ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 72 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 1421 - 1440 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1421 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2558 เรื่อง โครงการส่งเสริมสินเชื่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจร | อก | 05/07/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ เกี่ยวกับระยะเวลาการชำระคืนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ย ตามโครงการส่งเสริมสินเชื่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจร จาก “ให้ชำระคืนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยให้เสร็จสิ้นภายในระยะเวลา ๓ ปี นับแต่ปีที่กู้ยืม” โดยขอแก้ไขเป็น “การกำหนดระยะเวลาการชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้นตามโครงการ แยกตามวัตถุประสงค์การกู้เงิน คือ หากเป็นเงินกู้เพื่อพัฒนาแหล่งน้ำและการบริหารจัดการน้ำในไร่อ้อย กำหนดชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้นไม่เกิน ๔ ปี และหากเป็นเงินกู้เพื่อซื้อเครื่องจักรกลการเกษตร กำหนดชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้นไม่เกิน ๖ ปี” ในกรอบวงเงินสินเชื่อปีละ ๓,๐๐๐ ล้านบาท จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดยใช้จากวงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ของเงินกู้ยืมสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการปลูกอ้อย (เงินเกี๊ยว) เป็นระยะเวลา ๓ ปี โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ยให้ชาวไร่อ้อยผู้กู้ชำระในอัตราร้อยละ ๒ มีโรงงานน้ำตาลเป็นผู้ค้ำประกัน ๑.๒ แนวทางปฏิบัติตามโครงการส่งเสริมสินเชื่อเพื่อการปลูกอ้อยอย่างครบวงจร ซึ่งรวมถึงระยะเวลาโครงการ โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ และสิ้นสุดการจ่ายเงินกู้ตามโครงการ ภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๑ คุณสมบัติของผู้ขอกู้ พื้นที่ดำเนินการ รูปแบบการกู้เงินตามโครงการ หลักประกันเงินกู้ เอกสารประกอบการขออนุมัติโครงการ ขั้นตอนการเข้าร่วมและอนุมัติโครงการ การชำระหนี้เงินกู้ และการติดตามและรายงาน ๑.๓ ให้รัฐบาลรับภาระอัตราดอกเบี้ยส่วนเกินเพื่อให้ชาวไร่อ้อยนำไปพัฒนาการปลูกอ้อยให้มีประสิทธิภาพครบวงจร ภายใต้โครงการส่งเสริมสินเชื่อเพื่อการปลูกอ้อยอย่างครบวงจร ในกรอบวงเงินงบประมาณชดเชยดอกเบี้ยประมาณ ๙๒๒.๕๐ ล้านบาท โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามโครงการ แบ่งเป็น ๑.๓.๑ กรณีกลุ่มผู้กู้เป็นเกษตรกรรายบุคคล ดอกเบี้ยโครงการ=(MRR-๒%) หรือ=๕% โดยเกษตรกรจ่าย ๒% และรัฐชดเชยส่วนต่าง ๓% ๑.๓.๒ กรณีผู้กู้เป็นกลุ่มเกษตรกร ดอกเบี้ยโครงการ=(MLR-๑%) หรือ=๔% โดยเกษตรกรจ่าย ๒% และรัฐชดเชยส่วนต่าง ๒% ๑.๓.๓ กรณีการจัดซื้อเครื่องจักรกลการเกษตร ที่ขยายการให้สินเชื่อเพิ่มเติมในการจัดซื้อรถคีบอ้อย รถแทรกเตอร์ และรถบรรทุกอ้อย เห็นควรให้ขยายสินเชื่อเฉพาะรถคีบอ้อย ส่วนรถแทรกเตอร์และรถบรรทุกอ้อย เห็นควรใช้อัตราดอกเบี้ย (MLR-๑%) หรือ=๔% และรัฐไม่ต้องชดเชยส่วนต่าง เนื่องจากรัฐได้จัดหาแหล่งเงินกู้อัตราดอกเบี้ยต่ำให้แล้ว ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นควรจัดทำประมาณการกรอบวงเงินชดเชยอัตราดอกเบี้ยที่รัฐต้องจัดสรรงบประมาณในแต่ละปีให้ชัดเจน รวมทั้งให้ติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการอย่างใกล้ชิดเพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปตามเป้าหมายและมีประสิทธิภาพมากที่สุด และเมื่อสิ้นสุดโครงการแล้วควรจัดให้มีการวิเคราะห์ความคุ้มค่าของโครงการเพื่อนำผลที่ได้ไปใช้ประกอบการจัดทำโครงการเพื่อสนับสนุนเกษตรกรชาวไร่อ้อยในอนาคต สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการรับภาระอัตราดอกเบี้ยส่วนเกิน ให้ ธ.ก.ส. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามค่าใช้จ่ายจริงเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป และเห็นควรมีการวางแผนด้านการตลาดรองรับผลผลิตที่จะเพิ่มขึ้นและให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาเพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีมูลค่าสูงและมีความหลากหลายนอกเหนือจากผลิตเป็นน้ำตาลทรายเพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่รัฐบาลในการแก้ไขปัญหาราคาน้ำตาลทรายตกต่ำ และบูรณาการการดำเนินการกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการทำเกษตรแบบแปลงใหญ่ นอกจากนี้ ควรมีการกำหนดมาตรการเพื่อไม่ให้มีการขยายพื้นที่การปลูกอ้อยเพิ่มเติม แต่สนับสนุนการลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรรายเดิมเพื่อไม่ให้เป็นภาระของรัฐบาลและกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายในปีงบประมาณต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1422 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 05/07/2559 | |||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ดังนี้
๑. มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมชี้แจงความคืบหน้าการดำเนินงานด้านระบบราง โดยเฉพาะโครงการที่จะมีผลเป็นรูปธรรมในปี ๒๕๕๙ และ ๒๕๖๐ ให้สาธารณชนทราบ โดยให้ชี้แจงในรายละเอียดในประเด็นที่สำคัญต่าง ๆ เช่น เหตุผลความจำเป็นในการดำเนินโครงการ รูปแบบการลงทุนที่ใช้ในการดำเนินโครงการ ความคุ้มค่า และการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาคและท้องถิ่น ๒. ให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย) เร่งรัดการจัดทำแผนการบริหารจัดการทรัพย์สินของการรถไฟแห่งประเทศไทยให้ชัดเจน เกิดประโยชน์สูงสุดแก่องค์กร และสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาประเทศ เช่น การกำหนดหลักเกณฑ์และราคาการให้เช่าที่ดินให้สอดคล้องกับราคาตลาด การพิจารณาให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในการพัฒนาทรัพย์สินเพื่อสนับสนุนกิจการขององค์กรหรือสอดคล้องกับแนวนโยบายของรัฐบาล โดยให้นำแผนดังกล่าวเสนอคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจพิจารณาโดยด่วนต่อไป ๓. ตามที่ได้มีข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๗ และวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๕๘ ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมายควบคุมการผลิตสุรากลั่นชุมชนให้ถูกต้องและปลอดภัยยิ่งขึ้น นั้น เนื่องจากปัจจุบันพบว่า ยังมีผู้ผลิตสุรากลั่นชุมชนโดยไม่ได้รับอนุญาตและดำเนินการอย่างไม่ถูกสุขลักษณะ และก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของผู้ดื่ม ก่อให้เกิดปัญหาน้ำเสีย รวมทั้งผลกระทบในด้านอื่น ๆ อีกด้วย เช่น อุบัติเหตุ การก่อเหตุทะเลาะวิวาท จึงให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ให้เกิดเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ให้ทันในช่วงวันหยุดราชการในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๙ เป็นต้นไป และให้กำกับดูแลการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่องด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
