ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1339 จากทั้งหมด 6214 หน้า แสดงรายการที่ 26761 - 26780 จากข้อมูลทั้งหมด 124262 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
26761 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์ และสินค้าฟุ่มเฟือยเป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกไปสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี และกำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์ที่ส่งมาจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีเป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... (มาตรการคว่ำบาตรสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี) | พณ | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์ และสินค้าฟุ่มเฟือยเป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกไปสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี และกำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์ที่ส่งมาจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีเป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การห้ามส่งออกอาวุธและยุทโธปกรณ์ไปสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี และการห้ามนำเข้าอาวุธและยุทโธปกรณ์ที่ส่งมาจากหรือมีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี พ.ศ. ๒๕๕๐ ลงวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๐ และให้อาวุธและยุทโธปกรณ์และสินค้าฟุ่มเฟือยเป็นสินค้าต้องห้ามในการส่งออกไปสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี รวมทั้งให้อาวุธและยุทโธปกรณ์ที่ส่งมาจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับคำกำจัดความของคำว่า “อาวุธและยุทโธปกรณ์” ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับกรณีที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้กำหนดให้รัฐสมาชิกที่จะจัดหา ซื้อขาย หรือขนย้ายอาวุธเล็กและอาวุธเบาไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี รวมทั้งธุรกรรมทางการเงิน การฝึกอบรม การให้คำแนะนำ การบริการ การให้ความช่วยเหลือ การผลิต และการบำรุงรักษาที่เกี่ยวข้อง จำเป็นต้องแจ้งให้คณะกรรมการคว่ำบาตรทราบล่วงหน้าอย่างน้อย ๕ วัน ซึ่งอาจมีผลเป็นการจำกัดสิทธิของไทยในทางปฏิบัติ เกินกว่าที่จำเป็นหรือที่มีผลผูกพันประเทศไทย โดยเฉพาะหากจะมีผู้ประกอบการไทยที่ประสงค์จะส่งออกหรือส่งผ่านอาวุธเล็กหรืออาวุธเบาไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีจะไม่อาจทำได้ภายใต้ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ ฉบับใหม่นี้ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์อาจพิจารณาหารือกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นผู้รักษากฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อความรอบคอบในรายละเอียด และให้กระทรวงพาณิชย์แจ้งรายละเอียดของร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนทราบอย่างทั่วถึงโดยเร็ว ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
26762 | การประชุมคณะรัฐมนตรี (วันพุธที่ 11 ธันวาคม 2556) | นร | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอว่า โดยที่วันอังคารที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๖ เป็นวันหยุดราชการ คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้เลื่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีในครั้งต่อไปเป็นวันพุธที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๖
|
||||||||||||||||||||||||
26763 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นายสมบัติ แทนประเสริฐสุข) | สธ | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายสมบัติ แทนประเสริฐสุข ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งนายแพทย์เชี่ยวชาญ (เวชกรรมป้องกัน) กรมควบคุมโรค ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเวชกรรมป้องกัน) กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
26764 | การจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายพัฒนากฎหมายเพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนและเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน | ยธ | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติการจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายพัฒนากฎหมายเพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนและเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานกรรมการ ๑.๒ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาตินำกรอบแนวทางการพัฒนากฎหมาย ๓ ด้าน ที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ได้แก่ กรอบที่ ๑ การพัฒนากฎหมายที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานในการประกอบธุรกิจเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันอันเป็นการทั่วไป กรอบที่ ๒ การพัฒนากฎหมายเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของกลุ่มธุรกิจ/อุตสาหกรรมเป้าหมาย และกรอบที่ ๓ การพัฒนาองคาพยพ/ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย ไปใช้เป็นแนวทางการปฏิรูปกฎหมายในกรอบยุทธศาสตร์ประเทศ (Country Strategy) ๑.