ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 79 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 1561 - 1580 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1561 | โครงการอบรมเพื่อเพิ่มผลิตภาพการผลิตของเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง ปี 2558/59 และจากปัญหาราคาสินค้าเกษตร | กษ | 15/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแผนการปฏิบัติงานโครงการอบรมเพื่อเพิ่มผลิตภาพการผลิตของเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง ปี ๒๕๕๘/๕๙ และจากปัญหาราคาสินค้าเกษตร เพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบภาวะภัยแล้งในปี ๒๕๕๘/๕๙ และผลกระทบจากปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ให้มีรายได้เพียงพอต่อการยังชีพและมีความยั่งยืน สามารถนำความรู้ไปปรับใช้ในการประกอบอาชีพหลักและอาชีพเสริมในช่วงที่ประสบปัญหาภัยแล้งหรือราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ เป้าหมายเกษตรกร ๒๒๐,๕๐๐ ราย แบ่งเป็น ๕ รุ่น รุ่นละ ๕๐ ราย ใช้พื้นที่ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ๘๘๒ ศูนย์ ใน ๗๗ จังหวัด เริ่มดำเนินการวันที่ ๑ กุมภาพันธ์-๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยในส่วนของงบประมาณให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่อนุมัติกรอบวงเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการฯ ในวงเงินทั้งสิ้น ๑,๐๖๔,๕๗๔,๐๐๐ บาท และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเตรียมความพร้อมและกำกับดูแลการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามระยะเวลาของแผนปฏิบัติงานที่เสนอ เพื่อให้สามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้บรรลุตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงมหาดไทยประสานงานกับคณะรักษาความสงบแห่งชาติในการสนับสนุนการสร้างเครือข่ายของประชาชนกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่เพื่อดำเนินการปฏิรูปการเกษตร การสร้างการเรียนรู้ร่วมกันผ่านศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรทั่วประเทศ โดยมีการติดตามและประเมินผลการดำเนินการและใช้กลไกประชารัฐในการขับเคลื่อนในระดับพื้นที่ด้วย ๓. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๘ เรื่อง โครงการตามแผนพัฒนาอาชีพเกษตรกรตามความต้องการของชุมชนเพื่อบรรเทาภัยแล้ง ปี ๒๕๕๘/๕๙ กรณีการปลูกพืชใช้น้ำน้อย โดยอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑๖๗,๕๖๖,๖๘๕ บาท ให้กรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||
1562 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 15/12/2558 | ||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้กระทรวงคมนาคมและรัฐวิสาหกิจในกำกับกระทรวงคมนาคมและรัฐวิสาหกิจในกำกับกระทรวงคมนาคมปรับปรุงแนวทางและแผนงานการดำเนินโครงการพัฒนาระบบราง โดยเฉพาะโครงการที่ยังอยู่ระหว่างการดำเนินการขออนุมัติเริ่มโครงการ โดยดำเนินการ ๑.๑.๑ ร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรมกำหนดประเภทชิ้นส่วนหรือผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและขนส่งที่ภาคอุตสาหกรรมในประเทศมีศักยภาพในการผลิต และกำหนดให้มีการใช้ชิ้นส่วนหรือผลิตภัณฑ์ดังกล่าวในโครงการพัฒนาที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมภายในประเทศและจูงใจให้เกิดการต่อยอดนวัตกรรมของภาคการผลิตที่เกี่ยวข้อง ๑.๑.๒ ให้มีการพิจารณาโครงข่ายรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนทั้งระบบเพื่อปรับปรุงโครงการลงทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและมีความคุ้มค่าสูงสุด โดยเฉพาะการร่วมใช้โครงสร้างพื้นฐานระหว่างรถไฟฟ้าแต่ละสาย เช่น อาคารซ่อมบำรุงรถไฟฟ้า (Maintenance Depot) เป็นต้น ๑.๑.๓ ให้จัดทำแผนผังการเชื่อมโยงการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ (Multimodal Transport) ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและการเชื่อมโยงกับปริมณฑลเพื่อนำไปใช้กับแผนหลักในการพัฒนาระบบการขนส่ง ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงความต่อเนื่องของระบบการขนส่งในรูปแบบต่าง ๆ ราคาการให้บริการที่เหมาะสม และการขยายตัวของเมืองด้วย ๑.๒ ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดดำเนินการศึกษาแนวทางและมาตรการในการลดภาระหนี้สินครัวเรือนและหนี้นอกระบบที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบันให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว และให้กำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาภาระหนี้สินที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิต ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๗ และรายงานความก้าวหน้าให้คณะรัฐมนตรีทราบภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๙ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงสาธารณสุขจัดทำแผนการผลิตบุคลากรทางการศึกษาและบุคลากรทางการแพทย์ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยมุ่งเน้นการผลิตบุคลากรเพื่อกลับไปทำงานในภูมิลำเนา เช่น การผลิตครูรุ่นใหม่หรือครูตัวอย่างในทุกอำเภอ การผลิตแพทย์และพยาบาลในสาขาที่ขาดแคลนในโรงพยาบาลระดับชุมชน เป็นต้น ทั้งนี้ อาจกำหนดเป้าหมายว่า ภายในปี ๒๕๖๑ จะมีบุคลากรทางการศึกษาและบุคลากรทางการแพทย์เพียงพอในทุกพื้นที่ ๓. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม มอบหมายให้รัฐมนตรีทุกท่านกำกับเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบให้เคร่งครัดในการปฏิบัติตามกฎหมาย และการนำผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะกฎหมายว่าด้วยการประมง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการป้องกัน ยับยั้ง และขจัดการทำการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม และกฎหมายว่าด้วยการเดินอากาศ เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศ ตลอดจนเพื่อให้มีความสงบเรียบร้อยในสังคม ทั้งนี้ ให้ระมัดระวังการบังคับใช้กฎหมายที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งด้วย ๔. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๔.๑ ให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีทุกท่านที่ได้รับมอบหมายให้กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคจัดทำแผนการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมประชาชนในพื้นที่ที่รับผิดชอบ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรวบรวมและจัดทำเป็นแผนการลงพื้นที่ในภาพรวม เพื่อให้นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่เยี่ยมเยียนประชาชน ดูนวัตกรรม และหารือกับภาคเอกชนในพื้นที่ด้วย ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติส่งแผนดังกล่าวให้เลขาธิการนายกรัฐมนตรีเพื่อนำเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๔.๒ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ร่วมกับรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) เร่งรัดการนำเสนอเรื่องกองทุนชุมชนเมืองให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาภายในสัปดาห์หน้า เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชน ๔.