ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 86 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 1701 - 1720 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1701 | ร่างยุทธศาสตร์การจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เชิงบูรณาการ ปี พ.ศ. 2557 - 2564 | ทส | 17/03/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างยุทธศาสตร์การจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เชิงบูรณาการ ปี พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๔ จัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นกรอบนโยบายการบริหารจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์อย่างครบวงจร ตั้งแต่ต้นทางซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าฯ ให้มีมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมทัดเทียมระดับสากล จนถึงปลายทางซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนากลไกการจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าฯ อย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทำหน้าที่ประสานงานและติดตามการดำเนินงานให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ฯ และจัดทำรายงานเสนอต่อรัฐบาล ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวง กรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกรอบยุทธศาสตร์ฯ และจัดทำรายงานเสนอต่อรัฐบาล ๑.๔ มอบหมายให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามแผนปฏิบัติการภายใต้ยุทธศาสตร์ฯ ให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ เพื่อดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ฯ ให้บรรลุเป้าหมายตามที่กำหนดไว้ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดทำแผนปฏิบัติการที่จะดำเนินการในช่วงระยะเวลา ๓ เดือน ๖ เดือน ๙ เดือน และ ๑ ปี ให้ชัดเจนตามแนวทางของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องประเภทนโยบาย แผนงานโครงการต่อคณะรัฐมนตรี) รวมทั้งกำหนดแนวทางให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการดำเนินการตามแผน โดยเฉพาะธุรกิจที่เป็นผู้ผลิตหรือนำเข้าผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประสานงานในรายละเอียดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การดำเนินโครงการตามแผนเกิดความชัดเจน และควร notify ให้องค์การการค้าโลก (WTO) ได้รับทราบด้วย เพื่อประโยชน์ต่อการค้าระหว่างประเทศของไทย รวมทั้งส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพัฒนาระบบฐานข้อมูลของผู้ประกอบกิจการเกี่ยวกับการสะสม การผลิต การรับซื้อขาย การถอดแยก การรีไซเคิลซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งผู้ประกอบการรายใหญ่ รายย่อย และรายที่ไม่ได้มีการจดทะเบียนโรงงานแต่รับซื้อซากผลิตภัณฑ์มาทำการถอดแยกอย่างไม่เหมาะสม เพื่อเป็นข้อมูลนำไปสู่การพัฒนาปรับปรุงกลไกการคัดแยก เก็บรวบรวม และขนส่งซากผลิตภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนเร่งรัดการประกาศใช้ (ร่าง) พระราชบัญญัติการจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์และซากผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เพื่อให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว พร้อมทั้งเร่งพิจารณาจัดทำร่างกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนการดำเนินตามยุทธศาสตร์ฯ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ฯ ปี พ.ศ. ๒๕๕๐-๒๕๕๔ ที่ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว นอกจากนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมทำการศึกษาวิเคราะห์บริบทการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ในระดับโลก และระดับภูมิภาค ที่จะส่งผลกระทบต่อการบริหารจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย เช่น กฎกติการะหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง และกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจและสังคมระหว่างประเทศต่าง ๆ และนำมาประกอบการพิจารณาปรับเพิ่มเติมเป้าหมายของยุทธศาสตร์ฯ เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||
1702 | ขออนุมัติโครงการและการกู้เงินสำหรับโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 | กค | 17/03/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ดำเนินโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน ภายในกรอบวงเงิน ๗๘,๒๙๔.๘๕ ล้านบาท สำหรับโครงการพัฒนาระบบโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) และเทคโนโลยีอื่นที่เหมาะสมเพื่อการควบคุมทางศุลกากร รองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนของกรมศุลกากร ให้กระทรวงการคลังนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ [เรื่อง ยืนยันมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง การกำหนดโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ตามมาตรา ๔ (๘) ของพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘] พร้อมทั้งให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วนโดยเคร่งครัดด้วย ทั้งนี้ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการสามารถเริ่มดำเนินกระบวนการจัดหาพัสดุได้ทันทีหลังจากที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ดำเนินโครงการ แต่จะลงนามในสัญญาได้ เมื่อได้รับการจัดสรรวงเงินกู้จากสำนักงบประมาณแล้ว ๒. อนุมัติให้กระทรวงการคลังกู้เงินตราต่างประเทศเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ในกรอบวงเงินไม่เกิน ๘๐,๐๐๐ ล้านบาท และถ้าภาวะตลาดการเงินในประเทศเอื้ออำนวยและจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาระบบการเงิน การคลัง และตลาดทุน ให้กระทรวงการคลังสามารถกู้เป็นเงินบาทแทนการกู้เงินตราต่างประเทศได้ ตามนัยมาตรา ๒๒ และมาตรา ๒๓ ของพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และอนุมัติให้จัดสรรเงินกู้เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเพื่อใช้ในการดำเนินโครงการตามข้อ ๑ ทั้งนี้ ในการกู้เงินและเบิกจ่ายเงินกู้ ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและคณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่เห็นควรพิจารณากู้เงินให้สอดคล้องกับแผนการเบิกจ่ายของโครงการโดยนำผลการดำเนินงานที่เกิดขึ้นจริงมาพิจารณาประกอบด้วย รวมทั้งกำหนดกรอบระยะเวลาในการเบิกจ่ายงบประมาณ (เงินกู้) ตามขั้นตอนดำเนินการตามระเบียบและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นมาตรการเร่งรัดให้ส่วนราชการ/หน่วยงานของรัฐที่เป็นเจ้าของโครงการสามารถเริ่มดำเนินโครงการได้โดยเร็ว เพื่อให้การขับเคลื่อนแผนงาน/โครงการเป็นไปตามกรอบระยะเวลา และวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. มอบหมายให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ เพื่อเป็นค่าดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจากการกู้เงินเพื่อดำเนินโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน ตามความเหมาะสม ๔. เห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนนระยะเร่งด่วน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการดำเนินโครงการและการจัดหาเงินกู้ การจัดซื้อจัดจ้าง การโอนหรือเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการ การจัดหาเงินกู้และการเบิกจ่ายเงินกู้ การติดตาม การประเมินผล และการรายงานผลการดำเนินงาน และการใช้เงินสำรองจ่ายและเงินเหลือจ่าย และให้ส่งร่างระเบียบดังกล่าวให้คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาต่อไป โดยให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้กระทรวงการคลังติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการให้สอดคล้องกับภาพรวมของแผนการบริหารจัดการน้ำของประเทศ และแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ ไปประกอบการพิจารณาด้วย ๕. มอบหมายให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาแนวทางการใช้ประโยชน์จากระบบโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ของหน่วยงานราชการให้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด |
|||||||||||||||||||||
1703 | รายงานการสนับสนุนการดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ | สลธ.คสช. | 10/03/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติรายงานการสนับสนุนการดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลในเรื่องที่สำคัญ ได้แก่ (๑) การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ (๒) โครงสร้างรายได้และพัฒนาการเกษตรแก่ชุมชนเพื่อบรรเทาภัยแล้งในพื้นที่แล้งซ้ำซาก จำนวน ๓,๐๕๒ ตำบล (๓) โครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง (๔) การฝึกอบรมทักษะฝีมือแรงงานชาวไทยภูเขา (๕) การส่งเสริมการปลูกกาแฟ และ (๖) การดำเนินโครงการเกษตรทฤษฎีใหม่ประยุกต์ นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมอื่น ๆ ได้แก่ การช่วยเหลือเกษตรกรสวนยางในพื้นที่ภาคเหนือและภาคอีสาน การสนับสนุนการแก้ปัญหาภัยแล้งตามนโยบายรัฐบาล การสนับสนุนการปลูกฝังค่านิยม ๑๒ ประการ การช่วยเหลือประชาชนซ่อมแซมบ้านพักอาศัยอันเนื่องมาจากวาตภัย การจัดระเบียบรถโดยสารสาธารณะ ๒. ให้ฝ่ายต่าง ๆ ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่มีการลงพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ เพื่อดูแลประชาชนอยู่แล้ว ติดตามการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง และพิจารณาแผนงาน/โครงการที่มีปัญหาในการดำเนินการ เช่น พิจารณาความเหมาะสมของขนาดโครงการที่อาจส่งผลต่อการไม่มีผู้สนใจเข้าร่วมดำเนินโครงการ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ปฏิบัติงานในพื้นที่จะต้องมีความรู้และความเข้าใจนโยบายและโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาลเพื่อจะได้อธิบายและสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ได้ ๓. ให้ฝ่ายความมั่นคง คณะรักษาความสงบแห่งชาติใช้ประโยชน์จากกลุ่มมวลชนต่าง ๆ ที่มีอยู่ในพื้นที่อยู่แล้ว โดยสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับนโยบายและโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาลแก่กลุ่มมวลชน เพื่อให้กลุ่มมวลชนสามารถสื่อสารต่อไปยังประชาชนในระดับพื้นที่ได้อย่างทั่วถึง
|
|||||||||||||||||||||
1704 | การดำเนินโครงการพัฒนาเมืองในส่วนที่ค้างอยู่ต่อไปให้แล้วเสร็จ ตามมติ คสช. | นร04 | 10/03/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินโครงการพัฒนาเมืองในส่วนที่ค้างอยู่ต่อไปให้แล้วเสร็จ ตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีอุดหนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โครงการพัฒนาเมือง จำนวน ๖๗๔.๗๑ ล้านบาท ให้สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติดำเนินโครงการพัฒนาเมืองที่ค้างอยู่ต่อไปจนแล้วเสร็จตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ๒. แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินโครงการพัฒนาเมืองเพื่อพิจารณาดำเนินการโครงการพัฒนาเมืองที่ค้างอยู่ จำนวน ๑,๐๒๖ โครงการ ต่อไปให้แล้วเสร็จ
|
|||||||||||||||||||||
1705 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดกระบี่ พ.ศ. .... | มท | 10/03/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ (เรื่อง ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวม จังหวัดกระบี่ พ.ศ. ....) เนื่องจากร่างกฎกระทรวงดังกล่าวจะกระทบต่อการดำเนินโครงการพัฒนาโรงไฟฟ้ากระบี่และโครงการท่าเทียบเรือบ้านคลองรั้ว ซึ่งหากการพัฒนาโครงการไม่สามารถดำเนินการได้ตามระยะเวลาที่กำหนด จะส่งผลต่อความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้าของประเทศทั้งความมั่นคง พลังงานไฟฟ้าในภาคใต้ และกระทบต่อระดับกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองของประเทศมีค่าต่ำกว่ามาตรฐาน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเสนอ โดยให้กำหนดข้อยกเว้นสำหรับพื้นที่ของโครงการด้านพลังงาน รวมถึงโครงการที่เป็นองค์ประกอบในกระบวนการผลิต ขนส่ง และระบบจำหน่ายซึ่งถือเป็นสาธารณูปโภคและบริการสาธารณะที่จำเป็นและสำคัญของประเทศในร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดกระบี่ พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
1706 | ขอปรับเพิ่มเงินลงทุน (Cost Overrun) โครงการพัฒนาระบบสายส่งและสถานีไฟฟ้า ระยะที่ 8 ส่วนที่ 1 (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) | มท | 10/03/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดำเนินการปรับเพิ่มเงินลงทุน (Cost Overrun) โครงการพัฒนาระบบสายส่งและสถานีไฟฟ้า ระยะที่ ๘ ส่วนที่ ๑ วงเงิน ๒,๘๗๘ ล้านบาท โดยใช้เงินกู้ในประเทศ ๒,๑๕๘ ล้านบาท และเงินรายได้ของ กฟภ. ๗๒๐ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบให้ กฟภ. กู้เงินในประเทศภายในกรอบวงเงิน ๒,๑๕๘ ล้านบาท เพื่อเป็นเงินลงทุนของโครงการดังกล่าว โดย กฟภ. จะทยอยดำเนินการกู้เงินตามความจำเป็นจนกว่างานจะแล้วเสร็จต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย และ กฟภ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ในฐานะสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ เกี่ยวกับการให้ความสำคัญในการเร่งรัดและติดตามการดำเนินโครงการดังกล่าวอย่างใกล้ชิด โดยเร่งหาแนวทางในการแก้ปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นเพื่อให้สามารถดำเนินการแล้วเสร็จได้ตามกรอบเงินลงทุนและกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ การวางแผนการบริหารค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานให้อยู่ภายในกรอบวงเงินลงทุนที่กำหนดไว้เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนทางการเงิน การกำหนดแนวทางในการแสวงหารายได้อื่นเพื่อชดเชยผลขาดทุนของโครงการที่เกิดขึ้น การพิจารณาใช้เงินรายได้เพื่อการดำเนินโครงการเป็นลำดับแรกและใช้เงินกู้เท่าที่จำเป็น รวมทั้งการตรวจสอบการลงทุนในโครงการต่าง ๆ อย่างใกล้ชิดเพื่อควบคุมต้นทุนโครงการให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ หากพบว่าต้นทุนโครงการมีโอกาสเพิ่มขึ้นเกินจากกรอบวงเงินลงทุนที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้ กฟภ. ควรต้องขออนุมัติเพิ่มเติมกรอบวงเงินลงทุนโครงการจากคณะรัฐมนตรีก่อนดำเนินการ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
1707 | รายงานความคืบหน้าการดำเนินโครงการที่มีประโยชน์ต่อประชาชนที่กระทรวงมหาดไทยมอบเป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน | มท | 10/03/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินโครงการที่มีประโยชน์ต่อประชาชนที่กระทรวงมหาดไทยมอบเป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน ของส่วนราชการและหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัด รวม ๑๗ โครงการ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการที่ดำเนินการแล้วเสร็จ (สิ้นสุดโครงการ) จำนวน ๔ โครงการ คือ ๑.๑ มอบความสุขทั่วไทย สัญจรปีใหม่ ปลอดภัยทุกคน ๑.๒ ถนนสวย เดินได้ ปั่นได้ ค้าขายคล่องตัว ๑.๓ ประปาสร้างสุข ทุกคนมีน้ำใช้ ๑.๔ ประปาทันใจ คนไทยมีสุข ๒. โครงการที่ดำเนินการแล้วเสร็จบางกิจกรรม (ยังไม่สิ้นสุดโครงการ) และดำเนินการต่อเนื่องในปี ๒๕๕๘ จำนวน ๖ โครงการ คือ ๒.๑ ศูนย์ดำรงธรรม นำสุข แก้ทุกข์ ๒๔ ชั่วโมง ๒.๒ ท้องถิ่นโปร่งใส จัดสรรงบประมาณใหม่ทั่วถึงเป็นธรรม ๒.๓ ติดต่อราชการทันใจ ไม่ต้องใช้สำเนาบัตรประชาชน ๒.๔ OTOP ทั่วไทย ส่งความสุขปีใหม่ สร้างรายได้ ขยายตลาดสู่อาเซียน ๒.๕ รวมพลคนกู้ชีพกู้ภัย เพื่อคนไทยมีความสุข ๒.๖ LED สว่างไสว รับปีใหม่มหานคร ๓. โครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน ๗ โครงการ คือ ๓.๑ อยุธยาเมืองประวัติศาสตร์ เมืองสะอาด ปลอดขยะ ต้นแบบ ๓.๒ ตลาดนัดชุมชนไทยช่วยไทย คนไทยยิ้มได้ ๓.๓ สำนักงานที่ดินทั่วไทย รวดเร็ว โปร่งใส ใส่ใจบริการ ๓.๔ ๒๕๕๘ ปีทองผังเมือง พัฒนาทั่วไทย ก้าวไกลสู่อาเซียน ๓.๕ คลองสวยน้ำใส คนไทยมีความสุข ๓.๖ สว่างไสวทั่วไทย จ่ายไฟทุกครัวเรือน ๓.๗ ปากคลองตลาดโฉมใหม่ สะอาด ปลอดภัย สินค้าสดใหม่ทุกวัน
|
|||||||||||||||||||||
