ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1334 จากทั้งหมด 6214 หน้า แสดงรายการที่ 26661 - 26680 จากข้อมูลทั้งหมด 124262 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
26661 | แผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2557 | นร09 | 18/03/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี ๒๕๕๗ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ประธานกรรมการและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเสนอ ดังนี้
๑. หัวข้อในการรณรงค์ “ร่วมสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย สงกรานต์ทั่วไทยไร้อุบัติเหตุ” ๒. ช่วงเวลาการรณรงค์ ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๗ เมษายน ๒๕๕๗ รวม ๗ วัน ๓. เป้าหมายการดำเนินการ สถิติการเกิดอุบัติเหตุทางถนนลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับสถิติในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี ๒๕๕๖ โดยให้จังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นผู้กำหนดเป้าหมายการดำเนินงานด้วยตัวเอง ๔. มาตรการทั่วไป ได้แก่ มาตรการด้านการบริหารจัดการ มาตรการด้านถนนและการสัญจรอย่างปลอดภัย มาตรการด้านยานพาหนะที่ปลอดภัย มาตรการด้านผู้ใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัย และมาตรการด้านการตอบสนองหลังเกิดอุบัติเหตุ ๕. มาตรการเน้นหนัก ได้แก่ การควบคุมความเร็วและเมาสุราแล้วขับขี่ยานพาหนะและให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับรถจักรยานยนต์ รถโดยสารสาธารณะ และรถกระบะที่บรรทุกผู้โดยสารท้ายกระบะเพื่อเล่นน้ำสงกรานต์ในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดอันตราย การควบคุมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้วขับขี่หรือโดยสารยานพาหนะ การควบคุมการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การควบคุมการใช้รถจักรยานยนต์เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุทางถนน การจัดพื้นที่เล่นน้ำสงกรานต์ที่มีความปลอดภัยและปลอดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด และการดูแลความปลอดภัยให้แก่ประชาชนทั้งคนไทยและชาวต่างชาติที่ผ่านเข้าออกบริเวณจุดผ่านแดนถาวรในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี ๒๕๕๗ ๖. ช่วงเวลาการดำเนินงาน แบ่งออกเป็น ๓ ช่วง ได้แก่ ช่วงเตรียมความพร้อม ระหว่างวันที่ ๑๕-๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ช่วงการรณรงค์ ระหว่างวันที่ ๑ มีนาคม-๑๐ เมษายน ๒๕๕๗ และช่วงควบคุม ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๗ เมษายน ๒๕๕๗
|
||||||||||||||||||||||||
26662 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง "การพัฒนาการตลาดสินค้าเกษตรโดยระบบสหกรณ์" | สสป | 18/03/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การพัฒนาการตลาดสินค้าเกษตรโดยระบบสหกรณ์" มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ แก้ไขพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๔๒ และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๕๓ ในเรื่องวาระการดำรงตำแหน่งของกรรมการสหกรณ์ ตามมาตรา ๕๐ วรรค ๓ เป็น "แต่ต้องไม่เกิน ๒ วาระติดต่อกัน เว้นแต่ที่ประชุมใหญ่จะเห็นเป็นอย่างอื่น " เพื่อให้สมาชิกสหกรณ์สามารถใช้หลักการสหกรณ์บริหารกลุ่มของตนเองได้ตามที่เห็นสมควร ๑.๒ กำหนดนโยบายให้สหกรณ์ภาคการเกษตรและขบวนการสหกรณ์เป็นกลไกหลักในการแก้ไขปัญหาความยากจนให้กับเกษตรกรทดแทนการจัดตั้งกองทุนขึ้นใหม่ อย่างเป็นรูปธรรม ๑.๓ สนับสนุนเงินทุนให้กับสหกรณ์ภาคการเกษตรให้มีความเสมอภาคในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และปรับปรุงกฎระเบียบให้สามารถนำไปใช้เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาสหกรณ์ในทุกระดับ ๑.๔ จัดทำฐานข้อมูลการผลิตสินค้าสหกรณ์ทุกชนิดทั้งผลิตภัณฑ์จากพืช การปศุสัตว์ การประมง สินค้าหัตถกรรม และสินค้าเกษตรแปรรูป ทั้งในลักษณะของข้อมูลพื้นที่การผลิต และในลักษณะข้อมูลปริมาณการผลิต และคุณภาพการผลิต เพื่อประโยชน์ในการทำการตลาด ๑.๕ จัดทำฐานข้อมูลความต้องการสินค้าเกษตรเพื่อนำมาวางแผนการผลิตและกระจายปริมาณการผลิตให้กับสหกรณ์ต่าง ๆ ตามศักยภาพการผลิต ๑.๖ สนับสนุนและส่งเสริมให้มีการรวมกลุ่มการผลิตโดยใช้ปัจจัยการผลิตร่วมระหว่างสมาชิกสหกรณ์ ทั้งในด้านที่ดิน แรงงาน และเครื่องมืออุปกรณ์ เพื่อลดปัญหาขาดแคลนทั้งที่ดิน แรงงาน และเงินจัดซื้อเครื่องทุนแรง ๑.๗ สนับสนุนให้กระบวนการสหกรณ์เป็นผู้ดำเนินการตลาดกลางสินค้าเกษตร โดยให้รัฐร่วมลงทุน และให้สหกรณ์เป็นผู้นำในการรวบรวมผลผลิต ทำหน้าที่ควบคุม จัดชั้นคุณภาพสินค้า และให้ความเป็นธรรมด้านราคา ๑.