๓ ให้รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับการบริหารราชการของส่วนราชการต่าง ๆ กำกับให้ส่วนราชการวางแผนในการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีให้เป็นไปตามแนวทางการเสนอเรื่องเร่งด่วนตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ อย่างเคร่งครัดด้วย ๔.๔ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (๑ ธันวาคม ๒๕๕๘) เกี่ยวกับการแถลงผลการดำเนินงานของรัฐบาล ระหว่างวันที่ ๒๓-๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๘ นั้น ในการแถลงผลงานในแต่ละเรื่องให้แถลงถึงสภาพปัญหาในอดีต การดำเนินการที่ผ่านมาของรัฐบาล และเป้าหมายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งนี้ จะต้องมีความชัดเจนและกระชับเพื่อให้ประชาชนมีความเข้าใจได้โดยง่าย ๔.๕ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๘ เกี่ยวกับการเร่งรัดการปรับปรุงด่านตรวจคนเข้าเมืองให้มีอุปกรณ์ที่พร้อมใช้งานและมีความทันสมัย โดยสามารถเชื่อมโยงกับด่านตรวจคนเข้าเมืองของต่างประเทศได้ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ [เรื่อง ขออนุมัติดำเนินโครงการพัฒนาระบบ CCTV และเทคโนโลยีอื่นที่เหมาะสมเพื่อการควบคุมทางศุลกากรรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)] นั้น ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง) ร่วมกับกระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีและมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวโดยเร็ว และรายงานความก้าวหน้าให้คณะรัฐมนตรีทราบภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๙ ๔.๖ ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๕๘ เกี่ยวกับให้ส่วนราชการที่มีพื้นที่สาธารณะปรับปรุงพื้นที่ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์เพื่อเพิ่มพื้นที่จอดรถสาธารณะในกรุงเทพมหานครให้มีมากขึ้น โดยหารือกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ พิจารณาให้มีพื้นที่จอดรถสาธารณะในแหล่งชุมชนในกรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นการลดปัญหาการจราจร โดยอาจจะพิจารณาดำเนินการตามแนวทาง “จอดแล้วเดิน” เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เกิดถนนคนเดินอีกทางหนึ่งด้วย และรายงานความก้าวหน้าให้คณะรัฐมนตรีทราบภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๙ ๔.๗ ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดการดำเนินการกำหนดรูปแบบมาตรฐานในการก่อสร้างอาคารและสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ของหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ และองค์การอิสระให้มีความเหมาะสมกับภารกิจที่รับผิดชอบและคุ้มค่ากับงบประมาณในการดำเนินการ ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ๔.๘ ให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดให้มีหลักสูตรภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐานเฉพาะตามกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ เช่น ภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐานในชีวิตประจำวันสำหรับกลุ่มประชาชนทั่วไป ภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐานสำหรับผู้ประกอบการในการทำธุรกิจ ภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐานสำหรับข้าราชการในการดำเนินงานภาคราชการ ภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐานสำหรับประชาชนหรือผู้ใช้แรงงานในด้านต่าง ๆ เช่น ภาคการท่องเที่ยว ภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||
1563 | ขออนุมัติโครงการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อเชื่อมต่อการเดินทางบริเวณสถานีสะพานพระนั่งเกล้า โครงการปรับปรุงรูปแบบอาคารจอดแล้วจร แยกนนทบุรี 1 และโครงการก่อสร้างสะพานลอยกลับรถไปทางสุพรรณบุรี บริเวณหน้าโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ รัตนาธิเบศร์ ของโครงการรถไฟฟ้า สายสีม่วง ช่วงบางใหญ่ - บางซื่อ | คค | 15/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ดำเนินงานโครงการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อเชื่อมต่อการเดินทางบริเวณสถานีสะพานพระนั่งเกล้า โครงการปรับปรุงรูปแบบอาคารจอดแล้วจร แยกนนทบุรี ๑ และโครงการก่อสร้างสะพานลอยกลับรถไปทางสุพรรณบุรี บริเวณหน้าโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ รัตนาธิเบศร์ ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ ๑.๒ ให้กระทรวงการคลังจัดหาแหล่งเงินกู้ที่เหมาะสม โดยวิธีการให้กู้เงินต่อหรือค้ำประกันเงินกู้ ภายใต้กรอบวงเงินค่าก่อสร้างโครงการสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อเชื่อมต่อการเดินทางของโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ ทั้ง ๓ โครงการ ในกรอบวงเงิน ๔๒๕,๐๕๐,๒๔๑.๗๔ บาท และให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรเงินงบประมาณประจำปีให้เป็นรายได้แก่ รฟม. ให้เพียงพอ เพื่อการชำระหนี้แก่แหล่งเงินทั้งในส่วนเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังจะได้ตกลงกับ รฟม. ต่อไป ๒. สำหรับการดำเนินการก่อสร้างสะพานลอยกลับรถไปทางสุพรรณบุรีบริเวณหน้าโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ รัตนาธิเบศร์ ให้กระทรวงคมนาคมหารือกับสำนักงบประมาณในรายละเอียดเกี่ยวกับผู้ดำเนินการและแหล่งเงินดำเนินการ ทั้งนี้ ก่อนเริ่มขั้นตอนการดำเนินโครงการปรับปรุงอาคารจอดแล้วจร แยกนนทบุรี ๑ รฟม. ต้องจัดทำรายงานการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในรายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ของโครงการปรับปรุงรูปแบบอาคารจอดแล้วจร แยกนนทบุรี ๑ ตามความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และจัดทำข้อมูลศึกษาความคุ้มค่าในการลงทุนตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติด้วย |
|||||||||||||||||||||
1564 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในการดำเนิน โครงการตามแผนโครงสร้างพื้นฐานและด่านศุลกากรระยะเร่งด่วนปี 2558 (สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง) | ตช | 15/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๑๔๙,๔๕๐,๕๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการตามแผนโครงสร้างพื้นฐานและด่านศุลกากรระยะเร่งด่วนปี ๒๕๕๘ จำนวน ๑๐ โครงการ สำหรับโครงการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัย ๓๐ ครอบครัว สูง ๕ ชั้น ของตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดตราด วงเงิน ๒๒,๗๐๐,๐๐๐ บาท ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดทำรายละเอียดงบประมาณราคากลางให้ครบถ้วน แล้วขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง ส่วนโครงการก่อสร้างอาคารตรวจบุคคล (Terminal) ของตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดตาก วงเงิน ๘๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ รองรับตามความจำเป็นและความเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||