1708 | ประเด็นการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2557 - 31 มกราคม 2558) | นร | 10/03/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบประเด็นการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๗-๓๑ มกราคม ๒๕๕๘) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาพรวมรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล โดยผลการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๓ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน-๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗) ส่วนราชการต่าง ๆ ได้มีการดำเนินงานในเรื่องการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ การปฏิรูปประเทศ และการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ทั้ง ๑๑ ข้อ ทั้งในส่วนที่เป็นภารกิจประจำของแต่ละกระทรวงและในแผนงาน/โครงการที่จะต้องบูรณาการการทำงานของหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจังและต่อเนื่องมาโดยตลอด ทำให้ผลการดำเนินงาน (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๗-๓๑ มกราคม ๒๕๕๘) เป็นไปตามเป้าหมาย และมีผลสำเร็จในระดับที่น่าพอใจ ๒. การขับเคลื่อนเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณ ให้ส่วนราชการที่เป็นหน่วยงานกลาง เช่น สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหาแนวทางในการช่วยส่วนราชการเพื่อให้การเบิกจ่ายงบประมาณเป็นไปตามเป้าหมาย ส่วนสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้ผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาลงพื้นที่เพื่อช่วยเหลือโรงเรียนที่มีปัญหาขาดแคลนบุคลากรที่จะดำเนินการด้านการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปด้วยความรวดเร็วยิ่งขึ้นต่อไป ๓. การขับเคลื่อนเร่งรัดการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ให้ทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินโครงการโดยเฉพาะในบางโครงการที่จะต้องดำเนินการก่อนฤดูฝนที่จะมาถึง และโครงการที่จะต้องดำเนินการตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้าอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ และในกรณีที่เป็นโครงการใหม่ซึ่งยังคงมีปัญหาในเรื่องของพื้นที่ การสร้างความเข้าใจกับประชาชน การศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม จะต้องเร่งรัดการดำเนินการเพื่อสร้างความเข้าใจเพื่อให้โครงการที่จะดำเนินการเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมและสามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนในพื้นที่ให้ได้มากที่สุด รวมทั้งให้เน้นโครงการในลักษณะที่เป็นการปรับปรุง ซ่อมแซมสิ่งที่มีอยู่เดิม เช่น การขุดลอก คู คลอง อ่างเก็บน้ำทั้งขนาดเล็กขนาดใหญ่ จะต้องดำเนินการก่อนฤดูฝน ๔. การขับเคลื่อนเร่งรัดการดำเนินงานในเรื่องการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ และการดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลทั้ง ๑๑ ข้อ ให้ส่วนราชการรายงานผลการดำเนินงานในการรายงาน ครั้งที่ ๔ (๑๒ กันยายน ๒๕๕๗-๓๑ มกราคม ๒๕๕๘)
|
|||||||||||||||||||||
1709 | รายงานสถานการณ์และการแก้ไขปัญหาด้านการประมงของประเทศไทย | กษ | 10/03/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์และการแก้ไขปัญหาด้านการประมงของประเทศไทย จำนวน ๓ เรื่อง ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์และการดำเนินการแก้ไขปัญหาการประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการแรงงาน และไร้การควบคุม (IUU Fishing) ๑.๑ สหภาพยุโรปจะกำหนดให้ไทยเป็นประเทศที่มีความเป็นไปได้ในการไม่ให้ความร่วมมือกับสหภาพยุโรปภายใต้กฎระเบียบ IUU ของสหภาพยุโรปในประมาณกลางเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ ซึ่งสหภาพยุโรปจะให้ระยะเวลาประเทศไทยในการปรับปรุงแก้ไขภายใน ๖ เดือน นับจากวันที่ได้รับการแจ้งขึ้นบัญชีอย่างเป็นทางการ ซึ่งประเทศไทยจะต้องปรับปรุงแก้ไขภายในกลางเดือนกันยายน ๒๕๕๘ โดยรัฐบาลไทยได้มีนโยบายและมอบหมายให้หน่วยงานปฏิบัติที่เกี่ยวข้องเร่งรัดในการดำเนินการตามแผนงานที่วางไว้เพื่อหลุดจากบัญชีดังกล่าว ๑.๒ การดำเนินการแก้ไขปัญหา ได้แก่ การปรับปรุงพระราชบัญญัติการประมงและกฎหมายลำดับรอง การจัดทำแผนระดับชาติในการป้องกัน ยับยั้ง และขจัดการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (NPOA-IUU) การจัดระเบียบเรือประมงเพื่อให้เรือประมงไทยเข้าสู่ระบบการควบคุมได้อย่างถูกต้อง การควบคุมและเฝ้าระวังการทำประมง การจัดทำระบบติดตามตำแหน่งเรือ (Vessel Monitoring System : VMS) การปฏิบัติการควบคุมการแจ้งเข้า-ออกท่าของเรือประมง (port in-port out) และการปรับปรุงระบบการตรวจสอบย้อนหลัง (Traceability) ๒. สถานการณ์และการดำเนินการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์และแรงงานประมง ๒.๑ สหรัฐอเมริกาได้จัดอันดับให้ประเทศไทยอยู่ในบัญชีกลุ่มที่ ๓ (Tier 3) ในรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ (TIP Report) ประจำปี ๒๕๕๗ ลดอันดับลงจากบัญชีกลุ่มที่ ๒ ซึ่งต้องจับตามอง (Tier 2 Watch List) ปัญหาด้านการค้ามนุษย์ที่ต่างประเทศจับตามอง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมทั้งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้กำหนดมาตรการต่าง ๆ และปรับปรุงแก้ไขปัญหาและรายงานการค้ามนุษย์และแรงงานประมงต่อ TIP Office สหรัฐอเมริกา เพื่อต้องการปรับปรุงอันดับในการประเมินสถานการณ์การค้ามนุษย์ของไทยในครั้งใหม่ ๒.๒ การดำเนินการแก้ไขปัญหา ได้แก่ การฝึกอบรมเพื่อขยายผลการปฏิบัติตามมาตรฐานแนวทางปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี (Good Labour Practices : GLP) การจัดระเบียบเรือประมงเพื่อให้เรือประมงไทยเข้าระบบการควบคุมได้อย่างถูกต้อง การพัฒนาฐานข้อมูลของเรือประมงและแรงงานประมง (Fishing Info) การจัดระเบียบเรือประมงนอก การควบคุมและเฝ้าระวังการทำประมงและคุ้มครองแรงงานประมง การอบรมเจ้าหน้าที่กรมประมงให้มีความรู้ความเข้าใจด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ การดำเนินโครงการอบรมและประชาสัมพันธ์ด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ การสร้างภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นให้แก่ผู้นำเข้า/ผู้บริโภคสินค้าประมงของไทย และภาคประชาสังคมทั้งในและต่างประเทศ การประสานกับกระทรวงแรงงานในการดำเนินการจัดทำสัญญาจ้างของแรงงานในงานประมงทะเล การตรวจจับกุมการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติการประมง และการขยายการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวในกิจการประมงทะเล และนำเข้าแรงงานต่างด้าวโดยถูกกฎหมายภายใต้บันทึกความเข้าใจ (MOU) ๓. สถานการณ์ความร่วมมือด้านการประมงระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ๓.๑ ที่ผ่านมาภาคเอกชนเรือประมงไทยได้เข้าไปทำการประมงในน่านน้ำอินโดนีเซียในรูปแบบการลงทุนร่วม โดยโอนสัญชาติเรือประมงไทยเป็นเรือสัญชาติอินโดนีเซีย ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเนื่องจากอินโดนีเซียได้ใช้มาตรการรุนแรงในการดำเนินการกับเรือประมงที่ทำผิดกฎหมายโดยมีการจมหรือเผาทำลายเรือประมง รวมทั้งได้ออกกฎกระทรวงระงับการออกใบอนุญาตอุตสาหกรรมประมง ใบอนุญาตทำการประมงและใบอนุญาตบรรทุกสัตว์น้ำสำหรับเรือประมงที่ต่อจากต่างประเทศ จนถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๘ และห้ามใช้เครื่องมืออวนลากและอวนล้อมทำการประมงในน่านน้ำอินโดนีเซีย ๓.๒ การดำเนินการแก้ไขปัญหา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สมาคมการประมงนอกน่านน้ำไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อยู่ระหว่างการจัดทำพิมพ์เขียว (Blue print) แนวทางการแก้ไขปัญหาการทำประมงในน่านน้ำอินโดนีเซียของผู้ประกอบการไทย ซึ่งครอบคลุมบริบทการแก้ไขปัญหาแรงงานประมงที่ตกค้างอยู่ที่อินโดนีเซีย และปัญหาเรือประมงที่ยังไม่สามารถเดินทางกลับประเทศไทยได้เนื่องจากอยู่ระหว่างรอการประเมินตรวจสอบเรือประมงภายใต้บริษัทร่วมทุนของอินโดนีเซีย รวมทั้งการจัดทำกรอบแนวทางความร่วมมือการทำประมงของเรือประมงไทยในน่านน้ำอินโดนีเซียในอนาคต
|
|||||||||||||||||||||
1710 | รายงานผลโครงการส่งเสริมการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ณ สาธารณรัฐอินเดีย และงานมหกรรมการค้าชายแดน ณ จังหวัดมุกดาหาร | พณ | 10/03/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามโครงการส่งเสริมการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ณ สาธารณรัฐอินเดีย ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ และการจัดงานมหกรรมการค้าชายแดน ณ จังหวัดมุกดาหาร ปี ๒๕๕๘ ระหว่างวันที่ ๕-๙ มีนาคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินโครงการส่งเสริมการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ณ สาธารณรัฐอินเดีย ๑.๑ การประชุมทวิภาคีร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรม ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะเร่งรัดสรุปผลการเจรจากรอบความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งเขตการค้าเสรี (FTA) ไทย-อินเดีย ที่ได้ลงนามเมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๔๖ ซึ่งไทยได้เสนอเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมครั้งต่อไป และทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะร่วมกันผลักดันการเจรจาความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลว่าด้วยความร่วมมือหลากหลายสาขาทางเทคนิคและเศรษฐกิจ (Bay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation : BIMSTEC) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๑.