๘ สนับสนุนการสร้างตราสินค้าสหกรณ์ให้เป็นเอกลักษณ์ ๑.๙ เพิ่มบทบาทให้สหกรณ์มีส่วนร่วมกับภาครัฐในมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรในทุกระดับ ๑.๑๐ สนับสนุนเงินทุนในการปรับโครงสร้างการผลิตทางการเกษตรให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ภูมิอากาศ และตามความต้องการของตลาด ผ่านช่องทางสหกรณ์โดยตรง ๑.๑๑ สนับสนุนให้มีศูนย์กระจายสินค้าเกษตรโดยระบบสหกรณ์ไปตามตลาดที่เหมาะสมทุกระดับของตลาดระดับบน ตลาดระดับล่าง ทั้งภายในและต่างประเทศ ๑.๑๒ ส่งเสริมและสนับสนุนให้เครือข่ายสหกรณ์ช่วยเหลือเกื้อกูล และส่งเสริมการดำเนินการระหว่างกันโดยไม่แยกประเภท ๒. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในส่วนของประเด็นการแก้ไขพระราชบัญญัติสหกรณ์ การกำหนดนโยบายการแก้ไขปัญหาความยากจนให้กับเกษตรกร การจัดทำฐานข้อมูลการผลิตสินค้าสหกรณ์ทุกชนิดและฐานข้อมูลความต้องการสินค้าเกษตรโดยการจัดทำบันทึกฐานข้อมูลการผลิตสินค้าสหกรณ์ทุกชนิดและฐานข้อมูลความต้องการสินค้าเกษตรโดยการจัดทำบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MOU) ร่วมกันระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร การสนับสนุนเงินทุนให้กับสหกรณ์ภาคการเกษตรให้มีความเสมอภาคในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการให้รัฐสนับสนุนเงินทุนให้กับสหกรณ์ภาคการเกษตรให้มีความเสมอภาคในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการให้รัฐสนับสนุนเงินทุนในการดำเนินการตลาดกลางสินค้าเกษตร รวมทั้งการสนับสนุนเงินทุนในการปรับโครงสร้างการผลิตทางการเกษตรให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ ภูมิอากาศ และตามความต้องการของตลาดผ่านทางช่องทางสหกรณ์โดยตรง เช่น โครงการเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างภาคเกษตร ซึ่งการดำเนินการตามประเด็นดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการแก้ไขกฎหมายและการใช้งบประมาณของประเทศ มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปพิจารณาความจำเป็นเหมาะสมเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
26663 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนมกราคม 2557 | อก | 18/03/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนมกราคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม การผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์กลุ่มสิ่งทอ คาดว่าจะชะลอตัวตามความต้องการใช้ของอุตสาหกรรมต่อเนื่องภายในประเทศ เช่น กลุ่มเส้นใยสังเคราะห์และผ้าผืน ในส่วนผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องนุ่งห่มจะชะลอตัวเช่นเดียวกัน สำหรับการส่งออก คาดว่าจะกระเตื้องขึ้นในทิศทางบวก ซึ่งคาดว่าจะสามารถขยายการส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่นตามกรอบความร่วมมือสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ภายใต้กรอบความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น ๒. อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า สถานการณ์การผลิตเหล็กในเดือนมกราคม ๒๕๕๗ เทียบกับเดือนก่อน คาดว่าการผลิตทั้งเหล็กทรงแบนและเหล็กทรงยาวจะลดลง เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้คำสั่งซื้อจากผู้ซื้อลดลง ซึ่งผู้ผลิตจำเป็นจะต้องลดการผลิตลงด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
26664 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Health Destination)" | สสป | 18/03/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Health Destination)” และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพโดยให้ถือเป็นวาระแห่งชาติ ๒. ส่งเสริมให้เกิดองค์กรเชี่ยวชาญเฉพาะทางที่เป็นศูนย์กลางสนับสนุนแต่ละธุรกิจท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ๙ ด้าน ได้แก่ แพทย์แผนไทย แพทย์แผนปัจจุบัน อาหารไทย สมุนไพรไทย การทำเกษตรธรรมชาติ ความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ แหล่งปฏิบัติธรรม สปา และการดูแลด้านความสวยงาม ๓. การอำนวยความสะดวกให้กลุ่มเป้าหมายหลัก ได้แก่ กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่ม Superstar และกลุ่มทั่วไปที่มีความสนใจด้านสุขภาพ ๔. การประชาสัมพันธ์ ได้แก่ ใช้กระแสความนิยมจากฐานความมีชื่อเสียงของคนดังระดับโลกในวงการต่าง ๆ มาเป็นกระบอกเสียงในการโฆษณาประชาสัมพันธ์คุณภาพมาตรฐานงานบริการเชิงสุขภาพของไทย จัดทำรูปแบบการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพแบบเจาะจง คือเน้นเฉพาะโรคที่มั่นใจว่าดีจริงและมีการประเมินที่รับรองผลได้เท่านั้น ส่งเสริมการจัดทำฐานข้อมูลผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว สนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ และส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อที่มีความทันสมัย ๕. การบริหารจัดการ และการส่งเสริมสิ่งแวดล้อม ได้แก่ ยกระดับมาตรฐานและส่งเสริมสิ่งแวดล้อม การส่งเสริมการรวมกลุ่มและองค์กร และการส่งเสริมกิจการและความร่วมมือระหว่างประเทศ
