ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1340 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 26781 - 26800 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
26781 | แต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นางทรงพร โกมลสุรเดช) (ขออนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง) | ทก | 29/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายทรงพร โกมลสุรเดช ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
26782 | สรุปสถานการณ์รวมของภูมิอากาศและน้ำท่วมของประเทศไทยประจำสัปดาห์ (ครั้งที่ 8/2556 ณ วันที่ 29 ตุลาคม 2556) | นร01 | 29/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปสถานการณ์รวมของภูมิอากาศและน้ำท่วมของประเทศไทย ครั้งที่ ๘/๒๕๕๖ ณ วันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่จังหวัดนครราชสีมา มีฝนตกหนักถึงหนักมาก ปริมาณฝนเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๖ ฝนตกหนักครอบคลุมพื้นที่ จำนวน ๓๒ อำเภอ ส่งผลให้เกิดน้ำไหลหลากและท่วมในหลายพื้นที่ มีการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน จำนวน ๓๑ อำเภอ และในช่วงระหว่างวันที่ ๑๕-๑๘ และ ๒๐-๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ มีฝนตกหนักอีกครั้งในลุ่มน้ำลำตะคองทำให้ระดับน้ำที่บ้านโคกกรวด อำเภอเมือง และเทศบาลนครนครราชสีมาล้นตลิ่ง และลำน้ำมูลบริเวณมิตรภาพซอย ๔ เขตเทศบาลนครนครราชสีมามีสภาพล้นตลิ่ง มวลน้ำดังกล่าวได้เคลื่อนตัวผ่านอำเภอเฉลิมพระเกียรติและรวมกับมวลน้ำที่ไหลมาจากลุ่มน้ำจักราชและลุ่มน้ำเชียงไกรที่อำเภอพิมายซึ่งเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ อำเภอพิมายจึงรับน้ำทั้ง ๖ ลุ่มน้ำ และจะมียอดน้ำสูงสุดในวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๖ ๑.๒ ภาคตะวันออก ที่จังหวัดปราจีนบุรี สถานการณ์น้ำโดยรวมในเขตชุมชนและพื้นที่สำคัญในทุกอำเภอเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว แต่ยังมีน้ำขังในที่ลุ่มต่ำอยู่บ้าง สำหรับจังหวัดฉะเชิงเทรา สถานการณ์โดยรวมได้คลี่คลายไปแล้ว โดยเฉพาะในเขตพื้นที่สำคัญและชุมชน ส่วนจังหวัดชลบุรีและนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร สถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติทั้งหมดแล้ว ๑.๓ ภาคใต้ ยังมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนมากทางตอนล่างของภาค มีฝนกระจายถึงเกือบทั่วไปร้อยละ ๗๐ ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณพื้นที่จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และสงขลา ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) เร่งประสานงานกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อวางแผนและดำเนินการสูบน้ำหรือผลักดันน้ำออกจากพื้นที่ต่าง ๆ ให้เหมาะสมและเป็นไปตามลำดับความสำคัญเร่งด่วนของสภาพปัญหา และสำหรับพื้นที่น้ำท่วมขังและเริ่มเน่าเสียที่ไม่กว้างมาก ซึ่งจะสามารถใช้อีเอ็มบอล (EM-Ball) แก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพก็ให้พิจารณาใช้อีเอ็มบอลเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสำรวจความเสียหายต่าง ๆ อันเกิดขึ้นจากอุทกภัย เพื่อเตรียมการช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้ประสบภัยภายหลังน้ำลดได้อย่างรวดเร็วต่อไป ๔. ให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำรวจและจัดทำบัญชีควบคุม (inventory) เครื่องมือและอุปกรณ์การสูบน้ำและผลักดันน้ำ ตลอดจนยานพาหนะที่เกี่ยวข้องที่อยู่ในความดูแลรับผิดชอบของแต่ละหน่วยงานให้ถูกต้อง ครบถ้วน และบำรุงรักษาให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานได้ในโอกาสต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
26783 | สรุปผลการดำเนินการและภารกิจที่ต้องดำเนินการอันเนื่องมาจากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฒโน) สิ้นพระชนม์ | นร01 | 29/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีสรุปผลการดำเนินการและภารกิจที่จะต้องดำเนินการอันเนื่องมาจาก สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) สิ้นพระชนม์ ดังนี้
