ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 77 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 1521 - 1540 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1521 | ขอความเห็นชอบการปรับรูปแบบอาคารโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย ชุดที่ 1 ปี 2557 | พม | 09/02/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการพิจารณาปรับรูปแบบอาคารโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย ชุดที่ ๑ ปี ๒๕๕๗ เป็นเพียงการแก้ไขรายละเอียดของโครงการตามที่ได้รับงบลงทุน การเคหะแห่งชาติจึงสามารถดำเนินการโดยเสนอรัฐมนตรีกระทรวงต้นสังกัดให้ความเห็นชอบ ก่อนเสนอคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบตามข้อ ๕ แห่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๐ โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาแต่อย่างใด ทั้งนี้ หากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาแล้วเห็นว่า มีความจำเป็นต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรี ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จัดทำข้อมูลเพิ่มเติมในเรื่องการประเมินผลการปรับเปลี่ยนรายละเอียดโครงการว่าส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนการลงทุนโครงการหรือไม่อย่างไร และเกิดประโยชน์ต่อภาครัฐอย่างไร และต้องดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น การขอความเห็นชอบรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (IEE) รวมทั้งได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินโครงการแล้ว ก่อนนำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
1522 | ขอความเห็นชอบโครงการของกระทรวงพาณิชย์และขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | พณ | 09/02/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการแผนงานด้าน Local Economy โครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่นไทยเชื่อมโยงสู่เศรษฐกิจโลก งบประมาณ ๖๒๐ ล้านบาท และแผนงานด้าน Global Economy โครงการปฏิรูปภาคการค้าไทยสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ งบประมาณ ๘๘๐ ล้านบาท รวมทั้งสิ้น ๑,๕๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สำหรับงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่ให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาดำเนินการตามความจำเป็นเร่งด่วน โดยปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณในโอกาสแรกก่อน หากไม่เพียงพอก็ให้เสนอขอรับการจัดสรรจากรายการค่าใช้จ่ายเสริมสร้างความเข้มแข็งและก้าวหน้าของประเทศตามแนวทางปฏิรูป โดยดำเนินการตามขั้นตอนปฏิบัติของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ เกี่ยวกับการขอใช้เงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยอนุโลม เมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ มีผลใช้บังคับแล้ว ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาเพิ่มกิจกรรมการให้คำปรึกษาแนะนำด้านการตลาดและการบริหารจัดการจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้การจัดตั้งศูนย์รวบรวมและจำหน่ายสินค้าท้องถิ่นสามารถดำเนินกิจการได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ รวมทั้งพิจารณาความพร้อมและขีดความสามารถของผู้ประกอบการ และให้โอกาสกับผู้ประกอบการหรือเกษตรกรรายใหม่ที่มีศักยภาพโดยคำนึงถึงการกระจายความครอบคลุมของผู้ประกอบการในพื้นที่ด้วย และพิจารณาตัวชี้วัดแผนงาน DITP Reform : การปฏิรูปองค์กรเพื่อรองรับการเป็นผู้นำด้านการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศของไทยในเศรษฐกิจยุคดิจิทัลให้สามารถสะท้อนถึงผลลัพธ์โครงการที่ชัดเจน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ ในส่วนของโครงการที่มีระยะเวลาการดำเนินโครงการเกินกรอบระยะเวลาการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล (เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐) ให้กระทรวงพาณิชย์นำโครงการดังกล่าวไปบรรจุในแผนปฏิรูปเพื่อให้รัฐบาลชุดต่อไปที่จะเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินพิจารณาดำเนินการต่อไป ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๙ (เรื่อง การเสนอโครงการที่ต้องขออนุมัติงบประมาณจากคณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี) ด้วย |
|||||||||||||||||||||
1523 | ทบทวนวิธีการดำเนินการโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อรวบรวมและสร้างมูลค่าเพิ่มมันสำปะหลัง ปี 2558/59 ตามแนวทางการบริหารจัดการตลาดมันสำปะหลัง ปี 2558/59 | กษ | 09/02/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อรวบรวมและสร้างมูลค่าเพิ่มมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๘/๕๙ ตามแนวทางการบริหารจัดการตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๘/๕๙ วัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนสินเชื่อให้กับสหกรณ์ภาคการเกษตร กลุ่มเกษตรกร และกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ที่มีการประกอบธุรกิจเกี่ยวกับมันสำปะหลังนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการรวบรวมหรือรับซื้อหัวมันสำปะหลังสดจากเกษตรกร และ/หรือแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง จำนวน ๑,๐๐๐,๐๐๐ ตัน โดยกู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และรัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๓ ต่อปี ระยะเวลาชดเชย ๑๒ เดือน วงเงินสินเชื่อทั้งสิ้น ๒,๕๐๐ ล้านบาท วงเงินชดเชย ๗๕ ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. สำหรับงบประมาณในการดำเนินการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ใช้เงินทุนจาก ธ.ก.ส. ๒,๕๐๐ ล้านบาท โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ FDR+1 ต่อปี ระยะเวลา ๑๒ เดือน และเมื่อสหกรณ์ภาคการเกษตร กลุ่มเกษตรกร และกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ได้ส่งคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ยในส่วนที่ผู้กู้รับผิดชอบแล้ว ให้ ธ.ก.ส. เสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง เพื่อชดเชยดอกเบี้ยในปีงบประมาณถัดไป ตามความจำเป็นและเหมาะสม ตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดมาตรการรองรับและกลไกติดตามการดำเนินงานเพื่อให้คำแนะนำและให้ความช่วยเหลือแก่สถาบันเกษตรกร และกลุ่มวิสาหกิจชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีการแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสถาบันเกษตรกร และกลุ่มวิสาหกิจชุมชน รวมถึงทักษะการบริหารจัดการด้านการตลาดหรือช่องทางการจำหน่ายมันสำปะหลัง ตลอดจนการกำกับดูแลและเข้มงวดในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้ามันสำปะหลังจากประเทศเพื่อนบ้าน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ ให้ใช้จ่ายงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โปร่งใส เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับเปลี่ยนวิธีการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง โดยมุ่งสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรอย่างยั่งยืน เช่น ปรับวิธีการเพาะปลูกมันสำปะหลัง วิธีการให้น้ำ ๔. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) |
|||||||||||||||||||||