1423 | โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor Development) | นร11 | 28/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบหลักการโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor Development) ให้เป็นเขตเศรษฐกิจชั้นนำของอาเซียน เพื่อส่งเสริม ๑๐ อุตสาหกรรมเป้าหมายให้เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต (New Engine of Growth) โดยมีกรอบแนวคิดในการดำเนินโครงการ ดังนี้ ๑.๑ พื้นที่ดำเนินการ โดยดำเนินการใน ๓ จังหวัดภาคตะวันออก ได้แก่ จังหวัดชลบุรี จังหวัดระยอง และจังหวัดฉะเชิงเทรา แบ่งเป็นเขตอุตสาหกรรม เขตพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และเขตพัฒนาเมือง ๑.๒ การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ประกอบด้วย ทางอากาศ ได้แก่ ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา ทางเรือ ได้แก่ ท่าเรือพาณิชย์สัตหีบ ท่าเรือแหลมฉบัง และท่าเรือมาบตาพุด ทางถนน ได้แก่ ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง กรุงเทพฯ-ชลบุรี พัทยา-มาบตาพุด และแหลมฉบัง-นครราชสีมา และทางราง ได้แก่ รถไฟทางคู่ ช่วงฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย และช่วงกรุงเทพฯ-ระยอง ๑.๓ การดึงดูดการลงทุนจากภาคเอกชน ประกอบด้วย การให้สิทธิประโยชน์แก่นักลงทุนเพิ่มขึ้นจากเดิม การจัดตั้งกองทุนพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ การจัดตั้งศูนย์บริการเบ็ดเสร็จการลงทุน (One Stop Service) การอำนวยความสะดวกในการอนุมัติเรื่องการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อมและผังเมือง ความรวดเร็วในการออกใบอนุญาต การประกาศเป็นเขตปลอดภาษี การจัดหาที่ดินและระยะเวลาเช่าที่ดิน ระยะเวลาพำนักและทำงานของนักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ สิทธิในการทำธุรกรรมทางการเงิน การใช้เงินตราต่างประเทศ การจัดตั้งศูนย์ธุรกรรมการเงิน และการจัดตั้งกองทุนในพื้นที่ร่วมกับชุมชนในท้องถิ่น ๒. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ร่วมกับกระทรวงคมนาคม กองทัพเรือ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดทำแผนการดำเนินโครงการและงบประมาณค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๑ ให้แล้วเสร็จภายใน ๓ เดือน เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยให้มีรายละเอียดครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ ๒.๑ การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านการขนส่งที่เชื่อมโยงทั้งระบบ ด้านพลังงาน ด้านสาธารณูปโภคและสาธารณูปการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งด้านการวิจัยและพัฒนา ๒.๒ แผนดำเนินการด้านผังเมืองและการใช้ประโยชน์ที่ดิน แผนบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการขยะ และมลภาวะต่าง ๆ ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมและประชาชนในพื้นที่ด้วย ๒.๓ กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนและดึงดูดการลงทุนจากภาคเอกชน โดยเฉพาะการให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษี สิทธิการเช่าที่ดิน และการจัดหาแรงงาน รวมทั้งการจัดตั้งศูนย์บริการเบ็ดเสร็จการลงทุน (One Stop Service) เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนในการขออนุมัติอนุญาตการประกอบกิจการและให้สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ๒.๔ แผนการพัฒนาศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน |
||||||||||||||||||||||||
1424 | รายงานผลความคืบหน้าของการดำเนินการตามโครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ (ครั้งที่ 2) | มท | 28/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลความคืบหน้าของการดำเนินการตามโครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ (ครั้งที่ ๒) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินโครงการ ข้อมูล ณ วันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๙ จำนวนโครงการจังหวัดและสำนักงานจัดทำงบประมาณเขตพื้นที่ ๑-๑๘ เห็นชอบแผน/รายงานผลการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๙ แล้ว จำนวน ๘๕,๔๔๔ โครงการ คิดเป็นร้อยละ ๑๐๐ จำนวนบัญชีที่จังหวัดโอนเงินเข้าบัญชีตามงบประมาณที่สำนักงานจัดทำงบประมาณเขตพื้นที่ ๑-๑๘ เห็นชอบแผน/รายงานผลการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณฯ แล้ว จำนวน ๗๔,๕๘๘ หมู่บ้าน คิดเป็นร้อยละ ๑๐๐ ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการตามโครงการที่หมู่บ้านเสนอขอและได้รับอนุมัติและเห็นชอบแล้ว จำนวน ๘๕,๔๔๔ โครงการ คิดเป็นร้อยละ ๑๐๐ ๒. ผลการดำเนินการที่สามารถดำเนินการได้ก่อนกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ในขั้นตอน คือ จำนวนโครงการที่ดำเนินการแล้วเสร็จและดำเนินการเบิกจ่ายเงินแล้ว จำนวน ๑,๗๑๕ โครงการ งบประมาณเบิกจ่ายทั้งสิ้น ๒๘๙,๑๙๑,๘๐๙ บาท ๓. ประเภทของโครงการของหมู่บ้าน แยกเป็น ๓ ประเภท คือ ด้านเศรษฐกิจ จำนวน ๔,๓๐๓ โครงการ ด้านสังคม จำนวน ๑,๒๐๒ โครงการ และด้านสาธารณประโยชน์ จำนวน ๗๙,๗๗๐ โครงการ ๔. ข้อมูลรายละเอียดโครงการ ประกอบด้วย โครงการประเภทหมู่บ้านจ้างเหมา จำนวน ๖๕,๒๘๖ โครงการ งบประมาณ ๑๑,๔๙๒,๗๖๖,๘๑๔ บาท และโครงการประเภทหมู่บ้านดำเนินการ จำนวน ๑๙,๙๘๙ โครงการ งบประมาณ ๓,๓๘๓,๔๒๑,๕๙๗ บาท
|
||||||||||||||||||||||||
1425 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 28/06/2559 | |||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ โดยที่พระราชบัญญัติล้มละลาย (ฉบับที่ ๙) พ.ศ. ๒๕๕๙ ได้มีการแก้ไขเกี่ยวกับการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ให้ครอบคลุมลูกหนี้ที่ประกอบธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อให้มีโอกาสฟื้นฟูกิจการและไม่ต้องตกเป็นบุคคลล้มละลาย นั้น ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงยุติธรรมหารือร่วมกันเพื่อกำหนดมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ประสบปัญหาทางการเงินและประสบภาวะล้มละลายเพื่อให้สามารถฟื้นฟูกิจการของตนเองได้ รวมทั้งให้กำหนดมาตรการเพื่อการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนด้วย ๑.๒ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๙ และ ๑๙ เมษายน ๒๕๕๙ รับทราบกรอบการดำเนินโครงการประชารัฐ และโครงการประชารัฐบนที่ดินราชพัสดุ (โครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ) นั้น ให้กระทรวงการคลังกำกับดูแลการดำเนินโครงการดังกล่าวให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ อย่างเคร่งครัด ๒. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ให้กระทรวงยุติธรรมร่วมกับสำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากฎหมายเกี่ยวกับการให้บริการภาครัฐเพื่ออำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (Doing Business) ซึ่งมีผลต่อการจัดอันดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจของธนาคารโลก เช่น กฎหมายว่าด้วยหลักประกันทางธุรกิจ กฎหมายล้มละลาย ที่ประกาศใช้บังคับแล้วว่ามีบทบัญญัติ กฎ หรือระเบียบใดที่เป็นอุปสรรคในการประกอบธุรกิจหรือทำให้การบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวไม่เกิดประสิทธิภาพเท่าที่ควร เช่น การไม่สามารถใช้บังคับกับทรัพย์สินที่อยู่ในต่างประเทศ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงกฎหมายดังกล่าวให้เร่งดำเนินการเพื่อให้มีผลใช้บังคับโดยเร็วต่อไป ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) ร่วมกับกระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการกำกับดูแลการก่อสร้างเส้นทางจราจร หรือทางเดินเท้าในบริเวณพื้นที่มีต้นไม้ใหญ่เป็นจำนวนมาก เพื่อให้การก่อสร้างดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อต้นไม้ในบริเวณนั้น รวมทั้งให้พิจารณาจัดหารุกขกรเพื่อมาทำหน้าที่ในการดูแลรักษาและตัดแต่งต้นไม้ใหญ่ให้เป็นไปตามหลักวิชาการต่อไปด้วย ทั้งนี้ ให้เร่งดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายใน ๓ เดือน ๓.๒ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดทำดัชนีผลงานรัฐบาล (Government Performance Index) เพื่อประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนเกี่ยวกับผลการบริหารราชการแผ่นดินที่ผ่านมาของรัฐบาลในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม กฎหมาย การต่างประเทศ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้นำเสนอดัชนีผลงานรัฐบาลดังกล่าวในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแล้ว นั้น ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาปรับปรุงรูปแบบการนำเสนอให้สามารถเข้าใจได้ง่ายขึ้นและนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งในสัปดาห์ต่อไป ๓.๓ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ชะลอเรื่องหลักการการแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารไว้ก่อน
|
||||||||||||||||||||||||
1426 | รายงานผลการเดินทางไปราชการ ณ กรุงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว | รง | 28/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับรายงานผลการเดินทางไปราชการ ณ กรุงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและคณะ เพื่อเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน ครั้งที่ ๒๔ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง [the 24th ASEAN Labour Ministers Meeting (ALMM) and Related Meetings] ระหว่างวันที่ ๑๔-๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๙ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. การประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน ครั้งที่ ๒๔ (24th ALMM) เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ที่ประชุมให้การรับรอง (๑) เอกสารอาเซียน มีสาระสำคัญเกี่ยวกับ หลักการเกี่ยวกับแนวทางอาเซียนสำหรับการรับรองคุณวุฒิและการยอมรับระบบรับรองสมรรถนะ กรอบคุณวุฒิอ้างอิงอาเซียน : ธรรมาภิบาลและโครงสร้าง เอกสารเกี่ยวกับแนวทางอาเซียนสำหรับความรับผิดชอบทางสังคมด้านแรงงาน เอกสารแนวทางอาเซียนเกี่ยวกับการปฏิบัติที่จำเป็นสำหรับสถานประกอบการด้านการป้องกันและการบริหารจัดการเกี่ยวกับเชื้อเอชไอวีเอดส์ ปฏิญญาเวียงจันทน์ว่าด้วยการเปลี่ยนผ่านจากการจ้างงานนอกระบบไปสู่การจ้างงานในระบบเพื่อมุ่งสู่การส่งเสริมงานที่มีคุณค่าในอาเซียน (๒) แผนงานอาเซียนด้านแรงงาน มีสาระสำคัญเกี่ยวกับ แผนงานรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน ๒๐๑๖-๒๐๒๐ แผนงานคณะทำงานอาวุโสแรงงานอาเซียนว่าด้วยแนวปฏิบัติด้านแรงงานที่ก้าวหน้าเพื่อเสริมสร้างความสามารถทางการแข่งขัน ๒๐๑๖-๒๐๒๐ ร่างแผนงานคณะกรรมการอาเซียนว่าด้วยการปฏิบัติให้เป็นไปตามปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิของแรงงานต่างด้าว ๒๐๑๖-๒๐๒๐ และแผนปฏิบัติการเครือข่ายด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยอาเซียน ทั้งนี้ มาเลเซียจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน ครั้งที่ ๒๕ ในปี พ.ศ. ๒๕๖๑ ๒. การประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน+๓ ครั้งที่ ๙ (9th ASEAN Plus Three Labour Ministers Meeting : 9th ALMM+3) เมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๙ โดยมีสาระสำคัญ (๑) ที่ประชุมได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นต่อหัวข้อหลักของการประชุม และร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายและแนวปฏิบัติของแต่ละประเทศในการส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านจากการจ้างงานนอกระบบไปสู่การจ้างงานในระบบ การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน และประเทศบวกสามในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ แนวปฏิบัติที่ดี รวมทั้งการส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (๒) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานของไทยได้กล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุมเกี่ยวกับการให้ความสำคัญกับการคุ้มครองแรงงานนอกระบบ การส่งเสริมให้แรงงานนอกระบบเข้าสู่การเป็นแรงงานในระบบ รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการต่าง ๆ เช่น การจัดตั้งคณะกรรมการทั้งในระดับชาติ ระดับจังหวัด การดำเนินโครงการประชารัฐ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม การจัดตั้งกองทุนสำหรับผู้รับงานไปทำที่บ้าน และโครงการประกันสังคมแบบสมัครใจ เป็นต้น (๓) รัฐมนตรีแรงงานอาเซียน+๓ รับทราบสถานะความร่วมมืออาเซียน-จีน เป็นความร่วมมือในการช่วยเหลือประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ความร่วมมือด้านการประกันสังคม และการจ้างงาน ความร่วมมืออาเซียน-ญี่ปุ่น เป็นความร่วมมือด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน และการพัฒนาอาชีวศึกษา ความร่วมมืออาเซียน-เกาหลีใต้ เป็นความร่วมมือด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการอาชีวศึกษา การโยกย้ายถิ่นฐาน ทั้งนี้ มาเลเซียจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน+๓ ครั้งที่ ๑๐ ในปี พ.ศ. ๒๕๖๑
|
||||||||||||||||||||||||