๓ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาจัดช่องทางพิเศษสำหรับการพิจารณาและผลักดันร่างกฎหมายทั้งในกรอบของรัฐบาลและกรอบของรัฐสภา โดยในกรอบของรัฐบาลควรจัดช่องทางพิเศษสำหรับร่างกฎหมายที่จะได้รับการตรวจพิจารณาจากคณะกรรมการกฤษฎีกา และขอความร่วมมือให้มีการพิจารณาโดยคณะพิเศษของคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อให้ร่างกฎหมายผ่านไปตามวัตถุประสงค์และทันตามระยะเวลาที่กำหนด และพิจารณาแนวทางร่วมมือเพื่อให้รัฐสภากำหนดเป็นวาระเร่งด่วน และจัดกลไกเฉพาะในการดูแลให้ความเห็นชอบต่อร่างกฎหมายตามแผนงานโดยเร็ว ๒. ให้ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการนโยบายพัฒนากฎหมายเพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนและเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน โดยเพิ่มอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เป็นกรรมการ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และกำหนดให้มีเฉพาะหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องที่มีอยู่ในปัจจุบัน ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. |
||||||||||||||||||||||||
26765 | การเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2556 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมสนับสนุนการจัดการศพผู้สูงอายุตามประเพณี) | พม | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส และผู้สูงอายุ ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้กันไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว จำนวน ๓๔๒,๑๗๔,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการส่งเสริม สนับสนุนการจัดการศพผู้สูงอายุตามประเพณี จำนวน ๑๗๑,๐๘๗ ราย ที่เสียชีวิตและรอรับการช่วยเหลือค่าจัดการศพ รายละ ๒,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ โดยให้สำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส และผู้สูงอายุ ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณโดยตรงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||
26766 | รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ 31 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ณ เกาะบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย | พน | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ ๓๑ (The 31st ASEAN Ministers on Energy Meeting 31st AMEM) และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ตามคำเชิญของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและทรัพยากรแร่ธาตุของอินโดนีเซียและสำนักงานเลขาธิการอาเซียน ในระหว่างวันที่ ๒๕-๒๖ กันยายน ๒๕๕๖ ณ เกาะบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ ๓๑ (31st AMEM) ที่ประชุมได้แสดงความยินดี ชื่นชม ยืนยันและเห็นชอบข้อตกลงต่าง ๆ ได้แก่ ๑.๑ ยินดีกับความก้าวหน้าของผลการทบทวนกลางเทอมในแผนปฏิบัติการด้วยความร่วมมือด้านพลังงานอาเซียน ปี ๒๕๕๓-๒๕๕๘ (ASEAN Plan of Action on Energy Cooperation Mid-Term Review : APAEC MTR 2010-2015) ๑.๒ เห็นชอบที่จะให้เจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านพลังงานดำเนินการติดตามและทบทวนแผนปฏิบัติการฯ นี้ต่อไป ๑.๓ ยืนยันข้อตกลงร่วมกันในการส่งเสริมความมั่นคงด้านพลังงานเกี่ยวกับความร่วมมือในการจัดหาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ๑.๔ เห็นชอบและลงนามในตราสารขยายอายุบันทึกความเข้าใจอาเซียนว่าด้วยโครงการเชื่อมโยงท่อส่งก๊าซธรรมชาติ (Trans-ASEAN Gas Pipeline : TAGP) เป็นเวลา ๑๐ ปี จนถึงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๗ และพิธีสารแก้ไขเพิ่มเติมความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์พลังงานอาเซียน (ASEAN Centre for Energy : ACE) สำหรับเป็น think tank มืออาชีพ และสนับสนุนงานด้านวิชาการด้านพลังงานให้แก่สมาชิกอาเซียนต่อไป ๑.๕ ชื่นชมในความพยายามของคณะสภาผู้ว่าการการไฟฟ้าอาเซียน (HAPUA) ในการดำเนินการปรับให้มีระบบข้อกฎหมาย เทคนิค โครงข่ายการกำกับดูแลให้มีมาตรฐานที่สอดคล้องกันในระบบโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าอาเซียน (ASEAN Power Grid) และยินดีกับความคืบหน้าในการขยายโครงข่ายสายส่งไฟฟ้า ๖ โครงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงข่ายสายส่งใหม่ระหว่างเวียดนาม-สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และรัฐซาราวักของมาเลเซีย-รัฐกาลิมันตันตะวันตกของอินโดนีเซีย รวมถึงการส่งเสริมและพัฒนาพลังงานทดแทนซึ่งมีส่วนในการลดปริมาณการใช้พลังงานต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในภูมิภาค (Energy Intensity : EI) ได้ถึงร้อยละ ๗.๕๖ ในปี ๒๕๕๓ (ปี ๒๕๔๘ เป็นปีฐาน) จากเป้าหมายในการลด EI ในการใช้พลังงานของอาเซียนให้ได้ถึงร้อยละ ๘ ภายในปี ๒๕๕๘ ๑.๖ รับทราบข้อริเริ่มของความร่วมมือโครงการสร้างความตระหนักรู้ด้านพลังงานในอาเซียน (ASEAN Energy Literacy Cooperation Initiative : AELCI) ตามข้อเสนอของไทย ๒. การประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การประชุมรัฐมนตรีอาเซียน+๓ ด้านพลังงานอาเซียน ครั้งที่ ๑๐ (10th AMEM+3) การประชุมรัฐมนตรีเอเชียตะวันออกด้านพลังงาน ครั้งที่ ๗ (7th EAS EMM) การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงานกับทบวงการพลังงานระหว่างประเทศ และการหารือทวิภาคีกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว การหารือทวิภาคีกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ การหารือทวิภาคีกับสภาธุรกิจอาเซียน-สหรัฐฯ และการหารือทวิภาคีกับทบวงการพลังงานระหว่างประเทศ
|
||||||||||||||||||||||||
