ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1337 จากทั้งหมด 6214 หน้า แสดงรายการที่ 26721 - 26740 จากข้อมูลทั้งหมด 124262 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
26721 | รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส 3 ปี 2556 และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนพฤศจิกายน 2556 | อก | 21/01/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส ๓ ปี ๒๕๕๖ และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส ๓ ปี ๒๕๕๖ (เดือนกรกฎาคม-เดือนกันยายน ๒๕๕๖) ๑.๑ สถานการณ์การค้าในไตรมาสที่ ๓ ของปี ๒๕๕๖ ชะลอตัวลงทั้งการส่งออกและการนำเข้าเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในไตรมาสที่ ๓ การค้าต่างประเทศของไทยมีมูลค่าทั้งสิ้น ๑๑๙,๕๗๔.๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นมูลค่าการส่งออกเท่ากับ ๕๘,๘๓๕.๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมูลค่าการนำเข้าเท่ากับ ๖๐,๗๓๘.๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับไตรมาสที่ ๒ ของปี ๒๕๕๖ มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ ๔.๔๓ และมูลค่าการนำเข้าลดลงร้อยละ ๖.๑๒ ส่งผลให้ไตรมาสที่ ๓ ของปี ๒๕๕๖ ดุลการค้ายังคงขาดดุล แต่มีมูลค่าลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า โดยมีมูลค่า ๑,๙๐๒.๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าการส่งออกและนำเข้ากับช่วงเดียวกันของปีก่อน มูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ ๒.๐๘ สำหรับมูลค่าการนำเข้ามีมูลค่าลดลงร้อยละ ๑.๕๕ ๑.๒ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสุทธิในช่วงไตรมาสที่ ๓ ของปี ๒๕๕๖ การลงทุนสุทธิในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมมีมูลค่ารวม ๙๙,๐๒๕ ล้านบาท ซึ่งการลงทุนโดยตรงสุทธิในเดือนกรกฎาคมมีมูลค่า ๖๔,๑๙๐.๘ ล้านบาท และเดือนสิงหาคมมีมูลค่าเงินลงทุนสุทธิ ๓๔,๘๓๔.๒ ล้านบาท เมื่อพิจารณาการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมตลอดทั้ง ๒ เดือนแรกในไตรมาสที่ ๓ ของปี ๒๕๕๖ มูลค่าการลงทุนในเดือนกรกฎาคมมีมูลค่าลงทุนสุทธิ ๓๑,๖๔๘.๓ ล้านบาท และเดือนสิงหาคมมีมูลค่าการลงทุนสุทธิ ๒๓,๘๑๕.๖ ล้านบาท โดยการลงทุนรวมในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมของสาขาอุตสาหกรรมมีมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ ๗.๐๓ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ๑.๓ การลงทุนที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) ในช่วงไตรมาสที่ ๓ ของปี ๒๕๕๖ การลงทุนที่ได้รับอนุมัติมีจำนวนทั้งสิ้น ๔๘๓ โครงการ ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยในไตรมาสที่ ๓ การลงทุนในกิจการต่าง ๆ มีมูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น ๓๔๘,๐๐๐ ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยโครงการลงทุนในไตรมาสที่ ๓ ปี ๒๕๕๖ ประกอบด้วย โครงการที่ลงทุนจากต่างประเทศ ร้อยละ ๑๐๐ จำนวน ๑๘๘ โครงการ คิดเป็นเงินลงทุน ๕๕,๘๐๐ ล้านบาท เป็นโครงการร่วมลงทุนระหว่างไทยและต่างประเทศ ๑๔๓ โครงการ เป็นเงินลงทุน ๒๑๐,๒๐๐ ล้านบาท และโครงการที่ลงทุนจากไทย ร้อยละ ๑๐๐ จำนวน ๑๕๒ โครงการ เป็นเงินลงทุน ๘๒,๐๐๐ ล้านบาท ๒. รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๖ ๒.๑ อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม การผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์กลุ่มสิ่งทอคาดว่าจะขยายตัวตามความต้องการใช้ภายในประเทศในกลุ่มอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น กลุ่มเส้นใยสังเคราะห์ ผ้าผืน สำหรับผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องนุ่งห่มคาดว่า จะขยายตัวได้เพียงเล็กน้อยแม้ว่าจะเริ่มเข้าสู่เทศกาลสำคัญต่าง ๆ ประกอบกับกำลังซื้อผู้บริโภคสินค้าแฟชั่นอาจจะชะลอตัวตามหนี้ภาคครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ภาคการส่งออกคาดว่า จะกระเตื้องขึ้นในทิศทางที่เป็นบวกในช่วงเทศกาลสำคัญปลายปี ๒.๒ อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ภาพรวมการผลิตและการจำหน่ายในประเทศของอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์มีแนวโน้มปรับตัวลดลงเล็กน้อยอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากไทยกำลังจะเข้าสู่ฤดูกาลเก็บเกี่ยว แรงงานในภาคก่อสร้างซึ่งเป็นแรงงานกลุ่มเดียวกับแรงงานในภาคเกษตรจะทยอยกันกับสู่ภูมิลำเนาของตน ส่งผลให้ภาคก่อสร้างต้องชะลอตัวลง สำหรับแนวโน้มการส่งออกคาดว่า จะปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศมีแนวโน้มสูงขึ้น ส่งผลให้บริษัทผู้ผลิตมีนโยบายสำรองปูนซีเมนต์ไว้ใช้ในประเทศมากขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
