ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1331 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 26601 - 26620 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
26601 | มาตรการทางภาษีอากรและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ | กค | 19/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา และร่างกฎกระทรวง รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๑.๑ ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่ลูกหนี้ของสถาบันการเงินหรือลูกหนี้ของเจ้าหนี้อื่น สำหรับเงินได้ที่รับการปลดหนี้ของสถาบันการเงินหรือเจ้าหนี้อื่น ทั้งนี้ เฉพาะการปลดหนี้ที่ได้กระทำในระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๑.๑.๒ ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ให้แก่ลูกหนี้ของสถาบันการเงินหรือลูกหนี้ของเจ้าหนี้อื่น และสถาบันการเงินหรือเจ้าหนี้อื่น สำหรับเงินได้ที่รับจากการโอนทรัพย์สิน การขายสินค้าหรือการให้บริการ และการกระทำตราสารอันเนื่องมาจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินหรือเจ้าหนี้อื่น ทั้งนี้ เฉพาะการโอนทรัพย์สิน การขายสินค้าหรือการให้บริการ และการกระทำตราสารที่ได้กระทำในระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๑.๑.๓ ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ให้แก่ลูกหนี้ของสถาบันการเงินและผู้ค้ำประกันของลูกหนี้ที่จำนองอสังหาริมทรัพย์เป็นประกันหนี้กับเจ้าหนี้สถาบันการเงินและได้มีการขายอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวให้บุคคลอื่น เพื่อนำเงินมาชำระหนี้แก่เจ้าหนี้สถาบันการเงิน ทั้งนี้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกินกว่าหนี้ที่ค้างชำระอยู่กับสถาบันการเงินหรือมีภาระผูกพันตามสัญญาประกันหนี้กับสถาบันการเงินตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด โดยการโอนอสังหาริมทรัพย์และการกระทำตราสารต้องกระทำในระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๑.๒ ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ มีสาระสำคัญคือ ยกเว้นการดำเนินการตามหลักเกณฑ์การจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ที่กรมสรรพากรกำหนด สำหรับการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ของเจ้าหนี้ซึ่งเป็นสถาบันการเงินหรือเจ้าหนี้อื่น ในส่วนของหนี้ที่เจ้าหนี้ดังกล่าวได้ปลดหนี้ให้แก่ลูกหนี้อันเนื่องมาจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนด ทั้งนี้ เฉพาะการปลดหนี้ที่ได้กระทำในระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๒. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศ รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.๑ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นพิเศษตามประมวลกฎหมายที่ดิน สำหรับกรณีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด มีสาระสำคัญคือ ลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการโอนและการจำนองอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายที่ดิน เหลือร้อยละ ๐.๐๑ สำหรับกรณีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตั้งแต่วันที่กฎหมายมีผลใช้บังคับจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๒.๒ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด สำหรับกรณีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด มีสาระสำคัญคือ ลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการโอนและการจำนองห้องชุด ตามประมวลกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด เหลือร้อยละ ๐.๐๑ สำหรับกรณีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตั้งแต่วันที่กฎหมายมีผลใช้บังคับจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรคำนึงถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเป็นสำคัญ และการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวสมควรมีการรายงานผลจำแนกตามกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจนและประโยชน์ที่จะได้รับในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ในภาพรวม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
26602 | การกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค ณ จังหวัดสมุทรสาคร ของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสันติ พร้อมพัฒน์) | นร01 | 19/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสันติ พร้อมพัฒน์) รายงานผลการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคพื้นที่เขตตรวจราชการที่ ๕ ณ จังหวัดสมุทรสาคร เมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๖ โดยได้รับฟังบรรยายสรุปสภาพปัญหาของผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม และผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สรุปปัญหาและแนวทางการแก้ไข ดังนี้
