ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 75 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 1481 - 1500 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1481 | รายงานผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาอย่างเป็นทางการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานตามคำเชิญของรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงไฟฟ้า สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา | พน | 12/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาอย่างเป็นทางการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ตามคำเชิญของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงไฟฟ้า สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ระหว่างวันที่ ๒-๔ มีนาคม ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานของไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงไฟฟ้า สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ได้หารือทวิภาคีเกี่ยวกับรายละเอียดและแนวทางการดำเนินการผลักดันโครงการความร่วมมือด้านไฟฟ้าระหว่างไทย-เมียนมาให้เป็นรูปธรรม เพื่อนำไปสู่ความมั่นคงด้านพลังงานและประโยชน์ต่อประชาชนของทั้งสองประเทศ และได้หารือถึงความคืบหน้าของการดำเนินโครงการความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้าระหว่างไทย-เมียนมา โดยมีประเด็นเกี่ยวกับโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำมายตง โครงการเพิ่มประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าเยาม่า รวมทั้งการซื้อ-ขายไฟฟ้าปริมาณ ๑๐๐ เมกะวัตต์ เพื่อใช้ในโครงการก่อสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงความเป็นไปได้ในการบริหารจัดการน้ำร่วมกันระหว่างสองประเทศ เพื่อให้เกิดการพัฒนาด้านไฟฟ้าควบคู่ไปกับการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและคณะได้เข้าเยี่ยมชมการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าเยาม่า ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้ากังหันก๊าซขนาด ๑๒๐x๒ เมกะวัตต์ ที่ช่วยเสริมกำลังการจ่ายกระแสไฟฟ้าในกรุงย่างกุ้ง รองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น และช่วยกระจายความเสี่ยงจากการผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานน้ำของกรุงย่างกุ้ง ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและคณะได้เข้าเยี่ยมชมสำนักงานของ บริษัท ปตท.สผ. ซึ่งดำเนินงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และนับเป็นแหล่งการผลิตก๊าซธรรมชาติที่สำคัญเป็นอันดับต้น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแหล่งยาดานาและเยตากุนที่มีการนำก๊าซธรรมชาติกลับเข้ามาใช้ผลิตไฟฟ้าในประเทศไทยด้วย
|
|||||||||||||||||||||
1482 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนปากน้ำหลังสวน จังหวัดชุมพร พ.ศ. .... | มท | 12/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนปากน้ำหลังสวน จังหวัดชุมพร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลบางน้ำจืด ตำบลปากน้ำ และตำบลบางมะพร้าว อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน และกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทต่าง ๆ ให้พิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสภาพแวดล้อม พื้นที่ชุ่มน้ำ พื้นที่ลุ่มน้ำ สถาบันศาสนา และแหล่งศิลปกรรมอันมีคุณค่าแก่การอนุรักษ์ รวมทั้งการใช้บังคับร่างกฎกระทรวงฯ อาจมีผลกระทบต่อการดำเนินโครงการตามแผนพัฒนาด้านพลังงานที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้แล้ว และการเพิ่มประเภทโรงงานในร่างกฎกระทรวงฯ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองกำกับให้เจ้าพนักงานท้องถิ่น ดูแล และอนุมัติการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เป็นไปตามผังเมืองรวมอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการบุกรุกทำลายพื้นที่ชายฝั่งทะเล และควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินได้สอดคล้องกับภูมิสังคมของพื้นที่อย่างเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
1483 | โครงการเพื่อการพัฒนาปี 2559 ของการประปาส่วนภูมิภาค | มท | 12/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการดำเนินโครงการเพื่อการพัฒนา ปี ๒๕๕๙ ของการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) จำนวน ๖ โครงการ กรอบวงเงิน ๒,๔๕๗.๙๔๘ ล้านบาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ประกอบด้วย (๑) โครงการที่ขอรับเงินอุดหนุนร้อยละ ๗๕ เงินรายได้ร้อยละ ๒๕ จำนวน ๔ โครงการ วงเงินลงทุนรวม ๒,๒๑๘.๓๗๒ ล้านบาท ได้แก่ โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยาย กปภ. สาขาชัยภูมิ (บ้านเขว้า) และโครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายเพื่อรองรับเขตเศรษฐกิจพิเศษ กปภ. สาขาแม่สอด (ระยะที่ ๒) กปภ. สาขาอรัญประเทศ และ กปภ. สาขาสะเดา และ (๒) โครงการที่ขอรับเงินอุดหนุนร้อยละ ๑๐๐ จำนวน ๒ โครงการ วงเงินลงทุนรวม ๒๓๙.๕๗๖ ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการปรับปรุงระบบประปาหลังรับโอน ได้แก่ กปภ. สาขาชุมแพ (ห้วยยาง) และ กปภ. สาขากบินทร์บุรี (หนองกี่) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ส่วนงบประมาณในการดำเนินโครงการที่ยังไม่มีแหล่งเงินงบประมาณรองรับ จำนวน ๓ โครงการ วงเงินลงทุนรวม ๗๖๖.๖๑๖ ล้านบาท ซึ่ง กปภ. เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ แล้ว ได้แก่ โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยาย กปภ. สาขาชัยภูมิ (บ้านเขว้า) และโครงการปรับปรุงกิจการประปาภายหลังรับโอน กปภ. สาขาชุมแพ (ห้วยยาง) และสาขากบินทร์บุรี (หนองกี่) เห็นควรให้ กปภ. จัดทำรายละเอียดแบบรูปรายการ ประมาณการค่าใช้จ่าย และแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อประกอบการพิจารณาตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลัง คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเกี่ยวกับการพิจารณาใช้เงินรายได้ในการดำเนินโครงการเป็นอันดับแรกและประสานสำนักงบประมาณเพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณต่อไป การประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนเริ่มดำเนินโครงการและติดตามประเมินผลการดำเนินโครงการเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายและจัดทำแผนพัฒนาแหล่งน้ำดิบเพื่อรองรับการขาดแคลนในช่วงฤดูแล้ง รวมถึงวางแผนบริหารน้ำสูญเสียโดยเฉพาะพื้นที่ที่มีปริมาณน้ำสูญเสียสูง การควบคุมค่าใช้จ่ายในการผลิตและบริหารจัดการโครงการ การจัดทำแผนการพัฒนาน้ำต้นทุนอย่างเป็นระบบ การมีส่วนร่วมกับรัฐบาลในการวางแผนแก้ไขปัญหาภัยแล้ง รวมทั้งวางแผนป้องกันและลดความเสี่ยงจากการขาดแคลนแหล่งน้ำดิบของประปาสาขาทุกแห่ง การพิจารณาเกณฑ์การให้เงินอุดหนุนที่เหมาะสมโดยจัดลำดับความสำคัญของโครงการ การพิจารณาให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนเพื่อลดภาระทางการเงินและความเสี่ยงในการดำเนินงาน การกำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามแผนงาน ระยะเวลา และงบประมาณที่กำหนดไว้ การจัดตั้งหน่วยงานกำกับดูแล การบริหารจัดการน้ำในภาพรวมตั้งแต่การจัดหาแหล่งน้ำดิบ การผลิตน้ำประปา และการบริหารจัดการน้ำเสีย ตลอดจนการจัดทำแผนยุทธศาสตร์บริหารจัดการน้ำให้เกิดความชัดเจน โดยให้มีการบูรณาการโครงการที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบเพื่อประชาชนได้รับการจัดสรรน้ำอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียมกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้กระทรวงมหาดไทยบูรณาการร่วมกับสำนักงบประมาณ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบแผนงานโครงการที่เกี่ยวกับระบบสาธารณูปโภค เช่น ไฟฟ้า ประปา ถนน โทรศัพท์ ท่อระบายน้ำ เป็นต้น เพื่อวางแผนบริหารจัดการใช้พื้นที่สาธารณประโยชน์ในภาพรวมให้กระทบกับประชาชนน้อยที่สุด หากมีพื้นที่ดำเนินโครงการเป็นพื้นที่เดียวกันหรือใกล้เคียงกันควรดำเนินการไปพร้อมกัน เว้นแต่กรณีที่มีงานเดียว ทั้งนี้ หน่วยงานเจ้าของโครงการต้องรับผิดชอบการฝังกลบหรือซ่อมบำรุงพื้นที่ดังกล่าวให้อยู่ในสภาพเดิมด้วย |