๒ การลงนามความร่วมมือ ๗ ฉบับ มีผลดังนี้ (๑) ขยายการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ระหว่างสุราษฎร์ธานี-สุราต (๒) เพิ่มการนำเข้าเครื่องปรุงรสจากไทย (๓) ขยายตลาดกล้วยไม้ไทย (๔) ขยายสาขาร้านไก่ทอด ๕ ดาว เป็น ๓๐๐ สาขา (๕) รับเหมาก่อสร้างท่าเรือในมุมไบ (๖) จัดตั้งโรงงานผลิตและส่งออกเครื่องกำจัดมลพิษทางอากาศในจังหวัดลพบุรีและในภาคใต้ และ (๗) จัดตั้งโรงงานผลิตและส่งออกยางรถยนต์ในจังหวัดระยอง ซึ่งจะใช้ยางพาราปีละกว่า ๑ แสนตัน ๑.๓ การจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการไทย-อินเดีย ประกอบด้วยบริษัทไทย ๔๐ ราย และอินเดีย ๑๐๐ ราย มูลค่าการสั่งซื้อทันทีประมาณ ๔๐ ล้านบาท สินค้าไทยที่ได้รับความสนใจ คือ เครื่องประดับตกแต่งบ้าน เครื่องใช้ในบ้าน เครื่องนุ่งห่ม และอาหาร ๑.๔ การจัดสัมมนาส่งเสริมการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว โดยมีการกล่าวสุนทรพจน์สร้างความเชื่อมั่นในประเทศไทยและนำเสนอศักยภาพของประเทศให้แก่นักธุรกิจอินเดีย ๑.๕ การพบกับประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งอินเดีย (Confederation of Indian Industry : CII) ซึ่งสนับสนุนให้ภาคเอกชนจัดตั้ง India-Thailand Joint Business Forum (ITJBF) ซึ่งจะประชุมในเดือนเมษายนนี้ ๒. ผลการดำเนินงานมหกรรมการค้าชายแดน ณ จังหวัดมุกดาหาร มีกิจกรรมสำคัญ เช่น การเดินทางไปเยี่ยมชมเขตเศรษฐกิจพิเศษสะหวันเซโน แขวงสะหวันนะเขต สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) การประชุมเมืองคู่แฝดระหว่างจังหวัดมุกดาหารและแขวงสะหวันนะเขต การจัดแสดงและจำหน่ายสินค้า รวม ๓๐๐ คูหา และการลงนามในบันทึกความเข้าใจของคู่ธุรกิจไทย-สปป.ลาว เพื่อสร้าง Healthcare Center ในเขตเศรษฐกิจพิเศษสะหวันเซโน เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||
1711 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 10/03/2558 | ||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านการต่างประเทศ ให้สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติเร่งดำเนินการขยายความร่วมมือกับสาธารณรัฐเกาหลีให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายใน ๖ เดือน ได้แก่ ความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนศึกษาดูงาน การดำเนินโครงการวิจัยร่วมกัน การฝึกอบรมระยะสั้นและระยะยาวร่วมกัน การยกระดับสิ่งประดิษฐ์ไปสู่เชิงพาณิชย์ โดยเฉพาะในประเด็นที่ฝ่ายไทยมีความต้องการในขณะนี้ เช่น การแปรรูปวัตถุดิบทางการเกษตรให้มีมูลค่าสูงขึ้น โดยเฉพาะการแปรรูปยางพารา การพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่สาธารณรัฐเกาหลีประสบความสำเร็จ ตลอดจนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ดนตรี และละคร การพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านความงามร่วมกันซึ่งไทยมีสมุนไพรที่สามารถนำมาพัฒนาในด้านนี้ได้ และอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศและชิ้นส่วน ๒. ด้านความมั่นคง ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ร่วมกับกระทรวงกลาโหม สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและหน่วยงานด้านความมั่นคงติดตามและประเมินผลการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้น และวิเคราะห์สถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อนำมาประกอบการจัดทำแผนการดำเนินงานเพื่อรองรับการบริหารสถานการณ์ความไม่สงบเรียบร้อยภายในประเทศ โดยให้ครอบคลุมทุกสถานการณ์ ๓. ด้านเศรษฐกิจ ๓.๑ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพัฒนาสินค้าส่งออกสำคัญของประเทศ โดยเฉพาะชิ้นส่วนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ที่มีความทันสมัยและประสิทธิภาพสูง เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและศักยภาพในการแข่งขันในตลาดต่างประเทศ ๓.๒ ให้คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประสานให้ทุกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณานำรายได้สะสมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมาใช้ในการดำเนินโครงการที่มีลักษณะเป็นการช่วยเหลือประชาชนระดับรากหญ้าในพื้นที่ โดยให้เสนอโครงการให้คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณาก่อนดำเนินการ ทั้งนี้ ในการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องด้วย ๓.๓ ตามที่รัฐบาลได้จัดงานวิถีข้าว : วิถีไทย ระหว่างวันที่ ๕ มีนาคม-๕ เมษายน ๒๕๕๘ บริเวณข้างคลองผดุงกรุงเกษม เพื่อเป็นช่องทางทางการตลาดสำคัญที่เชื่อมโยงผู้ผลิตกับผู้ส่งออก และผู้ผลิตกับผู้บริโภค ตลอดจนเปิดโอกาสให้ประชาชนได้บริโภคข้าวที่มีคุณภาพ นั้น ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงกลาโหม จัดสถานที่เพิ่มเติมเพื่อให้เกษตรกร สหกรณ์ และผู้ประกอบการได้พบปะกันเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรให้มีช่องทางการตลาดเพิ่มเติมและมีผลผลิตทางการเกษตรเพิ่มขึ้น และจัดให้มีร้านค้าขายอาหารจานเดียว โดยให้ประชาชนที่เข้าชมงานสามารถเลือกข้าวที่จำหน่ายในงานมาเป็นวัตถุดิบปรุงเป็นอาหารเพื่อจำหน่าย รวมทั้งจัดกิจกรรมเพิ่มเติมเพื่อดึงดูดความสนใจแก่ประชาชนทั่วไปให้มาร่วมเที่ยวงานดังกล่าว นอกจากนี้ ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดให้เอกอัครราชทูตหรือแขกต่างประเทศเข้าร่วมชมงานดังกล่าว และให้ทุกหน่วยงานร่วมกันประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทั่วไปเข้าร่วมชมงานดังกล่าวด้วย ๓.๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงยุติธรรม รวมทั้งภาคเอกชนพิจารณาแนวทางการให้ความช่วยเหลือในการรับซื้อผลผลิตทางการเกษตรตามความต้องการของแต่ละหน่วยงาน โดยให้พิจารณากำหนดระดับราคาและวิธีการจัดซื้อที่เหมาะสม เป็นไปตามระเบียบ หลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องด้วย ๓.๕ ให้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณากำหนดแนวทางการหารือความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กลุ่มประเทศกัมพูชา-ลาว-เมียนมา-เวียดนาม (CLMV) และอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ในด้านต่าง ๆ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียนร่วมกัน โดยเฉพาะในด้านการค้า การลงทุน พลังงาน รวมทั้งพิจารณาหามาตรการให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการค้าและแนวทางเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจไทยเนื่องจากค่าจ้างในตลาดแรงงานไทยสูงกว่ากลุ่มประเทศ CLMV ค่อนข้างมาก ๓.๖ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งจัดตั้งคณะทำงานเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ๕ พื้นที่ชายแดน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๘ โดยนำเสนอนายกรัฐมนตรีภายในสัปดาห์หน้า ๔. ด้านสังคม ให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม (กองทัพบก) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดให้ทุกจังหวัดมีกิจกรรมสร้างเสริมความรู้และประสบการณ์ที่เหมาะสมกับเด็กแต่ละช่วงวัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปิดภาคเรียน เช่น การจัดค่ายฤดูร้อน การจัดกิจกรรมพัฒนาทักษะวิชาการ โดยขอความร่วมมือจากภาคเอกชนในการสนับสนุนสถานที่ฝึกงานหรือหารายได้พิเศษที่เหมาะสม ทั้งนี้ ให้ศึกษาตัวอย่างจากประเทศที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาบุคลากร เช่น ประเทศญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี ๕. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๕.๑ ปัจจุบันการดำเนินแผนงาน/โครงการ เพื่อช่วยเหลือประชาชนและพัฒนาประเทศยังมีความล่าช้า ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งรัดการดำเนินการและรายงานความก้าวหน้าให้คณะรัฐมนตรีได้รับทราบโดยเร็ว และต่อเนื่อง รวมทั้งให้กรมประชาสัมพันธ์และสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ร่วมกับหน่วยงานเจ้าของโครงการเก็บข้อมูลและภาพผลงานโครงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานด้านสาธารณูปโภคพื้นฐาน เช่น โครงการบริหารจัดการน้ำ การขุดเจาะบ่อบาดาล งานด้านสาธารณสุข เพื่อนำมาใช้ประกอบการสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนได้รับทราบความคืบหน้าในแต่ละขั้นตอน อีกทั้งยังเป็นการสร้างความโปร่งใสในการดำเนินการด้วย และให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ติดตามผลการดำเนินการในเรื่องที่รับผิดชอบเพื่อรับฟังปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และช่วยขับเคลื่อนโครงการสำคัญของรัฐบาล ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ ๕.