๑. ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งและป่าชายเลน ๑.๑ จังหวัดสมุทรสาคร ต้องการขอรับการสนับสนุนงบประมาณก่อสร้างเพื่อป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งทะเลเพิ่มเติมอีก ๒๑.๗ กิโลเมตร เพื่อครอบคลุมตลอดแนวชายฝั่งของจังหวัดสมุทรสาคร และควรให้สถาบันการศึกษาทำการศึกษาวิจัยผลการดำเนินโครงการตามหลักวิชาการเพื่อเป็นองค์ความรู้และเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลในระยะยาวต่อไป ๑.๒ จังหวัดเพชรบุรี ปัญหาเรื่องความล่าช้าในการพิจารณาอนุมัติการศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ของสำนักนโยบายและแผน ทำให้ได้รับผลกระทบต้องยกเลิกโครงการปี ๒๕๕๕ ในกิจกรรมก่อสร้างเขื่อนหินปากคลองบางทะเล หมู่ ๒, ๓ ตำบลแหลมผักเบี้ย อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี ความยาวรวม ๔๖๐ เมตร และขุดลอกคลองพร้อมดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม (งบประมาณปี ๒๕๕๕) เนื่องจากรอผลการพิจารณา EIA นาน และผู้เสนอราคาไม่มาลงนามในสัญญาเพราะเลยกำหนดยื่นซองราคา ๑๘๐ วัน และราคาวัสดุสูงเกินกว่าที่เสนอราคาไว้ ๑.๓ จังหวัดสมุทรสงคราม ต้องการให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจัดสรรงบประมาณมาเพื่อทำโครงการเพิ่มเติม เช่น จัดทำโครงการปักไม้ไผ่ในบริเวณพื้นที่หมู่ ๑๐ ตำบลบางแก้ว เพื่อต้องการปักไม้ไผ่ซ้อนอีก ๑ ชิ้น ซึ่งจะทำให้เกิดการตกตะกอนของดินเลนเร็วขึ้น และจะดำเนินการปลูกป่าได้เพิ่มขึ้น รวมถึงงบประมาณในการซ่อมไม้ไผ่ที่ชำรุดทำให้เกิดการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนส่งผลให้เกิดพื้นที่ป่าเพิ่มขึ้น รวมทั้งส่งเสริมการมีรายได้ของประชาชนในพื้นที่ ๑.๔ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ปัญหาอุปสรรคของการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งที่ผ่านมา คือ ประชาชนบุกรุกชายหาดและเป็นอุปสรรคต่อการก่อสร้าง ต้องทำการศึกษา EIA เสนอให้สำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้ความเห็นชอบก่อนที่จะทำการก่อสร้าง จึงเป็นเหตุให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปด้วยความล่าช้า ๒. การประมง (ประมงพื้นบ้าน ประมงชายฝั่ง) และการดำเนินงานท่าเรือประมง ๒.๑ จังหวัดเพชรบุรี ควรมีการสร้างกระบวนการต่อเนื่องอย่างยั่งยืนเพื่อไม่ให้ชาวประมงกลับมาใช้เครื่องมือโพงพางหรือเครื่องมืออื่น ๆ ที่ผิดกฎหมาย ๒.๒ จังหวัดสมุทรสงคราม ควรปิดอ่าวไทยรูปตัว ก เพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรประมง พัฒนาตลาดปลาเป็นแหล่งรวมสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์ประมง และจัดตั้งกลุ่มประมงเพื่อดูแลแหล่งทำการประมงไม่ให้มีการทำลาย (ปะการังเทียม) ๒.๓ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ บุคลากรในการปฏิบัติงานในพื้นที่และปฏิบัติงานตรวจปราบปรามยังไม่เพียงพอ งบประมาณใช้การดำเนินงานมีอย่างจำกัด และข้อกฎหมายไม่ทันต่อสภาพเหตุการณ์ปัจจุบัน
|
||||||||||||||||||
26603 | แนวทางการดำเนินโครงการบัตรสมาชิกพิเศษ (Thailand Privilege Card) | กก | 19/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบการดำเนินการของบริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด ที่จะมีการปรับปรุงการกำหนดรูปแบบประเภทบัตรสมาชิกพิเศษ (Thailand Privilege Card) ราคาบัตร สิทธิประโยชน์/บริการต่าง ๆ และค่าธรรมเนียมการโอนให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงการกำหนดค่าตอบแทน (Commission) ให้มีความเหมาะสมมากขึ้น ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการบริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด ตามข้อบังคับของบริษัทฯ อยู่แล้ว ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวให้คณะกรรมการบริษัทฯ ดำเนินการอย่างโปร่งใส คำนึงถึงผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศและผลประโยชน์ของบริษัทฯ ๑.๒ การที่คณะกรรมการบริษัทฯ ควรให้มีการลงทุนหรือร่วมลงทุนกับกิจการอื่นที่เกี่ยวเนื่อง โดยได้มีการพิจารณาแล้วว่า การดำเนินการจะก่อให้เกิดประโยชน์กับบริษัทฯ สมาชิก และประเทศ สามารถดำเนินการได้ตามอำนาจของคณะกรรมการบริษัทฯ ทั้งนี้ การดำเนินการต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ รวมทั้งจะต้องเสนอเรื่องให้คณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๑.๓ ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจศึกษาในรายละเอียดเพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติในการจัดตั้งบริษัทลูกของรัฐวิสาหกิจทั้งในกรณีรัฐวิสาหกิจถือหุ้นทั้งหมดหรือถือหุ้นเพียงบางส่วน และให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจนำเสนอคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด) รับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการพิจารณาลงทุนหรือร่วมทุนกับกิจการอื่นที่เกี่ยวเนื่อง ควรให้มีการพิจารณาวิเคราะห์แผนธุรกิจเพื่อแก้ปัญหาการขาดทุนที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
26604 | โครงการขยายเขตไฟฟ้าให้บ้านเรือนราษฎรรายใหม่ | มท | 19/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ที่เห็นชอบโครงการขยายเขตไฟฟ้าให้บ้านเรือนราษฎรรายใหม่ ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) วงเงินลงทุนรวม ๓,๖๘๗ ล้านบาท และเงินรายได้ ๙๒๖ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และเห็นชอบให้ กฟภ. กู้เงินในประเทศภายในกรอบวงเงิน ๒,๗๖๑ ล้านบาท เพื่อให้เป็นไปตามนัยของพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ. ๒๕๐๓ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๔๒ (๒) โดยให้ กฟภ. รับข้อสังเกตเพิ่มเติมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการสำรวจครัวเรือนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้และมีความพร้อมดำเนินการขยายเขตระบบไฟฟ้าได้ทันทีเพื่อจัดเข้าโครงการฯ ในปีต่อไป (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๐) การให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับการใช้งานและการบำรุงรักษาอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะการดูแลรักษาระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ การทบทวนกรอบเงินลงทุนโครงการฯ เนื่องจากการประมาณการค่าสำรองเผื่อราคาของโครงการฯ อยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างสูง การกำกับ ดูแล และติดตามการดำเนินโครงการฯ ให้สามารถดำเนินการเป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ การให้ความสำคัญในการวางแผนทางการเงินและการบริหารการลงทุนของโครงการฯ อย่างรอบคอบและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการกำหนดแนวทางในการแสวงหารายได้อื่นเพื่อชดเชยผลขาดทุนของโครงการฯ ที่เกิดขึ้น เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อฐานะทางการเงินของ กฟภ. ในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒.๑ ให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของการขยายเขตไฟฟ้าแก่ผู้ขอไฟฟ้ารายใหม่อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะในพื้นที่เขตป่าสงวนและพื้นที่ของราชการ เพื่อป้องกันการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวน ที่สาธารณะ และที่ราชพัสดุเพิ่มเติม อันอาจจะส่งผลกระทบต่อการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินสาธารณะในระยะยาว ๒.๒ การดำเนินโครงการขยายเขตไฟฟ้าให้บ้านเรือนราษฎรรายใหม่ควรพิจารณาให้สอดคล้องกับเกณฑ์ตัวชี้วัดของยุทธศาสตร์จังหวัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานอยู่ในเกณฑ์ต่ำ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน รวมทั้งควรพิจารณาให้สอดคล้องกับนโยบายการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบ และการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรม (Zoning) ด้วย |
||||||||||||||||||
26605 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณค่าเช่ารถยนต์เพื่อใช้ในราชการ | พณ | 19/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานปลัดสำนักกระทรวงพาณิชย์ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการค่าเช่ารถยนต์ประจำตำแหน่งปลัดกระทรวงพาณิชย์ จำนวน ๑ คัน ระยะเวลา ๒ ปี ๑๑ เดือน เพื่อให้สอดคล้องกับระยะเวลาการดำรงตำแหน่ง ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ (เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๖) ถึงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ (เดือนกันยายน ๒๕๕๙) อัตราค่าเช่าเดือนละ ๕๓,๖๔๐ บาท วงเงินทั้งสิ้น ๑,๘๗๗,๔๐๐ บาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๕๙๐,๐๔๐ บาท และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๑,๒๘๗,๓๖๐ บาท สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้พิจารณาใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ แผนงานเพิ่มประสิทธิภาพภาคการตลาด การค้า และการลงทุน งบดำเนินงาน ส่วนปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-พ.ศ. ๒๕๕๙ ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามสัญญาเช่าต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||
26606 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนบ้านกรูด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. .... | มท | 19/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนบ้านกรูด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลธงชัย อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
26607 | รายงานประจำปี 2555 [สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน)] | ศธ | 19/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการรายงานประจำปี ๒๕๕๕ ของสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) (สคพ.) โดยมีหัวข้อสำคัญของรายงาน ดังนี้
๑. สาร ประกอบด้วย สารรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ สารปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และสารผู้อำนวยการ ๒. การบริหารงานของ สคพ. ประกอบด้วย ความเป็นมา อำนาจหน้าที่ วิสัยทัศน์/พันธกิจ วัตถุประสงค์ โครงสร้างองค์กร คณะกรรมการ สคพ. และผู้แทนปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ คณะอนุกรรมการตรวจสอบและประเมินผล และคณะอนุกรรมการด้านวิชาการ รายงานคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผล ผลผลิตและกิจกรรมหลัก ประเด็นยุทธศาสตร์ (Strategic issues) แนวทางการดำเนินงานในอนาคต รายงานการประเมินผลการปฏิบัติงานตามคำรับรองขององค์การมหาชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และแนวทางการดำเนินงานตามแผนงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๓. ผลการดำเนินงานของ สคพ. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ประกอบด้วย งานฝึกอบรม งานวิจัย งานสารสนเทศและเผยแพร่วิชาการ และความร่วมมือกับองค์กรภายนอก ๔. รายงานการเงิน
|
||||||||||||||||||
