ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 89 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 1761 - 1780 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1761 | รายงานผลการดำเนินโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ | สว | 23/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร (นายวีระพันธ์ มุขสมบัติ) และนายโชติจุฑา อาจสอน กรรมการบริหารกลุ่มบริษัทที่ปรึกษาบริหารโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ รายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ณ พื้นที่ราชพัสดุ ถนนทหาร (เกียกกาย) สรุปได้ว่า การดำเนินโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่มีความล่าช้าไปกว่าที่กำหนด (กำหนดระยะเวลาก่อสร้าง ๙๐๐ วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๖ สิ้นสุดวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘) เนื่องจากมีการส่งมอบพื้นที่สำหรับดำเนินโครงการก่อสร้างล่าช้า จากเดิมที่กำหนดส่งมอบพื้นที่ในวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๖ แต่สามารถส่งมอบพื้นที่ได้จริงในวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๗ จำนวน ๑๐๒-๓-๗๖ ไร่ (ร้อยละ ๘๓.๕ ของพื้นที่ทั้งหมด) ยังเหลือพื้นที่ในส่วนของการปรับปรุงภูมิทัศน์ (บริเวณโรงเรียนโยธินบูรณะ ชุมชนองค์การทอผ้า และบ้านพักทหารของกรมการอุตสาหกรรมทหาร) อีกจำนวน ๒๐-๑-๒๘ ไร่ คาดว่าจะส่งมอบให้แก่ผู้รับจ้างได้ในช่วงเดือนมิถุนายน ๒๕๕๘ ปัจจุบันโครงการฯ อยู่ระหว่างการดำเนินงานก่อสร้างชั้นใต้ดิน โดยจะต้องทำงานเสาเข็มเจาะ งานระบบป้องกันดินพัง และงานขุดดิน ซึ่งมีขั้นตอนการก่อสร้างจากบนลงล่างเพื่อการก่อสร้างชั้นใต้ดิน ชั้น B2 ระดับความลึกที่ -๑๐.๓๐ ถึง -๑๖.๐๐ เมตร ใช้เวลาในการดำเนินการค่อนข้างมากถึง ๑๔ เดือน เมื่อเทียบกับแผนงานที่ได้รับอนุมัติทั้งโครงการ ๓๐ เดือน และขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการขุดดินที่ระดับ -๑๐.๓๐ เมตร เพื่อเร่งรัดจัดงานก่อสร้างฐานรากบริเวณฐานเครื่องยอดส่วนที่เป็นสายงานวิกฤติและส่วนอื่น ๆ ให้สามารถเร่งรัดงานโครงสร้างรองรับส่วนเครื่องยอดได้ต่อไป ซึ่งความก้าวหน้างานโครงสร้างปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ ๒๕ งานเตรียมการอยู่ที่ร้อยละ ๖๐ ในขณะนี้งานเสาเข็มเจาะอาคารหลักแล้วเสร็จ งานฐานรากแล้วเสร็จ ๓๔ ฐาน ดังนั้น เมื่อเทียบความก้าวหน้าของโครงการทั้งหมด จะมีความก้าวหน้าของงานก่อสร้างอยู่ที่ร้อยละ ๘.๖๖ ล่าช้าไปจากแผนงานที่กำหนดไว้ คิดเป็นระยะเวลาล่าช้า จำนวน ๓๔๑ วัน และคาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ได้แล้วเสร็จในช่วงปลายปี ๒๕๕๙ และสามารถเข้าใช้อาคารได้ในช่วงปลายปี ๒๕๖๐ ทั้งนี้ ในส่วนของดินที่ขุดขึ้นมาจากพื้นที่ก่อสร้าง ได้นำไปบริจาคให้กับมูลนิธิราชประชานุเคราะห์และวัดแก้วฟ้าจุฬามณี จำนวนประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ คิว นำไปขายทอดตลาดแล้ว จำนวนประมาณ ๒๔๐,๐๐๐ คิว และอยู่ระหว่างการดำเนินการขายทอดตลาดอีกจำนวนประมาณ ๓๐๐,๐๐๐ คิว ๒. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยจัดตั้งคณะทำงานขึ้นคณะหนึ่ง โดยให้มีผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นคณะทำงาน เพื่อติดตามความก้าวหน้าการดำเนินโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ รวมทั้งโครงการที่เกี่ยวข้อง เช่น โครงการสร้างถนนและสะพานเกียกกาย เป็นต้น แล้วให้นำผลการติดตามความก้าวหน้าการดำเนินโครงการฯ พร้อมทั้งให้จัดทำข้อเสนอแนะและแนวทางการดำเนินการที่เหมาะสมเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
1762 | ขอขยายระยะเวลาโครงการสินเชื่อส่งเสริมผู้ประกอบอาชีพให้บริการรถสาธารณะในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย | กค | 16/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาโครงการสินเชื่อส่งเสริมผู้ประกอบอาชีพให้บริการรถสาธารณะในพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ออกไปถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ เป็นครั้งสุดท้าย และให้ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยรายงานความคืบหน้าของการดำเนินโครงการฯ เป็นรายไตรมาสให้กระทรวงการคลังได้รับทราบและใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณากำหนดนโยบายและมาตรการในการพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. สำหรับเรื่องงบประมาณให้กระทรวงการคลัง โดยธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณในการขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามรายจ่ายที่เกิดขึ้นจริงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ๓. ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและประธานกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เห็นควรติดตามประเมินผลการดำเนินโครงการฯ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาทบทวนมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาลให้สามารถครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1763 | รายงานสถานภาพ ภาพรวมด้านงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | นร07 | 09/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานสถานภาพ ภาพรวมด้านงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ จากงบประมาณทั้งสิ้น ๒,๕๗๕,๐๐๐ ล้านบาท จัดสรรแล้ว ๑,๖๑๓,๖๗๖.๓๙๗ ล้านบาท หรือร้อยละ ๖๒.๖๗ มีการลงนามสัญญาแล้ว ๕๙๙,๐๓๗.๐๔๐ ล้านบาท หรือร้อยละ ๒๓.๒๖ มีการเบิกจ่ายแล้ว ๕๕๐,๔๓๓.๗๓๓ ล้านบาท หรือร้อยละ ๒๑.๓๘ ทั้งนี้ แผนการใช้จ่ายงบประมาณไตรมาสที่ ๑ กำหนดไว้เป็นเงิน ๙๓๘,๕๕๒.๓๘๑ ล้านบาท มีการเบิกจ่ายแล้ว ๕๕๐,๔๔๓.