๑. ภารกิจที่ดำเนินการแล้ว ๑.๑ จัดทำประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) สิ้นพระชนม์ และมีหนังสือแจ้งให้ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ และสถานศึกษา ทุกแห่ง รวมทั้งขอความร่วมมือองค์กรอิสระ ดำเนินการโดยเทียบเคียงกับการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (วาสนมหาเถระ) ให้สถานที่ราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ และสถานศึกษา ทุกแห่ง ลดธงครึ่งเสา มีกำหนด ๓ วัน ตั้งแต่วันที่ ๒๕-๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ และให้ข้าราชการ ลูกจ้าง พนักงานของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจ ไว้ทุกข์ มีกำหนด ๑๕ วัน ตั้งแต่วันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ และต่อมาได้จัดทำประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีขยายเวลาการไว้ทุกข์ จากเดิม ๑๕ วัน เป็น ๓๐ วัน ตั้งแต่วันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ๑.๒ นำประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีทั้ง ๒ ฉบับ ประกาศในราชกิจจานุเบกษาในวันที่ออกประกาศ รวมทั้งขอความร่วมมือสถานีโทรทัศน์และวิทยุเผยแพร่ประกาศดังกล่าว ๑.๓ มีหนังสือแจ้งรัฐมนตรีทุกท่านไปร่วมพิธีถวายน้ำสรงพระศพเมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๖ เวลา ๑๗.๐๐ น. ณ ตำหนักเพชร วัดบวรนิเวศวิหาร ราชวรวิหาร พร้อมกับนายกรัฐมนตรี และเฝ้าฯ รับเสด็จสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ซึ่งเสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปในพิธีดังกล่าว พร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ๑.๔ ขอความเห็นชอบนายกรัฐมนตรีมอบให้ปลัดกระทรวงนำเรียนรัฐมนตรี และจัดหัวหน้าส่วนราชการระดับกรมและรองหัวหน้าส่วนราชการระดับกรม ของกระทรวงต่าง ๆ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปร่วมในพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมพระศพฯ ระหว่างวันที่ ๒๘-๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ วันละ ๕ กระทรวง กระทรวงละ ๒๐ คน วันละ ๓ รอบ ณ ตำหนักเพชร วัดบวรนิเวศวิหาร ราชวรวิหาร ๒. ภารกิจที่จะดำเนินการต่อไป ๒.๑ พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ๗ วัน ๕๐ วัน และ ๑๐๐ วัน ในวันที่ ๓๐ และ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๖, วันที่ ๑๑ และ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๖ , วันที่ ๓๐ และ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๗ ๒.๒ พระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ ๒.๒.๑ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีขอให้นายกรัฐมนตรีนำความกราบบังคมทูลฯ ขอรับพระราชทานดำเนินการจัดงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) ให้เป็นไปอย่างถูกต้องตามราชประเพณี โดยสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการจัดงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพและคณะกรรมการดำเนินงานฝ่ายต่าง ๆ โดยให้คณะกรรมการฯ พิจารณาเกี่ยวกับการกำหนดให้วันพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพเป็นวันหยุดราชการ ในกรณีที่ตรงกับวันปฏิบัติราชการ ๒.๒.๒ สำนักพระราชวังแจ้งประกาศสำนักพระราชวังไว้ทุกข์ในพระราชสำนักในช่วงก่อนวันพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ และแจ้งหมายกำหนดการพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ ๒.๒.๓ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีขอความเห็นชอบนายกรัฐมนตรีให้ออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ข้าราชการ ลูกจ้าง พนักงานของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งขอความร่วมมือประชาชนทุกภาคส่วน ไว้ทุกข์ในช่วงก่อนวันพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ และจัดให้รัฐมนตรีทั้งคณะหรือผลัดเวรเฝ้าฯ รวมทั้งให้ข้าราชการไปร่วมเฝ้าฯ ในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ
|
||||||||||||||||||||||||
26784 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร | สผ | 29/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (ปสส.) วันจันทร์ที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๖ ซึ่งพิจารณาระเบียบวาระการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ ๑๕ (สมัยสามัญทั่วไป) วันจันทร์ที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ และพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๔ ปีที่ ๓ ครั้งที่ ๒๐ (สมัยสามัญทั่วไป) วันพุธที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๖ และครั้งที่ ๒๑ (สมัยสามัญทั่วไป) วันพฤหัสบดีที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานเลขานุการ ปสส. เสนอ ๒. ให้มีการถ่ายทอดทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย และสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (ช่อง ๑๑) กรมประชาสัมพันธ์ เพื่อลงมติในวาระที่สาม ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ..) พุทธศักราช .... (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๑๙๐) จนกว่าการพิจารณาจะแล้วเสร็จ
