ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 84 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 1661 - 1680 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1661 | การจัดทำหนังสือแลกเปลี่ยนโครงการ Clean Air for Smaller Cities in the ASEAN Region ระยะที่ 2 | ทส | 26/05/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนโครงการ Clean Air for Smaller Cities in the ASEAN Region (CASC) ระยะที่ ๒ และร่างความตกลงว่าด้วยการดำเนินโครงการ (Implementation Agreement) โดยร่างหนังสือแลกเปลี่ยนโครงการฯ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตจำนงของสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีและอาเซียนที่จะร่วมดำเนินโครงการ CASC ระยะที่ ๒ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมศักยภาพเมืองขนาดเล็กและกลางในภูมิภาคอาเซียนในการพัฒนาและดำเนินการตามแผนอากาศสะอาดเพื่อนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และสอดคล้องกับแผนงานอาเซียนเพื่อให้เมืองมีสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน สำหรับร่างความตกลงสำหรับการดำเนินโครงการฯ ประกอบด้วยกิจกรรมโครงการสนับสนุนการปรับปรุงนโยบาย กฎ ระเบียบ และมาตรฐานเพื่อคุณภาพอากาศที่ดีขึ้น โดยมีการจัดทำแผนอากาศสะอาดซึ่งมีการนำตัวอย่างมาตรการอากาศสะอาดไปประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสม รวมถึงการนำหลักสูตรการฝึกอบรมที่พัฒนาโดยโครงการในหัวข้อ “การจัดการคุณภาพอากาศสำหรับเมืองขนาดเล็ก (Train-for-Clean-Air)” มาจัดฝึกอบรมและเผยแพร่อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีระยะเวลาดำเนินโครงการระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๘ ๑.๒ เห็นชอบให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างเอกสารทั้งสองฉบับดังกล่าว ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสารทั้งสองฉบับที่มิใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยไม่ต้องนำกลับเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาใหม่ ๑.๔ ให้กระทรวงการต่างประเทศมีหนังสือแจ้งความเห็นของรัฐบาลไทยต่อร่างเอกสารทั้งสองฉบับดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการอาเซียนทราบต่อไป ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานอัยการสูงสุด ที่เห็นควรพิจารณาขยายระยะเวลาดำเนินการหรือเสนอขยายเวลาให้เหมาะสมเพื่อให้การดำเนินโครงการบรรลุตามวัตถุประสงค์ของโครงการและตัวชี้วัด และควรมีกิจกรรมที่สอดคล้องกับการเสริมสร้างขีดความสามารถในการดำเนินงานของเมืองที่เข้าร่วมโครงการ รวมทั้งขยายผลไปยังเมืองที่มิได้เข้าร่วมโครงการ เพื่อนำไปสู่การประเมินตัวชี้วัดสำหรับวัดระดับความสำเร็จของโครงการภายหลังเสร็จสิ้นการดำเนินงาน นอกจากนี้ ควรขยายระยะเวลาของโครงการออกไปเพื่อประโยชน์แก่ฝ่ายไทยและประเทศอาเซียนอื่น ๆ ได้มากขึ้น และหากเห็นว่าควรยุติการดำเนินโครงการตามกำหนดเวลาภายในสิ้นปี ๒๕๕๘ ก็ย่อมกระทำได้ตามกรอบเวลาตามความตกลงดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1662 | ร่างแผนยุทธศาสตร์การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2558 - 2562 | กค | 26/05/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่ประธานกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างแผนยุทธศาสตร์การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๒ ประกอบด้วย กิจการโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะ จำนวน ๒๐ กิจการ แบ่งออกเป็น ๒ กลุ่ม คือ กลุ่มที่ ๑ กิจการที่สมควรให้เอกชนมีส่วนร่วมในการลงทุน (Opt-out) จำนวน ๖ กิจการ และกลุ่มที่ ๒ กิจการที่รัฐส่งเสริมให้เอกชนมีส่วนร่วมในการลงทุน (Opt-in) จำนวน ๑๔ กิจการ โดยมีประมาณมูลค่าการลงทุนในกิจการตามแผนยุทธศาสตร์ฯ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๒ มีมูลค่ารวมประมาณ ๑.๔๑ ล้านล้านบาท เพื่อคณะกรรมการนโยบายฯ จะได้ดำเนินการประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๑.๒ รับทราบการจัดทำรายการโครงการ (Project Pipeline) ในกิจการภายใต้ร่างแผนยุทธศาสตร์ฯ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๒ จำนวน ๖๕ โครงการ เพื่อคณะกรรมการนโยบายฯ กำกับดูแลและติดตามให้เป็นไปตามแผนงานโครงการต่อไป ๒. ให้คณะกรรมการนโยบายฯ รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ เกี่ยวกับการเร่งศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการและรูปแบบการให้เอกชนร่วมลงทุน การพัฒนาระบบโครงข่ายในภาพรวมและการให้เอกชนร่วมลงทุนในแต่ละช่วงของการพัฒนา (Phase) ในคราวเดียวกันเพื่อให้การพัฒนาโครงการเป็นไปได้อย่างต่อเนื่อง การดำเนินโครงการจะต้องเป็นไปตามขั้นตอนและระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การสร้างความเข้มแข็งให้กับกิจการขนาดกลางและขนาดย่อมที่อยู่ในห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ของกิจการนั้น ๆ และการเชื่อมโยงกับแผนพัฒนาประเทศในระดับต่าง ๆ การจัดลำดับความสำคัญเร่งด่วนและแยกประเภทโครงการที่ดำเนินการตามขอบเขตและระยะเวลา การสร้างความสามารถทางการแข่งขันในระยะยาวของประเทศโดยมุ่งเน้นให้การพัฒนาและการดำเนินโครงการสามารถสร้างองค์ความรู้ และ/หรือการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศสู่ผู้เกี่ยวข้องในประเทศอย่างเพียงพอ การเปิดโอกาสให้ส่วนราชการต่าง ๆ สามารถเสนอโครงการที่เห็นสมควรให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐเพิ่มเติมได้ตามความเหมาะสม การประชาสัมพันธ์ให้แผนยุทธศาสตร์ฯ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๒ เป็นที่แพร่หลายในสังคมเพื่อดึงดูดให้เอกชนสนใจเข้ามาร่วมลงทุนในกิจการของรัฐมากขึ้น รวมทั้งกำหนดแนวทางการติดตาม กำกับ ดูแลโครงการต่าง ๆ เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไป ๓. ให้คณะกรรมการนโยบายฯ ปรับกรอบระยะเวลาของแผนดังกล่าวให้สอดคล้องกับระยะเวลาของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) และพิจารณาความเป็นไปได้ในการให้เอกชนร่วมลงทุนกับภาครัฐในโครงการเชิงสังคมเพื่อดูแลผู้มีรายได้น้อยด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1663 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 (โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำและริมทะเลทั่วประเทศ) | มท | 26/05/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ แผนงานฟื้นฟู ป้องกัน และจัดการภัยพิบัติ จากเดิม โครงการป้องกันการสูญเสียดินแดนชายฝั่งแม่น้ำชายแดนระหว่างประเทศอันเนื่องมาจากภัยธรรมชาติเพื่อความมั่นคง งบลงทุน รายการเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำโขง บ้านบุ่งฮี หมู่ ๓ (ต่อเนื่องเขื่อนเดิมท้ายน้ำ) ตำบลพระกลางทุ่ง อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ความยาว ๖๐๐ เมตร เปลี่ยนเป็น โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำและริมทะเลทั่วประเทศ งบลงทุน รายการเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำน่าน บ้านวัดจันทร์ตะวันตก หมู่ ๗ หมู่ ๑๐ (ระยะที่ ๓) ตำบลวัดจันทร์ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก ความยาว ๓๙๐ เมตร ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. สำหรับงบประมาณดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ที่ให้ดำเนินโครงการดังกล่าวในวงเงิน ๗๗,๖๒๙,๐๐๐ บาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ จำนวน ๑๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๐ จำนวน ๖๑,๖๒๙,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ ให้ดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน และขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณต่อไป ๓. ในการเสนอขออนุมัติโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำและริมทะเลทั่วประเทศ รวมทั้งโครงการอื่น ๆ ในครั้งต่อไป ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานเจ้าของโครงการตรวจสอบความพร้อมและความซ้ำซ้อนของโครงการให้ละเอียดรอบคอบ ก่อนที่จะเสนอขออนุมัติดำเนินโครงการ เพื่อมิให้เกิดปัญหาความซ้ำซ้อนของโครงการอีก และให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงบประมาณรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณด้านการบริหารจัดการน้ำในระยะต่อไปควรพิจารณาให้มีการใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ เน้นการดำเนินการแบบบูรณาการและผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินงานเป็นสำคัญ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๔. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รับไปเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านในกรณีที่จะมีการก่อสร้างโครงการป้องกันการสูญเสียดินแดนชายฝั่งแม่น้ำชายแดนระหว่างประเทศอันเนื่องมาจากภัยธรรมชาติ เพื่อความมั่นคงในบริเวณพื้นที่ที่ยังมิได้มีการปักปันเขตแดน ๕. ให้กระทรวงมหาดไทยสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนในพื้นที่ที่จะดำเนินโครงการให้มีความเข้าใจชัดเจนเกี่ยวกับโครงการที่จะดำเนินการ ซึ่งรวมถึงประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากการดำเนินโครงการด้วย ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัฐกับประชาชนในพื้นที่ดังกล่าว |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1664 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ โครงการจ้างที่ปรึกษาศึกษาและวิเคราะห์ความเหมาะสมโครงการ และให้คำปรึกษาในการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่ - กาญจนบุรี ของกรมทางหลวง | คค | 26/05/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กรมทางหลวงเปลี่ยนแปลงรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณ จาก โครงการจ้างที่ปรึกษาศึกษาและวิเคราะห์ความเหมาะสมของโครงการ และให้คำปรึกษาในการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี วงเงิน ๓๕ ล้านบาท (เงินกันเหลื่อมปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๓.๑๕ ล้านบาท งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๑๓.๓๖๗ ล้านบาท และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ จำนวน ๑๘.๔๘๓ ล้านบาท) เป็น งานศึกษาวิเคราะห์ความเหมาะสมในการให้เอกชนร่วมลงทุนโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายนครปฐม-ชะอำ วงเงิน ๒๐ ล้านบาท และการศึกษาจัดทำแผนยุทธศาสตร์กรมทางหลวง พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ และแผนการบริหารความเสี่ยงในการบริหารจัดการทางหลวง วงเงิน ๑๕ ล้านบาท ๑.๒ ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๘ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๖๐ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐที่เห็นควรเร่งศึกษาวิเคราะห์ความเหมาะสมในการให้เอกชนร่วมลงทุนโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายนครปฐม-ชะอำ เพื่อให้การดำเนินโครงการดังกล่าวเป็นไปตามกำหนดการดำเนินโครงการและเป็นไปตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1665 | มาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้มีรายได้น้อย (จ่ายเงินชาวนาไร่ละ 1,000 บาท) | กค | 26/05/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับมาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้มีรายได้น้อย (จ่ายเงินชาวนาไร่ละ ๑,๐๐๐ บาท) โดยค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการโครงการตรวจสอบข้อมูลทะเบียนเกษตรกรกับบัญชีเงินฝาก การจัดทำเอกสารและค่าธรรมเนียมการโอนเงินให้แก่เกษตรกร จำนวน ๓,๖๐๒,๖๔๖ ราย โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ นั้น เห็นควรพิจารณาอนุมัติรายละ ๑๒ บาท เป็นเงิน ๔๓,๒๓๑,๗๕๒ บาท เนื่องจาก ธ.ก.ส. มีระบบคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการดำเนินโครงการอยู่แล้ว และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานมีความชำนาญ รวมทั้งการใช้ข้อมูลทะเบียนเกษตรกรจากกรมส่งเสริมการเกษตรนั้น ธ.ก.ส. ได้ตรวจสอบมาอย่างต่อเนื่อง ในการดำเนินโครงการรัฐในช่วงปลายปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี เนื่องจากขณะนี้คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ เพื่อนำเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติแล้ว จึงเห็นสมควรให้กระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. พิจารณาดำเนินการเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ในขั้นของการแปรญัตติตามปฏิทินงบประมาณก่อน หรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ภายหลังพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ มีผลใช้บังคับแล้ว เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามมาตรการดังกล่าว ๒. ให้ ธ.ก.ส. ตรวจสอบเอกสารและหลักฐานต่าง ๆ ของเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเพื่อขอรับสิทธิ์ตามมาตรการดังกล่าวในส่วนที่เหลือให้ถูกต้อง ครบถ้วนต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1666 | พิธีวางศิลาฤกษ์การก่อสร้างศูนย์บำบัดและฟื้นฟูผู้ป่วยยาเสพติดเมืองโพนโฮง ภายใต้โครงการพัฒนาโรงพยาบาลเมืองโพนโฮง แขวงเวียงจันทน์ | กต | 26/05/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการเดินทางไปเป็นประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์การก่อสร้างศูนย์บำบัดและฟื้นฟูผู้ป่วยยาเสพติดเมืองโพนโฮง แขวงเวียงจันทน์ และการดำเนินงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนากับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ของรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ณ แขวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว สรุปได้ว่า นอกจากโครงการพัฒนาโรงพยาบาลเมืองโพนโฮง แขวงเวียงจันทน์แล้ว รัฐบาลไทย โดยกระทรวงการต่างประเทศ (กรมความร่วมมือระหว่างประเทศ) ได้ให้ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาแก่ สปป.ลาว อีกหลายโครงการ โดยเฉพาะในสาขาการพัฒนาการเกษตร การศึกษาและสาธารณสุข ซึ่งมีมูลค่ากว่า ๑๒๐ ล้านบาทต่อปี รวมทั้งจะให้ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาแก่ สปป.ลาว ในการพัฒนาโรงพยาบาล จำนวน ๓ แห่ง คือ โรงพยาบาลเมืองโพนโฮง แขวงเวียงจันทน์ (มูลค่า ๕๐ ล้านบาท) โรงพยาบาลแขวงบ่อแก้ว (มูลค่า ๔๐ ล้านบาท) และโรงพยาบาลเมืองปากซอง แขวงจำปาสัก (มูลค่า ๒๕ ล้านบาท) ๒. มอบหมายส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการติดตามผลการเดินทางฯ และผลการดำเนินโครงการความร่วมมือเพื่อการพัฒนา โดยเฉพาะด้านสาธารณสุขกับ สปป.ลาว เพื่อผลักดันให้นำไปสู่การปฏิบัติที่เกิดผลและเป็นรูปธรรมนำมาซึ่งผลประโยชน์ที่ชัดเจนทั้งต่อประเทศและอาเซียน รวมทั้งอาเซียนและภูมิภาคโดยรวมต่อไป โดย ๒.