๗๓๓ ล้านบาท หรือร้อยละ ๕๘.๖๕ ๑.๒ เงินกันไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปี พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๕๗ รวมทั้งสิ้น ๓๒๕,๘๙๘.๐๗๐ ล้านบาท มีการลงนามสัญญาแล้ว ๑๒๐,๓๖๙.๖๓๙ ล้านบาท หรือร้อยละ ๓๖.๙๓ มีการเบิกจ่ายแล้ว ๕๒,๔๕๘.๕๙๘ ล้านบาท หรือร้อยละ ๑๖.๑๐ ๑.๓ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะ ๓ เดือน จากกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติทั้งสิ้น ๒๒,๙๙๙.๗๙๒ ล้านบาท ได้อนุมัติจัดสรรงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ ที่กรมบัญชีกลางอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว จำนวน ๗,๗๑๗.๕๖๔ ล้านบาท และอนุมัติจัดสรรเงินกู้ไทยเข้มแข็งแล้ว จำนวน ๑๓,๕๖๑.๙๙๘ ล้านบาท รวมอนุมัติจัดสรรแล้ว จำนวน ๒๑,๒๗๙.๕๖๒ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๒.๕๒ ทั้งนี้ ผลการใช้จ่ายงบประมาณตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ณ วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ ในส่วนของงบกลางฯ มีการลงนามสัญญาแล้ว (ใบสั่งซื้อเหลื่อมปี) จำนวน ๑,๑๔๗.๘๘๓๔ ล้านบาท และเบิกจ่ายงบประมาณแล้ว จำนวน ๑๗.๔๙๘๓ ล้านบาท คงเหลือยังไม่ลงนามสัญญา ๖,๕๕๒.๑๘๒๐ ล้านบาท ในส่วนของเงินสำรองจ่ายงบไทยเข้มแข็ง มีการลงนามสัญญาแล้ว (ใบสั่งซื้อเหลื่อมปี) จำนวน ๖๗.๔๔๗๕ ล้านบาท และเบิกจ่ายงบประมาณแล้ว จำนวน ๑.๔๗๘๔ ล้านบาท รวมเบิกจ่ายแล้วทั้งสิ้น ๑๘.๙๗๖๖ ล้านบาท ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐเร่งดำเนินการเบิกจ่ายเงินงบประมาณให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณ ทั้งนี้ หากมีปัญหาไม่สามารถดำเนินการเบิกจ่ายได้ ให้ชี้แจงเหตุผลความจำเป็นต่อสำนักงบประมาณเพื่อรายงานคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) และสำนักงบประมาณร่วมกันรายงานผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณและความคืบหน้าในการดำเนินโครงการตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้คณะรัฐมนตรีทราบทุก ๑๕ วัน
|
||||||||||||||||||||||||
1764 | การบริหารโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : เงินกู้ DPL) | กค | 09/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ดำเนินโครงการและอนุมัติจัดสรรเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : เงินกู้ DPL) ให้กับสำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง จำนวน ๒ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการแก้ไขปัญหาจำนวนลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ SAP (SAP Software License) ที่ใช้งานในระบบการบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) วงเงิน ๘๖๐ ล้านบาท และ (๒) โครงการปรับปรุงและพัฒนาระบบการบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) ให้รองรับซอฟต์แวร์ SAP ECC 6.0 วงเงิน ๘๒๓ ล้านบาท โดยให้สำนักงานปลัดกระทรวงการคลังดำเนินการตามหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐที่มีงบประมาณเกินกว่า ๑๐๐ ล้านบาท ๑.๒ อนุมัติให้ดำเนินโครงการและอนุมัติจัดสรรเงินกู้ DPL ให้กับกรมศุลกากรสำหรับโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมทางศุลกากรด้วยระบบเอ็กซเรย์ตู้คอนเทนเนอร์สินค้าสัมภาระและหีบห่อสินค้าของผู้เดินทาง รองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) วงเงิน ๑,๓๑๘ ล้านบาท โดยให้กรมศุลกากรนำสัญญาคุณธรรม (Integrity Pact) มาพิจารณาดำเนินการด้วย ๑.๓ อนุมัติให้ดำเนินโครงการและอนุมัติจัดสรรเงินกู้ DPL ให้กับกรมสรรพากร สำหรับโครงการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร จำนวน ๖ โครงการ วงเงิน ๓๙๓.๘๖๒๗ ล้านบาท โดยให้กรมสรรพากรดำเนินการตามหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐที่มีงบประมาณเกินกว่า ๑๐๐ ล้านบาท ๑.๔ ให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเป็นผู้พิจารณารายละเอียดค่าใช้จ่ายโครงการฯ ต่อไป ทั้งนี้ ในกรณีโครงการใดต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบใด ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัดด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของคณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐและกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่เห็นควรให้ความสำคัญในประเด็นเกี่ยวกับการจัดทำแบบพิมพ์เขียวของสถาปัตยกรรมองค์กร (Enterprise Architecture) ทั้งภายในและภายนอกเพื่อแสดงให้เห็นการเชื่อมโยง (Interoperability) ของแต่ละระบบเพื่อประโยชน์ในการขยายระบบในอนาคต รวมถึงพิจารณาการบูรณาการการใช้ทรัพยากรร่วมกันของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเพื่อลดความซ้ำซ้อนในการลงทุน มีการวิเคราะห์สภาพปัจจุบันของการดำเนินงาน ปัญหาและอุปสรรคพร้อมกำหนดแนวทางแก้ไข และวางแผนการดำเนินงานในระยะสั้นและระยะยาวให้ชัดเจน ให้ความสำคัญกับการติดตามและประเมินผลโครงการเพื่อให้การดำเนินโครงการสามารถวัดผลได้อย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายได้อย่างเป็นรูปธรรม มีกระบวนการบริหารจัดหา License Management ที่ดี และคำนึงถึงค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับค่าบำรุงรักษาในระยะยาว ตลอดจนเตรียมการพัฒนาบุคลากรภาครัฐที่เกี่ยวข้องให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญ สามารถรองรับการปฏิบัติงานตามภารกิจและให้สามารถดูแลรักษาระบบได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1765 | การบริหารโครงการลงทุนภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 | กค | 09/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการและเบิกจ่ายเงินกู้จนถึงไม่เกินเดือนธันวาคม ๒๕๕๗ สำหรับโครงการของกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน ๖ โครงการ วงเงิน ๒๓๕,๗๐๖,๗๓๖.