ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 90 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 1781 - 1800 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1781 | แนวทางการดำเนินงานปีท่องเที่ยววิถีไทย 2558 และขออนุมัติให้ปี 2558 เป็นปีท่องเที่ยววิถีไทยและเป็นวาระแห่งชาติ | กก | 12/11/2557 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ปี ๒๕๕๘ เป็นปีท่องเที่ยววิถีไทย (2015 Discover Thainess) และเป็นวาระแห่งชาติ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ และให้รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรส่งเสริมด้านการท่องเที่ยวเชิงเกษตรเพื่อสร้างอาชีพ สร้างงาน และสร้างรายได้ โดยเน้นการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน และพิจารณาแนวทางส่งเสริมการท่องเที่ยวควบคู่ไปกับการส่งเสริมตลาด โดยปรับใช้แนวคิดการท่องเที่ยววิถีไทยให้สอดคล้องกับแนวโน้มและสถานการณ์ท่องเที่ยวในปัจจุบัน เน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวเฉพาะที่มีอัตราการเติบโตเพิ่มสูงขึ้น เช่น กลุ่มนักท่องเที่ยวผู้สูงวัย กลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ และกลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ให้คณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ (ท.ท.ช.) เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนการดำเนินโครงการร่วมกับคณะกรรมการอำนวยการปีท่องเที่ยววิถีไทย ๒๕๕๘ และคณะกรรมการดำเนินงานในระดับปฏิบัติ ๔ คณะ เพื่อบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การดำเนินงานสอดคล้องตามนโยบายและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน รวมทั้งพิจารณาแนวทางการส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยการสร้างสรรค์กิจกรรมใหม่ ๆ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและเพิ่มรายได้ให้การท่องเที่ยว โดยกำหนดแนวทางการส่งเสริมอื่นควบคู่กันไปกับแนวทางการส่งเสริมตลาดทั้งในและต่างประเทศ เช่น มาตรการทางภาษี มาตรการเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมการตรวจลงตรา เพื่อสร้างแรงจูงใจในการตัดสินใจท่องเที่ยวประเทศไทย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. รับทราบเรื่องการแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการปีท่องเที่ยววิถีไทย ๒๕๕๘ และคณะกรรมการดำเนินงานในระดับปฏิบัติการ ๔ คณะ ได้แก่ คณะกรรมการดำเนินงานด้านการส่งเสริมสินค้าและบริการปีท่องเที่ยววิถีไทย ๒๕๕๘ คณะกรรมการดำเนินงานด้านส่งเสริมตลาดต่างประเทศปีท่องเที่ยววิถีไทย ๒๕๕๘ คณะกรรมการดำเนินงานด้านส่งเสริมตลาดในประเทศปีท่องเที่ยววิถีไทย ๒๕๕๘ และคณะกรรมการดำเนินงานด้านประชาสัมพันธ์ปีท่องเที่ยววิถีไทย ๒๕๕๘ เพื่อเป็นกลไกในการดำเนินการขับเคลื่อนปีท่องเที่ยววิถีไทย ๒๕๕๘ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาไปพิจารณาเกี่ยวกับการแต่งตั้งคณะกรรมการดังกล่าวให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||
1782 | ขออนุมัติวงเงินโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อกปี 2557/58 เพิ่มเติม | พณ | 04/11/2557 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณ ๖๑๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ในการดำเนินการตามโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปี ๒๕๕๗ เพื่อชดเชยดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจากการเก็บสต็อกข้าวเปลือกเพิ่มอีก จำนวน ๔ ล้านตัน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. สำหรับงบประมาณในการดำเนินการให้ใช้จ่ายจากงบประมาณที่ได้รับอนุมัติจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง การช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๗/๕๘) ในโอกาสแรกก่อน และเมื่อตรวจสอบรายละเอียดแล้วปรากฏว่า มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายงบประมาณเพิ่มเติม ก็ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว โดยให้กระทรวงพาณิชย์จัดทำรายละเอียดเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรตรวจสอบเอกสารหลักฐานให้ถูกต้อง และติดตามตรวจสอบปริมาณความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับสต็อกข้าวของผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการไม่ให้นำไปหมุนเวียนออกสู่ตลาด และดำเนินการตามประกาศหรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และมาตรฐานของทางราชการ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญด้วย นอกจากนี้ ควรกำหนดประเภทข้าวและราคารับซื้อสำหรับข้าวแต่ละประเภทที่จะเข้าร่วมโครงการฯ ให้ชัดเจนเพื่อป้องกันการนำข้าวเปลือกคุณภาพต่ำเข้าสู่โครงการฯ และจัดทำแผนการระบายสต็อกข้าวเปลือกสำหรับผู้ประกอบการค้าข้าวแต่ละราย เพื่อป้องกันการระบายสต็อกข้าวเปลือกปริมาณมากในช่วงเวลาเดียวกันกับการระบายข้าวเปลือกในสต็อกของรัฐบาล ตลอดจนให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการค้าข้าวและเกษตรกรได้รับทราบ และมีความรู้ความเข้าใจในสาระสำคัญของการดำเนินโครงการฯ อย่างทั่วถึง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||
1783 | การบริหารโครงการลงทุนภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 | กค | 28/10/2557 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบ เห็นชอบ และอนุมัติ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบการรายงานการติดตามและเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ (พ.ร.ก.) และวงเงินกู้เหลือจ่ายภายใต้ พ.ร.ก. ตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ๑.๒ พิจารณาการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะ ๓ เดือนแรก) ๑.๒.๑ รับทราบวงเงินเหลือจ่ายภายใต้ พ.ร.ก. ที่ไม่มีภาระผูกพัน วงเงิน ๑๕,๒๐๐ ล้านบาท และอนุมัติให้ใช้วงเงินเหลือจ่ายดังกล่าวสำหรับเป็นเงินสำรองจ่ายเพื่อจัดสรรให้แก่ แผนงาน/โครงการตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะ ๓ เดือนแรก วงเงิน ๑๕,๒๐๐ ล้านบาท ๑.๒.๒ อนุมัติกรอบการใช้จ่ายเงินกู้ตาม พ.ร.ก. และนำเสนอกรอบการใช้จ่ายเงินกู้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อทราบก่อนเริ่มดำเนินการ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา ๓ ของ พ.ร.ก. ๑.๒.๓ เห็นชอบแนวทางการบริหารโครงการ และให้ส่วนราชการที่ได้รับจัดสรรเงินกู้ภายใต้ พ.ร.ก. ดำเนินการตามมาตรการเพิ่มความคล่องตัวในการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ โดยให้ลงนามในสัญญาจัดซื้อจัดจ้างให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๗ และเบิกจ่ายเงินกู้ให้แล้วเสร็จไม่เกินวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ ๑.๒.๔ เห็นชอบแนวทางการติดตาม การประเมินผล และการรายงานผลการดำเนินโครงการมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะ ๓ เดือนแรก (ระหว่างเดือนตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๗) สำหรับมาตรการเพื่อการสร้างงาน วงเงิน ๒๓,๐๐๐ ล้านบาท ทั้งในส่วนที่ใช้จากงบกลางที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี (๗,๘๐๐ ล้านบาท) และเงินกู้เหลือจ่ายภายใต้ พ.ร.ก. (๑๕,๒๐๐ ล้านบาท) ๑.๒.๕ อนุมัติโครงการสนับสนุนการวางระบบเทคโนโลยีสารสนเทศโครงการของสำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง วงเงิน ๓ ล้านบาท และโครงการติดตามและประเมินผลโครงการของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ วงเงิน ๑๒ ล้านบาท และอนุมัติจัดสรรเงินสำรองจ่ายภายใต้เงินกู้ พ.ร.ก. วงเงิน ๑๕ ล้านบาท ๑.๓ รับทราบการขยายระยะเวลาการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินกู้ พ.ร.ก. ภายหลังปีงบประมาณ ๒๕๕๖ โดยขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินให้สามารถดำเนินการเบิกจ่ายเงิน พ.ร.