ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1341 จากทั้งหมด 6214 หน้า แสดงรายการที่ 26801 - 26820 จากข้อมูลทั้งหมด 124262 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
26801 | ร่างพระราชกฤษฎีกาโอนกรรมสิทธิ์ที่วัด วัดศรีมิ่งแก้ว ตำบลรอบเวียง อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย ให้แก่กรมทางหลวง พ.ศ. .... | พศ | 25/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาโอนกรรมสิทธิ์ที่วัด วัดศรีมิ่งแก้ว ตำบลรอบเวียง อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย ให้แก่กรมทางหลวง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ โอนกรรมสิทธิ์ที่วัด วัดศรีมิ่งแก้ว ตำบลรอบเวียง อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย เนื้อที่ ๙๖ ตารางวา ตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๐๓๘๕ ให้แก่กรมทางหลวง ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
26802 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนตุลาคม 2556 | พณ | 25/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนตุลาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนตุลาคม ๒๕๕๖ เทียบกับเดือนกันยายน ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๗ (เดือนกันยายน ๒๕๕๖ ลดลงร้อยละ ๐.๑๖) จากการสูงขึ้นของดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๖๑ จากการสูงขึ้นของราคาหมวดข้าว แป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง หมวดผักและผลไม้ หมวดเครื่องประกอบอาหาร หมวดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และหมวดอาหารสำเร็จรูป สำหรับดัชนีราคาหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ลดลงร้อยละ ๐.๐๕ จากการลดลงของหมวดน้ำมันเชื้อเพลิง รวมทั้งสินค้าและบริการอื่น ๆ ที่มีราคาลดลง ได้แก่ ค่าของใช้ส่วนบุคคล ๒. ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนตุลาคม ๒๕๕๖ เทียบกับเดือนกันยายน ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๒ สินค้าและบริการที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ หมวดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ หมวดอาหารสำเร็จรูป หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า หมวดเคหสถาน หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล หมวดค่าใช้จ่ายในการเดินทางโอกาสพิเศษและท่องเที่ยว และหมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์
|
||||||||||||||||||
26803 | สรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนกันยายน พ.ศ. 2556 | ทก | 25/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน มีจำนวนทั้งสิ้น ๓๙.๓๒ ล้านคน ประกอบด้วย ผู้มีงานทำ ๓๙.๐๐ ล้านคน ผู้ว่างงาน ๐.๒๖ ล้านคน และผู้ที่รอฤดูกาล ๑.๑๖ ล้านคน โดยผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงานมีจำนวนลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๕ จำนวน ๑.๒ แสนคน (จาก ๒๙.๔๔ ล้านคน เป็ฯ ๓๙.๓๒ ล้านคน) ๒. ผู้มีงานทำ มีจำนวน ๓๙.๐๐ ล้านคน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๕ จำนวน ๑.๕ แสนคน (จาก ๓๙.๑๕ ล้านคน เป็น ๓๙.๐๐ ล้านคน) หรือลดลงร้อยละ ๐.๔ โดยผู้ทำงานลดลง ได้แก่ ผู้ทำงานสาขาการบริหารราชการ การป้องกันประเทศ และการประกันสังคมภาคบังคับ ๒.๐ แสนคน สาขาที่พักแรมและการบริการด้านอาหาร ๑.๖ แสนคน สาขาการขนส่ง และสถานที่เก็บสินค้า ๘.๐ หมื่นคน สาขาการก่อสร้าง ๖.๐ หมื่นคน และสาขาภาคเกษตรกรรม ๑.๐ หมื่นคน ส่วนผู้ทำงานเพิ่มขึ้น ได้แก่ สาขาการขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์ และรถจักรยานยนต์ ๑.๐ แสนคน สาขาการผลิต ๙.๐ หมื่นคน สาขากิจกรรมทางการเงิน และการประกันภัย ๖.๐ หมื่นคน สาขากิจกรรมการบริการด้านอื่น ๆ เช่น กิจกรรมบริการเพื่อสร้างเสริมสุขภาพร่างกาย การดูแลสัตว์เลี้ยง การบริการซักรีด และซักแห้ง เป็นต้น ๓.๐ หมื่นคน และสาขากิจกรรมอสังหาริมทรัพย์ ๓.๐ หมื่นคน เป็นต้น ๓. ผู้ว่างงานทั่วประเทศ มีจำนวน ๒.๖๔ แสนคน คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ ๐.๗ ของกำลังแรงงานรวม (เพิ่มขึ้น ๑.๗ หมื่นคน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๕) ประกอบด้วย ผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อน จำนวน ๑.๓๗ แสนคน อีกส่วนหนึ่งเป็นผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อน จำนวน ๑.๒๗ แสนคน โดยเป็นผู้ว่างงานที่มาจากภาคบริการและการค้า ๕.๕ หมื่นคน ภาคการผลิต ๕.๔ หมื่นคน และภาคเกษตรกรรม ๑.๘ หมื่นคน ผู้ว่างงานเป็นผู้มีการศึกษาอยู่ในระดับอุดมศึกษา ๑.๐๔ แสนคน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ๕.๙ หมื่นคน มัธยมศึกษาตอนต้น ๕.๑ หมื่นคน ระดับประถมศึกษา ๓.๑ หมื่นคน และไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษา ๑.๙ หมื่นคน และผู้ว่างงานส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๘.๔ หมื่นคน ภาคกลาง ๗.๗ หมื่นคน ภาคใต้ ๔.๗ หมื่นคน กรุงเทพมหานคร ๓.๒ หมื่นคน และภาคเหนือ ๒.๔ หมื่นคน