|
||||||||||||||||||||||||
26785 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) | กค | 29/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๓ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นายสุวิชญ โรจนวานิช ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านตลาดตราสารหนี้ (เศรษฐกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ตั้งแต่วันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๖ ๒. นายอรรณพ บัวครื้น ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านประสิทธิภาพ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมสรรพากร ตั้งแต่วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๖) ๓. นายณรงค์ ราบเรียบ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมธนารักษ์ ตั้งแต่วันที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๖
|
||||||||||||||||||||||||
26786 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) | กค | 29/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๓ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นายสุวิชญ โรจนวานิช ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านตลาดตราสารหนี้ (เศรษฐกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ตั้งแต่วันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๖ ๒. นายอรรณพ บัวครื้น ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านประสิทธิภาพ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมสรรพากร ตั้งแต่วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๖) ๓. นายณรงค์ ราบเรียบ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมธนารักษ์ ตั้งแต่วันที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๖
|
||||||||||||||||||||||||
26787 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ | สธ | 29/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. นางสาวพัชรี กัมพลานนท์ ดำรงตำแหน่งทันตแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านทันตกรรม) กลุ่มงานทันตกรรม โรงพยาบาลหาดใหญ่ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสงขลา สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ๒. นายถวัลย์ พบลาภ ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) กลุ่มที่ปรึกษาระดับกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๖
|
||||||||||||||||||||||||
26788 | การตั้งงบประมาณโครงการอาหารกลางวันนักเรียน ตามภาวะเศรษฐกิจ | ศธ | 22/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นปรับเพิ่มการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ สำหรับโครงการอาหารกลางวันของนักเรียนจากอัตรา ๑๓ บาทต่อคนต่อวัน เป็น ๒๐ บาทต่อคนต่อวัน ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้หน่วยงานอื่นที่ได้รับจัดสรรงบประมาณเป็นค่าอาหารกลางวันในอัตรา ๑๓ บาทต่อคนต่อวัน ปรับเพิ่มขึ้นเป็นอัตรา ๒๐ บาทต่อคนต่อวัน ทั้งนี้ สำหรับงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยงบประมาณค่าอาหารกลางวันสำหรับนักเรียนในโรงเรียนเอกชนที่จะเพิ่มขึ้นจำนวน ๖๕๙,๙๐๖,๘๐๐ บาท ให้ขอรับการสนับสนุนจากดอกผลของเงินกองทุนเพื่อโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนประถมศึกษา ๑.๒ ให้หน่วยงานที่ได้รับจัดสรรงบประมาณเป็นค่าอาหารกลางวันของนักเรียนพิจารณาเสนอปรับอัตราค่าอาหารกลางวันทุกปี ให้สอดคล้องกับราคาสินค้าและภาวะเศรษฐกิจ โดยให้คำนึงถึงปริมาณและคุณค่าทางโภชนาการเป็นสำคัญ ๒. การปรับเพิ่มอัตราค่าอาหารกลางวันของนักเรียนในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ให้นักเรียนได้รับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการอย่างครบถ้วน จึงให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขพิจารณากำหนดเกณฑ์ชี้วัดมาตรฐานอาหารและโภชนาการของนักเรียนให้ได้รับสารอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนและมีปริมาณที่เหมาะสมกับวัยก่อนเริ่มดำเนินการ รวมทั้งให้มีการติดตามและประเมินผลภาวะโภชนาการของนักเรียนหลังจากได้รับงบประมาณในส่วนนี้เพิ่มแล้ว โดยให้กระทรวงศึกษาธิการรายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะทุก ๖ เดือน ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการนำแนวทางดำเนินการตามโครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวันตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มาปรับใช้กับโครงการนี้ด้วย |