26608 | ขออนุมัติเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการเกี่ยวกับระบบการเตือนภัยพิบัติ และการเก็บกู้และบำรุงรักษาทุ่น | ทก | 19/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้สำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ แผนงานเตือนภัยพิบัติ ผลผลิตการเตือนภัย ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณแล้ว จำนวน ๑๖๙,๐๘๘,๖๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการเกี่ยวกับระบบการเตือนภัยพิบัติในโอกาสแรกก่อน หากในระยะต่อไปยังมีความจำเป็นที่จะต้องใช้จ่ายเพิ่มเติม ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ หรือใช้จ่ายจากเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปี ที่คาดว่าจะไม่สามารถดำเนินการได้มาดำเนินการ โดยให้ขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ๑.๒ อนุมัติให้สำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว ภายในกรอบวงเงิน จำนวน ๒๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเก็บกู้และบำรุงรักษาทุ่น จำนวน ๑ ทุ่น ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ โดยให้ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนอีกครั้งหนึ่ง ๒. ในส่วนของการดำเนินการเก็บกู้และบำรุงรักษาทุ่น จำนวน ๑ ทุ่น วงเงิน ๒๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (สำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร) ประสานงานขอความร่วมมือจากหน่วยงานของรัฐที่มีความพร้อมในด้านยานพาหนะและเครื่องมืออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง เช่น กองทัพเรือ กรมประมง เป็นต้น เพื่อดำเนินงานให้บรรลุผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้ขอตกลงรายละเอียดค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและเหมาะสม ภายในกรอบวงเงินจำนวนดังกล่าวกับสำนักงบประมาณต่อไป |
||||||||||||||||||
26609 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการปรับปรุงบัญชีอัตราภาษีเงินได้ สำหรับบุคคลธรรมดา) | กค | 19/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินได้สุทธิ ๑๕๐,๐๐๐ บาทแรก สำหรับเงินได้ทุกประเภทที่คำนวณภาษี ตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ๔๗๐) พ.ศ. ๒๕๕๑ ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการปรับปรุงบัญชีอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา) เพื่อปรับปรุงบัญชีอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับการคำนวณเงินได้สุทธิ จากเดิม ๕ ขั้นอัตรา เป็น ๗ ขั้นอัตรา และลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากอัตราสูงสุดร้อยละ ๓๗ คงเหลือร้อยละ ๓๕ และให้มีผลใช้บังคับสำหรับเงินได้พึงประเมินประจำปีภาษี พ.ศ. ๒๕๕๖ และประจำปีภาษี พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยมิให้ร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ในเรื่องนี้ขัดกับหลักการของพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ๔๗๐) พ.ศ. ๒๕๕๑ แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรศึกษาผลกระทบจากการปรับปรุงโครงสร้างภาษีต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงการปรับปรุงอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล และการยกเว้นหรือลดหย่อนต่าง ๆ ตลอดจนจัดทำมาตรการแนวทางในการขยายฐานภาษีให้ผู้มีเงินได้เข้ามาอยู่ในระบบภาษีเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งพิจารณาถึงภาพรวมการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภาษีทั้งระบบที่จะมีผลทั้งในเรื่องฐานการจัดเก็บภาษี และรายได้จากการจัดเก็บภาษี และรายงานต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบเป็นระยะ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
26610 | ท่าทีไทยสำหรับการประชุมรัฐมนตรีขององค์การการค้าโลก สมัยสามัญ ครั้งที่ 9 | พณ | 19/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบท่าทีไทยในการประชุมรัฐมนตรี (Ministerial Conference : MC) ขององค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) สมัยสามัญ ครั้งที่ ๙ ในประเด็นเกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกทางการค้า (Trade Facilitation : TF) เกษตร (Agriculture) และการพัฒนา (Development) รวมถึงประเด็นเกี่ยวกับประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (LDCs issues) และให้ผู้แทนไทยพิจารณาใช้ดุลยพินิจตามสถานการณ์ ตามความเหมาะสมในเรื่องอื่นใดที่จะเป็นประโยชน์ต่อไทย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. กรณีการใช้ดุลยพินิจของผู้แทนไทยจะต้องอยู่ในกรอบของพันธกรณีภายใต้กรอบการเจรจาการค้าพหุภาคีภายใต้องค์การการค้าโลกและกรอบการเจรจาเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับองค์การการค้าโลกที่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาไว้แล้ว ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับกรณีที่ที่ประชุมรัฐมนตรี ขององค์การการค้าโลก สมัยสามัญ ครั้งที่ ๙ จะริเริ่มการเจรจาภายใต้กรอบการเจรจาการค้าพหุภาคีภายใต้องค์การการค้าโลกในประเด็นอื่นใดที่อยู่นอกกรอบการเจรจาการค้าพหุภาคีภายใต้องค์การการค้าโลกและกรอบการเจรจาเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับองค์การการค้าโลก ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา กระทรวงพาณิชย์จะต้องเสนอแก้ไขกรอบการเจรจาฯ ให้ครอบคลุมถึงประเด็นที่เพิ่มขึ้นและขอความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อนที่จะดำเนินการเจรจาในเรื่องนั้น ๆ นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ควรให้ความสำคัญกับการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อผลักดันมาตรการรองรับผลกระทบไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว รวมทั้งควรเร่งประชาสัมพันธ์และพัฒนาฐานข้อมูลให้ผู้ประกอบการไทยสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากข้อตกลงและนำไปใช้เป็นแนวทางในการปรับตัวให้สอดคล้องกับระเบียบข้อปฏิบัติในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไปได้ เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