26767 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ยุทธศาสตร์หุ้นส่วนเศรษฐกิจเพื่อนบ้านไทย - กัมพูชา" | สสป | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ยุทธศาสตร์หุ้นส่วนเศรษฐกิจเพื่อนบ้านไทย-กัมพูชา" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยสภาที่ปรึกษาฯ ได้ให้ความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแนวนโยบายการขับเคลื่อนความเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจเพื่อนบ้านไทย-กัมพูชา แนวนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา แนวนโยบายการเชื่อมโยงเศรษฐกิจไทย-กัมพูชา ได้แก่ ผลักดันให้มีการจัดตั้งสภาธุรกิจกัมพูชา-ไทย (ฝั่งกัมพูชา) ให้สำเร็จ เพื่อเป็นจุดเชื่อมต่อหลักกับสภาธุรกิจไทย-กัมพูชา (ฝั่งไทย) ที่ได้มีการจัดตั้งขึ้นมาแล้ว แนวนโยบายส่งเสริมการลงทุนไทย-กัมพูชา และแนวนโยบายเพื่อความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ โดยมีกัมพูชาเป็นฐานการผลิต
|
||||||||||||||||||||||||
26768 | รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานตามแนวทางการเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราในภาคอุตสาหกรรม | อก | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานตามแนวทางการเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราในภาคอุตสาหกรรม ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยาง ๑.๑.๑ การส่งเสริมการลงทุน ได้แก่ การพิจารณาให้การส่งเสริมผู้ประกอบการรายเดิมที่ไม่เคยได้รับการส่งเสริม การพิจารณาคำขอส่งเสริมการลงทุนของบริษัทผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ยางจากต่างประเทศที่ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ การคงนโยบายการส่งเสริมการลงทุนเดิมถึงสิ้นปี พ.ศ. ๒๕๕๗ และตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นต้นไป จะเริ่มใช้นโยบายส่งเสริมการลงทุนใหม่ และการขยายเวลาการส่งเสริมการลงทุนเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ใน ๔ จังหวัด คือ จังหวัดสตูล ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส และ ๔ อำเภอในจังหวัดสงขลา คือ อำเภอจะนะ นาทวี สะบ้าย้อย และเทพา ที่จะสิ้นสุดในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๑.๑.๒ การมาตรฐาน ได้แก่ การกำหนดนโยบายมาตรฐานยางรถยนต์นั่งและรถยนต์เชิงพาณิชย์ตามข้อตกลงอาเซียน โดยอ้างอิงกับ UNECE Regulation เกี่ยวกับสมรรถนะและความปลอดภัย การผลักดันให้มีการดำเนินการตามกรอบความตกลงการยอมรับร่วม (Mutual Recognition Agreement-MRA) ของ ASEAN การรวบรวมข้อมูลขีดความสามารถของห้องทดสอบต่าง ๆ รวมทั้งเร่งประสานความต้องการการทดสอบของภาคเอกชนเพื่อพัฒนาขีดความสามารถของห้องทดสอบในประเทศให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล และจัดเตรียมงบประมาณในการสนับสนุนการพัฒนาห้องทดสอบ นอกจากนี้ ได้จัดให้มีภาคเอกชนในคณะผู้แทนไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุมสมาชิกองค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐาน หรือ ISO/TC 45 Rubber and Rubber Products ซึ่งประเทศไทยเป็นสมาชิกประเภทร่วมทำงาน (P-member) ในการกำหนดมาตรฐานเกี่ยวกับยางและผลิตภัณฑ์ยาง ๑.๑.๓ การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเมืองยาง (Rubber City) ได้แก่ การเร่งพัฒนาพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมเพื่อรองรับการใช้ยางในประเทศ รวม ๒ แห่ง ประกอบด้วย นิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ จังหวัดสงขลา และนิคมอุตสาหกรรมหลักชัยเมืองยาง ตำบลสำนักทอง อำเภอเมือง จังหวัดระยอง โดยกำหนดแผนพัฒนาให้แล้วเสร็จพร้อมเปิดดำเนินการในปี ๒๕๕๘ ซึ่งคาดว่าจะมีการใช้ยางได้ประมาณ ๔๔๐,๐๐๐ ตัน/ปี ๑.๒ การสนับสนุนสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางพาราในการขยายกำลังการผลิตและการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท ได้แก่ การกำหนดหลักเกณฑ์/แนวทางการพิจารณาสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางกลุ่มต่าง ๆ ที่ต้องการสนับสนุนสินเชื่อ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงพลังงาน และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อใช้ประโยชน์จากนโยบายของรัฐบาลด้านการบูรณาการงานวิจัย ในการพัฒนาห่วงโซ่มูลค่าของยางพาราผลิตภัณฑ์ และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง นอกจากนี้ ควรจัดทำแผนปฏิบัติการตามแนวทางเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราในภาคอุตสาหกรรมที่ชัดเจน โดยคำนึงถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราและผลิตภัณฑ์ทั้งระบบอย่างมีประสิทธิภาพ ต่อเนื่อง และยั่งยืน รวมทั้งการลดความเสี่ยงจากความผันผวนด้านราคายางพาราที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งเป็นผลมาจากความไม่สมดุลของปริมาณยางพาราที่เพิ่มขึ้นและความต้องการของภาคอุตสาหกรรมที่จะรองรับได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