1565 | การดำเนินโครงการปรับปรุงท่าเรือภูเก็ต และโครงการพัฒนาปรับปรุงท่าเรือสงขลา | กค | 08/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเป็นมาและขั้นตอนการดำเนินโครงการพัฒนาปรับปรุงท่าเรือภูเก็ตและโครงการพัฒนาปรับปรุงท่าเรือสงขลา ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการปรับปรุงท่าเรือภูเก็ต คณะทำงานประเมินราคาทรัพย์สินของท่าเรือสงขลาและท่าเรือภูเก็ตได้มีการประเมินราคาทรัพย์สินของท่าเรือภูเก็ตแล้ว และคณะทำงานพิจารณากำหนดเงื่อนไขและผลประโยชน์ตอบแทนการบริหารจัดการท่าเรือสงขลาและท่าเรือภูเก็ตได้มีมติให้กรมธนารักษ์ประสานงานกับกรมเจ้าท่าเพื่อขอข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการพิจารณากำหนดเงื่อนไขการประมูล แต่ยังขาดข้อมูลเชิงสถิติในอดีตและข้อมูลเกี่ยวกับศักยภาพของท่าเรือ ซึ่งกรมธนารักษ์ได้มีหนังสือขอข้อมูลจากกรมเจ้าท่าแล้ว ๒. โครงการพัฒนาปรับปรุงท่าเรือสงขลา คณะทำงานประเมินราคาทรัพย์สินของท่าเรือสงขลาและท่าเรือภูเก็ตได้มีการประชุมเพื่อพิจารณากำหนดราคาประเมินทรัพย์สินของท่าเรือสงขลาแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างกรมธนารักษ์พิจารณากำหนดเงื่อนไขและผลประโยชน์ตอบแทนเพื่อเสนอคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมดำเนินโครงการพัฒนาปรับปรุงท่าเรือสงขลาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
1566 | ขอความเห็นชอบการปรับเพิ่มมูลค่าสัญญาก่อสร้างงานโยธาของสัญญาที่ 1 และ 2 และปรับลดมูลค่าสัญญาก่อสร้างงานโยธาของสัญญาที่ 6 โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่ - บางซื่อ โดยกรอบวงเงินรวมของโครงการไม่เปลี่ยนแปลง | คค | 08/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการปรับเพิ่มมูลค่าสัญญาก่อสร้างงานโยธาของสัญญาที่ ๑ และ ๒ และปรับลดมูลค่าสัญญาก่อสร้างงานโยธาของสัญญาที่ ๖ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ เนื่องจากการปรับมูลค่าสัญญาก่อสร้างงานโยธาดังกล่าวมีมูลค่าต่ำกว่า ๕๐๐ ล้านบาท และไม่มีการเปลี่ยนแปลงกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้เมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗ จึงอยู่ในอำนาจของคณะกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยที่จะพิจารณาดำเนินการได้ตามมาตรา ๗๕(๒) แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๓ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๒. เห็นชอบการจัดหาแหล่งเงินกู้ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและกระทรวงการคลัง โดยให้เป็นไปตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗ โดยกระทรวงการคลังจะพิจารณากู้เงินในประเทศและนำมาให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กู้เงินต่อ และให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อเป็นงบชำระหนี้ให้กับ รฟม. เพื่อใช้ชำระหนี้แก่แหล่งเงินกู้โดยตรง ทั้งในส่วนของเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้อง ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังจะได้ตกลงกับ รฟม. ต่อไป ๓. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. รับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ และคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ เกี่ยวกับการปรับปรุง แก้ไข และเปลี่ยนแปลงงานของโครงการฯ ต้องเป็นไปตามหลักการความเหมาะสมทางวิศวกรรม และสอดคล้องกับการประมาณการปริมาณผู้โดยสารของโครงการฯ และจัดทำข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประกอบการพิจารณาตามขั้นตอน ได้แก่ ข้อตกลงของการใช้พื้นที่และค่าใช้จ่ายทางเชื่อมบริเวณสถานีบางซ่อน แผนการใช้ประโยชน์พื้นที่ใต้สถานีพระนั่งเกล้า และเหตุผลและความจำเป็นต่อการให้บริการในส่วนงานปรับปรุงเกาะกลางถนน สำหรับการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายอื่นให้วางแผนและเตรียมความพร้อมในแต่ละขั้นตอนอย่างรัดกุมเพื่อให้การดำเนินโครงการแล้วเสร็จตามกำหนดระยะเวลาเป้าหมาย รวมทั้งมีมูลค่าโครงการเป็นไปตามกรอบวงเงินที่คาดการณ์ไว้และอยู่ในกรอบวงเงินที่ได้รับอนุมัติ นอกจากนี้ ควรปรับปรุงแก้ไขเปลี่ยนแปลงงานและงานเพิ่มเติมต่าง ๆ เท่าที่จำเป็น เพื่อเปิดให้บริการได้ตามแผนงานที่วางไว้ และการดำเนินการในทุกขั้นตอนการปฏิบัติจะต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
1567 | ขออนุมัติดำเนินงานโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) | คค | 08/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ดำเนินงานโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) โดยให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณสำหรับค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและค่าสำรวจอสังหาริมทรัพย์สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ในกรอบวงเงินจำนวน ๙,๖๒๕ ล้านบาท ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามแผนการใช้จ่ายเงินจริง สำหรับค่าก่อสร้างงานโยธา ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. ทบทวนมูลค่างานโยธาโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ให้เป็นปัจจุบัน โดยพิจารณาดำเนินการตามนโยบายการลงทุนด้านระบบรางของรัฐที่เน้นให้การกำหนดมูลค่าการลงทุนมีความเหมาะสมและประหยัด ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตภายในประเทศเป็นหลัก และส่งเสริมการพัฒนาธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับระบบการขนส่งทางราง ทั้งนี้ ให้ระมัดระวังความซ้ำซ้อนของการจ้างที่ปรึกษาออกแบบและการจ้างบริษัทก่อสร้างด้วย ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งภายใน ๓๐ วัน ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และประธานกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ เกี่ยวกับการทบทวนมูลค่างานโยธาให้เป็นราคาปัจจุบันและสอดคล้องกับหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการ การเร่งนำเสนอรายงานการศึกษาและวิเคราะห์โครงการตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อให้สามารถสรรหาเอกชนเข้าร่วมลงทุนงานระบบไฟฟ้า อาณัติสัญญาณ ขบวนรถไฟฟ้า และการเดินรถ การเร่งนำเสนอโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงตลิ่งชัน-ศูนย์วัฒนธรรมฯ เพื่อพิจารณาคัดเลือกเอกชนพร้อมกันทั้งสองช่วงในคราวเดียวกัน การปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม การเร่งดำเนินงานในส่วนระบบรถไฟฟ้าที่จะให้เอกชนเข้าร่วมดำเนินการอย่างรอบคอบและคำนึงถึงประโยชน์ที่จะได้รับของประชาชนและประเทศเป็นสำคัญ การเร่งนำเสนอโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงตลิ่งชัน-ศูนย์วัฒนธรรมฯ เพื่อให้สามารถเปิดให้บริการได้ทั้งเส้นทาง รวมทั้งการเร่งรัดการปฏิรูปเส้นทางเดินรถโดยสารสาธารณะให้สอดคล้องกับเส้นทางและระยะเวลาการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ เพื่อให้โครงข่ายการขนส่งสาธารณะในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีความสมบูรณ์ เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ในส่วนของการลงทุนงานระบบไฟฟ้าและการเดินรถของโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ซึ่งจะใช้วิธีการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุน นั้น ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายโดยระมัดระวังเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนที่อาจเกิดขึ้นต่อไปด้วย ๔. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ) กระทรวงศึกษาธิการ เป็นต้น รับไปพิจารณาหาแนวทางส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตรถไฟฟ้าและรางรถไฟภายในประเทศให้มีศักยภาพเพื่อรองรับการดำเนินโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับระบบการขนส่งทางราง และลดภาระการนำเข้าวัสดุจากต่างประเทศ |