๑ เชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข สปป.ลาว เยือนไทยเพื่อโอกาสในการหารือถึงความร่วมมือด้านสาธารณสุขในกรอบทวิภาคีกับ สปป.ลาว และการยกระดับ/บูรณาการความร่วมมือ/ผลักดันประโยชน์ของไทยด้านสาธารณสุขให้เป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น ๒.๒ ดำเนินโครงการพัฒนาโรงพยาบาลเมืองโพนโฮง แขวงเวียงจันทน์ โครงการพัฒนาโรงพยาบาลแขวงบ่อแก้ว และโครงการพัฒนาโรงพยาบาลเมืองปากซอง แขวงจำปาสัก ตามแผนงานต่อไปจนสิ้นสุดโครงการ และประเมินผล/ติดตามผล ๒.๓ การสนับสนุนการก่อสร้างห้องน้ำและบ่อน้ำสำหรับนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิคแขวงเวียงจันทน์ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1667 | ร่างเอกสารแก้ไขเอกสารเพิ่มเติมว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจ 7 ฝ่าย ว่าด้วยการควบคุมยาเสพติดในอนุภูมิภาค ฉบับที่ 2 เสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบและอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นผู้ลงนามในเอกสารแก้ไขเอกสารเพิ่มเติมฯ ฉบับที่ 2 รวมทั้งขออนุมัติให้มีการแก้ไขในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ หากมีความจำเป็นในภายหน้า | ยธ | 19/05/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างเอกสารแก้ไขเอกสารเพิ่มเติมว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจ ๗ ฝ่าย ว่าด้วยการควบคุมยาเสพติดในอนุภูมิภาค ฉบับที่ ๒ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการยืนยันเจตนารมณ์ของประเทศไทยร่วมกับประเทศภาคีบันทึกความเข้าใจ ๗ ฝ่ายฯ ในการเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนและช่วยเหลือตนเองในการแก้ไขปัญหายาเสพติดในอนุภูมิภาค โดยร่วมกันออกเงินสมทบเพื่อการดำเนินโครงการที่อยู่ภายใต้แผนปฏิบัติการ เพื่อให้ประเทศผู้บริจาคเห็นถึงเจตจำนงอันแน่วแน่ของประเทศภาคีสมาชิกในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยมีการปรับข้อความให้ครอบคลุมกิจกรรมและแผนงาน ภายใต้แผนปฏิบัติการในอนุภูมิภาคเพื่อการควบคุมยาเสพติดมากขึ้น ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นผู้ลงนามในร่างเอกสารแก้ไขเอกสารเพิ่มเติมฯ ฉบับที่ ๒ ในระหว่างการประชุมระดับรัฐมนตรีภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจ ๗ ฝ่ายฯ ในวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ๓. อนุมัติให้กระทรวงยุติธรรม โดยสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแก้ไขปรับปรุงเอกสารแก้ไขเอกสารเพิ่มเติมฯ ฉบับที่ ๒ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย หากมีความจำเป็น โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบอีกครั้ง โดยให้เป็นดุลพินิจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมที่จะพิจารณาดำเนินการภายในกรอบของร่างเอกสารแก้ไขเอกสารเพิ่มเติมฯ ฉบับที่ ๒ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1668 | ขอความเห็นชอบต่อร่างหนังสือแลกเปลี่ยนและร่างความตกลงว่าด้วยการดำเนินโครงการสนับสนุนข้อริเริ่มเพื่อการรวมตัวของอาเซียน (Initiative for ASEAN Integration: IAI) ภายใต้กรอบการเป็นตลาดเดียวของอาเซียนระหว่างอาเซียนกับสมาคมเยอรมันเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศ (Deutsche Gesellschaft fur Internationale Zusammenarbeit: GIZ) | กต | 19/05/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนของฝ่ายอาเซียนและร่างความตกลงว่าด้วยการดำเนินโครงการสนับสนุนข้อริเริ่มเพื่อการรวมตัวของอาเซียน (Initiative for ASEAN Integration : IAI) ภายใต้กรอบการเป็นตลาดเดียวของอาเซียนระหว่างอาเซียนกับสมาคมเยอรมันเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศ (Deutsche Gesellschaft fur Internationale Zusammenarbeit : GIZ) โดยหนังสือแลกเปลี่ยนของฝ่ายอาเซียนมีสาระเป็นการตอบรับข้อเสนอของฝ่ายเยอรมนี โดยแจ้งว่า อาเซียนเห็นชอบกับข้อกำหนดและเงื่อนไขที่ระบุในหนังสือแลกเปลี่ยนของฝ่ายเยอรมนีที่จะให้การสนับสนุนโครงการสนับสนุนข้อริเริ่มเพื่อการรวมตัวของอาเซียน (IAI) ภายใต้กรอบการเป็นตลาดเดียวของอาเซียน เป็นมูลค่ารวม ๖,๐๐๐,๐๐๐ ยูโร โดยให้ GIZ และอาเซียนเป็นผู้ดำเนินโครงการ และให้สำนักเลขาธิการอาเซียนสนับสนุนการดำเนินโครงการในกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม) ส่วนความตกลงว่าด้วยการดำเนินโครงการฯ เป็นความตกลงระหว่าง GIZ กับอาเซียน โดยระบุรายละเอียดของการดำเนินโครงการ อาทิ การสนับสนุนทางการเงิน ผู้เชี่ยวชาญ และบุคลากรที่เกี่ยวข้อง การจัดหาสถานที่ การบริหารจัดการโครงการ การประเมินผล การปรับแก้และบอกเลิกความตกลง รวมทั้งการระงับข้อพิพาทและการตีความ และหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ๒. ให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนของฝ่ายอาเซียนและความตกลงว่าด้วยการดำเนินโครงการฯ รวมทั้งให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งสำนักเลขาธิการอาเซียนผ่านคณะผู้แทนถาวรไทยประจำอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ว่า รัฐบาลไทยให้ความยินยอมแล้ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1669 | โครงการระบบดาวเทียมสำรวจเพื่อการพัฒนา (THEOS-2) | ทก | 19/05/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการดำเนินโครงการระบบดาวเทียมสำรวจเพื่อการพัฒนา (THEOS-2) เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องของการให้บริการภาพถ่ายและข้อมูลภูมิสารสนเทศต่าง ๆ แก่ผู้ใช้งาน โดยมีองค์ประกอบของโครงการฯ ๕ ส่วน ได้แก่ (๑) การจัดดาวเทียมสำรวจและการปรับปรุงระบบสถานีรับสัญญาณและผลิตภาพถ่ายจากดาวเทียมของประเทศ (๒) การพัฒนาระบบผลิตและบริการภูมิสารสนเทศจากภาพถ่ายดาวเทียม (๓) การพัฒนาระบบประยุกต์ใช้ประโยชน์ภูมิสารสนเทศจากภาพถ่ายดาวเทียมของหน่วยปฏิบัติตามภารกิจต่าง ๆ (๔) การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อเชื่อมโยงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและการใช้งานภูมิสารสนเทศ และ (๕) การพัฒนาขีดความสามารถของประเทศด้านเทคโนโลยีอุตสาหกรรมและบริการด้านอวกาศและภูมิสารสนเทศจากการสำรวจจากระยะไกล มีระยะเวลาดำเนินการ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๓) วงเงินโดยรวมประมาณ ๗,๘๐๐ ล้านบาท ๒. รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๘ ที่มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเจรจา เพื่อทำหน้าที่ศึกษาในรายละเอียดและดำเนินการเจรจากับประเทศที่คณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติให้ความเห็นชอบ ในประเด็นทางเทคนิคของเทคโนโลยีดาวเทียม การพัฒนาระบบประยุกต์ การถ่ายทอดเทคโนโลยีและการพัฒนาขีดความสามารถของประเทศ และให้คณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณากรอบและแนวทางการเจรจา วิธีการจัดหาดาวเทียม ระยะเวลา ประโยชน์ที่จะได้รับ รวมถึงหน่วยงานที่จะเป็นผู้รับผิดชอบการดำเนินโครงการระบบดาวเทียมสำรวจเพื่อการพัฒนา (THEOS-2) ทั้งนี้ ก่อนที่จะดำเนินการในขั้นตอนการลงทุนโครงการจะต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบอีกครั้งหนึ่ง ๓. ให้คณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยที่เห็นว่า ดาวเทียมเป็นระบบหนึ่งที่ประกอบไปด้วยระบบย่อยหลากหลายระบบและมีข้อจำกัดพิเศษที่แตกต่างจากระบบอื่น ๆ คือเมื่อส่งขึ้นสู่วงโคจรไปแล้วจะไม่สามารถนำกลับมาซ่อมแซมหรือแก้ไขใหม่ได้อีก (nonrepairable system) ดังนั้น ในการพัฒนาดาวเทียมระบบนั้นจะต้องเป็นระบบที่ robust และ zero-defect มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เมื่อระบบทุกระบบทำงานร่วมกัน นอกจากนี้ แนวทางการพัฒนาพื้นฐานความรู้ในการออกแบบและสร้างดาวเทียม ควรมีแผนการพัฒนาสร้างขนาดดาวเทียมโดยเริ่มจากขนาดเล็ก ตั้งแต่ระดับ 1kg 10kg จนถึง 100kg ส่งเข้าสู่วงโคจรจริงและต้องทำการออกแบบและพัฒนาสร้างด้วยตัวเองภายในประเทศ ๑๐๐% ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1670 | ผลการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ 9 ของแผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย (The Ninth IMT-GT Summit) | นร11 | 19/05/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๙ ของแผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (The Ninth IMT-GT Summit) เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๘ ณ ศูนย์การประชุมนานาชาติลังกาวี เกาะลังกาวี รัฐเกดะห์ ประเทศมาเลเซีย โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนฝ่ายไทยเข้าร่วมการประชุม และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมและเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ) ปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีประจำแผนงาน IMT-GT ของไทย และมอบหมายส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมดังกล่าว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมเห็นชอบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินการแผนงาน IMT-GT ระหว่างปี ๒๕๕๖-๒๕๕๗ ตามที่รัฐมนตรีกระทรวงประสานกิจการเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย (นายซอฟยาน เอ จาลิล) ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้ารัฐมนตรีประจำแผนงาน IMT-GT เสนอความก้าวหน้าที่สำคัญ ได้แก่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการขนส่งที่สำคัญ การพัฒนาเมืองสีเขียว ด้านผลิตภัณฑ์และบริการฮาลาล ด้านการเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตร ด้านการท่องเที่ยว ด้านการค้าการลงทุน และด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ รวมทั้งข้อเสนอการมอบหมายแนวทางการดำเนินงานในอนาคต ๒. ที่ประชุมรับทราบพร้อมทั้งให้ความเห็นและรับทราบความเห็นจากหุ้นส่วนการพัฒนา ต่อประเด็นความก้าวหน้าการขับเคลื่อนแผนงานระยะห้าปีแผนที่ ๒ (IMT-GT Implementation Blueprint 2012-2016) และทิศทางการขับเคลื่อนแผนงานในอนาคต ๓. ที่ประชุมเห็นชอบแถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๙ ของแผนงาน IMT-GT (Joint Statement of the Ninth IMT-GT Summit) โดยมีสาระสำคัญ ได้แก่ การทบทวนความก้าวหน้าและการบูรณาการแผนงาน IMT-GT โดยผู้นำต้องเพิ่มแรงสนับสนุนการขับเคลื่อนแผนงาน IMT-GT ต่อไปในอนาคต ความก้าวหน้าในการขับเคลื่อนแผนระยะห้าปีแผนที่ ๒ (IMT-GT Implementation Blueprint 2012-2016) การเร่งรัดผลักดันการเติบโตอย่างทั่วถึงและลดความเหลื่อมล้ำเพื่อลดช่องว่างจากการพัฒนา ความร่วมมือระหว่างจังหวัด/รัฐและภาคเอกชนในการปรับใช้มาตรการเพื่อเร่งรัดการดำเนินโครงการลำดับความสำคัญสูงให้ทันตามกำหนดตามแผนระยะห้าปีแผนที่ ๒ ตลอดจนการทบทวนยุทธศาสตร์เพื่อให้แผนงาน IMT-GT มีความต่อเนื่องทางยุทธศาสตร์และการดำเนินงานในอนาคต โดยเฉพาะภายหลังการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี ๒๕๕๘ โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของอนุภูมิภาค และรับทราบการทบทวนระยะกลางของโครงการภายใต้แผนระยะห้าปีแผนที่ ๒ ในครึ่งแรก (๒๕๕๕-๒๕๕๗) โดยมอบหมายให้ศูนย์ประสานงานความร่วมมืออนุภูมิภาคแผนงาน IMT-GT (CIMT) ยกระดับความร่วมมือกับจังหวัด/รัฐและสภาธุรกิจ IMT-GT ในการกำหนดทิศทางยุทธศาสตร์และการจัดทำโครงการภายใต้แผนงานในอนาคต |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1671 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 12/05/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) กำกับให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามการดำเนินโครงการสร้างรายได้และพัฒนาการเกษตรแก่ชุมชนเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง (การช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่แล้งซ้ำซากตำบลละ ๑ ล้านบาท) และตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณให้สอดคล้องตามวัตถุประสงค์ของโครงการด้วย ๒. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ๒.๑ โดยที่ปัจจุบันมีการนำคดีขององค์กรหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมหลังวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ไปฟ้องหน่วยงานของรัฐต่อศาลเป็นจำนวนมาก จึงให้ทุกกระทรวงดำเนินการตรวจสอบและดำเนินคดีในคดีที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงาน โดยเฉพาะคดีที่เกิดขึ้นหลังวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ๒.๒ ให้กระทรวงพาณิชย์สร้างความเข้าใจกับประชาชนเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจการค้าปลีกหรือค้าส่ง และสร้างการรับรู้เกี่ยวกับนโยบายหรือมาตรการส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจค้าปลีกค้าส่งรายย่อยแบบดั้งเดิม (โชห่วย) ให้มีศักยภาพให้เข้มแข็งและดำรงอยู่ได้ในสถานการณ์ปัจจุบัน ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมปรับปรุงค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ของอุทยานแห่งชาติ เช่น ค่าผ่านเข้าอุทยาน ค่าที่พักค้างแรม เป็นต้น ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ๓.๒ ให้ทุกหน่วยงานที่มีหน้าที่ออกใบอนุญาต ตรวจสอบ และรับรองมาตรฐานต่าง ๆ เช่น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ กรมสรรพสามิต กรมควบคุมมลพิษ กรมโรงงานอุตสาหกรรม สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม รายงานผลการออกใบอนุญาตและผลการปฏิบัติงานให้นายกรัฐมนตรีทราบทุก ๓ เดือน โดยระบุข้อมูลระยะเวลาที่ใช้ในการออกใบอนุญาต ตรวจสอบ หรือรับรองมาตรฐานแต่ละรายให้ชัดเจน ๓.๓ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งรัดการดำเนินการวางแผนและมาตรการรองรับปัญหากลุ่มผู้ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายและการค้ามนุษย์ทั้งระบบ โดยยึดหลักสิทธิมนุษยชน รวมทั้งจัดหาพื้นที่ควบคุมให้เพียงพอและเหมาะสมต่อการพำนักในระหว่างรอการส่งกลับประเทศต้นทางด้วย ๓.๔ ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงยุติธรรม (สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดขับเคลื่อนการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๘ (เรื่อง แผนยุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๒) รวมทั้งพิจารณาแนวทางหรือมาตรการในการแก้ไขปัญหายาเสพติดให้มีประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ที่เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้นต่อไป ๓.๕ ให้สำนักงบประมาณสร้างการรับรู้แก่ส่วนราชการและประชาชนเพื่อให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการกำหนดราคากลางของทางราชการที่ปัจจุบันมีการกำหนดราคากลางตามพื้นที่ ไม่ได้กำหนดราคากลางเดียวกันสำหรับใช้ทั้งประเทศ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติและมีประสิทธิภาพในการใช้จ่ายงบประมาณ ๓.๖ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (กรมอุตุนิยมวิทยา) และกระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศโดยเฉพาะพายุฤดูร้อนที่ในช่วงนี้เกิดขึ้นในหลายจังหวัด พร้อมทั้งให้มีการเฝ้าระวัง แจ้งเตือน และฟื้นฟูความเสียหายที่เกิดขึ้นกับบ้านเรือนของประชาชนด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1672 | มติคณะกรรมการเตรียมการด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ครั้งที่ 1/2558 | ทก | 12/05/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการเตรียมการด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ โดยที่ประชุมได้รับทราบและพิจารณาประเด็นต่าง ๆ สรุปได้ ดังนี้