26769 | รายงานสรุปผลการประชุมประจำปี 2556 เรื่อง เส้นทางประเทศไทย....สู่ประชาคมอาเซียน | นร11 | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการประชุมประจำปี ๒๕๕๖ เรื่อง เส้นทางประเทศไทย...สู่ประชาคมอาเซียน เมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๖ ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี เพื่อติดตามความก้าวหน้า ปัญหา และอุปสรรคของการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในมิติต่าง ๆ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุม ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปความคิดเห็นของวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ๑.๑ การพัฒนาการศึกษาที่ต้องส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และการเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติจริง และการปรับเปลี่ยนระบบการประเมินคุณภาพจากการประเมินเฉพาะด้านวิชาการอย่างเดียว เป็นการประเมินที่ครบทั้งการพัฒนาด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม ๑.๒ การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาให้มากขึ้นเพื่อใช้ประกอบการดำเนินงานในกิจการภาครัฐ สร้างนวัตกรรม และพัฒนาสินค้าและบริการให้มีมูลค่าสูงขึ้น ๑.๓ การสร้างความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย ๑.๔ การพัฒนาคนทั้งด้านองค์ความรู้และทักษะการทำงานควบคู่ไปกับการเร่งสร้างความปรองดองของคนในชาติ ๒. สรุปความเห็นร่วมกันจากการประชุมกลุ่มย่อย ๒.๑ กลุ่มที่ ๑ : การเตรียมความพร้อมด้านการเงิน การคลัง และการค้าการลงทุนเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ได้แก่ การวางบทบาทหรือตำแหน่ง (Positioning) ของประเทศ และการกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาที่มีความเชื่อมโยงระหว่างท้องถิ่น ประเทศ และโลก การปรับปรุงกฎ ระเบียบ และโครงสร้างภาษีที่เป็นอุปสรรคต่อการค้า การผลิต และการลงทุนให้เหมาะสมและเอื้อต่อการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว การให้ความสำคัญกับการค้าชายแดน และการอำนวยความสะดวกทางการค้า การกำหนดนโยบายการส่งเสริมการลงทุนของไทยในต่างประเทศเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมที่มีศักยภาพ การเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรทั้งในภาครัฐ ภาคการผลิต และภาคบริการ อย่างเหมาะสมและตรงตามความต้องการ การเฝ้าระวังและติดตามผลกระทบทางลบที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งเตรียมมาตรการเพื่อรองรับและบริหารจัดการผลกระทบ และการสร้างความร่วมมือกับประเทศนอกกลุ่มอาเซียนในการพัฒนาประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางทางด้านการเงินและการบริการในอนุภูมิภาค ๒.๒ กลุ่มที่ ๒ : สร้างสังคมผู้ประกอบการไทยก้าวอย่างมั่นใจสู่ประชาคมอาเซียน ได้แก่ การเตรียมความพร้อมของผู้ประกอบการ โดยคำนึงถึงการปรับแบบแผนธุรกิจด้วยการปรับปรุงผลิตภาพและลดต้นทุน หรือปรับปรุงกระบวนการผลิตโดยเลือกผลิตสินค้าและบริการที่มีความเชี่ยวชาญ การเร่งพัฒนาทักษะและความรู้ที่หลากหลายเพื่อยกระดับศักยภาพและสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจ การสนับสนุนผู้ประกอบการโดยการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การสร้างนวัตกรรมต่าง ๆ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทั้งระบบ และการพัฒนาต่อยอดด้านการศึกษาเพื่อให้เป็นผู้ประกอบการที่มีคุณภาพ และการส่งเสริมสินค้าไทยที่มีศักยภาพการแข่งขันสูงอยู่แล้ว ต้องมีการปรับตัวโดยนำเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาพัฒนาต่อยอดเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แข่งขันได้ ๒.๓ กลุ่มที่ ๓ : สร้างสรรค์สังคมไทยสู่ประชาคมอาเซียน ได้แก่ การกระตุ้นให้สังคมไทยตื่นตัวและสร้างภูมิคุ้มกันให้สามารถเผชิญการเปลี่ยนแปลงและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเปิดเสรีด้านต่าง ๆ ทั้งเงินทุน สินค้า บริการ และแรงงาน เพื่อมิให้คนไทยตกเป็นเหยื่อของภัยคุกคามที่มากับกระแสการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว การให้ความสำคัญอย่างจริงจังกับการลงทุนระยะยาวเพื่อพัฒนาคุณภาพคน โดยต้องปฏิรูปวิธีเรียนการสอนให้นักเรียนรู้จักคิด วิเคราะห์และสังเคราะห์ มีความต้องการใฝ่เรียนรู้ที่จะนำไปสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต การสร้างจิตสำนึกที่ดี เป็นคนดีมีคุณธรรม จริยธรรม ซึ่งเป็นพื้นฐานการสร้างสังคมที่ดีและสร้างภูมิคุ้มกันให้สังคม การเน้นให้สมาชิกอาเซียนสร้างค่านิยมร่วม การเห็นประโยชน์ส่วนรวมและการเปิดใจกว้างยอมรับคนอื่นเพื่อลดความแตกแยกของสังคม และการมีระบบคุ้มครองทางสังคมให้กับคนไทยและประชาชนอาเซียนอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ๒.๔ กลุ่มที่ ๔ : การเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานสู่อาเซียน ได้แก่ การเร่งรัดการปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบเพื่อการอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าและบริการให้สามารถใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานได้เต็มศักยภาพ การพัฒนาเชิงพื้นที่รองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจทั้งในเมืองหลักและเมืองชายแดน การส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและการใช้พลังงานทดแทนเพื่อลดความต้องการพลังงานในอนาคตบางส่วนที่ต้องจัดหาแหล่งพลังงานจากต่างประเทศและสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน และการสนับสนุนให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งภายในประเทศและในประเทศเพื่อนบ้าน ๒.๕ กลุ่มที่ ๕ : การเตรียมความพร้อมระดับจังหวัดและกลุ่มจังหวัดเพื่อรองรับประชาคมอาเซียน ได้แก่ บทบาทการพัฒนาเป็นศูนย์กลางการบริการหลัก บทบาทการพัฒนาตามแนวระเบียงเศรษฐกิจ บทบาทการพัฒนาเมืองชายแดนในแต่ละภูมิภาคที่มีเขตติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน บทบาทการพัฒนาเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ และบทบาทการพัฒนาเป็นเครือข่ายสนับสนุนเชื่อมโยงกับเมือง ๒.๖ กลุ่มที่ ๖ : สู่ประชาคมอาเซียน : บริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างไรให้ยั่งยืน ได้แก่ การปฏิรูปกฎหมายและกฎ ระเบียบต่าง ๆ ในการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมีการปรับประสานกฎ ระเบียบ และกฎหมายการป้องกันคุณภาพสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน การนำเสนอปัญหาด้านการท่องเที่ยวให้เป็นวาระแห่งชาติ และการส่งเสริมองค์ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อมและการบริโภคอย่างยั่งยืนให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึง การสร้างกลไกภาคประชาชน ประชาสังคม และนักวิชาการให้เข้ามามีส่วนร่วมในการติดตาม ตรวจสอบ และแก้ไขปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบสารสนเทศฐานข้อมูลและเทคโนโลยีการติดตามตรวจสอบที่ทันสมัย และภาครัฐควรเป็นผู้นำในการสนับสนุน การสร้างจิตสำนึกด้านการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประเทศสมาชิกอาเซียน
|
||||||||||||||||||||||||
26770 | แถลงการณ์ร่วมระดับรัฐมนตรี 6 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ 19 และแผนปฏิบัติการภายใต้กรอบการลงทุนในภูมิภาค (Regional Investment Framewok : RIF) | นร11 | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. ร่างแถลงการณ์ร่วม (Joint Ministerial Statement : JMS) ระดับรัฐมนตรี ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง เพื่อให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) ได้ร่วมกับรัฐมนตรีของประเทศลุ่มแม่น้ำโขงให้การรับรองแถลงการณ์ร่วมระดับรัฐมนตรีฯ โดยไม่มีการลงนามในการประชุมระดับรัฐมนตรี ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๑๙ ในวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ ๒. แผนปฏิบัติการภายใต้กรอบการลงทุนในภูมิภาค (Regional Investment Framework : RIF) เพื่อให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) ได้ร่วมกับรัฐมนตรีของประเทศลุ่มแม่น้ำโขงให้การรับรองแผนปฏิบัติการฯ โดยไม่มีการลงนามในการประชุมระดับรัฐมนตรี ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๑๙ ในวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติสามารถปรับปรุงถ้อยคำในแถลงการณ์ร่วมระดับรัฐมนตรีฯ ได้ในกรณีที่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญในการหารือในการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส ในวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๖ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบอีกครั้ง
|
||||||||||||||||||||||||
26771 | การแก้ไขปัญหายางพาราทั้งระบบ | กษ | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการดำเนินงานตามโครงการแก้ไขปัญหายางพาราทั้งระบบ ปี ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ โครงการแก้ไขปัญหายางพาราระยะสั้น (ณ วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๖) มีเกษตรกรยื่นคำร้องขอขึ้นทะเบียน จำนวน ๑,๑๙๓,๓๓๒ ครัวเรือน (ในจำนวนนี้มีเอกสารไม่ครบถ้วนอยู่ระหว่างรอเอกสารเพิ่มเติม จำนวน ๕๐,๘๘๗ ครัวเรือน) ส่วนผู้ที่มีเอกสารครบถ้วน จำนวน ๑,๑๔๒,๔๔๕ ครัวเรือน มีการบันทึกข้อมูลลงระบบแล้ว จำนวน ๑,๑๒๓,๖๖๒ ครัวเรือน (คิดเป็นพื้นที่เข้าร่วมโครงการ ๑๕.๑๗๗ ล้านไร่) แยกเป็นผู้ที่พร้อมตรวจสอบแปลงได้ จำนวน ๗๘๖,๑๙๕ ครัวเรือน และผู้ที่ยังไม่สามารถตรวจสอบแปลงในขณะนี้ได้ จำนวน ๓๓๗,๔๖๗ ครัวเรือน ทั้งนี้ การตรวจสอบแปลงซึ่งต้องดำเนินการทุกแปลง ตรวจสอบเสร็จและออกใบรับรองแล้ว จำนวน ๔๔๙,๒๘๒ ครัวเรือน จำนวน ๖๔๐,๔๖๖ แปลง โดยแจ้งรายชื่อเกษตรกรพร้อมเลขที่บัญชีธนาคารให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โอนเงิน จำนวน ๓๓๓,๒๘๓ ครัวเรือน จำนวน ๔๗๙,๒๖๗ แปลง เป็นเงินรวมทั้งสิ้น จำนวน ๙,๕๕๐.๙๒ ล้านบาท จากวงเงินที่สำนักงบประมาณได้โอนมาตั้งจ่ายที่ ธ.ก.ส. แล้ว จำนวน ๙,๙๗๐.๒๘ ล้านบาท ๑.๒ โครงการแก้ไขปัญหายางพาราระยะปานกลาง/ระยะยาว ได้สนับสนุนสินเชื่อ จำนวน ๕,๐๐๐ ล้านบาท แก่สถาบันเกษตรกรเพื่อใช้ในการปรับปรุง/ก่อสร้างโรงงาน รวมถึงการใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนดำเนินธุรกิจแปรรูปยางพารา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ได้สำรวจความต้องการของสถาบันเกษตรกร ซึ่งเบื้องต้นได้มีการยื่นแบบจำนง รวม ๒๔๕ สหกรณ์ วงเงินปริมาณ ๖,๗๑๖ ล้านบาท ส่วนสินเชื่อ จำนวน ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท สำหรับการสนับสนุนผู้ประกอบการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางพารานั้น อยู่ระหว่างการจัดทำหลักเกณฑ์เงื่อนไข โดยธนาคารออมสินร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม ๒. งบประมาณที่จะใช้ในการดำเนินงานตามโครงการแก้ไขปัญหายางพาราระยะสั้นส่วนที่เหลือ จำนวน ๑๑,๒๔๘.๙๕ ล้านบาท นั้น อนุมัติและให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แต่โดยที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไม่ได้เสนอขอตั้งงบประมาณเพื่อการนี้ไว้ จึงเห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังได้อนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว จำนวน ๑๑,๒๔๘.๙๕ ล้านบาท โดยให้ขอทำความตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กรมส่งเสริมการเกษตรดำเนินการตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่คณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติกำหนดไว้ พร้อมทั้งจัดทำคำขออนุมัติจัดสรรงบประมาณตามรายจ่ายจริง และให้ถือว่าคำขอดังกล่าวเป็นคำขออนุมัติจัดสรรงบประมาณของ ธ.ก.ส. พร้อมสำเนาส่ง ธ.ก.ส. สำนักงานใหญ่ และดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วนด้วย |
||||||||||||||||||||||||