๒ ให้กรมประชาสัมพันธ์ปรับกำหนดการเผยแพร่การดำเนินงานหรือผลงานของหน่วยงานต่าง ๆ จากทุก ๑ เดือน เป็นทุก ๑๕ วัน โดยให้แต่ละฉบับมีการนำเสนอการดำเนินงานหรือผลงานของทั้ง ๑๙ กระทรวง และระบุชื่อบรรณาธิการแต่ละเรื่องให้ชัดเจนด้วย ๕.๓ ให้ทุกหน่วยงานติดตามผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการทำงานของรัฐบาล เพื่อนำมาพิจารณาแก้ไขและปรับปรุงการดำเนินงานของหน่วยงาน พร้อมทั้งสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชนด้วย ๕.๔ ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) กำกับให้ส่วนราชการต่าง ๆ ติดตามความคืบหน้าในการจัดเวทีสาธารณะเพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิดในเรื่องต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด และในกรณีที่มีการเชิญผู้แทนจากส่วนราชการเข้าร่วม ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาส่งผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนั้น ๆ และมีความสามารถในการอธิบายและสื่อสารเข้าร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ชี้แจงทำความเข้าใจ และสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องกับประชาชนให้เป็นไปตามแนวทางของรัฐบาลด้วย ๕.๕ โดยที่กระทรวงมหาดไทยมีระบบฐานข้อมูลบัตรประจำตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์ (Smart Card) ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานและมีความพร้อมในการเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานแล้ว นั้น ให้หน่วยงานที่ประสงค์จะใช้ข้อมูลดังกล่าวประสานงานกับกระทรวงมหาดไทยเพื่อนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้ประกอบการดำเนินงานตามภารกิจที่รับผิดชอบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
1712 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 03/03/2558 | ||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ตามที่รัฐบาล (คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน) ได้มีนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่ผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (ECO-Car) นั้น ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเป็นไปได้ในการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle-EV Car) ต่อไปด้วย ๑.๒ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการทางภาษีเพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการใช้วัตถุดิบภายในประเทศ เช่น ผลผลิตทางการเกษตร ๑.๓ ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายกระชับความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับกลุ่มประเทศกัมพูชา-ลาว-เมียนมา-เวียดนาม (CLMV) เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนไปสู่ประชาคมอาเซียนด้วยกันนั้น ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจัดทำ Website เพื่อสร้างการรับรู้ให้ประชาชนทราบถึงความสำคัญและการดำเนินการต่าง ๆ ของรัฐบาลในเรื่องนี้ รวมทั้งเป็นช่องทางการสื่อสารระหว่างกัน โดยอาจเชื่อมโยง Website ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกลุ่มประเทศ CLMV และให้ทุกหน่วยงานที่มีแผนดำเนินการต่าง ๆ ร่วมกับประเทศในกลุ่ม CLMV ตรวจสอบว่ามีความร่วมมือใด ๆ ตามแผนที่จะต้องจัดทำเป็นบันทึกความเข้าใจหรือไม่ แล้วให้ดำเนินการจัดทำเพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือให้เป็นรูปธรรมต่อไป ๒. ด้านสังคม ๒.๑ ให้กระทรวงศึกษาธิการกำหนดเป้าหมายการพัฒนานักเรียน โดยนักเรียนที่จบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ จะต้องอ่านออกเขียนได้ และนักเรียนในระดับมัธยมศึกษาตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นจะต้องมีวิชาเลือกเป็นวิชาชีพเสริม เพื่อเป็นทางเลือกให้นักเรียนมีโอกาสได้รับรู้ถึงความถนัดของตนเอง โดยให้เริ่มดำเนินการได้ภายใน ๖ เดือน รวมทั้งในการกำหนดหลักสูตรการสอนทุกระดับจะต้องมีความสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาประเทศและการพัฒนาในพื้นที่ เช่น การกำหนดหลักสูตรอาชีวะด้านเทคโนโลยีการขนส่ง เพื่อรองรับการพัฒนาระบบขนส่งทางราง เป็นต้น ๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุที่เกิดบริเวณเส้นทางที่เป็นจุดตัดทางรถไฟ ด้วยการติดตั้งเครื่องกั้น ป้ายหยุด ป้ายเตือน เนินชะลอความเร็ว ไฟสัญญาณเตือนต่าง ๆ เป็นต้น ให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ทั้งนี้ หากมีงบประมาณไม่เพียงพอให้ประสานสำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณตามความเร่งด่วนและจำเป็นต่อไปด้วย รวมทั้งให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการก่อสร้างอุโมงค์รถไฟลอดผ่านถนนตามแยกต่าง ๆ ที่มีการจราจรคับคั่ง เช่น บริเวณสี่แยกยมราช เป็นต้น ๒.๓ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ เกี่ยวกับการดูแลและเยียวยาเหยื่อจากการค้ามนุษย์หรือจากการใช้แรงงานประมงโดยผิดกฎหมาย รวมทั้งให้มุ่งเน้นการดูแลและเยียวยาเหยื่อจากการค้ามนุษย์ด้วย ๓. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ให้กระทรวงยุติธรรมและสำนักงานตำรวจแห่งชาติดูแลความเหมาะสมของสถานที่ใช้ควบคุมผู้ต้องขังสตรี สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน หรือสถานที่ควบคุมผู้ต้องหาที่เป็นเด็กและเยาวชน สตรี โดยจัดสวัสดิการที่เหมาะสมกับกลุ่มบุคคลดังกล่าวไว้โดยเฉพาะ และควรสอดคล้องกับมาตรฐานขั้นต่ำของสหประชาชาติเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อกลุ่มบุคคลดังกล่าวด้วย ๔. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๔.๑ ตามที่คณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติได้มีมติว่า การดำเนินโครงการต่าง ๆ ของส่วนราชการต้องเป็นไปอย่างโปร่งใส มีการปฏิบัติกับทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียมกัน และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติต้องทำงานด้วยความซื่อสัตย์ ดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมทั้งเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบ จึงให้หน่วยงานตระหนักและให้ความสำคัญกับแนวทางข้างต้น หากพบว่ามีการละเว้นการปฏิบัติ ผู้ที่เกี่ยวข้องจะถูกดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายจนถึงที่สุด ๔.๒ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ มอบให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) สอบสวนหาข้อเท็จจริงกรณีมีการร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริตในการดำเนินงานของสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) นั้น ให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐให้การสนับสนุนการดำเนินการข้างต้นด้วย ๔.๓ ในการแต่งตั้งประธานกรรมการบริหาร รวมถึงผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ให้ทุกส่วนราชการให้ความสำคัญกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามตามที่กำหนดไว้สำหรับรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ และตามที่บัญญัติในกฎหมายอย่างเคร่งครัด รวมทั้งพิจารณาระยะเวลาในการดำรงตำแหน่ง ซึ่งควรมีระยะเวลามากกว่า ๑ ปี เพื่อให้การบริหารงานเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ ๔.๔ ให้ทุกหน่วยงานให้ความสำคัญกับการปฏิบัติการข่าวสาร (Information Operation) โดยจัดทำข้อมูลในภารกิจสำคัญของหน่วยงานที่แสดงให้เห็นถึงผลการดำเนินการที่เป็นการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของประชาชน หรือทำให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และแผนการดำเนินการในระยะต่อไป และส่งให้กรมประชาสัมพันธ์และสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สำนักโฆษก) ใช้ในการสื่อสารกับประชาชนเพื่อสร้างการรับรู้อย่างกว้างขวาง รวมทั้งให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล) และกรมประชาสัมพันธ์ดำเนินการเร่งสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชน เช่น การเปรียบเทียบค่าจ้างแรงงานในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับต้นทุนแรงงานที่แตกต่างกัน สาเหตุของการส่งออกที่ลดลงในช่วงที่ผ่านมา แนวทางการพัฒนาคนโดยมุ่งสร้างเยาวชนที่รักการอ่านและสามารถวิเคราะห์ได้ การส่งเสริมธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) แนวทางการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน ผ่านช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ ๔.