวลาการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรได้สิ้นสุดลงแล้ว เฉพาะแรงงานต่างด้าวที่ต้องการจะทำงานกับนายจ้างในงานรับใช้ในบ้าน งานกรรมกรในกิจการก่อสร้าง ประมง ร้านอาหาร โดยให้มารายงานตัวเพื่อจัดทำทะเบียนประวัติและขออนุญาตทำงาน ณ ศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) ๑.๒ ออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีกำหนดประเภทงานให้คนต่างด้าวตามมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑ ทำได้ ๒ งาน ได้แก่ งานกรรมกร และงานรับใช้ในบ้าน ๑.๓ การนำเข้าแรงงานต่างด้าวสัญชาติเวียดนามเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน โดยให้มีการเจรจาระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลเวียดนามเพื่อทำข้อตกลงระหว่างรัฐต่อรัฐในการนำเข้าแรงงานต่างด้าวสัญชาติเวียดนาม เพื่อทำงานในกิจการประมง และก่อสร้าง ๒. ให้กระทรวงแรงงานประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อกำหนดวัน เวลา ในการเริ่มปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าวเมื่อได้ข้อสรุปเกี่ยวกับการจัดทำบันทึกความเข้าใจด้านแรงงานกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามแล้วต่อไป ๓. ให้กระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับประเด็นการอนุญาตทำงานให้แก่แรงงานต่างด้าวสัญชาติเวียดนาม รวมทั้งความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าวสัญชาติเวียดนาม ควรดำเนินการโดยสถานบริการของรัฐ และแรงงานต่างด้าวสัญชาติเวียดนามทุกรายควรซื้อประกันสุขภาพในช่วงระยะเวลาไม่น้อยกว่าระยะเวลาที่อนุญาตให้ทำงานอยู่ในประเทศไทย รวมทั้งควรมีมาตรการในการติดตาม ตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดสำหรับแรงงานต่างด้าวสัญชาติเวียดนามที่เข้ามาและลักลอบทำงานภายหลังจากวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการจัดระบบแรงงานต่างด้าวสัญชาติเวียดนามแล้ว เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
692 | มติคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า เรื่อง การกำหนดขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า และการปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2552 เรื่อง มาตรการในการควบคุมการก่อสร้างอาคารของภาครัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐอย่างอื่นที่อาจพึงมี ในบริเวณกรุงรัตนโกสินทร์ ให้ครอบคลุมพื้นที่เมืองเก่าด้วย | ทส | 10/02/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า และกรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า ๔ เมือง ได้แก่ เมืองเก่าแพร่ เมืองเก่าเพชรบุรี เมืองเก่าจันทบุรี และเมืองเก่าปัตตานี เพื่อประกาศเขตพื้นที่เมืองเก่า ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า พ.ศ. ๒๕๔๖ ๑.๒ เห็นชอบให้ปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๒ โดยเห็นชอบมาตรการในการควบคุมการก่อสร้างอาคารของภาครัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐอย่างอื่นที่อาจพึงมีในบริเวณกรุงรัตนโกสินทร์ และในบริเวณเมืองเก่าที่ได้ประกาศเขตพื้นที่เมืองเก่า ตามมติคณะรัฐมนตรี โดยให้หน่วยราชการต่าง ๆ รวมทั้งรัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐอย่างอื่นที่อาจพึงมีที่จะดำเนินการก่อสร้างภายในบริเวณกรุงรัตนโกสินทร์ และในบริเวณเมืองเก่าที่ได้ประกาศเขตพื้นที่เมืองเก่าตามมติคณะรัฐมนตรี ส่งเรื่องและแบบแปลนให้คณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า โดยผ่านทางสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อพิจารณาให้ความเห็นถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และเมื่อได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่าแล้ว จึงให้เสนอสำนักงบประมาณเพื่อขอจัดตั้งงบประมาณต่อไป ทั้งนี้ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานภาครัฐ ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีในเรื่องนี้อย่างเคร่งครัด ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและกระทรวงวัฒนธรรมเกี่ยวกับเขตพื้นที่เมืองเก่ามีขอบเขตครอบคลุมเขตทางและที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งอาจมีการดำเนินกิจกรรมใด ๆ อันอาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่เมืองเก่า จึงจำเป็นต้องมีการตรวจสอบร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง ส่วนกรณีพื้นที่เมืองเก่าที่ทับซ้อนกับพื้นที่เมืองโบราณและโบราณสถานทั้งที่ประกาศขึ้นทะเบียนแล้วและที่ยังไม่ประกาศขึ้นทะเบียน การก่อสร้างหรือรื้อถอนอาคารของภาครัฐบาล รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานของรัฐอย่างอื่น รวมทั้งเอกชนที่พึงมีในบริเวณกรุงรัตนโกสินทร์ และในบริเวณเมืองเก่าที่ได้ประกาศเขตพื้นที่เมืองเก่าตามมติคณะรัฐมนตรี ยังคงต้องได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมศิลปากรตามพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
693 | ขอความเห็นชอบการปรับปรุงสวัสดิการด้านค่ารักษาพยาบาลของการประปานครหลวง | มท | 10/02/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้การประปานครหลวงปรับปรุงสวัสดิการด้านค่ารักษาพยาบาลให้ผู้ปฏิบัติงานหรือบุคคลในครอบครัวที่เข้ารับการรักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอก ในสถานพยาบาลของเอกชนหรือคลินิกเวชกรรม ให้ได้รับค่ารักษาพยาบาลเท่าที่จ่ายจริง แต่เมื่อรวมกันแล้วต้องไม่เกินปีงบประมาณละ ๓,๖๐๐ บาท ต่อครอบครัว ตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
694 | ขอความเห็นชอบปรับปรุงสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงินของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค | มท | 03/02/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ปรับปรุงสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาลประเภทคนไข้นอกในสถานพยาบาลของเอกชน โดยให้ผู้ปฏิบัติงานของ กฟภ. เบิกค่ารักษาพยาบาลประเภทคนไข้นอกในสถานพยาบาลเอกชน สำหรับตนเองและบุคคลในครอบครัวได้เท่าที่จ่ายจริง แต่เมื่อรวมกันแล้วต้องไม่เกินปีละ ๓,๖๐๐ บาท/ครอบครัว ทั้งนี้ ตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
695 | การปรับปรุงบัญชีโครงสร้างอัตราค่าจ้างของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ | รง | 03/02/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการการปรับปรุงอัตราค่าจ้างตามบัญชีโครงสร้างอัตราค่าจ้างของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ ตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ในการประชุมครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดอัตราค่าจ้างต่ำสุด ขั้นที่ ๑ อัตรา ๙,๐๔๐ บาท และอัตราค่าจ้างสูงสุด ขั้นที่ ๕๓ อัตรา ๑๔๒,๘๓๐ บาท ๑.๒ ลูกจ้างยังคงได้รับค่าจ้างในอัตราเดิมตามขั้นของบัญชีโครงสร้างใหม่ ๑.๓ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ เป็นต้นไป ทั้งนี้ การปรับขยายเพดานขั้นสูงของลูกจ้างแต่ละระดับ รัฐวิสาหกิจจะต้องคำนึงถึงสถานะการเงิน ผลการดำเนินงานของกิจการ การจัดหารายได้เพิ่มขึ้นให้ครอบคลุมรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นด้วย โดยไม่ส่งผลกระทบต่องบประมาณแผ่นดิน และประชาชน ๒. สำหรับกรณีที่รัฐวิสาหกิจจะขยายเพดานอัตราค่าจ้างขั้นสูงขึ้นไปสูงกว่าอัตราขั้นสูงที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน ให้เสนอขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์และคณะรัฐมนตรีเป็นรายกรณีไป รวมทั้งการขยายเพดานอัตราค่าจ้างขั้นสูงจะต้องสอดคล้องกับขนาด ภาระหน้าที่ และความรับผิดชอบของรัฐวิสาหกิจที่มีความแตกต่างกันตามความเหมาะสม ตลอดจนความสามารถในการรองรับภาระค่าใช้จ่ายบุคลากรที่เพิ่มขึ้นของรัฐวิสาหกิจด้วย ตามความเห็นของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ |
|||||||||||||||||||||||||||
696 | ผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน (กรณีเกษตรกรอำเภอเมืองพิจิตร อำเภอโพทะเล อำเภอบางมูลนาก และอำเภอบึงนาราง จังหวัดพิจิตร ถูกละเมิดสิทธิไม่ได้รับใบประทวนสินค้าและเงินจากการจำนำข้าวเปลือกตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาล ปีการผลิต 2555/56) | สม | 03/02/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบให้ใช้ผลการตรวจสอบข้อมูลเกษตรกรที่นำข้าวเปลือกไปจำนำตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ กับบริษัท โรงสีแอลโกลด์แมนูเฟคเจอร์ จำกัด และท่าข้าวหัวดง ที่คณะอนุกรรมการติดตามกำกับดูแลการบริหารจัดการข้าวระดับจังหวัดพิจิตรได้ตรวจสอบรับรองแล้วเป็นหลักฐานแทนใบประทวนที่องค์การตลาดเพื่อเกษตรกรออกให้เกษตรกร เพื่อให้เกษตรกรนำไปยื่นให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรใช้เป็นหลักฐานในการจ่ายเงินให้เกษตรกร ตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวตรวจสอบข้อคลาดเคลื่อนหรือความเสียหายที่เกิดจากจำนวนเกษตรกรและปริมาณข้าวเปลือกเพิ่มขึ้นจากที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้ตรวจสอบไว้ พร้อมทั้งดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำความผิดต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงบประมาณร่วมกันพิจารณาหาแหล่งงบประมาณเพื่อจ่ายเยียวยาให้แก่เกษตรกรในกรณีดังกล่าว ทั้งนี้ หากจำเป็นต้องใช้เงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่มีวงเงินไม่เกิน ๑๐๐ ล้านบาท ให้สำนักงบประมาณเป็นผู้เสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๗ (เรื่อง แนวทางปฏิบัติกรณีการขออนุมัติใช้เงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น) ต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
697 | การกำหนดสินค้าและบริการควบคุมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 | พณ | 20/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการกำหนดสินค้าและบริการควบคุมปี ๒๕๕๘ จำนวน ๔๓ รายการ ตามมติคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ หมวดอาหาร จำนวน ๑๔ รายการ คือ กระเทียม ข้าวเปลือก ข้าวสาร ข้าวโพด มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์ ไข่ไก่ สุกร เนื้อสุกร น้ำตาลทราย น้ำมันและไขมันที่ได้จากพืชหรือสัตว์ทั้งที่บริโภคได้หรือไม่ได้ ครีมเทียมข้นหวาน นมข้น นมคืนรูป นมแปลงไขมัน นมผง นมสด แป้งสาลี อาหารในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท อาหารกึ่งสำเร็จรูปบรรจุภาชนะผนึก และผลปาล์มน้ำมัน ๑.๒ หมวดสินค้าอุปโภคบริโภคประจำวัน จำนวน ๕ รายการ คือ ผงซักฟอก ผ้าอนามัย กระดาษชำระ กระดาษเช็ดหน้า แชมพู และสบู่ ๑.๓ หมวดปัจจัยทางการเกษตร จำนวน ๖ รายการ คือ ปุ๋ย ยาป้องกันหรือกำจัดศัตรูพืชหรือโรคพืช หัวอาหารสัตว์ อาหารสัตว์ เครื่องสูบน้ำ รถไถนา และรถเกี่ยวข้าว ๑.๔ หมวดวัสดุก่อสร้าง จำนวน ๓ รายการ คือ ปูนซีเมนต์ เหล็กเส้น เหล็กโครงสร้างรูปพรรณ เหล็กแผ่น สายไฟฟ้า และท่อพีวีซี ๑.๕ หมวดกระดาษและผลิตภัณฑ์ จำนวน ๓ รายการ คือ กระดาษทำลูกฟูก กระดาษเหนียว กระดาษพิมพ์และเขียน และเยื่อกระดาษ ๑.๖ หมวดบริภัณฑ์ขนส่ง จำนวน ๓ รายการ คือ แบตเตอรี่รถยนต์ ยางรถจักรยานยนต์ ยางรถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถยนต์นั่ง และรถยนต์บรรทุก ๑.๗ หมวดผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม จำนวน ๓ รายการคือ ก๊าซปิโตรเลียมเหลว น้ำมันเชื้อเพลิง และเม็ดพลาสติก ๑.๘ หมวดยารักษาโรค จำนวน ๑ รายการ คือ ยารักษาโรค ๑.๙ หมวดอื่น ๆ จำนวน ๑ รายการ คือ เครื่องแบบนักเรียน ๑.๑๐ หมวดบริการ จำนวน ๓ รายการ คือ การให้สิทธิในการเผยแพร่งานลิขสิทธิ์เพลงเพื่อการค้า บริการรับฝากสินค้าหรือบริการให้เช่าสถานที่เก็บสินค้า และบริการทางการเกษตร ๒. ยกเว้นการเพิ่มรายการสินค้าควบคุมใหม่ ๒ รายการ คือ แชมพูและสบู่ เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีการผลิตจำนวนมากจากคู่แข่งหลายรายทำให้เกิดการแข่งขันในตลาด ซึ่งสามารถใช้กลไกตลาดในการควบคุมระดับราคาได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