1524 | ข้อคิดเห็นของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี | นร | 09/02/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) และรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) รายงานข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลและการบริหารราชการแผ่นดิน ดังนี้ ๑.๑ รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รายงานว่า ๑.๑.๑ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการจับกุมผู้กระทำความผิดชาวต่างชาติรายสำคัญ รวม ๖ คน ที่ลักลอบเข้าประเทศไทยและทำการปลอมแปลงหนังสือเดินทาง (Passport) ของประเทศต่าง ๆ จำหน่ายให้แก่ผู้ที่ต้องการเดินทางไปประเทศที่สามมาเป็นเวลานาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะขยายผลการจับกุมต่อไป ทั้งนี้ ตั้งแต่หลังวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ เป็นต้นมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติสามารถดำเนินการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถจับกุมผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร ๑.๑.๒ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๖/๒๕๕๙ เรื่อง การคัดเลือกหรือการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ลงวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ เพื่อให้การคัดเลือกหรือการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจที่อยู่ภายใต้กฎหมาย ประกาศ และคำสั่งหลายฉบับที่มีกระบวนการและขั้นตอนการปฏิบัติที่แตกต่างกัน สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๗/๒๕๕๙ เรื่อง การกำหนดตำแหน่งของข้าราชการตำรวจซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการสอบสวน ลงวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ เพื่อปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งให้สอดคล้องกับโครงสร้าง และระบบการบังคับบัญชาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งจะส่งผลในการเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจในงานสอบสวนต่อไป ๑.๒ รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) รายงานว่า ปัจจุบันมีหลายประเทศที่กำหนดมาตรการจูงใจเพื่อให้ผู้ประกอบการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศเข้ามาลงทุน ซึ่งที่ผ่านมาประเทศไทยไม่ได้กำหนดมาตรการที่จะดึงดูดให้ผู้ประกอบการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ทำให้สูญเสียโอกาสในการเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ที่มีเงินลงทุนสูงหลายเรื่อง จึงควรมีการหารือร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการให้เกิดผลในทางปฏิบัติต่อไป ๑.๓ รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) รายงานว่า ๑.๓.๑ เนื่องจากวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ของทุกปีเป็น "วันนักประดิษฐ์" ซึ่งเป็นการระลึกถึงวันที่จดทะเบียนและทูลเกล้าฯ ถวายสิทธิบัตรการประดิษฐ์ "เครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่นลอย" หรือ "กังหันชัยพัฒนา" แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช จึงได้มีการจัดงาน “วันนักประดิษฐ์” ประจำปี ๒๕๕๙ ระหว่างวันที่ ๒-๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา โดยในงานดังกล่าวได้มีการมอบรางวัลสภาวิจัยแห่งชาติและจัดนิทรรศการผลงานสิ่งประดิษฐ์ของไทย เช่น นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “พระบิดาแห่งการประดิษฐ์ไทย” นิทรรศการรางวัลสภาวิจัยแห่งชาติ การแสดงผลงานสิ่งประดิษฐ์จากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ผลงานประดิษฐ์คิดค้นที่ได้รับรางวัลจากนานาชาติ และผลงานสิ่งประดิษฐ์ระดับภูมิภาคอาเซียน ทั้งนี้ จะได้สรุปผลงานสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมเพื่อส่งให้ส่วนราชการต่าง ๆ พิจารณาใช้ประโยชน์ต่อไป ๑.๓.๒ ผลการตรวจการปฏิบัติราชการในพื้นที่จังหวัดอำนาจเจริญและยโสธรพบว่า ประชาชนในพื้นที่มีความพอใจในมาตรการให้ความช่วยเหลือต่าง ๆ ของรัฐบาลที่ดำเนินการในพื้นที่ เช่น มาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล จึงถือเป็นโอกาสที่ดีที่ส่วนราชการต่าง ๆ จะขับเคลื่อนการดำเนินงานต่อไป โดยเฉพาะการขยายตลาดประชารัฐซึ่งประชาชนเห็นว่าเป็นการสร้างอาชีพเสริมเพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชนได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ประชาชนยังมีความต้องการให้ส่วนราชการสนับสนุนการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการประกอบอาชีพเสริมและการเพิ่มมูลค่าผลผลิตต่าง ๆ ด้วย ๑.๔ รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) รายงานว่า ๑.๔.๑ การสนับสนุนและส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศจำเป็นที่จะต้องปรับยุทธศาสตร์การพัฒนาของประเทศไทยให้เน้นการเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านให้มากยิ่งขึ้น เพื่อให้ประเทศไทยสามารถเป็น Gateway สู่ภูมิภาคอาเซียนได้อย่างแท้จริง ๑.๔.๒ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลได้อนุมัติไปแล้วโดยเฉพาะโครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ และมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถดำเนินโครงการให้เป็นไปตามแผนงานจะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญในช่วงครึ่งแรกของปี ส่วนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี รัฐบาลจำเป็นต้องร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการนำเงินงบประมาณที่ได้รับมาลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นในการพัฒนาพื้นที่และเพิ่มศักยภาของชุมชน รวมทั้งเร่งรัดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่โดยเฉพาะโครงการภายใต้การกำกับของกระทรวงคมนาคมให้สามารถเริ่มดำเนินโครงการได้ภายในไตรมาสที่ ๓ และ ๔ ๑.๔.๓ การหารือร่วมกับกระทรวงการคลังและสถาบันการเงินของรัฐ ประกอบด้วยธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน และธนาคารอาคารสงเคราะห์ เกี่ยวกับแนวทางการดำเนินโครงการบ้านประชารัฐ โดยสถาบันการเงินของรัฐทั้ง ๓ แห่งจะให้การสนับสนุนสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับประชาชนผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง ซึ่งอัตราดอกเบี้ยในประเทศในปัจจุบันที่อยู่ในระดับต่ำจะช่วยให้โครงการมีความน่าสนใจมากขึ้น ๒. มอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ มาตรการ ผลตอบแทนและผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการตามมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยในรูปแบบมาตรการคืนเงินให้เกิดความรอบคอบ รัดกุม และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
1525 | ขอความเห็นชอบในการยกเลิกโครงการเงินกู้เพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนนระยะเร่งด่วน : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 | ทส | 02/02/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในการยกเลิกโครงการเงินกู้เพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ ๒ จำนวน ๒ รายการ วงเงินรวม ๑๗.๓๖ ล้านบาท ประกอบด้วย รายการอนุรักษ์ฟื้นฟูหนองปลิง บ้านหนองแหน หมู่ที่ ๑ ตำบลนครเดิฐ อำเภอศรีนคร จังหวัดสุโขทัย วงเงิน ๗.๕๐ ล้านบาท และรายการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำบ้านหัวควน ตำบลน้ำผุด อำเภอละงู จังหวัดสตูล วงเงิน ๙.๘๖ ล้านบาท ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่เห็นว่าหน่วยงานเจ้าของโครงการควรพิจารณาความจำเป็นและความซ้ำซ้อนในการดำเนินโครงการก่อนเสนอขออนุมัติดำเนินโครงการในโอกาสต่อไป ส่วนวงเงินของรายการดังกล่าวที่ได้รับจัดสรรจากสำนักงบประมาณแล้ว จำนวน ๑๓.๒๙ ล้านบาท เห็นควรให้กรมทรัพยากรน้ำประสานงานกับสำนักงบประมาณเพื่อดำเนินการส่งคืนเงินงวดที่ได้รับจัดสรรแล้วต่อไป และให้กรมทรัพยากรน้ำประสานกับสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ และกรมบัญชีกลางเกี่ยวกับการส่งคืนเงินกู้ตามขั้นตอนของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนนระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้ถูกต้องครบถ้วน สำหรับรายการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำบ้านหัวควนฯ จังหวัดสตูล หากยังมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการต่อ เพื่อประโยชน์แก่ทางราชการและประชาชน ก็สมควรเร่งรัดการแก้ไขปัญหาการขอใช้พื้นที่ราชพัสดุโดยด่วน และขอรับการจัดสรรงบประมาณสำหรับรายการดังกล่าวตามความจำเป็นและเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
