ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1341 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 26801 - 26820 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
26801 | ขออนุมัติการจัดทำความตกลงว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ | กต | 22/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติการจัดทำและเห็นชอบร่างความตกลงว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ (Agreement between the Government of the Kingdom of Thailand and the Republic of the Union of Myanmar on Visa Exemption for Holders of Ordinary Passports) โดยความตกลงฯ มีสาระสำคัญเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชนและส่งเสริมความสัมพันธ์ด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศ โดยยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาเฉพาะที่ท่าอากาศยานตามที่แต่ละฝ่ายกำหนดในระยะเริ่มต้น (โดยไม่ครอบคลุมถึงการเดินทางเข้า-ออกทางจุดผ่านแดนถาวรตามแนวชายแดน) เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบและคัดกรองบุคคล ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในความตกลงฯ ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของราชอาณาจักรไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักข่าวกรองแห่งชาติ เกี่ยวกับการจัดทำความตกลงฯ ควรต้องคำนึงถึงประเด็นด้านความมั่นคงและการเคลื่อนย้ายแรงงานอย่างรอบคอบ การเตรียมมาตรการรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น การใช้ช่วงเวลาที่สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือไทย-เมียนมาร์ (Joint Commission : JC) ครั้งที่ ๗ ที่เมืองหลวงเนปิดอว์ ระหว่างวันที่ ๒๑-๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ในการลงนามความตกลงฯ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
26802 | ร่างปฏิญญานิวเดลีว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศฝ่ายใต้ - ด้านสิทธิเด็กในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก | พม | 22/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างปฏิญญานิวเดลีว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศฝ่ายใต้-ด้านสิทธิเด็กในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (The New DELHI Declaration on South-South Cooperation for Child Rights in Asia and Pacific) มีสาระสำคัญเป็นการเน้นย้ำการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิเด็กทั้งระดับประเทศของตนเองและระดับระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ๓ เรื่อง ได้แก่ การพัฒนาเด็กปฐมวัย วัยรุ่น และการพัฒนาเมืองเพื่อสิทธิเด็ก ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดำเนินการโดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
26803 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 | นร07 | 22/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่น ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อหนี้ผูกพันรายการใหม่ที่มีวงเงินรวมไม่เกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท จำนวน ๑,๒๘๖ ล้านบาท เป็นงบประมาณรายจ่ายของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๑๖,๐๗๓.๕ ล้านบาท จากวงเงินภาระผูกพันรวมทั้งสิ้นจำนวน ๑๑๕,๖๔๘.๒ ล้านบาท สำหรับรายการก่อหนี้ผูกพันรายการใหม่ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป จำนวน ๒๘ รายการ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่น เจ้าของเรื่องพิจารณาและนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติอีกครั้งหนึ่งเป็นกรณี ๆ ไป ๑.๒ อนุมัติให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่น ที่ไม่สามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) ข้อ ๑.๓ และข้อ ๑.๖ และตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๖ (เรื่อง การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗) ตามข้อ ๒ สามารถดำเนินการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณตามที่เสนอได้ ๑.๓ อนุมัติให้สำนักราชเลขาธิการเปลี่ยนแปลงวงเงินที่กำหนดไว้ในเอกสารงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ๑.๔ รายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่เสนอในครั้งนี้ หากเป็นรายการที่จะต้องจ่ายในรูปของเงินตราต่างประเทศ เช่น รายการค่าเช่าบ้าน ค่าเช่าอาคารสำนักงาน และค่าเช่าทรัพย์สินในต่างประเทศ ฯลฯ ให้สำนักงบประมาณพิจารณาอนุมัติวงเงินผูกพันที่เปลี่ยนแปลงไปจากที่ได้รับอนุมัติเนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยน ในกรณีที่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นนั้น ๆ สามารถปรับแผนการใช้จ่ายจากงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบอีก ๑.