ก. ได้จนกว่าโครงการจะแล้วเสร็จ แต่ต้องไม่เกินปีงบประมาณ ๒๕๕๗ สำหรับโครงการที่ได้มีการผูกพันสัญญาแล้ว และสามารถดำเนินการและเบิกจ่ายเงินกู้ได้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๗ จำนวน ๕ โครงการ วงเงิน ๑๘๖,๔๔๙,๗๙๓.๑๑ บาท ๑.๔ อนุมัติให้ขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการและเบิกจ่ายเงินกู้สำหรับโครงการที่มีการผูกพันสัญญาและอยู่ระหว่างดำเนินโครงการที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาทางการเมืองในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ทำให้ไม่สามารถดำเนินโครงการได้ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว จนถึงไม่เกินเดือนธันวาคม ๒๕๕๗ สำหรับโครงการ จำนวน ๑๕ โครงการ วงเงิน ๑,๒๑๑,๔๖๙,๙๑๙.๒๕ บาท ๑.๕ อนุมัติการจัดสรรเงินสำรองจ่ายเพื่อเป็นเงินชดเชยค่างานสิ่งก่อสร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) และค่างานในส่วนที่เหลือ จำนวน ๔ หน่วยงาน วงเงิน ๕๕,๓๙๘,๔๒๘.๗๔ บาท ๑.๖ อนุมัติการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข ๒. ให้กระทรวงการคลังเสนอกรอบการใช้จ่ายเงินกู้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อทราบก่อนดำเนินการ โดยรายละเอียดของกรอบการใช้จ่ายเงินกู้ดังกล่าวให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ การใช้จ่ายเงินกู้ในการดำเนินโครงการตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ระยะ ๓ เดือนแรก ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป และเร่งดำเนินโครงการตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ และรายงานความก้าวหน้าการเบิกจ่ายเงินกู้ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นรายเดือนด้วย |
|||||||||||||||
1784 | ขออนุมัติดำเนินการตามมาตรา 16 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 โดยการเจรจาตรงกับบริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน - บางซื่อ (งานสัญญาที่ 5) | คค | 28/10/2557 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้คณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกเอกชนร่วมงานหรือดำเนินการตามมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ (คณะกรรมการตามมาตรา ๑๓) โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ดำเนินการเจรจาตรงกับบริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-บางซื่อ (งานสัญญาที่ ๕) ด้วยรูปแบบการลงทุนที่มีความเหมาะสมและเกิดประโยชน์ต่อภาครัฐ โดยมีระยะเวลาของสัญญาเท่ากับระยะเวลาที่เหลืออยู่ของสายเฉลิมรัชมงคล ซึ่งจะสิ้นสุดลงในวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๗๒ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๕๖ [เรื่อง รายงานผลการศึกษาเพิ่มเติม เพื่อคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนฯ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-บางซื่อ (สัญญาที่ ๕) (ฉบับปรับปรุง-มีนาคม ๒๕๕๖)] ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการจัดเตรียมข้อมูลในการเจรจาในส่วนของต้นทุนและรายได้ทั้งในรูปแบบ PPP Net Cost รูปแบบ PPP Gross Cost หรือรูปแบบอื่น ๆ ที่มีความเหมาะสมและเกิดประโยชน์ต่อภาครัฐ ตลอดจนแนวทางในการเจรจา ให้มีความพร้อมก่อนการเริ่มต้นเจรจา โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลที่เกี่ยวกับการกำหนดส่วนแบ่งรายได้ การกำกับ ควบคุม และเร่งรัดให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยดำเนินการศึกษาวิเคราะห์รายละเอียดและประมาณการวงเงินลงทุน ค่าใช้จ่ายในการเดินรถและบำรุงรักษาบนพื้นที่ของการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายเฉลิมรัชมงคลในปัจจุบันมาเป็นฐานข้อมูลประกอบการพิจารณาโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-บางซื่อ (งานสัญญาที่ ๕) การศึกษารายละเอียดและประมาณการวงเงินลงทุน ค่าใช้จ่ายเดินรถและบำรุงรักษา (O&M) บนพื้นฐานของการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายเฉลิมรัชมงคล และประมาณการปริมาณผู้โดยสารในอนาคต รวมทั้งเปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียของการบริหารจัดการและกำกับดูแลสัญญาสัมปทานโครงการ ระหว่างกรณีแยกสัญญาและกรณีรวมสัญญา การศึกษารูปแบบการลงทุนและการบริหารจัดการเดินรถที่เหมาะสมและเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาในคราวเดียวกันกับการดำเนินการก่อสร้างงานโยธาเพื่อให้สามารถเปิดให้บริการโครงการได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ รวมทั้งการกำหนดรูปแบบการลงทุนและการบริหารจัดการเดินรถในคราวเดียวกันทั้งเส้นทางเพื่อลดข้อจำกัดทางเทคนิคและการลงทุน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||
1785 | แผนการดำเนินงานโครงการลงทุนพัฒนาด้านคมนาคมขนส่ง ปี พ.ศ. 2558 | คค | 21/10/2557 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมรายงานสรุปแผนการดำเนินงานโครงการลงทุนพัฒนาด้านคมนาคมขนส่งที่สำคัญในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ประกอบด้วย การพัฒนารถไฟทางคู่ การพัฒนารถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล การพัฒนาทางหลวงสายหลัก การพัฒนาโครงข่ายการขนส่งทางน้ำ การเพิ่มขีดความสามารถการให้บริการขนส่งทางอากาศ และการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) ในเรื่องการนำโครงการต่าง ๆ ในแผนไปประมวลในแผนปฏิบัติการที่จะส่งให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และการพิจารณาจ้างหรือเพิ่มสัดส่วนการจ้างที่ปรึกษาที่เป็นนักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญชาวไทยในโครงการที่มีการจัดซื้อจัดจ้าง หรือจ้างที่ปรึกษาโครงการด้วย ๓. ในการดำเนินโครงการตามแผนดังกล่าว ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบราชการ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องด้วย โดยเฉพาะพระราชบัญญัติพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๒๑ และพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ รวมทั้งหากโครงการใดเป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรีให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาด้วย ๔. ให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการนำระบบตั๋วร่วม (e-ticket) มาใช้ในการเชื่อมการเดินทางของประชาชนที่สัญจรโดยเรือโดยสาร รถไฟฟ้า และรถประจำทาง และให้คำนึงถึงการให้บริการแก่ผู้มีรายได้น้อยให้สามารถเข้าถึงระบบบริการขนส่งสาธารณะ รวมทั้งการอำนวยความสะดวกในการใช้บริการของผู้พิการและผู้สูงอายุด้วย ๕. ให้กระทรวงคมนาคมประสานงานกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งร่วมมือกับภาคเอกชนเพื่อจัดเตรียมแผนพัฒนากำลังคนด้านคมนาคมขนส่งให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของประเทศด้วย
|
|||||||||||||||