26611 | การขอความเห็นชอบให้เลขาธิการอาเซียนลงนามในข้อตกลงทางการเงิน (Financial Agreement Special Edition - FA) ภายใต้โครงการ EU Support to Higher Education in ASEAN Region (EU SHARE) | ศธ | 19/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบ (ร่าง) ข้อตกลงทางการเงิน (Financial Agreement Special Edition - FA) ภายใต้โครงการ EU Support to Higher Education in ASEAN Region (EU SHARE) และภาคผนวก โดย (ร่าง) ข้อตกลงทางการเงิน (FA) ภายใต้โครงการ EU SHARE เป็นหนังสือยืนยันการยอมรับในข้อผูกพันระหว่างสหภาพยุโรปที่ให้ต่ออาเซียนเพื่อจัดกิจกรรมยกระดับการศึกษาระดับอุดมศึกษาในระดับประเทศและระดับภูมิภาคตามขั้นตอนและเงื่อนไขที่ระบุใน Annex I และ II ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างเอกสารดังกล่าวที่มิใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ๒. อนุมัติให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนลงนามใน (ร่าง) ข้อตกลงทางการเงิน (FA) ภายใต้โครงการ EU SHARE ในฐานะผู้ลงนามฝ่ายอาเซียน ๓. อนุมัติให้กระทรวงศึกษาธิการแจ้งเรื่องการให้ความเห็นชอบของประเทศไทยต่อสำนักเลขาธิการอาเซียน โดยดำเนินการผ่านกระทรวงการต่างประเทศและคณะผู้แทนถาวรไทยประจำอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย |
||||||||||||||||||
26612 | ขอความเห็นต่อร่างความตกลงว่าด้วยการจัดหาและการบริการต่างฝ่ายระหว่างกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงกลาโหมแห่งสหรัฐอเมริกา (ACQUISITION AND CROSS - SERVICING AGREEMENT BETWEEN THE MINISTRY OF DEFENSE OF THE KINGDOM OF THAILAND AND THE DEPARTMENT OF DEFENSE OF THE UNITED STATES OF AMERICA) | กห | 19/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงกลาโหมจัดทำความตกลงว่าด้วยการจัดหาและการบริการต่างฝ่ายระหว่างกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงกลาโหมแห่งสหรัฐอเมริกา (ACQUISITION AND CROSS-SERVICING AGREEMENT BETWEEN THE MINISTRY OF DEFENSE OF THE KINGDOM OF THAILAND AND THE DEPARTMENT OF DEFENSE OF THE UNITED STATES OF AMERICA) โดยร่างความตกลงฯ มีสาระสำคัญเพื่ออำนวยความสะดวกในการสนับสนุนการส่งกำลังบำรุงต่างตอบแทนระหว่างคู่ภาคี สำหรับใช้เป็นหลักในระหว่างการฝึกร่วม การฝึกอบรม การวางกำลัง การขอใช้ท่าเรือ การปฏิบัติการหรือความร่วมมืออื่น ๆ หรือเหตุการณ์ที่มิได้คาดหมายล่วงหน้า หรือความจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งคู่ภาคีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจต้องการการสนับสนุนในการส่งกำลังบำรุง สิ่งอุปกรณ์ และการบริการ โดยแลกเปลี่ยนกับการชำระด้วยเงินสด หรือการจัดการสนับสนุนในการส่งกำลังบำรุง สิ่งอุปกรณ์ และการบริการต่างตอบแทนให้กับกำลังทหารของคู่ภาคีผู้จัดหาให้ ๒. ให้รองเสนาธิการทหารเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ ๓. หากมีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของร่างความตกลงฯ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อสาระสำคัญของร่างความตกลงฯ ให้กระทรวงกลาโหมพิจารณาดำเนินการได้ตามความเหมาะสม |
||||||||||||||||||
26613 | การจัดสรรเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (Structural Adjustment Loan : SAL) เพื่อสนับสนุนโครงการศึกษาและวิเคราะห์ผลกระทบโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล และโครงการศึกษาและวิเคราะห์ผลกระทบจากการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน | กค | 19/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้ดำเนินโครงการเพื่อศึกษาและวิเคราะห์ผลกระทบจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล และผลกระทบจากการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน โดยใช้จ่ายจากเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (Structural Adjustment Loan : SAL) ในวงเงินไม่เกิน ๗๐๐ ล้านบาท ๒. อนุมัติให้แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารและติดตามการดำเนินโครงการ ประกอบด้วย ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ และอธิบดีกรมบัญชีกลาง เป็นกรรมการ ผู้แทนสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และผู้แทนสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นกรรมการและเลขานุการร่วม มีอำนาจหน้าที่บริหาร ติดตาม การดำเนินการทั้งสองโครงการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ และรายงานผลการดำเนินโครงการให้คณะรัฐมนตรีทราบ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียดของแต่ละโครงการที่ประสงค์จะดำเนินการเสนอต่อคณะกรรมการบริหารฯ เพื่อพิจารณากลั่นกรองโครงการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนด และพิจารณาอนุมัติวงเงินค่าใช้จ่ายของแต่ละโครงการจากวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้แล้วจำนวน ๗๐๐ ล้านบาท เพื่อดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามข้อกฎหมาย ระเบียบหลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