26722 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การเข้าร่วมงาน Universal Exhibition Milano 2015 | กษ | 21/01/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การเข้าร่วมงาน Universal Exhibition Milano 2015 ระหว่างวันที่ ๑ พฤษภาคม ถึง ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ ณ เมืองมิลาน สาธารณรัฐอิตาลี ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการเข้าร่วมงาน Universal Exhibition Milano 2015 มีปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานกรรมการ มีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดกรอบแนวทางรูปแบบการดำเนินการจัดงาน พิจารณาให้ความเห็นชอบแผนงาน โครงการ งบประมาณ และกิจกรรม ตามที่คณะอนุกรรมการหรือคณะทำงานเสนอ สนับสนุน กำกับ ดูแล ติดตามการจัดงานต่าง ๆ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารจัดการเข้าร่วมงาน Universal Exhibition Milano 2015 มีนายโอฬาร พิทักษ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานอนุกรรมการ มีหน้าที่กำหนดกรอบแนวทาง รูปแบบการดำเนินการจัดงาน พิจารณาให้ความเห็นชอบเรื่องการจัดตั้งงบประมาณ กิจกรรมการจัดงาน และกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ๒. การจัดตั้งสำนักงานประสานงานโครงการ Universal Exhibition Milano 2015 ขึ้นในสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อทำหน้าที่สนับสนุน กำกับ ดูแล และติดตามการจัดงานด้านต่าง ๆ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ๓. การจัดส่งเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมที่องค์กรผู้จัดงาน ได้แก่ การประชุม Building Together Expo Milano 2015 เมื่อวันที่ ๒-๓ พฤษภาคม ๒๕๕๖ เป็นการประชุมเพื่อชี้แจงหลักเกณฑ์การก่อสร้างแก่ผู้เข้าร่วมงานที่จะดำเนินการก่อสร้างเอง และการประชุม International Participants Meeting ครั้งที่ ๓ เมื่อวันที่ ๓-๔ ตุลาคม ๒๕๕๖ เป็นการประชุมเพื่อชี้แจงความก้าวหน้าในการเตรียมพื้นที่และแผนการดำเนินงานขององค์กรผู้จัดงาน ๔. การกำหนดแผนปฏิบัติงาน โครงการ Universal Exhibition Milano 2015 ระยะเวลาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๙ ที่สอดคล้องกับกรอบเวลาที่องค์กรผู้จัดงานกำหนด เพื่อจะได้ประสานผู้เกี่ยวข้องและกำกับ ติดตามการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ให้เสร็จทันตามกำหนด ๕. การดำเนินการจัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อดำเนินการดูแล ควบคุมงานออกแบบ ก่อสร้าง และการจัดการนิทรรศการในการเข้าร่วมงาน โดยวิธีการคัดเลือก ซึ่งบริษัทที่ได้รับการพิจารณาคัดเลือกเป็นที่ปรึกษาได้เสนอวงเงินงบประมาณในการจัดจ้างทั้งสิ้น ๓๘,๔๙๙,๐๐๐ บาท ต่ำกว่าวงเงินงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรจากสำนักงบประมาณ จำนวน ๕๔๖,๖๐๐ บาท โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ลงนามในสัญญาจ้างที่ปรึกษาเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๖ ระยะเวลาการดำเนินงานของที่ปรึกษาเริ่มตั้งแต่วันถัดจากวันลงนามในสัญญาจ้างจนถึงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ๖. การจ้างออกแบบ ก่อสร้าง ตกแต่งอาคาร จัดนิทรรศการ รื้อถอน และการจัดการนิทรรศการ อยู่ระหว่างการดำเนินการจัดจ้าง โดยได้แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาร่างข้อกำหนดขอบเขตงาน (TOR) จ้างออกแบบ ก่อสร้าง ตกแต่งอาคารจัดนิทรรศการ รื้อถอน และการจัดการนิทรรศการในงาน และขณะนี้คณะกรรมการฯ ได้จัดทำข้อกำหนดขอบเขตงานจ้างดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว การจัดจ้างจะดำเนินการโดยวิธีพิเศษ เนื่องจากเป็นงานที่ต้องจ้างผู้ที่มีฝีมือโดยเฉพาะ มีความชำนาญและประสบการณ์เป็นพิเศษ อีกทั้งเป็นงานที่ต้องปฏิบัติงานในต่างประเทศ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ ๒๔ (๑), (๓) และข้อ ๒๕
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
26723 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2557 ครั้งที่ 1 | กค | 21/01/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ครั้งที่ ๑ ที่มีวงเงินปรับลดลง ๕,๑๖๘.๙๒ ล้านบาท จากเดิม ๑,๓๒๑,๔๙๙.๗๖ ล้านบาท เหลือ ๑,๓๑๖,๓๓๐.๘๔ ล้านบาท ๑.๒ อนุมัติการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจภายใต้กรอบวงเงินของแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ปรับปรุงครั้งที่ ๑ ซึ่งเป็นโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ดำเนินการโดยมติคณะรัฐมนตรี และ/หรือโดยหน่วยงานไว้ก่อนวันที่ได้มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๓ อนุมัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินและการค้ำประกันในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ปรับปรุงครั้งที่ ๑ ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๒. กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการต่อไปได้เมื่อมติคณะรัฐมนตรีไม่ขัดหรือแย้งต่อมติของคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ครั้งที่ ๑ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
26724 | ปรับปรุงคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฎิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี | นร05 | 21/01/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ ๖/๒๕๕๗ ลงวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๕๗ เรื่อง ปรับปรุงคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้
๑. ให้ยกเลิกข้อ ๓.๒.๓ ของคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ ๑๕๑/๒๕๕๖ ลงวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ๒. มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล) กำกับการบริหารราชการและสั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้ - สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