26772 | ขอความเห็นชอบต่อเอกสารที่จะมีการรับรองหรือลงนามในการประชุมสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่น สมัยพิเศษ | กต | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่น สมัยพิเศษ จำนวน ๒ ฉบับ และหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างเอกสารที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง โดยร่างเอกสารผลลัพธ์ จำนวน ๒ ฉบับ ได้แก่ ๑.๑ ร่างถ้อยแถลงวิสัยทัศน์ว่าด้วยมิตรภาพและความร่วมมืออาเซียน-ญี่ปุ่น : วิสัยทัศน์ร่วม อัตลักษณ์ร่วม อนาคตร่วม (Vision Statement on ASEAN-Japan Friendship and Cooperation : Shared Vision, Shared Identity, Shared Future) และร่างแผนดำเนินงานฯ (Implementation Plan of the Vision Statement on ASEAN-Japan Friendship and Cooperation : Shared Vision, Shared Identity, Shared Future) มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันระหว่างผู้นำรัฐสมาชิกอาเซียนและญี่ปุ่นที่จะส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างอาเซียนกับญี่ปุ่นใน ๔ ด้าน ได้แก่ หุ้นส่วนเพื่อสันติภาพและเสถียรภาพ หุ้นส่วนเพี่อความเจริญรุ่งเรือง หุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต และหุ้นส่วนใจถึงใจ ๑.๒ ร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่น สมัยพิเศษ ภายใต้ชื่อ “มือประสานมือ รับมือกับประเด็นท้าทายระดับภูมิภาคและระดับโลก” (Joint Statement of the ASEAN-Japan Commemorative Summit “Hand in Hand, Facing Regional and Global Challenges”) มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันระหว่างผู้นำรัฐสมาชิกอาเซียนกับญี่ปุ่นถึงบทบาทที่สำคัญของอาเซียนและญี่ปุ่นในประเด็นท้าทายในระดับภูมิภาค ๒. อนุมัติให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองหรือลงนามเอกสารดังกล่าว
|
||||||||||||||||||||||||
26773 | รายงานผลการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 21 และการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ 25 ณ บาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย | นร04 | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๑ และการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๒๕ ณ เกาะบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ระหว่างวันที่ ๔-๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ ของนายกรัฐมนตรี และนายจุลพงษ์ โนนศรีชัย ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๑ ที่ประชุมฯ ได้รับรองปฏิญญาผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๑ “เอเชีย-แปซิฟิกที่แข็งแกร่ง แรงขับเคลื่อนของเศรษฐกิจโลก” (Resilient Asia-Pacific, Engine of Global Growth) ซึ่งครอบคลุม ๓ ประเด็นหลักที่เอเปคให้ความสำคัญในปีนี้ ได้แก่ การสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคีและการบรรลุเป้าหมายโบกอร์ การส่งเสริมความเชื่อมโยงในภูมิภาค การเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยความเท่าเทียม รวมทั้งได้รับรองถ้อยแถลงแยกเรื่อง “Supporting the Multilateral Trading System and the 9th Ministerial Conference of the World Trade Organization” ซึ่งย้ำเจตนารมณ์ร่วมกันในการผลักดันให้การประชุมรัฐมนตรีองค์การการค้าโลก ครั้งที่ ๙ มีผลลัพธ์เป็นรูปธรรม นอกจากนี้ ยังมีการประชุม Retreat ของผู้นำ ประกอบด้วย Retreat I : บทบาทของเอเปคในการสร้างเสริมระบบการค้าพหุภาคีในภาวะเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน และ Retreat II : วิสัยทัศน์ว่าด้วยความเชื่อมโยงของเอเปคท่ามกลางโครงสร้างสถาปัตยกรรมในภูมิภาคและระหว่างประเทศที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป ตลอดจนการหารือระหว่างผู้นำฯ ในหัวข้อ “การเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยความเท่าเทียม-ความมั่นคงทางอาหาร น้ำ และพลังงาน” ๒. การประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๒๕ สาธารณรัฐอินโดนีเซียเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมฯ ระหว่างวันที่ ๔-๕ ตุลาคม ๒๕๕๖ ณ บาหลี โดยมีนายจุลพงษ์ โนนศรีชัย ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ ซึ่งมีการรับรองถ้อยแถลงร่วมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๒๕ โดยมีการประชุมกลุ่มย่อย (Breakout Session) ในหัวข้อ “บทบาทของเอเปคท่ามกลางสถาปัตยกรรมทางเศรษฐกิจในภูมิภาคที่เปลี่ยนแปลง” และการประชุมเต็มคณะ (Plenary Session) ในหัวข้อ “การส่งเสริมการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยความเท่าเทียม” และหัวข้อ “การส่งเสริมความเชื่อมโยงในภูมิภาค” นอกจากนี้ ยังมีการหารืออย่างไม่เป็นทางการในเรื่องสถานการณ์ปัจจุบันและความท้าทายในภูมิภาค ๓. การดำเนินการของเอเปคในระยะต่อไป สาธารณรัฐประชาชนจีนในฐานะเจ้าภาพการประชุมเอเปคในปี ๒๕๕๗ จะให้ความสำคัญกับประเด็นการรวมตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาค การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อส่งเสริมความเชื่อมโยง และการเจริญเติบโตที่ครอบคลุม (Comprehensive Growth) โดยเน้นการปรับโครงสร้างเพื่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (Growth Transformation) โดยในช่วงปี ๒๕๕๗ สาธารณรัฐประชาชนจีนจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีเอเปคใน ๙ สาขา ได้แก่ การค้า พลังงาน การท่องเที่ยว การเกษตรและอาหาร SMEs สตรี เหมืองแร่ ป่าไม้ และมหาสมุทร และมีกำหนดจะจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๒ ในเดือนตุลาคม ๒๕๕๗ ณ ทะเลสาบ Yangqi ชานกรุงปักกิ่ง
|
||||||||||||||||||||||||