๕ เนื่องจากพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ มีผลบังคับใช้แล้ว จึงเห็นควรให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่น เร่งรัดดำเนินการให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยเฉพาะรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับดูแลและเร่งรัดการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนฯ และมีการติดตามผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องต่อไปด้วย ๒. ให้สำนักงบประมาณรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ในการควบคุมดูแลการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นในภาพรวมของแต่ละปีงบประมาณให้มีสัดส่วนที่เหมาะสมและสอดคล้องกับการดำเนินโครงการหรือแผนงานต่าง ๆ ตามนโยบายของรัฐบาล และใช้ประกอบการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
26804 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาลแขวงพระนครเหนือ กับกำหนดเขตอำนาจและวันเปิดทำการของศาลแขวงดอนเมือง ในกรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... | ศย | 22/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาลแขวงพระนครเหนือ กับกำหนดเขตอำนาจและวันเปิดทำการของศาลแขวงดอนเมือง ในกรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ เปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาลแขวงพระนครเหนือ กับกำหนดเขตอำนาจและวันเปิดทำการของศาลแขวงดอนเมือง ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
26805 | ขออนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการตามกรอบข้อตกลงร่วมว่าด้วยการยอมรับคุณสมบัติบุคลากรวิชาชีพการท่องเที่ยวอาเซียน ASEAN MRA (Mutual Recognition Arrangement on Tourism Professionals) | กก | 22/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการวิชาชีพการท่องเที่ยวแห่งชาติ (National Tourism Professional Board : NTPB) ทำหน้าที่ให้ความรู้ความเข้าใจและเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับข้อตกลงร่วมว่าด้วยการยอมรับคุณสมบัติบุคลากรวิชาชีพการท่องเที่ยวอาเซียน (ASEAN Mutual Recognition Arrangement on Tourism Professionals : MRA) ให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการพัฒนา กำกับและติดตามผลการยกระดับสมรรถนะบุคลากรวิชาชีพท่องเที่ยวตามที่กำหนดไว้ในสมรรถนะขั้นพื้นฐานของบุคลากรวิชาชีพการท่องเที่ยว (ASEAN Common Competency for Tourism Professional : ACCSTP) และคณะกรรมการรับรองคุณวุฒิวิชาชีพการท่องเที่ยว (Tourism Professional Certification Board : TPCB) ทำหน้าที่ประเมินและขึ้นทะเบียนหรือยกเลิกทะเบียนบุคลากรวิชาชีพระดับชาติที่ผ่านการรับรองมาตรฐานวิชาชีพการท่องเที่ยว (ACCSTP) โดยคณะกรรมการทั้งสองคณะดังกล่าวมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นรองประธานกรรมการ และมีผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาบุคลากรการท่องเที่ยว สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นกรรมการและเลขานุการ ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ในเรื่องการเคลื่อนย้ายบุคลากรการท่องเที่ยวและการแลกเปลี่ยนแนวทางปฏิบัติระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบเพื่อเตรียมความพร้อม รวมถึงควรเร่งพัฒนาฝีมือแรงงานให้มีสมรรถนะเพียงพอเพื่อรองรับการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้นหลังจากการเปิดเสรีในปี ๒๕๕๘ นอกจากนี้ เห็นควรให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการทั้ง ๒ คณะดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ โดยเฉพาะการติดตามผลการยกระดับสมรรถนะบุคลากรวิชาชีพท่องเที่ยวตามที่กำหนดไว้ในสมรรถนะขั้นพื้นฐานของบุคลากรวิชาชีพการท่องเที่ยว (ASEAN Common Competency for Tourism Professional : ACCSTP) ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
26806 | แต่งตั้งข้าราชการ (กระทรวงสาธารณสุข) (นางแสงดาว มยุระสาคร) | สธ | 22/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางแสงดาว มยุระสาคร ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขากุมารเวชกรรม) กลุ่มงานกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลบุรีรัมย์ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดบุรีรัมย์ สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