๕ ให้ทุกหน่วยงานส่งเรื่องที่เป็นนโยบายสำคัญที่รัฐบาลดำเนินการ เช่น โครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา การส่งเสริมการใช้จักรยานในการสัญจร การแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน การจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย การพัฒนาคูคลอง การแก้ไขปัญหาการจราจรในกรุงเทพมหานคร ให้คณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณาเพื่อบูรณาการแนวทางการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพก่อนเสนอคณะรัฐมนตรี และให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกรุงเทพมหานครพิจารณากำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาการจราจรในเขตกรุงเทพมหานครเสนอคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณา เช่น การขยายเส้นทางจักรยานริมน้ำ การขยายเส้นทางสัญจรทางน้ำ โดยให้เชื่อมกับเส้นทางบนบก เช่น การสัญจรโดยเรือเล็ก เรือพาย ระหว่างสองฝั่งของเมืองหรือระหว่างเส้นทางที่มีปัญหาการจราจรติดขัดมาก และให้ดำเนินการจัดระเบียบการค้าขายริมทางเท้า โดยอาจจะจัดการค้าขายทางน้ำเพิ่มขึ้น รวมทั้งการดูแลความสะอาดของพื้นที่ทางบกและทางน้ำด้วย ๔.๖ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๗ เกี่ยวกับการกำหนดมาตรการจัดระเบียบและแก้ไขปัญหาชุมชนแออัดและการสร้างที่อยู่อาศัยรุกล้ำแนวลำคลองและทางระบายน้ำ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ เกี่ยวกับการจัดหาที่อยู่ใหม่ให้แก่ประชาชนกลุ่มดังกล่าว ให้แล้วเสร็จภายใน ๓ เดือน ๔.๗ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล) ร่วมกันพิจารณาประเมินผลการกระจายอำนาจทางการบริหารให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ผ่านมาว่าทำให้การบริหารราชการแผ่นดินของประเทศมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นอย่างไร มีกรณีใดที่ประสบปัญหาและควรปรับปรุงแก้ไข และเสนอแนวทางการปรับปรุงต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
1713 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 20 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย | นร11 | 03/03/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๒๐ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle : IMT-GT) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๒-๑๔ กันยายน ๒๕๕๗ ณ เมืองบันดาอาเจห์ จังหวัดอาเจห์ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย และมอบหมายส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป ตามตารางการมอบหมายภารกิจหน่วยงานดำเนินงานตามผลการประชุมฯ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินการตามผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๒๐ แผนงาน IMT-GT อาทิ การดำรงบทบาทของแผนงาน IMT-GT ในการเป็นกรอบการพัฒนาระดับอนุภูมิภาคที่สำคัญ โดยเฉพาะในการขับเคลื่อนการดำเนินการตามแผนระยะ ๕ ปี ระยะที่สอง ส่วนที่คงเหลือ (ปี ๒๕๕๗-๒๕๕๙) การเข้าร่วมการประชุมในทุกระดับของแผนงาน IMT-GT ของทุกองค์กรภายใต้แผนงาน IMT-GT การเร่งรัดพัฒนาพื้นที่ชายแดนตามแนวพื้นที่-ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจของแผนงาน IMT-GT เพื่อสร้างความเชื่อมโยงในอนุภูมิภาค โดยเฉพาะการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ และการพัฒนาโครงข่ายโลจิสติกส์ระดับอนุภูมิภาค การเร่งปรับปรุงกฎระเบียบเพื่ออำนวยความสะดวกในการข้ามแดนในการคมนาคมขนส่งทั้งทางบก ทางน้ำและทางอากาศ การประสานงานกับธนาคารพัฒนาเอเชียเพื่อให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องในการเร่งรัดขับเคลื่อนโครงการโดดเด่น (IMT-GT Signature Projects) ทั้งในโครงการที่มีในปัจจุบันและที่จะพัฒนาเพิ่มขึ้นในอนาคต การประสานงานกับสำนักงานเลขาธิการอาเซียนในการขับเคลื่อนแผนงาน IMT-GT และการพัฒนาด้านการขนส่งอย่างเป็นองค์รวมทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐานและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสอดประสานกับแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน เป็นต้น ๒. การดำเนินการตามผลการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส ครั้งที่ ๒๑ แผนงาน IMT-GT อาทิ การขับเคลื่อนโครงการตามแผนงาน ๕ ปี ระยะที่สอง ตามที่ระบุไว้ในแผนงานที่ได้ปรับปรุงล่าสุดตามผลการประชุมเพื่อขับเคลื่อนตามข้อสั่งการของผู้นำในการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๘ รวมทั้งการดำเนินการให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดใน ๖ สาขาความร่วมมือ (การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการคมนาคมขนส่ง การค้าและการลงทุน การท่องเที่ยว ผลิตภัณฑ์และบริการฮาลาล การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการเกษตรอุตสาหกรรมเกษตรและสิ่งแวดล้อม) การเสริมสร้างบทบาทของทุกองค์กรในแผนงาน IMT-GT ในการมีส่วนร่วมอย่างมีพลวัตรในการขับเคลื่อนการดำเนินงาน และเน้นย้ำบทบาทความสำคัญของกรอบการประชุมของมุขมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัดในกิจกรรมของ IMT-GT การขับเคลื่อนโครงการตามแผนงาน IMT-GT ตามที่รัฐบาลไทยได้เน้นย้ำความสำคัญซึ่งสอดคล้องกับข้อสั่งการของผู้นำ IMT-GT เช่น การเร่งพัฒนาตามแนวพื้นที่เศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ การจัดตั้งเมืองสีเขียว การขับเคลื่อนโครงการ IMT-GT Signature Projects ซึ่งไทยมีส่วนร่วม ได้แก่ การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษบริเวณชายแดนไทย-มาเลเซีย และเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจไปยังอินโดนีเซีย การพัฒนาเมืองสีเขียว การเปิดบริการเดินเรือเฟอร์รี่ขนส่งสินค้าและผู้โดยสาร (Ferry RoRo Services) ระหว่างเบลาวัน-ปีนัง-ตรัง เป็นต้น ๓. การดำเนินการตามผลการประชุมระดับมุขมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัด ครั้งที่ ๑๑ แผนงาน IMT-GT อาทิ การประสานงานอย่างใกล้ชิด แลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์ในการดำเนินงานที่ประสบความสำเร็จสูงเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในการดำเนินโครงการภายใต้กรอบการประชุมระดับมุขมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัด (Chief Ministers’ and Governors’ Forum : CMGF) ในอนาคต การเข้าร่วมการประชุมในกรอบ CMGF โดยทุกรัฐและจังหวัดในแผนงาน พร้อมทั้งจัดทำกรอบการดำเนินงานของ CMGF ที่สอดประสานกับการดำเนินงานของ ๖ คณะทำงาน การเสริมสร้างบทบาทของกรอบ CMGF ในการเร่งรัดการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่รัฐและจังหวัดที่ยังขาดการพัฒนา โดยร่วมมือกับสภาธุรกิจ IMT-GT และภาคีการพัฒนาภาคเอกชน การขับเคลื่อนโครงการในกรอบ CMGF ที่แต่ละประเทศเสนอในการประชุมในกรอบ CMGF ที่ผ่านมา การเร่งรัดการดำเนินโครงการตามที่รัฐบาลไทยได้มีนโยบายเร่งรัดซึ่งสอดคล้องกับโครงการโดยเด่นภายใต้แผนงาน IMT-GT และการจัดตั้งศูนย์ CMGF ในทุกประเทศสมาชิกเพื่อเสริมสร้างเครือข่าย CMGF สามประเทศกับศูนย์ CMGF ไทยที่ได้จัดตั้งขึ้นที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์หาดใหญ่ เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||
1714 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านสิ่งแวดล้อมของกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ครั้งที่ 4 | ทส | 03/03/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านสิ่งแวดล้อมของกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ครั้งที่ ๔ [The Fourth Greater Mekong Subregion (GMS) Environment Ministers’ Meeting : EMM] ระหว่างวันที่ ๒๗-๒๙ มกราคม ๒๕๕๘ ณ กรุงเนปิดอว์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. หัวหน้าคณะผู้แทนประเทศสมาชิกอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงได้ร่วมกันรับรองแถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านสิ่งแวดล้อมของกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ครั้งที่ ๔ (Joint Ministerial Statement) โดยไม่มีการลงนาม ซึ่งสาระสำคัญของแถลงการณ์ร่วมฯ ได้แก่ (๑) รัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมจาก ๖ ประเทศ ให้คำมั่นว่าจะพิจารณาแนวทางในการเพิ่มการลงทุนในต้นทุนทางธรรมชาติเพื่อสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนและครอบคลุมในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (๒) ประเทศสมาชิกยอมรับร่วมกันว่าการดำเนินโครงการความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงมีความสำคัญยิ่งต่อความเจริญรุ่งเรือง การขจัดความยากจน และการพัฒนาที่ยั่งยืนของอนุภูมิภาค (๓) ต้นทุนทางธรรมชาติถือเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจที่นำไปสู่การพัฒนาอย่างครอบคลุม ทั่วถึง และยั่งยืน จึงควรมีการเชื่อมโยงต้นทุนทางธรรมชาติกับการดำเนินงานของทุกสาขาและในทุกระดับของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและการลงทุนอย่างเหมาะสม และ (๔) ประเทศสมาชิกยินดีต่อข้อริเริ่มภายใต้แผนงานด้านสิ่งแวดล้อม โดยจะส่งเสริมความร่วมมือเพื่อการดำเนินงานด้านต้นทุนทางธรรมชาติ ๒. หัวหน้าคณะผู้แทนไทยแจ้งว่า ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพร่วมกับธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank : ADB) จัดการประชุมระดับเจ้าหน้าที่ จำนวน ๒ รายการ คือ การประชุมประจำปีคณะทำงานด้านสิ่งแวดล้อม GMS ครั้งที่ ๑๒ ในช่วงเดือนเมษายนหรือพฤษภาคม ๒๕๕๘ และการประชุมครึ่งปีคณะทำงานด้านสิ่งแวดล้อม GMS ครั้งที่ ๑๐ ในช่วงเดือนตุลาคมหรือพฤศจิกายน ๒๕๕๘ โดยประเทศสมาชิกรับทราบและยินดีให้การสนับสนุนประเทศไทยในการเป็นเจ้าภาพการประชุมทั้ง ๒ รายการ
