ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1332 จากทั้งหมด 6214 หน้า แสดงรายการที่ 26621 - 26640 จากข้อมูลทั้งหมด 124262 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
26621 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาวะค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางออกไปอีก 1 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 - 30 เมษายน 2557 | กค | 01/04/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง ออกไปอีก ๑ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๑-๓๐ เมษายน ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. อนุมัติในหลักการให้ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่ได้รับการกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว ในกรอบวงเงินจำนวน ๓๕๕ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายชดเชยค่าใช้จ่ายจากการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้มีผลการดำเนินการต่อไปได้เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาให้ความเห็นชอบแล้ว ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคม (องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และการรถไฟแห่งประเทศไทย) ขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณเพื่อเบิกค่าใช้จ่ายชดเชยตามที่จ่ายจริงต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
26622 | การเสนอเรื่องเกี่ยวกับการแต่งตั้งกรรมการในช่วงการยุบสภาผู้แทนราษฎร | นร | 01/04/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง แนวทางปฏิบัติอันเนื่องมาจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร) เกี่ยวกับการแต่งตั้งคณะกรรมการ จากเดิมว่า “การแต่งตั้งคณะกรรมการตามกฎหมายซึ่งอาจมีตำแหน่งว่างลงในระหว่างการยุบสภาจะกระทำมิได้ เนื่องจากการแต่งตั้งบุคคลใดเป็นกรรมการย่อมมีผลเป็นการผูกผันต่อเนื่องไปถึงคณะรัฐมนตรีชุดใหม่” เป็น “การสรรหาและแต่งตั้งคณะกรรมการตามกฎหมายเป็นการดำเนินการเพื่อให้มีคณะกรรมการตามกฎหมายอันจำเป็นต่อการดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย สามารถดำเนินการสรรหาและแต่งตั้งคณะกรรมการตามกฎหมายได้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข หรือกระบวนการที่กฎหมายบัญญัติและเมื่อได้แต่งตั้งแล้ว คณะกรรมการตามกฎหมายดังกล่าวสามารถปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายแต่ละฉบับอันเป็นงานประจำตามปกติได้” และให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติต่อไป โดยการเสนอแต่งตั้งคณะกรรมการดังกล่าวในระหว่างการยุบสภาผู้แทนราษฎร ให้พิจารณาดำเนินการเท่าที่จำเป็น และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาให้ความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีด้วยทุกเรื่อง
|
|||||||||||||||||||||||||||
26623 | การให้ความเห็นชอบร่างปฏิญญานครโฮจิมินห์ ค.ศ. 2014 | ทส | 01/04/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบว่าสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๒ (2nd MRC Summit) ระหว่างวันที่ ๔-๕ เมษายน ๒๕๕๗ ณ นครโฮจิมินห์ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ๒. โดยที่ปัจจุบันคณะรัฐมนตรีอยู่ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ตามนัยมาตรา ๑๘๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ดังนั้น ในการเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว จึงให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณามอบหมายข้าราชการประจำที่เกี่ยวข้องไปร่วมการประชุมตามความเหมาะสม ทั้งนี้ ผู้ที่จะเข้าร่วมการประชุมต้องไม่ดำเนินการใด ๆ ที่จะก่อให้เกิดผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไปอันเป็นข้อห้ามตามมาตรา ๑๘๑ (๓) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา |
|||||||||||||||||||||||||||