26807 | กำหนดให้ปี พ.ศ. 2557 เป็นปีแห่งการรณรงค์ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาอัคคีภัยภายใต้หัวข้อ "อัคคีภัยป้องกันได้ แค่ใส่ใจไม่ประมาท" | มท | 22/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่คณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (กปภ.ช.) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้ปี พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นปีแห่งการรณรงค์ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาอัคคีภัยภายใต้หัวข้อ “อัคคีภัยป้องกันได้ แค่ใใส่ใจไม่ประมาท” ๑.๒ กำหนดกิจกรรมในการรณรงค์ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาอัคคีภัย ปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ๑.๒.๑ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยประสานความร่วมมือกับกรุงเทพมหานครและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดการฝึกอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมและการปฏิบัติตนอย่างปลอดภัยเมื่อต้องเผชิญกับอัคคีภัย รวมถึงความสำคัญของการติดตั้งอุปกรณ์และระบบเตือนภัยต่าง ๆ โดยเฉพาะในที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน อาคารสูง โรงงานอุตสาหกรรม ศูนย์การค้า โรงมหรสพ ฯลฯ ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัย ๑.๒.๒ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยประสานความร่วมมือกับกรมประชาสัมพันธ์ในการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับอัคคีภัยด้านต่าง ๆ แก่สาธารณชนผ่านสื่อในสังกัดกรมประชาสัมพันธ์ทุกรูปแบบ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ๑.๒.๓ จังหวัดทุกจังหวัดจัดสัปดาห์รณรงค์การป้องกันอัคคีภัยเพื่อเป็นการสร้างความตระหนักและการมีส่วนร่วมในการป้องกันอัคคีภัย โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนในพื้นที่ โดยเฉพาะในสถานศึกษาและสถานประกอบการต่าง ๆ ๒. ให้ปรับแก้ไขหัวข้อการรณรงค์ จากเดิม “อัคคีภัยป้องกันได้ แค่ใส่ใจไม่ประมาท” เป็น “อัคคีภัยป้องกันได้ ต้องใส่ใจไม่ประมาท” ๓. ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ไปดำเนินงานตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๔. ให้ กปภ.ช. รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๔.๑ ควรวางระบบการบูรณาการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนรวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคเอกชนในการวางแผนการดำเนินงานและประสานงานการป้องกันและแก้ไขอัคคีภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีอาคารสูงและเป็นแหล่งท่องเที่ยว เช่น กรุงเทพมหานครและเมืองพัทยา เป็นต้น ทั้งนี้ ควรกำหนดให้มีการซ้อมการเผชิญเหตุการณ์และการช่วยเหลืออย่างสม่ำเสมอ ๔.๒ ควรกำหนดมาตรการการตรวจสอบความพร้อมของอุปกรณ์การป้องกันและระงับอัคคีภัยของหน่วยงาน องค์กร และสถานที่ต่าง ๆ อยู่เสมอ และจัดให้มีแผนผังแสดงทางหนีไฟและทางเข้าออกอาคารในกรณีเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน ๔.๓ ปัจจุบันสภาพป่าในภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีความชื้นน้อยและอากาศแห้ง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเตรียมความพร้อมในการป้องกันและเฝ้าระวังไฟป่าที่จะเกิดขึ้นด้วย |
||||||||||||||||||||||||
26808 | ผลการประชุมคณะกรรมการระดับสูง ไทย - อินโดนีเซีย ครั้งที่ 7 | กห | 22/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการระดับสูง ไทย-อินโดนีเซีย ครั้งที่ ๗ ระหว่างวันที่ ๒๗-๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ณ โรงแรมดุสิตธานี หัวหิว อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี โดยมีพลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และพลเรือเอก อากุส ซูฮาโตโน ผู้บัญชาการทหารสูงสุด อินโดนีเซีย เป็นประธานร่วม ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบในประเด็นสำคัญ ได้แก่ การให้คณะอนุกรรมการร่วมทุกคณะติดตามและดำเนินกิจกรรมตามแผนงานที่ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบ การเพิ่มความร่วมมือระหว่างกองทัพทั้งสองประเทศ โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารมาสนับสนุนการปฏิบัติงานด้านยุทธการและการฝึกเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด การเร่งจัดทำบันทึกความเข้าใจและระเบียบปฏิบัติประจำการลาดตระเวนร่วมทางทะเลระหว่างกองทัพเรือไทยและกองทัพเรืออินโดนีเซีย ในการประชุม Navy to Navy Talk ในเดือนกันยายน ๒๕๕๖ ที่ประเทศอินโดนีเซีย การดำรงบทบาทการเป็นผู้นำของการประชุมเครือข่ายการปฏิบัติการรักษาสันติภาพอาเซียน การส่งเสริมความร่วมมือด้านการประชาสัมพันธ์ (Public Affairs) และการแพทย์ทหาร ภายใต้การดำเนินงานของคณะอนุกรรมการร่วมด้านยุทธการและการฝึก การพิจารณาความเป็นไปได้ในการเพิ่มความร่วมมือด้านส่งกำลังบำรุง ภายใต้คณะอนุกรรมการร่วมด้านส่งกำลังบำรุง รวมทั้งจัดการเล่นกอล์ฟประเพณีประจำปีต่อเนื่องหลังจากการประชุมคณะกรรมการระดับสูง ไทย-อินโดนีเซีย และจัดการประชุมคณะกรรมการระดับสูง ไทย-อินโดนีเซีย ครั้งที่ ๘ ในปี ๒๕๕๗ ที่ประเทศอินโดนีเซีย