1786 | แผนการดำเนินโครงการรถไฟทางคู่ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | คค | 21/10/2557 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแผนการดำเนินโครงการรถไฟทางคู่ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ โครงการที่พร้อมดำเนินการก่อสร้าง ๑ โครงการ คือ โครงการรถไฟทางคู่ ช่วงฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย ระยะทาง ๑๐๖ กิโลเมตร วงเงิน ๑๑,๒๗๒.๓๔ ล้านบาท ๑.๒ โครงการที่อยู่ระหว่างนำเสนอขออนุมัติโครงการ จำนวน ๒ โครงการ ได้แก่ โครงการรถไฟทางคู่ ช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น ระยะทาง ๑๘๕ กิโลเมตร วงเงิน ๒๖,๐๐๗ ล้านบาท และโครงการรถไฟทางคู่ ช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ระยะทาง ๑๖๗ กิโลเมตร วงเงิน ๑๗,๒๙๒ ล้านบาท ๑.๓ โครงการที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ภายใต้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ จำนวน ๓ โครงการ ได้แก่ โครงการรถไฟทางคู่ ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ ระยะทาง ๑๔๘ กิโลเมตร วงเงิน ๒๔,๘๔๒ ล้านบาท โครงการรถไฟทางคู่ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ ระยะทาง ๑๓๒ กิโลเมตร วงเงิน ๒๙,๘๕๕ ล้านบาท และโครงการรถไฟทางคู่ ช่วงนครปฐม-หัวหิน ระยะทาง ๑๖๕ กิโลเมตร วงเงิน ๒๐,๐๓๘ ล้านบาท ๒. ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) ในเรื่องการนำโครงการต่าง ๆ ในแผนไปประมวลในแผนปฏิบัติการที่จะส่งให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และการพิจารณาจ้างหรือเพิ่มสัดส่วนการจ้างที่ปรึกษาที่เป็นนักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญชาวไทยในโครงการที่มีการจัดซื้อจัดจ้างหรือจ้างที่ปรึกษาโครงการด้วย ๓. ในการดำเนินโครงการตามแผนดังกล่าว ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบราชการ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องด้วย โดยเฉพาะพระราชบัญญัติพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๒๑ และพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ รวมทั้งหากโครงการใดเป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรี ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาด้วย
|
|||||||||||||||
1787 | ขออนุมัติปรับเปลี่ยนวงเงินค่าก่อสร้าง และขอขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ โครงการก่อสร้างทางสายหลักให้เป็น 4 ช่องจราจร (ระยะที่ 2) ทางหลวงหมายเลข 12 พิษณุโลก - หล่มสัก ตอน 2C (Package D) | คค | 14/10/2557 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติปรับเปลี่ยนวงเงินงบประมาณค่าก่อสร้างทางสายหลักให้เป็น ๔ ช่องจราจร (ระยะที่ ๒) ทางหลวงหมายเลข ๑๒ พิษณุโลก-หล่มสัก ตอน 2C (Package D) เพิ่มจาก เดิม ๖๔๔,๗๐๐,๐๐๐.๐๐ บาท เป็น ๗๒๙,๖๑๘,๐๐๐.๐๐ บาท เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น ๘๔,๙๑๘,๐๐๐.๐๐ บาท โดยจำแนกเป็นเงินงบประมาณ (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) จำนวน ๔๓,๘๙๔,๘๑๑.๖๐ บาท และเงินนอกงบประมาณ [เงินกู้ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank - ADB)] จำนวน ๔๑,๐๒๓,๑๘๘.๔๐ บาท ซึ่งมีความจำเป็นต้องเพิ่มมาตรการทางวิศวกรรมเพื่อให้เกิดความปลอดภัยแข็งแรงของพื้นที่ เนื่องจากสภาพพื้นที่โครงการมีการเปลี่ยนแปลงไปอันเป็นผลมาจากปัจจัยทางธรรมชาติ ๑.๒ ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔-พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔-พ.ศ. ๒๕๕๙ เพื่อให้สอดคล้องกับระยะเวลาดำเนินการของผู้รับจ้าง ๒. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) รับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการดำเนินโครงการฯ ให้กรมทางหลวงดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี หนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง และมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ ไปดำเนินการต่อไป ๓. ในการก่อสร้างสายทางต่าง ๆ ให้กระทรวงคมนาคมถือปฏิบัติตามข้อสั่งการเมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง รายงานผลการบริหารราชการแผ่นดินและการผลักดันนโยบายของคณะรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ) ด้วย |
|||||||||||||||
1788 | มาตรการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากภัยแล้ง ปี 2557/2558 | กษ | 14/10/2557 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสถานการณ์น้ำ ซึ่งเป็นการสรุปปริมาณฝนในช่วงฤดูฝนปี ๒๕๕๗ สถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ลุ่มน้ำแม่กลอง และลุ่มน้ำอื่น ๆ และเห็นชอบการงดส่งน้ำเพื่อการเพาะปลูกข้าวนาปรังในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาและลุ่มน้ำแม่กลอง โดยให้มีการออกประกาศทางราชการแจ้งพื้นที่ที่ให้งดการส่งน้ำและงดการทำนาปรังในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ รวม ๒๖ จังหวัด ทั้งนี้ การช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยในพื้นที่งดส่งน้ำและงดทำนาปรัง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์การให้ความช่วยเหลือตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. เห็นชอบแนวทางการดำเนินงานตามมาตรการแก้ปัญหาผลกระทบจากภัยแล้ง ปี ๒๕๕๗/๒๕๕๘ ในกรอบวงเงินรวมทั้งสิ้น ๒,๓๗๗,๗๙๐,๐๐๐ บาท และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณโดยตรงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในระยะ ๓ เดือนแรก) โดยให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกกับการดำเนินโครงการเพื่อการปรับปรุง/ซ่อมแซมสิ่งก่อสร้างที่มีอยู่เดิมมากกว่าการก่อสร้างใหม่ รวมทั้งให้พิจารณาใช้แรงงานจากประชาชนในพื้นที่เพื่อสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่นั้น ๆ ด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยติดตามสถานการณ์ที่มีเกษตรกรบางส่วนยังคงปลูกข้าวนาปรังในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาและลุ่มน้ำแม่กลองที่ให้งดการส่งน้ำเพื่อการเพาะปลูก และอาจได้รับความเสียหายจากการไม่มีน้ำเพียงพอได้ ๔. ให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการบริหารจัดการน้ำของประเทศให้เหมาะสมสอดคล้องกับปริมาณน้ำที่กักเก็บได้ และความต้องการใช้น้ำในพื้นที่เกษตรกรรมทั้งที่อยู่ในเขตและนอกเขตชลประทาน รวมทั้งความจำเป็นในการปรับเปลี่ยนการใช้พื้นที่การเพาะปลูกให้เหมาะสม (Zoning) และประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้เกษตรกรและสาธารณชนผู้สนใจได้รับทราบโดยทั่วถึงกันด้วย |
|||||||||||||||
1789 | การปรับปรุงคำสั่งมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค | นร04 | 07/10/2557 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการปรับปรุงคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๒๑/๒๕๕๗ เรื่อง มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกำกับและติดตามการปฏิรูปราชการในภูมิภาค เพื่อให้การตรวจราชการตามคำสั่งดังกล่าวครอบคลุมถึงการตรวจสอบความถูกต้องในการดำเนินโครงการและการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐ และให้คณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดมีส่วนร่วมในการตรวจสอบด้วย ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||
1790 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินงานโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง | กษ | 01/10/2557 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินงานโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง จากเดิมสิ้นสุดวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ เป็นสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ เพื่อให้องค์การสวนยาง (อ.ส.ย.) บริหารจัดการยางพาราที่ได้รับซื้อไว้ ๒. อนุมัติให้ อ.ส.ย. ขยายระยะเวลาชำระคืนเงินกู้ต่อธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ตามระยะเวลาโครงการฯ ที่ขยายออกไป (๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗) โดยให้กระทรวงการคลังขยายระยะเวลาการค้ำประกันเงินกู้ที่ อ.ส.ย. ได้กู้เงินกับ ธ.ก.ส. ออกไปจนถึงสิ้นสุดระยะเวลาที่ขยายโครงการฯ พร้อมทั้งชดเชยต้นทุนเงินในอัตราดอกเบี้ย FDR+1 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การรักษาเสถียรภาพราคายาง) ๓. อนุมัติให้ อ.ส.ย. นำเงินค่าสินไหมทดแทนที่ได้รับจากบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด และบริษัท มิตรไทยโฮลดิ้ง จำกัด กรณีไฟไหม้โรงงานบริษัท มิตรไทยโฮลดิ้ง จำกัด จำนวน ๒๓๕.๓๓๕ ล้านบาท เพื่อชำระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่ค้างชำระ จำนวน ๑๘๒.๒๕๕ ล้านบาท ๔. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในส่วนที่ขยายระยะเวลาโครงการฯ จากเดือนกรกฎาคม-ธันวาคม ๒๕๕๗ ได้แก่ ค่าดำเนินการ ค่าบริหารโครงการ และค่าเบี้ยประกันวินาศภัย ให้ อ.ส.ย. ใช้จ่ายจากวงเงินคงเหลือ จำนวน ๑๔๒.