|
||||||||||||||||||||||||
26665 | ขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2557 เรื่อง ขอความเห็นชอบการแต่งตั้งผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี | ศธ | 18/03/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความเห็นสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเกี่ยวกับการใช้อำนาจของคณะรัฐมนตรีในการให้ความเห็นชอบการแต่งตั้งผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มิใช่เป็นการใช้อำนาจแต่งตั้งหรือโยกย้ายข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ หรือพนักงานของหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือกิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ หรือให้บุคคลดังกล่าวพ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ หรือพ้นจากตำแหน่ง หรือให้ผู้อื่นมาปฏิบัติหน้าที่แทน จึงไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งแต่อย่างใด ๒. เห็นชอบให้การแต่งตั้งนางพรพรรณ ไวทยางกูร เป็นผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๗ ดำเนินการต่อไปได้ โดยไม่ต้องนำเสนอขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง |
||||||||||||||||||||||||
26666 | เหตุการณ์เพลิงไหม้บ่อขยะ จังหวัดสมุทรปราการ | นร04 | 18/03/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่ได้เกิดเหตุการณ์เพลิงไหม้บ่อขยะขนาดใหญ่ พื้นที่ประมาณ ๑๕๐ ไร่ ในซอยสวัสดี ตำบลแพรกษา อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๗ ซึ่งเพลิงได้ลุกไหม้ขยะที่มีขยะอุตสาหกรรมปนอยู่จำนวนมากและขยายเป็นวงกว้าง เกิดควันสีดำและมีกลิ่นเหม็นฟุ้งกระจาย ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่และสุขอนามัยของประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่และในละแวกใกล้เคียง จึงขอมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานเจ้าภาพรับไปประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการแผนการป้องกันและแก้ไขปัญหาในภาพรวมเพื่อดำเนินการและชี้แจงให้ประชาชนทราบต่อไป ทั้งนี้ รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเร่งลงพื้นที่เพื่อกำกับติดตามการดำเนินการแก้ไขปัญหาและให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนในพื้นที่โดยด่วนด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
26667 | แต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี) (นางสาววันนภิศ จารุสมบัติ) | นร10 | 18/03/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางสาววันนภิศ จารุสมบัติ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาประจำสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๖ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
26668 | รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2555 | พม | 11/03/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. ๒๕๕๕ ของคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ข้อเสนอเชิงนโยบาย การพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุเป็นเรื่องที่สำคัญต่อความมั่นคงและการพัฒนาของประเทศ สำหรับประเด็นเร่งด่วนและมีช่องทางเอื้อให้ดำเนินการได้ทันทีในระยะสั้น ได้แก่ การนำพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไปดำเนินการให้เกิดผลโดยเร็วที่สุด โดยรัฐควรเร่งดำเนินการเรื่องกองทุนการออมแห่งชาติให้เป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด พร้อมทั้งเร่งพัฒนาระบบหลักประกันทางเศรษฐกิจในรูปแบบอื่น ๆ ด้วย และการผลักดันให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ขับเคลื่อนงานด้านผู้สูงอายุ โดยการกระตุ้นและส่งเสริมให้ อปท. เข้ามารับผิดชอบงานด้านการส่งเสริมพัฒนาศักยภาพและคุ้มครองผู้สูงอายุในชุมชนของตนเองอย่างเป็นระบบ ๒. การเปลี่ยนแปลงทางประชากร และข้อมูลสถิติที่สำคัญเกี่ยวกับผู้สูงอายุ จากผลการคาดประมาณประชากรของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๘๓ สัดส่วนของประชากรวัยเด็กและวัยแรงงานมีแนวโน้มลดลง ในขณะที่สัดส่วนของประชากรผู้สูงอายุมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากร้อยละ ๑๓.