|||||||||||||||||||||
1484 | การเข้าร่วมโครงการขจัดความหิวโหย (Zero Hunger Challenge: ZHC) ของประเทศไทย | กษ | 12/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้ประเทศไทยเข้าร่วมโครงการขจัดความหิวโหย (Zero Hunger Challenge : ZHC) โดยร่วมมือกับองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations : FAO) อย่างใกล้ชิด โดยโครงการดังกล่าวประกอบด้วยเป้าหมาย ๕ ประการ ได้แก่ เป้าหมายที่ ๑ การเข้าถึงอาหารได้ร้อยละ ๑๐๐ ตลอดทั้งปี เป้าหมายที่ ๒ การหยุดภาวะแคระแกร็นในเด็กอายุต่ำกว่า ๒ ปี เป้าหมายที่ ๓ ระบบอาหารทั้งหมดมีความยั่งยืน เป้าหมายที่ ๔ ผลผลิตและรายได้ของเกษตรกรรายย่อยเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๐๐ และเป้าหมายที่ ๕ การลดจำนวนการสูญเสียอาหารให้เป็นศูนย์ ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการดำเนินงาน โดยให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุนเพื่อขจัดความหิวโหยและการขาดแคลนอาหารให้บรรลุเป้าหมายภายใน พ.ศ. ๒๕๖๘ ๑.๓ มอบหมายสำนักงบประมาณสนับสนุนการจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินการตามแผนงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการพิจารณาแผนปฏิบัติการที่สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติของไทยเพื่อให้แผนปฏิบัติการสอดคล้องกับบริบทของไทยและเป็นประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ การนำประเด็นภาวะโภชนาการล้นเกินหรือโรคอ้วนในเด็กเข้าเป็นประเด็นพิจารณาเสริม ในเป้าหมายที่ ๕ : การลดจำนวนการสูญเสียอาหารให้เป็นศูนย์ และในกรอบแนวทางการดำเนินงานในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกภายใต้เป้าหมายหลัก ในข้อที่ ๕ : การลดการสูญเสียและการทิ้งอาหารต้องให้เหลือศูนย์ การนำกรณีตัวอย่างแผนปฏิบัติการของประเทศอื่น ๆ ที่ได้เข้าร่วมโครงการความช่วยเหลือของ FAO มาประกอบการพิจารณาด้วย การจัดทำแผนปฏิบัติการในระดับประเทศ โดยประสานและบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนรับฟังความคิดเห็นให้รอบด้านและครบถ้วน ทั้งนี้ การเข้าร่วมโครงการฯ ดังกล่าว ยังมิได้มีการจัดทำความตกลงเป็นลายลักษณ์อักษร กรณีจึงไม่มีประเด็นที่ต้องพิจารณาเกี่ยวกับการเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ส่วนการพิจารณามอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องภายหลังจากการเข้าร่วมโครงการนั้นเป็นอำนาจของรัฐมนตรีที่จะพิจารณาได้ตามความเหมาะสม สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในการดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามโครงการฯ เห็นควรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ตลอดจนรายละเอียดค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการที่สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการในระดับประเทศ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
1485 | การกำหนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนในคู่มือการดำเนินงานโครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้าน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ | มท | 12/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการกำหนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนในคู่มือการดำเนินงานโครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การเสนอโครงการของหมู่บ้าน หน้าที่ของคณะกรรมการหมู่บ้าน อำเภอ และจังหวัด ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมการปกครอง) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการดำเนินโครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ สำหรับขั้นตอนการใช้จ่ายงบประมาณและค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการโครงการ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมการปกครอง) พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ในโอกาสแรกก่อน และหากไม่เพียงพอ ก็ให้เสนอขอรับการจัดสรรจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหลักการไว้ ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้ดำเนินโครงการด้วยความรวดเร็วและเกิดความโปร่งใสเป็นไปตามความต้องการของประชาชนที่เดือดร้อนด้วย ๓. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) |
|||||||||||||||||||||
1486 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก พ.ศ. .... | มท | 05/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลทับยายเชียง และตำบลหอกลอง อำเภอพรหมพิราม ตำบลวัดโบสถ์ ตำบลท่างาม ตำบลบ้านยาง และตำบลท้อแท้ อำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการใช้บังคับร่างกฎกระทรวงฯ อาจมีผลกระทบต่อการดำเนินโครงการตามแผนพัฒนาด้านพลังงาน และร่างกฎกระทรวงฯ ไม่สอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริงที่การประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรม จำนวน ๙ ประเภท ๑๗ โรงงาน คิดเป็นร้อยละ ๒๔.๒๙ ของโรงงานทั้งหมดในพื้นที่วางผัง ไม่ได้กำหนดไว้ในร่างกฎกระทรวงฯ ส่งผลให้ไม่สามารถตั้งหรือขยายโรงงานได้ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่ จึงเห็นควรให้เพิ่มประเภทและขนาดโรงงานในร่างกฎกระทรวงฯ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทต่าง ๆ ให้พิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสภาพแวดล้อม พื้นที่ชุ่มน้ำ และแหล่งศิลปกรรมอันมีคุณค่าแก่การอนุรักษ์ การกำหนดคำนิยามของคำว่า “การใช้ที่ดินที่เกี่ยวข้องกับนันทนาการ” และ “การใช้ที่ดินที่เกี่ยวข้องกับเกษตรกรรม” ที่ระบุไว้ในการใช้ที่ดินแต่ละประเภทให้ชัดเจน การจัดทำฐานข้อมูลที่เป็นปัจจุบันและเผยแพร่ต่อสาธารณะให้ทราบว่ามีการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการอื่นไปแล้วเท่าใด และใช้ฐานข้อมูลดังกล่าวเป็นฐานในการกำหนดผังเมืองรวมฉบับที่จะมีการปรับปรุงของแต่ละเมือง เพื่อประโยชน์ต่อทางราชการในการอ้างอิงประกอบการพิจารณาอนุมัติดำเนินกิจการประเภทอื่น ๆ และเพื่อประโยชน์ต่อภาคธุรกิจในการพิจารณาเลือกประเภทกิจการให้เหมาะสมกับพื้นที่ในอนาคต รวมทั้งการสนับสนุนให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เป็นไปตามผังเมืองรวมฉบับนี้ โดยเฉพาะที่ดินบริเวณริมฝั่งแม่น้ำแควน้อย เพื่อป้องกันการบุกรุกทำลายสภาพตามธรรมชาติของแม่น้ำ และเพื่อรักษาสภาพแวดล้อมของชุมชนให้มีคุณภาพที่ดีอย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