1526 | ขออนุมัติโครงการเพิ่มเติมภายใต้กรอบโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนนระยะเร่งด่วน พ.ศ. 2558 ของกรมทางหลวงชนบท | คค | 02/02/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติโครงการเพิ่มเติมภายใต้กรอบโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนนระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๘ จำนวน ๓๙ รายการ ของกรมทางหลวงชนบท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ภายในกรอบวงเงิน ๔๕๑.๘๒ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินโครงการและใช้จ่ายเงินกู้ ให้กรมทางหลวงชนบทปฏิบัติตามขั้นตอนของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนนระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๘ และหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินกู้ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีดังกล่าวอย่างเคร่งครัด และเร่งดำเนินการขอรับจัดสรรวงเงินกู้กับสำนักงบประมาณโดยเร็ว รวมถึงเร่งรัดดำเนินการโครงการให้แล้วเสร็จตามแผนการดำเนินงานภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๙ และให้ความสำคัญกับการจ้างงานและการใช้วัสดุภายในพื้นที่ พร้อมทั้งเร่งดำเนินการเบิกจ่ายโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนนฯ ให้เป็นไปตามเป้าหมาย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาการนำยางพารามาใช้เป็นส่วนผสมในการดำเนินการโครงการดังกล่าวด้วย |
|||||||||||||||||||||
1527 | ขออนุมัติการดำเนินงานและงบประมาณ "โครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก (คปก.) ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2560 - 2579)" | นร62 | 02/02/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก (คปก.) ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) เพื่อดำเนินการผลิตนักวิจัยระดับปริญญาเอก จำนวน ๑๒,๓๙๐ คน และงบประมาณตลอดโครงการ จำนวน ๓๔,๓๘๐ ล้านบาท ในระยะเวลา ๒๐ ปี เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ ๒๕๖๐-๒๕๗๙ ตามที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยเสนอ ๒. ให้สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการของโครงการฯ ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติระยะ ๒๐ ปี แผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ อุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศทั้ง ๑๐ ประเภท และข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๙ (การกำหนดทุนให้ตรงกับความต้องการของประเทศโดยเฉพาะในสาขาวิชาที่ขาดแคลนและจัดสัดส่วนทุนให้เหมาะสมระหว่างทุนการศึกษาปกติและทุนการศึกษาพิเศษ) รวมทั้งให้จัดทำแนวทางติดตามประเมินผลโครงการเป็นรายปี/ภาพรวม แล้วนำเสนอคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษาพิจารณาก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติโครงการ ๓. ให้สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษาเกี่ยวกับการพิจารณาให้โครงการมีความเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศและตอบสนองต่อโจทย์ปัญหาและทิศทางการพัฒนาของประเทศให้ชัดเจนขึ้น การบูรณาการการทำงานกับหน่วยงานอื่น ๆ ที่ให้ทุน ในประเด็นจำนวนทุนและสาขาทุนเพื่อให้เกิดความสอดคล้องของข้อเสนอโครงการของทุกแหล่งทุนของรัฐบาล การมีกลไกผลักดันและสนับสนุนให้บัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาสร้างเครือข่ายการทำวิจัยร่วมกันเพื่อนำความรู้ในหลากหลายสาขามาแก้โจทย์ปัญหาของประเทศ และสร้างความสามารถในระยะยาวให้กับภาคการผลิตและบริการ โดยเฉพาะในกลุ่ม ๑๐ อุตสาหกรรมเป้าหมายที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต การกำหนดยุทธศาสตร์ในการสรรหานักเรียนและนักศึกษาที่มีคุณภาพสูงเข้ารับทุน การนำผลงานการวิจัยไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม สามารถนำไปต่อยอดเพื่อเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) ได้อย่างแท้จริงและยั่งยืน การนำข้อมูลผลการประเมินผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการในระยะที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๓๙-๒๕๕๙) ไปศึกษาวิเคราะห์เพื่อกำหนดจำนวนทุนในการขอรับจัดสรรงบประมาณ ตลอดจนนโยบายและแนวทางการบริหารจัดการทุน โดยเฉพาะควรมีมาตรการในการสรรหาผู้รับทุนให้ครบตามจำนวนทุนที่กำหนด ตลอดจนการดูแลให้ผู้รับทุนสำเร็จการศึกษา/วิจัย ตามโครงการที่กำหนด การผลักดันให้มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ที่ร่วมโครงการ จัดเตรียม/พัฒนาหลักสูตรรองรับการดำเนินโครงการ การกำหนดมาตรการสนับสนุนให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดประเด็นการวิจัยที่สามารถตอบสนองความต้องการทั้งในเชิงพาณิชย์ เชิงสังคม และการพัฒนาเชิงพื้นที่อย่างแท้จริง การติดตามประเมินผลการดำเนินโครงการเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง และจัดทำข้อมูลโครงการ และผู้รับทุนอย่างเป็นระบบ การสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนและภาคีการพัฒนาในการกำหนดโจทย์และการทำวิจัยเพื่อให้สามารถผลิตผลงานวิจัยที่ตอบสนองความต้องการทั้งในเชิงพาณิชย์ เชิงสังคม และการพัฒนาเชิงพื้นที่ รวมทั้งจัดทำคลังข้อมูลนักวิจัยที่ได้รับทุนโดยระบุสาขาเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน สถานที่ทำงานอย่างเป็นระบบ เพื่อสามารถระดมความรู้และศักยภาพในการวิจัยและสร้างสรรค์นวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต (New Engine of Growth) ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