||||||||||||||||||||||||
26789 | ขอความเห็นชอบการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ | วท | 22/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการจำหน่ายอาคารของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย จำนวน ๒ หลัง ประกอบด้วย อาคารบ้านพักพนักงานและอาคารโรงอาหารพร้อมห้องครัว ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ (หนังสือกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด่วนที่สุด ที่ วท (ปคร) ๕๒๐๑/๗๒๖๘ ลงวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๖) ทั้งนี้ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย) ดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
26790 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดำเนินการกับทรัพย์สินที่ศาลมีคำสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดินตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. .... | นร09 | 22/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดำเนินการกับทรัพย์สินที่ศาลมีคำสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดินตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างระเบียบฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. ให้ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการนำทรัพย์สินที่ศาลสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดินตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินส่งให้กระทรวงการคลัง พ.ศ. ๒๕๔๙ ๒. กำหนดบทนิยามคำว่า “ทรัพย์สิน” และ “ตราสารทุน” ๓. กำหนดให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเก็บรักษาและจัดการทรัพย์สินในคดีที่ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินแต่คดียังไม่ถึงที่สุดตามระเบียบที่เกี่ยวข้องจนกว่าคดีถึงที่สุด ๔. กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการกับทรัพย์สิน กรณีศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินและคดีถึงที่สุด ๕. กำหนดให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามระเบียบนี้ |
||||||||||||||||||||||||
26791 | การขอโอนสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 4/2550/80 แปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G6/48 | พน | 22/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้บริษัท เอ็มพี จี๖ (ประเทศไทย) จำกัด โอนสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ ๔/๒๕๕๐/๘๐ แปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G6/48 ให้แก่ บริษัท KrisEnergy (Gulf of Thailand) Ltd. ในอัตราร้อยละ ๓๐ โดยอาศัยความตามมาตรา ๕๐ แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๕๐ รวมทั้งโอนความเป็นผู้ดำเนินงาน และให้ออกเป็นสัมปทานปิโตรเลียมเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๔) ของสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ ๔/๒๕๕๐/๘๐ ตามแบบ ชธ/ป๓/๑ ที่กำหนดในกฎกระทรวงกำหนดแบบสัมปทานปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
26792 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดความเสียหายที่จะให้ได้รับค่าเสียหายเบื้องต้น จำนวนเงินค่าเสียหายเบื้องต้น การร้องขอรับและการจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้น พ.ศ. .... | กค | 22/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดความเสียหายที่จะให้ได้รับค่าเสียหายเบื้องต้น จำนวนเงินค่าเสียหายเบื้องต้น การร้องขอรับและการจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้น พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขปรับปรุงจำนวนค่าเสียหายเบื้องต้นกรณีความเสียหายต่อร่างกายตามกฎกระทรวงกำหนดความเสียหายที่จะให้ได้รับค่าเสียหายเบื้องต้น จำนวนเงินค่าเสียหายเบื้องต้น การร้องขอรับและการจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้น พ.ศ. ๒๕๕๒ จากรถ เพิ่มจากจำนวนเงินไม่เกิน ๑๕,๐๐๐ บาทต่อคน เป็นจำนวนเงินไม่เกิน ๓๐,๐๐๐ บาทต่อคน โดยให้ได้รับเงินค่าเสียหายเบื้องต้นรวมกันแล้วต้องไม่เกิน ๖๕,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำกับติดตามและควบคุมการดำเนินงานของผู้ประกอบการให้เป็นไปตามกฎกระทรวงฯ อย่างเคร่งครัด รวมทั้งควบคุมการปรับอัตราค่าเบี้ยประกันภัยให้สอดคล้องกับต้นทุนที่เกิดขึ้นอย่างเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