๑๐๐ ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายในส่วนที่ขยายระยะเวลาโครงการฯ ไปก่อน หากไม่เพียงพอ ให้ อ.ส.ย. ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนอีกครั้งหนึ่ง ๕. ส่วนงบประมาณรายจ่ายเพื่อให้ ธ.ก.ส. ชำระดอกเบี้ยคืนแหล่งเงินกู้ในช่วงการขยายระยะเวลาดำเนินโครงการออกไป นั้น ให้ ธ.ก.ส. ใช้เงินทุน ธ.ก.ส. สำรองจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยดังกล่าวในเบื้องต้นก่อน และให้ ธ.ก.ส. เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๖. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำกับ ติดตาม ตรวจสอบการดำเนินโครงการฯ อย่างเข้มงวด รวมทั้งให้ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบสต็อกยาง จัดทำแผนการระบายสต็อกยางดังกล่าวให้ชัดเจน โดยให้ระบายยางที่ค้างอยู่ในสต็อกก่อน และเน้นการระบายยางให้แก่ผู้ประกอบการภายในประเทศเป็นลำดับแรก ทั้งนี้ ให้จัดทำรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบทุกเดือน เพื่อให้สามารถเร่งรัดการดำเนินงานและให้มีการปิดบัญชีโครงการฯ โดยเร็วตามกรอบระยะเวลาที่ขยายไว้ด้วย ๗. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับไปประสานงานกับฝ่ายความมั่นคง คณะรักษาความสงบแห่งชาติ กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการสนับสนุนและมาตรการทางด้านความปลอดภัยให้กับผู้ประกอบการที่จะเข้าไปลงทุนประกอบกิจการเกี่ยวกับยางพาราและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ |
|||||||||||||||
1791 | ปรับปรุงองค์ประกอบ และอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว | นร04 | 01/10/2557 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๑๗/๒๕๕๗ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว ลงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ โดยมีองค์ประกอบของคณะกรรมการฯ และอำนาจหน้าที่ ดังนี้
๑. องค์ประกอบของคณะกรรมการฯ จำนวน ๑๘ คน มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ เป็นรองประธานกรรมการ และปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นกรรมการและเลขานุการ ๒. อำนาจหน้าที่ ๒.๑ เสนอแนะนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาและแก้ไขปัญหาข้าวทั้งระบบ กำหนดมาตรการระยะสั้นและระยะยาวให้เชื่อมโยง ทั้งการผลิต การตลาด และการแปรรูป อย่างครบวงจร โดยครอบคลุมการขึ้นทะเบียนเกษตรกร การพัฒนาการผลิต การพัฒนาระบบตลาด การแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า การควบคุมคุณภาพและมาตรฐาน การวิจัยพัฒนา และเพิ่มการใช้ข้าวในประเทศ รวมทั้งแนวทางการเจรจาของไทยเกี่ยวกับข้าวระหว่างประเทศต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ๒.๒ กำหนดและเสนอมาตรการเพื่อดูแลให้เกษตรกรมีรายได้ที่เหมาะสม โดยเน้นกลไกตลาด เสนอแผนปฏิบัติการ รวมทั้งงบประมาณที่ต้องใช้ในการดูแลระดับราคาข้าว เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องและคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบและอนุมัติตามขั้นตอน ๒.๓ ติดตามและกำกับดูแลการปฏิบัติตามนโยบายและยุทธศาสตร์ มาตรการ และแผนปฏิบัติการตามที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ๒.๔ ติดตามและตรวจสอบการดำเนินโครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ผ่านมาของรัฐบาล ๒.๕ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ คณะทำงาน และคณะที่ปรึกษา เพื่อดำเนินการศึกษา วิเคราะห์ และเสนอแนะแนวทางในการบริหารจัดการข้าวต่อคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว ๒.๖ เชิญบุคคลที่เกี่ยวข้องมาชี้แจง หรือขอเอกสารหลักฐาน โดยให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของทางราชการให้ความร่วมมือและสนับสนุนการดำเนินการของคณะกรรมการฯ ๒.๗ ดำเนินการอื่นตามที่นายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย
|
|||||||||||||||
1792 | มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะ 3 เดือนแรก | นร | 01/10/2557 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ และรองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) แจ้งยืนยันและชี้แจง ดังนี้ ๑.๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังยืนยันว่า การดำเนินการมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะ ๓ เดือนแรก (ระหว่างเดือนตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๗) ซึ่งประกอบด้วยมาตรการเพื่อการสร้างงานและมาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อย ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) เสนอ คณะรัฐมนตรีมีอำนาจในการอนุมัติให้ดำเนินการได้โดยไม่ขัดต่อพระราชบัญญัติ พระราชกำหนด กฎ ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงการคลัง ๑.๒ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณชี้แจงว่า มาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อยเป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ใช้สภาพคล่องเงินทุนของ ธ.ก.ส. สำรองจ่ายเงินไปก่อนย่อมถือว่าเป็นข้อผูกพันงบประมาณที่จะต้องจ่ายเป็นเงินเกินกว่าหรือนอกเหนือไปจากที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นไปตามนัยมาตรา ๒๓ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๑.๓ รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) ชี้แจงว่า มาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อยเป็นการช่วยเหลือชาวนารายย่อยที่มีรายได้น้อยเพื่อให้มีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพ ไม่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือค่าปัจจัยการผลิตหรือชดเชยการขาดทุนแต่อย่างใด ๒. เห็นชอบในหลักการมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะ ๓ เดือนแรก (ระหว่างเดือนตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๗) ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) เสนอ ทั้งนี้ ในส่วนของมาตรการเพื่อการสร้างงาน ให้ส่วนราชการจัดทำรายละเอียดแผนงาน/โครงการ และรายการเสนอรัฐมนตรีเจ้าสังกัดพิจารณาให้ความเห็นชอบ โดยรัฐมนตรีจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง แล้วขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินโครงการต่อไป โดยให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกกับการดำเนินโครงการเพื่อการปรับปรุง/ซ่อมแซมสิ่งก่อสร้างที่มีอยู่เดิมมากกว่าการก่อสร้างใหม่ และให้พิจารณาใช้แรงงานจากประชาชนในพื้นที่เพื่อสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่นั้น ๆ โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งมาตรการต่าง ๆ ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริตด้วย ๓. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งจัดทำแผนงาน/โครงการ เกี่ยวกับการปรับปรุงซ่อมแซมโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนตามแนวทางและขั้นตอนในข้อ ๒ เพื่อเสนอสำนักงบประมาณโดยด่วน ๔. ในการดำเนินการนำเงินเหลือจ่ายจากการดำเนินการตามโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ มาใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในครั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยให้กระทรวงการคลังดำเนินการเป็นเรื่องเร่งด่วนด้วย ๕. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำทะเบียนเกษตรกรที่เป็นชาวนาให้ถูกต้อง ครบถ้วน เป็นปัจจุบัน โปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้ เพื่อใช้ประกอบการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวข้างต้น เพื่อให้ชาวนารายย่อยผู้มีรายได้น้อยได้รับประโยชน์โดยตรงและทั่วถึงต่อไป |
|||||||||||||||