26774 | แนวทางการแก้ไขปัญหาความล่าช้าในกระบวนการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และความคืบหน้า | ทส | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบความคืบหน้าเรื่อง การลดระยะเวลาการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และการกำหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการที่สามารถขอรับการยกเว้นไม่ต้องจัดรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามมาตรา ๔๖ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (คชก.) และความรับผิดชอบของคณะกรรมการแต่ละชุด โดยยุบรวมคณะกรรมการที่ทำหน้าที่พิจารณาโครงการภาครัฐและเอกชนแต่รับผิดชอบในเรื่องเดียวกันเข้าด้วยกัน และกำหนดองค์ประกอบคณะกรรมการแต่ละชุดให้เหมือนกันเพื่อสร้างมาตรฐานในการพิจารณาให้เหลือเพียงมาตรฐานเดียว ๑.๒ จัดทำแนวทางปฏิบัติในการตรวจสอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) สำหรับโครงการหรือกิจการที่ต้องได้รับอนุญาตจากทางราชการและโครงการหรือกิจการที่ไม่ต้องเสนอขอรับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี และแนวทางพิจารณารายงาน EIA สำหรับ คชก. โดยให้เจ้าหน้าที่สำนักวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเร่งรัดตรวจสอบรายงาน EIA และเอกสารที่เกี่ยวข้องที่เสนอมา หากรายงานที่เสนอมามิได้จัดทำให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในมาตรา ๔๖ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ หรือมีเอกสารข้อมูลไม่ครบถ้วน ให้แจ้งบุคคลผู้ขออนุญาตที่เสนอรายงานทราบภายในกำหนด ๗ วันทำการ ๑.๓ จัดทำวาระเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการที่สามารถขอรับการยกเว้นไม่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามมาตรา ๔๖ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๔๓๕ โดยเบื้องต้นกำหนดให้โครงการประเภทอาคารอยู่อาศัยรวมและโรงแรมซึ่งต้องจัดทำรายงาน EIA ที่มีความสูงน้อยกว่า ๒๓ เมตร และพื้นที่ใช้สอยรวมทุกอาคารน้อยกว่า ๑๐,๐๐๐ ตารางเมตร สามารถขอรับการยกเว้นไม่ต้องจัดทำรายงาน EIA โดยยินยอมปฏิบัติตามมาตรการต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ในรายงาน EIA ของโครงการในลักษณะเดียวกันที่ได้มีการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมไว้แล้ว ตามมาตรา ๔๖ วรรคสาม ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (คณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการยกเว้นการทำรายงาน EIA โครงการประเภทที่อยู่อาศัยรวม หรือโรงแรมที่มีความสูงน้อยกว่า ๒๓ เมตร และมีขนาดพื้นที่ใช้สอยรวมน้อยกว่า ๑๐,๐๐๐ ตารางเมตร ควรเปิดช่องทางการสื่อสารในรูปแบบสาธารณะให้ผู้ประกอบการรายใหม่ที่จะยื่นขอแบบอาคารพักอาศัยขนาดดังกล่าวได้รับทราบว่ามีการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมไว้แล้วในพื้นที่ใด และในการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือรายงาน EIA เป็นการวิเคราะห์ผลกระทบรายโครงการ จึงไม่สามารถตอบภาพรวมของการแก้ไขปัญหาเชิงพื้นที่ได้ รวมทั้งยังมีกิจการ และโครงการจำนวนมากตามมาตรา ๔๖ วรรคสาม ที่จะขอยกเว้นไม่ต้องจัดทำรายงาน EIA จึงควรมีมาตรการหรือเครื่องมือที่สามารถสื่อสารกับทุกภาคส่วนให้เข้าใจตรงกันในมาตรการดังกล่าว นอกจากนี้ ควรมีการเก็บข้อมูลผลหรือเสียงสะท้อนของโครงการที่ไม่ต้องจัดทำรายงาน EIA จากการปฏิบัติตามมาตรา ๔๖ วรรคสาม เพื่อนำไปสู่การพิจารณาเพิ่มเติมประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการที่สามารถขอรับการยกเว้นไม่ต้องจัดทำรายงาน EIA และการปรับปรุงประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมฯ ให้มีความเหมาะสมถูกต้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
26775 | ขออนุมัติเปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนยปี 2556 เพิ่มเติม | กษ | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบเปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนย ปี ๒๕๕๖ เพิ่มเติม จำนวน ๓,๒๒๖.๗ ตัน ในอัตราภาษีร้อยละ ๕ เท่ากับอัตราภาษีในโควตาที่เก็บจริงในปัจจุบัน โดยให้ผู้ประกอบการนำเข้าให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ โดยมีเงื่อนไขและแนวทางการจัดสรรโควตาส่วนนี้ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ติดตาม กำกับ ดูแลการดำเนินการมิให้เกิดผลกระทบต่อมาตรการและปริมาณการรับซื้อน้ำนมโคจากเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเตรียมแนวทางในการทำความเข้าใจกับผู้ที่อาจได้รับผลกระทบจากการเปิดตลาดนำเข้านมผงดังกล่าวหากไม่ขัดต่อพันธกรณีภายใต้ WTO และ TAFTA เช่น เกษตรกรโคนมในประเทศที่อาจมีข้อกังวลเรื่องการสูญเสียตลาดน้ำนมดิบที่จะใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตซึ่งจะถูกทดแทนโดยนมผงขาดมันเนย การรณรงค์ส่งเสริมการบริโภคนมพร้อมดื่มในประเทศอย่างต่อเนื่อง และการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการใช้นมผงขาดมันเนยที่ผลิตได้ในประเทศเพื่อทดแทนการนำเข้านมผงขาดมันเนยจากต่างประเทศหลังจากที่ได้ก่อสร้างโรงงานผลิตนมผงในประเทศซึ่งคาดว่าจะดำเนินการได้ในปี ๒๕๕๗ เพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ผลิตน้ำนมดิบในประเทศอีกช่องทางหนึ่ง รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการทบทวนแนวทางการบริหารจัดการการนำเข้าและการจัดสรรโควตานมผงขาดมันเนยใหม่ที่จะทำให้ผู้ประกอบการสามารถบริหารจัดการวัตถุดิบนมผงขาดมันเนยของผู้ประกอบการในแต่ละกลุ่มได้อย่างเหมาะสม การให้ความสำคัญกับการกระตุ้นยอดขายของผู้ประกอบการรูปแบบต่าง ๆ เพื่อเพิ่มความต้องการบริโภคผลิตภัณฑ์นมสดในตลาดนมพาณิชย์ การรณรงค์บริโภคนมสดแก่ผู้บริโภคทั่วไปควบคู่ไปกับการพัฒนาการผลิตน้ำนมดิบให้มีผลิตภาพสูงขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