1487 | โครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ | กค | 05/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ และข้อเสนอของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังขอแก้ไขข้อเสนอของกระทรวงการคลัง ดังนี้ ๑.๑ ขออนุมัติปรับลดงบประมาณในลักษณะเงินอุดหนุนทั่วไป จากหมู่บ้านละ ๓๐๐,๐๐๐ บาท เป็นหมู่บ้านละ ๒๐๐,๐๐๐ บาท ภายในกรอบวงเงินไม่เกิน ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินโครงการฯ รวมถึงรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการโครงการฯ ให้คณะรัฐมนตรีทราบทุกเดือน แทนกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินโครงการฯ โดยจัดให้มีคณะกรรมการระดับอำเภอในแต่ละพื้นที่เป็นผู้พิจารณาอนุมัติโครงการที่ผ่านการพิจารณาคัดเลือกจากคณะกรรมการหมู่บ้านแล้ว และให้คณะกรรมการดังกล่าวพิจารณาโครงการฯ โดยมุ่งเน้นโครงการที่เป็นสาธารณประโยชน์ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคมและเป็นไปตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งสอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่เน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืน และต้องเป็นโครงการที่สามารถดำเนินการได้ตามกรอบระยะเวลา ทั้งนี้ การดำเนินการทุกขั้นตอนจะต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ ๓. อนุมัติให้กระทรวงมหาดไทยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงินไม่เกิน ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท ในงบเงินอุดหนุนประเภทเงินอุดหนุนทั่วไปแก่หมู่บ้านเพื่อสาธารณประโยชน์ จำนวน ๗๔,๙๖๕ แห่ง หมู่บ้านละ ๒๐๐,๐๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ สำหรับค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการโครงการฯ ให้กระทรวงมหาดไทยขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ๔. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากลไกการจัดสรรเงินงบประมาณและเร่งรัดจัดทำคู่มือและหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการฯ รวมทั้งสร้างการรับรู้ให้แก่คณะกรรมการหมู่บ้าน และประชาชนในพื้นที่ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการและเร่งรัดการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายใน ๙๐ วัน นับตั้งแต่วันที่เริ่มดำเนินโครงการฯ ทั้งนี้ ให้นำความเห็นของสำนักงบประมาณประกอบการพิจารณาในการเบิกจ่ายให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ๕. ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแล ติดตามความคืบหน้าในการดำเนินโครงการ และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบทุกเดือน |
|||||||||||||||||||||
1488 | รายงานผลการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลโครงการสร้างรายได้และพัฒนาการเกษตรแก่ชุมชนเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง | นร12 | 29/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่คณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ (ค.ต.ป.) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานผลการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลโครงการสร้างรายได้และพัฒนาการเกษตรแก่ชุมชนเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง ตามผลการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลของ ค.ต.ป. โดยมีข้อค้นพบที่สำคัญ เช่น การกำหนดบัญชีรายชื่อที่คาดการณ์ความแห้งแล้งในพื้นที่เกษตร ควรพิจารณาสภาพปัญหาที่แท้จริงในพื้นที่ด้วย การดำเนินโครงการมีข้อจำกัดด้านงบประมาณและระยะเวลาในการดำเนินงาน บางชุมชนต้องคัดเลือกโครงการที่มีความสำคัญน้อยกว่าเพื่อให้สามารถดำเนินงานได้ตามกรอบงบประมาณและระยะเวลาที่กำหนด มีการจ้างแรงงานจากในชุมชนเป็นหลัก บางชุมชนขาดแคลนแรงงาน เนื่องจากประชากรส่วนใหญ่ในชุมชนเป็นผู้สูงอายุ หรือประชากรวัยแรงงานในภาคอุตสาหกรรมมีรายได้สูงกว่าการจ้างงานในโครงการ รวมทั้งการใช้จ่ายงบประมาณค่าวัสดุในแต่ละพื้นที่ไม่มีการกำหนดราคากลางงานก่อสร้างตั้งแต่เริ่มโครงการ เป็นต้น ๑.๒ เห็นชอบข้อเสนอแนะตามรายงานผลการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลของ ค.ต.ป. ประกอบด้วยข้อเสนอแนะต่อผู้รับผิดชอบโครงการ ข้อเสนอแนะต่อหน่วยงานกลาง และข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สำคัญ เช่น หน่วยงานเจ้าของโครงการควรจัดทำคู่มือการดำเนินงานให้ชัดเจน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรจัดทำระบบฐานข้อมูลผลการดำเนินงาน ข้อดี และข้อเสียของโครงการไว้ในระบบอิเล็กทรอนิกส์ การกำหนดพื้นที่เป้าหมายควรพิจารณาสภาพปัญหาที่แท้จริงในพื้นที่เพื่อนำมาเป็นหลักเกณฑ์ประกอบการพิจารณา รวมทั้งควรกำหนดให้มีระบบการติดตามและประเมินผลโครงการอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น และเห็นควรแจ้งให้หน่วยงานดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. หากมีการรายงานข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานอื่น ๆ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ประสานหน่วยงานนั้น ๆ เพื่อบูรณาการข้อมูลให้เป็นฐานข้อมูลเดียวกันด้วย |
|||||||||||||||||||||
1489 | ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ 1/2559 | กค | 29/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๕๙ โดยที่ประชุมมีมติและข้อเสนอแนะ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้
๑. รับทราบความก้าวหน้าของการขับเคลื่อนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานการส่งเสริมการลงทุนผ่านคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย มาตรการการจ้างงานและกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น มาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชนผู้มีรายได้น้อยและมาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาลทั่วประเทศ มาตรการการเงินการคลังเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในระยะเร่งด่วน มาตรการการเงินการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศ มาตรการเร่งรัดการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง ๒. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมกำกับการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่งระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๙ (Action Plan) ให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ พร้อมทั้งแจ้งหน่วยงานเจ้าของโครงการให้เร่งรัดโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมประกวดราคาให้มีการประกวดราคาและลงนามในสัญญาก่อสร้างได้ภายในไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๙ เพื่อให้มีการเบิกจ่ายเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๙ ได้แก่ (๑) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ขนาดทาง ๑ เมตร (Meter Gauge) ช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น ให้เร่งรัดให้มีการเบิกจ่ายภายในไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๙ ทั้งนี้ ในปี ๒๕๕๙ ควรมีการเบิกจ่ายประมาณ ๘,๐๕๒ ล้านบาท และ (๒) โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายพัทยา-มาบตาพุด ให้เร่งรัดการเจรจาต่อรองราคาใน ๘ ตอนที่เหลือ รวมทั้งเร่งประกวดราคาในอีก ๒ ตอนที่เหลือให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๙ ๓. มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเร่งรัดติดตามการดำเนินการโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่เข้าข่ายโครงการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ ๔. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดโครงการตามมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล (ตำบลละ ๕ ล้านบาท) ที่ได้รับอนุมัติแล้วให้มีการเบิกจ่ายโดยเร็ว ทั้งนี้ ในช่วง ๒ เดือนที่เหลือของไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๙ (กุมภาพันธ์-มีนาคม ๒๕๕๙) ควรมีการเบิกจ่ายประมาณ ๑๐,๐๐๐-๑๕,๐๐๐ ล้านบาท ๕. มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศมีหนังสือถึงหน่วยงานราชการเน้นย้ำให้ดำเนินการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณโครงการตามมาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาลทั่วประเทศ สำหรับวงเงิน ๑๖,๐๐๐ ล้านบาท โดยให้ก่อหนี้ภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๙ และเบิกจ่ายงบประมาณให้แล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ สำหรับกรณีที่สามารถดำเนินการก่อหนี้ผูกพันได้ภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๙ แต่อาจจะเบิกจ่ายงบประมาณแล้วเสร็จภายหลังสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ในกรณีนี้ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นส่งเรื่องขอผ่อนผันกรณีการเบิกจ่ายล่าช้าดังกล่าวมายังสำนักงบประมาณภายในวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ เพื่อสำนักงบประมาณจะได้รวบรวมเสนอขอผ่อนผันต่อคณะรัฐมนตรีในคราวเดียว แต่หากส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นมิได้แจ้งผ่อนผันไปยังสำนักงบประมาณได้ทันภายในวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นจะต้องนำเสนอขอผ่อนผันต่อคณะรัฐมนตรีเป็นรายกรณี รวมทั้งเร่งดำเนินการตามโครงการและมาตรการที่อยู่ภายใต้กรอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ
|
|||||||||||||||||||||
1490 | การลงนามในร่างบันทึกข้อตกลงโครงการ "Domestication of Endangered, Endemic and Threatened Plant Species in Disturbed Terrestrial Ecosystem in Malaysia and Thailand" | ทส | 29/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการลงนามในร่างบันทึกข้อตกลงโครงการปรับปรุงสภาพพันธุ์พืชที่ใกล้สูญพันธุ์ พืชเฉพาะถิ่น และพืชที่ถูกคุกคาม ในระบบนิเวศพื้นดินที่ถูกรบกวนในประเทศมาเลเซียและประเทศไทย (Domestication of Endangered, Endemic and Threatened Plant Species in Disturbed Terrestrial Ecosystem in Malaysia and Thailand) ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยโครงการฯ มีวัตถุประสงค์หลักในการศึกษาวิจัยเพื่อปรับสภาพพันธุ์พืชที่ใกล้สูญพันธุ์ พืชเฉพาะถิ่น และพืชที่ถูกคุกคาม ในระบบนิเวศพื้นดินที่ถูกรบกวนในประเทศมาเลเซียและประเทศไทย เพื่อเป็นการศึกษา วิจัยความรู้ และบทเรียนในวิธีการที่ดีที่สุดในการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในภูมิภาค โดยสำนักงานเลขานุการ ASEAN-Korea Forest Cooperation จะสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินการ จำนวน ๑,๒๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ระยะเวลาในการดำเนินโครงการ ๖ ปี นับจากวันลงนาม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ควรเน้นย้ำในการให้ความสำคัญและการปฏิบัติตามอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (Convention on Biological Diversity : CBD) ที่ไทยเป็นภาคีและอนุวัติในการดำเนินโครงการ ควรมีการจัดทำข้อตกลงการจัดส่งวัสดุชีวภาพ (Material Transfer Agreement) ในกรณีที่มีการเคลื่อนย้ายเชื้อพันธุกรรมทั้งพืช สัตว์ และจุลินทรีย์ ควรมีการจัดทำลายพิมพ์ดีเอ็นเอของพันธุ์พืชที่ทำการศึกษาในโครงการเพื่อเป็นหลักฐานในการระบุอัตลักษณ์พันธุ์พืชนั้น ๆ ของประเทศไทย ควรสนับสนุนให้ชุมชนท้องถิ่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และสถาบันการศึกษาในท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูระบบนิเวศ และการปรับปรุงสภาพพันธุ์พืชที่ใกล้สูญพันธุ์ พืชเฉพาะถิ่น และพืชที่ถูกคุกคามอย่างยั่งยืน รวมทั้งควรนำระบบการบริหารจัดการ “สะแกราชโมเดล” ของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งได้รับการรับรองจาก UNESCO ให้เป็นแหล่งสงวนชีวมณฑล (Biosphere Reserve) มาปรับใช้เพื่อขยายผลในระดับภูมิภาค และเป็นแบบอย่างที่ดีในการบริหารจัดการพื้นที่ป่าไม้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
1491 | การขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2558 ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานตามโครงการมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2559 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงการสำคัญเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและคนยากจนในการเสริมสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน และการสนับสนุนการจัดหาเครื่องจักรกลการเกษตร ให้แก่กลุ่มสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรตามมาตรการสำคัญเร่งด่วน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร | มท | 29/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ขยายระยะเวลาดำเนินการโครงการมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล โครงการสำคัญเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและคนยากจนในการเสริมสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน และการสนับสนุนการจัดหาเครื่องจักรกลการเกษตรให้แก่กลุ่มสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร เฉพาะโครงการที่ได้มีการก่อหนี้ผูกพันจนถึงขั้นจองเงินในระบบ PO (Purchase Order) ภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙ โดยแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ และวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๕๙ ซึ่งกำหนดให้การดำเนินโครงการและเบิกจ่ายงบประมาณ จาก “ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙” เป็น “ให้การดำเนินโครงการและเบิกจ่ายงบประมาณให้แล้วเสร็จตามสัญญา (คาดว่าจะไม่เกินเดือนมิถุนายน ๒๕๕๙)” ๑.๒ เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทย กรมบัญชีกลาง และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องหาแนวทางการดำเนินงานการบริหารจัดการทรัพย์สินที่เกิดจากมาตรการฯ การใช้ประโยชน์ การบำรุงรักษา รวมถึงการโอนทรัพย์สินให้ส่วนราชการเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทางราชการ ๑.๓ อนุมัติให้ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายในส่วนของค่าใช้จ่ายบริหารจัดการโครงการตามมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล (ตำบลละ ๕ ล้านบาท) และโครงการสำคัญเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและคนยากจนในการเสริมสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนได้จนถึงเสร็จสิ้นโครงการ รวมถึงการติดตามประเมินผลโครงการซึ่งจะต้องดำเนินการภายหลังเสร็จสิ้นการดำเนินโครงการตามสัญญา ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพย์สินที่เกิดจากมาตรการฯ จะต้องคำนึงถึงความเหมาะสมในการถือครองและการใช้ประโยชน์ของทรัพย์สินที่ได้มาจากเงินงบประมาณ รวมถึงการบำรุงรักษา หรือการจดทะเบียนทรัพย์สินให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ รวมทั้งควรกำกับดูแลการดำเนินงานให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติในการเบิกจ่ายเงินมาตรการฯ รวมถึงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ตลอดจนกำหนดให้มีกลไกการติดตามประเมินผลโครงการที่จะดำเนินการภายหลังจากเสร็จสิ้นการดำเนินโครงการตามสัญญาแล้ว เพื่อเป็นการประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการ และนำไปเป็นข้อมูลสำหรับกำหนดมาตรการในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