1528 | รายงานผลการลงนามความร่วมมือทวิภาคี Joint Crediting Mechanism (JCM) กับประเทศญี่ปุ่น | ทส | 02/02/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการลงนามความร่วมมือทวิภาคี Joint Crediting Mechanism (JCM) โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ร่วมลงนามความร่วมมือฯ กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ณ กระทรวงสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศญี่ปุ่น กรุงโตเกียว ซึ่งในการลงนามความร่วมมือทวิภาคี JCM กับประเทศญี่ปุ่น ประเทศไทยจะได้รับประโยชน์เกี่ยวกับการถ่ายทอดเทคโนโลยีระดับสูงมาสู่ประเทศไทย และสร้างโอกาสในการเป็นฐานการผลิตเทคโนโลยีระดับสูงต่อไปในอนาคต การกระตุ้นการลงทุนในประเทศไทยและเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างกัน การดำเนินโครงการลดก๊าซเรือนกระจกที่ได้รับการสนับสนุนทางการเงิน รวมถึงการเสริมสร้างศักยภาพด้านการดำเนินงานลดก๊าซเรือนกระจกจากประเทศญี่ปุ่น ตลอดจนผลประโยชน์ร่วมต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินโครงการลดก๊าซเรือนกระจก อาทิ เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ลดต้นทุนการผลิต ลดมลภาวะและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาไปสู่เศรษฐกิจ สังคมคาร์บอนต่ำ ตามนโยบายรัฐบาลและแผนระดับชาติ นอกจากนี้ ภายใต้กลไก JCM ประเทศญี่ปุ่นจะให้การสนับสนุนความรู้ทางเทคโนโลยีและงบประมาณไม่เกินร้อยละ ๕๐ ของมูลค่าโครงการ โดยโครงการของประเทศไทยที่ได้รับคัดเลือกในปี ๒๕๕๘ มีจำนวนทั้งสิ้น ๕ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการลดก๊าซเรือนกระจกในโรงงานทอผ้า (๒) โครงการผลิตไฟฟ้าด้วยแผงเซลล์แสงอาทิตย์ติดตั้งบนหลังคาโรงงาน (๓) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานของเครื่องปรับอากาศและตู้แช่เย็นในร้านสะดวกซื้อ (๔) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานของระบบโครงสร้างพื้นฐานภายในโรงงานผลิตอุปกรณ์สารกึ่งตัวนำ และ (๕) โครงการติดตั้งระบบผลิตพลังงานร่วม (ไฟฟ้าและความร้อน) สำหรับโรงงานผลิตรถมอเตอร์ไซต์ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมประสานงานอย่างใกล้ชิดกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในการดำเนินการเพื่อสนับสนุนการพัฒนากลไกเครดิตร่วม (Joint Crediting Mechanism : JCM) เพื่อส่งเสริมการลงทุนและการใช้เทคโนโลยีคาร์บอนต่ำในภาคอุตสาหกรรม
|
|||||||||||||||||||||
1529 | ขอสนับสนุนงบกลางเพื่อดำเนินโครงการตามแผนพัฒนาอาชีพเกษตรกรตามความต้องการของชุมชนเพื่อบรรเทาภัยแล้งปี 2558/59 ระยะที่ 2 ครั้งที่ 1 | กษ | 02/02/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการโครงการตามแผนพัฒนาอาชีพเกษตรกรตามความต้องการของชุมชนเพื่อบรรเทาภัยแล้ง ปี ๒๕๕๘/๕๙ ระยะที่ ๒ ครั้งที่ ๑ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยให้ดำเนินโครงการฯ ให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๙ สำหรับงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการฯ ภายในวงเงิน ๑,๘๑๔,๗๑๗,๘๗๐ บาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑,๖๕๙,๕๘๒,๔๗๐ บาท และปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ในวงเงิน ๑๕๕,๑๓๕,๔๐๐ บาท จำแนกเป็นกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน ๖๖,๐๐๗,๕๐๐ บาท และกระทรวงมหาดไทย จำนวน ๘๙,๑๒๗,๙๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายบริหารจัดการและส่งเสริมให้ความรู้เกษตรกรของโครงการตามแผนพัฒนาอาชีพเกษตรกรตามความต้องการของชุมชนเพื่อบรรเทาภัยแล้ง ปี ๒๕๕๘/๕๙ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรรายงานผลสำเร็จของแต่ละกิจกรรมภายใต้โครงการฯ เป็นรายพื้นที่ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณเป็นระยะ ๆ และควรติดตามดูแลและให้ความช่วยเหลือเกษตรกรอย่างใกล้ชิดในการจัดหาน้ำเพื่อการผลิตทางการเกษตร การจัดการด้านการผลิตที่เชื่อมโยงกับทางด้านการตลาดโดยใช้แนวทางการทำงานแบบประชารัฐมาบริหารจัดการ เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมในพื้นที่ รวมทั้งควรมีการรายงานผลการดำเนินงานให้คณะกรรมการอำนวยการบูรณาการแก้ไขปัญหาวิกฤตภัยแล้งปี ๒๕๕๘/๕๙ และเสนอคณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการฯ จัดทำรายละเอียดแผนการดำเนินโครงการฯ โดยระบุกิจกรรม พื้นที่ดำเนินโครงการฯ และผลสัมฤทธิ์ให้มีความชัดเจน เป็นรูปธรรม สอดคล้องกับความต้องการของชุมชนตามแนวทางประชารัฐ รวมทั้งให้ตรวจสอบและกลั่นกรองโครงการฯ ไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกับโครงการตามมาตรการอื่น ๆ ที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไปแล้ว เพื่อประกอบการขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณต่อไป ๔. ให้ยกเว้นการดำเนินตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ (เรื่อง แนวทางการเสนอเรื่องงบประมาณต่อคณะรัฐมนตรี) |
|||||||||||||||||||||
1530 | ข้อคิดเห็นของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี | นร04 | 02/02/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) รองนายกรัฐมนตรี (พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย) รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรายงานข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลและการบริหารราชการแผ่นดิน ดังนี้
๑. รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รายงานว่า กรุงเทพมหานครได้ดำเนินการลงนามในสัญญาโครงการก่อสร้างเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็กและประตูระบายน้ำ คลองลาดพร้าว คลองบางบัว คลองถนน คลองสอง และคลองบางซื่อ เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยจะเริ่มก่อสร้างประมาณต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ และรัฐบาลจะพัฒนาพื้นที่ตามแนวริมเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็กดังกล่าวเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยต่อไป สำหรับโครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่ระหว่างการออกแบบก่อสร้าง โดยกระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนเกี่ยวกับการดำเนินการโครงการฯ เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการดำเนินการก่อสร้างอย่างต่อเนื่องต่อไป ๒. รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) รายงานผลการติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนว่า การจัดซื้อจัดจ้างของส่วนราชการและจังหวัดในพื้นที่พบว่าการประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์โดยวิธี e-Bidding ในหลายกรณีมีปัญหาดำเนินงานไม่แล้วเสร็จตามกำหนดเวลา ดังนั้น จึงควรมีการประเมินความเหมาะสมและความคุ้มค่าของการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยวิธีดังกล่าว และผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนได้เสนอโครงการเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (ASEAN Community : AC) ได้แก่ (๑) การพัฒนาท่าอากาศยานจังหวัดเลยเป็นสนามบินศุลกากร (๒) การพัฒนา/ขยายขีดความสามารถของท่าอากาศยานจังหวัดขอนแก่น (๓) การพัฒนาระบบขนส่งทางถนนเพื่อเชื่อมโยงจังหวัดนครพนม สกลนคร และมุกดาหาร รวมทั้งเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านด้วย ๓. รองนายกรัฐมนตรี (พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย) รายงานว่า เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับพร้อมคณะได้เข้าพบและหารือเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้การดำเนินมาตรการป้องกันอุบัติเหตุทางถนนไม่บรรลุผลอย่างเต็มประสิทธิภาพ เนื่องจากขาดความจริงจังในการบังคับใช้กฎหมายและขาดความร่วมมือจากผู้ขับขี่ ในปัจจุบันสถิติการเกิดอุบัติเหตุทางถนนของไทยสูงเป็นอันดับ ๒ ของโลก จึงควรดำเนินมาตรการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องและเคร่งครัด โดยเฉพาะมาตรการยึดรถของผู้ขับขี่ที่เมาแล้วขับ ซึ่งเป็นมาตรการที่นายกรัฐมนตรีได้ให้ความสำคัญกับการป้องกันอุบัติเหตุทางถนนและนำมาตรการดังกล่าวมาใช้ได้ผลอย่างชัดเจนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๔. รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) รายงานผลการติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างว่า ข้าราชการและประชาชนในพื้นที่มีความเข้าใจและให้ความร่วมมือในการดำเนินการตามมาตรการบรรเทาปัญหาภัยแล้งของรัฐบาลเป็นอย่างดี เช่น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการปลูกพืชโดยใช้น้ำน้อย การขุดลอกคูคลอง เป็นต้น ๕. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรายงานว่า เนื่องจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นหน่วยงานที่มีงบประมาณของตนเองจำนวนหนึ่งที่สามารถนำมาใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนการดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลในบางเรื่องได้ เช่น การเพิ่มความต้องการของส่วนราชการในการใช้ยางพารา เป็นต้น ดังนั้น รัฐบาลจึงควรขอความร่วมมือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการพิจารณาใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าวในการดำเนินโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาลที่มีการใช้ส่วนประกอบจากยางพารา เช่น การก่อสร้างสนามกีฬาหรือสนามเด็กเล่น เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||