26725 | ผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย - เวียดนาม ครั้งที่ 1 | กต | 21/01/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (Joint Commission on Bilateral Cooperation-JCBC) ไทย-เวียดนาม ครั้งที่ ๑ เมื่อวันที่ ๔-๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ณ กรุงเทพฯ โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเวียดนามเป็นประธานร่วม ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมเห็นพ้องให้ส่งเสริมความร่วมมือด้านกลาโหม รวมทั้งการจัดตั้งกลไกในระดับรัฐมนตรีช่วยว่าการ/ปลัดกระทรวงกลาโหมของทั้งสองประเทศ เพื่อเป็นกลไกหลักในการหารือนโยบายและความร่วมมือทางทหารระหว่างกัน ๒. ที่ประชุมเห็นพ้องให้ขยายความร่วมมือเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ อาทิ การฟอกเงิน การค้ามนุษย์ อาชญากรรมคอมพิวเตอร์ (cyber-crimes) และเสนอให้จัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามการค้ายาเสพติดระหว่างไทยกับเวียดนามตามแนวเส้นทางที่เชื่อมโยงระหว่างกัน ๓. ที่ประชุมเห็นชอบให้ฝ่ายไทยจัดตั้งคณะทำงานขึ้นเพื่อร่วมมือกับคณะทำงานของเวียดนามในการแก้ปัญหาเรือประมงเวียดนามรุกล้ำเข้ามาทำการประมงในน่านน้ำไทย ๔. ที่ประชุมเห็นพ้องให้ส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าเพื่อบรรลุเป้าหมายมูลค่าการค้าทวิภาคี ๑๕,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี ๒๕๖๓ โดยใช้ประโยชน์จากกรอบการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee-JTC) อย่างเต็มที่ ๕. ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบที่จะส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าและการแปรรูปสินค้าเกษตรเพื่อเพิ่มมูลค่า เช่น ข้าว ยางพารา และมันสำปะหลัง ตลอดจนส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์จากสินค้าเกษตรให้มีคุณภาพมากขึ้น ๖. ที่ประชุมเห็นพ้องให้สองฝ่ายร่วมกันผลักดันการลงนามในข้อตกลงเพื่อรวมเส้นทางหมายเลข ๘ และ ๑๒ เข้าในแนวพื้นที่เศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor-EWEC) อย่างเป็นทางการภายในปี ๒๕๕๗ ๗. ที่ประชุมเห็นพ้องกันที่จะส่งเสริมความเชื่อมโยงในภูมิภาคทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ เพื่อส่งเสริมการค้าและการท่องเที่ยวในภูมิภาค โดยฝ่ายไทยเสนอให้ทั้งสองฝ่ายร่วมกันสนับสนุนการใช้ประโยชน์จากแนวพื้นที่เศรษฐกิจตอนใต้ (Southern Economic Corridor-SEC) และพัฒนาความร่วมมือด้านการขนส่งทางเรือตามแนวชายฝั่งทะเล ๘. ที่ประชุมเห็นพ้องที่จะร่วมมือกันส่งเสริมการท่องเที่ยวในภูมิภาค โดยเฉพาะตามเส้นทาง EWEC และเส้นทางหมายเลข ๘ โดยฝ่ายไทยได้ย้ำข้อเสนอเรื่องความร่วมมือ ACMECS Single Visa ๙. ฝ่ายเวียดนามเสนอให้มีการจัดทำบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับความร่วมมือด้านแรงงานโดยเร็ว ซึ่งฝ่ายไทยรับที่จะหารือในรายละเอียดกับฝ่ายเวียดนามต่อไป ๑๐. ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้เร่งรัดการจัดทำแผนปฏิบัติการว่าด้วยความร่วมมือด้านวัฒนธรรมสำหรับปี ๒๕๕๗-๒๕๕๙ ให้สำเร็จโดยเร็ว โดยฝ่ายเวียดนามเสนอให้มีการจัดทำความตกลงด้านกีฬา ซึ่งฝ่ายไทยรับจะพิจารณา ๑๑. ที่ประชุมเห็นพ้องกันที่จะกระชับความร่วมมือด้านการศึกษาผ่านการให้ทุนการศึกษา การแลกเปลี่ยนบุคลากรทางการศึกษาและเยาวชน ตลอดจนการจัดตั้งศูนย์ไทยศึกษาและเวียดนามศึกษาระหว่างกัน ๑๒. ที่ประชุมสนับสนุนบทบาทของสมาคมมิตรภาพไทย-เวียดนาม และสมาคมมิตรภาพเวียดนาม-ไทย ในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน ๑๓. ที่ประชุมได้ย้ำเจตนารมณ์ที่จะส่งเสริมสันติภาพ ความมั่นคง และเสรีภาพในการเดินเรือในทะเลจีนใต้ และแสดงความพอใจกับความคืบหน้าของการหารือในกรอบอาเซียน-จีน ซึ่งได้มีการหารืออย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการจัดทำแนวปฏิบัติในทะเลจีนใต้ (Code of Conduct-COC) เป็นครั้งแรก และหวังว่าทุกฝ่ายจะรักษาแรงขับเคลื่อนเพื่อนำไปสู่การจัดทำ COC ต่อไป ๑๔. ทั้งสองฝ่ายให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการ โดยเฉพาะตามลำน้ำโขง ซึ่งฝ่ายไทยได้แจ้งที่ประชุมเรื่องแผนการจัดการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืนในอนุภูมิภาคแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง ในปี ๒๕๕๗ ๑๕. ฝ่ายไทยเสนอให้มีการจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมอย่างไม่เป็นทางการไทย-เวียดนาม ครั้งที่ ๓ ในเดือนมกราคม ๒๕๕๗ ซึ่งฝ่ายเวียดนามเห็นชอบ และเห็นควรให้นายกรัฐมนตรีเวียดนามเยือนไทยอย่างเป็นทางการในโอกาสเดียวกันด้วย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมือง ฝ่ายไทยเห็นควรให้เลื่อนการเยือนและการประชุมดังกล่าวออกไปก่อน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
26726 | รายงานผลการเบิกจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปี 2556 ไตรมาส 4 (กรกฎาคม - กันยายน 2556) | นร11 | 21/01/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเบิกจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ประจำปี ๒๕๕๖ ไตรมาส ๔ (กรกฎาคม-กันยายน ๒๕๕๖) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จากการประมวลผลการดำเนินงานในไตรมาส ๔ ของรัฐวิสาหกิจที่ใช้รอบปีบัญชีทั้งปีงบประมาณและปีปฏิทิน จำนวน ๕๔ แห่ง ปรากฏว่ารัฐวิสาหกิจในภาพรวมสามารถเบิกจ่ายลงทุนในช่วงดังกล่าวได้จำนวน ๑๐๑,๑๓๙ ล้านบาท หรือร้อยละ ๗๖.๙ ของเป้าหมายไตรมาส ๔ (จำนวน ๑๓๑,๔๕๕ ล้านบาท) ซึ่งต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่เบิกจ่ายลงทุนได้ร้อยละ ๙๑.๒ และสามารถเบิกจ่ายลงทุนสะสมตั้งแต่ตุลาคม ๒๕๕๕-กันยายน ๒๕๕๖ ได้จำนวน ๒๕๕,๓๙๙ ล้านบาท หรือร้อยละ ๗๓.