1793 | มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค | นร04 | 01/10/2557 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๒๑/๒๕๕๗ เรื่อง มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ทั้งนี้ เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลผ่านการดำเนินโครงการต่าง ๆ ในทุกภูมิภาคเป็นไปอย่างถูกต้องและโปร่งใสตามหลักธรรมาภิบาล ปราศจากการทุจริต จึงให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรับไปปรับปรุงคำสั่งข้างต้นเพื่อให้การตรวจราชการตามคำสั่งดังกล่าวครอบคลุมถึงการตรวจสอบความถูกต้องในการดำเนินโครงการและการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐ และให้คณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดมีส่วนร่วมในการตรวจสอบด้วย
|
|||||||||||||||
1794 | โครงการก่อสร้างถนนสาย ฉ ผังเมืองรวมเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา รายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป | คค | 23/09/2557 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กรมทางหลวงชนบทก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป ในโครงการก่อสร้างถนนสาย ฉ ผังเมืองรวมเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา (สัญญาที่ ๑) ระยะทาง ๕.๖๕๐ กิโลเมตร ในวงเงิน ๕๑๒,๘๒๐,๐๐๐ บาท (สัญญาที่ ๒) ระยะทาง ๔.๕๐๐ กิโลเมตร ในวงเงิน ๔๙๑,๓๔๔,๐๐๐ บาท (สัญญาที่ ๓) ระยะทาง ๖.๑๘๒ กิโลเมตร ในวงเงิน ๔๘๕,๗๐๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑,๔๘๙,๘๖๔,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยให้เบิกจ่ายค่างานก่อสร้างจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๒๕๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายแล้ว ส่วนที่เหลืออีก จำนวน ๑,๒๓๔,๘๖๔,๐๐๐ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-พ.ศ. ๒๕๕๙ โดยให้กรมทางหลวงชนบทเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป เพื่อให้ครบวงเงินตามสัญญา ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมกำกับดูแลและติดตามการดำเนินโครงการให้ถูกต้อง โปร่งใส และตรวจสอบได้ด้วย
|
|||||||||||||||
1795 | ปรับปรุงองค์ประกอบ และอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว | พณ | 23/09/2557 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ องค์ประกอบของคณะกรรมการฯ ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ เป็นรองประธานกรรมการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ทรงคุณวุฒิเป็นกรรมการ และปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นกรรมการและเลขานุการ ๑.๒ อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการฯ ๑.๒.๑ เสนอแนะนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาและแก้ไขปัญหาข้าวทั้งระบบ กำหนดมาตรการระยะสั้นและระยะยาวให้เชื่อมโยง ทั้งการผลิต การตลาด และการแปรรูป อย่างครบวงจร โดยครอบคลุมการขึ้นทะเบียนเกษตรกร การพัฒนาการผลิต การพัฒนาระบบตลาด การแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า การควบคุมคุณภาพและมาตรฐาน การวิจัยพัฒนา และเพิ่มการใช้ข้าวในประเทศ รวมทั้งแนวทางการเจรจาของไทยเกี่ยวกับข้าวระหว่างประเทศต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ๑.๒.๒ กำหนดและเสนอมาตรการเพื่อดูแลให้เกษตรกรมีรายได้ที่เหมาะสมโดยเน้นกลไกตลาด เสนอแผนปฏิบัติการ รวมทั้งงบประมาณที่ต้องใช้ในการดูแลระดับราคาข้าว เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องและคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบและอนุมัติตามขั้นตอน ๑.๒.๓ ติดตามและกำกับดูแลการปฏิบัติตามนโยบายและยุทธศาสตร์ มาตรการ และแผนปฏิบัติการตามที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ๑.๒.๔ ติดตามและตรวจสอบการดำเนินโครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ผ่านมาของรัฐบาล ๑.๒.๕ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ คณะทำงาน และคณะที่ปรึกษา เพื่อดำเนินการศึกษา วิเคราะห์ และเสนอแนะแนวทางในการบริหารจัดการข้าวต่อคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว ๑.๒.๖ เชิญบุคคลที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงหรือขอเอกสารหลักฐาน โดยให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของทางราชการให้ความร่วมมือและสนับสนุนการดำเนินการของคณะกรรมการ ๑.๒.๗ ดำเนินการอื่นตามที่นายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย ๒. ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรับไปดำเนินการจัดทำเป็นคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์นำเรื่องเกี่ยวกับคณะอนุกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งไว้เสนอคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวเพื่อให้สัตยาบันต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||
1796 | ร่างแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยโครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าระหว่างลาว ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ | พน | 23/09/2557 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยโครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าระหว่างลาว ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ (Draft Joint Statement of The Lao PDR, Thailand, Malaysia and Singapore Power Integration Project : LTMS PIP) โดยสาระสำคัญของร่างแถลงการณ์ร่วมฯ เป็นการศึกษาความเป็นไปได้ในการซื้อขายไฟฟ้าข้ามแดนระหว่าง ๔ ประเทศ โดยมีการดำเนินงานหลัก คือ การจัดตั้งคณะทำงานโครงการนำร่องสำหรับการศึกษาในเรื่องการซื้อขายไฟฟ้าข้ามแดนระหว่างสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว-ราชอาณาจักรไทย-มาเลเซีย สาธารณรัฐสิงคโปร์ (Lao PDR, Thailand, Malaysia, Singapore Power Integration Project Working Group : LTMS PIP Working Group) เพื่อศึกษาถึงศักยภาพและพิจารณาความเป็นไปได้ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวถึงการซื้อขายไฟฟ้าไปยังสาธารณรัฐสิงคโปร์ผ่านโครงข่ายที่มีอยู่เดิม ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน) เป็นผู้ให้การรับรองในร่างแถลงการณ์ร่วมฯ นี้ ร่วมกับรัฐมนตรีพลังงานของกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนได้ ๑.๓ เห็นชอบให้กระทรวงพลังงานสามารถพิจารณาปรับปรุงถ้อยคำในร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญได้ตามความเหมาะสมก่อนที่จะมีการรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ดังกล่าวในที่ประชุมได้ ๒. ให้กระทรวงพลังงานศึกษาลู่ทางและผลักดันให้มีการดำเนินโครงการร่วมลงทุนด้านพลังงานกับประเทศเพื่อนบ้านในพื้นที่ฝั่งไทย เพื่อให้เกิดความสมดุลเป็นธรรม รวมทั้งเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศด้วย |
|||||||||||||||
1797 | กรอบและงบประมาณของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2558 | นร11 | 23/09/2557 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบประมาณการงบทำการประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิประมาณ ๘๓,๒๖๙ ล้านบาท โดยสามารถจัดหาเงินสดเพื่อใช้ลงทุนได้ประมาณ ๒๕๓,๒๕๕ ล้านบาท และรับทราบประมาณการแนวโน้มการดำเนินงานช่วงปี ๒๕๕๙-๒๕๖๑ ของรัฐวิสาหกิจที่คาดว่าผลประกอบการจะมีกำไรสุทธิ รวม ๓๐๑,๕๘๖ ล้านบาท หรือเฉลี่ยประมาณปีละ ๑๐๐,๕๒๙ ล้านบาท และการเบิกจ่ายลงทุน รวม ๑,๙๖๘,๒๐๕ ล้านบาท หรือเฉลี่ยประมาณปีละ ๖๕๖,๐๖๘ ล้านบาท ๒. เห็นชอบกรอบและงบประมาณของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ วงเงินดำเนินการ จำนวน ๑,๓๙๗,๔๑๒ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๖๕๗,๙๐๑ ล้านบาท ประกอบด้วย ๒.๑ กรอบการลงทุนสำหรับงานตามภารกิจปกติและโครงการต่อเนื่องที่ได้รับอนุมัติให้ดำเนินการแล้ว วงเงินดำเนินการ จำนวน ๑,๐๙๗,๔๑๒ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๕๙๗,๙๐๑ ล้านบาท ๒.๒ กรอบการลงทุนสำหรับการเพิ่มเติมระหว่างปี วงเงินดำเนินการ จำนวน ๓๐๐,๐๐๐ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๖๐,๐๐๐ ล้านบาท สำหรับรองรับโครงการลงทุนที่คณะรัฐมนตรีจะมีมติอนุมัติเพิ่มเติมระหว่างปี และงบลงทุนปกติที่อาจต้องปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมตามความจำเป็นระหว่างปี เพื่อให้รัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการได้ทันทีภายในปีงบประมาณ สำหรับโครงการที่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีและการลงทุนที่ใช้เงินงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้ดำเนินการได้เมื่อได้รับอนุมัติตามขั้นตอนแล้ว ทั้งนี้ กำหนดเป้าหมายให้รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๕ ของกรอบวงเงินอนุมัติเบิกจ่ายลงทุน ๓. มอบหมายให้คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้พิจารณาอนุมัติการเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมงบลงทุนระหว่างปี ในส่วนของงบลงทุนเพื่อการดำเนินงานปกติและโครงการต่อเนื่องที่การเปลี่ยนแปลงไม่มีผลกระทบต่อสาระสำคัญและกรอบวงเงินโครงการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้แล้วแทนคณะรัฐมนตรี เพื่อความคล่องตัวในการบริหารจัดการ ๔. เห็นชอบให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติปรับวงเงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ที่ใช้แหล่งเงินดำเนินงานจากเงินงบประมาณให้สอดคล้องกับผลการจัดสรรงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ และมติคณะรัฐมนตรีที่อนุมัติการลงทุนเพิ่มเติมระหว่างปีของรัฐวิสาหกิจ ๕. ให้รัฐวิสาหกิจรายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานและการเบิกจ่ายลงทุนประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทราบภายในทุกวันที่ ๕ ของเดือนอย่างเคร่งครัด และให้กระทรวงเจ้าสังกัดรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายระดับกระทรวงและระดับองค์กรตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอไปพิจารณาดำเนินการ รวมทั้งให้รายงานผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะและรายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการลงทุนทุกไตรมาส ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการติดตามประเมินผลการดำเนินงานและการลงทุนของรัฐวิสาหกิจได้อย่างต่อเนื่อง ๖. ให้รัฐวิสาหกิจให้ความสำคัญและสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา โดยในเบื้องต้นให้พิจารณานำเงินเหลือจ่ายปี ๒๕๕๗ มาใช้สนับสนุนการดำเนินการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาตามนโยบายรัฐบาลของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๗. ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๗ ให้ทุกส่วนราชการเตรียมความพร้อมเพื่อสามารถเริ่มเบิกจ่ายงบประมาณได้ในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ ๒๕๕๘ นั้น ให้รัฐวิสาหกิจจัดทำแผนปฏิบัติการ (Action plan) ระยะ ๑ ปี ของโครงการในความรับผิดชอบเสนอส่วนราชการต้นสังกัดและรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับการบริหารราชการพิจารณา โดยในระยะ ๓ เดือนแรกให้เร่งเบิกจ่ายงบประมาณสำหรับโครงการขนาดเล็กที่สามารถเริ่มดำเนินการได้ทันที ๘. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเจ้าสังกัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันดำเนินการจัดทำแผนฟื้นฟูรัฐวิสาหกิจที่ประสบปัญหาต่าง ๆ อย่างเร่งด่วน โดยให้นำข้อสังเกตของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในเรื่องการปรับบทบาทการเป็นรัฐวิสาหกิจให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ข้อเท็จจริง และปัจจัยแวดล้อมในปัจจุบัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||
1798 | การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและการแก้ไขปัญหาอุทกภัย | พณ | 16/09/2557 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในฐานะประธานกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำรายงาน ดังนี้ ๑.๑ คณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำได้ดำเนินการจัดทำแผนการบริหารจัดการน้ำ (Roadmap) ของประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำในทุกมิติครอบคลุมถึงปัญหาน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค การดูแลคุณภาพน้ำ รวมทั้งปัญหาภัยแล้งและอุทกภัย โดยได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นรวม ๕ คณะ เพื่อปฏิบัติหน้าที่ในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การจัดทำแผนบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ต่าง ๆ จัดเตรียมข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจ จัดตั้งองค์กรและออกกฎระเบียบ และการประชาสัมพันธ์ ๑.๒ Roadmap แบ่งออกเป็น ๓ ระยะ ได้แก่ ระยะที่ ๑ การจัดทำร่างโครงการต่าง ๆ ระยะที่ ๒ การจัดทำรายละเอียดของโครงการ และระยะที่ ๓ การจัดทำแผนบริหารจัดการน้ำฉบับสมบูรณ์และงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินการตามแผน ทั้งนี้ ปัจจุบันอยู่ในขั้นการดำเนินการระยะที่ ๒ ซึ่งกำหนดจะแล้วเสร็จในปลายเดือนกันยายนนี้ ส่วนการดำเนินการระยะที่ ๓ มีกำหนดแล้วเสร็จในปลายเดือนตุลาคม ๒๕๕๗ ๑.๓ ในการจัดทำ Roadmap ทั้ง ๓ ระยะดังกล่าวได้มีการบูรณาการงบประมาณและการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๗ หน่วยงาน ได้แก่ กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมเจ้าท่า กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และกองทัพบก โดยในระยะที่ ๑ เป็นการดำเนินการเร่งด่วนโดยใช้งบประมาณเหลือจ่ายในปีงบประมาณ ๒๕๕๗ จำนวน ๑๗,๐๐๐ ล้านบาท และในปีงบประมาณ ๒๕๕๘ จะใช้งบประมาณจำนวนประมาณ ๗๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๔ สำหรับปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นในช่วงนี้เกิดจากการที่มีฝนตกอย่างกระจุกตัวในบางพื้นที่ แต่โดยที่สภาวะฝนตกดังกล่าวมักเกิดในพื้นที่หลังเขื่อนต่าง ๆ ทำให้สภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางมีปริมาตรน้ำในอ่างเป็นจำนวนน้อยเทียบกับปีที่ผ่านมา และคาดหมายได้ว่าในระยะต่อไปอาจจะเกิดภาวะขาดแคลนน้ำและปัญหาภัยแล้งขึ้นได้ในบางพื้นที่อันเนื่องจากการมีน้ำในแหล่งกักเก็บน้ำในปริมาณน้อยดังกล่าว ๒. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการดังต่อไปนี้ ๒.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการให้ความช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรและประชาชนในพื้นที่ที่ประสบภัยพิบัติให้ทั่วถึงและเป็นไปตามระเบียบหลักเกณฑ์ของทางราชการ โดยให้ดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายใน ๓ เดือน ๒.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการจัดทำแผนการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับปัญหาภัยแล้งที่คาดว่าจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้พิจารณาเตรียมการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน เช่น การจัดทำฝนเทียม การขุดลอกคูคลอง หนองบึง แหล่งน้ำธรรมชาติ คลองระบายน้ำ การจัดทำพื้นที่แก้มลิงเพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ การบริหารจัดการน้ำสำหรับการอุปโภคบริโภค การบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรม (Zoning) และการส่งเสริมการปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อย เป็นต้น ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดดำเนินการเกี่ยวกับการขุดลอกแม่น้ำสายหลักต่าง ๆ และให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) เร่งดำเนินการเกี่ยวกับปัญหาถนนขวางทางระบายน้ำ ตามนัยมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๒.๓ ในการดำเนินโครงการเกี่ยวกับการขุดลอกคูคลอง หนองบึง แหล่งน้ำธรรมชาติ รวมถึงการขุดบ่อบาดาล ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการพิจารณาใช้แรงงานจากประชาชนในพื้นที่เพื่อสร้างรายได้แก่ประชาชนในพื้นที่นั้น ๆ โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ๒.๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการดำเนินงานเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความจำเป็นในการกักเก็บ การใช้น้ำ การส่งเสริมการเพาะปลูก และการปรับเปลี่ยนพันธุ์พืชให้เหมาะสมกับพื้นที่ด้วย