๑. รับทราบการแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน ๘ คน เป็นกรรมการในคณะกรรมการเตรียมการด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และรับทราบคำสั่งมอบหมายรองปลัดกระทรวงเทคโนโลยีและการสื่อสาร (นายทรงพร โกมลสุรเดช) เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการในคณะกรรมการฯ รวมทั้งรับทราบสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจดิจิทัล แนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลด้วยยุทธศาสตร์ ๕ ด้าน และ (ร่าง) แผนการดำเนินงานเพื่อจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล ๒. เห็นชอบแผนการดำเนินงานบรอดแบนด์แห่งชาติ ได้แก่ (๑) แต่งตั้งคณะทำงานบรอดแบนด์แห่งชาติ (๒) ให้มีการบูรณาการโครงข่ายภาครัฐเพื่อไม่ให้เกิดการลงทุนซ้ำซ้อนและใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และ (๓) ให้มีหน่วยงานทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับโครงข่ายบรอดแบนด์และสายเคเบิลใยแก้วนำแสงจากหน่วยงานภายใต้กำกับของรัฐและภาคเอกชน ๓. เห็นชอบแนวทางและ (ร่าง) แผนการดำเนินงานศูนย์ข้อมูลในประเทศไทย (Data Center) โดยเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้หน่วยงานภาครัฐระงับการสร้างศูนย์ข้อมูลทุกประเภท ยกเว้นโครงการ/กิจกรรมที่มีการผูกพันตามสัญญาแล้ว ก่อนวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๘ และให้หน่วยงานภาครัฐขอแปลงงบลงทุน (ครุภัณฑ์ ที่ดิน สิ่งก่อสร้าง) เป็นงบดำเนินงานที่เพียงพอต่อการเช่าใช้บริการระบบสำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ก่อนที่การลงทุนของภาคเอกชนจะเกิดขึ้น ๔. รับทราบแผนการดำเนินโครงการลดสำเนากระดาษเพื่อบริการประชาชน (Smart Service) ระยะที่ ๑ โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เข้าร่วมโครงการทำการตรวจสอบความพร้อมของ e-Service ที่หน่วยงานเสนอเข้าร่วมโครงการ แล้วรายงานผลให้ที่ประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบราชการ (อ.ก.พ.ร.) ทราบภายใน ๑ เดือน และรับทราบแผนการดำเนินการตามโครงการบูรณาการข้อมูลงานบริการภาครัฐ (Information Gateway) ๕. เห็นชอบแผนการดำเนินงานการส่งเสริมการค้าผ่านสื่อดิจิทัล โดยมีเป้าหมายส่งเสริมให้ SMEs ปรับเปลี่ยนวิธีทำธุรกรรมแบบออนไลน์เต็มรูปแบบ ๒๐,๐๐๐ ราย ภายในระยะเวลา ๑ ปี ๖. เห็นชอบแนวทางและ (ร่าง) แผนการดำเนินงานการส่งเสริมธุรกิจเกิดใหม่ดิจิทัล (Digital Entrepreneurs) โดยเป้าหมายของการส่งเสริมธุรกิจเกิดใหม่ดิจิทัล คือ ในระยะ ๓ ปี ไทยจะมี Digital Entrepreneurs เกิดใหม่ไม่น้อยกว่า ๓๐๐ ราย ประกอบด้วยคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ด้านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสร้างธุรกิจใหม่ที่ตลาดต้องการรวมกันไม่ต่ำกว่า ๑,๕๐๐ คน ๗. มอบหมายให้มีการหารือเกี่ยวกับการเตรียมการเรื่องการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) ระหว่างกระทรวงศึกษาธิการกับคณะทำงานการเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อปรับ (ร่าง) แผนการดำเนินงาน รวมทั้งให้นำข้อสังเกตของคณะกรรมการเตรียมการด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ไปพิจารณาดำเนินการ และนำ (ร่าง) แผนการดำเนินงานที่ปรับแล้วเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการเตรียมการด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในการประชุมครั้งต่อไป ๘. เห็นชอบให้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) พิจารณาการใช้งานคลื่นความถี่ที่เหมาะสมเพื่อให้การประมูลการให้บริการในระบบ 4G มีประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ มีมาตรฐาน โดยให้ดำเนินการเตรียมการและเปิดประมูลได้ในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ และให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กสทช. และผู้แทนคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (นายทวีศักดิ์ กออนันตกูล) หารือและร่วมกันเจรจาในเรื่องการนำโครงสร้างพื้นฐานที่มีข้อพิพาทอยู่มาใช้ประโยชน์ ๙. เห็นชอบให้มีการแต่งตั้งคณะทำงาน ประกอบด้วย คณะทำงานบรอดแบนด์แห่งชาติ (National Broadband) คณะทำงานศูนย์ข้อมูลในประเทศ (Data Center) คณะทำงานการส่งเสริมการค้าผ่านสื่อดิจิทัล (Digital Commerce) การส่งเสริมธุรกิจเกิดใหม่ดิจิทัล (Digital Entrepreneur) และการส่งเสริมเนื้อหาดิจิทัล (Digital Content) คณะทำงานการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) และคณะทำงานติดตามกฎหมายเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล ๑๐. เห็นชอบให้นำประเด็นที่ กสทช. เสนอเกี่ยวกับการให้บริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและบริการเพื่อสังคม ไปพิจารณาในคณะทำงานบรอดแบนด์แห่งชาติเพื่อให้เกิดการบูรณาการบรอดแบนด์ของประเทศและเพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณของรัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ๑๑. เห็นชอบให้จัดการประชุมคณะกรรมการเตรียมการด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นประจำทุกเดือน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1673 | การดำเนินโครงการนำร่องเพื่อแก้ไขปัญหาขยะมูลฝอยในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา | มท | 12/05/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความคืบหน้าการดำเนินโครงการก่อสร้างสถานที่กำจัดขยะมูลฝอยจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างและคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ รวมทั้งความก้าวหน้าเบื้องต้นในการดำเนินการกำหนดพื้นที่ที่มีศักยภาพที่ใช้เป็นศูนย์กลางจัดตั้งโรงกำจัดขยะมูลฝอยในภาพรวมของประเทศที่จะรองรับปริมาณขยะมูลฝอยของทุกจังหวัด โดยกระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการสำรวจข้อมูลขยะมูลฝอยในพื้นที่จังหวัดจำนวน ๗๖ จังหวัด เพื่อคัดเลือกพื้นที่จังหวัดที่เหมาะสมในการก่อสร้างโรงกำจัดขยะมูลฝอย และได้กำหนดพื้นที่จังหวัดที่มีความเหมาะสมในการก่อสร้างโรงกำจัดขยะมูลฝอย โดยพิจารณาพื้นที่ตาม Roadmap การจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตรายของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และองค์ประกอบอื่นที่สำคัญ พบว่า พื้นที่ที่มีศักยภาพที่ใช้เป็นศูนย์กลางในการแปรรูปขยะเป็นพลังงาน จำนวน ๒๔ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอุบลราชธานี อุดรธานี บุรีรัมย์ สงขลา ภูเก็ต กระบี่ นครราชสีมา ขอนแก่น สุรินทร์ มหาสารคาม เลย ชลบุรี ระยอง สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี นครสวรรค์ พิษณุโลก พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี ยะลา เชียงใหม่ นครพนม และพัทลุง ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาขยะมูลฝอยในภาพรวมของประเทศ โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นหน่วยงานสนับสนุนในการดำเนินการ และให้พิจารณาแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับแนวทางการดำเนินการดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจัดหาเตาเผาขยะให้แก่ชุมชนหรือท้องถิ่นต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1674 | รายงานผลการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2555 - 2559 ระยะครึ่งแผน | สธ | 12/05/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙ ระยะครึ่งแผน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การพัฒนาระบบบริหารจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม มีความก้าวหน้าการดำเนินงานด้านพัฒนากฎหมาย กฎระเบียบ มาตรฐาน มาตรการและแนวทางปฏิบัติในการบริหารจัดการด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม รวม ๕ ด้าน ได้แก่ ด้านคุณภาพอากาศ ด้านน้ำ การสุขาภิบาล และสุขอนามัย ด้านสารเคมีเป็นพิษและสารอันตราย ด้านการประเมินผลกระทบต่อสุขภาพ และด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งนี้ อยู่ระหว่างการพัฒนามาตรการทางกฎหมายด้านขยะมูลฝอยและแนวทางปฏิบัติในการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อมในภาวะฉุกเฉินและสาธารณภัย รวมทั้งพัฒนาระบบการเฝ้าระวัง ติดตามตรวจสอบ การรายงานผล และแจ้งเตือนสถานการณ์ด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม ๔ ด้าน คือ ด้านคุณภาพอากาศ ด้านน้ำ สุขาภิบาล และสุขอนามัย ด้านการดำเนินงานอนามัยสิ่งแวดล้อมในภาวะฉุกเฉิน และด้านขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย ๒. ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การป้องกันและลดความเสี่ยงจากปัจจัยด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม ด้านคุณภาพอากาศ ผลการตรวจวัดมลพิษทางอากาศในบรรยากาศของพื้นที่เสี่ยงในบางพื้นที่ ส่วนใหญ่มีฝุ่นละออง สารเบนซีน และสาร ๑,๓-บิวตาไดอีนในบรรยากาศเกินค่ามาตรฐาน การเข้าถึงน้ำบริโภคอุปโภคอย่างเพียงพอของครัวเรือนไทยและคุณภาพน้ำบริโภค ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ครัวเรือนมีน้ำบริโภคอุปโภคเพียงพอตลอดปีร้อยละ ๙๙.๕๕ การพัฒนาสถานประกอบการอาหารได้มาตรฐานสุขาภิบาลอาหาร มีการดำเนินโครงการพัฒนาตลาดและโครงการสนับสนุนและติดตามการดำเนินงานด้านสุขาภิบาลอาหารและน้ำอย่างต่อเนื่อง ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ มีสถานประกอบการอาหารได้มาตรฐานมากกว่าร้อยละ ๘๐ ด้านการจัดการขยะมูลฝอย ของเสียอันตราย และมูลฝอยติดเชื้อ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ขยะมูลฝอยได้รับการกำจัดถูกต้องตามหลักวิชาการร้อยละ ๒๓.๕๗ นำไปใช้ประโยชน์ร้อยละ ๒๑.๓๕ มูลฝอยติดเชื้อถูกกำจัดในเตาเผาร้อยละ ๗๘.๗๕ และ ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ขยะมูลฝอยได้รับการจัดการอย่างถูกต้องเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ ๒๘ แต่การนำไปใช้ประโยชน์ลดลงเหลือร้อยละ ๑๙ และมูลฝอยติดเชื้อถูกกำจัดด้วยวิธีที่เหมาะสมลดลงเหลือร้อยละ ๗๕ ๓. ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาคีเครือข่าย และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนและประชาชนในการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม ปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ มีแผนงานโครงการที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อมทั้ง ๖ ด้านเพิ่มขึ้น ด้านส่งเสริมพฤติกรรมอนามัยสิ่งแวดล้อม พบว่า มีการดำเนินการโครงการส่งเสริมพฤติกรรมอนามัยสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง เช่น กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ เพื่อลดการสัมผัสเชื้อโรคต่าง ๆ รณรงค์การคัดแยกขยะ ๔. ยุทธศาสตร์ที่ ๔ การส่งเสริมบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม ด้านการบริหารจัดการเพื่อรองรับการดำเนินงานด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม หน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พบว่า มีการดำเนินงานทั้งด้านการบริหารจัดการ การพัฒนาศักยภาพบุคลากร การพัฒนาระบบงานอนามัยสิ่งแวดล้อม เกิดความร่วมมือและเชื่อมโยงการดำเนินงานร่วมกันระหว่างส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ทั้งในรูปแบบที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ๕. ยุทธศาสตร์ที่ ๕ การพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ มีงานวิจัยและองค์ความรู้ใหม่หรือการประยุกต์ใช้องค์ความรู้เดิมและเทคโนโลยีด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นทุกด้าน ทั้งนี้ การพัฒนาศูนย์การเรียนรู้ด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมอย่างน้อยภาคละ ๑ แห่ง พบว่า ภาคเหนือ มีศูนย์การเรียนรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้านการสุขาภิบาล และด้านขยะมูลฝอย และของเสียอันตราย ภาคกลาง มีศูนย์การเรียนรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และด้านการสุขาภิบาล ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีศูนย์การเรียนรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้านการสุขาภิบาล และด้านขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย และภาคใต้ มีศูนย์การเรียนรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และด้านการสุขาภิบาล |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1675 | โครงการตามนโยบายรัฐบาลและแนวทางการดำเนินงาน (Road Map) ด้านข้าวของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (มติคณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ครั้งที่ 7/2558) | กษ | 07/05/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ในคราวประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อสังเกตตามประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจเกี่ยวกับการดำเนินโครงการตามนโยบายรัฐบาลและแนวทางการดำเนินงาน (Road Map) ด้านข้าว ให้เน้นการดำเนินโครงการในระยะสั้น ๑-๒ ปี ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมก่อนพิจารณาดำเนินการในระยะต่อไป โดยให้พิจารณาในประเด็นดังต่อไปนี้ ๑.๑ ในการดำเนินมาตรการลดต้นทุนปัจจัยการผลิต เช่น เมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย เห็นควรให้มีการรวมกลุ่มของเกษตรกรแต่ละชนิดพันธุ์พืช โดยให้มีการขึ้นทะเบียนกลุ่มดังกล่าวด้วย เพื่อให้รัฐบาลสามารถอุดหนุนปัจจัยการผลิตที่มีคุณภาพและราคาประหยัดได้โดยตรงและเป็นธรรม ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ควรเร่งดำเนินการโดยประสานขอความร่วมมือภาคเอกชนในการสนับสนุนปัจจัยการผลิตให้แล้วเสร็จก่อนฤดูการผลิต ๑.๒ ในการสนับสนุนเครื่องจักร เครื่องมืออุปกรณ์ในการทำการเกษตร เช่น รถไถ รถเกี่ยว เพื่อการเพิ่มมูลค่าของผลผลิตในชุมชน มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานกระทรวงกลาโหมดำเนินการในพื้นที่ที่ไม่มีนิคมสหกรณ์ นอกจากนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดทำแผนพัฒนา ส่งเสริม และสนับสนุนสหกรณ์ให้มีความเข้มแข็ง สามารถเป็นกลไกในการขับเคลื่อนประเทศได้ ๑.