1492 | ขออนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย - มีนบุรี และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว - สำโรง | กค | 29/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง และวงเงินงบประมาณรายจ่ายของโครงการดังกล่าวตามมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่คณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูฯ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองฯ เป็นระบบรถไฟฟ้ารางเดี่ยว (Monorail) ๑.๒ อนุมัติให้เอกชนร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูฯ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองฯ ในรูปแบบ PPP Next Cost โดยภาครัฐลงทุนค่างานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน และภาคเอกชนลงทุนค่างานโยธา ค่างานระบบรถไฟฟ้าและขบวนรถไฟฟ้า และค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการ รวมทั้งบริหารการเดินรถและซ่อมบำรุงโครงการ โดยให้เอกชนร่วมลงทุนรวมเป็นเวลา ๓๓ ปี ๓ เดือน (ระยะเวลาการก่อสร้าง ๓ ปี ๓ เดือน และระยะเวลาเดินรถ ๓๐ ปี) และเอกชนเป็นผู้จัดเก็บค่าโดยสารและรับความเสี่ยงด้านจำนวนผู้โดยสารของโครงการ (Ridership Risk) ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ดำเนินการตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนฯ ปี ๒๕๕๖ โดยเคร่งครัดต่อไป ๑.๓ อนุมัติค่างานที่เกี่ยวข้องกับการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและค่าสำรวจอสังหาริมทรัพย์โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูฯ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองฯ ในกรอบวงเงินรวมจำนวน ๖,๘๔๗ ล้านบาท และ ๖,๐๑๓ ล้านบาท ตามลำดับ โดยให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมตามแผนการใช้จ่ายเงินจริงต่อไป ๑.๔ อนุมัติกรอบวงเงินสนับสนุนแก่เอกชนเป็นเงินสนับสนุนค่างานโยธา ในวงเงินไม่เกิน ๒๐,๑๓๕ ล้านบาท สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูฯ และไม่เกิน ๒๒,๓๕๔ ล้านบาท สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองฯ ที่เป็นมูลค่าปัจจุบันตามที่ตกลงในสัญญาสัมปทาน โดยทยอยจ่ายให้เอกชนหลังจากเริ่มเปิดเดินรถแล้ว และแบ่งจ่ายเป็นรายปี โดยกำหนดระยะเวลาแบ่งจ่ายไม่ต่ำกว่า ๑๐ ปี ทั้งนี้ มอบหมายให้กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณร่วมพิจารณาแหล่งเงินและรูปแบบที่เหมาะสมสำหรับการจ่ายเงินสนับสนุนแก่เอกชนต่อไป ๑.๕ มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมและ รฟม. รับไปดำเนินการ (๑) กำกับดูแลให้โครงการรถไฟฟ้าสายอื่น ๆ สามารถเปิดให้บริการได้ตามแผนงานเพื่อลดความเสี่ยงด้านปริมาณผู้โดยสาร และพิจารณาความเหมาะสมของอัตราค่าโดยสาร รวมทั้งเร่งดำเนินการใช้ระบบตั๋วร่วมและการกำหนดอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสมในภาพรวม ทั้งในระบบรถไฟฟ้าและระบบขนส่งมวลชนรูปแบบอื่น ตลอดจนเร่งรัดการปฏิรูปเส้นทางเดินรถโดยสารสาธารณะให้สอดคล้องกับเส้นทางและระยะเวลาการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว (๒) พิจารณารูปแบบลักษณะการจ่ายเงินสนับสนุนแก่เอกชนที่สามารถส่งเสริมการประเมินผลการดำเนินงานตามตัวชี้วัด (KPI) ของโครงการ เพื่อให้เอกชนเกิดแรงจูงใจในการพัฒนาระบบให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และเมื่อเอกชนมีผลประกอบการเกินกว่าระดับที่ตกลงกันแล้ว ก็ควรพิจารณาความเหมาะสมในการกำหนดส่วนแบ่งรายได้จากผลประกอบการที่ดีขึ้นด้วย (๓) เร่งจัดทำแผนการดำเนินโครงการในรายละเอียดที่ชัดเจน โดยเฉพาะแผนการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน และพิจารณาวงเงินขอรับจัดสรรงบประมาณสำหรับจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินให้เพียงพอและสอดคล้องกับขั้นตอน/ระยะเวลาการดำเนินโครงการ รวมทั้งประสานกระทรวงมหาดไทยและ/หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณากำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าให้สามารถรองรับการขยายตัวของเมืองได้มากขึ้นต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. รับความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้ภาครัฐเข้ามามีส่วนร่วมในการรับความเสี่ยง และการกำหนดอัตราผลตอบแทนการลงทุนที่สูงกว่าอัตราเฉลี่ยของตลาด เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการประมูลโครงการ การแต่งตั้งคณะกรรมการบูรณาการการดำเนินงานโครงการรถไฟฟ้า โดยมีองค์ประกอบเป็นผู้แทนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสนับสนุน เสนอแนะ และให้ข้อคิดเห็นในการแก้ไขปัญหาในเชิงบูรณาการร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนของ รฟม. การกำหนดผลตอบแทนจากการลงทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและสอดคล้องกับอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดเงินในปัจจุบัน และพิจารณากรอบวงเงินสนับสนุนให้แก่เอกชนผู้เข้าร่วมดำเนินโครงการให้อยู่บนหลักการที่ภาคเอกชนต้องมีส่วนรับผิดชอบค่าลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และการกำหนดให้ส่วนแบ่งรายได้ให้แก่ภาครัฐในอัตราที่เหมาะสม รวมทั้งการกำหนดเงื่อนไขของสัญญาที่มีบทปรับที่สะท้อนถึงมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจในกรณีที่ภาคเอกชนไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จและเปิดให้บริการได้ตามกำหนดการ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงคมนาคม และ รฟม. กำกับการดำเนินโครงการดังกล่าวให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเริ่มการประมูลได้ตามกำหนดเวลา โปร่งใส เป็นธรรม ตรวจสอบได้ และเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ๔. ให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ปฏิบัติตามขั้นตอนการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามกำหนดเวลาตามมาตรการ PPP Fast Track เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีระยะเวลาในการศึกษา และวิเคราะห์โครงการร่วมลงทุนต่าง ๆ ได้อย่างรอบคอบและครบถ้วน |
|||||||||||||||||||||