1427 | รายงานผลการดำเนินงาน "ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้" | ศธ | 28/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการรายงานผลการดำเนินงาน “ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้” ระหว่างเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๘-พฤษภาคม ๒๕๕๙ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ พฤติกรรมของนักเรียนที่เข้าร่วมกิจกรรม 4 H ได้แก่ Head พัฒนาด้านสมอง ทักษะการคิด heart พัฒนาด้านจิตใจ คุณธรรม จริยธรรม Hand พัฒนาด้านทักษะการปฏิบัติ การทำงาน และ Health พัฒนาด้านสุขภาพ พบว่า นักเรียนมีน้ำใจต่อกัน มีความสามัคคีจากการที่ได้ทำงานเป็นกลุ่ม นักเรียนค้นพบความถนัดและความสามารถของตนเอง รวมทั้งมีความรับผิดชอบในบทบาทหน้าที่ของตนเองและมีความสุขกับการมาโรงเรียน ๑.๒ การเปรียบเทียบผลการทดสอบ O-NET ระหว่างโรงเรียนที่เข้าร่วมและโรงเรียนที่ไม่เข้าร่วมโครงการ “ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้” โดยระดับประถมศึกษาปีที่ ๖ พบว่า โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการจะมีผลการสอบสูงกว่าโรงเรียนที่ไม่เข้าร่วมโครงการทุกรายวิชา (ภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา และภาษาอังกฤษ) สำหรับระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ พบว่า โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการจะมีผลการสอบสูงกว่าโรงเรียนที่ไม่เข้าร่วมโครงการ ๔ รายวิชา ยกเว้นวิชาภาษาอังกฤษ มีผลการสอบต่ำกว่าโรงเรียนที่ไม่เข้าร่วมโครงการ ร้อยละ ๐.๐๗ ๒. ในการประเมินผลระยะต่อไป ให้กระทรวงศึกษาธิการประเมินผลความพึงพอใจและผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการ “ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้” ให้ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งเด็กนักเรียน ครู ผู้ปกครอง โรงเรียน รวมทั้งให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการดำเนินการส่งเสริมทักษะของนักเรียนในการอ่าน คิด เขียน และพูดให้เพิ่มมากยิ่งขึ้นด้วย ๓. ตามที่กระทรวงศึกษาธิการมีแนวทางการบริหารจัดการสถานศึกษา โดยการดำเนินการควบรวมโรงเรียนขนาดเล็กเพื่อแก้ไขปัญหาโรงเรียนที่มีจำนวนครูและนักเรียนน้อย และนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาสนับสนุนการจัดการเรียนการสอน นั้น ให้กระทรวงศึกษาธิการสร้างการรับรู้ สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายดังกล่าวต่อสาธารณชนด้วย ๔. โดยที่คะแนนเฉลี่ยของนักเรียนไทยตามโครงการประเมินผลนักเรียนร่วมกับนานาชาติ (PISA) มีระดับคะแนนต่ำกว่านักเรียนของหลายประเทศในอาเซียน จึงให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยด่วน
|
||||||||||||||||||||||||
1428 | โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อปรับเปลี่ยนเครื่องจักรและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต สำหรับผู้ประกอบกิจการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) | กค | 28/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อปรับเปลี่ยนเครื่องจักรและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต สำหรับผู้ประกอบกิจการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) โดยธนาคารออมสินให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่เข้าร่วมโครงการฯ และธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่เข้าร่วมโครงการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบกิจการ SMEs เฉพาะการปล่อยสินเชื่อใหม่ วงเงินรวมทั้งโครงการ ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับการชดเชยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยให้กับธนาคารออมสินนั้น ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยกำหนดอัตราการชดเชยเท่ากับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๖ เดือน ของธนาคารออมสิน บวกร้อยละ ๑.๘๕ รวมไม่เกิน ร้อยละ ๓ ซึ่งครอบคลุมต้นทุนทางการเงินของธนาคารออมสิน และมีผลทำให้เกิดภาระงบประมาณที่รัฐบาลจะต้องชดเชยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยให้กับธนาคารออมสิน ภายในกรอบวงเงิน ๖,๓๐๐ ล้านบาท ในระยะเวลา ๗ ปี โดยให้ธนาคารออมสินเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละปีงบประมาณ ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับการพิจารณากำหนดวงเงินสินเชื่อต่อรายเพื่อให้โครงการฯ สามารถกระจายวงเงินสินเชื่อได้อย่างทั่วถึง รวมถึงธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่เข้าร่วมโครงการฯ ควรพิจารณาให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการที่ไม่เคยเข้าร่วมโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำของภาครัฐมาก่อนเป็นลำดับแรก เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการ SEMs ให้ทั่วถึงมากยิ่งขึ้น การให้ความสำคัญกับการให้สินเชื่อในอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้หลักให้แก่ประเทศ หรืออุตสาหกรรมที่คาดว่าจะมีการเจริญเติบโตดีในอนาคต การบูรณาการโครงการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบกิจการ SMEs ที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน การขยายวัตถุประสงค์การกู้ยืมให้ครอบคลุมถึงการนำนวัตกรรมมาปรับปรุงสินค้าหรือบริการให้เป็นที่ต้องการของตลาดมากยิ่งขึ้น การจัดให้มีการค้ำประกันโดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมในลักษณะเดียวกันกับ Soft Lone ๑๕๐,๐๐๐ ล้านบาทที่คณะรัฐมนตรีได้เคยอนุมัติให้ดำเนินการไปแล้ว รวมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบกิจการ SMEs รับทราบรายละเอียดโครงการฯ อย่างทั่วถึง และระบุเจตนารมณ์ของการดำเนินโครงการฯ ให้ชัดเจน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังจัดทำรายงานผลสัมฤทธิ์การดำเนินโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำที่ผ่านมา เช่น โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Policy Loan) โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนให้แก่ผู้ประกอบกิจการ SMEs เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