26624 | ขอความเห็นชอบให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยกู้เงินในปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ ตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 | คค | 01/04/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กู้เงินต่อจากกระทรวงการคลังในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๓ มาตรา ๗๕ (๓) ตามรายการและกรอบวงเงินตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ วงเงินรวม ๑๗,๑๑๗ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ จำนวน ๑๐,๙๑๘ ล้านบาท โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ จำนวน ๔,๕๔๕ ล้านบาท และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ จำนวน ๑,๖๕๔ ล้านบาท โดยให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นงบชำระหนี้ให้แก่ รฟม. เพื่อใช้ชำระหนี้ทั้งในส่วนของเงินต้นดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้อง ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังจะได้ตกลงกับ รฟม. ต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่า โครงการฯ ดังกล่าวเป็นโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง จึงมีความจำเป็นต้องเบิกจ่ายเงินกู้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถดำเนินงานได้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง และให้ รฟม. ดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน รวมทั้งเร่งพิจารณารูปแบบการบริหารจัดการเดินรถที่เหมาะสมและคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนในระบบไฟฟ้าและรถไฟฟ้า (M&E) ที่อยู่ภายในความรับผิดชอบของ รฟม. เพื่อให้สามารถเปิดให้บริการได้ทันกับแผนการก่อสร้างงานโยธาของโครงการฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่า การพิจารณาให้ความเห็นชอบให้ รฟม. กู้เงินต่อจากกระทรวงการคลังดังกล่าวเป็นการดำเนินการตามขั้นตอนที่มาตรา ๗๕ (๓) แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๓ กำหนด และเป็นไปตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติไว้แล้ว มิใช่กรณีที่อยู่ภายใต้บังคับมาตรา ๑๘๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแต่อย่างใด จึงสามารถนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||
26625 | แต่งตั้งองค์ประกอบคณะผู้แทนรัฐบาลไทยสำหรับการเจรจาจัดทำความตกลงเพื่อความร่วมมือด้านภาษีอากรระหว่างประเทศและการปฏิบัติตาม Foreign Account Tax ComplianceAct ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา | กค | 01/04/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติองค์ประกอบคณะผู้แทนรัฐบาลไทยสำหรับการเจรจาจัดทำความตกลงเพื่อความร่วมมือด้านภาษีอากรระหว่างประเทศและการปฏิบัติตาม Foreign Account Tax Compliance Act ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา จำนวนรวมทั้งสิ้นไม่เกิน ๑๒ คน ๑.๑ อธิบดีหรือรองอธิบดีกรมสรรพากร หรือที่ปรึกษาฯ กรมสรรพากร เป็นหัวหน้าคณะ ๑.๒ ที่ปรึกษาหรือรองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังที่ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังมอบหมาย จำนวน ๑ คน ๑.๓ ผู้อำนวยการสำนักวิชาการแผนภาษี กรมสรรพากร หรือผู้แทน จำนวน ๑ คน ๑.๔ เจ้าหน้าที่กรมสรรพากร จำนวนไม่เกิน ๒ คน ๑.๕ เจ้าหน้าที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง จำนวนไม่เกิน ๒ คน ๑.๖ ผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย จำนวน ๑ คน ๑.๗ ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ จำนวน ๑ คน ๑.๘ ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย จำนวน ๑ คน ๑.๙ ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา จำนวน ๑ คน ๑.๑๐ ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศจากสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศสหรัฐอเมริกา จำนวน ๑ คน ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งคณะผู้แทนรัฐบาลไทยฯ ตามองค์ประกอบที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ
|
|||||||||||||||||||||||||||
26626 | สรุปสถานการณ์ภาพรวมของปัญหาไฟป่าและหมอกควันของภาคเหนือ 10 จังหวัด ครั้งที่ 2 | นร04 | 01/04/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปสถานการณ์ภาพรวมของปัญหาไฟป่าและหมอกควันของภาคเหนือ ๑๐ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน แม่ฮ่องสอน น่าน แพร่ พะเยา ตาก และอุตรดิตถ์ ครั้งที่ ๒ ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๗ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. คุณภาพอากาศ ตั้งแต่วันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๗ รวม ๗ วัน ทุกจังหวัดมีคุณภาพอากาศโดยรวมอยู่ในระดับปานกลางถึงระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ค่าปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า ๑๐ ไมครอน สูงเกินค่ามาตรฐาน ๑๒๐ ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ๒. จุดความร้อน (Hot Spots) ในช่วงตั้งแต่วันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๗ มีจำนวนจุดความร้อน (Hot Spots) รวม ๑,๖๕๗ จุด จังหวัดที่พบจุดความร้อน (Hot Spots) มากที่สุด คือ จังหวัดแม่ฮ่องสอน จำนวน ๕๖๘ จุด รองลงมา คือ จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน ๓๗๗ จุด ส่วนสถานการณ์การเกิดไฟป่า มีจำนวนการเกิดไฟป่า ๒๑๕ ครั้ง รวมพื้นที่ ๑,๘๘๐ ไร่ ๓. เนื่องจากขณะนี้สถานการณ์ไฟป่ายังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจังหวัดแม่ฮ่องสอนและเชียงใหม่ จึงเห็นควรให้ผู้ว่าราชการจังหวัดบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามนโยบายและข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี (นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) และรองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ที่ได้ให้ไว้เมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๖ และเมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ โดยเคร่งครัด เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันให้ได้ผลอย่างจริงจังต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
26627 | ขออนุมัติการแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีประจำจังหวัดภูเก็ต | กต | 01/04/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางอาเน็ทเทอ ฆีเมเนซ เฮิชชเต็ทเทอร์ (Mrs. Anette Jimenez Hochstetter) เป็นกงสุลกิตติมศักดิ์สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีประจำจังหวัดภูเก็ต โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดภูเก็ต กระบี่ ตรัง นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี พังงา พัทลุง ยะลา ระนอง สงขลา สตูล และสุราษฎร์ธานี สืบแทน นายเดิร์ก เนาว์มันน์ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
26628 | แนวทางปฏิบัติของข้าราชการพลเรือน | นร | 01/04/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เนื่องในวันที่ (๑ เมษายน ๒๕๕๗) เป็นวันข้าราชการพลเรือน ขอให้ข้าราชการทุกท่านน้อมนำพระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงพระราชทานไว้เมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ เนื่องในโอกาสวันข้าราชการพลเรือน ความว่า “ข้าราชการไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใด ระดับไหน มีหน้าที่อย่างไร ล้วนแต่มีความสำคัญ อยู่ในงานของแผ่นดินทั้งสิ้น ทุกคนจึงต้องตั้งใจปฏิบัติหน้าที่โดยเต็มกำลังความสามารถด้วยอุดมคติ ด้วยความเข้มแข็งเสียสละและระมัดระวัง ให้การทุกอย่างในหน้าที่เป็นไปอย่างถูกต้องเที่ยงตรง ด้วยความระลึกรู้ตัวอยู่เสมอว่า การปฏิบัติตัวปฏิบัติงานของตนมีผลเกี่ยวเนื่องถึงสุขทุกข์ของประชาชน ตลอดจนความเจริญขึ้นหรือเสื่อมลงของประเทศชาติ” มาเป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน รวมทั้งให้ถือปฏิบัติตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรักษาวินัยในการกระทำการหรือไม่กระทำการในกรณีต่าง ๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ เช่น ต้องวางตนเป็นกลางทางการเมืองในการปฏิบัติหน้าที่ราชการและในการปฏิบัติการอื่นที่เกี่ยวกับประชาชน และต้องปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการว่าด้วยมารยาททางการเมืองของข้าราชการ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