26793 | รายงานประจำครึ่งปี (มกราคม - มิถุนายน 2556) ของธนาคารแห่งประเทศไทย | กค | 22/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานประจำครึ่งปี (มกราคม-มิถุนายน ๒๕๕๖) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ภาวะเศรษฐกิจในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๕๖ เศรษฐกิจจีนและภูมิภาคเอเชียมีแนวโน้มชะลอลง ขณะที่เศรษฐกิจประเทศอุตสาหกรรมหลักฟื้นตัวอย่างช้า ๆ การคาดการณ์เกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินของประเทศอุตสาหกรรมหลักมีผลต่อความเชื่อมั่นในตลาดการเงินโลกและทำให้เงินทุนเคลื่อนย้ายผันผวน ซึ่งรวมถึงการไหลเข้าออกของเงินทุนในตลาดการเงินไทย เป็นผลให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐเคลื่อนไหวสองทิศทาง ผลจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลงทำให้การฟื้นตัวของการส่งออกไทยล่าช้าออกไป เมื่อรวมกับอุปสงค์ในประเทศที่ชะลอหลังจากเร่งใช้จ่ายไปมากในช่วงก่อนหน้า จึงทำให้เศรษฐกิจไทยโดยรวมขยายตัวชะลอลง ๑.๒ เสถียรภาพเศรษฐกิจการเงิน อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่ไม่สร้างความกังวล ฐานะการเงินของภาคสถาบันการเงินเข้มแข็ง สินเชื่อของทั้งภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนขยายตัวดีและชะลอลงบ้าง สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจและการที่สถาบันการเงินเริ่มเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในสองทิศทาง ฐานะการคลังยังอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ต้องระมัดระวังภาระผูกพันของภาครัฐที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่วนเสถียรภาพด้านต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์มั่นคงต่อเนื่อง ๑.๓ แนวโน้มเศรษฐกิจในปี ๒๕๕๖ คาดว่าจะขยายตัวชะลอลงจากปีก่อน เป็นผลจากการพักฐานของอุปสงค์ในประเทศหลังจากเร่งขึ้นมากในช่วงก่อนจากผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ ประกอบกับการส่งออกฟื้นตัวล่าช้าตามทิศทางเศรษฐกิจคู่ค้าโดยเฉพาะจีนและภูมิภาคเอเชีย อุปสงค์จากทั้งในและต่างประเทศที่ชะลอลง ส่งผลให้ภาคธุรกิจเลื่อนการลงทุนบางส่วนออกไป อย่างไรก็ดี พื้นฐานของเศรษฐกิจไทยที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี อาทิ แนวโน้มการจ้างงานและรายได้ นโยบายการเงินและการคลังที่ผ่อนคลาย ความพร้อมและความจำเป็นของภาคธุรกิจที่ต้องลงทุนเพื่อปรับโครงสร้างการผลิตทดแทนการใช้แรงงาน รวมถึงเศรษฐกิจคู่ค้าที่ค่อย ๆ ฟื้นตัว จะเอื้อให้เศรษฐกิจไทยสามารถกลับมาขยายตัวได้ตามปกติที่ร้อยละ ๕.๐ ในปี ๒๕๕๗ สำหรับแรงกดดันเงินเฟ้อมีแนวโน้มทรงตัวใกล้เคียงกับปัจจุบัน ทั้งนี้ ประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ ความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้ายจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังมีความไม่แน่นอน การชะลอตัวของเศรษฐกิจที่อาจส่งผลต่อความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนและผลประกอบการของภาคธุรกิจ และปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะด้านแรงงานที่อาจเป็นข้อจำกัดในภาคการผลิตและมีผลลดทอนศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว ๒. ให้กระทรวงการคลัง และ ธปท. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดกรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่ให้ความสำคัญกับการรักษาเสถียรภาพทั้งทางด้านราคาควบคู่ไปกับการดูแลรักษาเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อมิให้ผันผวนรุนแรงจนส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจจริง โดยใช้องค์ประกอบนโยบายที่เหมาะสม (Policy Mix) ประกอบด้วย การบริหารจัดการเงินทุนเคลื่อนย้ายควบคู่กับการดำเนินนโยบายด้านอัตราดอกเบี้ย ตลอดจนการใช้การสื่อสารต่อสาธารณะ เพื่อสร้างความเข้าใจ ความเชื่อมั่น และลดการเก็งกำไรจากการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อและอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อดูแลเสถียรภาพด้านราคาและลดผลกระทบจากความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้ายและอัตราแลกเปลี่ยนที่มีต่อภาคเศรษฐกิจจริง และให้ ธปท. รับข้อสังเกตของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาฐานะการเงินของ ธปท. ต้องทำควบคู่กันไปกับการสร้างความเชื่อมั่นต่อสาธารณชนถึงความสามารถในการดำเนินการตามพันธกิจหลักของ ธปท. ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