|
||||||||||||||||||
26804 | ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม บริเวณทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 106 ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลวัดเกต ตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่ ตำบลหนองผึ้ง ตำบลยางเนิ้ง และตำบลสารภี อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลอุโมงค์ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน พ.ศ. .... | ทส | 25/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม บริเวณทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๐๖ ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลวัดเกต ตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่ ตำบลหนองผึ้ง ตำบลยางเนิ้ง และตำบลสารภี อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลอุโมงค์ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้พื้นที่ภายในบริเวณที่วัดจากจุดกึ่งกลางของทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๐๖ ในระยะ ๔๐ เมตร ออกไปทั้งสองฟาก ในท้องที่ตำบลวัดเกต ตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่ ตำบลหนองผึ้ง ตำบลยางเนิ้ง และตำบลสารภี อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และในท้องที่ตำบลอุโมงค์ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน เป็นเขตพื้นที่ที่ให้ใช้มาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ๒. กำหนดให้ในเขตพื้นที่ที่ให้ใช้มาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ห้ามการกระทำหรือการประกอบกิจกรรม ได้แก่ การตัด ฟัน โค่นต้นยางนาและต้นขี้เหล็ก การกระทำอันตรายต่อระบบรากหรือลำต้นของต้นยางนาและต้นขี้เหล็ก เป็นต้น รวมทั้งการห้ามก่อสร้าง หรือดัดแปลงอาคารให้มีลักษณะบางประการหรือให้เป็นอาคารบางประเภท ตลอดจนการกำกับควบคุมการใช้ยานพาหนะและการจราจร ๓. กำหนดให้เพื่อประโยชน์ในการสงวนรักษา การอนุรักษ์ การปกป้อง และการฟื้นฟูบูรณะและการจัดการด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่ที่ให้ใช้มาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมให้จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดลำพูน โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการกำกับดูแลและติดตามผลการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม จัดทำแผนฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๔. กำหนดให้ร่างประกาศนี้ให้ใช้บังคับมีกำหนดระยะเวลาห้าปี |
||||||||||||||||||
26805 | ร่างข้อบังคับของอัยการสูงสุดว่าด้วยการเคลื่อนย้ายภายใต้การควบคุม ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กร อาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 20 พ.ศ. .... | อส | 25/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างข้อบังคับของอัยการสูงสุดว่าด้วยการเคลื่อนย้ายภายใต้การควบคุม ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. ๒๕๕๖ มาตรา ๒๐ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการขออนุญาต การอนุญาต และการเคลื่อนย้ายภายใต้การควบคุม เพื่อประโยชน์ในการสืบสวนและสอบสวนการกระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการกำหนดบทนิยามคำว่า “ของผิดกฎหมายหรือต้องสงสัย” เพื่อให้เกิดความชัดเจนแก่ผู้ปฏิบัติงานตามร่างข้อบังคับฉบับนี้ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
26806 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนจักรเพชรกับถนนตรีเพชร พ.ศ. .... | มท | 25/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนจักรเพชรกับถนนตรีเพชร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงท้องถิ่นสายเชื่อมระหว่างถนนจักรเพชรกับถนนตรีเพชร ในท้องที่แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
26807 | สรุปสถานการณ์นักท่องเที่ยวระหว่างเดือนมกราคม - ตุลาคม 2556 | กก | 25/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปสถานการณ์นักท่องเที่ยว ระหว่างเดือนมกราคม-ตุลาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เดือนมกราคม-ตุลาคม ๒๕๕๖ มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาประเทศไทย จำนวน ๒๑,๗๓๘,๓๒๘ คน เพิ่มขึ้น ๓,๙๖๓,๔๔๑ คน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๒.