26629 | รายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินกองทุนเงินทดแทน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2555 และ 2554 | รง | 01/04/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินกองทุนเงินทดแทน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ และ ๒๕๕๔ ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบรับรองแล้ว ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ฐานะการเงิน ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ กองทุนเงินทดแทนมีสินทรัพย์ จำนวน ๓๗,๗๗๓.๒๑ ล้านบาท มีหนี้สิน จำนวน ๓,๙๕๕.๗๖ ล้านบาท และมีทุน จำนวน ๓๓,๘๑๗.๔๕ ล้านบาท ๒. ในปี ๒๕๕๕ กองทุนเงินทดแทนมีรายได้ จำนวนทั้งสิ้น ๔,๒๘๗.๗๖ ล้านบาท มีค่าใช้จ่าย จำนวนทั้งสิ้น ๑,๙๐๖.๖๘ ล้านบาท ซึ่งในงวดนี้กองทุนเงินทดแทนมีรายได้สูงกว่าค่าใช้จ่ายสุทธิ จำนวน ๒,๖๒๒.๘๐ ล้านบาท ๓. ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ กองทุนเงินทดแทนมีสถานประกอบการที่ขึ้นทะเบียนกองทุนเงินทดแทน จำนวนทั้งสิ้น ๓๗๕,๕๓๕ แห่ง และมีลูกจ้าง จำนวนทั้งสิ้น ๘,๕๗๕,๓๙๘ คน
|
|||||||||||||||||||||||||||
26630 | รายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2555 และ 2554 (กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง) | รง | 01/04/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ และ ๒๕๕๔ ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบรับรองแล้ว ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง มีรายได้รวม จำนวน ๒๗,๐๑๙,๐๑๒.๐๖ ล้านบาท ลดลงจากปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๑๓,๐๑๐,๑๘๐.๓๓ บาท มีค่าใช้จ่ายรวม จำนวน ๑๑๐,๘๕๒,๘๖๖.๒๘ บาท เพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๖๔,๑๗๘,๒๑๒.๕๒ บาท มีผลทำให้รายได้ต่ำกว่าค่าใช้จ่าย จำนวน ๘๓,๘๓๓,๘๕๔.๒๒ บาท ลดลงจากปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๗๗,๑๘๘,๓๙๒.๖๕ บาท ๒. กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง มีสินทรัพย์รวม จำนวน ๓๑๗,๖๙๘,๓๕๓.๒๔ บาท ลดลงจากปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๘๓,๘๘๔,๐๓๕.๘๖ บาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
26631 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น | ศธ | 01/04/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการและกรอบวงเงินงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายตามโครงการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษาตั้งแต่ระดับอนุบาลจนจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน เงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานของโรงเรียนเอกชน จำนวน ๑,๒๓๔.๐๒๙๙ ล้านบาท โดยให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่มีเงินเหลือจ่าย จำนวน ๑๗๑.๔๔๔๒ ล้านบาท และงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๕๐๐ ล้านบาท ที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว ส่วนที่ยังขาดอยู่อีก จำนวน ๕๖๒.๕๘๕๗ ล้านบาท ให้พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ในส่วนของการใช้จ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๕๐๐ ล้านบาท ให้มีผลดำเนินการต่อไปได้เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาให้ความเห็นชอบแล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