๒ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็นร้อยละ ๓๒.๑ ในปี พ.ศ. ๒๕๘๓ ในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ จะเป็นปีที่สัดส่วนของประชากรวัยสูงอายุ สัดส่วนของผู้สูงอายุวัยปลายจะเพิ่มจากประมาณร้อยละ ๑๒.๗ ของประชากรสูงอายุทั้งหมดเกือบ ๑ ใน ๕ ของประชากรสูงอายุ ปัญหาสุขภาพประชากรสูงอายุ จากข้อมูลพบว่าในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ผู้สูงอายุมีปัญหาด้านการมองเห็น ร้อยละ ๔๗.๔ ปัญหาด้านการได้ยิน ประมาณร้อยละ ๑๕ นอกจากนี้ ยังพบปัญหาในด้านศักยภาพในการควบคุม การเคลื่อนไหว การพลัดตกหกล้ม การควบคุมระบบการขับถ่าย รวมทั้งข้อมูลการสำรวจประชากรสูงอายุในปี พ.ศ. ๒๕๕๐ และ พ.ศ. ๒๕๕๔ สัดส่วนของผู้สูงอายุทั้งชายและหญิงที่เป็นโสดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แนวโน้มการอยู่อาศัยของผู้สูงอายุตามลำพังเพิ่มขึ้น ผู้สูงอายุไทยประมาณ ๑ ใน ๓ ของทั้งหมดยังคงทำงานเชิงเศรษฐกิจ แหล่งรายได้หลักของผู้สูงอายุ ๓ อันดับแรก คือ บุตร การทำงาน และเบี้ยยังชีพจากทางราชการ ๓. ความสำเร็จและความท้าทายในการดำเนินงานด้านผู้สูงอายุ จากการติดตามและประเมินแผนผู้สูงอายุแห่งชาติ ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๔๕-๒๕๖๔) ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๐-๒๕๕๔) การดำเนินงานในภาพรวมของประเทศยังผ่านในระดับที่ค่อนข้างต่ำ ประเทศไทยยังต้องเร่งดำเนินงานตามแผนผู้สูงอายุต่อไป เพื่อให้สามารถรองรับอัตราการเปลี่ยนแปลงเป็นสังคมสูงวัย อุปสรรคปัญหาต่อการดำเนินงาน คือ การขาดความต่อเนื่องของนโยบายและการทำงานด้านผู้สูงอายุขึ้นกับผู้นำประเทศเป็นสำคัญ การขาดการแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมและขาดงบประมาณสนับสนุน ชมรมผู้สูงอายุยังขาดความเข้มแข็ง และ อปท. ยังมีข้อจำกัดด้านกำลังคน ความรู้ด้านผู้สูงอายุ และระเบียบข้อบังคับในการใช้จ่ายงบประมาณเพื่องานด้านผู้สูงอายุ เพื่อให้งานด้านผู้สูงอายุก้าวหน้าต่อไป ๔. สถานการณ์เด่นรอบปี ๔.๑ ผลของการประกาศใช้และการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ ส่งผลให้มีหลักประกันทางเศรษฐกิจเมื่อยามสูงวัยในหลากหลายรูปแบบ ๔.๒ การพัฒนาและปรับระบบบริการสาธารณสุขในการดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุ ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ทั้งการบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การประเมินผู้สูงอายุที่ต้องได้รับการดูแลระยะยาว การอบรมให้ความรู้แก่ อปท. และผู้ดูแล เป็นต้น ๔.๓ การขยายสิทธิผู้สูงอายุตามพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. ๒๕๔๖ และเพิ่มหน่วยงานรับผิดชอบในการดำเนินการรองรับสิทธิที่เพิ่มขึ้นเพื่อให้ผู้สูงอายุได้รับการคุ้มครอง ส่งเสริมการให้สิทธิประโยชน์ในด้านต่าง ๆ รวมทั้งประชาสัมพันธ์เพิ่มช่องทาง การรับรู้ และสามารถเข้าถึงสิทธิได้อย่างทั่วถึงมากยิ่งขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||
26669 | การรับรองร่างแถลงการณ์ของการประชุมระดับผู้นำว่าด้วยความมั่นคงทางนิวเคลียร์ กรุงเฮก (The Draft Haque Nuclear Security Summit Communique) | กต | 11/03/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างแถลงการณ์ The Draft Hague Nuclear Security Summit Communique ซึ่งเป็นผลลัพธ์หลักของการประชุมระดับผู้นำว่าด้วยความมั่นคงทางนิวเคลียร์ ครั้งที่ ๓ ปี ๒๕๕๗ (2014 Nuclear Security Summit : NSS) ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๕ มีนาคม ๒๕๕๗ ณ กรุงเฮก ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ โดยร่างแถลงการณ์ฯ เป็นเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและแสดงถึงเจตนารมณ์ทางการเมืองร่วมกันของผู้นำที่เข้าร่วมการประชุม NSS ที่จะดำเนินความพยายามเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางนิวเคลียร์และลดภัยคุกคามจากการก่อการร้ายด้านนิวเคลียร์ ๒. อนุมัติให้ปลัดกระทรวงการต่างประเทศซึ่งได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้เป็นผู้แทนพิเศษร่วมรับรองร่างแถลงการณ์ดังกล่าว ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก
|
||||||||||||||||||||||||