๓๐ โดยมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ภูมิภาคที่มีอัตราการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ เอเชียตะวันออก ยุโรป และอเมริกา ตามลำดับ สำหรับประเทศที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามามากที่สุด ๑๐ อันดับ ได้แก่ จีน มาเลเซีย รัสเซีย ญี่ปุ่น เกาหลี ลาว อินเดีย ออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร และสิงคโปร์ ตามลำดับ ๒. ปัจจัยที่ทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น ได้แก่ การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการเดินทางท่องเที่ยวโลก ความนิยมต่อแหล่งท่องเที่ยวในประเทศไทยที่เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับจากชาวต่างชาติ ความหลากหลายของสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวของไทย ความคุ้มค่าทางการท่องเที่ยว ความเป็นมิตรของชาวไทย และความปลอดภัยในการท่องเที่ยว ทั้งนี้ ปัจจัยดังกล่าวเป็นผลจากการดำเนินงานตามแผนงานส่งเสริมและสนับสนุนด้านการท่องเที่ยวของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงาน/องค์กรด้านการท่องเที่ยว ๓. แนวโน้มจำนวนนักท่องเที่ยว ปี ๒๕๕๖ องค์การการท่องเที่ยวโลก (United Nations World Tourism Organization : UNWTO) คาดว่าแนวโน้มการเดินทางท่องเที่ยวโลกในปี ๒๕๕๖ จะขยายตัวต่อเนื่องประมาณร้อยละ ๓-๔ จากปีที่ผ่านมา สำหรับประเทศไทย คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวของไทยในปี ๒๕๕๖ จะขยายตัวไม่ต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ ๔. ผู้เดินทางชาวไทยเดินทางออกไปต่างประเทศ ระหว่างเดือนมกราคม-ตุลาคม ๒๕๕๖ มีจำนวน ๕,๘๔๒,๓๑๑ คน เพิ่มขึ้น ๑๖๖,๙๔๔ คน คิดเป็นร้อยละ ๒.๙๔ จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยผู้เดินทางชาวไทยนิยมเดินทางไปท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเป็นหลักและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
|
||||||||||||||||||
26808 | ร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทน เงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวและเงินช่วยเหลือสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน กระทรวงมหาดไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 25/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทน เงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวและเงินช่วยเหลือสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน กระทรวงมหาดไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างระเบียบฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ ปรับอัตราขั้นสูง-ขั้นต่ำของการจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราว ให้มีผลใช้บังคับเป็น ๒ ระยะเวลา ๑.๑.๑ ระยะที่ ๑ ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๔ จนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ ปรับอัตราขั้นต่ำจาก ๘,๒๐๐ บาท เป็น ๘,๖๑๐ บาท และปรับอัตราขั้นสูงจาก ๑๑,๗๐๐ บาท เป็น ๑๒,๒๘๕ บาท ๑.๑.๒ ระยะที่ ๒ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ปรับอัตราขั้นต่ำจาก ๘,๒๐๐ บาท เป็น ๙,๐๐๐ บาท และปรับอัตราขั้นสูงจาก ๑๑,๗๐๐ บาท เป็น ๑๒,๒๘๕ บาท ๑.๒ กำหนดให้สมาชิกกองอาสารักษาดินแดนได้รับเงินค่าตอบแทนตามบัญชีท้ายระเบียบฯ โดยได้รับเงินค่าตอบแทน ๑๓ ขั้น อัตราตั้งแต่ ๔,๘๗๐-๘,๔๕๐ บาท ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการปรับปรุงระเบียบดังกล่าวให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๖ จำนวน ๒๑๐,๕๐๔,๒๙๖ บาท ที่กรมการปกครองได้ขออนุมัติกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีกับกระทรวงการคลังแล้ว และหากไม่เพียงพอก็ให้กรมการปกครองปรับแผนการปฏิบัติและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ มาสมทบ โดยขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป |
||||||||||||||||||
26809 | รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ ครั้งที่ 35 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | กษ | 25/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ (ASEAN Minister on Aqriculture and Forestry-AMAF) ครั้งที่ ๓๕ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วยการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้กับรัฐมนตรีของจีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี (AMAF Plus Three) ครั้งที่ ๑๓ และการประชุมรัฐมนตรีอาเซียน-อินเดีย ด้านการเกษตร (ASEAN-India Ministerial Meeting on Agriculture) ครั้งที่ ๑ ระหว่างวันที่ ๒๖-๒๘ กันยายน ๒๕๕๖ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยในส่วนของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ (AMAF) สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานด้านอาหาร การเกษตร และป่าไม้ เพื่อมุ่งสู่การเป็นประชาคมอาเซียน และเห็นชอบให้ใช้ทรัพยากรเพื่อเน้นการดำเนินงานให้บรรลุผลตามสิ่งที่ต้องปฏิบัติ (Key Deliverables) และมาตรการที่ได้จัดลำดับความสำคัญไว้ รวมทั้งเห็นชอบให้เริ่มเตรียมงานที่จะดำเนินการหลังจากปี ๒๕๕๘ ๒. ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานตามแผนนโยบายบูรณาการความมั่นคงด้านอาหารของอาเซียน (ASEAN Integrated Food Security Framework : AIFS Framework) และแผนกลยุทธ์ความมั่นคงด้านอาหารของอาเซียน (Strategic Plan of Action on Food Security : SPA-FS) ปี ๒๕๕๒-๒๕๕๖ และเห็นชอบให้จัดทำ SPA-FS ระยะที่ ๒ ปี ๒๕๕๗-๒๕๖๒ ๓. ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานตาม ASEAN Multi-Sectoral Framework on Climate Change : Agriculture and Forestry Towards Food Security (AFCC) ซึ่งมีการประชุมและการฝึกอบรมในหลักสูตรต่าง ๆ ๔. ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าของความร่วมมือด้านอาหาร การเกษตร และป่าไม้ รวมทั้งเห็นชอบมาตรฐานอาเซียนและเอกสารต่าง ๆ เพื่อการมีท่าทีร่วมกันของอาเซียน และอำนวยความสะดวกด้านการค้าสินค้าเกษตรทั้งภายในและภายนอกภูมิภาค ๕. ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าการจัดตั้งศูนย์ประสานงานอาเซียนทางด้านโรคระบาดสัตว์และโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน (ASEAN Coordination Centre for Animal Health and Zoonoses : ACCAHZ) และเห็นชอบให้มีการหมุนเวียนสถานที่ตั้งของศูนย์ฯ ในประเทศสมาชิกอาเซียน ทุก ๆ ๔ ปี โดยเริ่มจากมาเลเซียเป็นประเทศแรก ตามด้วยไทย ทั้งนี้ ที่ประชุมมอบหมายให้สำนักเลขาธิการอาเซียน โดยการสนับสนุนของ ASEAN Regional Support Unit (ASEAN-RSU) พิจารณารายละเอียดรูปแบบการดำเนินการและการเตรียมการที่จำเป็น ๖. ที่ประชุมสนับสนุนบทบาท ASEAN SPS Contact Points (ASCP) ในการประสานงานและติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (Sanitary and Phytosanitay : SPS) และงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องดำเนินงาน โดยคณะทำงานด้านต่าง ๆ ภายใต้ AMAF และองค์กรอื่น ๆ ของอาเซียน ๗. ที่ประชุมได้เริ่มดำเนินโครงการภายใต้ ASEAN-FAO MOU on Strengthening Cooperation in Agriculture and Forestry จำนวน ๓ โครงการ คือ (๑) TCP/RAS/3406(E) on Emergency Assistance for Surveillance of Influenza A (H7N9) Virus in Poultry and Animal Populations in Southeast Asia (๒) TCP/INT/3402(E) Emergency Support to Global and Coordinated Response to Influenza A (H7N9) Virus in Poultry and Other Animal Population และ (๓) Strengthening the capacity of ASEAN in coordination and monitoring of the implementation of ASEAN Integrated Food Security Framework (AIFS) and the Strategic Plan of Action on Food Security (SPA-FS) ๘. การลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร (MOU between ASEAN and China on Food and Agriculture Cooperation) ซึ่งอาเซียนและจีนเห็นชอบให้ส่งเสริมความร่วมมือในด้านต่าง ๆ เช่น ความมั่นคงด้านอาหาร ความปลอดภัยด้านอาหาร เครื่องจักรและเครื่องกลทางการเกษตร การฝึกอบรมและการส่งเสริมการเกษตรเพื่อการถ่ายทอดเทคโนโลยี
|
||||||||||||||||||
26810 | การแต่งตั้งข้าราชการ (กระทรวงศึกษาธิการ) (นางพจมาน พงษ์ไพบูลย์) | ศธ | 25/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางพจมาน พงษ์ไพบูลย์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการศึกษาพิเศษและผู้ด้อยโอกาส (นักวิชาการศึกษาทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งแต่วันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๖ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
|
||||||||||||||||||
26811 | รายงานผลการปฏิบัติงานของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | ยธ | 25/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ประกอบด้วย รายงานผลการปฏิบัติราชการตามอำนาจหน้าที่ และปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะในการปฏิบัติงานของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในฐานะบังคับบัญชาสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเสนอ ๒. เห็นชอบให้นำความเห็นของสำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรเทียบเคียงการกำหนดเงินเพิ่มพิเศษอื่น ๆ ที่มีลักษณะงานใกล้เคียงกัน เพื่อให้เกิดความเสมอภาคและเป็นธรรมในภาพรวมของระบบราชการ และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินควรมีการฝึกอบรมเพื่อเพิ่มพูนความรู้ ทักษะในการปฏิบัติงานโดยเฉพาะด้านการกำกับ ตรวจสอบ และวิเคราะห์ธุรกรรมทางการเงิน เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานตามกฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรี และให้นำรายงานผลการปฏิบัติงานของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ พร้อมทั้งข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีดังกล่าวเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป |
||||||||||||||||||
26812 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง พ.ศ. .... ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง พ.ศ. .... รวม 3 ฉบับ | นร09 | 25/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการในสังกัดกระทรวงการคลัง จำนวน ๓ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะได้เสนอร่างกฎกระทรวงดังกล่าวให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพิจารณาลงนามและประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง โดยกำหนดให้กรมธนารักษ์แบ่งส่วนราชการออกเป็น ๑ สำนักงาน ๑๐ สำนัก ๕ กอง และ ๑ ศูนย์ ๒. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง โดยกำหนดให้กรมบัญชีกลางแบ่งส่วนราชการออกเป็น (๑) ราชการบริหารส่วนกลางแบ่งส่วนราชการออกเป็น ๑ สำนักงาน ๙ สำนัก ๓ กอง ๑ ศูนย์ ๑ สถาบัน และสำนักงานคลังเขต ๑-๙ และ (๒) ราชการบริหารส่วนภูมิภาคแบ่งส่วนราชการออกเป็นสำนักงานคลังจังหวัด รวมทั้งกำหนดให้มีกลุ่มงานด้านวิชาการ กลุ่มตรวจสอบภายใน และกลุ่มพัฒนาระบบบริหาร ๓. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง โดยกำหนดให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจแบ่งส่วนราชการออกเป็น ๑ สำนักงาน ๔ สำนัก ๔ กอง และ ๑ ศูนย์
|
||||||||||||||||||
26813 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนตุลาคม 2556 | อก | 25/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนตุลาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า สถานการณ์การผลิตเหล็ก คาดว่าการผลิตทั้งเหล็กทรงแบนและเหล็กทรงยาวจะขยายตัวขึ้นเล็กน้อย โดยในส่วนของเหล็กแผ่นรีดร้อนและเหล็กแผ่นรีดเย็นการผลิตอาจจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากผลทางบวกจากการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-dumping : AD) และมาตรการปกป้องจากการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น (Safeguard) สำหรับเหล็กเส้นที่ใช้ในธุรกิจก่อสร้างจะขยายตัวขึ้นตามภาคการก่อสร้างที่ยังมีความต้องการอยู่ ๒. อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ แนวโน้มการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑.๙ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยอุตสาหกรรมไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ ๔ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ ๐.๙ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ไปตลาดหลักบางตลาดเริ่มมีการปรับตัวดีขึ้น
|
||||||||||||||||||
26814 | รายงานผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 ไตรมาสที่ 1 - 4 (ตุลาคม 2555 - กันยายน 2556) | กค | 25/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ไตรมาสที่ ๑-๔ (ตุลาคม ๒๕๕๕-กันยายน ๒๕๕๖) ของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เป้าหมายการเบิกจ่ายไตรมาสที่ ๔ รายจ่ายภาพรวม ร้อยละ ๙๔.๐๐ ของวงเงินงบประมาณ และรายจ่ายลงทุน ร้อยละ ๘๐.๐๐ ของงบประมาณรายจ่ายลงทุน โดยไตรมาสที่ ๔ มีการเบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๒,๑๗๑,๔๕๙.๐๕ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๐.๔๘ ของวงเงินงบประมาณ จำนวน ๒,๔๐๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมาย ร้อยละ ๓.๕๒ โดยเป็นรายจ่ายประจำ จำนวน ๑,๘๙๔,๘๘๔.๕๘ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๕.๑๓ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำหลังโอนเปลี่ยนแปลง จำนวน ๑,๙๙๑,๘๙๙.๒๙ ล้านบาท และรายจ่ายลงทุน จำนวน ๒๗๖,๕๗๔.๔๗ ล้านบาท หรือร้อยละ ๖๗.๗๗ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนหลังโอนเปลี่ยนแปลง จำนวน ๔๐๘,๑๐๐.๗๑ ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายรายจ่ายลงทุน ร้อยละ ๑๒.๒๓ โดยสามารถก่อหนี้ผูกพันได้ จำนวน ๓๒๖,๓๖๓.๙๖ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๗๙.๙๗ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุน ๒. เงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีและขยายเวลาเบิกจ่ายเงิน ประกอบด้วย เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘-๒๕๕๕ จำนวนเงินรวมทั้งสิ้น ๓๐๑,๐๐๙.๙๙ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๒๓๑,๐๒๑.๕๗ ล้านบาท หรือร้อยละ ๗๖.๗๕ ของวงเงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี หรือเป็นจำนวนมากประมาณครึ่งหนึ่งของงบประมาณรายจ่ายลงทุนประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เปรียบเทียบกับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เบิกจ่ายได้เพียง ๑๔๖,๗๕๑.๗๖ ล้านบาท หรือร้อยละ ๔๘.๗๘ สำหรับเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีคงเหลือที่ยังไม่ได้เบิกจ่าย จำนวน ๖๙,๙๘๘.๔๒ ล้านบาท หรือร้อยละ ๒๓.๒๕ ได้ก่อหนี้แล้ว จำนวน ๔๗,๑๑๔.