1493 | แผนพัฒนาจังหวัด แผนพัฒนากลุ่มจังหวัด (พ.ศ. 2557 - 2560) ฉบับทบทวนใหม่ (รอบปี พ.ศ. 2560) แผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด แผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด และคำของบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | นร12 | 29/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่คณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แผนพัฒนาจังหวัด จำนวน ๗๖ จังหวัด และแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด จำนวน ๑๘ กลุ่มจังหวัด (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๐) ฉบับทบทวนใหม่ (รอบปี พ.ศ. ๒๕๖๐) ๑.๒ แผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด ๗๖ จังหวัด และแผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด ๑๘ กลุ่มจังหวัด และคำของบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ๗๖ จังหวัด ๑๘ กลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ๒. ในส่วนโครงการของกระทรวง กรม และโครงการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามแผนพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัด และแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด/กลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้ส่วนราชการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณาความจำเป็นและเหมาะสมของโครงการเพื่อเสนอสำนักงบประมาณพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัดพิจารณานำแนวนโยบายของนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับการเชื่อมโยงยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ โดยใช้ “ห่วงโซ่คุณค่า” มาเป็นกรอบในการแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของแผนงาน/โครงการภายใต้แผนปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง โดยอาจปรับลำดับโครงการที่อยู่ในส่วนเห็นชอบสนับสนุนภายในกรอบวงเงิน และเห็นชอบสนับสนุนเกินกรอบวงเงินให้สอดคล้องตามแนวนโยบายของนายกรัฐมนตรีภายใต้กรอบวงเงินเดิมได้ อย่างไรก็ตามจังหวัดและกลุ่มจังหวัดควรให้ความสำคัญกับการดำเนินโครงการตามแผน ให้แล้วเสร็จตามระยะเวลาที่กำหนด รวมทั้งกระทรวง กรม และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาในเชิงพื้นที่ โดยพิจารณาจัดทำคำของบประมาณโครงการที่สอดคล้องกับศักยภาพและโอกาสการพัฒนาของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||
1494 | โครงการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่น (พ.ศ. 2559 - 2572) | ศธ | 29/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่น (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๗๒) โดยเป็นการนำร่องการผลิตครูระบบจำกัดรับ (ระบบปิด) ในสาขาวิชาและพื้นที่ที่เป็นความต้องการของหน่วยงานผู้ใช้ครู ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กรุงเทพมหานคร และสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย โดยดึงดูดคนดี คนเก่งเข้ามาศึกษาวิชาชีพครู ด้วยหลักสูตรและกระบวนการที่เน้นการปฏิบัติและการฝึกอบรมที่เข้มข้น และเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วจะได้รับการบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูในภูมิลำเนาของตนเอง มีเป้าหมายรวมตลอดโครงการจำนวนรวมทั้งสิ้น ๔๘,๓๗๔ คน ทั้งนี้ อัตราที่บรรจุเป็นข้าราชการครูดังกล่าวเป็นอัตราเกษียณอายุราชการของแต่ละหน่วยงานระหว่างปี ๒๕๕๙-๒๕๖๘ (มิใช่อัตราตั้งใหม่) ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการเฉพาะในระยะที่ ๑ ปี ๒๕๕๙-๒๕๖๑ ตามกรอบระยะเวลาการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ส่วนงบประมาณดำเนินการ ให้กระทรวงศึกษาธิการจัดทำแผนการปฏิบัติการและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยคำนึงถึงความประหยัด ความคุ้มค่า การมีส่วนร่วมของภาคเอกชนและประโยชน์ที่ทางราชการจะได้รับเป็นสำคัญ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับสาขาวิชาที่ผลิตโดยเฉพาะสาขาวิชาชีพที่ควรคำนึงถึงความสอดคล้องกับแผนพัฒนากำลังคนของประเทศและนโยบายด้านอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศในอนาคต (S-curve) รวมทั้งพื้นที่ในการบรรจุข้าราชการครูควรเป็นไปในลักษณะการกระจายไปยังท้องถิ่น มิใช่กระจุกตัวอยู่เฉพาะในเมืองใหญ่ และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษาเกี่ยวกับการจัดทำแผนการผลิตครูที่สะท้อนถึงความต้องการในระดับพื้นที่อย่างแท้จริง การจัดทำแนวทาง วิธีการ และตัวชี้วัดโครงการที่สะท้อนถึงผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการที่ชัดเจนทั้งในเรื่องของการกระจายครูในพื้นที่ คุณภาพของครูที่ผลิต การลดความเหลื่อมล้ำของคุณภาพการศึกษาในเชิงพื้นที่ การจัดทำแผนการผลิตครูภาพรวมที่คำนึงถึงสัดส่วนครูต่อนักเรียนที่เหมาะสม ตลอดจนการจัดทำแนวทาง วิธีการ และตัวชี้วัดโครงการที่สะท้อนถึงผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการที่ชัดเจน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ในส่วนของการขอใช้อัตราเกษียณอายุราชการของข้าราชการครูเพื่อบรรจุนักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาตามหลักเกณฑ์ของโครงการ ให้กระทรวงศึกษาธิการนำเสนอคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ [ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๖ เรื่อง มาตรการบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑)] เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป ๔. ส่วนโครงการในระยะที่ ๒ ตั้งแต่ปี ๒๕๖๒ เป็นต้นไป ให้กระทรวงศึกษาธิการนำไปบรรจุไว้ในแผนการปฏิรูปการศึกษาที่จะส่งต่อให้รัฐบาลชุดต่อไปรับไปพิจารณาดำเนินการ ๕. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับข้อสังเกตของรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เกี่ยวกับโครงการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่น (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๗๒) มีการให้ทุนการศึกษาแก่ผู้เข้าร่วมโครงการด้วย และเพื่อเป็นการป้องกันกรณีการไม่ชดใช้ทุนการศึกษา จึงควรมีมาตรการป้องกันปัญหาดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
1495 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ และผลการทบทวนในเรื่องพื้นที่และแผนการดำเนินการเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2558 | อก | 29/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๘ เรื่อง โครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งดำเนินการจัดทำแผนหลักการใช้พื้นที่ในภาพรวมทั้งโครงการ (Master Plan and Layout) เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการระยะที่ ๑ ให้แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ ในส่วนของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น รายการค่าชดเชยปลูกป่า (พื้นที่ ๑,๒๓๔.