๒๔ ล้านบาท ได้แก่ ๑.๑.๑ จ้างก่อสร้างระบบส่งน้ำฝายปากจาบ โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาพัฒนาลุ่มน้ำชีตอนบน จังหวัดชัยภูมิ ๑ แห่ง วงเงินที่ขอขยายระยะเวลาเบิกจ่าย ๓,๓๙๘,๘๐๘.๙๙ บาท ๑.๑.๒ จ้างก่อสร้างทำนบดินหัวงานและอาคารประกอบพร้อมส่วนประกอบอื่น โครงการอ่างเก็บน้ำคลองกระทะ จังหวัดภูเก็ต (รวมค่าควบคุมงาน) วงเงินที่ขอขยายระยะเวลาเบิกจ่าย ๑๕๐,๔๕๒,๓๘๓.๑๕ บาท ๑.๑.๓ จ้างก่อสร้างโครงการสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้า พร้อมระบบส่งน้ำบ้านวังกลมเหนือ จังหวัดพิจิตร วงเงินที่ขอขยายระยะเวลาเบิกจ่าย ๗,๐๓๒,๕๑๓.๑๑ บาท ๑.๑.๔ จ้างก่อสร้างระบบส่งน้ำและอาคารประกอบ โครงการระบบส่งน้ำห้วยพุงใหญ่ จังหวัดร้อยเอ็ด วงเงินที่ขอขยายระยะเวลาเบิกจ่าย ๑๖,๐๖๓,๙๕๖.๕๔ บาท ๑.๑.๕ จ้างก่อสร้างระบบสูบน้ำและระบบส่งน้ำ MC1 พร้อมอาคารประกอบ โครงการพัฒนาลุ่มน้ำตาปี-พุมดวง จังหวัดสุราษฎร์ธานี วงเงินที่ขอขยายระยะเวลาเบิกจ่าย ๕๖,๑๕๘,๙๒๗.๔๕ บาท ๑.๑.๖ จ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างระบบสูบน้ำและระบบส่งน้ำ MC1 พร้อมอาคารประกอบ โครงการพัฒนาลุ่มน้ำตาปี-พุมดวง จังหวัดสุราษฎร์ธานี วงเงินที่ขอขยายระยะเวลาเบิกจ่าย ๒,๖๐๐,๑๔๗.๐๐ บาท ๑.๒ จัดสรรเงินสำรองจ่าย จำนวน ๕ หน่วยงาน วงเงิน ๔๑,๒๐๓,๙๑๙.๙๙ บาท ได้แก่ ๑.๒.๑ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ๑๔,๘๘๕,๖๓๓.๐๗ บาท ๑.๒.๒ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ๕,๙๖๘,๒๐๘.๖๑ บาท ๑.๒.๓ กรมทางหลวง ๑๓,๘๗๒,๘๒๗.๐๐ บาท ๑.๒.๔ กรุงเทพมหานคร ๑,๖๗๘,๒๗๒.๕๖ บาท ๑.๒.๕ กรมโยธาธิการและผังเมือง ๔,๗๙๘,๙๗๘.๗๕ บาท ๑.๓ เปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงวงเงินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี กระทรวงศึกษาธิการ (โครงการขยายวิทยาเขตราชบุรี) รายการก่อสร้างหอประชุม ๑ หลัง จากวงเงิน ๕๙,๘๒๘,๒๘๒.๐๐ บาท เป็น วงเงิน ๖๘,๘๗๘,๕๐๓.๖๓ บาท โดยให้สัตยาบันการลงนามในสัญญาของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีที่ได้ลงนามสัญญาแล้ว ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีเสนอขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการเพิ่มประสิทธิภาพของส่วนราชการกระทรวงศึกษาธิการ (โครงการขยายวิทยาเขตราชบุรี) รายการก่อสร้างหอประชุม ๑ หลัง เนื่องจากดำเนินการไม่ถูกต้องตามขั้นตอนในการขอเพิ่มวงเงินโครงการ โดยไม่ได้ขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนที่จะดำเนินการ ตามความเห็นของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ แล้วรายงานคณะรัฐมนตรีภายใน ๔๕ วัน |
||||||||||||||||||||||||
1766 | รายงานข้อมูลข้อเท็จจริงกรณีโครงการทำเหมืองแร่โพแทชในประเทศไทย | อก | 09/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานข้อมูลข้อเท็จจริงกรณีโครงการทำเหมืองแร่โพแทชในประเทศไทย สรุปได้ว่า โครงการเหมืองแร่โพแทชมีความสำคัญและเป็นประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศเนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ใช้เงินลงทุนสูง อีกทั้งในกระบวนการอนุญาตจะต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่งขณะนี้บางโครงการได้ผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่เรียบร้อยแล้ว ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการชี้แจงทำความเข้าใจและสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่เกี่ยวกับการทำเหมืองแร่โพแทชในเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของโครงการที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน ผลดีและประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่จะได้รับจากการดำเนินโครงการนี้ในอนาคต และให้กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินการข้างต้นต่อคณะรัฐมนตรีโดยจะต้องมีความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ก่อนที่จะดำเนินการในขั้นตอนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
1767 | รายงานผลการเบิกจ่ายเงินและความคืบหน้าในการดำเนินโครงการตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ระยะ 3 เดือนแรก ปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | กค | 09/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ และความคืบหน้าในการดำเนินโครงการตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะ ๓ เดือนแรก ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม-๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม-๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ เบิกจ่ายแล้วทั้งสิ้น ๕๙๒,๔๔๓ ล้านบาท เป็นการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ จำนวน ๕๒๕,๔๖๑ ล้านบาท หรือร้อยละ ๒๐ ของวงเงินงบประมาณ ๒,๕๗๕,๐๐๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๔๘,๘๙๓ ล้านบาท หรือร้อยละ ๑๐ ๑.๒ เงินงบประมาณรายจ่ายลงทุน จำนวน ๔๔๔,๔๑๐ ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม-๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ก่อหนี้ผูกพันแล้ว จำนวน ๕๔,๙๓๓ ล้านบาท หรือร้อยละ ๑๒ เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๒๓,๕๘๗ ล้านบาท หรือร้อยละ ๕ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุน สูงกว่าการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ๑.๓ ความคืบหน้าในการจัดสรรเงินสำหรับโครงการตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะ ๓ เดือน วงเงิน ๒๓,๐๐๐ ล้านบาท ในส่วนของเงินงบกลางที่กันไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปี วงเงิน ๗,๘๐๐ ล้านบาท จำนวน ๙,๙๙๘ โครงการ สำนักงบประมาณจัดสรรเมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ โดยพิจารณาจัดสรรเงินให้กับโครงการที่มีลักษณะเป็นการปรับปรุงและซ่อมแซมอาคารที่ทำการ/อาคารเรียน/อาคารพยาบาล/อาคารบ้านพัก การจัดหาครุภัณฑ์ทางการแพทย์ รวมถึงการปรับปรุงโครงการพื้นฐานที่เน้นการใช้แรงงานในพื้นที่เป็นหลักในลำดับแรก ๒. ให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) และสำนักงบประมาณร่วมกันรายงานผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณและความคืบหน้าในการดำเนินโครงการตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้คณะรัฐมนตรีทราบทุก ๑๕ วัน