๘๘ ล้านบาท และยังไม่มีหนี้ จำนวน ๒๒,๘๗๓.๕๔ ล้านบาท ๓. เงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๔๙,๙๖๐.๔๔ ล้านบาท เบิกจ่ายตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงสิ้นเดือนกันยายน ๒๕๕๖ จำนวน ๗,๕๐๔.๓๘ ล้านบาท ดังนั้น ตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงสิ้นเดือนกันยายน ๒๕๕๖ จัดสรรแล้วจำนวนทั้งสิ้น ๓๔๑,๒๐๘.๘๐ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๓๒๗,๖๘๙.๓๓ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๖.๐๔ ของวงเงินที่จัดสรร ๔. เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๕๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท เบิกจ่ายตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงสิ้นเดือนกันยายน ๒๕๕๖ จำนวน ๑๓,๓๗๙.๐๖ ล้านบาท ดังนั้น ตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงสิ้นเดือนกันยายน ๒๕๕๖ จัดสรรแล้วจำนวนทั้งสิ้น ๓๔๙,๙๙๘.๙๘ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑๕,๕๐๒.๐๐ ล้านบาท หรือร้อยละ ๔.๔๓ ของวงเงินที่จัดสรร ๕. การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เดือนกันยายน ๒๕๕๖ เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑๖๗,๐๗๐ ล้านบาท หรือร้อยละ ๕๗ ของแผนการลงทุนทั้งปี จำนวน ๒๙๐,๗๕๙ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||
26815 | ผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 23 และการประชุมสุดยอดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | นร04 | 25/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๓ และการประชุมสุดยอดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๙-๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๖ ณ บันดาร์เสรีเบกาวัน บรูไนดารุสซาลาม และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๓ ได้แก่ การรับรองเอกสารผลลัพธ์ การสร้างประชาคมอาเซียน ปี ๒๕๕๘ วิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียนภายหลังปี ๒๕๕๘ บทบาทความเป็นแกนกลางของอาเซียนและการมีปฏิสัมพันธ์กับภาคีภายนอก และประเด็นทะเลจีนใต้ ๒. การประชุมสุดยอดอาเซียน-จีน ครั้งที่ ๑๖ ได้แก่ การรับรองเอกสารผลลัพธ์ ความมั่นคง การค้าและการลงทุน การเสริมสร้างความเชื่อมโยง ความร่วมมือทางทะเล การบริหารจัดการภัยพิบัติ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาธารณสุข การศึกษา และวัฒนธรรม ๓. การประชุมสุดยอดอาเซียน-เกาหลี ครั้งที่ ๑๖ ได้แก่ ภาพรวมความสัมพันธ์อาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การส่งเสริมความร่วมมือ การบริหารจัดการภัยพิบัติ ความร่วมมือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน และการแลกเปลี่ยนเยาวชน ๔. การประชุมสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่น ครั้งที่ ๑๖ ได้แก่ ภาพรวมความสัมพันธ์อาเซียน-ญี่ปุ่น ประเด็นความมั่นคง ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การส่งเสริมความเชื่อมโยง การบริหารจัดการภัยพิบัติ การศึกษา การแลกเปลี่ยนเยาวชน การเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน และสาธารณสุข ๕. การประชุมสุดยอดอาเซียน+๓ ครั้งที่ ๑๖ ได้แก่ การเมืองและความมั่นคง เศรษฐกิจ การเงิน ความเชื่อมโยง ความมั่นคงทางอาหาร ความมั่นคงด้านพลังงาน สิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการภัยพิบัติ การศึกษา และสาธารณสุข ๖. การประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐฯ ครั้งที่ ๑ ได้แก่ ความสัมพันธ์อาเซียน-สหรัฐ ด้านความมั่นคง ด้านเศรษฐกิจ ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน-ประชาชน และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ๗. การประชุมสุดยอดอาเซียน-อินเดีย ครั้งที่ ๑๑ ได้แก่ ความสัมพันธ์อาเซียน-อินเดีย ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ความร่วมมือด้านการเมืองความมั่นคง ความร่วมมือระดับภูมิภาค การเสริมสร้างความเชื่อมโยง ความร่วมมือเพื่อการพัฒนา การรื้อฟื้นมหาวิทยาลัยนาลันทา และการจัดตั้ง ASEAN-India Centre และ ASEAN-India Trade and Investment Centre ๘. การประชุมสุดยอดอาเซียน-UN ครั้งที่ ๕ ได้แก่ ความสัมพันธ์อาเซียน-UN ประเด็นความมั่นคง เศรษฐกิจและการพัฒนา การส่งเสริมความเชื่อมโยง การบริหารจัดการภัยพิบัติ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสิทธิมนุษยชน ๙. การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ครั้งที่ ๘ ได้แก่ การเมืองและความมั่นคง เศรษฐกิจและการเงิน ความเชื่อมโยง ความมั่นคงทางอาหาร ความมั่นคงด้านพลังงาน สิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการภัยพิบัติ การศึกษา และสาธารณสุข
|
||||||||||||||||||