|||||||||||||||||||||
1568 | แผนปฏิบัติการเพื่อพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภาให้เป็นท่าอากาศยานเชิงพาณิชย์แห่งที่ 3 | คค | 08/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการแผนปฏิบัติการเพื่อพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภาให้เป็นท่าอากาศยานเชิงพาณิชย์แห่งที่ ๓ สำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กระทรวงคมนาคม กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงบประมาณ กองทัพเรือ การท่าอากาศยานอู่ตะเภา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ใช้เป็นกรอบในการดำเนินงานและเสนอรายละเอียดแผนงาน/โครงการ ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๑.๒ เห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กระทรวงคมนาคม สำนักงบประมาณ กองทัพบก กองทัพอากาศ กองการบินทหารเรือ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ให้ความร่วมมือและสนับสนุนการดำเนินการพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภาเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายการพัฒนาและระยะเวลาที่กำหนดไว้ในแผนปฏิบัติการฯ ๑.๓ มอบหมายให้กองทัพเรือ (การท่าอากาศยานอู่ตะเภา) ในฐานะผู้บริหารท่าอากาศยานสนับสนุนและกำกับการดำเนินงานให้เป็นไปตามเป้าหมายการพัฒนาต่อไป ๒. สำหรับในส่วนของค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฯ โดยเฉพาะโครงการที่มีความจำเป็นต้องเร่งดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้หน่วยงานที่มีความพร้อมและต้องดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ หรือใช้จ่ายจากเงินนอกงบประมาณ เช่น เงินรายได้ของกองทุนการท่าอากาศยานอู่ตะเภา และ/หรือเงินรายได้ของกองทุนเงินค่าธรรมเนียมผ่านทาง ฯลฯ ในโอกาสแรกก่อน หากไม่เพียงพอและเป็นกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ก็ให้ขอรับการสนับสนุนงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เป็นกรณี ๆ ไป โดยจัดทำแผนการใช้จ่ายเงินงบกลาง และปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ เรื่อง แนวทางการเสนอเรื่องงบประมาณต่อคณะรัฐมนตรี ตามขั้นตอนต่อไป ๓. ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อาทิ การก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังใหม่ของท่าอากาศยานอู่ตะเภาเห็นสมควรแยกอาคารผู้โดยสารภายในประเทศและระหว่างประเทศออกจากกันให้ชัดเจน การพัฒนาโครงข่ายเส้นทางเชื่อมโยงจากท่าอากาศยานอู่ตะเภาเข้าสู่เมืองพัทยาหรือแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในเขตพัฒนาการท่องเที่ยวฝั่งทะเลตะวันออก และเส้นทางเข้าสู่กรุงเทพมหานคร รวมถึงเส้นทางไปยังจังหวัดตราดเพื่อเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ให้มีความสะดวกและปลอดภัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งการขนส่งทางราง สำหรับกิจกรรมใดภายใต้แผนที่จะเกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอกท่าอากาศยานอู่ตะเภาเข้าข่ายที่จะต้องดำเนินการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) หรือรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ (EHIA) ให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายที่กำหนดไว้ รวมทั้งเห็นควรให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำรายละเอียดแผนงาน/โครงการ และนำเสนอขออนุมัติงบประมาณตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมพิจารณากลไกการขับเคลื่อนเพื่อบูรณาการทั้งในด้านการดำเนินงานตามภารกิจและงบประมาณของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งกำกับดูแลและติดตามประเมินผลความก้าวหน้าการดำเนินงาน ปัญหาอุปสรรค และแนวทางการแก้ไข การพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภาให้เป็นท่าอากาศยานเชิงพาณิชย์แห่งที่ ๓ อย่างต่อเนื่อง และเห็นควรให้กระทรวงคมนาคม บริษัทวิทยุการบินแห่งประเทศไทย กองทัพอากาศ กองทัพบก และกองทัพเรือ ร่วมกันพิจารณาแนวทางการพัฒนาความร่วมมือการพัฒนาห้วงอากาศ PBN Airspace ให้มีการประสานงานอย่างเป็นระบบและทันต่อเหตุการณ์ เพื่อให้การบริหารจัดการห้วงอากาศของประเทศสามารถตอบสนองภารกิจด้านความมั่นคงและการบินพลเรือนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างความเชื่อมั่นในด้านความปลอดภัยที่เป็นมาตรฐานสากล ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น รับไปดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภาอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวและการขนส่งทางอากาศ ซึ่งครอบคลุมถึงการพัฒนาพื้นที่บริเวณท่าอากาศยานอู่ตะเภาและพื้นที่โดยรอบให้เป็นศูนย์ซ่อมอากาศยานแห่งภูมิภาคเพื่อใช้เป็นฐานบริการซ่อมบำรุงอากาศยานจากประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคและลดภาระค่าใช้จ่ายในการส่งอากาศยานไปซ่อมบำรุงในต่างประเทศ โดยพิจารณาถึงรูปแบบการลงทุนที่เปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการเพื่อลดภาระงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||
1569 | แนวทางการบริหารจัดการตลาดมันสำปะหลังปี 2558/59 | กษ | 08/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติแนวทางการบริหารจัดการตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๘/๕๙ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ จำนวน ๒ โครงการ โดยใช้แหล่งเงินจากเงินทุนธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กรอบวงเงินรวมทั้งสิ้น ๙,๖๐๐ ล้านบาท และวงเงินชดเชยดอกเบี้ยรวม ๒๖๐.๓๒๕ ล้านบาท ดังนี้ ๑.๑ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกมันสำปะหลังในระบบน้ำหยด ปี ๒๕๕๘/๕๙ กลุ่มเป้าหมายเกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกมันสำปะหลัง ๒๐,๐๐๐ ราย วงเงินกู้รายละไม่เกิน ๒๓๐,๐๐๐ บาท โดยใช้เงินทุนจาก ธ.ก.ส. ๔,๖๐๐ ล้านบาท รัฐชดเชยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ FDR+1 ต่อปี ระยะเวลา ๒๔ เดือน วงเงินชดเชยดอกเบี้ย ๒๐๔.๗๐ ล้านบาท ๑.๒ โครงการชะลอการเก็บเกี่ยวมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๘/๕๙ กลุ่มเป้าหมายเกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกมันสำปะหลัง ๑๐๐,๐๐๐ ราย วงเงินกู้รายละไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท โดยใช้เงินทุนจาก ธ.ก.ส. ๕,๐๐๐ ล้านบาท รัฐชดเชยดอกเบี้ยอัตรา FDR+1 ต่อปี ระยะเวลา ๖ เดือน วงเงินชดเชยดอกเบี้ย ๕๕.๖๒๕ ล้านบาท โดยเมื่อเกษตรกรได้สางคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ยในส่วนที่ผู้กู้รับผิดชอบแล้ว ให้ ธ.ก.ส. เสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามภาระที่เกิดขึ้นจริงเพื่อชดเชยดอกเบี้ยในปีงบประมาณถัดไปตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาทบทวนวิธีการดำเนินการโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อรวบรวมและสร้างมูลค่าเพิ่มมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๘/๕๙ ให้เหมาะสมตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงอีกครั้งหนึ่ง และรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และภาคเอกชน ในการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้การดำเนินโครงการอย่างทั่วถึง รวมทั้งมีการพิจารณาปรับปรุงขั้นตอนการดำเนินงานดังกล่าวเพื่อให้การบริหารจัดการตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๘/๕๙ เกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผลและเป็นประโยชน์สูงสุดแก่เกษตรกร และควรมีการติดตามประเมินผลการดำเนินงาน เพื่อใช้เป็นแนวทางการดำเนินงานในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