|
||||||||||||||||||||||||
1768 | โครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา | มท | 09/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการจัดทำแนวคิดและการออกแบบเบื้องต้นโครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ของกระทรวงมหาดไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งสองฝั่งในลักษณะเป็นสะพานยกสูงเหนือระดับน้ำท่วมสูงสุดเพื่อใช้เป็นเส้นทางสัญจรรองรับการเดินทางด้วยจักรยาน (Bike Lane) การชมทัศนียภาพริมแม่น้ำเจ้าพระยา การพักผ่อนหย่อนใจ การออกกำลังกาย และการจัดกิจกรรมเพื่อสุขภาพและนันทนาการ โดยระยะแรกจะเริ่มดำเนินโครงการตั้งแต่บริเวณสะพานพระราม ๗ จนถึงบริเวณสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า ระยะทางประมาณ ๗ กิโลเมตร โดยสะพานแต่ละฝั่งจะมีความกว้างประมาณ ๑๙.๕ เมตร ยกสูงกว่าระดับน้ำประมาณ ๒.๘ เมตร และในระยะต่อไปจะขยายการดำเนินโครงการ โดยให้เริ่มตั้งแต่บริเวณสะพานพระนั่งเกล้าจนถึงบริเวณสะพานพระราม ๓ ต่อไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยให้ยึดหลักการที่จะให้ประชาชนส่วนใหญ่ทุกเพศวัยได้เข้าถึงและใช้ประโยชน์จากการดำเนินโครงการเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม และให้หลีกเลี่ยงการใช้พื้นที่โครงการเป็นเส้นทางสำหรับรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยจัดตั้งคณะทำงานขึ้นโดยมีผู้แทนกระทรวงคมนาคม (กรมเจ้าท่า) สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมเป็นคณะทำงาน เพื่อศึกษาความเหมาะสม (Feasibility Study) และจัดทำรายละเอียดของการออกแบบและการก่อสร้าง รวมทั้งการดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ โครงสร้างของโครงการดังกล่าวจะต้องมีศักยภาพในการรองรับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
1769 | โครงการบริหารจัดการไม้มีค่าเพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน และหอประชุมกองทัพบก | นร05 | 09/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่เจ้ากรมยุทธโยธาทหารบก (พลตรี จาตุรนต์ จารุเสน) รายงานว่า โครงการบริหารจัดการไม้มีค่าเพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน (พิพิธภัณฑ์ไม้มีค่า) เป็นสถาปัตยกรรมแบบไทยประยุกต์โดยนำไม้มีค่ามาตกแต่งภายใน มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ประโยชน์จากไม้มีค่าที่อยู่ในการกำกับดูแลของทางราชการ ใช้เป็นที่จัดแสดงผลงานเกี่ยวกับศิลปกรรม จิตรกรรม หัตถกรรม และประติมากรรม ซึ่งเป็นผลงานของช่างคนไทยที่สืบทอดงานศิลป์ ใช้เป็นสถานที่ต้อนรับแขกของพระบรมวงศานุวงศ์หรือแขกของรัฐบาล และเป็นแหล่งการเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมไทยของนิสิต นักศึกษา และประชาชนทั่วไป โครงการมีระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๑ (รวม ๔ ปี) ส่วนหอประชุมกองทัพบกจะใช้เป็นสถานที่ประชุมของกองทัพบกและส่วนราชการต่าง ๆ มีระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๐ (รวม ๓ ปี) โดยทั้งสองโครงการดังกล่าวจะใช้พื้นที่ดำเนินการรวมประมาณ ๑๙ ไร่ ๑ งาน ๒. มอบหมายให้คณะกรรมการบริหารจัดการไม้มีค่าเพื่อประโยชน์ของแผ่นดินเร่งรัดและกำกับดูแลการดำเนินโครงการบริหารจัดการไม้มีค่าเพื่อประโยชน์ของแผ่นดินให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ และให้ประสานกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ส่งมอบไม้มีค่าที่อยู่ในความครอบครองและการดำเนินคดีความสิ้นสุดและให้แปรรูปเพื่อนำมาใช้ในโครงการได้อย่างเหมาะสมสอดคล้องกับระยะเวลาดำเนินการต่อไป รวมทั้งให้ประสานกับกระทรวงคมนาคม (กรมเจ้าท่า) เพื่อพิจารณาความเป็นไปได้ในการนำไม้พะยูงที่อยู่ในความครอบครองของกรมเจ้าท่ามาใช้ประโยชน์ในการดำเนินโครงการฯ เพิ่มเติมด้วย ทั้งนี้ ในการประดับตกแต่งอาคารให้ดำเนินการโดยประณีตเพื่อให้อาคารมีความวิจิตรงดงาม มีเอกลักษณ์ความเป็นไทย เหมาะสมที่จะเป็นมรดกของชาติให้แก่ชนรุ่นหลังสืบไป
|
||||||||||||||||||||||||
1770 | ขอขยายเวลาการดำเนินงานโครงการความร่วมมือจัดทำข้อเสนอนโยบายด้านการศึกษาของประเทศไทย โดย UNESCO ร่วมกับ OECD | ศธ | 02/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการความร่วมมือจัดทำข้อเสนอนโยบายด้านการศึกษาของประเทศไทย โดยองค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Educational, Scientific, and Cultural Organization : UNESCO) ร่วมกับองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (The Organization for Economic Co-operation and Development : OECD) จากเดิม ๒๘ สัปดาห์ เป็น ๘๑ สัปดาห์ โดยสิ้นสุดการดำเนินงานโครงการฯ ในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการประสานกับ UNESCO และ OECD เพื่อให้การจัดทำข้อเสนอนโยบายด้านการศึกษาดังกล่าวมีความสอดคล้องกับคำแถลงนโยบายด้านการศึกษาของคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๗ ด้วย ๒. สำหรับงบประมาณดำเนินการยังคงใช้ในกรอบวงเงินเดิม จำนวน ๑๐,๔๐๐,๐๐๐ บาท (๒๕๒,๐๐๐ ยูโร) โดยค่าใช้จ่ายส่วนที่เหลือ (๑๕๑,๒๐๐ ยูโร) ให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ของสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาที่ได้ขอขยายเวลาเบิกจ่ายเงินกับกระทรวงการคลังไว้แล้ว จำนวน ๖,๐๗๗,๕๒๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||