1531 | รายงานผลการพิจารณาคำร้องที่มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย เรื่อง สิทธิชุมชน กรณีการดำเนินโครงการท่าเรือน้ำลึกและเขตเศรษฐกิจทวาย ในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ของบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งประเทศไทยได้ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงในการพัฒนาโครงการดังกล่าว ที่มีการกระทำที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อชาวทวาย | สม | 26/01/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการพิจารณาคำร้องที่มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย เรื่อง สิทธิชุมชน กรณีการดำเนินโครงการท่าเรือน้ำลึกและเขตเศรษฐกิจทวาย ในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ของบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งประเทศไทยได้ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงในการพัฒนาโครงการดังกล่าว ที่มีการกระทำที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อชาวทวาย โดยคณะรัฐมนตรี กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ควรจัดตั้งกลไกหรือกำหนดภารกิจการกำกับดูแลการลงทุนในต่างประเทศของผู้ลงทุนสัญชาติไทยให้เคารพต่อหลักการพื้นฐานด้านสิทธิมนุษยชน โดยนำหลักการชี้แนะแห่งสหประชาชาติด้านธุรกิจและสิทธิมนุษยชน : การปฏิบัติตามกรอบการคุ้มครอง เคารพ เยียวยา [United Nations Guiding Principles on Business and Human Rights : Implementing the Protect, Respect, Remedy Framework (2011)] มาเป็นกรอบในการดำเนินการ ๒. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
1532 | โครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง วงเงินสินเชื่อ 15,000 ล้านบาท | กษ | 26/01/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบ ๑.๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมมีความเห็นว่า โครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ยางพารา กรอบวงเงิน ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท ตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ขออนุมัติให้ดำเนินการตามแนวทางพัฒนายางพาราทั้งระบบ) มีประเด็นที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการ คือ เงื่อนไขที่กำหนดให้เป็นการให้สินเชื่อกับผู้ประกอบการเพื่อใช้ในการขยายกำลังการผลิต หรือการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรการผลิตเท่านั้น ซึ่งไม่ครอบคลุมถึงผู้ประกอบการรายใหม่ที่จะต้องซื้อที่ดินและก่อสร้างโรงงาน ดังนั้น จึงควรขยายขอบเขตและเงื่อนไขการให้สินเชื่อดังกล่าวให้ครอบคลุมถึงผู้ประกอบการรายใหม่ รวมถึงการใช้จ่ายในส่วนของค่าที่ดินและค่าก่อสร้างอาคารด้วย ๑.๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีความเห็นว่า เงื่อนไขของโครงการฯ ที่ระบุว่า ผู้ประกอบการจะได้รับสินเชื่อสำหรับขยายกำลังการผลิตหรือปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเท่านั้น อาจมีข้อจำกัด เนื่องจากการขยายการผลิตอาจจำเป็นต้องก่อสร้างโรงงานหรือซื้ออุปกรณ์เพิ่มเติม ดังนั้น จึงควรพิจารณาปรับเงื่อนไขโครงการให้ครอบคลุมกรณีนี้ด้วย ๑.๓ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ชี้แจงเพิ่มเติมว่า โครงการฯ ในครั้งนี้มีกรอบวงเงินให้สินเชื่อจำนวนไม่มาก ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับการให้สินเชื่อกับผู้ประกอบการรายใหม่ ๒. รับทราบแนวทางการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีดำเนินการใหม่ของโครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง วงเงินสินเชื่อ ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท และอนุมัติเปลี่ยนแปลงระยะเวลาในการดำเนินการโครงการฯ จากตั้งแต่ปี ๒๕๕๗-๒๕๖๗ เป็นตั้งแต่ปี ๒๕๕๙-๒๕๖๙ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๓. อนุมัติในหลักการโครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง วงเงินสินเชื่อ ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท สำหรับการชดเชยภาระดอกเบี้ยและการขอรับจัดสรรงบประมาณ ภาครัฐจะชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๓ ต่อปี ซึ่งรัฐตั้งชดเชยภาระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจริงผ่านธนาคารออมสิน/กระทรวงการคลัง โดยให้ธนาคารออมสิน/กระทรวงการคลังขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามรายจ่ายจริงที่จะเกิดขึ้นต่อไป โดยไม่รวมรายจ่ายชำระต้นเงินกู้และไม่รวมถึงการชดเชยความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ในการดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังไปพิจารณาเพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการให้สินเชื่อให้ครอบคลุมอุปกรณ์และสิ่งปลูกสร้างอันเนื่องมาจากการขยายกำลังการผลิต โดยคำนึงถึงการบรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการฯ เป็นสำคัญ รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการตรวจสอบแผนการลงทุนของผู้ประกอบการยางพาราที่จะเข้าร่วมโครงการฯ ให้มีความสอดคล้องและเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ โดยเคร่งครัด และต้องวางกลไกและระบบการติดตามและรายงานผลที่มีความคล่องตัว โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ ตลอดจนสามารถสะท้อนปัญหาอุปสรรคเพื่อนำมาสู่การแก้ไขปรับปรุงหรือขยายผลการดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๕. ในระยะต่อไป หากจะมีการขยายขอบเขตการดำเนินโครงการฯ ให้ครอบคลุมผู้ประกอบการรายใหม่ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