1570 | ขอสนับสนุนงบกลางเพื่อดำเนินโครงการอบรมเพื่อเพิ่มผลิตภาพการผลิตของเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง ปี 2558/59 และจากปัญหา ราคาสินค้าเกษตร | กษ | 08/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการอบรมเพื่อเพิ่มผลิตภาพการผลิตของเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง ปี ๒๕๕๘/๕๙ และจากปัญหาราคาสินค้าเกษตร โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เกษตรกรในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง ปี ๒๕๕๘/๕๙ และเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาราคาสินค้าเกษตร จำนวน ๒๒๐,๕๐๐ ราย ได้รับการอบรมเพื่อเพิ่มผลิตภาพการผลิต (หลักสูตร ๙๐ ชั่วโมง/รุ่น รุ่นละ ๕๐ ราย จำนวน ๕ รุ่น) ภายในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๙ สถานที่ดำเนินงาน ได้แก่ ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก. ๘๘๒ ศูนย์) ทั่วประเทศ ๗๖ จังหวัด ระยะเวลาการดำเนินงาน ตั้งแต่ ๑ กุมภาพันธ์-๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ รวม ๕ รุ่น โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงมหาดไทยพิจารณาทบทวนแผนการดำเนินโครงการและแผนการใช้จ่ายงบประมาณก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ใช้กลไกประชารัฐในการขับเคลื่อนการดำเนินการในระดับพื้นที่ โดยบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย พิจารณาดำเนินโครงการหรือมาตรการต่าง ๆ โดยเน้นการสร้างงานเพื่อให้ประชาชนในพื้นที่มีรายได้ ฟื้นฟูและให้ความช่วยเหลือเกษตรกร ปรับโครงสร้างการผลิต ส่งเสริมอาชีพและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเพาะปลูกให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ รวมถึงการให้ความรู้ สร้างแรงจูงใจในการปรับเปลี่ยนทัศนคติในการประกอบอาชีพ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ครอบคลุมทั่วถึงในทุกพื้นที่ทั้งประเทศเพื่อให้การดำเนินมาตรการช่วยเหลือต่าง ๆ ของรัฐบาลสามารถช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบได้อย่างแท้จริง ยั่งยืน และมีความต่อเนื่อง |
|||||||||||||||||||||
1571 | ขอสนับสนุนงบกลางเพื่อดำเนินโครงการตามแผนพัฒนาอาชีพเกษตรกรตามความต้องการของชุมชนเพื่อบรรเทาภัยแล้งปี 2558/59 กรณีการปลูกพืชใช้น้ำน้อย | กษ | 08/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการตามแผนพัฒนาอาชีพเกษตรกรตามความต้องการของชุมชนเพื่อบรรเทาภัยแล้งปี ๒๕๕๘/๕๙ กรณีการปลูกพืชใช้น้ำน้อย โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาทบทวนแผนการดำเนินโครงการและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อมิให้เกิดความซ้ำซ้อน มีความคุ้มค่า ประหยัด มีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์โดยตรงต่อเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการเป็นหลัก ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายการบริหารโครงการฯ ตามที่นายกรัฐมนตรีมีบัญชาเพิ่มเติมให้ “ลงรายละเอียด ประหยัดงบประมาณ เพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจ/มีเงินให้ราษฎรใช้จ่าย ขณะที่มาอบรม” และควรเร่งดำเนินการโครงการฯ ให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ ตลอดจนติดตามสถานการณ์สภาพแวดล้อมของพื้นที่เพาะปลูก เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของพื้นที่ในขณะนั้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ใช้กลไกประชารัฐในการขับเคลื่อนการดำเนินการในระดับพื้นที่โดยบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย พิจารณาดำเนินโครงการหรือมาตรการต่าง ๆ โดยเน้นการสร้างงานเพื่อให้ประชาชนในพื้นที่มีรายได้ ฟื้นฟู และให้ความช่วยเหลือเกษตรกร ปรับโครงสร้างการผลิต ส่งเสริมอาชีพ และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเพาะปลูกมาเป็นพืชที่ใช้น้ำน้อยและเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ รวมถึงการให้ความรู้ สร้างแรงจูงใจในการปรับเปลี่ยนทัศนคติในการประกอบอาชีพ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ครอบคลุมทั่วถึงในทุกพื้นที่ทั้งประเทศ เพื่อให้การดำเนินมาตรการช่วยเหลือต่าง ๆ ของรัฐบาลสามารถช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบได้อย่างแท้จริง ยั่งยืน และมีความต่อเนื่อง ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการดำเนินงานโดยระบุถึงกลุ่มเป้าหมายและพื้นที่ในการดำเนินการและสรุปผลการดำเนินการที่ผ่านมา รวมถึงการวัดผลสัมฤทธิ์ของโครงการดังกล่าว พร้อมทั้งให้เร่งประชาสัมพันธ์แผนงานโครงการดังกล่าวให้ประชาชนรับทราบอย่างทั่วถึงตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีด้วย |
|||||||||||||||||||||
1572 | แผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่ง ระยะเร่งด่วน พ.ศ. 2559 (Action Plan) เพื่อขับเคลื่อนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ และแนวทางการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งตามแนวตะวันออก - ตะวันตก (E-W Corridor) | คค | 01/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการขับเคลื่อนโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญและมีความพร้อม เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมในการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของประเทศในภาพรวมตามแผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่ง ระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๙ (Action Plan) เพื่อขับเคลื่อนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ และแนวทางการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งตามแนวตะวันออก-ตะวันตก (E-W Corridor) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ แผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่ง ระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๙ (Action Plan) ได้พิจารณาโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ภายใต้แผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ ที่มีความพร้อมสามารถเริ่มประกวดราคาได้ในปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐ จำนวน ๒๐ โครงการ วงเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น ๑,๗๙๖,๓๘๕.๗๗ ล้านบาท จำแนกเป็น ๒ กลุ่ม คือ (๑) กลุ่มโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมซึ่งคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ดำเนินโครงการแล้ว และสามารถประกวดราคาได้ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ (ไตรมาสแรกปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙) จำนวน ๖ โครงการ กรอบวงเงินลงทุนรวม ๑๘๖,๓๐๗.๔๕ ล้านบาท และ (๒) กลุ่มโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมสามารถเริ่มประกวดราคาได้ในปี ๒๕๕๙-๒๕๖๐ จำนวน ๑๔ โครงการ กรอบวงเงินลงทุนรวม ๑,๖๑๐,๐๗๘.๓๒ ล้านบาท ๑.