1429 | กรอบนโยบายการแก้ไขปัญหาการลักลอบตัดไม้พะยูง และโครงการแก้ไขปัญหาการลักลอบตัดไม้พะยูงบริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา ระดับประเทศ (ฝ่ายไทย) | ทส | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินงานของคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการลักลอบตัดไม้พะยูงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ระดับประเทศ (ฝ่ายไทย) โดยได้มีการประชุมคณะกรรมการฯ รวม ๕ ครั้ง เพื่อกำหนดกรอบนโยบายการแก้ไขปัญหาการลักลอบตัดไม้พะยูงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จำนวน ๖ ข้อ ได้แก่ (๑) เพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันการลักลอบตัดไม้พะยูงบริเวณชายแดน (๒) เพิ่มประสิทธิภาพของการปราบปรามการลักลอบตัดไม้พะยูง (๓) เสริมสร้างและประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในระดับจังหวัดชายแดนไทยกับจังหวัดชายแดนกัมพูชาในการลาดตระเวน (๔) ส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาพื้นที่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา (๕) ส่งเสริมความร่วมมือและประสานงานทั้งในระดับภูมิภาคและระดับระหว่างประเทศ และ (๖) ในการดำเนินการใด ๆ ของฝ่ายไทยและกัมพูชา ทั้งสองประเทศจะคำนึงถึงหลักการของอำนาจอธิปไตย สิทธิมนุษยชน และกฎหมายระหว่างประเทศ นอกจากนี้ได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการลักลอบตัดไม้พะยูงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ระดับจังหวัด จำนวน ๗ จังหวัด ที่มีพื้นที่ติดต่อกับประเทศกัมพูชา กำหนดกรอบการลาดตระเวนโดยมีการประสานงาน (Coordinated Patrol) สำหรับลาดตระเวน รวมทั้งพิจารณางบประมาณสำหรับการดำเนินการแก้ไขการลักลอบตัดไม้พะยูงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ๑.๒ เห็นชอบกรอบนโยบายแก้ไขปัญหาการลักลอบตัดไม้พะยูงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษ สำหรับใช้เป็นกรอบการหารือในการประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการลักลอบตัดไม้พะยูงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ร่วมระดับประเทศกับฝ่ายกัมพูชา ๑.๓ เห็นชอบให้คณะผู้แทนไทยหารือกับฝ่ายกัมพูชาตามประเด็นที่อยู่ในกรอบการหารือเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาการลักลอบตัดไม้พะยูงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ของทั้งสองฝ่าย หากที่ประชุมได้ตกลงกันนอกเหนือจากกรอบการหารือตามที่คณะรัฐมนตรีได้เคยอนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไว้และการตกลงดังกล่าวจะเกิดเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหารือกระทรวงการต่างประเทศเพื่อให้ความเห็นชอบ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในการดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาการลักลอบตัดไม้พะยูงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ระดับประเทศ (ฝ่ายไทย)ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการจัดทำแผนงาน/โครงการรองรับตามผลการประชุมคณะกรรมการดังกล่าว และใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ภายใต้แผนบูรณาการเรื่องการรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากรธรรมชาติและแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินที่ได้รับจัดสรรจากงบประมาณ จำนวนทั้งสิ้น ๒,๑๓๗.๑๐๓๘ ล้านบาท ก่อนในโอกาสแรก หากไม่เพียงพอให้เสนอขอรับการจัดสรรจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ซึ่งได้รับความเห็นชอบในหลักการจากนายกรัฐมนตรีแล้ว ส่วนในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป รวมทั้งการดำเนินการตามมาตรา ๒๓ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงกรอบนโยบายการแก้ไขปัญหาการลักลอบตัดไม้พะยูงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้โดยนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1430 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554 เรื่อง การแก้ไขปัญหาเกษตรกรผู้ยากจนและไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง | อื่นๆ | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง การแก้ไขปัญหาเกษตรกรผู้ยากจนและไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง) และให้สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) นำเงินงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรแล้ว จำนวน ๖๙๐,๒๐๐,๐๐๐ บาท ไปดำเนินโครงการ จำนวน ๕ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการศึกษากระบวนการดำเนินงานของธนาคารที่ดิน (๒) โครงการแก้ไขปัญหาเกษตรกรและผู้ยากจนซึ่งมีปัญหาจะสูญเสียสิทธิในที่ดินจากปัญหาการจำนองและขายฝาก (๓) โครงการนำร่องธนาคารที่ดินในพื้นที่นำร่อง ๕ ชุมชน (๔) โครงการต้นแบบการบริหารจัดการที่ดินแบบครบวงจร และ (๕) โครงการศึกษาวิจัยระบบข้อมูลเพื่อการบริหารจัดการที่ดิน ตามมติคณะกรรมการสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๙ ๑.๒ ให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง การแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม กรณีการดำเนินโครงการนำร่องธนาคารที่ดิน ในพื้นที่นำร่อง ๕ ชุมชน) จากเดิม “๑. รับทราบและเห็นชอบในหลักการการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม กรณีการดำเนินโครงการนำร่องธนาคารที่ดิน ในพื้นที่นำร่อง ๕ ชุมชน ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ทั้งนี้ ให้สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) กระทรวงการพัฒนาและสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เร่งดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมาย โดยประสานรายละเอียดเกี่ยวกับงบประมาณในการดำเนินการกับสำนักงบประมาณ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป” เป็น “๑. มอบหมายให้สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินโครงการนำร่องธนาคารที่ดิน ในพื้นที่นำร่อง ๕ ชุมชน” ๒. ให้สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงยุติธรรม สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในประเด็นโครงการนำร่องธนาคารที่ดินในพื้นที่นำร่อง ๕ ชุมชน นั้น ให้กำหนดหลักเกณฑ์การช่วยเหลือบนหลักความเป็นธรรมและความเสมอภาค คำนึงถึงการแก้ไขปัญหาของพื้นที่อื่น ๆ และติดตามผลการดำเนินงานของสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ก่อนกำหนดกิจกรรมและงบประมาณที่จะดำเนินการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) จัดทำแผนปฏิบัติการตามกรอบระยะเวลาการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล (ถึงเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐) ทั้งนี้ กิจกรรมใดที่เป็นการดำเนินการซึ่งเกินกว่ากรอบระยะเวลาการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ให้นำเรื่องดังกล่าวบรรจุไว้ในแผนปฏิรูป เพื่อให้รัฐบาลชุดต่อไปที่จะเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินพิจารณาดำเนินการต่อไป เพื่อให้เป็นไปตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๙ (เรื่อง การเสนอโครงการที่ต้องขออนุมัติงบประมาณจากคณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี) แล้วนำเสนอคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบ และรายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
1431 | ขออนุมัติแผนงานโครงการพัฒนาแหล่งน้ำและการเพิ่มประสิทธิภาพแหล่งน้ำ เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ และการใช้เงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบ บริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน | กษ | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติโครงการพัฒนาแหล่งน้ำและการเพิ่มประสิทธิภาพแหล่งน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ จำนวน ๓๕ รายการ งบประมาณรวมทั้งสิ้น ๑,๔๐๖.๔๑ ล้านบาท และการขอใช้เงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน ในส่วนที่คงเหลือจากกรอบงบประมาณที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๘ จำนวน ๑,๔๐๖.๔๑ ล้านบาท มาเพื่อใช้ดำเนินโครงการดังกล่าว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเกี่ยวกับการดำเนินโครงการและการใช้จ่ายเงินกู้ให้ปฏิบัติตามขั้นตอนของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๘ และหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินกู้ตามระเบียบดังกล่าวอย่างเคร่งครัด รวมทั้งปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประชาชนที่จะได้รับเป็นสำคัญ ตลอดจนเร่งรัดการดำเนินโครงการและการเบิกจ่ายเงินกู้โครงการเงินกู้ฯ ที่ได้รับอนุมัติเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๘ ให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาการดำเนินโครงการ และเห็นควรเร่งรัดโครงการทั้ง ๓๕ รายการ ให้ดำเนินการทำข้อผูกพันงบประมาณภายในไตรมาส ๔ ของปีงบประมาณ ๒๕๕๙ เพื่อช่วยแก้ไขความเดือดร้อนของประชาชนได้อย่างทันการณ์ ให้มีกระบวนการคัดเลือกผู้ประกอบการที่มีขีดความสามารถในการดำเนินการได้จริงภายในระยะเวลาที่กำหนด และควรเป็นหน่วยงานราชการหรือผู้ประกอบการในพื้นที่ โดยไม่มีการจ้างช่วงต่อเพื่อให้เกิดการกระจายงานให้สำเร็จได้ทันตามกำหนดตามแผนงาน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. โดยที่โครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๐ ดังนั้น ในอนาคตหากหน่วยงานเจ้าของโครงการมีวงเงินคงเหลือจากการจัดสรรและมีความจำเป็นต้องดำเนินโครงการเพิ่มเติม ให้หน่วยงานขอใช้จากแหล่งเงินอื่นต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง |
||||||||||||||||||||||||
1432 | ผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานและสนับสนุนงานโครงการหลวง (กปส.) ครั้งที่ 1/2559 | สวพส. | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่คณะกรรมการประสานงานและสนับสนุนงานโครงการหลวงเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานและสนับสนุนโครงการหลวง ครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๙ ซึ่งที่ประชุมรับทราบผลการดำเนินงาน ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ และรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานสำคัญในการสนับสนุนงานโครงการหลวง รวมทั้งเห็นชอบในหลักการ (ร่าง) แผนแม่บท ระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) และคำของบประมาณของหน่วยงานต่าง ๆ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ๑.๒ รับทราบกรอบคำของบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๐ ที่สนับสนุนศูนย์พัฒนาโครงการหลวง จำนวน ๓๘ แห่ง จำนวน ๑,๗๐๔,๔๔๖,๖๔๐ บาท และโครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวง จำนวน ๒๙ แห่ง จำนวน ๔๙๙,๗๓๙,๕๕๑ บาท ซึ่งหน่วยงานได้ส่งกรอบคำขอตั้งงบประมาณให้สำนักงบประมาณพิจารณาแล้ว และสำนักงบประมาณได้พิจารณาสนับสนุนงบประมาณให้ตามความเหมาะสม และได้ปรับปรุงโครงสร้างแผนงานตามยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ในส่วน “แผนงานยุทธศาสตร์สนับสนุนการพัฒนาโครงการหลวง” โดยให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมสนับสนุนการดำเนินโครงการตามแผนงานดังกล่าวด้วย ๑.๓ เห็นชอบแผนแม่บทศูนย์พัฒนาโครงการหลวง ระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) กรอบงบประมาณรวม ๕,๘๔๗,๙๙๗,๖๗๓ บาท และแผนแม่บทโครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวง ระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) กรอบงบประมาณรวม ๓,๐๙๐,๒๔๐,๙๗๙ บาท ๒. ให้ยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๒๑ (เรื่อง ขออนุมัติในหลักการให้สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติเป็นผู้ตรวจสอบโครงการวิจัย) สำหรับโครงการและแผนงานวิจัยตามแผนแม่บทศูนย์พัฒนาโครงการหลวง ระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) และแผนแม่บทโครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวง ระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) ๓. ให้สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้ความสำคัญในการผลักดันกิจกรรมต่าง ๆ ภายใต้โครงการที่กำหนดไว้ในแผนแม่บทฯ ไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะด้านการฟื้นฟูและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมีการติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง การเพิ่มเติมรายละเอียดมาตรการควบคุมและป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและการแพร่กระจายของมลพิษจากกิจกรรมต่าง ๆ การเพิ่มเติมมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดและรุกรานของชนิดพันธุ์ต่างถิ่นในพื้นที่ดำเนินการ โดยเฉพาะการเฝ้าระวังและป้องกันไม่ให้มีการนำเข้าชนิดพันธุ์พืชและสัตว์ต่างถิ่นที่อาจส่งผลกระทบต่อชนิดพันธุ์ดั้งเดิม การเพิ่มเติมโครงการ/กิจกรรมด้านการเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจในความสำคัญของพื้นที่ต้นน้ำลำธารให้กับประชาชนในพื้นที่ การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนด้านการอนุรักษ์และฟื้นฟูดิน น้ำ และทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบริเวณพื้นที่ต้นน้ำลำธาร ผ่านการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่น การจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม การให้ความสำคัญกับการบูรณาการการทำงานร่วมกันของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด โดยยึดพื้นที่เป็นเป้าหมาย การแก้ไขปัญหาการบุกรุกทำลายป่าและปัญหายาเสพติดควบคู่ไปกับการพัฒนาอาชีพของประชาชนบนพื้นที่สูง รวมทั้งการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรในรูปแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง โดยลดการใช้หรือหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีทางการเกษตร ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1433 | การดำเนินการเกี่ยวกับการประชุมสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | นร | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติจะมีการประชุมเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๙ นั้น เพื่อให้การชี้แจงของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ รวมทั้งการขับเคลื่อนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เห็นควรให้มีการดำเนินการ ดังนี้