|
|||||||||||||||||||||
1715 | โครงการพัฒนาไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ที่ประตูระบายน้ำและอ่างเก็บน้ำของกรมชลประทาน | มท | 03/03/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดำเนินโครงการพัฒนาไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กที่ประตูระบายน้ำและอ่างเก็บน้ำของกรมชลประทาน ในกรอบวงเงิน ๘๐๗.๙๗ ล้านบาท ประกอบด้วย การก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่อ่างเก็บน้ำ (พลังงานศักย์) จำนวน ๑๐ แห่ง กำลังการผลิตรวมประมาณ ๘.๔ เมกะวัตต์ วงเงิน ๗๙๓.๙๗ ล้านบาท และก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่ประตูระบายน้ำ (พลังงานจลน์) วงเงิน ๑๔ ล้านบาท โดยใช้เงินรายได้ของ กฟภ. ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ยกเว้นโครงการที่อ่างเก็บน้ำคลองสะพานหิน จังหวัดตราด ให้ กฟภ. ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง เช่น การจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ให้เรียบร้อย ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้ กฟภ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ที่เห็นควรเร่งรัดและติดตามการดำเนินโครงการพัฒนาไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กฯ ให้สามารถดำเนินการแล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ และให้ความสำคัญในการวางแผนทางการเงินและบริหารการลงทุนอย่างรอบคอบและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งบริหารค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานให้อยู่ในกรอบวงเงินลงทุนที่กำหนดไว้ ตลอดจนการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ทั้งในภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อให้การใช้ประโยชน์จากประตูระบายน้ำและอ่างเก็บน้ำของกรมชลประทานเป็นไปอย่างเต็มที่และเกิดประโยชน์มากที่สุด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้ กฟภ. ร่วมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพิจารณานำนวัตกรรมใหม่ในการผลิตกระแสไฟฟ้ามาดำเนินการให้เหมาะสมกับสภาพปริมาณน้ำในเขื่อนในปัจจุบันด้วย |
|||||||||||||||||||||
1716 | มติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ | ทก | 03/03/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ และครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ครั้งที่ ๑/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ที่ประชุมได้พิจารณายุทธศาสตร์ เป้าหมาย แผนงาน และกิจกรรมภายใต้แนวทางการพัฒนากิจการอวกาศของประเทศไทย โดยมีประเด็นสำคัญ ได้แก่ ๑.๑ ดาวเทียมสื่อสาร ที่ประชุมได้พิจารณากรณีการประสานงานความถี่ข่ายสื่อสารดาวเทียมในระดับหน่วยงานอำนวยการ (Administration) และเห็นชอบในหลักการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในฐานะผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงานอำนวยการของไทยให้ความเห็นชอบต่อรายงานการประชุมประสานงานความถี่ฯ ซึ่งเป็นการประชุมหารือเชิงเทคนิคและเป็นไปตามกฎข้อบังคับวิทยุคมนาคมแห่งสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ ๑.๒ ดาวเทียมสำรวจทรัพยากร ที่ประชุมได้พิจารณาแนวทางการพัฒนาและดำเนินโครงการลดความยากจนและเหลื่อมล้ำทางภูมิเศรษฐกิจโดยการรังสรรค์นวัตกรรมอวกาศ (เดิมคือ โครงการระบบสำรวจโลกด้วยดาวเทียมของประเทศ ระยะที่ ๒) ใน ๒ ทางเลือกคือ (๑) ลักษณะกิจการร่วมค้า (Joint Venture หรือ PPP) โดยรัฐร่วมลงทุนกับบริษัทเอกชนของต่างประเทศ และ (๒) ลักษณะรัฐลงทุนเอง ซึ่งที่ประชุมมีมติเลือกทางเลือกที่ ๒ คือ รัฐลงทุนเอง และมอบให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ไปศึกษาแนวทางการดำเนินงานและแผนปฏิบัติการที่จะพัฒนาดาวเทียมของไทยเอง โดยให้คำนึงถึงประโยชน์ความคุ้มค่าที่จะได้รับ รวมทั้งความเหมาะสมเปรียบเทียบกับหลายประเทศเพื่อนำเสนอคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติพิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๓ ดาวเทียมเพื่อความมั่นคง ที่ประชุมให้กระทรวงกลาโหมพิจารณาในรายละเอียดเกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีอวกาศมาประยุกต์ใช้งานด้านความมั่นคงเพื่อรองรับภัยคุกคามและสงครามในรูปแบบใหม่ ซึ่งพัฒนาไปสู่พื้นที่ปฏิบัติการ ๕ มิติ ประกอบด้วย มิติทางบก มิติทางทะเล มิติทางอากาศ มิติด้านไซเบอร์ และมิติด้านอวกาศ และนำเสนอต่อที่ประชุมในโอกาสต่อไป ๒. ครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๘ ที่ประชุมได้พิจารณาแนวทางการพัฒนากิจการอวกาศของประเทศไทย โดยมีประเด็นสำคัญ คือ แนวทางการพัฒนากิจการอวกาศของประเทศไทยดังกล่าวมีลักษณะค่อนข้างกว้าง เห็นควรให้มีการทบทวนปรับปรุงเพิ่มเติม และให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการปรับปรุงแนวทางการพัฒนากิจการอวกาศของประเทศไทยขึ้นคณะหนึ่ง มีหน้าที่ปรับปรุงแนวทางการพัฒนากิจการอวกาศของประเทศไทยให้ทันสมัย รวมทั้งให้ข้อเสนอแนะการดำเนินโครงการลดความยากจนและเหลื่อมล้ำทางภูมิเศรษฐกิจโดยการรังสรรค์นวัตกรรมอวกาศ (THEOS-2) ในคราวเดียวกัน
|
|||||||||||||||||||||
1717 | การปรับโครงสร้างการผลิตและความมั่นคงทางอาหารด้านการปศุสัตว์ | กษ | 24/02/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการการปรับโครงสร้างการผลิตและความมั่นคงทางอาหารด้านการปศุสัตว์ จำนวน ๓ โครงการประกอบด้วย โครงการอนุรักษ์และพัฒนาการผลิตกระบือ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพและผลผลิตน้ำนมโค และโครงการอนุรักษ์และพัฒนาการผลิตไก่พื้นเมือง ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ในการดำเนินการในระยะเร่งด่วน ปี ๒๕๕๘ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทำความตกลงรายละเอียดกับ สำนักงบประมาณภายในกรอบวงเงิน ๑๘๒.๑๕ ล้านบาท ๓. สำหรับการดำเนินการในระยะต่อไปให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดทำแผนโครงการให้มีรายละเอียดที่ชัดเจน ไม่ซ้ำซ้อนกับโครงการที่ได้ดำเนินการแล้ว รวมทั้งสามารถให้ภาคประชาชนได้มีส่วนร่วม โดยให้รับข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ อาทิ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรหารือกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรถึงรายละเอียดและความเป็นไปได้ในการดำเนินโครงการทุกโครงการที่จำเป็นต้องใช้เงินกู้จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรก่อนการจัดทำโครงการเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา ควรพิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดหาแหล่งเงินทุนเพื่อสนับสนุนเกษตรกร/สหกรณ์ที่เข้าร่วมโครงการ และความสามารถในการชำระเงินกู้ยืมของเกษตรกร/สหกรณ์ เพื่อมิให้เป็นภาระของภาครัฐ รวมทั้งควรพิจารณาทบทวนโครงการ โดยกำหนดแนวทางในการสร้างรายได้ให้เกษตรกรให้ชัดเจน ควรสำรวจจำนวนเกษตรกรที่จะสมัครใจเข้าร่วมโครงการ ตลอดจนควรมีการติดตามประเมินผลการดำเนินโครงการในปีแรกอย่างใกล้ชิด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย แล้วนำเสนอคณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจเพื่อพิจารณาแนวทางการดำเนินการในระยะยาวต่อไป |
|||||||||||||||||||||