|
||||||||||||||||||||||||
26809 | การสรุปบทเรียนการจัดการประชุมระดับผู้นำด้านน้ำแห่งภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก ครั้งที่ 2 ของจังหวัดเชียงใหม่ | มท | 22/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปบทเรียนการจัดการประชุมระดับผู้นำด้านน้ำแห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ ๒ (The 2nd Asia-Pacific Water Summit : 2nd APWS) ระดับจังหวัด เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๕๖ ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การสรุปบทเรียนการจัดการประชุมระดับผู้นำด้านน้ำฯ โดยการศึกษาสำรวจข้อมูล ความคิดเห็น และอุปสรรค/ปัญหา ตลอดจนข้อเสนอแนะ เพื่อนำมากำหนดเป็นแนวทางการปรับปรุงพัฒนาศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเชียงใหม่เฉลิมพระเกียรติ ๗ รอบ พระชนมพรรษา จังหวัดเชียงใหม่ และการจัดการประชุมให้มีประสิทธิภาพในระดับสากล ภายใต้กรอบการวิเคราะห์ ๔ ด้าน ได้แก่ ด้านโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค ด้านการคมนาคมขนส่ง ด้านการบริหารจัดการ และด้านการประชาสัมพันธ์ ๒. ข้อเสนอแนะโครงการเพื่อการพัฒนาศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติฯ ๒.๑ การนำผลสรุปบทเรียนการจัดการประชุมระดับผู้นำด้านน้ำฯ มาวิเคราะห์ศักยภาพการพัฒนาการเป็น Global MICE City ของจังหวัดเชียงใหม่ โดยใช้ตัวแบบคุณลักษณะและองค์ประกอบสู่การพัฒนาสร้างแบรนด์ Chiang Mai MICE City รวม ๕ ด้าน ได้แก่ สภาพแวดล้อมภายนอก (City External Environment) การผลิตของเมือง (City Production) อุตสาหกรรมสนับสนุน (City Supporting Industries) โครงสร้างของเมือง (City Foundation) และภาพลักษณ์ของเมือง (City Image) พบว่า โดยรวมของจังหวัดเชียงใหม่มีศักยภาพและความพร้อมในการพัฒนาไปสู่ MICE City อย่างไรก็ตามในด้านที่จังหวัดเชียงใหม่ยังขาดความพร้อมหรือยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเพียงพอ ควรได้รับการสนับสนุนเพื่อเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในภาพรวมของจังหวัดเชียงใหม่ ๒.๒ การพัฒนาศักยภาพของศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติฯ เพื่อการพัฒนาไปสู่การเป็น MICE City ในระดับสากล ในด้านการพัฒนาระบบเส้นทางการคมนาคมภายในจังหวัดเชียงใหม่และระหว่างจังหวัดในภาคเหนือตอนบน มีความสำคัญต่อการเพิ่มศักยภาพของศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติฯ ซึ่งมีโครงการพัฒนาระบบเส้นทางคมนาคม ได้แก่ โครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข ๑๑ ท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่-แยกรินคำ โครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข ๑๒๑ แนวใหม่ สนามกีฬา ๗๐๐ ปี-อำเภอแม่ริม โครงการก่อสร้างทางแยกต่างระดับบริเวณจุดตัดทางแยกทางหลวง ๑๒๑ จำนวน ๘ แห่ง โครงการก่อสร้างทางขนาด ๔ ช่องจราจร ทางหลวงหมายเลข ๑๒๑ โครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข ๑๑๘ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่-อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย และโครงการศึกษาความเหมาะสมทางหลวงวงแหวน รอบ ๔ (แนวใหม่)
|
||||||||||||||||||||||||
26810 | ผลการเยือนสาธารณรัฐทาจิกิสถานและสาธารณรัฐอิสลามปากีสถานอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี | นร04 | 22/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเยือนสาธารณรัฐทาจิกิสถานและสาธารณรัฐอิสลามปากีสถานอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ และให้หน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามตารางติดตามผลการเยือนที่กระทรวงการต่างประเทศจัดทำต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. สาธารณรัฐทาจิกิสถาน ประเด็นที่ต้องติดตาม ได้แก่ การเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ไทย ณ กรุงดูชานเบ การประชุม bilateral consultation ระหว่างกระทรวงการต่างประเทศ การเปิดเส้นทางบินตรง กรุงเทพฯ-ดูชานเบ ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-ทาจิกิสถาน ความร่วมมือทางวิชาการ ความร่วมในกรอบความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue : ACD) สถานการณ์ความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ความร่วมมือด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และการลงสมัครรับเลือกตั้งในตำแหน่งสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ๒. สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน ประเด็นที่ต้องติดตาม ได้แก่ การส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนระหว่างกันให้เพิ่มมากขึ้น และตั้งเป้าหมายการเพิ่มมูลค่าการค้าเป็นสองเท่าภายในปี ๒๕๖๑ การจัดทำความตกลงการค้าเสรีเพื่อเป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมการค้าระหว่างกัน การจัดทำความตกลงส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนระหว่างกัน ความร่วมมือด้านการศึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความร่วมมือด้านวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวเชิงศาสนา การจัด road show หรือนิทรรศการเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของไทยในปากีสถาน การให้โรงพยาบาลชั้นนำของไทยแต่งตั้งสำนักงานตัวแทนในปากีสถาน การจัดงานแสดงศิลปอารยธรรมคันธาระ ที่กรุงเทพฯ การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงพุทธในปากีสถาน รวมถึงโบราณสถานตักศิลา ความร่วมมือด้านการทหารและความมั่นคง และการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูง การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมว่าด้วยความร่วมมือด้านการต่อต้าน การก่อการร้ายและอาชญากรรมเฉพาะเรื่องอื่น ๆ ครั้งที่ ๓ ความร่วมมือในกรอบภูมิภาคและพหุภาคี และการยกระดับความร่วมมือภายใต้กรอบ ASEAN ARF OIC ASEM และ ACD รวมทั้งการเรียนรู้การเตรียมการตั้งรับและการจัดการภัยพิบัติระหว่างกันทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี และการประชุมระดับรัฐมนตรีในประเทศเอเชีย ครั้งที่ ๖ ด้านการลดความเสี่ยงต่อภัยพิบัติ ซึ่งไทยจะเป็นเจ้าภาพในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๗
|
||||||||||||||||||||||||
26811 | การติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจ ประจำเดือนสิงหาคม 2556 | นร | 22/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) เสนอ ดังนี้
๑. รายงานผลการติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจ ประจำเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ ประกอบด้วย การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศสร้างสมดุลและความเข้มแข็งอย่างมีคุณภาพให้แก่ระบบเศรษฐกิจมหภาค การส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน (กองทุนหมู่บ้าน SML) และการยกระดับราคาสินค้าเกษตรและให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน ๒. ข้อเสนอ ๒.๑ การปรับขึ้นราคาแก๊สหุงต้ม (LPG) ภาคครัวเรือน ให้กระทรวงพลังงานทำการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับมาตรการในการให้ความช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยซึ่งได้รับผลกระทบ รวมถึงชี้แจงทำความเข้าใจถึงเหตุผลความจำเป็นในการปรับขึ้นราคาแก๊ส LPG ให้ทั่วถึงยิ่งขึ้น ๒.๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลเรื่องการกำหนดพื้นที่เหมาะสม (Zoning) สำหรับสินค้าเกษตรเพื่อแก้ไขปัญหาผลผลิตทางการเกษตรบางชนิดล้นตลาด ซึ่งส่งผลให้ราคาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ ๒.๓ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจัดประชุมหารือและบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาในด้านการท่องเที่ยวและการสร้างความเชื่อมั่นในภาพลักษณ์ของประเทศไทย รวมถึงการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในด้านการท่องเที่ยวด้วย ๒.๔ ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมบูรณาการเพื่อปรับแผนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์และแผนแม่บทในการส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน (OTOP)
|
||||||||||||||||||||||||