26670 | แผนการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 | นร01 | 11/03/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรายงานว่า การตรวจราชการแบบบูรณาการตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การตรวจราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ของผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ประกอบด้วยประเด็นสำคัญที่ผ่านความเห็นชอบของทุกกระทรวง ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการตรวจราชการ พ.ศ. ๒๕๔๘ ข้อ ๘ วรรคสี่ คือ การตรวจราชการแบบบูรณาการเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประเทศ และประเด็นนโยบายสำคัญ (Issue) จำนวน ๒ ประเด็น ได้แก่ ประเด็นนโยบายครัวไทยสู่ครัวโลก และประเด็นนโยบายการดำเนินการก่อนเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ปี ๒๕๕๘ ทั้งนี้ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีร่วมกับทุกกระทรวงได้ร่วมกันพิจารณากำหนดกรอบแนวทางการตรวจราชการแบบบูรณาการตามประเด็นดังกล่าว และได้จัดทำแผนการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยมีเนื้อหาประกอบด้วย บทนำ ทิศทางการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การตรวจราชการแบบบูรณาการ ของผู้ตรวจราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ กรอบแนวทางการติดตามประเมินผลตามแผนการตรวจราชการแบบบูรณาการ ของผู้ตรวจราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ และแผนปฏิบัติราชการ (Action Plan) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ๒. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีนำแผนการตรวจราชการดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีทราบอีกครั้งเมื่อมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่
|
||||||||||||||||||||||||
26671 | การจัดสรรเงินรางวัลและสิ่งจูงใจของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา และการเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษตามโครงการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | สผ | 11/03/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เลขานุการคณะกรรมการข้าราชการรัฐสภาเสนอ ดังนี้
๑. หลักการและแนวทางการจัดสรรเงินรางวัลและสิ่งจูงใจของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา และการเบิกจ่ายค่าตอบแทนพิเศษตามโครงการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยได้ปรับกรอบเงินรางวัลของผู้บริหารให้ลดลง และปรับกรอบเงินรางวัลของผู้ปฏิบัติให้มากกว่าเดิม เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับผู้ปฏิบัติ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับผลการประเมินการปฏิบัติราชการของแต่ละคนและให้กับผู้ปฏิบัติที่มีความร่วมมือในการสร้างผลงานให้ส่วนราชการ รวมทั้งผู้ที่มีความทุ่มเทและมีผลงานให้ส่วนราชการ ซึ่งสอดคล้องกับหลักการจัดสรรเงินรางวัลของฝ่ายบริหาร โดยเฉพาะการกำหนดสัดส่วนน้ำหนักของจ่ายเงินรางวัลสำหรับผู้บริหารให้ลดลงร้อยละ ๑๐ โดยผู้บริหารได้รับการจัดสรรเงินรางวัลร้อยละ ๓๐ (จากเดิมร้อยละ ๔๐) ที่เหลืออีกประมาณร้อยละ ๗๐ นำไปสมทบให้ผู้ปฏิบัติโดยในส่วนของงบประมาณค่าตอบแทนพิเศษตามโครงการดังกล่าว ส่วนราชการสังกัดรัฐสภาใช้เงินเหลือจ่ายที่ส่วนราชการต้นสังกัดรัฐสภาได้ดำเนินงานบรรลุวัตถุประสงค์แล้วมีเงินเหลือจ่ายอย่างแท้จริง รวมทั้งไม่มีหนี้ค่าสาธารณูปโภคค้างชำระและมีงบประมาณเพียงพอสำหรับชดเชยค่างานสิ่งก่อสร้างตามสัญญาการปรับราคาได้ (ค่า K) ๒. การเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษตามโครงการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ซึ่งประกอบด้วยสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร (สผ.) และสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา (สว.) ได้รับอนุมัติให้กันเงินงบประมาณเหลือจ่ายเป็นค่าตอบแทนพิเศษตามโครงการฯ โดย สผ. กันเงินไว้ จำนวน ๑๖,๖๖๒,๙๐๐ บาท และ สว. กันเงินไว้ จำนวน ๙,๓๗๓,๐๒๐ บาท เพื่อเบิกเงินตอบแทนพิเศษ โดยกรมบัญชีกลางได้แจ้งไปยังส่วนราชการอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีกรณีไม่มีหนี้ผูกพัน สามารถขยายเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จนถึงสิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๗ |
||||||||||||||||||||||||
26672 | ผลการประชุม Conference of Plenipotentiaries on the Minamata Convention on Mercury | ทส | 11/03/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุม Conference of Plenipotentiaries on the Minamata Convention on Mercury ซึ่งจัดโดยโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Programme : UNEP) ระหว่างวันที่ ๗-๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ณ เมืองมินามาตะ จังหวัดคุมาโมโต ประเทศญี่ปุ่น โดยมีนายพิทยา พุกกะมาน ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุม Preparatory meeting for the Conference of Plenipotentiaries on the Minamata Convention on Mercury ระหว่างวันที่ ๗-๘ ตุลาคม ๒๕๕๖ ได้มีการจัดเตรียมเอกสารข้อมติ (resolutions) ประกอบด้วย แนวทางการเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ ในระหว่างที่อนุสัญญามินามาตะว่าด้วยการจัดการสารปรอท ยังไม่มีผลบังคับใช้ แนวทางการเตรียมการด้านกลไกทางการเงิน แนวทางความร่วมมือกับอนุสัญญาระหว่างประเทศด้านสารเคมีและองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศอื่น ๆ และการชื่นชมและขอบคุณรัฐบาลประเทศญี่ปุ่นในฐานะประเทศเจ้าภาพจัดการประชุมฯ ทั้งนี้ เอกสารดังกล่าวจะมีการนำเสนอในการประชุม Conference of Plenipotentiaries on the Minamata Convention on Mercury เพื่อให้มีการรับรองสำหรับใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการในระหว่างที่อนุสัญญามินามาตะฯ ยังไม่มีผลบังคับใช้ต่อไป ๒. การประชุม Conference of Plenipotentiaries on the Minamata Convention on Mercury ระหว่างวันที่ ๑๐-๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ๒.๑ ให้การรับรอง (adopting) เอกสารข้อมติ (resolutions) กรรมสารสุดท้าย (the final act of the conference) ซึ่งเป็นรายงานสรุปผลการประชุมตามวาระการประชุมฯ และอนุสัญญามินามาตะฯ ๒.๒ มีการลงนาม (signature) กรรมสารสุดท้าย (the final act of the conference) และอนุสัญญามินามาตะฯ โดยผู้แทนประเทศต่าง ๆ ทั้งนี้ มีผู้แทนจาก ๒๑ ประเทศ ที่ลงนามเฉพาะกรรมสารสุดท้าย (the final act of the conference) และมีผู้แทนจาก ๙๑ ประเทศ และสหภาพยุโรป ลงนามในอนุสัญญามินามาตะฯ ๒.๓ ประเทศไทยได้ให้การรับรอง (adopting) เอกสารข้อมติ (resolutions) กรรมสารสุดท้าย (the final act of the conference) และอนุสัญญามินามาตะฯ โดยยังไม่ลงนามในอนุสัญญาดังกล่าว ทั้งนี้ แม้ว่าการลงนามในอนุสัญญามินามาตะฯ จะเป็นการแสดงเจตจำนงทางการเมืองในทางนโยบายของประเทศไทยในการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญามินามาตะฯ ซึ่งจะยังไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายให้ต้องปฏิบัติตามพันธกรณีของอนุสัญญามินามาตะฯ ก็ตาม แต่เนื่องจากอนุสัญญาฉบับนี้มุ่งเน้นให้มีการจัดการสารปรอท ทั้งวัฏจักรชีวิต ตั้งแต่การผลิต การนำเข้า-ส่งออก การใช้ รวมทั้งการบำบัดและกำจัดสารปรอท อนุสัญญามินามาตะฯ จึงมีความเกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของหน่วยภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการ และประชาชน ดังนั้น ก่อนการพิจารณาการลงนามในอนุสัญญามินามาตะฯ จึงควรหารือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วน และควรมีการศึกษาความเป็นไปได้ในการปฏิบัติตามพันธกรณีของอนุสัญญามินามาตะฯ เพื่อจัดเตรียมความพร้อมในการรองรับอนุสัญญาดังกล่าวต่อไป โดยหน่วยงาน UNEP ยังเปิดให้การลงนามในอนุสัญญามินามาตะฯ ได้เป็นระยะเวลาอีก ๑ ปี หรือภายในวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๗ ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก ๓. ประเทศไทยได้แสดงความมุ่งมั่นด้านการจัดการสารปรอทและสารเคมี รวมทั้งยินดีที่จะร่วมมือกับประชาคมโลกในการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับประเด็นดังกล่าว
|
||||||||||||||||||||||||
26673 | ขอความเห็นชอบการแต่งตั้งผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี | ศธ | 11/03/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งนางพรพรรณ ไวทยางกูร เป็นผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้มีผลดำเนินการต่อไปได้เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาให้ความเห็นชอบแล้ว
|
||||||||||||||||||||||||
26674 | ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) | กค | 11/03/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานรายงานว่า ปัจจุบันเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงลดลงอย่างมาก โดยติดลบเฉลี่ย ๑๒๕ ล้านบาทต่อวัน อันเนื่องมาจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่สูงขึ้นและวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นที่ประเทศยูเครน ๒. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ขยายระยะเวลาการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ ๐.๐๐๕ โดยน้ำหนัก ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันผสมอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๔ ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร ออกไปอีก ๑ เดือน คือ ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้เมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งแล้ว
|
||||||||||||||||||||||||