๒ แนวทางการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งตามแนวตะวันออก-ตะวันตก (E-W Corridor) ประกอบด้วย (๑) การพัฒนาโครงข่ายทางหลวงตามแนวตะวันออก-ตะวันตก (E-W) ได้แก่ ทางหลวงหมายเลข ๑๒ เส้นทางแม่สอด ทางหลวงพิเศษเชื่อมต่อกับ Super Cluster บริเวณท่าเรือแหลมฉบัง ทางหลวงพิเศษเชื่อมต่อกับ Super Cluster นครราชสีมา ทางหลวงสายมุกดาหาร และ (๒) การพัฒนาโครงข่ายรถไฟตามแนวตะวันออก-ตะวันตก (E-W) ได้แก่ เส้นทางรถไฟตามแนวระเบียงเศรษฐกิจด้านตะวันออก-ตะวันตกตอนบน (Upper East-West Economic Corridor) ช่วงแม่สอด-พิษณุโลก-เพชรบูรณ์-ขอนแก่น-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร และเส้นทางรถไฟตามแนวระเบียงเศรษฐกิจด้านตะวันออก-ตะวันตก ตอนล่าง (Lower East-West Economic Corridor) ช่วงกาญจนบุรี-กรุงเทพฯ-อรัญประเทศ และช่วงกาญจนบุรี-กรุงเทพฯ-แหลมฉบัง ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ เกี่ยวกับการกำกับและติดตามการดำเนินงานของโครงการต่าง ๆ ให้เป็นไปตามแผนอย่างเคร่งครัด การให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการและบริหารความเสี่ยงหลังจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเรียบร้อยแล้ว การกำหนดใน TOR ให้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการออกแบบการก่อสร้าง การทดสอบการเดินรถ และการบำรุงรักษา การกำหนดให้มีการประกอบและผลิตรถไฟฟ้า รวมถึงการผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์ชิ้นส่วนรถไฟฟ้าในประเทศตามมาตรฐานของผู้ผลิต และมีมาตรการตรวจสอบโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐให้มีความโปร่งใส การจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์และดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน การนำเป้าหมายผลผลิตรายไตรมาสไปใช้เป็นตัวชี้วัดผลการดำเนินงานประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๙ เพื่อให้รัฐบาลใช้ในการกำกับและติดตามการขับเคลื่อนการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของประเทศให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ การกำหนดระยะเวลาและหลักเกณฑ์การพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามประเภทของโครงการให้มีความชัดเจน รวมทั้งการให้ความสำคัญกับการจัดทำแบบจำลองประมาณการปริมาณความต้องการเดินทางและขนส่งของประเทศที่สะท้อนการลงทุนระบบขนส่งรูปแบบต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงกับพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) และกระทรวงคมนาคมเร่งรัดการดำเนินโครงการโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เช่น รถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี และสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง เพื่อให้สามารถเข้าสู่ขั้นตอนการประกวดราคาได้ทันภายในช่วงกลางปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ |
|||||||||||||||||||||
1573 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 01/12/2558 | ||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ตามที่รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกรทั่วประเทศไปแล้วหลายมาตรการ นั้น เพื่อให้การช่วยเหลือครอบคลุมผู้มีรายได้น้อยอย่างทั่วถึง จึงมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ร่วมกับหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ และกระทรวงมหาดไทย พิจารณากำหนดมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยในเขตกรุงเทพมหานครเพิ่มเติม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินนโยบายจัดระเบียบสังคมในกรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำให้แก่ประชาชน ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกำกับให้ทุกส่วนราชการในสังกัดพิจารณากำหนดแนวทางการสร้างความโปร่งใสในการดำเนินโครงการต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการที่จะดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีพิเศษให้พิจารณาถึงความจำเป็น เหมาะสม และประโยชน์ของรัฐเป็นสำคัญ
|
|||||||||||||||||||||
1574 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างกลุ่มอาคารหอพักนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ | ศธ | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างกลุ่มอาคารหอพักนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ จากวงเงิน ๑๒๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๑๓๒,๖๐๔,๗๘๑.๒๐ บาท ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ส่วนงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยค่าก่อสร้างส่วนที่เหลือ จำนวน ๕๘,๔๖๐,๐๐๐ บาท ให้เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณ จำนวน ๓๐,๘๔๐,๓๔๔.๑๖ บาท และใช้เงินนอกงบประมาณสมทบ จำนวน ๒๗,๖๑๖,๖๕๕.๘๔ บาท โดยในส่วนของเงินงบประมาณให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๑๗,๑๙๓,๓๔๔.๑๖ บาท และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๑๓,๖๕๐,๐๐๐ บาท ซึ่งกระทรวงการคลังได้อนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินโครงการดังกล่าวให้มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี หนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง และมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ ทั้งนี้ การดำเนินโครงการก่อสร้างที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณไปแล้วนั้น เห็นสมควรที่มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่จะต้องติดตามและเร่งรัดการดำเนินการให้เป็นไปตามแผนและวงเงินที่ได้รับการจัดสรรอย่างเคร่งครัดด้วย และหากความล่าช้าดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานตามภารกิจหรือมีความเสียหายเกิดขึ้น ก็สมควรที่จะพิจารณาตรวจสอบและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาใช้สิทธิของผู้ว่าจ้างภายหลังบอกเลิกสัญญาเพื่อเรียกค่าเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากกรณีที่ผู้รับจ้างรายเดิมไม่สามารถก่อสร้างอาคารให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาตามสัญญาด้วย |
|||||||||||||||||||||
1575 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างกลุ่มอาคารเรียนรวม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ | ศธ | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างกลุ่มอาคารเรียนรวม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ จากวงเงิน ๑๕๗,๕๐๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๑๕๙,๐๕๕,๗๘๖ บาท ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ส่วนงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยค่าก่อสร้างส่วนที่เหลือ จำนวน ๗๑,๖๐๐,๐๐๐ บาท ให้เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณ จำนวน ๔๗,๐๕๑,๘๙๙ บาท และใช้เงินนอกงบประมาณสมทบ จำนวน ๒๔,๕๔๘,๑๐๑ บาท โดยในส่วนของเงินงบประมาณให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๒๖,๘๗๓,๘๙๙ บาท และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๒๐,๑๗๘,๐๐๐ บาท ที่กระทรวงการคลังได้อนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว โดยให้มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี หนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง และมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ ทั้งนี้ การดำเนินโครงการก่อสร้างที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณไปแล้วนั้น เห็นควรที่มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงใหม่จะต้องติดตามและเร่งรัดการดำเนินการให้เป็นไปตามแผนและวงเงินที่ได้รับการจัดสรรอย่างเคร่งครัดด้วย และหากความล่าช้าดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานตามภารกิจหรือมีความเสียหายเกิดขึ้น ก็สมควรที่จะพิจารณาตรวจสอบและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาใช้สิทธิของผู้ว่าจ้างภายหลังบอกเลิกสัญญาเพื่อเรียกค่าเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากกรณีที่ผู้รับจ้างรายเดิมไม่สามารถก่อสร้างอาคารให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาตามสัญญาด้วย |