26812 | รายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ 3 ปีงบประมาณ 2556 | กค | 22/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ ๓ ปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ในช่วงไตรมาสที่ ๓ ปีงบประมาณ ๒๕๕๖ (เมษายน-มิถุนายน ๒๕๕๖) สินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่มสินค้ามีมูลค่านำเข้า ๗๒๘.๙๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ ๑.๑๒ ของมูลค่านำเข้ารวม (๖๕,๒๓๑.๓๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ ๒๕๕๕ (เมษายน-มิถุนายน ๒๕๕๕) ๕๑.๔๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๗.๖๐ ๒. สินค้าฟุ่มเฟือยที่มีมูลค่านำเข้าสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ น้ำหอมและเครื่องสำอาง มีมูลค่านำเข้า ๑๕๒.๒๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น ๓๖.๘๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๓๑.๙๖ กระเป๋าหนังและเข็มขัดหนัง มีมูลค่านำเข้า ๙๔.๔๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น ๙.๔๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๑๑.๑๒ นาฬิกาและอุปกรณ์ มีมูลค่านำเข้า ๙๓.๐๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น ๖.๖๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๗.๖๘
|
||||||||||||||||||||||||
26813 | การโอนเงินหรือสินทรัพย์ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเพื่อชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ย FIDF 1 และ FIDF 3 | กค | 22/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้โอนเงินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (Financial Institution Development Fund : FIDF) เข้าบัญชีสะสมเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ในปีงบประมาณ ๒๕๕๗ จำนวน ๒๖,๒๐๐ ล้านบาท โดยให้กองทุนฯ ทยอยโอนเงินดังกล่าวเข้าบัญชีสะสมฯ ตามปริมาณสภาพคล่องของกองทุนฯ ทั้งนี้ ในระหว่างปีงบประมาณ ๒๕๕๗ หากกองทุนฯ ได้รับเงินที่มีนัยสำคัญให้พิจารณาทบทวนเพื่อขออนุมัตินำส่งเงินเข้าบัญชีสะสมฯ เพิ่มเติมต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กองทุนฯ ขออนุมัติคณะรัฐมนตรีในการเพิ่มเงินนำส่งเข้าบัญชีสะสมเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนฯ ในปีงบประมาณ ๒๕๕๗ หากกองทุนฯ ได้รับเงินที่มีนัยสำคัญเพิ่มเติม และให้กระทรวงการคลัง และ ธปท. พิจารณาแนวทางในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงินและบริหารจัดการสภาพคล่องของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับบทบาทหน้าที่และภารกิจเพิ่มเติมในการดำเนินการแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินที่ประสบภาวะวิกฤติทางการเงินอันอาจกระทบต่อเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินตามร่างพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐสภา รวมทั้งให้ ธปท. แก้ไขปัญหาฐานะการเงินเพื่อให้สามารถนำเงินกำไรส่งเข้าบัญชีสะสมเพื่อใช้ชำระต้นเงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อชดเชยความเสียหายของกองทุนฯ เพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินตามนัยพระราชกำหนดปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. ๒๕๕๕ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
26814 | การขอโอนสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 5/2550/81 แปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G11/48 | พน | 22/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้บริษัท เอ็มพี จี๑๑ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท KrisEnergy (Gulf of Thailand) Ltd. โอนสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ ๕/๒๕๕๐/๘๑ แปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G11/48 ให้แก่ บริษัท พลังโสภณ จำกัด ในอัตราร้อยละ ๑๐ โดยอาศัยความตามมาตรา ๕๐ แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๕๐ และให้ออกเป็นสัมปทานปิโตรเลียมเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) ของสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ ๕/๒๕๕๐/๘๑ ตามแบบ ชธ/ป๓/๑ ที่กำหนดในกฎกระทรวงกำหนดแบบสัมปทานปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
26815 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนกันยายน 2556 | อก | 22/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนกันยายน ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑ อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า สถานการณ์การผลิตเหล็ก คาดว่าการผลิตเหล็กทั้งเหล็กทรงแบนจะขยายตัวขึ้นเล็กน้อย โดยในส่วนของเหล็กแผ่นรีดร้อนและเหล็กแผ่นรีดเย็นการผลิตอาจจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากผลทางบวกจากการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและมาตรการ Safeguard สำหรับเหล็กเส้นที่ใช้ในธุรกิจก่อสร้างการผลิตอาจจะชะลอตัวลงเนื่องจากเข้าสู่ฤดูฝน ๒. อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ แนวโน้มการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ลดลงร้อยละ ๐.๕ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยอุตสาหกรรมไฟฟ้าจะปรับตัวลดลงร้อยละ ๓.๒ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑.๖ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ไปตลาดหลักบางตลาดเริ่มมีการปรับตัวดีขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||