1771 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการก่อสร้างอาคารเรียนสหศึกษา 1 หลัง ของมหาวิทยาลัยบูรพา | ศธ | 02/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้มหาวิทยาลัยบูรพาเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการค่าก่อสร้างอาคารเรียนสหศึกษา จากวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้ จำนวน ๑๙๖,๘๗๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน จำนวน ๒๗๔,๖๒๖,๗๕๐ บาท โดยค่างานส่วนที่เพิ่มขึ้นใช้เงินรายได้ของมหาวิทยาลัยสมทบ จำนวน ๗๗,๗๕๖,๗๕๐ บาท ทั้งนี้ การดำเนินโครงการดังกล่าวให้มหาวิทยาลัยบูรพาดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี หนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง และมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||
1772 | การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารแผนงาน/โครงการของส่วนราชการ (มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2556 และครั้งที่ 1/2557) | ทส | 25/11/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๖ ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้มีมติในเรื่องเชิงนโยบายที่สำคัญและได้ข้อยุติแล้ว จำนวน ๑๒ เรื่อง และการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๗ คณะกรรมการฯ ได้มีมติในเรื่องเชิงนโยบายที่สำคัญและได้ข้อยุติแล้ว จำนวน ๑๘ เรื่อง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้ทุกส่วนราชการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ในความรับผิดชอบที่ได้ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องและได้รับความเห็นชอบ/อนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ดำเนินการแล้ว เพื่อให้ประชาชนและผู้สนใจได้ทราบการดำเนินงานของรัฐบาลอย่างถูกต้องโดยทั่วกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและโครงการอื่น ๆ ที่อาจมีผลกระทบด้านต่าง ๆ และอยู่ในความสนใจของประชาชน รวมทั้งให้มีการรายงานความคืบหน้าของการดำเนินโครงการต่าง ๆ ดังกล่าวเป็นระยะ ๆ เพื่อสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องแก่ประชาชนด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
1773 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ งานจ้างก่อสร้างระบบชลประทานฝั่งซ้าย สัญญาที่ 1 โครงการห้วยโสมงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดปราจีนบุรี | กษ | 25/11/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณเพื่อดำเนินรายการก่อสร้างระบบชลประทานฝั่งซ้าย สัญญาที่ ๑ โครงการห้วยโสมงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดปราจีนบุรี ในวงเงิน ๘๖๒,๘๘๘,๘๘๘ บาท โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๑๘๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ จำนวน ๗๑,๖๗๖,๑๐๐ บาท ส่วนที่เหลืออีก จำนวน ๖๑๑,๒๑๒,๗๘๘ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-พ.ศ. ๒๕๖๑ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการปฏิบัติตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๖ ที่กำหนดให้ส่วนราชการเจ้าของเรื่องพิจารณาและนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป อีกครั้งหนึ่งเป็นกรณี ๆ ไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นควรให้มีการติดตาม กำกับการดำเนินโครงการอย่างใกล้ชิด เพื่อใช้เป็นกรณีตัวอย่างของการดำเนินโครงการภาครัฐที่สามารถประหยัดงบประมาณดำเนินงานและให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งเร่งรัดดำเนินการให้สามารถเบิกจ่ายงบประมาณให้แล้วเสร็จภายในเวลาที่กำหนด และการดำเนินการทุกขั้นตอนการปฏิบัติจะต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
1774 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการประตูระบายน้ำและอาคารประกอบ โครงการประตูระบายน้ำบ้านวังสะตือ จังหวัดสุโขทัย | กษ | 25/11/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการประตูระบายน้ำและอาคารประกอบ โครงการประตูระบายน้ำบ้านวังสะตือ จังหวัดสุโขทัย โดยเพิ่มวงเงินรายการดังกล่าว จากวงเงิน ๒๑๘,๙๐๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๒๒๔,๒๒๒,๘๒๑.๒๑ บาท และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔-พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔-พ.ศ. ๒๕๕๘ ส่วนงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยในส่วนงบประมาณค่างานส่วนที่เพิ่มขึ้น จำนวน ๑๕,๗๒๒,๘๒๑.๒๑ บาท ให้กรมชลประทานขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ภายใต้มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อเป็นค่างานดังกล่าวต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดการดำเนินโครงการฯ ให้แล้วเสร็จ ภายในกรอบเวลาที่ได้ขยาย เนื่องจากโครงการฯ ได้ดำเนินการขอขยายเวลามาครั้งหนึ่งแล้ว นอกจากนี้ ควรศึกษาสภาพแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างละเอียดรอบคอบ และเหมาะสมกับสภาพทางกายภาพของพื้นที่ก่อสร้างเพื่อป้องกันการแก้ไขแบบก่อสร้างในภายหลัง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