26776 | การกำหนดอัตราค่าเบี้ยประชุมของคณะกรรมการควบคุมการใช้สารต้องห้ามทางการกีฬา และคณะกรรมการเฉพาะเรื่อง | กก | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กำหนดอัตราค่าเบี้ยประชุมของคณะกรรมการควบคุมการใช้สารต้องห้ามทางการกีฬาและคณะกรรมการเฉพาะเรื่อง ตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงาน ก.พ. ดังนี้
๑. กำหนดอัตราเบี้ยประชุมของคณะกรรมการควบคุมการใช้สารต้องห้ามทางการกีฬาในอัตราที่ลดหลั่นจากอัตราเบี้ยประชุมของคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย เนื่องจากมีอำนาจหน้าที่เฉพาะด้านเกี่ยวกับการควบคุมการใช้สารต้องห้ามทางการกีฬา โดยเทียบเคียงกับคณะกรรมการที่มีนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยกำหนดให้ประธานกรรมการได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายครั้งในอัตราไม่เกินครั้งละ ๗,๕๐๐ บาท กรรมการให้ได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายครั้งในอัตราไม่เกินครั้งละ ๖,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ ให้มีสิทธิได้รับเบี้ยประชุมไม่เกิน ๑ ครั้งต่อเดือนเฉพาะกรรมการที่มาประชุม เพื่อให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์การจ่ายเบี้ยประชุมกรรมการรัฐวิสาหกิจตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ๒. กำหนดอัตราเบี้ยประชุมของคณะกรรมการเฉพาะเรื่อง ให้สอดคล้องกับอัตราเบี้ยประชุมรายครั้งตามประกาศกระทรวงการคลังที่เกี่ยวข้อง โดยกำหนดให้ประธานกรรมการได้รับเบี้ยประชุมในอัตราไม่เกิน ๑,๕๐๐ บาทต่อครั้ง กรรมการให้ได้รับเบี้ยประชุมในอัตราไม่เกิน ๑,๒๐๐ บาทต่อครั้ง ทั้งนี้ ให้มีสิทธิได้รับเบี้ยประชุมเฉพาะกรรมการที่มาประชุมเพียงครั้งเดียวในวันหนึ่ง |
||||||||||||||||||||||||
26777 | ข้อเสนอเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือเยียวยาด้านการเงินตามหลักมนุษยธรรม สำหรับความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย ให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจาก เหตุการณ์ชุมนุมการเมือง | นร01 | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์ดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาด้านการเงินตามหลักมนุษยธรรม สำหรับความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย ให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๕ (เรื่อง ข้อเสนอแนะเพื่อส่งเสริมให้การเยียวยาและฟื้นฟูเหยื่อและผู้เสียหายตลอดจนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงหรือความขัดแย้งทางการเมือง) และวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และวิธีการให้ความช่วยเหลือเยียวยาด้านการเงินสำหรับความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย ให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรง หรือความขัดแย้งทางการเมือง) มาใช้ในการช่วยเหลือเยียวยาให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม ๒๕๕๖ โดยให้คณะกรรมการประสานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (ปคอป.) และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาต่อไป ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
26778 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 214 สายต่อเขตเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ควบคุม - ช่องจอม ตอนทางเลี่ยงเมืองสุรินทร์ด้านเหนือ พ.ศ. .... | คค | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๑๔ สายต่อเขตเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ควบคุม-ช่องจอม ตอนทางเลี่ยงเมืองสุรินทร์ด้านเหนือ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๑๔ สายต่อเขตเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ควบคุม-ช่องจอม ตอนทางเลี่ยงเมืองสุรินทร์ด้านเหนือ ในท้องที่ตำบลคอโค ตำบลท่าสว่าง ตำบลแกใหญ่และตำบลแสลงพันธ์ อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมทางหลวงประสานการรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อขอข้อมูลโครงการรถไฟทางคู่สายชุมทางจิระ-อุบลราชธานี มาใช้ประกอบการพิจารณาออกแบบก่อสร้างเส้นทางบริเวณจุดตัดทางรถไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
26779 | การแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคดีพิเศษ | ยธ | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคดีพิเศษแทนกรรมการที่พ้นจากตำแหน่ง จำนวน ๒ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓ ธันวาคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
๑. ศาสตราจารย์ (พิเศษ) จุลสิงห์ วสันตสิงห์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินการธนาคาร ๒. นายอุดม มั่งมีดี ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายและการพิจารณาพิพากษาคดี
|
||||||||||||||||||||||||
26780 | ร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในท้องที่ตำบลบ้านพร้าว อำเภอเมืองหนองบัวลำภู จังหวัดหนองบัวลำภู พ.ศ. .... | มท | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในท้องที่ตำบลบ้านพร้าว อำเภอเมืองหนองบัวลำภู จังหวัดหนองบัวลำภู พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในท้องที่ตำบลบ้านพร้าว อำเภอเมืองหนองบัวลำภู จังหวัดหนองบัวลำภู เนื้อที่ประมาณ ๒๐๐ ไร่ เพื่อมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาใช้เป็นที่ตั้งวิทยาลัยชุมชนหนองบัวลำภู และใช้ประโยชน์อย่างอื่นในราชการของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
.....