1533 | โครงการไฟฟ้าพลังน้ำบ้านจันเดย์ | พน | 26/01/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินโครงการไฟฟ้าพลังน้ำบ้านจันเดย์ ในวงเงินลงทุนรวม ๓,๕๔๒ ล้านบาท ๑.๒ อนุมัติการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนประจำปี ๒๕๕๙ สำหรับโครงการฯ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๗๒๘ ล้านบาท ๒. ให้กระทรวงพลังงาน โดย กฟผ. รับความเห็นของประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน กระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์โครงการฯ อย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ให้เกิดการยอมรับเพื่อลดความกังวลและการต่อต้าน การให้ความสำคัญกับการสนับสนุนงานวิจัยและพัฒนาในด้านการเปลี่ยนแปลงของความหลากหลายทางชีวภาพและทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ในพื้นที่ การทบทวนปรับปรุงกระบวนการคัดเลือกผู้รับจ้างเพื่อดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำในอนาคต การส่งเสริมสนับสนุนให้ชุมชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันวางแผนและกำหนดทิศทางการใช้จ่ายเงินกองทุนพัฒนาไฟฟ้าในโครงการหรือกิจกรรมที่มุ่งส่งเสริมการพัฒนาชุมชนในระยะยาว และดำเนินกิจกรรมชุมชนสัมพันธ์เชิงรุกในพื้นที่โดยเน้นกิจกรรมการสร้างอาชีพและการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกับชุมชนควบคู่กับการดำเนินโครงการฯ การศึกษาพื้นที่ที่มีศักยภาพในการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังน้ำ การเปลี่ยนแปลงสายส่งจากแบบวงจรคู่ (Double Circuit) เป็นแบบวงจรเดี่ยว (Single Circuit) เพื่อให้เกิดความเหมาะสมและลดค่าใช้จ่ายของโครงการฯ การพิจารณาขอบเขตการดำเนินโครงการฯ และกรอบวงเงินลงทุนให้เหมาะสม การพิจารณาเรื่องคุณภาพและมาตรฐานของอุปกรณ์ตามมาตรฐานสากล ผู้เสนอราคา อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างค่าเงินบาทกับเงินสกุลต่างประเทศ ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ การกำกับดูแลให้การลงทุนเป็นไปตามที่ได้รับอนุมัติไว้อย่างเคร่งครัด รวมทั้งการดำเนินการในขั้นตอนต่าง ๆ ต้องให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และประกาศที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||
1534 | ขออนุมัติการดำเนินงานโครงการกองทุนการศึกษาระดับอุดมศึกษา | ศธ | 26/01/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาดำเนินงานโครงการกองทุนการศึกษาระดับอุดมศึกษา โดยขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อเป็นเงินทุนการศึกษาและเงินทุนค่าครองชีพของนักศึกษาระดับอุดมศึกษาแทนเงินส่วนพระองค์ระหว่างปีการศึกษา ๒๕๕๙-๒๕๗๒ วงเงิน ๗๕,๕๖๐,๐๐๐ บาท (อัตราทุนละ ๕๕,๐๐๐ บาท/คน/ปีการศึกษา) โดยเป็นงบประมาณที่ต้องใช้ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ จำนวน ๓,๑๑๗,๕๐๐ บาท สำหรับนักเรียนทุนรุ่นแรกที่จะเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สำหรับงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ซึ่งจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน และเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีกลไกการติดตามผลการเรียนและดูแลช่วยเหลือนักเรียนทุนอย่างต่อเนื่อง โดยมีการติดตามรายงานผลในทุกปีการศึกษา พร้อมทั้งจัดเก็บข้อมูลนักเรียนทุนอย่างเป็นระบบตั้งแต่เริ่มศึกษาจนถึงการทำงานหลังสำเร็จการศึกษา ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
1535 | ผลการประชุมหารือร่วมระหว่างนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการ กรอ. ส่วนกลาง และคณะกรรมการ กรอ. กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2558 | นร11 | 26/01/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมหารือร่วมระหว่างนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการ กรอ. ส่วนกลาง และคณะกรรมการ กรอ. กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๘ ซึ่งที่ประชุมรับทราบประเด็นการนำเสนอเพื่อเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจ และการดำเนินงานตามนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐบาล ของกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย ได้แก่ การดำเนินการด้านยางพารา การดำเนินการด้านปาล์มน้ำมัน การส่งเสริมการท่องเที่ยว และการดำเนินงานตามนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐบาล ๑.๒ เห็นชอบตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย และการพัฒนาอุตสาหกรรมโคเนื้อ/โคขุนอย่างครบวงจร พื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย (โคขุนศรีวิชัย) และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ รวมทั้งรายงานผลการดำเนินการให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับพื้นที่และส่วนกลางประสานความร่วมมือกับภาคเอกชนและภาคประชาชนในการดำเนินแผนงาน/โครงการให้เห็นผลเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะแผนงาน/โครงการในระยะที่ ๑ ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการจัดทำฐานข้อมูลการบริการท่องเที่ยวในระดับชุมชนที่มีการให้บริการด้านการท่องเที่ยวทุกรูปแบบในพื้นที่กลุ่มจังหวัดเป้าหมาย และจัดตั้งเป็นกลุ่มเครือข่ายชุมชนบริการท่องเที่ยว รวมทั้งการตรวจสอบพื้นที่ที่ต้องการส่งเสริมการปลูกปาล์มน้ำมันอย่างเคร่งครัดเพื่อเป็นการป้องกันการส่งเสริมเกษตรกรที่บุกรุกใช้ประโยชน์พื้นที่ป่า สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการเห็นควรให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรกก่อน หากไม่เพียงพอและมีความจำเป็นเร่งด่วน ก็ให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน และเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายตามความจำเป็นและเหมาะสมไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||
1536 | โครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ | กค | 26/01/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในชุมชน และเพื่อดำเนินกิจกรรมอื่น ๆ ที่ชุมชนเห็นว่าเป็นประโยชน์ในการส่งเสริมศักยภาพในการประกอบอาชีพและความเป็นอยู่ในชุมชนให้ดีขึ้น โดยมีเป้าหมายสนับสนุนเงินทุนให้แก่กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง จำนวน ๗๙,๕๕๖ กองทุน กองทุนละไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท ภายในวงเงิน ๓๕,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ให้สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนแห่งชาติ (สทบ.) ใช้จ่ายจากเงินของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองก่อน หากไม่เพียงพอ ให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงิน ๓๕,๐๐๐ ล้านบาท โดยให้ สทบ. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณพร้อมรายละเอียดค่าใช้จ่ายเงินงบกลาง ผ่านสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณภายในวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๙ ตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลัง และ สทบ. รับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการดำเนินโครงการฯ ควรคำนึงถึงหลักการของประชารัฐที่มีส่วนร่วมทั้งจากภาคประชาชน ภาคเอกชน และภาคราชการ โดยมุ่งเน้นภาคการผลิต การแปรรูป และการตลาดอย่างครบวงจร รวมทั้งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล และการบริหารจัดการพื้นที่การผลิตที่เหมาะสม และให้ สทบ. จัดทำระเบียบที่เกี่ยวกับการดำเนินโครงการฯ และแผนการจัดทำบัญชีไว้เป็นการเฉพาะ เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการบริหารจัดการกองทุนและการติดตามประเมินผลโครงการฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลัง และ สทบ. ดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่ให้ดำเนินโครงการฯ อย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ รวดเร็ว และสอดคล้องกับแผนงาน/กิจกรรมในพื้นที่ด้วย ๔. ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๙ (เรื่อง การเสนอโครงการที่ต้องขออนุมัติงบประมาณจากคณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี) |
|||||||||||||||||||||