๓ การให้สินเชื่อแก่สหกรณ์เพื่อรับซื้อข้าวในฤดูการผลิต มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงการคลัง (ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) ไปพิจารณากำหนดเป้าหมายในการรับซื้อให้ชัดเจน ๒. ในการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี ให้จัดทำแผนปฏิบัติการที่จะดำเนินการในช่วงระยะเวลา ๖ เดือน ๑ ปี และ ๒ ปี ประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ รวมทั้งแผนการใช้จ่ายเงินงบประมาณหรือแหล่งเงินอื่น ๆ ที่สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1676 | ขออนุมัติดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงชุมทางถนนจิระ - ขอนแก่น ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 07/05/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น ในกรอบวงเงิน ๒๖,๐๐๗.๒๐ ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗) ระยะเวลาดำเนินการ ๔ ปี (ปีงบประมาณ ๒๕๕๘-๒๕๖๑) โดยดำเนินการประกวดราคาจ้างก่อสร้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (E-Auction) ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ โดยให้รัฐบาลรับภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการทั้งสิ้น และให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณรายปี และหรือกระทรวงการคลังจัดหาแหล่งเงินกู้และค้ำประกันเงินกู้ภายในประเทศให้ตามความเหมาะสมต่อไป ทั้งนี้ หากคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ รฟท. ดำเนินโครงการโดยใช้เงินกู้ เห็นสมควรให้ความเห็นชอบให้ รฟท. กู้เงินได้ตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๙ มาตรา ๓๙ (๔) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ รฟท. เร่งเสนอโครงการก่อสร้างทางคู่ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาทันทีเมื่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เพื่อให้สามารถเพิ่มความจุทางของรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ และมอบหมายให้สำนักงบประมาณและกระทรวงการคลังพิจารณาความเหมาะสมของกรอบวงเงินลงทุนของโครงการในรายละเอียดตามขั้นตอนต่อไป โดยคำนึงถึงความพร้อมของกรอบวงเงินงบประมาณประจำปี การบริหารหนี้สาธารณะ และการรักษาวินัยทางการคลังของประเทศในภาพรวม ไปพิจารณาดำเนินการ ๓. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นควรให้ รฟท. ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามที่เสนอไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการดังกล่าวอย่างเคร่งครัด และให้กระทรวงคมนาคมกำกับดูแลการปฏิบัติงานของ รฟท. ด้วย นอกจากนี้ ในการดำเนินการทุกขั้นตอนการปฏิบัติจะต้องเรียบร้อยก่อนผูกพันสัญญา และไม่มีปัญหา เช่น การไม่สามารถส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างให้บริษัทคู่สัญญาทันตามระยะเวลาที่กำหนด การออกแบบแบบรูปรายการไม่สมบูรณ์ เนื่องจากสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงหรือเพื่อความปลอดภัยของประชาชนและผู้โดยสาร จึงทำให้ต้องออกแบบแบบรูปรายการเพิ่มเติม เป็นเหตุให้ขออนุมัติวงเงินเพิ่มเติมและขยายระยะเวลาออกไปอีก ไปประกอบการดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1677 | ขอความเห็นชอบการดำเนินโครงการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ 5 รอบ 2 เมษายน 2558 ในสหราชอาณาจักรในนามรัฐบาลไทย | วธ | 07/05/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การดำเนินงานโครงการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘ ในสหราชอาณาจักรในนามรัฐบาลไทย โดยเป็นการดำเนินงานตามแนวพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในการเผยแพร่ความเป็นเลิศของศิลปวัฒนธรรมไทยในสาขาศิลปะการแสดงที่เป็นแบบฉบับให้เป็นที่ประจักษ์ในเวทีระดับโลก ในชื่องาน “เทศกาลไทยในสหราชอาณาจักร-ไทยแท้แท้ (Totally Thai)” ระหว่างเดือนมิถุนายน-ธันวาคม ๒๕๕๘ ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นหน่วยงานร่วมดำเนินงานโครงการฯ ๒. ให้ดำเนินโครงการฯ โดยเน้นกิจกรรมเทิดพระเกียรติสถาบันพระมหากษัตริย์และพิจารณาใช้งบประมาณให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่า |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1678 | แนวทางการแก้ปัญหาผลผลิตไข่ไก่ล้นตลาดและราคาตกต่ำ (ขอยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเพื่อแก้ปัญหาการเลี้ยงไก่ไข่ของประเทศ) | กษ | 28/04/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแนวทางการแก้ปัญหาผลผลิตไข่ไก่ล้นตลาดและราคาตกต่ำ ตามมติคณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๘ ประกอบด้วย (๑) มาตรการระยะสั้น (เร่งด่วน) ได้แก่ การเพิ่มช่องทางการตลาด ขอความร่วมมือส่วนราชการจัดสถานที่ให้เกษตรกรจำหน่ายไข่ไก่ตรงสู่ผู้บริโภค การรวบรวมไข่ไก่ส่วนเกินออกจากระบบเพื่อส่งออกในรูปไข่ไก่สดและแปรรูป โดยชดเชยเงินช่วยเหลือให้เกษตรกรฟองละไม่เกิน ๐.๕๐ บาท และการปลดแม่ไก่ไข่ก่อนกำหนด อายุไม่เกิน ๖๕ สัปดาห์ โดยทำโครงการรักษาเสถียรภาพราคาไข่ไก่เพื่อขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนรวมช่วยเหลือเกษตรกร และ (๒) มาตรการระยะยาว คือ กำหนดปริมาณการเลี้ยงไก่ไข่ และการนำเข้าไก่ไข่พ่อ-แม่พันธุ์ (P.S.) ที่เหมาะสม โดยคณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์มีอำนาจบริหารจัดการไก่ไข่ทั้งระบบ และกรมปศุสัตว์ควบคุมปริมาณการเลี้ยงไก่ไข่และบริหารไก่ไข่พันธุ์ โดยการควบคุมเคลื่อนย้ายสัตว์เข้าเลี้ยงในฟาร์มต่อไป และรับทราบการดำเนินโครงการรักษาเสถียรภาพไข่ไก่ โดยใช้งบประมาณสนับสนุนจากกองทุนรวมช่วยเหลือเกษตรกร ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุข เกี่ยวกับการบริหารจัดการเรื่องการผลิตและการตลาดไข่ไก่ ควรคำนึงถึงประโยชน์ของผู้เลี้ยงไก่ไข่รายย่อยเป็นสำคัญเพื่อสร้างความมั่นคงในอาชีพให้แก่กลุ่มผู้เลี้ยงไก่ไข่รายย่อย ส่วนการปลดแม่ไก่ไข่ยืนกรงและรวบรวมไข่ไก่ออกจากระบบ ควรพิจารณากรอบระยะเวลาดำเนินการและปริมาณที่เหมาะสมด้วยความรอบคอบ เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อตลาดและประชาชนผู้บริโภคในประเทศ นอกจากนี้ เห็นควรให้มีการสนับสนุนการใช้องค์ความรู้และงานวิจัยของสถาบันการศึกษาและสถาบันวิจัยต่าง ๆ ในการแปรรูปและเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ รวมทั้งเผยแพร่ความรู้ทางวิชาการที่ถูกต้องเกี่ยวกับประโยชน์และผลกระทบต่อสุขภาพจากการบริโภคไข่ไก่เพื่อการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ในกรณีที่เกิดปัญหาเกี่ยวกับราคาและปริมาณไข่ไก่ในอนาคต ให้คณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ดำเนินการแก้ไขปัญหาตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1679 | โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2558 | กค | 28/04/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๘ ภายใต้กรอบวงเงิน ๔๗๖,๔๘๓,๒๕๐ บาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่มีเหลือจ่ายจากโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๗ จำนวน ๑๐๘,๔๗๑,๐๒๔.๗๔ บาท และเงินทุนที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส. ) จะต้องสำรองจ่ายไปก่อน ในวงเงิน ๒๖๘,๐๑๒,๒๒๕.๒๖ บาท โดยให้ ธ.ก.