26816 | ผลการประชุม Singapore - Thailand Enhanced Economic Relationship (STEER) ครั้งที่ 3 | พณ | 25/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุม Singapore-Thailand Enhanced Economic Relationship (STEER) ครั้งที่ ๓ เมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๖ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ และให้กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมดังกล่าวต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. ความสัมพันธ์ทางการค้า ประเด็นที่ต้องติดตาม ได้แก่ ส่งเสริมและอำนวยความสะดวกการค้าระหว่างไทยกับสิงคโปร์ให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ติดตามปัญหา/อุปสรรคทางการค้าและนำขึ้นหารือกับสิงคโปร์เพื่อหาแนวทางแก้ไข และสนับสนุนการดำเนินงานความร่วมมือภายใต้กรอบอาเซียน ๒. ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ประเด็นที่ต้องติดตาม ได้แก่ จัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อกำหนดแนวทางและกิจกรรมในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเรือสำราญ และจัดทำแผนงานความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวเรือสำราญระหว่างไทยกับสิงคโปร์ ๓. ความร่วมมือด้านสินค้าเกษตรและอาหาร ประเด็นที่ต้องติดตาม ได้แก่ สานต่อความร่วมมือและประสานงานร่วมกับฝ่ายสิงคโปร์ คือ Agri-Food & Veterinary Authority (AVA) เพื่อการดำเนินการให้เกิดผลในเรื่องการอนุญาตให้โรงงานไก่สดแช่เย็นแช่แข็งของไทยส่งออกไปสิงคโปร์เพิ่มขึ้น การผลักดันให้สิงคโปร์อนุญาตนำเข้าไก่ปรุงสุกจากไทยเป็นสายการผลิต การผลักดันให้สิงคโปร์อนุญาตนำเข้าสุกรแช่เย็นแช่แข็งจากไทย และการเข้ามาลงทุนเลี้ยงสุกรในไทยเพื่อส่งออกไปยังสิงคโปร์ ๔. ความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ประเด็นที่ต้องติดตาม ได้แก่ จัดทำรายละเอียดขอบเขตความร่วมมือโครงการพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ OTOP ของไทย เพื่อนำไปสู่การจัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารกับ Infocomm Development Authority (IDA) ของสิงคโปร์ และติดตามการดำเนินงานตาม MOU ๒ ฉบับ คือ MOU ระหว่างสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (SIPA) กับ Media Development Authority (MDA) ของสิงคโปร์ และ MOU ระหว่างกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารกับ Infocomm Development Authority (IDA) ของสิงคโปร์ ๕. ความร่วมมือด้านโครงสร้างพื้นฐาน ประเด็นที่ต้องติดตาม ได้แก่ การให้ข้อมูลเกี่ยวกับโอกาสในการลงทุนในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของไทยให้แก่ภาคเอกชนสิงคโปร์ และการเข้ามาลงทุนของสิงคโปร์ในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของไทย ๖. ความร่วมมือด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้า ประเด็นที่ต้องติดตาม ได้แก่ จัดทำแผนดำเนินการเพื่อไปสู่การจัดทำความตกลงยอมรับร่วมกัน (Mutual Recognition Agreement : MRA) ด้าน Authorized Economic Operator (AEO) ระหว่างกรมศุลกากรไทยกับสิงคโปร์ให้แล้วเสร็จและการลงนาม MRA ภายในกำหนดเวลาที่เหมาะสม และติดตามการประสานงานเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างผู้ประสานงานด้านศุลกากรของฝ่ายไทยกับสิงคโปร์ ๗. การจัดประชุม STEER ครั้งที่ ๔ ได้แก่ ประสานกับฝ่ายสิงคโปร์เพื่อกำหนดวันและสถานที่ และดำเนินการจัดการประชุม |
||||||||||||||||||
26817 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลธุรกรรมทางการเงินกับหน่วยข่าวกรองทางการเงินแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา | ปง | 25/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) เสนอ ดังนี้
๑. ให้สำนักงาน ปปง. จัดทำความตกลงกับหน่วยข่าวกรองทางการเงินแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา (The National Bank of Cambodia) โดยใช้ร่างบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MOU) เรื่องความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลธุรกรรมทางการเงินเพื่อการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ที่ปรับปรุงใหม่เป็นต้นแบบสำหรับการตกลงให้ความร่วมมือฯ ๒. ให้เลขาธิการคณะกรรมการ ปปง. เป็นผู้ลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ๓. ให้สำนักงาน ปปง. ใช้ดุลยพินิจแก้ไขได้โดยมิต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีก หากเป็นการแก้ไขเพียงเล็กน้อยที่ไม่กระทบต่อสารัตถะของร่างบันทึกความเข้าใจฯ |
||||||||||||||||||
26818 | ผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนและญี่ปุ่นว่าด้วยนโยบายความร่วมมือด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ | ทก | 25/11/2556 | |||||||||||||||
|
||||||||||||||||||