26816 | รายงานผลการประชุมระดับผู้นำด้านน้ำแห่งภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก ครั้งที่ 2 (The 2nd Asia - Pacific Water Summit : 2nd APWS) และ ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น | นร | 22/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ประธานกรรมการระดับชาติเพื่อเตรียมการจัดการประชุมระดับผู้นำด้านน้ำแห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ ๒ (The 2nd Asia-Pacific Water Summit : 2nd APWS) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ การประชุม 2nd APWS จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๔-๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ณ ศูนย์การประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ เฉลิมพระเกียรติ ๗ รอบพระชนมพรรษา จังหวัดเชียงใหม่ โดยผลลัพธ์จากการประชุม ได้แก่ ปฏิญญาเชียงใหม่ (Chiang Mai Declaration) ซึ่งเป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นของผู้นำประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ในเรื่องการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ โดยผู้นำประเทศต่างเน้นย้ำถึงความสำคัญของทรัพยากรน้ำต่อความมั่นคงของมนุษย์ เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการโดยการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ผลักดันให้มีการนำเรื่องการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติเข้าสู่วาระการพัฒนาของสหประชาชาติหลังปี ๒๐๑๕ เพื่อลดความสูญเสียจากภัยพิบัติ พร้อมทั้งส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศและภูมิภาคในการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและองค์กรความรู้ในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ อันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้น้ำและลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติด้านน้ำ ๑.๒ เนื่องด้วยเป็นการประชุมระดับผู้นำและมีผู้แทนจากหลายประเทศ จึงได้มีการระดมกำลังพลและอุปกรณ์เครื่องมือ เครื่องใช้ต่าง ๆ เสริมการปฏิบัติให้มีประสิทธิภาพ โดยได้ใช้จ่ายงบประมาณเพื่อการนี้ เป็นเงินทั้งสิ้น ๒๒,๖๑๙,๙๗๕ บาท เป็นงบประมาณที่ได้โอนจากกรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จากงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ค่าใช้จ่ายในการจัดประชุมที่ได้รับอนุมัติให้กันไว้เบิกเหลื่อมปี เป็นเงิน ๑๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้สำรองจ่ายงบประมาณของหน่วยงาน เป็นเงิน ๑๒,๖๑๙,๙๗๕ บาท ๑.๓ โดยที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้สำรองจ่ายงบประมาณของหน่วยงาน จำนวน ๑๒,๖๑๙,๙๗๕ บาท ไปแล้ว จึงจำเป็นต้องขออนุมัติเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อทดแทนให้แก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ สำหรับใช้จ่ายตามแผนงานเดิม ทั้งนี้ เพื่อมิให้กระทบต่องบประมาณที่ใช้ในภารกิจปกติของหน่วยงาน ๒. ค่าใช้จ่ายในการจัดประชุม 2nd APWS และค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในส่วนที่เป็นภารกิจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและกรมทรัพยากรน้ำ อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในส่วนที่เป็นภารกิจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน ๑๒,๖๑๙,๙๗๕ บาท ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และส่วนที่เพิ่มขึ้นจากภารกิจของกรมทรัพยากรน้ำ จำนวน ๒,๓๙๓,๕๖๐.๖๐ บาท ได้ใช้จ่ายจากเงินรายได้ของการจัดงานไปแล้ว |
||||||||||||||||||||||||