ส. เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีในปีงบประมาณถัดไปตามความจำเป็นและเหมาะสม เพื่อชดเชยเงินต้นและดอกเบี้ยในอัตรา FDR+1% ซึ่งเป็นอัตราเดียวกับปีการผลิตที่ผ่านมา ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมส่งเสริมการเกษตร) ประสานงานกับสมาคมประกันวินาศภัยไทย ธ.ก.ส. และกระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) ดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรสนใจเข้าร่วมโครงการ และเร่งประชาสัมพันธ์โครงการให้เกษตรกรทราบอย่างทั่วถึง เพื่อป้องกันปัญหาความล่าช้า และ ธ.ก.ส. สามารถดำเนินโครงการได้ทันฤดูกาลเพาะปลูกที่จะเริ่มขึ้นในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๘ นอกจากนี้ การดำเนินโครงการจะต้องมีการบูรณาการกับโครงการอื่น ๆ ในการให้ความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่เกษตรกรอย่างทั่วถึง เท่าเทียม และไม่ซ้ำซ้อน มีการประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรรับทราบถึงโครงการและประโยชน์ที่จะได้รับจากการดำเนินโครงการ รวมทั้งใช้โครงการประกันภัยข้าวนาปีเป็นเครื่องมือหนึ่งในการส่งเสริมการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรม (Zoning) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและมีหลักประกันความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1680 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 28/04/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาปรับปรุงการจัดทำประมาณการผลิตน้ำมันปาล์มในประเทศให้ตรงกับข้อเท็จจริงมากขึ้น เพื่อให้กระทรวงพาณิชย์สามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลในการบริหารจัดการปริมาณน้ำมันปาล์มของประเทศได้อย่างถูกต้อง โดยให้ประสานการทำงานในเรื่องดังกล่าวร่วมกันอย่างใกล้ชิด ๑.๒ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๘ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้รับผิดชอบหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำฐานข้อมูลของประชาชนแต่ละกลุ่มโดยเฉพาะเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยเพื่อนำมากำหนดแนวทางการดูแลความเป็นอยู่และแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนโดยเชื่อมโยงกับข้อมูลทะเบียนราษฎร์ให้แล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๘ นั้น ให้กระทรวงมหาดไทยชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนให้ชัดเจนว่า ฐานข้อมูลดังกล่าวจัดทำขึ้นเพื่อให้รัฐบาลสามารถกำหนดนโยบายและมาตรการช่วยเหลือประชาชนได้ตรงตามกลุ่มเป้าหมายและสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนแต่ละกลุ่ม โดยไม่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บภาษีแต่อย่างใด ๑.๓ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๘ ให้สำนักงาน ก.พ. กระทรวงกลาโหม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณาดำเนินการเยียวยาให้ข้าราชการในหน่วยงานตนได้รับเงินเดือนหรือเงินประจำตำแหน่งที่เหมาะสมและเป็นธรรม ตลอดจนให้สำนักงาน ก.พ. พิจารณาปรับปรุงโครงสร้างองค์กร อัตราเงินเดือน และระบบค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐทั้งระบบครอบคลุมทุกหน่วยงานให้มีอัตราที่เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันและอนาคต และให้นำเสนอคณะกรรมการพิจารณาเงินเดือนแห่งชาติพิจารณาในระหว่างที่ยังไม่มีคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐ นั้น ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ๑.๓.๑ ให้สำนักงาน ก.พ. กระทรวงกลาโหม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งพิจารณานำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการเยียวยาข้าราชการที่ได้รับผลกระทบจากการปรับอัตราเงินเดือนในช่วงที่ผ่านมา ๑.๓.๒ ให้กระทรวงการคลังเร่งดำเนินการให้คณะกรรมการพิจารณาเงินเดือนแห่งชาติสามารถปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่ง และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๘ ด้วย ๒. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ๒.๑ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายของประเทศไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมีผลสัมฤทธิ์ที่เป็นรูปธรรมโดยเร็ว จึงมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ๒.๑.๑ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาดำเนินการเพื่อให้ผู้บัญชาการทหารเรือเป็นเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจดำเนินการหลัก โดยบูรณาการการทำงานร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย โดยใช้อำนาจตามมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ๒.๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งพิจารณาดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองของพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยให้ครอบคลุมการจดทะเบียนเรือ การติดตั้งระบบติดตามเรือ (Vessel Monitoring System : VMS) และการตรวจสอบย้อนกลับ และสนับสนุนการทำงานของคณะทำงานเฉพาะกิจอย่างบูรณาการ และให้เป็นไปตามหลักสากล ซึ่งหากกฎหมายดังกล่าวยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อาจจะพิจารณาดำเนินการโดยตราเป็นพระราชกำหนดได้ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๖๐ วัน ๒.๒ เนื่องจากขณะนี้กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญได้ส่งร่างรัฐธรรมนูญมายังคณะรัฐมนตรีแล้ว จึงให้ทุกส่วนราชการพิจารณาวิเคราะห์และให้ความเห็นว่า ร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าวมีผลกระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดินอย่างไร หรือมีข้อเสนอแนะอื่น ๆ เพิ่มเติม และส่งผลการพิจารณาให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ในฐานะคณะทำงานเพื่อศึกษาร่างรัฐธรรมนูญ ภายในวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๘ เพื่อนำประเด็นต่าง ๆ หารือในที่ประชุมร่วมคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีในวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๘ ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน ๓.๑ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหาการบุกรุกทำลายพื้นที่ป่า โดยเฉพาะพื้นที่ป่าในภาคเหนือของประเทศไทยซึ่งมักถูกบุกรุกทำลายจากการเผาป่าหรือถางป่าเพื่อทำการเกษตรของประชาชนในพื้นที่ พร้อมทั้งกำหนดแนวทางการพัฒนาและฟื้นฟูพื้นที่ดังกล่าวให้กลับสู่สภาพป่าที่สมบูรณ์ดังเดิมด้วย ๓.๒ ปัจจุบันหน่วยงานภาคเอกชน มูลนิธิ และองค์กรสาธารณกุศล ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการให้ความช่วยเหลือและสร้างอาชีพให้แก่ประชาชนตามภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ จึงให้ส่วนราชการที่มีภารกิจใกล้ชิดกับประชาชนในพื้นที่ เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น พิจารณาทบทวนแนวทางการดำเนินงาน รวมทั้งส่งเสริมให้ประชาชนในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการ หรือกิจกรรมร่วมกับภาครัฐมากยิ่งขึ้นด้วย ๓.๓ ในช่วงที่ผ่านมาสถิติการจับกุมยาเสพติดของหน่วยงานด้านความมั่นคงมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งบางส่วนพบว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้น ให้หน่วยงานของรัฐทั้งหมดกำกับดูแลและตรวจสอบเจ้าหน้าที่ในสังกัดมิให้เข้าไปเกี่ยวข้องหรือมีส่วนร่วมในกระบวนการค้ายาเสพติด หากฝ่าฝืนให้ดำเนินการลงโทษทางวินัยอย่างเคร่งครัด
|
.....