๑. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติวิเคราะห์ความสอดคล้องของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ กับแผนการลงทุนภาครัฐตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) และจัดทำข้อมูลส่งให้นายกรัฐมนตรีโดยด่วนเพื่อใช้ประกอบการชี้แจงต่อที่ประชุมดังกล่าวต่อไป ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติกำหนดกลไกหรือระบบติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการสำคัญของรัฐบาลพร้อมทั้งงบประมาณที่นำไปใช้ว่า แต่ละโครงการบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้หรือไม่ โดยให้คำนึงถึงความสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) และยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ ๒๐ ปีด้วย ทั้งนี้ อาจนำกลไกที่มีอยู่ เช่น คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมาใช้ก็ได้
|
||||||||||||||||||||||||
1434 | คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 26/2559 เรื่อง การจัดหาที่ดินเพื่อใช้ในการดำเนินโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อแก้ไขปัญหา การบุกรุกลำน้ำสาธารณะ และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 27/2559 เรื่องมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน จากการจุดและปล่อยบั้งไฟ พลุ ตะไล โคมลอย โคมไฟ โคมควัน หรือวัตถุอื่นใดที่คล้ายกัน | สลธ.คสช. | 14/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวม ๒ ฉบับ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๖/๒๕๕๙ เรื่อง การจัดหาที่ดินเพื่อใช้ในการดำเนินโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อแก้ไขปัญหาการบุกรุกลำน้ำสาธารณะ สั่ง ณ วันที่ ๑๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๙ ๒. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๗/๒๕๕๙ เรื่อง มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนจากการจุดและปล่อยบั้งไฟ พลุ ตะไล โคมลอย โคมไฟ โคมควัน หรือวัตถุอื่นใดที่คล้ายคลึงกัน สั่ง ณ วันที่ ๑๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๙
|
||||||||||||||||||||||||
1435 | แผนปฏิบัติการ พ.ศ. 2559 - 2561 ภายใต้แผนงานทันตสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุประเทศไทย พ.ศ. 2558 - 2565 | สธ | 14/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการแผนปฏิบัติการ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๑ ภายใต้แผนงานทันตสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ ระยะที่ ๑ (ปีงบประมาณ ๒๕๕๙-๒๕๖๑) ประกอบด้วย ๔ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (๑) การพัฒนารูปแบบบริการระบบบริการ คุณภาพบริการ การเข้าถึงบริการด้านทันตสุขภาพของผู้สูงอายุ (๒) การศึกษาวิจัยและพัฒนานวัตกรรมเพื่อสุขภาพช่องปากผู้สูงอายุ (๓) การพัฒนาบุคลากรและหลักสูตรด้านทันตกรรมผู้สูงอายุ และ (๔) การบริหารจัดการ การพัฒนาระบบฐานข้อมูล การติดตามประเมินผลการดำเนินงานเพื่อให้มีระบบบริหารจัดการที่ดี ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒. สำหรับงบประมาณในการดำเนินงานให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ส่วนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และ พ.ศ. ๒๕๖๑ เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อดำเนินการและเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการดังกล่าวตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนแต่ละกลุ่ม รวมทั้งผู้สูงอายุได้รับทราบสิทธิประโยชน์ของตนเอง การประชาสัมพันธ์หน่วยบริการทันตกรรมที่มีศักยภาพและความสามารถในการจัดบริการเฉพาะทางให้ประชาชนทุกช่วงวัยทราบ เพื่อให้ได้มีโอกาสเข้าถึงบริการด้านทันตกรรมและทันตสาธารณสุขเพิ่มมากขึ้น การนำแผนไปสู่การปฏิบัติต้องมีการบูรณาการการทำงานร่วมกันเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในการดำเนินโครงการ กิจกรรม ที่หน่วยงานนั้น ๆ ดำเนินการอยู่แล้ว เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าคุ้มทุนและเป็นการประหยัดงบประมาณแผ่นดิน การดำเนินการร่วมกันระหว่างสถานพยาบาลภาครัฐทุกสังกัดและภาคเอกชนในแต่ละเขตสุขภาพ เพื่อก่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรร่วมกันในการจัดบริการและเพิ่มประสิทธิภาพการเข้าถึงบริการทันตสุขภาพของผู้สูงอายุ การกำหนดตัวชี้วัดที่สะท้อนผลสัมฤทธิ์ด้านการส่งเสริมป้องกันการเกิดโรค นอกจากการเข้าถึงบริการการรักษา อาทิ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลช่องปากของผู้สูงอายุ และภาวะโภชนาการที่สัมพันธ์กับสุขภาพช่องปากของผู้สูงอายุ เพื่อนำไปสู่การปรับแผนปฏิบัติการฯ ในระยะที่สองได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการบูรณาการขั้นตอนและการดำเนินงานให้ครอบคลุมทั้งระบบสวัสดิการและสิทธิต่าง ๆ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1436 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินโครงการบูรณาการมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งปี 2558/59 ภายใต้มาตรการที่ 1 การส่งเสริมความรู้และสนับสนุนปัจจัยการผลิตเพื่อลดรายจ่ายในครัวเรือน | กษ | 14/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติขยายเวลาดำเนินโครงการบูรณาการมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง ปี ๒๕๕๘/๕๙ ภายใต้มาตรการที่ ๑ การส่งเสริมความรู้และสนับสนุนปัจจัยการผลิตเพื่อลดรายจ่ายในครัวเรือน กิจกรรมสร้างรายได้จากปศุสัตว์และประมงในฤดูแล้ง จากสิ้นสุดโครงการภายในวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๙ เป็นสิ้นสุดโครงการภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ ให้ขยายระยะเวลาการดำเนินการเฉพาะในส่วนของการจัดหาปัจจัยการผลิตซึ่งได้มีการลงนามในสัญญากับเอกชนแล้ว และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับกรณีที่หน่วยงานได้ดำเนินการบรรลุวัตถุประสงค์แล้วมีเงินเหลือจ่าย ก็ให้ส่งเงินคืนสำนักงบประมาณในโอกาสแรกด้วย และให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดการดำเนินงานเพื่อให้สามารถดำเนินโครงการได้แล้วเสร็จตามวัตถุประสงค์และระยะเวลาที่ได้ขอขยายเพิ่มเติม ตลอดจนควรรายงานผลการดำเนินงานต่อคณะกรรมการอำนวยการแก้ไขปัญหาวิกฤตภัยแล้ง ปี ๒๕๕๘/๕๙ และคณะรัฐมนตรีทราบ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1437 | การลงนามในร่างบันทึกความร่วมมือเกี่ยวกับการดำเนินการของโครงการจัดการกองทุนรวมภูมิภาคเอเชียข้ามพรมแดนภายใต้กรอบเอเปค | กค | 14/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความร่วมมือเกี่ยวกับการดำเนินการของโครงการจัดการกองทุนรวมภูมิภาคเอเชียข้ามพรมแดนภายใต้กรอบเอเปค (Memorandum of Cooperation on the Establishment and Implementation of the Asia Region Funds Passport : MOC) มีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกการเสนอขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวมระหว่างเขตเศรษฐกิจที่ร่วมลงนาม โดยกองทุนรวมที่ได้รับความเห็นชอบจากเขตเศรษฐกิจหนึ่ง (Home Jurisdiction) สามารถไปเสนอขายหน่วยลงทุนต่อผู้ลงทุนรายย่อยในเขตเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่เข้าร่วมโครงการ (Host Jurisdiction) ได้ โดยดำเนินการผ่านตัวกลาง (Intermediaries) ที่ได้รับใบอนุญาตหรือกำกับดูแลโดยหน่วยงานกำกับดูแลตลาดทุนของ Host Jurisdiction ๑.