698 | การใช้ระบบข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) ในการป้องกันการทุจริตเป็นโครงการนำร่อง | สลธ.คสช. | 20/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติเมื่อวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๘ ให้นำหลักเกณฑ์ วิธีการ และแนวทางในการใช้ระบบข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) มาบังคับใช้เป็นโครงการนำร่อง (Pilot Project) ใน ๒ โครงการ คือ โครงการจัดซื้อรถโดยสารก๊าซธรรมชาติ จำนวน ๔๘๙ คัน ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ตามที่คณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้กระทรวงการคลังดำเนินการกำหนดรายละเอียด หลักเกณฑ์ วิธีการ และแนวทางในการนำระบบข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) ไปใช้ในการป้องกันการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ สำหรับส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน หน่วยงานของรัฐ และเอกชน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
699 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2557 (ครั้งที่ 147) | พน | 06/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๗ (ครั้งที่ ๑๔๗) เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) สำหรับการประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนปี ๒๕๕๘ เพื่อใช้เป็นราคาเริ่มต้นในการแข่งขันทางด้านราคา โดยให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) รับไปดำเนินการประกาศหยุดรับซื้อไฟฟ้าในรูปแบบ Adder โดยให้มีผลถัดจากวันที่ กพช. มีมติ และให้ออกระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ FiT ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๘ และดำเนินการประกาศรับข้อเสนอขอขายไฟฟ้าภายใต้กลไกการแข่งขันด้านราคา (Competitive Bidding) ภายในไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๘ รวมทั้งเห็นชอบแนวทางการดำเนินการในช่วงเปลี่ยนผ่านจากระบบ Adder เป็น FiT และมอบให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานรับไปดำเนินการ ๑.๒ เห็นชอบหลักการและแนวทางการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๗๙ (PDP 2015) โดยมอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ไปจัดทำร่างแผน PDP 2015 ในรายละเอียด รวมทั้งมอบหมายให้กระทรวงพลังงานนำร่างแผน PDP 2015 ไปรับฟังความคิดเห็นก่อนนำเสนอ กพช. ต่อไป ๑.๓ เห็นชอบกรอบและแนวทางในการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง โดยราคาพลังงานต้องสะท้อนต้นทุนแท้จริง ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ในภาคขนส่งควรจะมีอัตราภาษีสรรพสามิตที่ใกล้เคียงกัน กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงใช้เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาและส่งเสริมพลังงานทดแทน ลดการชดเชยข้ามประเภทเชื้อเพลิง (Cross Subsidy) ค่าการตลาดควรอยู่ในระดับที่เหมาะสม ช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อย และเก็บเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเชื้อเพลิงในแต่ละประเภทในอัตราที่ใกล้เคียงกันตามค่าความร้อน และมอบหมายให้ กบง. รับไปดำเนินการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในรายละเอียด ภายใต้กรอบและแนวทางในการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงต่อไป ๒. ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ประกอบด้วย (๑) การปรับอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนจากระบบ Adder เป็น FiT ควรมีการกำหนดปริมาณไฟฟ้าขั้นต่ำที่ต้องการอย่างชัดเจนในแต่ละชนิดวัตถุดิบ และกำหนดให้การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเหล่านี้สามารถจ่ายเข้าสู่ระบบสายส่งได้โดยไม่ต้องมีการรอให้สายส่งมีพื้นที่ว่างก่อน ซึ่งจะเป็นการสนับสนุนให้รูปแบบ FiT สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ (๒) แผนอนุรักษ์พลังงานกับแผนพัฒนากำลังไฟฟ้า (PDP 2015) ควรมีแผนปฏิบัติการที่ชัดเจน พร้อมทั้งกลไกในการขับเคลื่อนแผน และการติดตามและประเมินผลอย่างจริงจังและต่อเนื่อง (๓) การพึ่งพาการนำเข้าไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ควรดำเนินนโยบายต่างประเทศให้เหมาะสม และมีแผนสำรองถ้าเกิดข้อขัดแย้ง/ข้อพิพาททางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่อาจทำให้ไม่สามารถนำเข้าไฟฟ้าได้ (๔) การปรับโครงสร้างราคาเชื้อเพลิงปิโตรเลียม ควรคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดต่อการผลิตและการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพในภาคขนส่ง และควรมีการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงโดยการปรับอัตราจัดเก็บภาษีสรรพสามิต ของเชื้อเพลิงบางประเภทให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและเพื่อให้ราคาสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง และ (๕) การลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคการผลิตไฟฟ้า ควรมีการกำหนดเป้าหมายการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อหน่วยไฟฟ้า และประสิทธิภาพขั้นต่ำของโรงไฟฟ้าแต่ละประเภทให้ชัดเจน |
|||||||||||||||||||||||||||
700 | รายงานสถานภาพ ภาพรวมด้านงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | นร07 | 30/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานสถานภาพ ภาพรวมด้านงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ประกอบด้วย เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เงินกันไว้เบิกเหลื่อมปี เงินตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะ ๓ เดือนแรก เงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจ (ที่ไม่ได้เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณ) เงินทุนหมุนเวียน (ที่ไม่ได้เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณ) และเงินอื่น ๆ (เงินไทยเข้มแข็งเดิม และเงิน พ.ร.ก. น้ำ ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท) สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม-๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๗ มีการเบิกจ่ายเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแล้วทั้งสิ้น ๘๕๖,๗๐๒ ล้านบาท (ไม่รวมเงินลงทุนรัฐวิสาหกิจ และเงินทุนหมุนเวียนที่ไม่เบิกจ่ายจากงบประมาณ) โดยคาดการณ์ว่าไตรมาสที่ ๑ (ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๗) จะมีการเบิกจ่ายเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ จำนวน ๙๘๔,๒๕๖ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเสนอ ๒. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ในคราวประชุมเมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๗ ได้แก่ ๒.๑ มาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เพิ่มเติม ๒.๑.๑ รายการที่ลงนามในสัญญาแล้ว ให้เร่งรัดการดำเนินงานเพื่อให้สามารถตรวจรับงานและเบิกจ่ายเงินได้ก่อนสิ้นงวดงานแต่ละงวดงาน หรือก่อนระยะเวลาสัญญาสิ้นสุด ๒.๑.