๘ ของเป้าหมายสะสม (จำนวน ๓๔๕,๘๕๕ ล้านบาท) ๒. ผลการเบิกจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจในไตรมาส ๔ (กรกฎาคม-กันยายน ๒๕๕๖) เปรียบเทียบกับเป้าหมายการเบิกจ่ายลงทุนของไตรมาสที่แล้ว มีรัฐวิสาหกิจที่มีผลการเบิกจ่ายลงทุนต่ำกว่าเป้าหมายหลายแห่ง โดยหากพิจารณารัฐวิสาหกิจที่มีวงเงินลงทุนสูงซึ่งอาจมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและมีผลการเบิกจ่ายลงทุนต่ำกว่าเป้าหมายนั้น ที่สำคัญ ได้แก่ การรถไฟแห่งประเทศไทย บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย โดยสาเหตุที่เบิกจ่ายได้ต่ำกว่าเป้าหมายที่สำคัญเนื่องจากปัญหาความล่าช้าในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภายใน การทบทวนแผนการลงทุน การส่งมอบงานล่าช้า รวมทั้งความไม่พร้อมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ดำเนินการ ส่งผลให้ไม่สามารถดำเนินการลงทุนได้ตามแผน นอกจากนี้ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) มีการปรับลดอัตราการจ่ายค่าเครื่องบินล่วงหน้า จากเดิมร้อยละ ๓๕ เป็นร้อยละ ๒๐ ซึ่งเป็นอัตราที่บริษัทผู้ผลิตเครื่องบินเป็นผู้กำหนด ส่งผลให้การเบิกจ่ายต่ำกว่าเป้าหมายเดิม อย่างไรก็ตาม รัฐวิสาหกิจที่เป็นปีปฏิทิน ได้แก่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย คาดว่าจะสามารถเร่งเบิกจ่ายได้มากขึ้นในช่วงปลายปี
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
26727 | ผลการประชุมสภารัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย ครั้งที่ 13 | กต | 21/01/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมสภารัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย (Indian Ocean Rim Association-IORA) ครั้งที่ ๑๓ เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ณ เมืองเพิร์ท ประเทศออสเตรเลีย โดยมีที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายพิเชษฐ์ หวังเทพอนุเคราะห์) เข้าร่วมการประชุมฯ และให้ส่วนราชการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปตามรายละเอียดในตารางติดตามผล ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. ความมั่นคงทางทะเลและการปราบปรามโจรสลัด ได้แก่ เข้าร่วมประชุมด้านความมั่นคงทางทะเลและการปราบปรามโจรสลัดภายใต้กรอบความร่วมมือ ให้ความร่วมมือในการจัดตั้ง Maritime Transport Council บริษัทขนส่งทางเรือในภูมิภาค แลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาโจรสลัดในมหาสมุทรอินเดีย ติดตามสถานะความร่วมมือและรายงานผล ๒. การเชื่อมโยงด้านคมนาคม ได้แก่ เสนอแนวทางดำเนินการในการพัฒนาท่าเรือระบบขนส่งและโลจิสติกส์ในประเทศสมาชิกและการเชื่อมโยงท่าเรือในเอเชียกับท่าเรือในภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย ๓. การค้าและการลงทุน ได้แก่ เป็น focal point คณะทำงานด้านการค้าและการลงทุน พิจารณาเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจและภาคเอกชนของประเทศสมาชิก การประชุมด้านการค้า การลงทุน และศุลกากร และการประชุมที่เกี่ยวข้องภายใต้กรอบความร่วมมือติดตามผลการดำเนินการของคณะทำงานการค้าและการลงทุน ร่วมมือเพื่อพัฒนาขีดความสามารถ SMEs ของประเทศสมาชิก ๔. บทบาทภาคเอกชน ได้แก่ ติดตามผลการดำเนินการของ Business Forum เป็น focal point ของคณะทำงานด้านธุรกิจ ร่วมมือในการพัฒนาระบบการเงิน/ธนาคารในประเทศสมาชิก เข้าร่วมการประชุมที่เกี่ยวข้อง ๕. การประมง ได้แก่ ดำเนินการให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติการ Fisheries Support Unit และเป็น focal point ของไทยในเรื่องนี้ เข้าร่วมการสัมมนาด้านประมง และพิจารณาจัดฝึกอบรมด้านพืชพรรณไม้น้ำและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องสำหรับประเทศสมาชิก ๖. การจัดการภัยพิบัติ ได้แก่ ให้ความร่วมมือด้านข้อมูลเกี่ยวกับระบบเตือนภัยล่วงหน้า การจัดการน้ำ และพัฒนาขีดความสามารถร่วมกับประเทศสมาชิก และเข้าร่วมการประชุมด้านจัดการภัยพิบัติในกรอบความร่วมมือ ประสานความร่วมมือระหว่างศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย ศูนย์ประสานความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอาเซียน Intergovernmental Oceanographic Commission และศูนย์ในประเทศสมาชิก ๗. ความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้แก่ สนับสนุนกิจกรรมและพิจารณาเป็นเจ้าภาพการประชุม/สัมมนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับศูนย์ภูมิภาคสำหรับวิทยาศาสตร์และการถ่ายโอนเทคโนโลยี โดยเฉพาะยา สมุนไพร เป็น focal point ของศูนย์ภูมิภาคสำหรับวิทยาศาสตร์และการถ่ายโอนเทคโนโลยีของ IORA โดยดำเนินการจัดกิจกรรมร่วมกับศูนย์ ๘. การท่องเที่ยวและวัฒนธรรม ได้แก่ เข้าร่วมการประชุมที่เกี่ยวข้อง ร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับศูนย์ข้อมูลท่องเที่ยวในภูมิภาคที่จะจัดตั้งขึ้น สนับสนุนความร่วมมือด้านหอจดหมายเหตุ การแลกเปลี่ยนและอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
26728 | รายงานผลการลงนามบันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือด้านลิขสิทธิ์และสิทธิ์ข้างเคียงระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญาและสำนักงานลิขสิทธิ์เกาหลี | พณ | 21/01/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ลงนามบันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือด้านลิขสิทธิ์และสิทธิข้างเคียง ระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญาและสำนักงานลิขสิทธิ์เกาหลี [Memorandum of Understanding on the co-operation in the field of Copyright and Neighboring Rights between The Department of Intellectual Property (Ministry of Commerce Thailand) and The Korea Copyright Office Ministry of Culture Sports and Tourism of Republic of Korea] กับอธิบดีสำนักงานลิขสิทธิ์เกาหลี เมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ณ กรมทรัพย์สินทางปัญญา โดยลงนามร่วมกันในต้นฉบับภาษาอังกฤษ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันลงนาม และทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนเอกสารการลงนามครบถ้วนแล้วในวันเดียวกัน ๒. บันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการคุ้มครองลิขสิทธิ์และป้องปรามการละเมิดลิขสิทธิ์ ตลอดจนส่งเสริมอุตสาหกรรมวัฒนธรรมของทั้งสองประเทศผ่านการหารือแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้อง ครอบคลุมความร่วมมือด้านต่าง ๆ เช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูล การจัดการประชุมหารือระดับอธิบดีหรือระดับผู้บริหารชั้นสูงและระดับเจ้าหน้าที่ การแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ปฏิบัติงานด้านลิขสิทธิ์ เป็นต้น มีผลเป็นระยะเวลา ๓ ปี นับจากวันที่ลงนาม และจะต่ออายุโดยอัตโนมัติ เว้นแต่จะมีผู้เข้าร่วมฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแจ้งความประสงค์ที่จะยกเลิกความร่วมมือฉบับนี้เป็นลายลักษณ์อักษรอย่างน้อย ๖ เดือน ก่อนบันทึกความเข้าใจฯ จะมีกำหนดสิ้นสุด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
26729 | สรุปผลสำมะโนการเกษตร พ.ศ. 2556 | ทก | 21/01/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลสำมะโนการเกษตร พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผู้ถือครองและเนื้อที่ถือครองทำการเกษตร ๑.๑ ประเทศไทยมีผู้ถือครองทำการเกษตรทั้งสิ้น ณ วันสำมะโน (๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖) จำนวน ๕.๙ ล้านคน (ร้อยละ ๒๕.๙ ของครัวเรือนทั้งประเทศ) มีเนื้อที่ถือครองทำการเกษตรทั้งสิ้น ๑๑๔.๖ ล้านไร่ (เฉลี่ย ๑๙.๔ ไร่ต่อราย) ผู้ถือครองและเนื้อที่ถือครองทำการเกษตรมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากปี ๒๕๔๖ ร้อยละ ๑.๗ ๑.๒ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีจำนวนผู้ถือครองและเนื้อที่ถือครองทำการเกษตรมากที่สุด คือ ๒.๘ ล้านราย (ร้อยละ ๔๖.๕) และ ๕๓.๕ ล้านไร่ (ร้อยละ ๔๖.๗) ตามลำดับ และภาคกลางมีผู้ถือครองทำการเกษตรน้อยที่สุด ๐.๘ ล้านราย (ร้อยละ ๑๔.๓) มีเนื้อที่ถือครอง ๑๙.๒ ล้านไร่ (ร้อยละ ๑๖.๘) ๒. จังหวัดที่มีจำนวนผู้ถือครองทำการเกษตรสูงสุด ๑๐ อันดับแรก คือ นครราชสีมา อุบลราชธานี และศรีสะเกษ โดย ๓ จังหวัดแรกมีผู้ถือครองทำการเกษตรเกิน ๒ แสนราย (ร้อยละ ๒.๖๐ ๒.๒๙ ๒.๐๓ แสนราย ตามลำดับ) รองลงมาคือ ขอนแก่น (๑.๙๘ แสนราย) นครศรีธรรมราช (๑.๙๒ แสนราย) สุรินทร์ (๑.๘๗ แสนราย) ร้อยเอ็ด (๑.๘๑ แสนราย) สกลนคร (๑.๗๘ แสนราย) บุรีรัมย์ (๑.๗๖ แสนราย) และอุดรธานี (๑.๕๗ แสนราย) ตามลำดับ ๓. ลักษณะการทำการเกษตร ผู้ถือครองทำการเกษตรส่วนใหญ่ทำการเพาะปลูกพืช (ร้อยละ ๙๖.๔) ในจำนวนนี้ (ร้อยละ ๑๙.๙) มีการทำการเกษตรประเภทอื่นด้วย เช่น เลี้ยงปศุสัตว์ เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด หรือทำนาเกลือสมุทร ๔. เนื้อที่ถือครองทำการเกษตร จำแนกตามการใช้ประโยชน์ที่ดิน คือ ที่ปลูกข้าว (ร้อยละ ๕๑.) รองลงมาคือ ที่ปลูกพืชไร่ (ร้อยละ ๒๒.๓) ที่ปลูกยางพารา (ร้อยละ ๑๔.๖) ที่ปลูกพืชยืนต้น/ไม้ผล/สวนป่า (ร้อยละ ๘.๕) และที่ปลูกพืชผัก สมุนไพร และไม้ดอกไม้ประดับ (ร้อยละ ๐.๘) ๕. ผู้ถือครองที่ปลูกข้าวและเนื้อที่เพาะปลูกข้าว ในปี ๒๕๔๖-๒๕๕๖ มีจำนวนผู้ถือครองทำการเกษตรที่ปลูกข้าวลดลงจาก ๔.๐ เหลือ ๓.๘ ล้านราย ในขณะที่เนื้อที่เพาะปลูกข้าวเพิ่มขึ้นจาก ๖๘.๔ เป็น ๗๒.๘ ล้านไร่ โดยเพิ่มขึ้นมากที่ข้าวนาปรัง (จากร้อยละ ๑๐.๙ เป็นร้อยละ ๑๖.๒) ๖. ผู้ถือครองที่ปลูกยางพาราและเนื้อที่เพาะปลูกยางพารา ในปี ๒๕๔๖-๒๕๕๖ จำนวนผู้ถือครองที่เพาะปลูกยางพาราเพิ่มขึ้นจาก ๖.๑ เป็น ๑๑.๖ แสนราย เนื้อที่เพาะปลูกยางพาราเพิ่มขึ้นจาก ๙.๖ เป็น ๑๖.๒ ล้านไร่ โดยครึ่งหนึ่งอยู่ในภาคใต้ (๙.๕ ล้านไร่) และภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีเนื้อที่เพาะปลูกยางพาราเพิ่มขึ้นเกือบ ๗ เท่า (จาก ๐.๒ เป็น ๔.๓ ล้านไร่) ๗. การศึกษาของผู้ถือครองทำการเกษตร ในปี ๒๕๔๖-๒๕๕๖ ผู้ถือครองทำการเกษตรส่วนใหญ่มีระดับการศึกษาสูงขึ้น คือ ผู้ถือครองฯ ที่สำเร็จระดับมัธยมศึกษามีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ ๙.๓ เป็นร้อยละ ๑๖.๕ ระดับปริญญาตรีเพิ่มขึ้นจากร้อยละ ๑.๒ เป็นร้อยละ ๒.๗ และ ปวช./ปวส.ฯ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ ๑.๖ เป็นร้อยละ ๒.๘ ตามลำดับ ๘. รายได้จากผลผลิตทางการเกษตร ผู้ถือครองทำการเกษตรมีรายได้จากผลผลิตทางการเกษตรตั้งแต่ ๑๐๐,๐๐๑ บาทขึ้นไปมากที่สุด (ร้อยละ ๒๘.๖) โดยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากปี ๒๕๔๖ ถึงร้อยละ ๑๘.๙ ๙. หนี้สินของครัวเรือนผู้ถือครองทำการเกษตร โดยผู้ถือครองทำการเกษตรเกือบครึ่งหนึ่งเป็นครัวเรือนที่มีหนี้สิน (ร้อยละ ๔๒.๙) ซึ่งในจำนวนนี้มีหนี้สินเพื่อการเกษตรร้อยละ ๓๖.๙ (เฉลี่ย ๑๒๔,๖๐๔ บาทต่อครัวเรือนที่เป็นหนี้) ส่วนใหญ่ร้อยละ ๗๐.๙ กู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
26730 | แจ้งผลคำพิพากษาศาลปกครองเชียงใหม่ ในคดีหมายเลขดำที่ 194/2554 คดีหมายเลขแดงที่ 509/2556 ระหว่างสมาคมเครื่องปั้นดินเผาลำปาง ฟ้องนายกรัฐมนตรี กับพวกรวม 4 คน ต่อศาลปกครองเชียงใหม่ เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งมีคำพิพากษายกฟ้อง | อส | 21/01/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคดีปกครองเชียงใหม่ สำนักงานอัยการสูงสุด ได้แจ้งผลคำพิพากษาศาลปกครองเชียงใหม่ ในคดีหมายเลขดำที่ ๑๙๔/๒๕๕๔ คดีหมายเลขแดงที่ ๕๐๙/๒๕๕๖ ระหว่างสมาคมเครื่องปั้นดินเผาลำปาง ฟ้องนายกรัฐมนตรี กับพวกรวม ๔ คน ต่อศาลปกครองเชียงใหม่ เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งมีคำพิพากษายกฟ้อง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