26614 | มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 5 พ.ศ. 2555 เรื่อง การจัดระบบและโครงสร้างเพื่อส่งเสริมการเดินและการใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน พร้อมข้อสังเกตของคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ | สช | 19/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๕ พ.ศ. ๒๕๕๕ เรื่อง การจัดระบบและโครงสร้างเพื่อส่งเสริมการเดินและการใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน ตามที่คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องพิจารณาเร่งรัดดำเนินการ โดย ๑.๑.๑ สำนักนายกรัฐมนตรี กำหนดเป็นนโยบายหลักให้การเดินและการใช้จักรยานเป็นวิธีการเดินทางระยะสั้นที่สำคัญ และทำหน้าที่ประสานงานหน่วยงานภาครัฐในการนำนโยบายนี้ไปปฏิบัติ ๑.๑.๒ กระทรวงคมนาคม ส่งเสริมการเชื่อมต่อการเดินทางกับระบบขนส่งสาธารณะด้วยการเดินเท้าและการใช้จักรยาน ให้ความรู้ที่เน้นให้ความสำคัญต่อผู้เดินเท้าและผู้ใช้จักรยานทุกกลุ่มคนในการสอบเพื่อขอใบอนุญาตขับขี่ยานยนต์ทุกชนิด ๑.๑.๓ กระทรวงมหาดไทย และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แก้ไขปรับปรุงกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร และข้อบัญญัติท้องถิ่นให้ผู้เป็นเจ้าของอาคารขนาดใหญ่และอาคารสาธารณะ รวมทั้งสถานีขนส่งสาธารณะ ต้องจัดให้มีที่จอดจักรยานที่สะดวก ปลอดภัย และเพียงพอ รวมถึงกำหนดให้จังหวัดมีหน้าที่สนับสนุนการเดินเท้าและใช้จักรยานให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ๑.๑.๔ กระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กำหนดให้การเดินและการใช้จักรยานเป็นระเบียบวาระขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดทำโครงสร้างพื้นฐานให้เหมาะสมและปลอดภัยต่อการเดินเท้า การใช้ทางเท้าและการสัญจรของคนพิการและการใช้จักรยาน กำหนดพื้นที่จำกัดความเร็วของยานยนต์ และช่องทางการเดิน การใช้จักรยาน มีสัญลักษณ์และป้ายบอกชัดเจนในเขตชุมชน และประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความรู้และรณรงค์อย่างต่อเนื่อง สร้างความตื่นตัวและสนับสนุนกิจกรรม ด้านการเดินและการใช้จักรยานในชีวิตประจำวันแก่สาธารณชน ๑.๑.๕ กระทรวงศึกษาธิการ กำหนดให้สถานศึกษามีหลักสูตรให้ความรู้และพัฒนาทักษะเกี่ยวกับการเดินและการใช้จักรยาน อาทิ การให้ความรู้เกี่ยวกับทักษะการใช้สัญญาณมือและไฟจักรยานกับผู้ขับขี่ให้ถูกต้อง ปลอดภัยและสนับสนุนให้ใช้เครื่องป้องกันอันตรายส่วนบุคคลอย่างต่อเนื่องแก่นักเรียนนักศึกษา รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนให้เดินหรือใช้จักรยานในการเดินทางมาเรียนด้วยการมีส่วนร่วมของนักเรียนนักศึกษา ผู้ปกครอง และชุมชน และจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกในการเดินและการใช้จักรยานภายในสถานศึกษา ๑.๑.๖ กระทรวงอุตสาหกรรม ส่งเสริมผู้ประกอบการธุรกิจและอุตสาหกรรมการผลิตสินค้าและให้บริการที่เกี่ยวกับการเดินและการใช้จักรยาน และการใช้อุปกรณ์เครื่องช่วยคนพิการในการเดินทางที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน และราคาที่เป็นธรรม ๑.๑.๗ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รณรงค์ให้ประชาชนทั่วไปเดินและใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน และสนับสนุนกิจกรรมส่งเสริมการเดินและใช้จักรยานอย่างต่อเนื่อง ๑.๑.๘ กระทรวงพลังงาน มีนโยบายและมาตรการส่งเสริมการเดินทางที่ไม่ใช้เครื่องยนต์ ได้แก่ การเดินและการใช้จักรยาน และการใช้อุปกรณ์เครื่องช่วยคนพิการในการเดินทาง ๑.๑.๙ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สนับสนุนการท่องเที่ยวด้วยจักรยานและกระตุ้นให้ผู้ประกอบการที่พักมีจักรยานให้บริการนักท่องเที่ยว ๑.๑.๑๐ กระทรวงการคลัง มีมาตรการทางภาษีเพื่อสนับสนุน ส่งเสริมและสร้างแรงจูงให้ประชาชนใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน ๑.๑.๑๑ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ รณรงค์ และสร้างองค์ความรู้เพื่อผลักดันนโยบาย และเพื่อสร้างพฤติกรรมสุขภาพด้วยการเดินและการใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน ๑.๒ ให้สำนักนายกรัฐมนตรีสนับสนุนการมีส่วนร่วมเพื่อการจัดระบบและโครงสร้างเพื่อส่งเสริมการเดินและการใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน โดย ๑.๒.๑ สนับสนุนกระบวนการจัดทำยุทธศาสตร์ “การจัดระบบและโครงสร้างเพื่อส่งเสริมการเดินและการใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน” ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมจากภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาคประชาสังคม หน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง โดยพิจารณาร่างข้อเสนอยุทธศาสตร์การจัดระบบและโครงสร้างเพื่อส่งเสริมการเดินและการใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน ตามภาคผนวก ท้ายเอกสารหลัก เป็นเอกสารตั้งต้น ๑.๒.๒ สนับสนุนให้มีการจัดกระบวนการรับฟังความคิดเห็นต่อยุทธศาสตร์ดังกล่าวและเสนอต่อสมัชชาสุขภาพแห่งชาติเฉพาะประเด็นเพื่อรับรองร่างยุทธศาสตร์ให้เสร็จสิ้นภายในปี ๒๕๕๗ ๑.๓ ให้ชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพแห่งประเทศไทยเป็นแกนนำประสานกับภาคีที่เกี่ยวข้องด้านการเดินและการใช้จักรยานและภาคีสมัชชาสุขภาพ สร้างเครือข่ายความร่วมมือขับเคลื่อนการดำเนินงานเพื่อส่งเสริมการเดินและการใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน ร่วมในกระบวนการจัดทำยุทธศาสตร์ฯ รวมทั้งการให้คำปรึกษา คำแนะนำ การสนับสนุนทางวิชาการ การศึกษาดูงานเรียนรู้จากพื้นที่ที่ดำเนินงาน ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติดังกล่าวตามอำนาจหน้าที่ของหน่วยงาน โดยให้อยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และให้รับความเห็นของกระทรวงพลังงาน สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ เกี่ยวกับการจัดตั้งสำนักงานกองทุนสนับสนุนการเดินและใช้จักรยาน โดยนำเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานไปใช้อาจไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การใช้จ่ายเงินกองทุนฯ มาตรา ๒๕ แห่งพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ การหารือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อตกลงร่วมกันในการกำหนดกรอบการดำเนินงานภาพรวมและแนวทางการดำเนินงานในแต่ละยุทธศาสตร์เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนของภาระงานและงบประมาณ การทบทวนกรอบระยะเวลาที่กำหนดให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๕๘ ให้มีความเหมาะสมและเป็นไปได้จริงในทางปฏิบัติ การพิจารณามาตรการสนับสนุนด้านอื่น ๆ เพื่อให้เกิดความยั่งยืนของการดำเนินการที่ไม่ได้มุ่งเน้นการพึ่งพิงงบประมาณจากภาครัฐเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ การเดินและการใช้จักรยานในชีวิตประจำวันยังมีอุปสรรค สืบเนื่องจากปัจจัยแวดล้อม (Built Environment) ที่ไม่เอื้ออำนวย จึงควรสนับสนุนแนวทางการลดอุปสรรคในการเดินทางและการใช้จักรยานในชีวิตประจำวันที่เกิดจากปัจจัยแวดล้อม (Built Environment) ที่ไม่เอื้ออำนวย รวมทั้งการแสวงหาแนวทางการพัฒนาในด้านธุรกิจ-อุตสาหกรรม และการท่องเที่ยวเพื่อส่งเสริมการใช้จักรยาน เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
26615 | ขอความเห็นชอบให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคกู้เงินระยะสั้นประเภทกู้เบิกเงินเกินบัญชี (O/D) | มท | 19/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ใช้เงินกู้ระยะสั้นกับธนาคารที่มีเงื่อนไขเหมาะสมที่สุด เพื่อสำรองไว้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการเสริมสภาพคล่องในกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วน เป็นระยะเวลา ๑ ปี (มกราคม-ธันวาคม ๒๕๕๗) ในวงเงิน ๔,๕๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกัน ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรพิจารณาวิธีการกู้เงินระยะสั้นในรูปแบบอื่น ๆ ด้วย เช่น ตั๋วสัญญาใช้เงิน การทำสัญญากู้เงินเมื่อทวงถาม (Call Loan) และเลือกรูปแบบที่มีต้นทุนต่ำสุดตามอัตราดอกเบี้ยตลาด โดยกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ให้ส่วนราชการที่ยังคงค้างชำระค่าไฟฟ้ากับ กฟภ. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปดำเนินการให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๕ [เรื่อง ขอความเห็นชอบให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคกู้เงินระยะสั้นประเภทกู้เบิกเงินเกินบัญชี (O/D)] ที่กำหนดให้ส่วนราชการที่ยังคงค้างชำระหนี้ค่าสาธารณูปโภค หากมีงบประมาณเหลือจ่ายหรือมีงบประมาณเพียงพอที่จะโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณก็ให้โอนไปชำระหนี้ค่าสาธารณูปโภคเป็นลำดับแรกอย่างเคร่งครัด |
||||||||||||||||||
26616 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ศธ | 19/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๓ ดังต่อไปนี้
๑. แก้ไขเพิ่มเติมปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาเพื่อกำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาของสาขาวิชาการแพทย์แผนไทย ๒. กำหนดสีประจำสาขาวิชาของสาขาวิชาการแพทย์แผนไทย
|
||||||||||||||||||
26617 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติส่งเสริมการฝึกวิชาทหาร พ.ศ. 2503 | กห | 19/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติส่งเสริมการฝึกวิชาทหาร พ.ศ. ๒๕๐๓ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๐ (พ.ศ. ๒๕๒๘) ออกตามความในพระราชบัญญัติส่งเสริมการฝึกวิชาทหาร พ.ศ. ๒๕๐๓ เพื่อกำหนดเกณฑ์อายุของบุคคลที่จะมีสิทธิสมัครเข้ารับการฝึกวิชาทหาร โดยกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำ คือ มีอายุไม่ต่ำกว่าสิบห้าปีบริบูรณ์ ณ วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ของปีปฏิทินที่สมัคร ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เกี่ยวกับการดำเนินนโยบายที่เกี่ยวข้องกับร่างกฎกระทรวงฯ ตามเจตนารมณ์ของพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child : CRC) ได้แก่ ข้อ ๑ การประกันว่าสมาชิกของกองทัพซึ่งอายุไม่ถึง ๑๘ ปี จะไม่มีส่วนร่วมโดยตรงในการสู้รบ ข้อ ๒ การประกันว่าบุคคลที่อายุไม่ถึง ๑๘ ปี จะไม่ถูกคัดเลือกโดยการบังคับให้เข้าร่วมในกองทัพ และข้อ ๓ วรรค ๑ สำหรับการคัดเลือกบุคคลโดยสมัครใจเพื่อเข้าร่วมในกองทัพ บุคคลอายุต่ำกว่า ๑๘ ปี จะได้รับการคุ้มครองเป็นพิเศษ โดยมาตรการคุ้มครองพิเศษสำหรับบุคคลที่อยู่ในกองทัพซึ่งอายุต่ำกว่า ๑๘ ปี ในการฝึกวิชาทหาร อาทิ การพิจารณาปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอน หรือการใช้เครื่องช่วยฝึกอื่น เพื่อทดแทนอาวุธจริงของโรงเรียนในสังกัดกองทัพ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