26675 | ขออนุมัติแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด อีกตำแหน่ง (พลตำรวจเอก พงศพัศ พงษ์เจริญ) | ยธ | 11/03/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งพลตำรวจเอก พงศพัศ พงษ์เจริญ ข้าราชการตำรวจ ตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กระทรวงยุติธรรม อีกตำแหน่งหนึ่ง เป็นเวลา ๑ ปี ตั้งแต่วันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๗ เป็นต้นไป ตามมาตรา ๑๑ (๕) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ขัดข้อง โดยให้ยังคงดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อยู่ต่อไป และให้นับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งต่อเนื่อง ส่วนกรณีเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และสิทธิประโยชน์อันพึงมีพึงได้ให้คงได้รับตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
26676 | การตั้งมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี (Princess Maha Chakri Award Foundation) | ศธ | 11/03/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานเลขาธิการคุรุสภา ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ซึ่งกระทรวงการคลังได้อนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว ในวงเงิน ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้เบิกจ่ายในงบเงินอุดหนุน ประเภทเงินอุดหนุนทั่วไป เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสนับสนุนการดำเนินงานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี “Princess Maha Chakri Award” ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้มีผลดำเนินการต่อไปได้เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาให้ความเห็นชอบแล้ว ๒. สำหรับการจัดตั้งมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี (Princess Maha Chakri Award Foundation) ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
26677 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (โรงเรียนอนุบาลทีปังกรรัศมีโชติ) | ศธ | 11/03/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในวงเงิน ๑๖๗,๕๓๕,๓๐๐ บาท สมทบกับงบประมาณรายจ่ายที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติแล้วเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓ (เรื่อง งบประมาณเพื่อสนับสนุนโรงเรียนอนุบาลทีปังกรรัศมีโชติเป็นกรณีพิเศษ) เพื่ออุดหนุนให้กับโรงเรียนอนุบาลทีปังกรรัศมีโชติ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้มีผลดำเนินการต่อไปได้เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาให้ความเห็นชอบแล้ว
|
||||||||||||||||||||||||
26678 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการควบคุมและดำเนินการจัดการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา เป็นการเลือกตั้งทั่วไป (กรณีครบวาระฯ) เพิ่มเติม | ลต | 11/03/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการควบคุมและดำเนินการจัดการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการเลือกตั้งทั่วไป (กรณีครบวาระ) จำนวน ๒,๘๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ค่าใช้จ่ายในการจัดการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา จำนวน ๑,๔๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลืออีกจำนวน ๑,๔๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๖ [เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการควบคุมและดำเนินการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไป (กรณียุบสภา)] ภายในกรอบวงเงิน ๓,๘๘๕,๐๐๖,๕๐๐ บาท ซึ่งคาดว่าจะเหลือเป็นลำดับแรกก่อน และหากไม่เพียงพอให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งเพื่อขอใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. คณะรัฐมนตรีมีข้อแนะนำว่าในการควบคุมและดำเนินการจัดการเลือกตั้ง คณะกรรมการการเลือกตั้งควรใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปด้วยความประหยัด คุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุด เพราะการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการจัดการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาในแต่ละครั้งจะต้องใช้เงินงบประมาณแผ่นดินจำนวนมาก ซึ่งเป็นไปตามความเห็นของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวด้วย |
||||||||||||||||||||||||