26731 | ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) | กค | 21/01/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ขยายระยะเวลาการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ ๐.๐๐๕ โดยน้ำหนัก ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันผสมอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๔ ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร ออกไปอีก ๓ เดือน คือ ตั้งแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ เมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งแล้ว ทั้งนี้ หากคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้าบริหารราชการแผ่นดินก่อนวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๗ ให้นำเรื่องนี้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งแรก เพื่อมิให้ร่างประกาศกระทรวงการคลังดังกล่าวมีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
26732 | แจ้งคำสั่งศาลปกครองกลางอนุญาตให้ผู้ฟ้องคดีถอนคำฟ้องคดีหมายเลขดำ ที่ ส. 43/2555 ระหว่าง นางพรทิพา แย้มอยู่ ผู้ฟ้องคดี คณะรัฐมนตรี กับพวกรวม 3 คน ผู้ถูกฟ้องคดี | อส | 21/01/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งศาลปกครองกลาง คดีหมายเลขแดงที่ ส. ๕๗๒/๒๕๕๖ ซึ่งมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ฟ้องคดีถอนคำฟ้องในคดีหมายเลขดำที่ ส. ๔๓/๒๕๕๕ ระหว่างนางพรทิพา แย้มอยู่ ผู้ฟ้องคดี คณะรัฐมนตรีกับพวกรวม ๓ คน ผู้ถูกฟ้องคดี และจำหน่ายคดีออกจากสารบบ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
26733 | สถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนพฤศจิกายน และแนวโน้มปี 2556 และ 2557 | นร11 | 21/01/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนพฤศจิกายน และแนวโน้มปี ๒๕๕๖ และ ๒๕๕๗ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจไทยในเดือนพฤศจิกายน ส่วนใหญ่ยังปรับตัวลดลง โดยเฉพาะดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคธุรกิจ ปริมาณการผลิตและจำหน่ายรถยนต์ในประเทศ ในขณะที่ภาคการท่องเที่ยวเริ่มชะลอตัวตามการลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางผ่านด่านสุวรรณภูมิและดอนเมืองซึ่งสอดคล้องกับการแจ้งเตือนของประเทศต่าง ๆ ที่ให้นักท่องเที่ยวหลีกเลี่ยงพื้นที่การชุมนุม อย่างไรก็ตามจำนวนนักท่องเที่ยวรวม ณ วันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๖ อยู่ในระดับใกล้เคียงกับเป้าหมายทั้งปีที่ ๒๖.๒ ล้านคน ในขณะที่เสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ ทั้งในด้านอัตราเงินเฟ้อและอัตราการว่างงานที่ยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ ๒. แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๕๖ มีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ ๓.๐ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ร้อยละ ๒.๔ และบัญชีเดินสะพัดขาดดุลร้อยละ ๐.๙ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ สำหรับในปี ๒๕๕๗ มีแนวโน้มขยายตัวในช่วงร้อยละ ๔.๐-๕.๐ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปีอยู่ในช่วงร้อยละ ๒.๑-๓.๑ และบัญชีเดินสะพัดขาดดุลร้อยละ ๐.๖ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ อย่างไรก็ดีการประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจดังกล่าวอยู่บนสมมติฐานการเบิกจ่ายจากแผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำไม่ต่ำกว่า ๔๖,๕๐๐ ล้านบาท และการเบิกจ่ายภายใต้แผนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและขนส่งไม่ต่ำกว่า ๑๑๒,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งภายใต้การประมาณการดังกล่าว การลงทุนภาครัฐในปี ๒๕๕๗ มีแนวโน้มที่จะขยายตัวร้อยละ ๑๒.๐ แต่หากการเบิกจ่ายในโครงการลงทุนดังกล่าวไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในปี ๒๕๕๗ มีแนวโน้มที่จะขยายตัวร้อยละ ๑๒.๐ แต่หากการเบิกจ่ายในโครงการลงทุนดังกล่าวไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในปี ๒๕๕๗ จะส่งผลให้การลงทุนภาครัฐขยายตัวเพียงร้อยละ ๓.๐ และการขยายตัวทางเศรษฐกิจทั้งปีลดลงจากการประมาณการในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ประมาณร้อยละ ๐.๔
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
26734 | ขออนุมัติแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐไลบีเรียประจำประเทศไทย | กต | 21/01/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายโชติรัส ชวนิชย์ เป็นกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐไลบีเรียประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมประเทศไทย ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
26735 | การแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์ราชอาณาจักรเดนมาร์กประจำจังหวัดภูเก็ตคนใหม่ | กต | 21/01/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายเซอเริน นุทซ์ฮอร์น เฮเดอ (Mr. Soren Nutzhorn Hede) เป็นกงสุลกิตติมศักดิ์ราชอาณาจักรเดนมาร์กประจำจังหวัดภูเก็ตคนใหม่ โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดภูเก็ต กระบี่ และพังงา สืบแทนนายเคนแนร์ท เบอร์เยอ รอนนี คาร์ลสัน (Mr. Kennerth Boerje Ronny Karlsson) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