1775 | ขอความเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟของประเทศไทยในกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. 2558 - 2565 | คค | 25/11/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนภายใต้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟของประเทศไทยในกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ มีสาระสำคัญคือ รัฐบาลไทยตกลงให้รัฐบาลจีนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการตาม “กรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕” โดยเฉพาะโครงการรถไฟทางคู่ขนาดมาตรฐาน (Standard Gauge) เส้นทางหนองคาย-โคราช-แก่งคอย-ท่าเรือมาบตาพุด (ประมาณ ๗๓๔ กิโลเมตร) และเส้นทางแก่งคอย-กรุงเทพฯ (ประมาณ ๑๓๓ กิโลเมตร) ซึ่งเป็นโครงการรถไฟทางคู่ขนาดมาตรฐานโครงการแรกของไทย โดยทั้งสองฝ่ายจะใช้ความร่วมมือในรูปแบบรัฐบาลต่อรัฐบาลในการดำเนินโครงการความร่วมมือดังกล่าว และให้เสนอร่างบันทึกความเข้าใจฯ เพื่อขอความเห็นชอบของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ตามมาตรา ๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจฯ แล้ว ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญในร่างบันทึกความเข้าใจฯ โดยไม่มีผลเปลี่ยนแปลงหลักการและสาระสำคัญ ให้กระทรวงคมนาคมสามารถหารือกับกระทรวงการต่างประเทศและส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และดำเนินการต่อไปโดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีและสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๓. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ความร่วมมือในรูปแบบรัฐบาลต่อรัฐบาลในการดำเนินโครงการฯ เป็นการลงทุนขนาดใหญ่และมีวงเงินงบประมาณสูง จึงเห็นควรดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนก่อนดำเนินโครงการต่อไป และเพื่อให้การดำเนินงานภายใต้ร่างบันทึกความเข้าใจฯ เป็นไปอย่างรอบครอบ เกิดความโปร่งใส และเกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาระบบรางของประเทศ เห็นควรพิจารณาความสอดคล้องของแผนการพัฒนาระบบรางขนาดมาตรฐานของประเทศกับแผนการพัฒนาระบบรถไฟของประเทศเพื่อนบ้าน อาเซียน และสาธารณรัฐประชาชนจีน (จีนตอนใต้) การเปรียบเทียบความเหมาะสมและความคุ้มค่าของการพัฒนารถไฟขนาดมาตรฐานในระดับความเร็วต่าง ๆ การพิจารณากำหนดรูปแบบการร่วมลงทุนที่เหมาะสม โดยเฉพาะเรื่องสิทธิในการพัฒนาที่ดินตามแนวเส้นทาง การกำหนดให้มีการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีอย่างเป็นระบบ รวมทั้งการสงวนสิทธิของรัฐบาลไทยในการพิจารณารูปแบบการลงทุนจัดหาขบวนรถ ผู้ให้บริการเดินรถและบำรุงรักษาที่เหมาะสมตามขั้นตอนกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องของประเทศไทย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
1776 | รายงานผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงสิ้นเดือนกันยายน 2557 | กค | 18/11/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณจนถึงเดือนกันยายน ๒๕๕๗ ของส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เป้าหมายการเบิกจ่ายรายจ่ายภาพรวม ร้อยละ ๙๕.๐๐ ของวงเงินงบประมาณ และรายจ่ายลงทุนร้อยละ ๘๒.๐๐ ของงบประมาณรายจ่ายลงทุน มีการเบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๒,๒๔๖,๓๐๖.๒๒ ล้านบาท หรือร้อยละ ๘๘.๙๖ ของวงเงินงบประมาณ จำนวน ๒,๕๒๕,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายร้อยละ ๖.๐๔ ประกอบด้วย รายจ่ายประจำ จำนวน ๑,๙๖๒,๒๕๖.๖๓ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๓.๗๓ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำหลังโอนเปลี่ยนแปลง จำนวน ๒,๐๙๓,๔๕๒.๓๑ ล้านบาท และรายจ่ายลงทุน จำนวน ๒๘๔,๐๔๙.๕๙ ล้านบาท หรือร้อยละ ๖๕.๘๒ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนหลังโอนเปลี่ยนแปลง จำนวน ๔๓๑,๕๔๗.๖๙ ล้านบาท ๑.๒ เงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีและขยายเวลาเบิกจ่ายเงิน ประกอบด้วยเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘-๒๕๕๖ จำนวนเงินรวมทั้งสิ้น ๓๐๒,๓๓๙.๖๘ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๒๑๓,๖๘๔.๒๕ ล้านบาท หรือร้อยละ ๗๐.๖๘ ของวงเงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี ๑.๓ เงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๔๙,๙๖๐.๔๔ ล้านบาท เบิกจ่ายตั้งแต่ต้นปีงบประมาณจนถึงสิ้นเดือนกันยายน ๒๕๕๗ จำนวน ๔,๕๙๖.๕๗ ล้านบาท ตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงสิ้นเดือนกันยายน ๒๕๕๗ จัดสรรแล้วจำนวนทั้งสิ้น ๓๓๗,๑๑๕.๘๓ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๓๓๒,๒๘๕.๙๐ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๘.๕๗ ของวงเงินที่จัดสรร ๑.๔ เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติจำนวน ๓๔๙,๙๙๘.๙๙ ล้านบาท เบิกจ่ายตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงสิ้นเดือนกันยายน ๒๕๕๗ จำนวน ๖,๗๙๓.๒๒ ล้านบาท ตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงสิ้นเดือนกันยายน ๒๕๕๗ จัดสรรแล้วจำนวนทั้งสิ้น ๓๔๘,๗๒๔.๒๙ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๒๒,๒๙๕.๒๒ ล้านบาท หรือร้อยละ ๖.๓๙ ของวงเงินที่จัดสรร ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยให้เร่งรัดการดำเนินโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐ เพื่อก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้เพื่อให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนไปในทุก ๆ ไตรมาส ตามแนวทางของมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๗ (เรื่อง มาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘) รวมทั้งให้เร่งรัดการพิจารณาทบทวนเงินกันไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปี ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘-๒๕๕๖ ตามแนวทางของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะ ๓ เดือนแรก) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