26794 | ผลการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 5/2556 | กค | 22/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ประจำปี ๒๕๕๕ ส่วนข้อสังเกตจากการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ประจำปี ๒๕๕๕ ให้คณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจรับไปพิจารณาทบทวนให้สอดคล้องกับกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอีกครั้งหนึ่ง สรุปผลการประเมินได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ประจำปี ๒๕๕๕ ของรัฐวิสาหกิจในระบบประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจปัจจุบัน จำนวน ๔๘ แห่ง มีผลการประเมินในภาพรวมทุกหัวข้อเฉลี่ยอยู่ที่ ๓.๕๖๕๒ คะแนน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ๐.๐๗๘๓ คะแนน เนื่องจากผลการดำเนินงานด้านการเงินและไม่ใช่การเงินของรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่เป็นไปตามเป้าหมายและการบริหารจัดการองค์กรมีประสิทธิภาพมากขึ้น ๑.๒ ผลการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ประจำปี ๒๕๕๕ สำหรับรัฐวิสาหกิจในระบบประเมินคุณภาพรัฐวิสาหกิจ (State Enterprise Performance Appraisal : SEPA) จำนวน ๗ แห่ง มีผลการประเมินในภาพรวมเฉลี่ย ๔.๓๗๗๗ คะแนน ลดลงจากปีที่ผ่านมา ๐.๑๙๓๙ คะแนน โดยรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่มีผลการประเมินในส่วนผลลัพธ์ที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ผลการประเมินในส่วนกระบวนการลดลงถึงแม้รัฐวิสาหกิจมีผลการดำเนินงานในส่วนกระบวนการที่ดีขึ้น เมื่อเทียบกับปี ๒๕๕๔ แต่ยังต่ำกว่าค่าเป้าหมายในระดับคะแนน ๔-๕ ประจำปี ๒๕๕๕ ของรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง ประกอบกับการประเมินผลการดำเนินงานในส่วนกระบวนการในปี ๒๕๕๕ ได้มีการปรับรูปแบบ โดยกำหนดค่าเป้าหมายตามระดับความสำเร็จในการพัฒนาองค์กรของรัฐวิสาหกิจ ๑.๓ ข้อสังเกตจากการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ประจำปี ๒๕๕๕ เกี่ยวกับความต่อเนื่องในการทำหน้าที่ของคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจมีผลกระทบต่อการดำเนินงานและการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ เนื่องจากคณะกรรมการดังกล่าวยังมีการลาออกเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐมนตรีกระทรวงเจ้าสังกัด และให้กระทรวงเจ้าสังกัดเร่งรัดผลักดันและติดตามให้รัฐวิสาหกิจในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานที่มีความสำคัญต่อประเทศ (Critical Infrastructure) มีระดับมาตรฐานการบริหารจัดการในระดับที่ดียิ่งขึ้น โดยกำหนดเป้าหมายให้รัฐวิสาหกิจกลุ่มนี้ต้องมีผลการประเมินในหัวข้อการบริหารจัดการทุกหัวข้อไม่ต่ำกว่า ๔.๐๐๐ คะแนน และเร่งดำเนินการให้มีความชัดเจนเกี่ยวกับการเป็นนิติบุคคลของรัฐวิสาหกิจ เช่น โรงงานไพ่ กรมสรรพสามิต โรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง เป็นต้น รวมทั้งเร่งทบทวนบทบาท ภารกิจ หน้าที่ รูปแบบ และความจำเป็นในการดำรงอยู่ของรัฐวิสาหกิจที่มีผลการดำเนินงานที่ต่ำหรือมีผลประกอบการที่ขาดทุนต่อเนื่อง ซึ่งอาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม เศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี เช่น องค์การตลาด องค์การจัดการน้ำเสีย องค์การสะพานปลา และบริษัท อู่กรุงเทพ จำกัด เป็นต้น เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน ๒. เห็นชอบกรอบการพิจารณาเกี่ยวกับแนวทางการให้เช่าที่ดินมีระยะเวลาเช่าเกินกว่า ๑ ปี ของรัฐวิสาหกิจ และให้กระทรวงการคลังแจ้งเวียนรัฐวิสาหกิจถือปฏิบัติตามกรอบหลักเกณฑ์ดังกล่าว ทั้งนี้ การดำเนินการให้เช่าที่ดินของรัฐวิสาหกิจ ให้คณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจและรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. เห็นชอบข้อเสนอการจัดตั้งบริษัทในเครือตามที่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เสนอ และให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ในการดำเนินการต้องเป็นไปด้วยความรอบคอบและระมัดระวัง โดยไม่ให้ซ้ำซ้อนกับภารกิจหลักของ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด และขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญในเรื่องของการประกอบธุรกิจแข่งขันกับภาคเอกชน โดยเห็นควรให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การจัดตั้งบริษัทในเครือรัฐวิสาหกิจ และกฎระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