26679 | รายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ 4 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | กค | 11/03/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ ๔ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ในช่วงไตรมาสที่ ๔ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ (กรกฎาคม-กันยายน ๒๕๕๖) สินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่มสินค้า ได้แก่ น้ำหอมและเครื่องสำอาง ผลไม้ นาฬิกาและอุปกรณ์ กระเป๋าหนังและเข็มขัดหนัง สุราต่างประเทศ สูท เสื้อ กระโปรง กางเกง สำหรับบุรุษ สตรี เด็กชาย และเด็กหญิง และเนคไท เลนส์ รองเท้าหนัง และรองเท้าผ้าใบ แว่นตา ปากกาและอุปกรณ์ กล้องถ่ายรูปและอุปกรณ์ ไวน์ เครื่องประดับที่ทำด้วยคริสตัล ผ้าทอทำด้วยขนสัตว์ ไฟแช็คและอุปกรณ์ ดอกไม้ และเครื่องแก้วชนิดใช้บนโต๊ะอาหาร หรือใช้ตกแต่งภายในที่ทำด้วยคริสตัล มีมูลค่านำเข้า ๗๙๔.๑๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ ๑.๓๐ ของมูลค่านำเข้ารวม (๖๑,๑๖๗.๔๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ (กรกฎาคม-กันยายน ๒๕๕๕) ๓๒.๖๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๔.๒๙ ๒. สินค้าฟุ่มเฟือยที่มีมูลค่านำเข้าสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ น้ำหอมและเครื่องสำอาง มูลค่านำเข้า ๑๕๗.๖๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น ๓๐.๖๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือร้อยละ ๒๔.๑๗) นาฬิกาและอุปกรณ์ มูลค่านำเข้า ๑๑๕.๔๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น ๑๓.๐๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือร้อยละ ๑๒.๗๙) และผลไม้ มูลค่านำเข้า ๑๐๘.๒๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น ๖.๗๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือร้อยละ ๖.๖๐) |
||||||||||||||||||||||||
26680 | รายงานสรุปผลการหารือกับคณะผู้บริหารระดับสูงของสาธารณรัฐประชาชนจีน | กก | 25/02/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการหารือกับคณะผู้บริหารระดับสูงของสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมคณะ ได้เดินทางไปร่วมงาน China International Travel Mart (CITM 2013) ในวันที่ ๒๓-๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๖ ณ นครคุนหมิง มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นงานส่งเสริมการขายสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดของสาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมทั้งได้พบปะหารือกับคณะผู้บริหารระดับสูงของสาธารณรัฐประชาชนจีนเพื่อส่งเสริมแนวทางด้านการท่องเที่ยวร่วมกัน สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการเข้าพบปะหารือกับ Mr. Li Ji Heng ผู้ว่าการมณฑลยูนนาน เมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๖ ๑.๑ มณฑลยูนนานมีนโยบายสนับสนุนการเดินทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงกับประเทศไทย (เส้นทาง เชียงรุ้ง-ลาว-เชียงราย-พม่า) โดยขอให้รัฐบาลไทยอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทยผ่านเส้นทางสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ ๔ ณ อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ที่กำหนดเปิดให้บริการเดือนธันวาคม ๒๕๕๖ ๑.๒ รัฐบาลไทยพร้อมที่จะให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตามกฎหมายใหม่ด้านการท่องเที่ยวของจีน ซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ โดยจะจัดการอบรมให้แก่ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว รวมทั้งหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้รับทราบและปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าวอย่างเคร่งครัด ๑.๓ รัฐบาลไทยมีนโยบายในการอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย เช่น การจัดทำเอกสารคู่มือท่องเที่ยวภาษาจีน การจัดทำป้ายบอกทางภาษาจีน การออกใบขับขี่สากลชั่วคราวแก่นักท่องเที่ยวชาวจีน รวมถึงนโยบายด้านการประกันอุบัติเหตุแก่นักท่องเที่ยวชาวจีน ๒. ผลการเข้าพบหารือกับ Mr. Shao Qi Wei, Chairman of China National Tourism (CNTA) เมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๖ ๒.๑ รัฐบาลไทยและรัฐบาลจีนเห็นพ้องกันในการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมไทย-จีน เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและร่วมกันแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ๒.๒ รัฐบาลไทยได้มีการจัดตั้งศาลท่องเที่ยวเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวที่มีคดีความให้เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมด้วยความรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยมีการเปิดศาลท่องเที่ยวแห่งแรกที่เมืองพัทยา และมีกำหนดเปิดในจังหวัดเชียงใหม่ ภูเก็ต และเกาะสมุยต่อไป
|
.....