1777 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สาม และแนวโน้มปี 2557 - 2558 | นร11 | 18/11/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สาม และแนวโน้มปี ๒๕๕๗-๒๕๕๘ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สามของปี ๒๕๕๗ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในไตรมาสที่สามของปี ๒๕๕๗ ขยายตัวร้อยละ ๐.๖ เทียบกับการขยายตัวร้อยละ ๐.๔ ในไตรมาสที่สองของปี ๒๕๕๗ และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สามของปี ๒๕๕๗ ขยายตัวจากไตรมาสที่สองของปี ๒๕๕๗ ร้อยละ ๑.๑ (QoQ_SA %) เมื่อรวมกับครึ่งแรกของปีซึ่งเศรษฐกิจหดตัวร้อยละ ๐.๑ ทำให้เศรษฐกิจไทยในช่วง ๙ เดือนแรกของปี ๒๕๕๗ ขยายตัวร้อยละ ๐.๒ ๑.๒ แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี ๒๕๕๗ จะขยายตัวร้อยละ ๑.๐ ปรับลดลงจากประมาณการร้อยละ ๑.๕-๒.๐ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สามขยายตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ เป็นผลมาจากปัจจัยสำคัญ ๔ ประการ ได้แก่ (๑) เศรษฐกิจโลกในไตรมาสที่สามขยายตัวต่ำกว่าในไตรมาสที่สอง โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐฯ และจีน ในขณะที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นและยุโรปอยู่ในภาวะอ่อนแอ (๒) ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งยังหดตัวต่อเนื่องร้อยละ ๔๑.๙ หดตัวมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ และส่งผลให้ปริมาณการผลิตรถยนต์ต่ำกว่าที่ประมาณการ (๓) การเบิกจ่ายงบประมาณในไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ ๒๕๕๗ อยู่ที่ร้อยละ ๒๐.๘ ต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนดร้อยละ ๒๕.๐ และอัตราเบิกจ่ายรวมทั้งปีงบประมาณอยู่ที่ร้อยละ ๘๙.๐ ต่ำกว่าเป้าหมายการเบิกจ่ายที่ตั้งไว้ที่ร้อยละ ๙๕.๐ และ (๔) การท่องเที่ยวยังฟื้นตัวได้ช้า จำนวนนักท่องเที่ยวในไตรมาสที่สามลดลงมากกว่าที่คาดไว้ ๑.๓ แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี ๒๕๕๘ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๓.๕-๔.๕ โดยมีปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ (๑) การส่งออกที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก (๒) การปรับตัวดีขึ้นของการท่องเที่ยวตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและเงื่อนไขภายในประเทศ รวมทั้งผลของการดำเนินนโยบายรัฐบาล (๓) การลงทุนภาคเอกชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมไปแล้วในปี ๒๕๕๗ จะเริ่มดำเนินการ (๔) การเร่งการใช้จ่ายและดำเนินโครงการลงทุนที่สำคัญ ๆ ของภาครัฐ (๕) การเริ่มกลับมาขยายตัวของการผลิตและจำหน่ายรถยนต์ในประเทศ และ (๖) การลดลงของราคาน้ำมันในตลาดโลกจะลดแรงกดดันด้านราคาและเพิ่มอำนาจซื้อ ๒. ให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) สำนักงบประมาณ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการเบิกจ่ายงบประมาณ โดยเฉพาะในส่วนของการดำเนินโครงการในพื้นที่เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนโดยเร็ว ๓. ในการแถลงข่าวและประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจกับประชาชนเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจไทย นั้น ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานอื่น ๆ ที่รับผิดชอบอธิบายให้ชัดเจนถึงสาเหตุของการขยายตัวหรือหดตัวของดัชนีเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีสถานการณ์ไม่ปกติ การนำเสนอควรเน้นการเปรียบเทียบข้อมูลกับไตรมาสก่อนหน้าหรือเดือนก่อนหน้า เพื่อให้ประชาชนมีความเข้าใจถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่สาม การขยายตัวด้านการลงทุนของเอกชน และการบริโภคเริ่มมีอัตราขยายตัวที่เป็นบวกเมื่อเทียบกับการติดลบในช่วงต้นปี และในขณะนี้ผลกระทบจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะภาวะเศรษฐกิจโลกที่กำลังหดตัวมีผลต่อภาวะเศรษฐกิจไทย
|
||||||||||||||||||||||||
1778 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการลงทุนเกษตรแบบมีสัญญา (Contract Farming) กับประเทศเพื่อนบ้านภายใต้ยุทธศาสตร์ ACMECS | พณ | 18/11/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. โดยที่ข้อเสนอของกระทรวงพาณิชย์ขอให้คณะรัฐมนตรีมอบหมาย “คณะกรรมการจัดทำแผนการลงทุนเกษตรแบบมีสัญญากับประเทศเพื่อนบ้าน” เป็นผู้พิจารณาจัดทำแผนงานการดำเนินโครงการลงทุนเกษตรแบบมีสัญญากับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งคณะกรรมการดังกล่าวจัดตั้งโดยคำสั่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเป็นการดำเนินการภายในระดับกระทรวง มิได้อยู่ในอำนาจของคณะรัฐมนตรีที่จะมอบหมายคณะกรรมการดังกล่าวได้ ประกอบกับเพื่อให้การปฏิบัติงานในเรื่องนี้มีความคล่องตัวและยืดหยุ่นขึ้น จึงควรตัดคำว่า “ในแต่ละปี” ออก ดังนั้น จึงเห็นควรแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๐ จาก “การพิจารณาแผนการลงทุนเกษตรแบบมีสัญญา (Contract Farming) ในแต่ละปี มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับผิดชอบดำเนินการโดยประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป” เป็น “การพิจารณาแผนการลงทุนเกษตรแบบมีสัญญา (Contract Farming) มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับผิดชอบดำเนินการโดยประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป และให้รายงานความก้าวหน้าต่อคณะรัฐมนตรีทุกปี” ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (คณะกรรมการจัดทำแผนการลงทุนเกษตรแบบมีสัญญากับประเทศเพื่อนบ้าน) พิจารณาแนวทางให้ศูนย์ขายสินค้าเกษตรตามแนวชายแดนเป็นกลไกในการแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรล้นตลาดในพื้นที่ชายแดนเนื่องจากการผลิตของเกษตรกรรายย่อยในประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่นอกแผนการลงทุนเกษตรแบบมีสัญญา |