๙๘ ไร่) ให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือเพื่อให้ได้ข้อยุติตามกรอบวงเงินที่สำนักงบประมาณให้ความเห็นไว้เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๙ (ตามหนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๑๘/๓๘๑ ลงวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๙) ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคเอกชนจัดทำแผน/แนวทางการบริหารจัดการศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อที่ชัดเจน โดยเฉพาะการดำเนินงานภายหลังจากการลงทุนก่อสร้างในโครงการแล้วเสร็จ โดยมีสาระครอบคลุมด้านโครงสร้างและรูปแบบการบริหารงาน กรอบระยะเวลาดำเนินการ เป้าหมายที่จะลดการพึ่งพางบประมาณจากภาครัฐในแต่ละปี แหล่งเงินทุนในการดำเนินงาน ระยะเวลาคืนทุนของโครงการ และควรให้ความสำคัญกับการดึงดูดการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนรายใหญ่ในการดำเนินโครงการ รวมทั้งการสร้างความร่วมมือในลักษณะบูรณาการเป็นเครือข่ายกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และให้กระทรวงอุตสาหกรรมจัดทำแนวทางในการสร้างแรงจูงใจด้านการลงทุนและใช้ประโยชน์ในพื้นที่โครงการหรือบริเวณใกล้เคียงของผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ทั้งกลุ่มผู้ผลิต OEM และ REM โดยเฉพาะการลงทุนในด้านการวิจัยและพัฒนาเพื่อให้เกิดการรวมกลุ่มที่เข้มแข็งในลักษณะคลัสเตอร์ที่มีความร่วมมือระหว่างกลุ่มผู้ประกอบการด้วยกัน ตลอดจนความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ โดยคำนึงถึงการรองรับการทดสอบยางล้อที่มีส่วนผสมของยางพาราเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการบริหารจัดการยางพาราของรัฐ ๔. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) |
|||||||||||||||||||||
1496 | ขอความเห็นชอบขยายระยะเวลาโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อรวบรวมยางพารา (วงเงินสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท) ภายใต้แนวทางการพัฒนายางพาราทั้งระบบ | กษ | 29/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่คณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อรวบรวมยางพารา (วงเงินสินเชื่อ ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท) ภายใต้แนวทางการพัฒนายางพาราทั้งระบบต่อไปอีก ๑ ปี โดยให้ดำเนินการภายใต้กรอบวงเงินสินเชื่อเดิม (วงเงินสินเชื่อ ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท) เพื่อให้สอดคล้องกับฤดูการผลิตและรอบปีบัญชีของสถาบันเกษตรกร โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๙ ถึง ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ ระยะเวลาจ่ายเงินกู้เริ่มตั้งแต่ ๑ เมษายน ๒๕๕๙ ถึง ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ และกำหนดระยะเวลาชำระคืนเงินกู้ให้เสร็จสิ้นไม่เกิน ๑๒ เดือน ทั้งนี้ ไม่เกินวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๐ ๑.๒ ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ตั้งงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่สถาบันเกษตรกร ร้อยละ ๓ จำนวน ๓๐๐ ล้านบาท และค่าใช้จ่ายเบี้ยประกันภัยในอัตราร้อยละ ๐.๕ เป็นเงิน ๕๐ ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๓๕๐ ล้านบาท ทั้งนี้ การเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ โดยให้ ธ.ก.ส. ตั้งงบประมาณตามค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจริงตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยไม่รวมค่าใช้จ่ายชำระคืนเงินต้น ๑.๓ มอบหมายให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ร่วมกับ ธ.ก.ส. ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. สำหรับอัตราค่าใช้จ่ายเบี้ยประกันภัยและรายละเอียดงบประมาณให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ใช้อัตราการคำนวณเดียวกันกับค่าประกันวินาศภัยโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อรวบรวมยางพารา (วงเงินสินเชื่อ ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท) ที่ได้รับอนุมัติจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๗ ในอัตราร้อยละ ๐.๓๖ ภายในกรอบวงเงิน ๓๖ ล้านบาท โดยค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเจียดจ่ายจากงบประมาณปกติ รวมค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นภายในกรอบวงเงิน ๓๓๖ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้ ธ.ก.ส. ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป โดยไม่รวมค่าใช้จ่ายชำระคืนเงินต้น ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ ธ.ก.ส. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งดำเนินการตามมาตรการเสริมต่าง ๆ ของรัฐบาล อาทิ แนวทางการนำยางพาราไปใช้ในการดำเนินโครงการของส่วนราชการ เป็นต้น ซึ่งเป็นแนวทางการเพิ่มมูลค่าการใช้ยางภายในประเทศอีกทางหนึ่ง และยังมีส่วนช่วยให้เกิดการเชื่อมโยงของตลาดรับซื้อผลผลิตกับผู้ประกอบการแปรรูปยางภายในประเทศ ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางเพื่อให้สถาบันเกษตรกรสามารถระบายยางในสต็อกให้เสร็จสิ้นภายในระยะเวลาสิ้นสุดโครงการฯ และสามารถชำระคืนเงินกู้ได้ครบตามกำหนด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
1497 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย พ.ศ. .... | มท | 22/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลท่าชัย ตำบลหนองอ้อ ตำบลสารจิตร และตำบลศรีสัชนาลัย อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงพลังงานเกี่ยวกับการใช้บังคับร่างกฎกระทรวงดังกล่าวอาจมีผลกระทบต่อการดำเนินโครงการตามแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๗๙ แผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๗๙ แผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๗๙ และแผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๗๙ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบแล้วนั้น อย่างไรก็ตามหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้มีคำสั่งที่ ๔/๒๕๕๙ ยกเว้นการใช้บังคับกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมสำหรับการประกอบกิจการบางประเภทให้สามารถดำเนินการได้ ซึ่งกระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างกำหนดหลักเกณฑ์และรายละเอียดของโครงการหรือกิจการที่อยู่ในแผนดังกล่าว เพื่อเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเห็นชอบ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||
1498 | โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด | พม | 22/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการให้เงินอุดหนุนตามโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดโดยให้เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดจนครบอายุ ๓ ปี (๓๖ เดือน) ที่อยู่ในครอบครัวยากจนหรือเสี่ยงต่อความยากจน และดำเนินการโครงการต่อเนื่องสำหรับกลุ่มเป้าหมายใหม่แต่ละปี เป็นเงินรายละ ๖๐๐ บาทต่อเดือน ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ โดยในส่วนของงบประมาณในการดำเนินการ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ประเมินผลสำเร็จจากการดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ในระยะครึ่งปีและสิ้นปีงบประมาณ และเตรียมความพร้อมข้อมูลพื้นฐานในการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของกระทรวงการคลังและกระทรวงสาธารณสุขที่เห็นควรมีการตรวจสอบผู้ได้รับสิทธิ์ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายเดิมทุกปี เพื่อให้การจ่ายเงินอุดหนุนเป็นปัจจุบันและสอดรับกับหลักเกณฑ์ที่ได้กำหนดไว้ และจัดทำระบบการติดตามประเมินผลอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจว่าการดำเนินโครงการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและกลุ่มเป้าหมายได้เข้าถึงโครงการอย่างทั่วถึง รวมทั้งควรมีการสร้างฐานข้อมูลของเด็กที่เข้าร่วมโครงการในระยะยาวเพื่อใช้ในการติดตามผลลัพธ์ของการได้รับเงินอุดหนุนตามโครงการนี้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ประเมินผลในเชิงความคุ้มค่าและผลสัมฤทธิ์จากการดำเนินโครงการดังกล่าวเป็นรายปี แล้วรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย |
|||||||||||||||||||||
1499 | โครงการฝึกอบรมหลักสูตรกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน | มท | 22/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้กรมการปกครอง (วิทยาลัยการปกครอง) ดำเนินการโครงการฝึกอบรมหลักสูตรกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ประกอบด้วย หมวดวิชาอำนาจหน้าที่ของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน (Law Function) หมวดวิชาการเป็นตัวแทนของรัฐบาลในพื้นที่ (Area Manager) หมวดวิชาการเป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้านที่มีคุณธรรม (The good officer) และหมวดกิจกรรมการศึกษาดูงาน (The Best Practice) ระยะเวลาฝึกอบรมไม่น้อยกว่ารุ่นละ ๑๒ วัน โดยให้ปรับเพิ่มเป้าหมายการฝึกอบรมกำนันและผู้ใหญ่บ้าน จากร้อยละ ๕ เป็นร้อยละ ๑๐ ของจำนวนกำนันและผู้ใหญ่บ้านทั้งหมด เพื่อให้กำนันและผู้ใหญ่บ้านสามารถเข้ารับการฝึกอบรมครบถ้วนทุกคนได้อย่างรวดเร็วขึ้น รวมทั้งให้กระทรวงมหาดไทยจัดทำแผนการจัดฝึกอบรมโดยกำหนดเนื้อหาหลักสูตรให้ครอบคลุมสาระสำคัญด้านต่าง ๆ ให้ครบถ้วน เช่น ความรู้ด้านการรักษาความมั่นคง การบริหารราชการแผ่นดิน/การบริหารงบประมาณ และกลไกประชารัฐ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดหลักสูตรให้สอดคล้องกับการแก้ปัญหาและการให้บริการประชาชน เพื่อให้สามารถนำความรู้และประสบการณ์ไปปฏิบัติจริงในพื้นที่ รวมทั้งกำหนดให้มีการติดตามและประเมินผลการฝึกอบรมหลักสูตรดังกล่าวเป็นระยะ ๆ เพื่อนำผลการประเมินดังกล่าวมาประกอบการพิจารณาในการปรับปรุงหลักสูตรการฝึกอบรมให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อไป ตลอดจนเร่งรัดการฝึกอบรมกลุ่มเป้าหมายให้ครบถ้วนภายในระยะเวลาที่เหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการ ทั้งนี้ ในส่วนของงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงมหาดไทยขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
1500 | โครงการบ้านประชารัฐ | กค | 22/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบกรอบการดำเนินโครงการบ้านประชารัฐ โดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารออมสิน และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สนับสนุนสินเชื่อเงื่อนไขผ่อนปรน แบ่งเป็นสินเชื่อเพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย (Pre Finance) และสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Post Finance) สำหรับประชาชนผู้มีรายได้น้อย ระยะเวลาโครงการ ๒ ปี นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ (ระยะเวลาการยื่นความจำนงขอรับสินเชื่อ) ครอบคลุมที่อยู่อาศัยทุกประเภทในราคาไม่เกิน ๑.๕ ล้านบาทต่อหน่วย ทั้งที่อยู่อาศัยที่สร้างใหม่ ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จพร้อมอยู่ ทรัพย์สินรอการขาย (Non-Performing Assets : NPAs) ของสถาบันการเงินและบริษัทบริหารสินทรัพย์ และทรัพย์รอการขายของกรมบังคับคดี ทั้งที่สร้างบนที่ดินของตนเอง ที่ดินของเอกชนผู้ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และที่ดินของรัฐ รวมถึงการซ่อมแซม/ต่อเติมที่อยู่อาศัย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และรับทราบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังเสนอขอถอนเงื่อนไขการดำเนินโครงการฯ เกี่ยวกับการถือครองกรรมสิทธิ์ เพื่อนำไปพิจารณาแนวทางและรูปแบบการดำเนินโครงการฯ บนที่ดินราชพัสดุ และจะนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งในโอกาสต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยกำกับ ติดตาม และประเมินผลการดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล รวมทั้งให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรพิจารณาการปล่อยสินเชื่ออย่างรอบคอบเพื่อมิให้มีผลกระทบต่อสถานะความมั่นคงทางการเงินของธนาคาร และควรมีมาตรการในการกำกับดูแลให้การกำหนดราคาขายอสังหาริมทรัพย์มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับต้นทุนของผู้ประกอบการ มีการคัดกรองผู้เข้าร่วมโครงการให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดไว้ มีกระบวนการบริหารความเสี่ยง การประเมินความเสี่ยง ตลอดจนการคำนวณความเสียหายและติดตามผลกระทบต่อฐานะที่อาจจะเกิดขึ้นต่อธนาคาร และให้ความสำคัญกับความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. เห็นชอบให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์และธนาคารออมสินแยกบัญชีมาตรการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยสำหรับประชาชน (Post Finance) เป็นโครงการตามนโยบายของรัฐบาล (Public Service Account : PSA) และไม่นับรวมหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loans : NPLs) จากการดำเนินโครงการฯ เป็นตัวชี้วัดผลการดำเนินงานของธนาคาร รวมทั้งให้สามารถนำค่าใช้จ่ายในการจัดทำโครงการฯ บวกกลับกำไรสุทธิเพื่อการคำนวณโบนัสพนักงานได้ ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง โดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ และธนาคารออมสิน จะต้องไม่ขอรับการชดเชยงบประมาณสำหรับการดำเนินโครงการฯ ในอนาคต ๔. ให้กระทรวงการคลังกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการให้สินเชื่อในส่วนของมาตรการสินเชื่อเพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย (Pre Finance) ให้ชัดเจนโดยเฉพาะห้ามให้สินเชื่อเพื่อชดใช้หนี้เดิม (refinance) ของโครงการที่อยู่อาศัยที่มีอยู่เดิม ๕. ให้กระทรวงการคลังกำหนดให้ธนาคารที่เข้าร่วมโครงการฯ ประชาสัมพันธ์ และให้ข้อมูลโครงการฯ แก่ประชาชนผู้ขอรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Post Finance) และผู้ประกอบการที่ขอสินเชื่อเพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย (Pre Finance) เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับทุกภาคส่วนในโครงการ ๖. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำรวจจำนวนผู้มีรายได้น้อยที่ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง เพื่อวางแผนการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยในระยะยาว รวมทั้งกำหนดรูปแบบการลงทุนที่เหมาะสมสำหรับการดำเนินโครงการต่อไป ๗. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบที่ดินที่ได้มาจากการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์และไม่ได้ใช้ประโยชน์ รวมทั้งตรวจสอบและดำเนินการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถนำที่ดินดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ในโครงการอื่น ๆ ให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐต่อไป |
.....