26819 | รายงานผลการปฏิบัติงานและผลการใช้จ่ายเงินงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | อส | 25/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานและผลการใช้จ่ายเงินงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานอัยการสูงสุด (อส.) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการปฏิบัติงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ อส. ได้กำหนดเป้าหมายผลการดำเนินงานตามภารกิจและกิจกรรม ได้แก่ ๑.๑ กิจกรรม : งานอำนวยความยุติธรรมทางอาญา ๑.๑.๑ เป้าหมาย : ผลการดำเนินคดีเป็นไปตามฟ้องไม่น้อยกว่า ๓,๙๘๙,๕๕๐ คดี ผลการดำเนินการ : สามารถดำเนินการได้ จำนวน ๓,๐๔๙,๖๖๙ คดี ๑.๑.๒ เป้าหมาย : จำนวนคดีอาญาที่ส่งและดำเนินคดีแล้วเสร็จไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๐ ผลการดำเนินการ : สามารถดำเนินการได้ร้อยละ ๙๗ ๑.๒ กิจกรรม : งานรักษาผลประโยชน์ ๑.๒.๑ เป้าหมาย : จำนวนคดีแพ่งและคดีปกครองที่ดำเนินการแล้วเสร็จไม่น้อยกว่า ๑๐,๐๐๐ คดี ผลการดำเนินการ : สามารถดำเนินการได้ จำนวน ๑๙,๗๕๘ คดี ๑.๒.๒ เป้าหมาย : จำนวนร่างสัญญาและข้อหารือที่ดำเนินการแล้วเสร็จไม่น้อยกว่า ๔๕๐ เรื่อง ผลการดำเนินการ : สามารถดำเนินการได้ จำนวน ๕๗๑ เรื่อง ๑.๓ กิจกรรม : งานคุ้มครองสิทธิประชาชน เป้าหมาย : จำนวนผู้รับบริการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายไม่น้อยกว่า ๒๕๐,๐๐๐ ราย ผลการดำเนินการ : สามารถดำเนินการได้ จำนวน ๒๖๔,๖๓๔ ราย ๒. ผลการใช้จ่ายเงินงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ อส. ได้รับจัดสรรเงินงบประมาณ ผลผลิต : การอำนวยความยุติธรรม รักษาผลประโยชน์ของรัฐและคุ้มครองสิทธิประชาชน จำนวน ๖,๕๘๕,๑๗๗,๔๐๐ บาท ในภาพรวม ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ สามารถเบิกจ่ายได้จำนวนทั้งสิ้น ๖,๐๕๕,๖๔๓,๖๒๕ บาท ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายบุคลากร จำนวน ๔,๓๑๕,๖๗๕,๐๒๖ บาท ค่าใช้จ่ายดำเนินงาน จำนวน ๑,๖๔๘,๒๔๐,๒๙๘ บาท และค่าใช้จ่ายลงทุน จำแนกเป็น ค่าครุภัณฑ์ จำนวน ๒๔,๖๔๖,๑๒๙ บาท และค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้าง จำนวน ๖๖,๗๔๕,๑๗๒ บาท
|
||||||||||||||||||
26820 | รายงานการปฏิบัติงานของศาลปกครองและสำนักงานศาลปกครอง ประจำปี 2555 | ศป | 25/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการปฏิบัติงานของศาลปกครองและสำนักงานศาลปกครอง ประจำปี ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานศาลปกครองเสนอ และให้ส่งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป โดยรายงานฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับแผนยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนการดำเนินงาน ๕ ยุทธศาสตร์ ประจำปี ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. ยุทธศาสตร์ที่ ๑ พัฒนาการอำนวยความยุติธรรมทางปกครองให้เป็นที่เชื่อมั่นแก่สังคมไทย โดยได้เสริมสร้างมาตรฐานการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลปกครองที่รวดเร็วและมีคุณภาพ ตลอดจนได้เสริมสร้างระบบการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้มีประสิทธิผล ๒. ยุทธศาสตร์ที่ ๒ พัฒนาหลักกฎหมายและองค์ความรู้เพื่อให้เป็นศูนย์กลางวิชาการด้านกฎหมายมหาชนที่เป็นที่ยอมรับ โดยได้จัดทำองค์ความรู้ด้านกฎหมายมหาชนเพื่อเผยแพร่แก่ตุลาการศาลปกครองและข้าราชการฝ่ายปกครอง เช่น คำแปลคำพิพากษาของต่างประเทศ งานวิจัย เป็นต้น และได้พัฒนาการให้บริการของหอสมุดกฎหมายมหาชน ตลอดจนให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือกับต่างประเทศ ๓. ยุทธศาสตร์ที่ ๓ คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนและเสริมสร้างการปฏิบัติราชการที่ดีให้แก่หน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยได้ส่งเสริมโอกาสการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมทางปกครองของประชาชน เช่น กิจกรรมศาลปกครองพบประชาชนและเสริมสร้างเครือข่ายด้านสื่อมวลชน กิจกรรมศาลปกครองของประชาชนในเวทีสื่อมวลชน เป็นต้น และได้เสริมสร้างการปฏิบัติราชการที่ดีแก่หน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ๔. ยุทธศาสตร์ที่ ๔ พัฒนาระบบบริหารทรัพยากรมนุษย์เพื่อมุ่งสู่องค์การที่มีขีดสมรรถนะสูง โดยได้ดำเนินการปรับปรุงภารกิจ โครงสร้าง และอัตรากำลังของสำนักงานศาลปกครอง ตลอดจนได้เสริมสร้างความเชี่ยวชาญและขีดสมรรถนะของบุคลากรของศาลปกครองและสำนักงานศาลปกครอง ๕. ยุทธศาสตร์ที่ ๕ พัฒนาระบบบริหารจัดการองค์การเพื่อเอื้อต่อการปฏิบัติภารกิจของศาลปกครอง โดยได้กำหนดแนวทางการปฏิบัติงานระดับหน่วยงาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยกำหนดให้ทุกหน่วยงานจัดทำแนวทางการยกระดับขีดความสามารถในการทำงานและคุณภาพการให้บริการของหน่วยงานในสำนักงานศาลปกครองให้อยู่ในระดับสูงและได้นำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาช่วยสนับสนุนการปฏิบัติงานตามภารกิจของศาลปกครองและสำนักงานศาลปกครองและรองรับการพัฒนาองค์การในอนาคตอีกด้วย
|
.....