26632 | การจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป | นร05 | 01/04/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบเรื่อง การจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป โดยศาลรัฐธรรมนูญได้ส่งคำวินิจฉัยกลางไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้งแล้ว ซึ่งตามแนวทางปฏิบัติโดยทั่วไป คณะกรรมการการเลือกตั้งจะต้องเชิญพรรคการเมืองเพื่อหารือแนวทางในการจัดการเลือกตั้งใหม่ โดยหากมีการยกร่างพระราชกฤษฎีกาเพื่อกำหนดการเลือกตั้ง เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้งจะได้แจ้งเรื่องให้เลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการต่อไป ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) รายงาน และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีติดตามและรายงานต่อรองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
26633 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (จำนวน 4 ราย 1. นางสุรีย์รัตน์ ฯลฯ) | วธ | 01/04/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง) จำนวน ๔ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ดังนี้
๑. นางสุรีย์รัตน์ วงศ์เสงี่ยม ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายอนันต์ ชูโชติ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นางพิมพ์รวี วัฒนวรางกูร ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๔. นางสาววิมลลักษณ์ ชูชาติ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง |
|||||||||||||||||||||||||||
26634 | ขอต่อเวลาการดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงาน (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานกิจการยุติธรรม (กระทรวงยุติธรรม) (นายวิทยา สุริยะวงค์) | ยธ | 01/04/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของนายวิทยา สุริยะวงค์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานกิจการยุติธรรม ซึ่งดำรงตำแหน่งดังกล่าวเมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๒ ครบกำหนด ๔ ปี ในวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๖ ต่อไปอีก ๑ ปี ครั้งที่ ๑ ตั้งแต่วันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ทั้งนี้ ให้มีผลดำเนินการในขั้นตอนต่อไปได้เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งให้ความเห็นชอบตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๑๘๑ (๑) แล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
26635 | แต่งตั้งข้าราชการ (จำนวน 4 ราย 1. นายวิษณุ ปาณวร ฯ) | รง | 01/04/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงแรงงาน ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง) จำนวน ๔ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้
๑. นายวิษณุ ปาณวร ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายอารักษ์ พรหมณี ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นายวินัย ลู่วิโรจน์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๔. นายกรีฑา สพโชค ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง |
|||||||||||||||||||||||||||
26636 | เร่งรัดการเสนอเรื่องเกี่ยวกับการแต่งตั้งกรรมการในช่วงการยุบสภาผู้แทนราษฎร | นร09 | 25/03/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งรัดการดำเนินการพิจารณาแต่งตั้งกรรมการในกรณีต่าง ๆ ในช่วงการยุบสภาผู้แทนราษฎร ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง การเสนอเรื่องเกี่ยวกับการแต่งตั้งกรรมการในช่วงการยุบสภาผู้แทนราษฎร) ให้แล้วเสร็จ และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนในการประชุมครั้งต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
26637 | แต่งตั้งคณะบุคคลเป็นที่ปรึกษาในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบเรียบร้อย | นร04 | 25/03/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการแต่งตั้งคณะบุคคลเป็นที่ปรึกษาในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบเรียบร้อย ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๔/๒๕๕๗ ลงวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๗ โดยมีนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานที่ปรึกษา นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี และนายพีรพันธุ์ พาลุสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นที่ปรึกษา ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๗ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