๒ รายการที่ไม่สามารถก่อหนี้ได้ภายในไตรมาสที่ ๓ แต่อยู่ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างแล้ว (ตั้งแต่ขั้นตอนการประกาศเชิญชวน) ให้เร่งรัดการดำเนินงาน เพื่อให้สามารถลงนามในสัญญาได้ภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๘ ๒.๑.๓ รายการที่ยังไม่ดำเนินการ (ยังไม่เริ่มขั้นตอนการประกาศเชิญชวน) ให้เร่งรัดการประกาศจัดซื้อจัดจ้างภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๘ เพื่อให้สามารถลงนามในสัญญาได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ กรณีมีรายการที่ต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายละเอียดรายการ หรือเปลี่ยนแปลงงบประมาณ ให้ลงนามในสัญญาภายในเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ หากหน่วยงานใดไม่สามารถดำเนินการได้ภายในเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ ให้กรมบัญชีกลางรวบรวมรายชื่อหน่วยงานพร้อมปัญหาอุปสรรคของหน่วยงานดังกล่าวเสนอคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐพิจารณาภายในเดือนเมษายน ๒๕๕๘ ๒.๑.๔ รายการที่มีวงเงินเกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท ที่อยู่ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างแล้ว (ตั้งแต่ขั้นตอนการประกาศเชิญชวน) ให้ลงนามในสัญญาภายในเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ สำหรับรายการที่ยังไม่เริ่มกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ให้เร่งรัดดำเนินการประกาศจัดซื้อจัดจ้างภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๘ รวมทั้งให้เสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ เพื่อให้สามารถลงนามในสัญญาได้ภายในเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ ๒.๑.๕ การเบิกจ่ายงบฝึกอบรมและประชุมสัมมนา ให้หน่วยงานเร่งรัดการดำเนินการให้เป็นไปตามแผนการฝึกอบรมและประชุมสัมมนาที่ได้กำหนดไว้โดยเคร่งครัด ๒.๒ มาตรการกระตุ้นการเบิกจ่ายเงินของท้องถิ่นโดยเฉพาะงบเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ ๒.๒.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยสั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดกำกับดูแลเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินของท้องถิ่นให้เป็นไปตามมาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายเงิน รวมทั้งมอบหมายให้คลังจังหวัดร่วมกับท้องถิ่นจังหวัดติดตามเร่งรัดการก่อหนี้และการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนเฉพาะกิจของท้องถิ่น และรวบรวมปัญหาอุปสรรคที่ทำให้ไม่สามารถดำเนินการได้ให้กรมบัญชีกลาง เพื่อเสนอคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐพิจารณา ๒.๒.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยสั่งการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรายงานผลการจัดซื้อจัดจ้างและการเบิกจ่ายผ่านเว็บไซต์ www.dla.go.th หัวข้อ ระบบสารสนเทศเพื่อการวางแผนและประเมินผลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (e-Plan) ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๕ ของทุกเดือน ไปจนกว่าการดำเนินการจะสิ้นสุด โดยให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นรายงานให้คณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐทราบภายในวันที่ ๑๐ ของทุกเดือน ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับดูแลให้ส่วนราชการในกำกับ เร่งรัดการเบิกจ่ายเงินให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยให้นำผลการเบิกจ่ายงบประมาณไปใช้ประกอบการพิจารณาในการประเมินผลการปฏิบัติราชการของหัวหน้าส่วนราชการตั้งแต่ระดับอธิบดีขึ้นไป ๔. ให้สำนักงบประมาณนำผลการเบิกจ่ายงบประมาณปี ๒๕๕๙ ของแต่ละส่วนราชการไปใช้ประกอบการพิจารณาในการจัดสรรงบประมาณปี ๒๕๕๙ ของแต่ละส่วนราชการต่อไป
|
.....