26817 | ขออนุมัติให้เพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างตามปริมาณงานที่ทำจริง ตามสัญญาแบบ Unit Price Contract รายการทำนบดินหัวงานและอาคารประกอบ โครงการอ่างเก็บน้ำคลองโพธิ์ จังหวัดนครสวรรค์ | กษ | 22/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างทำนบดินหัวงานและอาคารประกอบ โครงการอ่างเก็บน้ำคลองโพธิ์ จังหวัดนครสวรรค์ ตามสัญญาก่อสร้างลักษณะจ่ายเงินค่าจ้างตามปริมาณงานที่ทำจริง (Unit Price Contract) จากวงเงินตามสัญญา ๓๕๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๔๐๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท (เพิ่มขึ้น ๔๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท คิดเป็นร้อยละ ๑๓.๖๔ ของวงเงินตามสัญญาเดิม) เพื่อนำไปจ่ายเป็นค่างานก่อสร้างให้แก่ผู้รับจ้างตามปริมาณงานที่ดำเนินการจริง ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดการก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำคลองโพธิ์ จังหวัดนครสวรรค์ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อช่วยเพิ่มการเก็บกักน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยาสำหรับการบรรเทาปัญหาอุทกภัย ใช้เพื่อการอุปโภคบริโภค และทำการเกษตรกรรมในฤดูแล้ง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
26818 | ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ประโยชน์ตอบแทนของกรรมการ อนุกรรมการและผู้เชี่ยวชาญ ตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 พ.ศ. .... | กค | 22/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ประโยชน์ตอบแทนของกรรมการ อนุกรรมการ และผู้เชี่ยวชาญตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดประโยชน์ตอบแทนของกรรมการ อนุกรรมการ และผู้เชี่ยวชาญตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ได้แก่ คณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ และคณะกรรมการกองทุนส่งเสริมการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ให้ได้รับประโยชน์ตอบแทนเป็นรายครั้ง เฉพาะกรรมการที่มาประชุม และไม่เกิน ๑ ครั้งต่อเดือน คณะอนุกรรมการและผู้เชี่ยวชาญ ให้ได้รับประโยชน์ตอบแทนเป็นรายครั้ง เฉพาะอนุกรรมการที่มาประชุม และไม่เกิน ๑ ครั้งต่อเดือน คณะกรรมการคัดเลือกและคณะกรรมการกำกับดูแลให้ได้รับประโยชน์ตอบแทนเป็นรายครั้ง เฉพาะกรรมการที่มาประชุม และไม่เกิน ๔ ครั้งต่อเดือน และคณะกรรมการกำหนดแนวทางการดำเนินงาน ให้ได้รับประโยชน์ตอบแทนเป็นรายครั้ง เฉพาะกรรมการที่มาประชุม และไม่เกิน ๑ ครั้งต่อเดือน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการจ่ายประโยชน์ตอบแทนตามที่กำหนดไว้ในร่างประกาศฯ ย่อมเกิดขึ้นต่อเมื่อมีการประชุมที่ครบองค์ประกอบตามที่กฎหมายกำหนด กรณีจึงไม่มีความจำเป็นต้องกำหนดวันใช้บังคับไว้ในร่างประกาศฯ อีก ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. สำหรับงบประมาณค่าใช้จ่าย เนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ รายการค่าเบี้ยประชุมกรรมการ จำนวน ๑,๕๕๔,๐๐๐ บาท ซึ่งหากไม่เพียงพอ เห็นควรให้ สคร. พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ไปเป็นค่าประโยชน์ตอบแทนดังกล่าว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
26819 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งการปรึกษาหารือทวิภาคีระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศเติร์กเมนิสถาน | กต | 22/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้จัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศเติร์กเมนิสถาน (Memorandum of Understanding for the Establishment of Bilateral Consultations between the Ministry of Foreign Affairs of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Foreign Affairs of Turkmenistan) ฉบับภาษาอังกฤษ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างราชอาณาจักรไทยกับเติร์กเมนิสถาน โดยการจัดตั้งกลไกการหารืออย่างเป็นทางการผ่านกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองฝ่ายในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ทวิภาคี เช่น ประเด็นด้านการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และประเด็นระหว่างราชอาณาจักรไทยและเติร์กเมนิสถานมีความสนใจร่วมกัน เป็นต้น ๑.๒ อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามเอกสารบันทึกความเข้าใจฯ ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของราชอาณาจักรไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศแก้ไขชื่อประเทศเติร์กเมนิสถานในหน้า ๒ ของร่างบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับภาษาอังกฤษให้ถูกต้องก่อนการลงนามด้วย |
||||||||||||||||||||||||
26820 | ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) | กค | 22/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ขยายเวลาการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ ๐.๐๐๕ โดยน้ำหนัก ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันผสมอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๔ ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร ออกไปอีก ๑ เดือน คือตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
.....