26638 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสที่สี่ และภาพรวมทั้งปี 2556 | นร11 | 25/03/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะสังคมไทยไตรมาสที่สี่ และภาพรวมทั้งปี ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รายได้และการจ้างงาน ในไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๕๖ การจ้างงานลดลงร้อยละ ๑.๑ เป็นการลดลงทั้งภาคเกษตรและภาคนอกเกษตร อัตราการว่างงานเท่ากับร้อยละ ๐.๖๕ ค่าจ้างแรงงานและเงินเดือนภาคเอกชนที่ยังไม่รวมค่าล่วงเวลาและผลประโยชน์ตอบแทนอื่นเพิ่มขึ้นร้อยละ ๘.๗ จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน และจากราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑.๗ ทำให้ค่าจ้างแรงงานในไตรมาสที่สี่เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑.๗ ทั้งนี้ โดยรวมตลอดทั้งปี ๒๕๕๖ แม้ว่าการจ้างงานจะลดลงและอัตราการว่างงานจะสูงขึ้นในไตรมาสที่สี่ อันเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวลงก็ตาม ตลอดทั้งปีการจ้างงานลดลงเมื่อเทียบกับปี ๒๕๕๕ ลดลงเล็กน้อยเพียงร้อยละ ๐.๐๕ ในขณะที่อัตราการว่างงานเท่ากับร้อยละ ๐.๗๒ ยังอยู่ในระดับที่ต่ำและใกล้เคียงกับระดับอัตราการว่างงานในช่วงสองปีที่ผ่านมาที่ร้อยละ ๐.๗ ค่าจ้างแรงงานและเงินเดือนภาคเอกชนที่ยังไม่รวมค่าล่วงเวลาและผลประโยชน์ตอบแทนอื่นในปี ๒๕๕๖ เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๐.๒ ค่าจ้างแท้จริงเพิ่มขึ้นร้อยละ ๗.๘ ผลิตภาพแรงงานเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒.๙ ๒. ภาวะสุขภาพ ๒.๑ ผู้ป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังมีแนวโน้มลดลงแต่ยังต้องเฝ้าระวังโรคในระบบทางเดินหายใจ ผู้ป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังลดลงร้อยละ ๒๕.๑ เมื่อเทียบกับไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๕๕ ภาพรวมทั้งปี ๒๕๕๖ มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นร้อยละ ๘.๙ เมื่อเทียบกับปี ๒๕๕๕ โดยผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกเพิ่มขึ้นเกือบ ๒ เท่า ซึ่งแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสที่สามของปี ๒๕๕๕ ส่วนใหญ่พบมากในกลุ่มนักเรียนอายุ ๑๐-๒๔ ปี รวมทั้งยังต้องเฝ้าระวังโรคปอดอักเสบและไข้หวัดใหญ่ที่แพร่ระบาดอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี ๒๕๕๗ สำหรับการเจ็บป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่สำคัญมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยในปี ๒๕๕๕ พบผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้นร้อยละ ๙.๗ เมื่อเทียบกับปี ๒๕๕๔ รองลงมา ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง และโรคมะเร็ง โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ ๘.๖ ๓.๗ ๗.๔ และ ๖.๒ ตามลำดับ ๒.๒ ค่าใช้จ่ายในการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีแนวโน้มลดลงจาก ๔๓,๕๒๖ ล้านบาทในไตรมาสที่สี่ปี ๒๕๕๕ เป็น ๓๙,๖๖๔ ล้านบาทในไตรมาสที่สี่ปี ๒๕๕๖ หรือลดลงร้อยละ ๘.๙ เป็นผลมาจากการปรับภาษีสรรพสามิตของสุราและเบียร์ใหม่ทำให้ราคาสุราและเบียร์เพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณร้อยละ ๗-๘ ส่งผลให้ปริมาณการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลดลง ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการบริโภคบุหรี่เพิ่มขึ้นจากมูลค่า ๔,๖๘๒ ล้านบาทในไตรมาสที่สี่ปี ๒๕๕๕ เป็น ๔,๗๓๔ ล้านบาทในไตรมาสที่สี่ปี ๒๕๕๖ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑.๑ ๓. ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ๓.