1718 | โครงการจัดงานประชุมวิชาการกล้วยไม้เอเชียแปซิฟิก ครั้งที่ 12 | กษ | 24/02/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินโครงการจัดงานประชุมวิชาการกล้วยไม้เอเชียแปซิฟิก ครั้งที่ ๑๒ (The 12th Asia Pacific Orchid Conference) จำนวน ๑๒๑,๓๑๐,๙๐๐ บาท โดยค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ สำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ รองรับไว้แล้ว จำนวน ๔,๓๔๕,๕๐๐ บาท สำหรับค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๑๑๖,๙๖๕,๔๐๐ บาท ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมวิชาการเกษตร) เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. เห็นชอบให้ภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน ทุกภาคส่วนให้ความร่วมมือในการจัดงาน ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ เกี่ยวกับการใช้งบประมาณต้องเป็นไปตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม การจัดงาน และการประชุมระหว่างประเทศ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๕ และคำนึงถึงผลสัมฤทธิ์ของงานเป็นสำคัญ และควรศึกษาเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายในการจัดงานในลักษณะเดียวกันของหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อให้เกิดความชัดเจนและเกิดความคุ้มค่าในการใช้งบประมาณ รวมทั้งดำเนินการด้วยความประหยัด เหมาะสม สวยงาม การปฏิบัติทุกขั้นตอนกระทำด้วยความโปร่งใส ถูกต้อง และพร้อมรับการตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
1719 | โครงการส่งเสริมสินเชื่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจร | อก | 24/02/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๑ เรื่อง การปรับเปลี่ยนรูปแบบการพัฒนาแหล่งน้ำและการขยายระยะเวลาดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาภัยแล้งให้กับเกษตรกรชาวไร่อ้อย และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๒ เรื่อง โครงการสินเชื่อสำหรับการจัดซื้อรถตัดอ้อยเพื่อแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้และการขาดแคลนแรงงาน โดยแก้ไขเป็น “โครงการส่งเสริมสินเชื่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจร” ๑.๒ เห็นชอบ “โครงการส่งเสริมสินเชื่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจร” ประกอบด้วย การแก้ไขปัญหาภัยแล้งและอุปกรณ์บริหารจัดการน้ำในไร่อ้อย การจัดซื้อรถตัดอ้อย รถคีบอ้อย และเครื่องจักรกลการเกษตร การจัดซื้อรถแทรกเตอร์ และการจัดซื้อรถบรรทุกอ้อย ๑.๓ อนุมัติวงเงินกู้ปีละ ๓,๐๐๐ ล้านบาท จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โดยใช้จากวงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ของเงินกู้ยืมสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการปลูกอ้อย (เงินเกี๊ยว) เป็นระยะยาว ๓ ปี โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ยให้ชาวไร่อ้อยผู้กู้ชำระในอัตราร้อยละ ๒ และให้ชำระคืนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยให้เสร็จสิ้นภายในระยะเวลา ๓ ปี นับแต่ปีที่กู้ยืม โดยมีโรงงานน้ำตาลเป็นผู้ค้ำประกัน และให้รัฐบาลช่วยรับภาระอัตราดอกเบี้ยส่วนเกิน เพื่อให้ชาวไร่อ้อยนำไปพัฒนาการปลูกอ้อยให้มีประสิทธิภาพครบวงจร โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรม (สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย) ประสานกับกระทรวงการคลัง (ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) ในการตั้งงบประมาณชดเชยดอกเบี้ยตามหลักการ ต่อไป ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมกำหนดรายละเอียด มาตรการ หลักเกณฑ์ เงื่อนไขการกู้ยืมเงินและการชำระเงินกู้ ตลอดจนประมาณการวงเงินที่รัฐบาลต้องรับภาระดอกเบี้ยส่วนเกินในอัตราเดียวกับการชดเชยดอกเบี้ยสำหรับโครงการตามนโยบายรัฐบาลในการช่วยเหลือเกษตรกรกลุ่มอื่น ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนดำเนินการ ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ และคณะอนุกรรมการร่วมจัดทำยุทธศาสตร์สินค้าเกษตรเป็นรายพืชเศรษฐกิจ ๔ สินค้า (Roadmap) คือ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน และอ้อย เกี่ยวกับการกำหนดคุณสมบัติของเกษตรกรผู้กู้และโรงงานน้ำตาล ผู้ค้ำประกันหนี้เงินกู้ ตลอดจนหลักเกณฑ์เงื่อนไขการค้ำประกันให้ชัดเจน การให้ความสำคัญในการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยขนาดเล็กและขนาดกลางเป็นลำดับแรก การแยกพิจารณาการให้วงเงินสินเชื่อ ระยะเวลา และอัตราดอกเบี้ยของแต่ละกิจกรรมให้เหมาะสมกับความจำเป็น วัตถุประสงค์ และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นของการดำเนินโครงการฯ การให้ความสำคัญกับการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลายมากขึ้น การติดตามประเมินผลโครงการและรายงานผลการดำเนินงานต่อรัฐบาล รวมทั้งการบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกระดับโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่มีปัญหาและต้องการแหล่งน้ำ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
1720 | ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและนายกรัฐมนตรี (แนวทางการส่งเสริมการค้ากับประเทศที่สนใจซื้อข้าวและยางพาราจากไทย) | พณ | 24/02/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแนวทางการส่งเสริมการค้ากับประเทศที่สนใจซื้อข้าวและยางพาราจากไทย ตามข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การดำเนินการภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการค้าสินค้าเกษตรระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลจีน อยู่ระหว่างการยกร่างแผนดำเนินการด้านการค้าสินค้าเกษตรภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ เพื่อเป็นข้อมูลเตรียมการเจรจากับผู้แทนจีน โดยมีประเด็นสำคัญ ได้แก่ แนวทางการจัดตั้งคณะกรรมการร่วม (Joint Committee) เพื่อร่วมกันพิจารณากำหนด/ปรับปรุงรายการและปริมาณสินค้าเกษตรที่จีนจะซื้อเพิ่มเติมจากการค้าปกติ ทั้งนี้ ร่างแผนการดำเนินการด้านการค้าสินค้าเกษตรภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ อยู่ระหว่างเตรียมนำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์พิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๑.๒ แนวทางส่งเสริมการค้ากับประเทศที่สนใจซื้อข้าว ยางพารา และผลิตภัณฑ์ โดยสินค้าข้าว กระทรวงพาณิชย์ได้กำหนดแนวทางส่งเสริมการค้าและการบริหารจัดการเพื่อเร่งรัดการส่งออกข้าวไปยังต่างประเทศ อาทิ การจัดคณะผู้แทนการค้าเดินทางไปเจรจาและกระชับความสัมพันธ์การค้าข้าวในต่างประเทศ เป็นต้น สำหรับสินค้ายางพาราและผลิตภัณฑ์ ได้กำหนดให้มีการส่งเสริมผ่านการดำเนินการในการจัดคณะผู้แทนการค้าเพื่อเจรจาการค้าในประเทศไทย จัดคณะผู้แทนการค้าเพื่อเจรจาการค้าในต่างประเทศ และเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ พร้อมกันนี้ได้มีแผนการส่งเสริมการค้าข้าวและยางพารากับสาธารณรัฐประชาชนจีน สหพันธรัฐรัสเซีย และสาธารณรัฐฝรั่งเศส ช่วงเวลาดำเนินการปี ๒๕๕๘ ๑.๓ การส่งเสริมการค้าโดยใช้วิธีซื้อขายต่างตอบแทน คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ เห็นชอบให้ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการค้าแบบแลกเปลี่ยน พ.ศ. ๒๕๔๙ เนื่องจากแนวทางการดำเนินการค้าแบบแลกเปลี่ยนไม่เหมาะสมกับสภาวการณ์และนโยบายทางการค้าระหว่างประเทศในปัจจุบันและมีผลกระทบต่อการดำเนินโครงการของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าหรือบริการจากต่างประเทศ อย่างไรก็ดี หากหน่วยงานราชการที่จะจัดทำโครงการความร่วมมือหรือการจัดซื้อเพื่อนำเข้าสินค้าจากประเทศต่าง ๆ จะกำหนดให้นำเข้าสินค้าเกษตร เช่น ข้าว ยางพารา เป็นการแลกเปลี่ยนก็อาจจะทำได้ โดยหน่วยงานดังกล่าวต้องดำเนินการเสนอเรื่องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาเป็นกรณี ๆ ไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการที่ประกอบด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาและกลั่นกรองความคุ้มค่าของโครงการความร่วมมือเพื่อให้ไทยได้ประโยชน์สูงสุด และเร่งดำเนินการเจรจากับฝ่ายจีนเพื่อปลดหรือผ่อนปรนเงื่อนไขการส่งออกทั้งด้านคุณภาพและมาตรฐานสินค้าและด้านรูปแบบการส่งออก เพื่อไม่ให้จีนมีข้ออ้างในการถ่วงเวลาการดำเนินการตามความร่วมมือภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ และสัญญาที่ได้ลงนามไว้แล้วกับฝ่ายไทย รวมทั้งเร่งดำเนินการตามแผนการส่งเสริมการค้าข้าวและยางพารากับจีน รัสเซีย และฝรั่งเศส โดยเฉพาะในการส่งเสริมการค้ายางพาราที่หดตัวลงทั้งในรัสเซียและฝรั่งเศส รวมทั้งการส่งเสริมการค้าข้าวและยางพาราในประเทศคู่ค้าสำคัญเพื่อรักษาตลาด ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
.....