|||||||||||||||||||||
1576 | การบริหารโครงการลงทุนภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 | กค | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบแนวทางการดำเนินโครงการตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ระยะ ๓ เดือนแรก ที่ใช้เงินกู้เหลือจ่ายจากโครงการตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ (ไทยเข้มแข็ง) กรอบวงเงิน ๑๕,๒๐๐ ล้านบาท ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติการยกเลิกรายการที่ไม่สามารถลงนามในสัญญาได้ทันภายในวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ๑.๒ อนุมัติให้การขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการสำหรับรายการที่ลงนามในสัญญาแล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๘ แต่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ทันภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งรัดดำเนินการและเบิกจ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายใน ๓๖๐ วัน นับจากวันที่ลงนามในสัญญา ทั้งนี้ หากดำเนินการไม่แล้วเสร็จจะไม่มีการจัดสรรเงินเพื่อดำเนินการอีกต่อไป รวมทั้งให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการสอบสวนตามขั้นตอน คือ เรียกค่าปรับ หากบริษัทไม่ยินยอมก็จะต้องมีการฟ้องร้องเรียกค่าปรับต่อไป ตามความเห็นของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ๒. อนุมัติการจัดสรรเงินสำรองจ่าย จำนวน ๑๖ รายการ วงเงิน ๔๗,๒๖๙,๙๒๑.๗๗ บาท ๓. เห็นชอบการปิดโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ และยุติการดำเนินงานของคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ภายในวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ๔. สำหรับแนวทางการจัดสรรเงินสำรองจ่ายเมื่อปิดโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยหากปรากฏภายหลังว่าหน่วยงานเจ้าของโครงการมีความจำเป็นต้องขอรับการชดเชยค่างานก่อสร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) ก็เห็นสมควรที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติหลักการให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๓๒ เรื่อง การพิจารณาช่วยเหลือผู้ประกอบอาชีพงานก่อสร้าง กรณีที่ต้องจ่ายค่า K ตามสัดส่วนแหล่งที่มาของวงเงินค่าก่อสร้าง เพื่อให้สามารถใช้จ่ายจากงบประมาณแผ่นดินหรือเงินรายได้ของหน่วยงานในการชดเชยค่างานก่อสร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย |
|||||||||||||||||||||
1577 | ขอสนับสนุนงบกลางเพื่อดำเนินโครงการบูรณาการมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งปี 2558/59 ตามมาตรการที่ 1 และมาตรการที่ 2 | กษ | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว จำนวน ๙๗๑,๙๗๙,๙๓๖ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการบูรณาการมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งปี ๒๕๕๘/๕๙ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการที่ ๑ การส่งเสริมความรู้และสนับสนุนปัจจัยการผลิตเพื่อลดรายจ่ายในครัวเรือน จำนวน ๔ โครงการ ในกรอบวงเงินรวม ๙๗๑,๙๗๙,๙๓๖ บาท ประกอบด้วย ๑.๑.๑ กรมส่งเสริมเกษตรกร เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการสร้างรายได้จากพืชทดแทนนาปรัง จำนวน ๓๕๖,๙๒๐,๙๐๐ บาท ๑.๑.๒ กรมปศุสัตว์ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการสร้างรายได้จากปศุสัตว์ในฤดูแล้ง จำนวน ๔๔๒,๗๙๓,๗๓๖ บาท ๑.๑.๓ กรมประมง เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการสร้างรายได้จากประมงในฤดูแล้ง จำนวน ๑๖๓,๑๒๙,๘๐๐ บาท ๑.๑.๔ กรมพัฒนาที่ดิน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการปรับปรุงและพัฒนาเพื่อความอุดมสมบูรณ์ของดิน จำนวน ๙,๑๓๕,๕๐๐ บาท ๑.๒ สำหรับมาตรการที่ ๒ ค่าใช้จ่ายโครงการช่วยเหลือสมาชิกสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งของกรมส่งเสริมสหกรณ์ เห็นสมควรที่จะจ่ายชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้แทนสมาชิกสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร สัญญากู้ระยะสั้น ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๙ ในอัตราร้อยละ ๓ ต่อปี เป็นระยะเวลา ๖ เดือน ภายในกรอบวงเงินไม่เกิน ๒๐๖,๒๓๓,๐๐๐ บาท โดยให้กรมส่งเสริมสหกรณ์จัดทำรายละเอียดมูลหนี้ที่เกิดขึ้นจริง ตามผลการดำเนินงานประจำปี และเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแต่ละหน่วยงานจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ รายละเอียดค่าใช้จ่าย โดยขอทำความตกลงเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณโดยตรงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการในทันต่อฤดูเพาะปลูกพืชฤดูแล้งปี ๒๕๕๘/๕๙ และรายงานจำนวนเกษตรกรที่ได้รับผลประโยชน์จากมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรดังกล่าวด้วย ๓. ให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐติดตามการใช้จ่ายงบประมาณในการดำเนินโครงการบูรณาการมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง ปี ๒๕๕๘/๕๙ ให้เกิดความโปร่งใสและเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป |
|||||||||||||||||||||
1578 | ขอทบทวนโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2558/59 | พณ | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงการคลังกำกับให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรรับผิดชอบและบริหารจัดการความเสี่ยงของโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๘/๕๙ โดยไม่ทำสัญญาในลักษณะที่ก่อให้เกิดภาวะต่อเกษตรกร ทั้งนี้ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์พิจารณากำหนดมาตรการในการชดเชยค่าใช้จ่ายกรณีเกิดภาวะขาดทุนจากการดำเนินโครงการฯ และเสนอคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