|
|||||||||||||||
1799 | ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ | สลธ.คสช. | 02/09/2557 | ||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. เร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ๑.๑ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗ และวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๗ ให้ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยกระทรวงการคลัง ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาทบทวนมาตรการสร้างแรงจูงใจทั้งมาตรการทางภาษีและมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (Non-tax) เพื่อจูงใจให้ภาคเอกชนทั้งจากในและต่างประเทศทำการลงทุนและส่งเสริมให้เกิดการจัดตั้งสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคหรือสำนักงานใหญ่ในประเทศไทย (Regional Operation Headquarters : ROH) เพื่อให้กรุงเทพมหานครเป็นศูนย์กลางด้านการค้า การเงิน และการลงทุนของประชาคมอาเซียน นั้น ให้กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมตามมติดังกล่าวโดยเร็ว ๑.๒ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๗ ให้คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเร่งดำเนินการผลักดันโครงการต่าง ๆ โดยคำนึงถึงผลตอบแทนที่ประเทศจะได้รับเป็นสำคัญ เช่น การจ้างงานในประเทศ การใช้วัตถุดิบภายในประเทศ สนับสนุนให้เกิดวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของคนไทย ส่งเสริมการประหยัดพลังงานและไม่ก่อให้เกิดมลพิษ และมีการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีให้กับคนไทย นั้น ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเร่งดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๕๘ โดยเน้นการส่งเสริมนักลงทุนต่างชาติที่มีแผนการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีให้กับคนไทยเป็นลำดับแรก ๑.๓ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๗ วันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๗ และวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๗ ให้ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และฝ่ายความมั่นคง โดยกระทรวงมหาดไทยส่งเสริมการปลูกพืชทดแทนตามแผนการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรม (Zoning) ของพืชเกษตร และเร่งดำเนินโครงการต้นแบบเพื่อสร้างความรู้ให้แก่เกษตรกรเกี่ยวกับการปลูกพืชทดแทน พืชหมุนเวียน และเกษตรผสมผสาน โดยนำองค์ความรู้จากโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ศูนย์การเรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่ และปราชญ์ชาวบ้านมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรม นั้น ในการดำเนินโครงการต้นแบบศูนย์การเรียนรู้เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการปลูกพืชของเกษตรกรจะต้องขยายให้ครอบคลุมพื้นที่เกษตรกรรมทั่วประเทศ จึงมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์คำนึงถึงความสอดคล้องกับแนวทางการบริหารจัดการน้ำ ระบบการขนส่ง และการเชื่อมโยงกับตลาด รวมทั้งระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ ในพื้นที่ด้วย ๑.๔ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๗ และวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๗ ให้ฝ่ายสังคมจิตวิทยา โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณากำหนดรูปแบบการประกันภัยให้แก่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติผ่านกองทุนช่วยเหลือเยียวยานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เพื่อให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้รับความคุ้มครองในทุกกรณี โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๗ นั้น เพื่อให้การดำเนินการในเรื่องดังกล่าวแล้วเสร็จตามระยะเวลาที่กำหนด จึงมอบหมายให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเร่งประสานงานกับกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำระเบียบรองรับการดำเนินการของกองทุนฯ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ๑.๕ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๗ [เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๗] ให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำพิจารณาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการนำเทคนิคการฝังท่อลงไปในท้องน้ำเพื่อให้น้ำจากแหล่งน้ำระหว่างประเทศซึมไหลไปสู่แหล่งน้ำในประเทศที่มีระดับต่ำกว่าเพื่อนำน้ำไปใช้ประโยชน์ได้ เช่น กรณีแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาละวิน นั้น ให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) ศึกษาวิธีการใช้เทคนิคดังกล่าวจากประเทศที่ประสบความสำเร็จในการใช้เทคนิคนี้ โดยให้ส่งบุคลากรไปศึกษาข้อมูลเพื่อนำมาแก้ไขปัญหาน้ำแล้งในแหล่งน้ำธรรมชาติ โดยให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๕๘ ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ ให้ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาหาแนวทางการพัฒนาบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าเพื่อการส่งออก เช่น ผลไม้ กล้วยไม้ ให้สามารถรักษาคุณภาพ ความสดใหม่ให้คงอยู่ได้เป็นระยะเวลานาน ซึ่งจะเป็นการเพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้าส่งออกของไทยด้วย ๒.๒ ให้ฝ่ายความมั่นคง โดยกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง) พิจารณากำหนดช่องทางพิเศษในการตรวจลงตราสำหรับผู้ที่เดินทางเข้ามาร่วมประชุม/สัมมนานานาชาติในประเทศไทย เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกและส่งเสริมการจัดประชุม/สัมมนานานาชาติที่จัดขึ้นในประเทศไทย ทั้งนี้ ให้ประสานสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) เกี่ยวกับกำหนดการประชุม/สัมมนานานาชาติเพื่อนำไปประกอบการดำเนินการในเรื่องนี้ด้วย ๒.๓ จากการที่มีผู้ประกอบการก่อสร้างที่รับจ้างดำเนินโครงการต่าง ๆ ของหน่วยงานภาครัฐ และไม่สามารถดำเนินการได้ตามกำหนดในสัญญาจนละทิ้งงาน ส่งผลให้หน่วยงานภาครัฐได้รับผลกระทบนั้น ให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐประสานงานกับทุกหน่วยงานและทุกจังหวัดเพื่อรวบรวมรายชื่อผู้ประกอบการเหล่านี้และนำมาจัดทำบัญชีรายชื่อผู้ทิ้งงานแจ้งให้ทุกหน่วยงานนำไปใช้ประกอบการพิจารณาในการว่าจ้างต่อไป ๒.๔ ตามที่ได้มีการปรับลดราคาน้ำมันและก๊าซตามมาตรการเร่งด่วนในการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันและก๊าซ นั้น ให้ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยกระทรวงพาณิชย์กำกับดูแลระดับราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคให้มีความเหมาะสม และสอดคล้องกับสถานการณ์ราคาน้ำมันและก๊าซในปัจจุบันด้วย ๓. ด้านกฎหมาย ในการเสนอร่างกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาเสนอร่างกฎหมายที่ยังไม่เคยบัญญัติไว้และมีลักษณะเป็นสากล เช่น กฎหมายที่มีวัตถุประสงค์มุ่งแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม และปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน เป็นต้น ๔. ด้านสังคม ให้ฝ่ายสังคมจิตวิทยา โดยกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดตั้งสถาบันการศึกษาที่มีการสอนหลักสูตรเฉพาะทางที่สอดคล้องกับแนวทางการผลิตของภาคเศรษฐกิจและการพัฒนาของประเทศในอนาคต รวมทั้งสอดคล้องกับความต้องการในตลาดแรงงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อให้ผู้ที่จบการศึกษาสามารถมีงานทำได้ทันที ๕. ด้านอื่น ๆ ๕.