1537 | ขออนุมัติหลักเกณฑ์การคำนวณเงินชดเชยค่างานก่อสร้าง K (Price Adjustment) โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค และช่วงบางซื่อ - ท่าพระ | คค | 19/01/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณเงินชดเชยค่างานก่อสร้าง K (Price Adjustment) โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่อนุมัติเงื่อนไขและหลักเกณฑ์การคำนวณค่า K งานก่อสร้างสัญญาที่ ๓ และ ๔ งานก่อสร้างตามแบบรายละเอียดงานโยธาได้เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย ส่วนสัญญาที่ ๑ และ ๒ งานออกแบบรายละเอียดและก่อสร้างงานโยธา (Design and Build) เป็นการจ้างออกแบบและก่อสร้างโดยผู้รับจ้างรายเดียวกัน ผู้รับจ้างเสนอราคาค่าก่อสร้างเป็นราคาเหมารวม (Lump Sum) ไม่มีรายการแสดงปริมาณวัสดุและราคา (Bill of Quantities : B.O.Q) ที่ชัดเจน ไม่สามารถนำสัญญาแบบปรับราคาได้มาใช้ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๓๒ (เรื่อง การพิจารณาช่วยเหลือผู้ประกอบอาชีพงานก่อสร้าง) แต่เนื่องจากเป็นข้อผูกพันตามสัญญาที่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ได้ลงนามกับผู้รับจ้างแล้ว จึงเห็นควรอนุมัติเงื่อนไขและหลักเกณฑ์การคำนวณค่า K ได้เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย โดยให้สำนักงบประมาณเป็นผู้พิจารณาและวินิจฉัยการคำนวณเงินเพิ่มหรือเรียกเงินคืนจากผู้รับจ้างตามเงื่อนไขของสัญญาดังกล่าว และหากการจ่ายเงินเพิ่มค่างานก่อสร้างดังกล่าวทำให้เกินกรอบวงเงินที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีก็ให้ถือว่าได้รับอนุมัติขยายกรอบวงเงินโครงการจากคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้ด้วย ส่วนการจัดหาแหล่งเงินที่เหมาะสมเพื่อเบิกจ่ายค่า K ให้แก่ผู้รับจ้างให้ใช้จ่ายจากเงินสำรองจ่าย (Provisional Sum) ของแต่ละสัญญา หรือจ่ายตามแหล่งที่มาของเงินค่าก่อสร้าง หรือที่สำนักงบประมาณวินิจฉัยแล้วแต่กรณี โดยให้ รฟม. ขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง สำหรับสัญญาที่ ๕ งานออกแบบจัดซื้อ ทดสอบและประกอบงานระบบราง หากมิใช่งานก่อสร้างก็ไม่สมควรนำเงื่อนไขและหลักเกณฑ์การคำนวณค่า K มาใช้ ในชั้นนี้ เห็นสมควรที่กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. จะพิจารณาแก้ไขสัญญาที่ ๕ ตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐไปพิจารณาดำเนินการด้วยว่า หลักเกณฑ์เกี่ยวกับการใช้สัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น หน่วยงานอื่นที่มีกฎหมายบัญญัติให้มีฐานะเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่นของรัฐ จะต้องถือปฏิบัติตามเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ที่กำหนดตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๓๒ ซึ่งกำหนดให้ใช้กับงานจ้างก่อสร้างเท่านั้น กรณีสัญญาใดที่ไม่เกี่ยวกับงานจ้างก่อสร้างก็ไม่อยู่ในข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ที่จะใช้สัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) และในกรณีที่พิจารณาแล้วเห็นว่าการก่อสร้างโครงการระบบขนส่งมวลชนทางราง ซึ่งเป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ และมีรายละเอียดของปริมาณงานจำนวนมาก และมีขั้นตอนการตรวจสอบคุณภาพมาตรฐานการก่อสร้างที่อาจทำให้ไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขระยะเวลาในการเรียกร้องขอเพิ่มวงเงินชดเชยค่างานก่อสร้างค่า K ได้นั้น เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมหารือกับสำนักงบประมาณเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ระยะเวลาการเรียกร้องขอเพิ่มเงินชดเชยค่างานก่อสร้างค่า K สำหรับสัญญาก่อสร้างโครงการระบบขนส่งมวลชนทางรางเป็นกรณีเฉพาะและนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. ให้กระทรวงคมนาคมกำกับดูแลหน่วยงานในสังกัดให้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการคำนวณเงินชดเชยค่างานก่อสร้างค่า K (Price Adjustment) รวมทั้งข้อกำหนดต่าง ๆ ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๓๒ อย่างเคร่งครัด ๔.ให้สำนักงบประมาณร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเหมาะสมของเงื่อนไข หลักเกณฑ์ ประเภทงานก่อสร้าง สูตรและวิธีการคำนวณที่ใช้กับสัญญาแบบปรับราคาได้ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๓๒ ดังกล่าว ให้สอดคล้องกับหลักสากล รวมทั้งลักษณะและวิธีการดำเนินโครงการลงทุนภาครัฐในปัจจุบัน |
|||||||||||||||||||||
1538 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 5 ฯ ครั้งที่ 2/2559 วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม 2559 | อื่นๆ | 19/01/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ ๕ (ด้านความมั่นคง ลดความเหลื่อมล้ำ การเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเรื่องที่เป็นวาระเร่งด่วนและการแก้ไขปัญหาการดำเนินการตามพันธกรณีระหว่างประเทศ) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๙ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๙ และมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้รับผิดชอบในการบูรณาการความต้องการใช้ยางของทุกส่วนราชการ และเสนอคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ ๕ ฯ พิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รองประธานกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ ๕ ฯ เสนอ โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบแนวทางแก้ไขปัญหาราคายางโดยเร่งด่วน สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ กรอบการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรยางพาราในเบื้องต้น โดยรับซื้อยาง ประเภทยางแผ่นดิบชั้น ๓ น้ำยางดิบ และยางก้อนถ้วย ทั้งนี้ กำหนดราคายางแผ่นดิบชั้น ๓ (USS3) สูงสุดไม่เกิน ๔๕ บาท/กิโลกรัม หรือ ๔๕,๐๐๐ บาท/ตัน สำหรับยางประเภทอื่น ได้แก่ น้ำยางดิบ ยางก้อนถ้วย ให้กำหนดราคาตามเกณฑ์มาตรฐานราคายางตามสัดส่วน โดยเป็นการช่วยเหลือเบื้องต้น ภายในกรอบวงเงิน ๔,๕๐๐ ล้านบาท ๑.๒ หน่วยงานที่รับซื้อยางจากเกษตรกรโดยตรง ได้แก่ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ การยางแห่งประเทศไทย และองค์การคลังสินค้า ทั้งนี้ ในการขึ้นทะเบียนบัญชีรายชื่อเกษตรกรชาวสวนยาง ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งดำเนินการตรวจสอบสถานะเกษตรกรและดำเนินการลงทะเบียน เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘ ๑.๓ งบประมาณในการรับซื้อ ใช้งบประมาณจากกองทุนพัฒนายางพารา ตามพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘ ก่อน หากไม่เพียงพอจึงให้ใช้จากสินเชื่อของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โดยรัฐชดเชยต้นทุนในอัตรา FDR+1 ๑.๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการบูรณาการความต้องการใช้ยางของทุกส่วนราชการ และเสนอคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ ๕ ฯ พิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไปตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๕๙ ๒. ให้การยางแห่งประเทศไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้การยางแห่งประเทศไทยจัดทำแผนการนำยางพาราไปใช้ในการดำเนินโครงการของส่วนราชการให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยยางพาราที่ได้จัดซื้อจากเกษตรกรสามารถส่งผ่านไปยังกระบวนการแปรรูป/การผลิต เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ยางพาราที่ตรงกับปริมาณความต้องการของส่วนราชการต่าง ๆ และให้ภาครัฐเร่งรัดในการควบคุมพื้นที่การปลูกยางพารา โดยเฉพาะพื้นที่ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์หรือกรณีพื้นที่บุกรุกป่าสงวนหรืออุทยานแห่งชาติ รวมทั้งให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดการส่งเสริมการปลูกพืชอื่นทดแทนการปลูกยางพารา หรือการปลูกพืชอื่นร่วมกับการปลูกยางพารา เพื่อเป็นทางเลือกและเป็นการเสริมสร้างรายได้เช่นเดียวกับโครงการสนับสนุนสินเชื่อเกษตรกรชาวสวนยางรายย่อยเพื่อประกอบอาชีพเสริม และเร่งรัดการดำเนินโครงการสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรชาวสวนยาง เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวสวนยางพาราจากภาวะราคาตกต่ำ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||