26795 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคให้กับศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้) | กค | 22/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคให้กับศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้) มีสาระสำคัญคือ ยกเว้นภาษีเงินได้เพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินได้เท่าจำนวนเงินที่บริจาคให้กับศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ และภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับเงินหรือทรัพย์สินที่บริจาคให้กับศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
26796 | องค์กรร่วมไทย - มาเลเซียขอความเห็นชอบในร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 4 สัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติแปลง A-18 ในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย - มาเลเซีย | พน | 22/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ ๔ สัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ แปลง A-18 ในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย ระหว่างองค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย และบริษัทผู้ได้รับสัญญาคือ บริษัท PC JAD Limited บริษัท Hess Oil Company of Thailand Lid. Co., และบริษัท Hess Oil Company of Thailand (JDA) Limited ในฐานะกลุ่มผู้ขายก๊าซกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และบริษัทเปโตรนาสในฐานะกลุ่มผู้ซื้อก๊าซ ๒. ให้องค์กรร่วมไทย-มาเลเซียลงนามในร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ ๔ สัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติแปลง A-18 กับกลุ่มผู้ซื้อก๊าซ เมื่อร่างสัญญาฯ ได้ผ่านการตรวจพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว ๓. อนุมัติให้นำวิธีระงับข้อพิพาทโดยวิธีการอนุญาโตตุลาการมาใช้บังคับในสัญญาได้ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง การทำสัญญาระหว่างหน่วยงานของรัฐ) |
||||||||||||||||||||||||
26797 | ข้อเสนอแผนงาน/โครงการภายใต้มาตรการบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำและเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลาง และขนาดเล็ก (ฉบับปรับปรุง) | นร11 | 22/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบข้อเสนอแผนงาน/โครงการภายใต้มาตรการบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำและเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (ฉบับปรับปรุง) ประกอบด้วย ๕ แผนงาน/โครงการ ใช้งบประมาณรวมทั้งสิ้น ๑๘,๘๗๕ ล้านบาท โดยขอใช้เงินกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม วงเงิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท และขอรับจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติม วงเงิน ๑๗,๘๗๕ ล้านบาท ทั้งนี้ สามารถจำแนกข้อเสนอดังกล่าวออกเป็น ๒ ส่วน คือ ส่วนแรก โครงการที่จะต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา จำนวน ๓ แผนงาน/โครงการ วงเงิน ๑๘,๐๐๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการเงินร่วมลงทุนเพื่อพัฒนาเครื่องจักร (Venture Capital) โครงการสนับสนุนการปรับปรุง/ฟื้นฟูสภาพเครื่องจักร การใช้พลังงานทดแทน การประหยัดพลังงานแก่ SMEs (Machine Fund For SMEs) และการขยายเวลาการยกเว้นค่าธรรมเนียมและค่าบริการรายปีตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ และส่วนที่สองโครงการที่ขอรับจัดสรรงบประมาณปี ๒๕๕๖ เพิ่มเติม (คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ความเห็นชอบไปแล้วเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๖) จำนวน ๒ โครงการ วงเงิน ๘๗๕ ล้านบาท ได้แก่ โครงการคลินิกอุตสาหกรรมเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ [โครงการเพิ่มประสิทธิภาพอุตสาหกรรมการผลิต (Productivity For SMI) และโครงการพัฒนาผลิตภาพของ SMEs ด้านการค้าและบริการ] และโครงการอัดฉีดเงินทุนหมุนเวียน โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการ ได้แก่ ๑.