๑ จำนวนคดีอาญาโดยรวมลดลง ขณะที่คดียาเสพติดเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ในไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๕๖ มีการรับแจ้ง ๑๑๘,๙๐๔ คดี ลดลงร้อยละ ๐.๖ เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยคดียาเสพติดมีสัดส่วนมากที่สุดคิดเป็นร้อยละ ๘๕.๑ ของคดีอาญารวม เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๕๕ ร้อยละ ๐.๘ สำหรับภาพรวมทั้งปี ๒๕๕๖ มีการรับแจ้งคดียาเสพติด ๔๓๔,๕๕๗ คดี เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๙.๗ เมื่อเทียบกับปี ๒๕๕๕ ๓.๒ สถานการณ์การเกิดอุบัติเหตุจราจรทางบกในไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๕๖ มีผู้เสียชีวิตลดลงร้อยละ ๒๔.๔ เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๕๕ สำหรับภาพรวมทั้งปี ๒๕๕๖ มีผู้เสียชีวิตลดลงร้อยละ ๙.๑ เมื่อเทียบกับปี ๒๕๕๕ ส่วนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๗ เกิดอุบัติเหตุ ๓,๑๗๔ ครั้ง เพิ่มขึ้นจากปี ๒๕๕๖ ร้อยละ ๐.๓ มีผู้บาดเจ็บ ๓,๓๔๕ คน ผู้เสียชีวิต ๓๖๖ คน สาเหตุหลักยังคงมาจากการขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และรถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุดที่ทั้งผู้ขับขี่และผู้ซ้อนท้ายไม่สวมหมวกนิรภัย
|
|||||||||||||||||||||||||||
26639 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ ทั้งปี 2556 และแนวโน้มปี 2557 | นร11 | 25/03/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ ทั้งปี ๒๕๕๖ และแนวโน้มปี ๒๕๕๗ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๕๖ วัดจากผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ขยายตัวร้อยละ ๐.๖ โดยเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสสี่ขยายตัวจากไตรมาสสามของปี ๒๕๕๖ ร้อยละ ๐.๖ ในขณะที่เศรษฐกิจในภาพรวมยังมีเสถียรภาพ อัตราการว่างงานยังต่ำที่ร้อยละ ๐.๗ และอัตราเงินเฟ้อเท่ากับร้อยละ ๑.๗ และเมื่อรวมทั้งปี ๒๕๕๖ เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ ๒.๙ ๒. ภาวะเศรษฐกิจไทยปี ๒๕๕๖ ๒.๑ เศรษฐกิจไทยโดยรวมทั้งปี ๒๕๕๖ ขยายตัวร้อยละ ๒.๙ ชะลอตัวค่อนข้างมากจากที่ขยายตัวร้อยละ ๖.๕ ในปี ๒๕๕๕ เนื่องจากฐานการใช้จ่ายครัวเรือนและการลงทุนภาคเอกชนในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๕ สูงกว่าแนวโน้มปกติ เป็นผลจากการดำเนินมาตรการคืนภาษีรถยนต์คันแรกที่ส่งผลให้ยอดจำหน่ายรถยนต์นั่งสูงถึง ๒๑๑,๔๗๔ คัน ในไตรมาสสี่ปี ๒๕๕๕ ส่งผลให้อุปสงค์ในประเทศรวมชะลอตัวลงมาก ประกอบกับในช่วงปลายปีความเชื่อมั่นของประชาชนลดลง การใช้จ่ายของครัวเรือนโดยรวมทั้งปีจึงขยายตัวเพียงร้อยละ ๐.๒ การลงทุนภาคเอกชนหดตัวร้อยละ ๒.๘ และการใช้จ่ายรัฐบาลและการลงทุนภาครัฐชะลอตัวลง นอกจากนี้ ปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการยังชะลอตัว เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังอยู่ในช่วงแรกของการฟื้นตัว รวมทั้งสินค้าส่งออกเกษตรประสบปัญหาโรคตายด่วนในกุ้งและสินค้าอุตสาหกรรมกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ไม่สามารถปรับตัวทันกับการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีการผลิตหน่วยความจำของฮาร์ตดิสก์ที่ก้าวหน้ามากขึ้น โดยรวมทั้งปี ๒๕๕๖ มูลค่าการส่งออกเท่ากับ ๒๒๕,๓๙๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ ๐.๒ ๒.๒ การใช้จ่ายและการส่งออกที่ชะลอตัวส่งผลให้การผลิตในทุกสาขาชะลอลงทั้งปี ๒๕๕๖ ภาคเกษตรกรรมขยายตัวร้อยละ ๑.๔ ภาคอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ ๐.๑ ภาคการก่อสร้างขยายตัวร้อยละ ๑.๒ และสาขาโรงแรมและภัตตาคารขยายตัวร้อยละ ๑๒.๑ โดยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมทั้งสิ้น ๒๖.๗ ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๙.๖ ๒.๓ เศรษฐกิจยังคงมีเสถียรภาพที่มั่นคงโดยที่อัตราการว่างงานทั้งปีเท่ากับร้อยละ ๐.๗ อัตราเงินเฟ้อเท่ากับร้อยละ ๒.๒ และดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลร้อยละ ๐.