๑ ให้ฝ่ายกิจการพิเศษ โดยสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเร่งสรุปผลการดำเนินการของศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติใช้เป็นศูนย์ขจัดปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ซึ่งประชาชนได้ส่งข้อร้องเรียนต่าง ๆ กว่า ๕๘,๐๐๐ ราย นั้น ให้จัดกลุ่มประเภทของข้อร้องเรียนและจำนวนข้อร้องเรียนที่อยู่ระหว่างการดำเนินการหรือดำเนินการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว เพื่อเสนอหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบต่อไป และให้ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์เชื่อมโยงการทำงานกับศูนย์ดำรงธรรมทั่วประเทศเพื่อให้การดำเนินการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเป็นไปอย่างครบวงจร และสามารถแก้ไขปัญหาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ๕.๒ ให้ทุกฝ่ายจัดให้มีการประชุมชี้แจงกลุ่มย่อยเพื่อเป็นเวทีให้ประชาชน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และทุกภาคส่วนได้รับทราบข้อเท็จจริงในการดำเนินการในเรื่องสำคัญต่าง ๆ ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เช่น การบริหารจัดการพลังงาน การแก้ไขปัญหาขยะ โดยดำเนินการทุกเดือนเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่ประชาชน รวมทั้งเป็นการรับฟังความคิดเห็นจากนักวิชาการ ภาคเอกชน ภาคประชาชนไปพร้อมกันด้วย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการนำข้อคิดเห็นเหล่านี้มาพิจารณาประกอบการดำเนินการในระยะต่อไป อันจะทำให้การขับเคลื่อนประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ๕.๓ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๗ ให้ฝ่ายความมั่นคง โดยกระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) เร่งดูแลให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภาวะอุทกภัย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนโดยเร็วนั้น โดยที่ปัจจุบันแต่ละพื้นที่ในภูมิภาคของไทยยังประสบปัญหาอุทกภัยอันเนื่องมาจากลมมรสุม โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งส่งผลให้เกิดน้ำท่วมอย่างฉับพลัน หรือน้ำล้นตลิ่ง จึงมีข้อสั่งการ ดังนี้ ๕.๓.๑ ให้ฝ่ายความมั่นคง โดยกระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบโดยเร็ว และให้ประสานข้อมูลสภาพอากาศกับกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด รวมทั้งแจ้งเตือนภัยผ่านทุกช่องทางการสื่อสารให้ประชาชนผู้อยู่ในพื้นที่เสี่ยงทราบเพื่อจะได้เตรียมความพร้อมได้โดยเร็ว ๕.๓.๒ ให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำพิจารณาหามาตรการแก้ไขปัญหาน้ำล้นตลิ่งโดยเฉพาะในบริเวณลุ่มแม่น้ำยม
|
|||||||||||||||
1800 | มาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | กค | 02/09/2557 | ||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. เห็นชอบมาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ และให้ทุกหน่วยงานถือปฏิบัติในการเร่งรัดการดำเนินงานให้แล้วเสร็จตามวัตถุประสงค์และเบิกจ่ายเงินได้ตามกรอบระยะเวลาและแผนที่กำหนดไว้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การเร่งรัดการก่อหนี้และการเบิกจ่ายเงิน ๑.๑.๑ ให้เร่งรัดการก่อหนี้ให้ได้ภายในวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๑.๑.๒ ให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดการฝึกอบรม ประชุมสัมมนา และเบิกจ่ายงบอบรมและประชุมสัมมนาในประเทศให้ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๕๐ ของวงเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรรภายในไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ๑.๑.๓ ให้หน่วยงานที่มีเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีเร่งรัดการเบิกจ่าย เงินกันไว้เบิกเหลื่อมปี โดยเฉพาะในส่วนของรายจ่ายประจำที่ก่อหนี้ผูกพันแล้ว ๑.๒ การเตรียมความพร้อมในการจัดหาพัสดุ ด้วยขณะนี้คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ อยู่ระหว่างการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ดังนั้น ให้หน่วยงานที่จะจัดหาพัสดุเตรียมการจัดซื้อจัดจ้างในขั้นตอนที่เป็นเรื่องภายในของหน่วยงานให้พร้อมไว้ก่อน เช่น การกำหนดรายละเอียดหรือคุณลักษณะเฉพาะ (Specification) คุณสมบัติผู้เสนอราคา เงื่อนไขในการจัดซื้อจัดจ้าง รูปแบบและเนื้อหาของสัญญาที่จะลงนาม เป็นต้น เพื่อให้สามารถก่อหนี้ได้ตามระยะเวลาที่กำหนด ๑.๓ การติดตามเร่งรัดการดำเนินงาน ๑.๓.๑ ให้หน่วยงานรายงานผลการก่อหนี้ให้กระทรวงการคลังทราบภายในวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๑.๓.๒ ให้หัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และผู้ว่าราชการจังหวัดติดตามและกำกับดูแลหน่วยงานในสังกัดให้ปฏิบัติตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินโดยเคร่งครัด ๑.๓.๓ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดติดตามเร่งรัดการดำเนินงานและการเบิกจ่ายงบจังหวัดและกลุ่มจังหวัดในลักษณะเดียวกับข้อ ๑.๑ และ ๑.๒ โดยมอบหมายให้คลังจังหวัดทำหน้าที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการหรือคณะทำงานในการเร่งรัดการใช้จ่ายเงินงบประมาณในภาพรวมของจังหวัดทั้งมิติส่วนราชการ (Function) และมิติพื้นที่ (Area) ๑.๓.๔ ให้กรมบัญชีกลางรายงานผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นรายไตรมาส ๒. คณะรักษาความสงบแห่งชาติมีความเห็นเพิ่มเติม ดังนี้ ๒.๑ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยให้เร่งรัดการดำเนินโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐเพื่อก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้เพื่อให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนไปในทุก ๆ ไตรมาส ทั้งนี้ ให้จัดลำดับความสำคัญของแผนงาน/โครงการ หากแผนงาน/โครงการใดสามารถดำเนินการได้ทันที ก็ให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสแรก ส่วนโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เวลาในการดำเนินงาน ก็ให้เตรียมการดำเนินงานคู่ขนานกันไปในเวลาเดียวกัน เพื่อให้สามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้ทันภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ทั้งนี้ หากส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐไม่สามารถดำเนินการเบิกจ่ายงบประมาณได้ตามแผนที่กำหนดไว้จะถือเป็นเหตุหนึ่งในการพิจารณาปรับลดงบประมาณของหน่วยงานในปีงบประมาณต่อไป ๒.๒ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐเร่งรัดการก่อหนี้ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ ยกเว้นกรณีที่ต้องมีการจัดซื้อจัดหาพัสดุเพื่อใช้ในราชการลับ พัสดุที่จำเป็นต้องซื้อโดยตรงจากต่างประเทศหรือดำเนินการโดยผ่านองค์การระหว่างประเทศ พัสดุที่โดยลักษณะของการใช้งานหรือมีข้อจำกัดทางเทคนิคที่จำเป็นต้องระบุยี่ห้อเป็นการเฉพาะ ๒.๓ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐเร่งรัดการจัดฝึกอบรมประชุมสัมมนา และเบิกจ่ายงบอบรมและประชุมสัมมนาในประเทศโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้หน่วยงานต่าง ๆ พิจารณาการให้ประชาชนในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมและรับฟังความคิดเห็นในการจัดฝึกอบรมประชุมสัมมนาด้วย ๒.๔ ในกรณีส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐมีปัญหาไม่สามารถดำเนินการตามแผนงาน/โครงการที่เสนอขอตั้งงบประมาณไว้ได้ และมีความประสงค์จะขอโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐจัดทำคำขอไปยังสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ การโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณดังกล่าวจะต้องอยู่ในหมวดหมู่หรือรายการเดียวกัน และห้ามโอนเปลี่ยนแปลงแผนงาน/โครงการข้ามวัตถุประสงค์ของแผนงาน/โครงการเดิม |
.....