26736 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดพิธีพระราชทานเพลิงศพ สมเด็จพระพุฒาจารย์อดีตประธานคณะผู้ปฎิบัตหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช และเจ้าอาวาสวัดสระเกศ | พศ | 21/01/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจัดพิธีพระราชทานเพลิงศพ สมเด็จพระพุฒาจารย์อดีตประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช และเจ้าอาวาสวัดสระเกศ โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ซึ่งกระทรวงการคลังได้อนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว ในวงเงิน ๖๗,๕๕๐,๐๐๐ บาท ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ โดยให้เบิกจ่ายในงบรายจ่ายอื่น ประเภทเงินอุดหนุนทั่วไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ เมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งแล้ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
26737 | รายงานผลการปฎิบัติงานของคณะกรรมการวิธีปฎิบัติราชการทางปกครองตามพระราชบัญญัติวิธีปฎิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ประจำปี 2555 | นร09 | 21/01/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ประจำปี ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การให้คำปรึกษาแก่เจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ คณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองได้ให้คำปรึกษาและตอบข้อหารือแก่หน่วยงานของรัฐ อาทิ กรมบังคับคดี เรื่องที่ขอหารือ ได้แก่ การมอบอำนาจในการดำเนินการพิจารณาใช้มาตรการบังคับทางปกครอง สำนักงานประกันสังคม เรื่องที่ขอหารือ ได้แก่ บัญญัติมาตรา ๖๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ จะนำมาใช้ขยายกำหนดเวลาการนำส่งเงินสมทบของนายจ้างตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ได้หรือไม่ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เรื่องที่ขอหารือ ได้แก่ การสรรหาประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก เรื่องที่ขอหารือ ได้แก่ การใช้มาตรการบังคับทางปกครองในกรณีอนุโลมให้นำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับกับพนักงานขององค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก เป็นต้น ๒. การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาซึ่งทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองได้จัดฝึกอบรมข้าราชการของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อเป็นวิทยากรออกไปเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองตามที่หน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐร้องขอ ทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่นอย่างต่อเนื่องตลอดมา สำหรับปี ๒๕๕๕ ได้มีการจัดวิทยากรไปบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองให้แก่ กรมบัญชีกลาง กรมวิชาการเกษตร สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม สำนักบังคับคดีอาญาและบังคับใช้กฎหมาย กระทรวงยุติธรรม นอกจากนี้ได้จัดเจ้าหน้าที่ไว้ให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์แก่เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ และประชาชนที่ต้องการปรึกษาปัญหาเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง โดยในปี ๒๕๕๕ มีการให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์ จำนวนทั้งสิ้น ๑๓๒ ครั้ง และได้เผยแพร่เอกสารที่จัดพิมพ์ขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ และประชาชนที่สนใจเป็นระยะ ๆ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
26738 | รายงานผลการประชุมระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์กับเอกอัครราชทูต Luis CdeBaca ผู้อำนวยการสำนักงานติดตามและต่อต้านการค้ามนุษย์กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา | พม | 21/01/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์กับเอกอัครราชทูต Luis CdeBaca ผู้อำนวยการสำนักงานติดตามและต่อต้านการค้ามนุษย์ กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ ๖-๙ ธันวาคม ๒๕๕๖ ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐอเมริกา ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้ประชุมกับเอกอัครราชทูต Luis CdeBaca ผู้อำนวยการสำนักงานติดตามและต่อต้านการค้ามนุษย์ กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา เพื่อหารือเรื่องรายงานการค้ามนุษย์และการจัดระดับของประเทศไทย ประจำปี ๒๕๕๗ รวมทั้งนำเสนอความมุ่งมั่นและความตั้งใจจริงของรัฐบาลไทยในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รายงานเกี่ยวกับบทบาทของนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ปคม.) บทบาทของรองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ในฐานะประธานการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อทบทวนรายงานผลการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ บทบาทของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในการช่วยเหลือและคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ รวมทั้งได้สรุปรายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาลไทยโดยเปรียบเทียบการดำเนินงานระหว่างปี ๒๕๕๕-๒๕๕๖ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความคืบหน้าในการดำเนินงานของประเทศไทยตามแผนปฏิบัติการต่อต้านการค้ามนุษย์ที่ประเทศไทยยื่นต่อประเทศสหรัฐอเมริกา