||||||||||||||||||||||||
1779 | ขอความเห็นชอบการเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 (เงินกันไว้เบิกเหลื่อมปี) | วท | 18/11/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามข้อเสนอของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ขอเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ จำนวน ๓๔,๕๓๗,๘๐๐ บาท จากเดิม เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการร่วมดำเนินการสนับสนุนองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency : JICA) เพื่อจัดทำข้อมูลความสูงภูมิประเทศของพื้นที่รับน้ำนอง ภายใต้แผนปฏิบัติการบรรเทาปัญหาอุทกภัยระยะเร่งด่วน เป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการใน ๒ กิจกรรม ๑ โครงการ ดังนี้ ๑.๑ กิจกรรมการจัดทำแผนที่การใช้ที่ดินในเขตป่าไม้ในปัจจุบันเพื่อสนับสนุนคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๖๖/๒๕๕๗ จำนวน ๘,๓๐๐,๐๐๐ บาท ๑.๒ กิจกรรมภูมิสารสนเทศเพื่อติดตามเฝ้าระวังโซนการเกษตรของประเทศไทยในฤดูเพาะปลูก พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๑๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๑.๓ โครงการพัฒนาภูมิสารสนเทศกลางเพื่อสนับสนุนการจัดการทรัพยากรและการจัดการพื้นที่ของประเทศตามศักยภาพ (Zoning) จำนวน ๘,๒๓๗,๘๐๐ บาท ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป รวมทั้งให้รับไปหารือร่วมกับหน่วยงานฝ่ายความมั่นคงและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องที่ใช้ประโยชน์จากดาวเทียมไทยโชต หรือดาวเทียมธีออส (Thailand Earth Observation Systems : THEOS) เพื่อพิจารณาแนวทางการเตรียมการรองรับกรณีที่ดาวเทียมไทยโชตจะหมดอายุการใช้งานในทางเทคนิคประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๐ โดยให้คำนึงถึงประโยชน์ความคุ้มค่าที่จะได้รับ รวมทั้งความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการร่วมมือกับต่างประเทศดำเนินการส่งดาวเทียมดวงใหม่ขึ้นสู่วงโคจรแทนดาวเทียมไทยโชต และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
1780 | การดำเนินการตามมาตรการควบคุมการทำการประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงานและไร้การควบคุม | กษ | 18/11/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้คณะกรรมการนโยบายประมงแห่งชาติรับผิดชอบการแก้ไขปัญหาในการควบคุมการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม [Illegal, Unreported and Unregulated (IUU) Fishing] ในระดับชาติ พร้อมเร่งรัดการจัดทำแผนระดับชาติในการป้องกัน ยับยั้ง และขจัดการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (NPOA-IUU) โดยกำหนดภารกิจและมอบอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติโดยเร็ว ๑.๒ เร่งรัดให้มีการบังคับใช้กฎหมายเพื่อให้เรือประมงไทยขนาดตั้งแต่ ๓๐ ตันกรอสขึ้นไป ติดตั้งระบบติดตามเรือ (VMS) เพื่อให้สามารถควบคุมและติดตามการทำประมงของเรือดังกล่าว ๑.๓ มอบหมายให้กรมเจ้าท่าเป็นหน่วยงานหลัก Competent Authority ร่วมกับกรมประมง ภายใต้กฎระเบียบ IUU ของสหภาพยุโรป ในการดำเนินการควบคุมการประมง IUU ของเรือประมงไทย ๒. สำหรับงบประมาณในการดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการควบคุมและติดตามตำแหน่งเรือประมง จำนวน ๔๕,๑๗๐,๐๐๐ บาท ให้กรมประมงพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ มาดำเนินการตามความจำเป็นเร่งด่วนก่อน โดยบูรณาการร่วมกับกรมเจ้าท่า ซึ่งขณะนี้ได้จัดทำระบบควบคุมการจราจรและความปลอดภัยทางทะเลระยะที่ ๑ (Vessel Traffic Management Information System Phase I) และโครงการก่อสร้างและจัดหาระบบตรวจการณ์ชายฝั่งอ่าวไทยตอนบน VTS ระยะที่ ๒ เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวของเรือในทะเลเขตน่านน้ำไทย และท่าเรือที่สำคัญ โดยมีสถานีเรดาห์ ๕ สถานี หากไม่เพียงพอให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงคมนาคมเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายเพื่อให้เรือประมงไทยขนาดตั้งแต่ ๓๐ ตันกรอสขึ้นไป ติดตั้งระบบติดตามเรือ (VMS) เพื่อให้สามารถควบคุมและติดตามการทำประมงของเรือ ควรดำเนินการบังคับใช้กฎหมายเป็น ๒ ระยะ โดยเริ่มต้นบังคับกับเรือกลประมงทะเลลึก ซึ่งแบ่งเป็นเรือกลประมงทะเลลึกชั้น ๒ ขนาดตั้งแต่ ๖๐ ตันกรอสขึ้นไป และเรือกลประมงทะเลลึกชั้น ๑ ขนาดตั้งแต่ ๑๕๐ ตันกรอสขึ้นไปก่อน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดการดำเนินการโดยขอความร่วมมือจากหน่วยงานด้านความมั่นคงในการดำเนินการแก้ไขปัญหาการทำการประมงที่ผิดกฎหมายเพื่อให้การแก้ไขปัญหาดังกล่าวสามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งพิจารณากำหนดกลไกในการขับเคลื่อนเพื่อแก้ไขปัญหาการทำการประมงที่ผิดกฎหมายได้อย่างเป็นรูปธรรม เช่น การจัดตั้งคณะกรรมการในระดับพื้นที่ที่มีผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อบูรณาการการทำงานร่วมกัน เป็นต้น ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานความคืบหน้าในเรื่องนี้ต่อคณะรัฐมนตรีภายใน ๓ เดือนด้วย ๔. ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประชาสัมพันธ์การดำเนินการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการทำประมงผิดกฎหมายเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มชาวประมงและผู้ประกอบการประมง |
.....