๑ ให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมตรวจสอบข้อเท็จจริงการชะลอการร่วมลงทุนของกองทุนร่วมลงทุนเพื่อยกระดับความสามารถการแข่งขันของธุรกิจไทยกับผู้ประกอบการ SMEs ในระยะที่ผ่านมา และพิจารณาระเบียบการจัดสรรเงินกองทุน แนวทางและขั้นตอนการร่วมลงทุนให้เกิดความชัดเจน ก่อนนำเสนอคณะกรรมการบริหารสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กระทรวงอุตสาหกรรม และคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๑.๒ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมหารือร่วมกับสำนักงบประมาณเพื่อปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ของกระทรวงอุตสาหกรรม และแนวทางการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ และ ๒๕๕๙ เพื่อดำเนินโครงการตามข้อเสนอดังกล่าว ๒. เห็นชอบให้กระทรวงอุตสาหกรรมขยายเวลาการยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีให้แก่ผู้ประกอบกิจการโรงงานประเภท ๒ และ ๓ ตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ จากเดิมที่สิ้นสุดในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ ออกไปอีก ๓ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ไปจนถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ ทั้งนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้รับการถ่ายโอนภารกิจชำระคืนค่าธรรมเนียมรายปีให้กับผู้ประกอบการที่ได้รับชำระค่าธรรมเนียมแล้ว ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ จนถึงวันที่กฎกระทรวงมีผลบังคับใช้ |
||||||||||||||||||||||||
26798 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลทางเกวียน และตำบลบ้านนา อำเภอแกลง จังหวัดระยอง พ.ศ. .... | กษ | 22/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลทางเกวียน และตำบลบ้านนา อำเภอแกลง จังหวัดระยอง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่ตำบลทางเกวียน และตำบลบ้านนา อำเภอแกลง จังหวัดระยอง เพื่อประโยชน์แก่การชลประทาน ในการก่อสร้างประตูระบายน้ำแม่น้ำประแสร์ ตามโครงการประตูระบายน้ำแม่น้ำประแสร์ และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
26799 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลนาเกาะ อำเภอหล่มเก่า และตำบลน้ำเฮี้ย ตำบลฝายนาแซง ตำบลน้ำก้อ ตำบลหนองไขว่ อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน | กษ | 22/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลนาเกาะ อำเภอหล่มเก่า และตำบลน้ำเฮี้ย ตำบลฝายนาแซง ตำบลน้ำก้อ ตำบลหนองไขว่ อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลนาเกาะ อำเภอหล่มเก่า และตำบลน้ำเฮี้ย ตำบลฝายนาแซง ตำบลน้ำก้อ ตำบลหนองไขว่ อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลนาเกาะ อำเภอหล่มเก่า และตำบลน้ำเฮี้ย ตำบลฝายนาแซง ตำบลน้ำก้อ ตำบลหนองไขว่อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าครอบครองหรือใช้อสังหาริมทรัพย์นั้น ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ ได้ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
26800 | การพิจารณาทบทวนค่าตอบแทนกรรมการธุรกรรม และอนุกรรมการในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (คณะกรรมการ ปปง.) | ปง | 22/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ โดยคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีฯ เห็นชอบการกำหนดอัตราค่าตอบแทนกรรมการธุรกรรมและอนุกรรมการในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (คณะกรรมการ ปปง.) ดังนี้
๑. ค่าตอบแทนกรรมการธุรกรรม โดยประธานกรรมการ เดือนละ ๔๐,๐๐๐ บาท กรรมการธุรกรรม เดือนละ ๓๐,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ หากเดือนใดไม่มีการประชุม หรือหากมีการประชุมแต่ไม่เข้าประชุม ให้งดจ่าย ๒. ค่าตอบแทนอนุกรรมการคณะกรรมการ ปปง. ให้จ่ายเป็นรายครั้ง เฉพาะครั้งที่มาประชุม โดยประธานอนุกรรมการ ครั้งละ ๑,๘๗๕ บาท อนุกรรมการ ครั้งละ ๑,๕๐๐ บาท เลขานุการ ครั้งละ ๑,๒๐๐ บาท และผู้ช่วยเลขานุการ ครั้งละ ๘๐๐ บาท ทั้งนี้ หากเดือนใดมีการประชุมเกินกว่าสี่ครั้ง ให้จ่ายเบี้ยประชุมได้เพียงสี่ครั้ง โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ (๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป |
.....