จำนวน ๗ ประเด็น ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับทราบข้อมูลจากสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ว่า กระทรวงแรงงาน ประเทศสหรัฐอเมริกาได้จัดทำบัญชีรายชื่อสินค้าที่มีการใช้แรงงงานเด็กและแรงงานบังคับ โดยบังคับให้ส่วนราชการทั้งหมดของรัฐบาลกลางห้ามสั่งซื้อสินค้าที่ปรากฏในบัญชีรายชื่อดังกล่าว โดยในปี ๒๕๕๖ ประเทศไทยมีสินค้าอยู่ในบัญชีรายชื่อดังกล่าว จำนวน ๕ รายการ คือ กุ้ง สิ่งทอ ผลิตโดยใช้แรงงานเด็กและแรงงานบังคับ อ้อย และสื่อลามก ผลิตโดยใช้แรงงานเด็ก และปลา ผลิตโดยใช้แรงงานบังคับ ซึ่งกระทรวงแรงงาน ประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีหนังสือแจ้งว่าขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำรายงานเพื่อประเมินผลการปฏิบัติงานของประเทศไทยในการขจัดรูปแบบที่เลวร้ายที่สุดของการใช้แรงงานเด็ก ระหว่างเดือนมกราคม ๒๕๕๖-มีนาคม ๒๕๕๗ โดยขอรับข้อมูลภายในวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๗
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
26739 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การปรับโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2555/56 | กษ | 07/01/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การปรับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑. ขั้นตอนการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ได้แก่ การสุ่มตรวจ การจัดประชาคมว่าเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดหรือไม่ การตรวจสอบพื้นที่การปลูกข้าวของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ที่ผ่านประชาคม และการตรวจสอบการดำเนินการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวและการออกใบรับรอง ๒. ขั้นตอนการเตรียมความพร้อมก่อนเริ่มโครงการฯ ได้แก่ การตรวจสอบการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของโครงการฯ ของโรงสีข้าว/คลังสินค้ากลาง การตรวจสอบปริมาณข้าวเปลือก/ข้าวสารในความครอบครองของเกษตรกร การตรวจสอบข้าวเปลือกที่รับฝากจากเกษตรกร การตรวจสอบความเที่ยงตรงของเครื่องชั่งน้ำหนักและเครื่องวัดความชื้นข้าวเปลือก ณ จุดรับจำนำ ๓. ขั้นตอนการรับจำนำข้าวของเกษตรกร ได้แก่ การสุ่มตรวจความถูกต้องของเอกสารหลักฐานการรับจำนำเพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์ การสุ่มตรวจปริมาณข้าวของเกษตรกรที่นำมาจำนำ การตรวจสอบเอกสารใบรับรองเกษตรกรและหลักฐานการเป็นลูกค้าของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร การสุ่มตรวจการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ณ จุดรับจำนำตลอดระยะเวลาโครงการฯ การตรวจสอบการบริหารจัดการของหน่วยรับฝาก/คลังสินค้ากลาง การตรวจสอบการควบคุมวงเงินค้ำประกันสัญญาและประกันภัยสินค้าให้ครอบคลุมปริมาณสินค้า ณ วันที่เข้าตรวจ การสุ่มตรวจการใช้ระบบสารสนเทศในการปฏิบัติงาน การตรวจสอบหาข้อเท็จจริงกรณีมีการร้องเรียนของเกษตรกร การตรวจสอบปริมาณข้าวเปลือก/ข้าวสารที่รับฝากในโครงการฯ และการตรวจสอบเทียบน้ำหนักกับเอกสารใบชั่งน้ำหนักและการจดค่าความชื้นข้าวเปรียบเทียบกับเอกสารหลักฐานทางบัญชี ๔. ขั้นตอนการสีแปรสภาพและการส่งมอบข้าวสาร ได้แก่ การตรวจสอบเร่งรัดการสีแปรสภาพและการส่งมอบข้าวสารของผู้เข้าร่วมโครงการฯ ตลอดระยะเวลาโครงการฯ ๕. ขั้นตอนการรับมอบและการเก็บรักษาข้าวสารในคลังสินค้ากลาง ได้แก่ การตรวจสอบการแปรสภาพข้าว ปริมาณการรับมอบสินค้าของคลังสินค้ากลางและการดูแลรักษาทรัพย์สินมิให้เกิดความสูญหายหรือความเสียหายใด ๆ การตรวจสอบการปฏิบัติงานของผู้ตรวจสอบคุณภาพข้าว (เซอร์เวย์) และการสุ่มตรวจปริมาณข้าวสารตามโครงการฯ ระยะสิ้นสุดโครงการฯ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
26740 | โครงการผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังในไตรมาส 3/2556 ตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2555/56 | พน | 07/01/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินโครงการผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังในไตรมาสที่ ๓/๒๕๕๖ ตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๕/๕๖ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินโครงการผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังในไตรมาสที่ ๓/๒๕๕๖ มีสัดส่วนการใช้เอทานอลจากกากน้ำตาล : มันสำปะหลัง เท่ากับ ๗๐ : ๓๐ คิดเป็นปริมาณการใช้เอทานอลจากกากน้ำตาล : มันสำปะหลัง เท่ากับ ๑๗๑,๒๘๒,๒๘๕ ลิตร : ๗๓,๖๕๕,๘๗๐ ลิตร หรือคิดเป็นปริมาณหัวมันสด จำนวน ๔๙๙,๗๙๑ ตัน ๒. ปัญหา/อุปสรรคในการดำเนินโครงการฯ ๒.๑ ผู้ผลิตเอทานอล ได้แก่ บริษัท อี85 จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังหยุดการผลิตเอทานอลในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๖ เพื่อปรับปรุงระบบบ่อบำบัด และคลังกลางมันเส้น องค์การคลังสินค้า ในพื้นที่ใกล้เคียงกับโรงงานเอทานอล มีมันเส้นไม่เพียงพอกับความต้องการใช้มันเส้นผลิตเอทานอล ผู้ผลิตเอทานอลจำเป็นต้องรับมันเส้น องค์การคลังสินค้า ในพื้นที่หรือจังหวัดอื่นทำให้มีต้นทุนค่าขนส่งเพิ่มมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตและราคาเอทานอล ๒.๒ ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓ บางราย ไม่สามารถซื้อเอทานอลจากมันสำปะหลังได้ตามสัดส่วน ๓. แนวทางการแก้ไขปัญหา กระทรวงพลังงาน โดยกรมธุรกิจพลังงานแจ้งผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗ เพื่อขอความร่วมมือให้รับซื้อเอทานอลตามสัดส่วน
|