1539 | ขอความเห็นชอบแผนงาน/โครงการและงบประมาณในการดำเนินการภายใต้โครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ | ทก | 19/01/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินการ ดังนี้
๑. ขออนุมัติงบประมาณหรืองบลงทุนของรัฐวิสาหกิจตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และบูรณาการการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยพิจารณาให้เกิดความสอดคล้อง เชื่อมโยง และไม่เกิดความซ้ำซ้อนกับแผนงานภายใต้โครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมอื่น ๆ เช่น โครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล โครงการจัดให้มีบริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและบริการเพื่อสังคม (USO) ของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ๒. จัดทำรายละเอียดการดำเนินโครงการที่ระบุเกี่ยวกับแผนการดำเนินงานและผลสัมฤทธิ์ในแต่ละขั้นตอนพร้อมทั้งงบประมาณเสนอคณะกรรมการเตรียมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเพื่อพิจารณาในรายละเอียด และรายงานผลความก้าวหน้าในการดำเนินการให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๓. รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการพัฒนาระบบฐานข้อมูลภาครัฐให้มีการเชื่อมต่อข้อมูลกันและประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้สะดวก โดยคำนึงถึงความมั่นคงปลอดภัยของระบบเครือข่าย และมีหน่วยงานบริหารโครงการ เพื่อไม่ให้การดำเนินงานไปซ้ำซ้อนกับโครงข่ายที่มีอยู่แล้ว และความซ้ำซ้อนกันของภารกิจของหน่วยงานที่รับผิดชอบ ได้แก่ บริษัท ทีโอที จำกัด(มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) การเตรียมความพร้อมในทุก ๆ ด้าน โดยสำรวจพื้นที่ดำเนินการไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน การพิจารณาความเหมาะสมจากคณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐ รูปแบบการบริหารจัดการ การวางแผนการดูแลบำรุงรักษา การมีส่วนร่วมจากภาคเอกชน รวมทั้งการพิจารณาถึงความเหมาะสมและความพร้อมของแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณของการดำเนินโครงการดังกล่าว นอกจากนี้ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมอบหมายให้บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) เป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศสู่การเป็น ASEAN Digital Hub เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศในภูมิภาค ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไป ๔. ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๙ (เรื่อง การเสนอโครงการที่ต้องขออนุมัติงบประมาณจากคณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี) |
|||||||||||||||||||||
1540 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | เวียน | 19/01/2559 | ||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเพื่อเพิ่มศักยภาพให้แก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ประกอบกิจการในอุตสาหกรรมที่สามารถใช้ยางพาราเป็นส่วนประกอบในการผลิตผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น อุตสาหกรรมผลิตยางมะตอย เป็นต้น ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมเมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นหน่วยงานหลักรวบรวมข้อเสนอและความต้องการของทุกส่วนราชการเกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนา พร้อมทั้งกำหนดแนวทางการวิจัยและพัฒนาในภาพรวมของประเทศอย่างเป็นระบบ โดยแบ่งเป็น ๓ ระยะ ได้แก่ ระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว และให้มีผลงานวิจัยที่เป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๖๐ นั้น ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย กระทรวงศึกษาธิการ คำนึงถึงความสอดคล้องกับความต้องการของประเทศ และให้จัดทำฐานข้อมูลจำนวนผู้ที่จบการศึกษาในระดับดุษฎีบัณฑิตในแต่ละสาขาวิชาเพื่อใช้ประโยชน์ในการกำหนดแนวทางการเพิ่มปริมาณบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาในภาพรวมของประเทศด้วย ๒.๒ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๘ ให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดให้มีหลักสูตรภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐานเฉพาะตามกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ เช่น ภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐานในชีวิตประจำวันสำหรับกลุ่มประชาชนทั่วไป ภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐานสำหรับผู้ประกอบการในการทำธุรกิจ ภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐานสำหรับข้าราชการในการดำเนินงานภาคราชการ ภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐานสำหรับประชาชนหรือผู้ใช้แรงงานในด้านต่าง ๆ นั้น ให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจัดทำ application การสอนภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐานตามกลุ่มเป้าหมายข้างต้นด้วย ๒.๓ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรวบรวมข้อมูลสถิติการใช้บริการศูนย์กลางบริการภาครัฐสำหรับประชาชน (Government Access Channels : G-Channel) ว่ามีประชาชนได้รับประโยชน์จากการใช้บริการมากน้อยเพียงใด รวมทั้งมีผลสัมฤทธิ์ในการดำเนินโครงการอย่างไร โดยให้นำเสนอต่อนายกรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป ๒.๔ มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) ร่วมกับเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงทุกกระทรวง และโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จัดทำชุดข้อมูลเพื่อใช้ในการประชาสัมพันธ์การดำเนินนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่ใช้กลไกประชารัฐในการขับเคลื่อน โดยจัดทำในลักษณะเป็นภาพหรือกราฟิกเพื่อการสื่อสาร (Infographics) ที่เข้าใจได้ง่าย มีรูปแบบที่ทันสมัย และดึงดูดความสนใจ ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงยุทธศาสตร์ชาติระยะ ๒๐ ปี และความเชื่อมโยงในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา ความมั่นคง การต่างประเทศ กฎหมาย การปฏิรูปประเทศเป็นสำคัญ เพื่อให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติใช้ชุดข้อมูลดังกล่าวในการขับเคลื่อนกลไกประชารัฐในระดับพื้นที่ต่อไปด้วย ทั้งนี้ ให้รายงานผลความคืบหน้าการดำเนินการต่อนายกรัฐมนตรีภายในวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ๒.๕ ให้ทุกส่วนราชการที่ทำหน้าที่ฝ่ายเลขานุการในคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ และคณะทำงานต่าง ๆ ศึกษาข้อมูลในส่วนที่รับผิดชอบด้วยความละเอียดรอบคอบ ตรวจสอบความถูกต้อง รวมทั้งคำนึงถึงความสอดคล้องกับแนวทางการดำเนินงานของรัฐบาล แนวทางการปฏิรูป ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ข้อกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และหากเรื่องใดคณะรัฐมนตรีได้มีมติหรือนายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการแล้วให้นำไปปฏิบัติโดยเคร่งครัด
|
.....