๒ มอบหมายให้เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์หรือผู้แทน เป็นผู้ลงนามในร่าง MOC ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดแนวทางในการกำกับดูแลที่ชัดเจนเพื่อสร้างความเข้าใจให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง รวมทั้งควรพิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการดังกล่าว เช่น ความสามารถในการแข่งขัน และความสามารถในการปรับตัว เพื่อเตรียมมาตรการรองรับและสร้างความพร้อมให้กับภาคธุรกิจและสถาบันการเงินภายในประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความร่วมมือดังกล่าว ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการคลังดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1438 | ผลการดำเนินโครงการสร้างเครือข่ายระดับผู้นำภาครัฐและเอกชนไทย - กัมพูชา | พณ | 14/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการดำเนินโครงการสร้างเครือข่ายระดับผู้นำภาครัฐและเอกชนไทย-กัมพูชา โดยกระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินโครงการสร้างเครือข่ายระดับผู้นำภาครัฐและเอกชนไทย-กัมพูชา และได้เชิญผู้บริหารระดับสูงภาครัฐและนักธุรกิจชั้นนำของกัมพูชาเดินทางเยือนไทย ระหว่างวันที่ ๒๖-๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๙ และจัดกิจกรรมให้ได้พบกับนักธุรกิจชั้นนำของไทยเพื่อการสร้างเครือข่ายที่เมืองพัทยาและกรุงเทพมหานคร โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) เป็นประธานเปิดงานและกล่าวสุนทรพจน์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กัมพูชา กล่าวสุนทรพจน์ ซึ่งโครงการนี้ เปิดโอกาสให้กลุ่มชนชั้นนำของไทยและกัมพูชาได้พบปะสร้างสัมพันธ์ผ่านกิจกรรมเสริมสร้างเครือข่ายธุรกิจในบรรยากาศแบบเป็นกันเองและมิตรภาพที่เกิดขึ้นจากการทำกิจกรรมร่วมกัน รวมทั้งได้พูดคุยในเรื่องที่ชมชอบเหมือนกัน ส่งผลเป็นการเสริมสร้างความเข้าใจ ความไว้วางใจ (trust) ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะต่อยอดสู่การขยายผลทางการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ไทย-กัมพูชาได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ยังช่วยปรับทัศนคติของผู้ประกอบการไทยต่อนักธุรกิจกัมพูชา และรับรู้เกี่ยวกับศักยภาพของกลุ่มมหาเศรษฐีกัมพูชา เพื่อการจับคู่ทางการค้าและการลงทุนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
1439 | การรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2559 ณ วันที่ 31 มีนาคม 2559 | กค | 14/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙ ประกอบด้วย หนี้รัฐบาล ๔,๔๓๑,๖๘๓.๙๗ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน ๑,๐๓๙,๙๑๐.๘๒ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ำประกัน) ๕๒๕,๕๒๓.๗๐ ล้านบาท และหนี้หน่วยงานอื่นของรัฐ ๑๖,๕๓๑.๓๗ ล้านบาท รวมยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ๖,๐๑๓,๖๔๙.๘๖ ล้านบาท ๒. ผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะได้จัดทำแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ ได้มีการปรับปรุงแผนฯ แล้ว ๑ ครั้ง มีวงเงินรวมในแผนฯ ๑,๗๔๑,๔๒๒.๒๕ ล้านบาท ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙ กระทรวงการคลังและหน่วยงานต่าง ๆ ได้ดำเนินการกู้เงินและบริหารหนี้เป็นวงเงินทั้งสิ้น ๗๐๓,๑๐๐.๓๗ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๐.๓๘ ของแผนฯ ๓. ผลการดำเนินการบริหารความเสี่ยงหนี้ของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจที่ไม่ได้บรรจุอยู่ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ โดยใช้งบชำระหนี้เหลือจ่ายและรายได้ชำระคืนหนี้ก่อนครบกำหนด (Prepayment) วงเงินรวม ๒๑,๕๗๐.๖๘ ล้านบาท (การบริหารความเสี่ยงหนี้รัฐบาลสามารถลดภาระดอกเบี้ยได้ ๑๗๗.๓๕ ล้านบาท และการบริหารความเสี่ยงหนี้รัฐวิสาหกิจสามารถลดภาระดอกเบี้ยได้ ๑๒.๑๗ ล้านบาท) ซึ่งสามารถลดภาระดอกเบี้ยได้รวมทั้งสิ้น ๑๘๙.๕๒ ล้านบาท ๔. ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการลงทุนตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ ของรัฐวิสาหกิจ จากการติดตามผลการดำเนินโครงการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ จำนวน ๙ แห่ง พบว่า การรถไฟแห่งประเทศไทยมีการดำเนินโครงการล่าช้ากว่าแผน จำนวน ๔ โครงการ |
||||||||||||||||||||||||
1440 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนคลองขลุง - ท่ามะเขือ จังหวัดกำแพงเพชร พ.ศ. .... | มท | 07/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนคลองขลุง-ท่ามะเขือ จังหวัดกำแพงเพชร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญให้ใช้บังคับผังเมืองรวมในท้องที่ตำบลคลองขลุง ตำบลท่ามะเขือ และตำบลวังยาง อำเภอคลองขลุง จังหวัดกำแพงเพชร เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน และกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นควรให้มีการตรวจสอบรูปแผนที่ให้ชัดเจนก่อนมีการประกาศใช้บังคับ เนื่องจากร่างกฎกระทรวงฯ มีเขตดำเนินการทับซ้อนกับเขตปฏิรูปที่ดินในบางท้องที่ และข้อกำหนดของร่างกฎกระทรวงฯ อาจส่งผลให้ไม่สามารถตั้งหรือขยายโรงงานได้ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่ รวมทั้งการใช้บังคับร่างกฎกระทรวงฯ ต้องคำนึงถึงความสอดคล้องกับการดำเนินโครงการตามแผนพัฒนาด้านพลังงาน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นดูแลและให้ความสำคัญต่อการควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินบริเวณริมแหล่งน้ำสาธารณะ โดยเฉพาะบริเวณริมฝั่งแม่น้ำปิง เพื่อป้องกันการบุกรุกทำลายสภาพตามธรรมชาติของแหล่งน้ำและควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินให้สอดคล้องกับภูมิสังคมและวิถีชีวิตของชุมชนอย่างเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
.....