26618 | ร่างพระราชบัญญัติกำลังสำรอง พ.ศ. .... | กห | 19/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติกำลังสำรอง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยกำลังสำรอง ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับมาตรา ๑๖ วรรค ๓ ของร่างพระราชบัญญัติฯ ที่บัญญัติให้เมื่อมีภาวะไม่ปกติเกิดขึ้น หรือมีการประกาศกฎอัยการศึก หรือประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินของทางราชการในเขตท้องที่ซึ่งเป็นภูมิลำเนาของกำลังสำรอง หรือที่ตั้งหน่วยงานทหารที่กำลังสำรองมีรายชื่อบรรจุอยู่ ให้กำลังสำรองไปรายงานตนเองโดยเร็วที่สุด แม้จะไม่ได้รับคำสั่งเรียกพล และมาตรา ๒๒ ที่บัญญัติให้หากกำลังสำรองหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนไม่ไปรายงานตนเองต้องระวางโทษ กรณีดังกล่าวทำให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ เนื่องจากกำลังสำรองในเขตท้องที่ซึ่งเป็นภูมิลำเนาของกำลังสำรอง หรือที่ตั้งหน่วยทหารที่กำลังสำรองมีรายชื่อบรรจุอยู่ไม่ทราบเรื่อง และไม่ได้ไปรายงานตนเอง อาจทำให้ถูกลงโทษ ประกอบกับพิจารณาว่าการกำหนดให้กำลังสำรองมีฐานะเช่นเดียวกับข้าราชการทหาร หรือทหารกองประจำการอาจจะไม่เหมาะสม รวมทั้งความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับการเรียกกำลังสำรอง ตามมาตรา ๑๖ วรรค ๓ ควรศึกษาถึงเจตนารมณ์ของการเรียกมารายงานตัวและภารกิจที่จะมอบหมายให้ดำเนินการให้มีความชัดเจน ส่วนการรับสมัครกำลังสำรองตามมาตรา ๑๘ กระทรวงกลาโหมยังมีความจำเป็นที่จะต้องบรรจุกำลังสำรองดังกล่าวเข้ารับราชการทหารเป็นการชั่วคราวเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนกำลังพลดังกล่าวหรือไม่ ไปประกอบการพิจารณาด้วย เพื่อให้เกิดความชัดเจนทั้งขั้นตอน วิธีการปฏิบัติ และบทกำหนดโทษ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับภาระงบประมาณที่เพิ่มขึ้นจากสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่กำลังสำรองพึงจะได้รับ เมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้ เห็นสมควรให้กระทรวงกลาโหมเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับตามความจำเป็นและเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
26619 | สมาคมญาติและวีรชน 14 ตุลา 16 ขอให้พิจารณาจ่ายเงินดำรงชีพแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 | พม | 19/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการจ่ายเงินดำรงชีพรายเดือนเป็นครั้งสุดท้ายแก่วีรชน ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ หรือทายาทของวีรชนและค่าจัดการศพกรณีวีรชน ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ที่เสียชีวิตตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๑.๑.๑ ให้การช่วยเหลือเป็นเงินดำรงชีพรายเดือนเป็นครั้งสุดท้ายในอัตรา ๗,๐๐๐ บาทต่อเดือน แก่ผู้ที่เคยได้รับความช่วยเหลือตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๔๙ (เรื่อง การพิจารณาหลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖) จนเสียชีวิต โดยสิทธิดังกล่าวจะไม่ตกทอดถึงทายาทและให้จ่ายย้อนหลังตั้งแต่วันจันทร์ที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่นายกรัฐมนตรีเห็นชอบมอบหมายกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการนำเรื่องนี้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๔๙ มติคณะรัฐมนตรีวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๔๙ (เรื่อง รายงานการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖) และวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๐ (เรื่อง ตัวแทนวีรชน ๑ ตุลาคม ๒๕๑๖ ขอให้พิจารณาดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี แก่วีรชนที่พิการ ทุพพลภาพ) และให้ความเห็นชอบการให้ความช่วยเหลือสมาชิกสมาคมญาติและวีรชน ๑๔ ตุลา ๑๖ ซึ่งเสียชีวิตตั้งแต่วันจันทร์ที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ให้มีสิทธิได้รับเงินดำรงชีพรายเดือนตั้งแต่วันจันทร์ที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๕ จนถึงวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในการให้ความช่วยเหลือสมาชิกสมาคมญาติและวีรชน ๑๔ ตุลา ๑๖ หรือตามที่คณะรัฐมนตรีเห็นสมควร ๑.๑.๒ กรณีวีรชน ๑๔ ตุลา ๑๖ ซึ่งเสียชีวิตตั้งแต่ปี ๒๕๕๒ ในช่วงระหว่างการเรียกร้องครั้งนี้ ให้ช่วยเหลือค่าจัดการศพ รายละ ๒๐,๐๐๐ บาท ไม่รวมกรณีญาติวีรชนที่เสียชีวิตในช่วงระหว่างการเรียกร้อง เนื่องจากทางราชการได้ให้ความช่วยเหลือค่าจัดการศพวีรชนไปแล้ว ๑.๒ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จัดทำหลักฐานว่าผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ที่ได้รับเงินการช่วยเหลือเป็นเงินดำรงชีพในครั้งนี้ได้รับการเยียวยาที่เหมาะสมตามหลักมนุษยธรรมแล้ว จะไม่เรียกร้องขอรับเงินช่วยเหลืออื่นใดจากทางราชการอีก ๒. สำหรับงบประมาณดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้กันไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว ภายในกรอบวงเงิน จำนวน ๙,๔๑๐,๐๐๐ บาท โดยขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ หลังจากดำเนินการตามขั้นตอนและตรวจสอบหลักฐานในการจ่ายเงินให้ความช่วยเหลือจนได้ข้อยุติแล้ว ทั้งนี้ การให้ความช่วยเหลือในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป จะมีภาระงบประมาณ จำนวน ๕,๘๘๐,๐๐๐ บาทต่อปี หากช่วยเหลือเป็นเวลา ๑๐ ปี จะมีภาระงบประมาณทั้งสิ้น ๕๘,๘๐๐,๐๐๐ บาท สำหรับในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ไปดำเนินการเป็นลำดับแรกก่อน ส่วนในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป |
||||||||||||||||||
26620 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลพิจิตร และตำบลนาหม่อม อำเภอนาหม่อม จังหวัดสงขลา พ.ศ. .... | กษ | 19/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลพิจิตร และตำบลนาหม่อม อำเภอนาหม่อม จังหวัดสงขลา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลพิจิตร และตำบลนาหม่อม อำเภอนาหม่อม จังหวัดสงขลา เพื่อประโยชน์แก่การชลประทาน ในการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำและระบบระบายน้ำพร้อมอาคารประกอบ ตามโครงการอ่างเก็บน้ำพรุพลีควาย และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
.....