1579 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) เร่งรัดการเจรจาในระดับผู้นำเกี่ยวกับการดำเนินโครงการความร่วมมือระหว่างไทย-สาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟของไทยให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว และให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อให้สามารถเริ่มดำเนินการได้โดยเร็วต่อไป ๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่ให้เร่งดำเนินการเพิ่มแหล่งการทำประมงในเขตประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์ของสัตว์ทะเล ซึ่งได้มีการเจรจาความร่วมมือด้านประมงไว้แล้ว เช่น บรูไนดารุสซาลาม กินี ศรีลังกา รวมทั้งให้พิจารณาดำเนินการทำประมงร่วมกับเวียดนามซึ่งมีความสนใจที่จะจัดทำความร่วมมือในเรื่องดังกล่าวกับไทยให้เกิดผลโดยเร็วต่อไปด้วย ๑.๓ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการปรับปรุงระบบการบริหารจัดการกองทุนและการกำกับติดตามการบริหารจัดการหนี้ ตลอดจนแก้ไขปัญหาการค้างชำระหนี้ของผู้กู้ยืมเงินกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว และกำหนดแนวทางการดำเนินการสำหรับผู้กู้ยืมรายใหม่ให้มีความชัดเจน เหมาะสมกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นเร่งด่วนอาจพิจารณาดำเนินการโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ๒. ด้านการต่างประเทศ ๒.๑ ให้ทุกส่วนราชการเร่งรัดดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการกำหนดยุทธศาสตร์การดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในระยะต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดยุทธศาสตร์การดำเนินความสัมพันธ์กับประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลี อินเดีย รัสเซีย สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป ๒.๒ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) กระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศชี้แจงสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องกับต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์การสหประชาชาติ สหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับการดำเนินการของไทยในการส่งผู้ร้ายข้ามแดนว่าเป็นการดำเนินการภายใต้สนธิสัญญา ข้อตกลงระหว่างรัฐต่อรัฐ หรือกฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ส่วนการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดกฎหมายเป็นการดำเนินการที่อยู่บนพื้นฐานของกฎหมายและปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชน ตลอดจนเหตุผลความจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งรัฐในการใช้อำนาจตามมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ที่ดำเนินการเพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศให้เป็นไปอย่างยั่งยืนต่อไป ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ให้ทุกส่วนราชการเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการจัดทำแผนปฏิบัติการและประเด็นภารกิจสำคัญสำหรับส่งต่อรัฐบาลต่อไปตามกรอบระยะเวลา (Roadmap) การบริหารราชการแผ่นดินและการปฏิรูปประเทศของรัฐบาล โดยให้ส่งข้อมูลดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ เพื่อรวบรวมนำเสนอนายกรัฐมนตรีต่อไป ๓.๒ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) กำกับให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจัดให้มีหน่วยส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในระดับพื้นที่เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในกลไกประชารัฐในการขับเคลื่อนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในพื้นที่ต่อไป ๓.๓ ให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเป็นหน่วยงานหลักประสานกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ SMEs รายย่อยในประเทศไทย ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี โดยให้รายงานผลการดำเนินการให้นายกรัฐมนตรีทราบทุก ๓ เดือนด้วย ๓.๔ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. พิจารณากำหนดแนวทางการปรับปรุงโครงสร้างระบบราชการ การบริหารจัดการ หรือการประเมินผลส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ เพื่อให้ระบบราชการมีประสิทธิภาพและสามารถเป็นกลไกในการขับเคลื่อนประเทศในระยะยาวต่อไป โดยหากจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง จะได้นำเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาต่อไป ๓.๕ ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการศึกษาเปรียบเทียบระบบการศึกษาในระดับต่าง ๆ ที่มีคุณภาพของต่างประเทศ เช่น ประเทศสิงคโปร์ในระดับปฐมวัย ประเทศเกาหลีใต้ในระดับอาชีวศึกษา และประเทศฟินแลนด์ในระดับอุดมศึกษา เพื่อนำมาเป็นแนวทางในการพัฒนาระบบการศึกษาของไทย โดยให้เชิญนักวิชาการ/ผู้เชี่ยวชาญจากประเทศที่มีศักยภาพทางวิทยาการด้านต่าง ๆ มาร่วมหารือ ให้ความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์เพื่อนำไปประกอบการกำหนดแนวทางการพัฒนาระบบการศึกษาของประเทศไทยให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้จัดทำรายงานสรุปเสนอนายกรัฐมนตรีภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ ๓.๖ ให้กระทรวงกลาโหมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงยุติธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาพฤติกรรมนักเรียนนักศึกษาก่อเหตุทะเลาะวิวาทใช้ความรุนแรงโดยด่วน รวมทั้งพิจารณาแนวทางในการลงโทษผู้กระทำความผิดในกรณีดังกล่าวให้เกิดความเหมาะสมต่อไปด้วย ๓.๗ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการจัดระเบียบสังคมทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด เช่น การจัดพื้นที่ของทางราชการที่ไม่มีการใช้ประโยชน์เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ประกอบอาชีพหรือเป็นที่อยู่อาศัยเป็นการชั่วคราว นั้น ให้เพิ่มเติมกระทรวงกลาโหมเป็นหน่วยงานหลักดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดหาพื้นที่สำหรับประกอบอาชีพค้าขายในวันเสาร์-อาทิตย์ หรือจัดหาพื้นที่เปิดตลาดกลางคืน ถนนคนเดิน ให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการจัดระเบียบสังคมดังกล่าวด้วย โดยให้จัดทำข้อตกลงเกี่ยวกับเงื่อนไขในการใช้พื้นที่ให้เกิดความชัดเจนต่อไป ทั้งนี้ ให้มีผลเป็นรูปธรรมภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๘
|
|||||||||||||||||||||
1580 | การขออนุมัติจำหน่ายหนี้สูญเงินทุนหมุนเวียนโครงการไทย - เยอรมัน | กค | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอการจำหน่ายหนี้สูญเงินทุนหมุนเวียนโครงการไทย-เยอรมัน ณ วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๔ โดยไม่ขอเงินชดเชยจากรัฐบาล ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ จำนวนเงินทั้งสิ้น ๗,๖๒๔,๕๒๔.๖๓ บาท ตามรายละเอียด ดังนี้ ๑.๑ จำหน่ายดอกเบี้ยให้กับลูกหนี้สมาชิกนิคมสร้างตนเอง จำนวน ๑๐ แห่ง ลูกหนี้สมาชิกนิคมสร้างตนเอง จำนวน ๑๖๑ ราย เป็นเงิน ๓,๘๔๕,๖๗๓.๒๑ บาท ๑.๒ จำหน่ายเงินต้นและดอกเบี้ยให้กับลูกหนี้สมาชิกนิคมสร้างตนเอง จำนวน ๖ แห่ง ลูกหนี้สมาชิกนิคมสร้างตนเอง จำนวน ๓๕๙ ราย เป็นเงิน ๓,๗๗๘,๘๕๑.๔๒ บาท (เงินต้น ๑,๖๒๒,๑๒๙.๑๐ บาท และดอกเบี้ย ๒,๑๕๖,๗๒๒.๓๒ บาท) ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการให้ทันต่อสถานการณ์ เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกรในภาพรวมอย่างเหมาะสมและยั่งยืนต่อไป รวมทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงมหาดไทยในการส่งเสริมอาชีพและสร้างรายได้แก่เกษตรกรเพื่อเพิ่มศักยภาพการชำระหนี้คืนและป้องกันปัญหาหนี้สูญที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังเร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๕๖ ในการปรับปรุงมติสภาบริหารคณะปฏิวัติเมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ เกี่ยวกับเรื่องจำหน่ายหนี้เงินและทรัพย์สินออกจากบัญชี แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็วต่อไป |
.....