๖ ต่อ GDP ๓. แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี ๒๕๕๗ ๓.๑ เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวในช่วงร้อยละ ๓.๐-๔.๐ ดีขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ ๒.๙ ในปี ๒๕๕๖ โดยมีปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวจากภาคการส่งออกที่คาดว่าจะฟื้นตัวตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๓.๖ เร่งตัวขึ้นจากร้อยละ ๓.๑ ในปี ๒๕๕๖ การท่องเที่ยวยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ ๓.๐ ต่ำกว่าประมาณการครั้งก่อน และอัตราการขยายตัวในช่วง ๒ ปีที่ผ่านมา และการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐในส่วนที่ได้มีการผูกพันไว้แล้ว รวมทั้งการลงทุนภาคเอกชนยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ โดยเฉพาะการลงทุนที่ขอรับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนไว้แล้วและสามารถเข้าสู่ขั้นตอนการอนุมัติในช่วงครึ่งหลังของปีได้ โดยคาดว่าการปรับปรุงนโยบายการส่งเสริมการลงทุนจะมีความชัดเจนขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ๓.๒ ข้อจำกัดของอุปสงค์ภายในประเทศที่ยังอ่อนตัวจะทำให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจต่ำกว่าร้อยละ ๔.๐-๕.๐ เนื่องจากความล่าช้าของการดำเนินการตามแผนการลงทุนของภาครัฐและการบริโภคภายในประเทศที่ยังคงอ่อนตัวต่อเนื่อง ๓.๓ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจคาดว่าจะยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยอัตราเงินเฟ้อยังมีแนวโน้มที่จะอยู่ในช่วงร้อยละ ๑.๙-๒.๙ เนื่องจากอุปสงค์ภายในประเทศยังขยายตัวไม่มาก ประกอบกับราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นไม่มาก อัตราการว่างงานจะยังต่ำไม่เกินร้อยละ ๑ ดุลบัญชีเดินสะพัดซึ่งคาดว่าจะขาดดุลร้อยละ ๐.๒ ของ GDP ลดลงจากการขาดดุลร้อยละ ๐.๖ ของ GDP ในปี ๒๕๕๖
|
|||||||||||||||||||||||||||
26640 | สรุปสถานการณ์ภาพรวมของปัญหาไฟป่าและหมอกควันของภาคเหนือ 10 จังหวัด ครั้งที่ 1 | นร04 | 25/03/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปสถานการณ์ภาพรวมของปัญหาไฟป่าและหมอกควันของภาคเหนือ ๑๐ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน แม่ฮ่องสอน น่าน แพร่ พะเยา ตาก และอุตรดิตถ์ ครั้งที่ ๑ ณ วันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๗ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ คุณภาพอากาศ ตั้งแต่วันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๗ รวม ๑๔ วัน ทุกจังหวัดมีคุณภาพอากาศโดยรวมอยู่ในระดับปานกลางถึงระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ค่าปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า ๑๐ ไมครอน สูงเกินค่ามาตรฐาน ๑๒๐ ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ ๑.๒ จุดความร้อน (Hot Spots) ในช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๗-๒๓ มีนาคม ๒๕๕๗ มีจำนวนจุความร้อน (Hot Spots) รวม ๔,๑๗๔ จุด จังหวัดที่พบจุดความร้อน (Hot Spots) มากที่สุด คือ จังหวัดแม่ฮ่องสอน จำนวน ๑,๐๘๙ จุด รองลงมา คือ จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน ๑,๐๑๔ จุด ส่วนสถานการณ์การเกิดไฟป่า มีจำนวนการเกิดไฟป่า ๗๐๙ ครั้ง รวมพื้นที่ ๖,๓๕๕ ไร่ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับไปสั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดที่เกี่ยวข้องบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามนโยบายและข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ที่ได้ให้ไว้เมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๖ และวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีในการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้ง และภัยจากไฟป่าและหมอกควัน ปี ๒๕๕๗) อย่างเคร่งครัด เพื่อให้การแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันได้ผลอย่างจริงจังต่อไป
|
.....