ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 88 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 1741 - 1760 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1741 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 27/01/2558 | |||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๗ และ ๑๓ มกราคม ๒๕๕๘ ให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) กำกับให้หน่วยงานด้านเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องประสานกับธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อติดตามสถานการณ์ค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิดและเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งกำหนดมาตรการรองรับด้วย นั้น เนื่องจากธนาคารกลางยุโรปได้เริ่มใช้มาตรการด้านการเงิน (Quantitative Easing : QE) โดยการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเป็นจำนวนมากผ่านการซื้อพันธบัตรของรัฐบาล จึงมีแนวโน้มที่เงินทุนจำนวนมากจะเคลื่อนย้ายเข้ามาลงทุนในภูมิภาคอาเซียนรวมทั้งประเทศไทยด้วย ประกอบกับบัญชีเดินสะพัดของไทยมีแนวโน้มเกินดุลมากกว่าปีก่อนอันเป็นผลจากมูลค่าการนำเข้าน้ำมันที่ลดลง ส่งผลให้เกิดความผันผวนต่ออัตราแลกเปลี่ยนและผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจของไทย โดยเฉพาะภาคการส่งออก จึงให้กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและกำหนดมาตรการการเงินการคลังเพื่อรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ๑.๒ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๘ ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งตรวจสอบราคาสินค้าอุปโภคบริโภคโดยเฉพาะรายการที่ยังมีราคาค่อนข้างสูง และกำหนดมาตรการในการดูแลระดับราคา รวมทั้งการแจ้งเตือนผู้ประกอบการ เนื่องจากขณะนี้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งเป็นต้นทุนหลักในภาคการขนส่งลดลง จึงให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง และให้ดูแลราคาสินค้าให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและสอดคล้องกับต้นทุนพลังงาน ๑.๓ ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงอุตสาหกรรม ติดตาม ตรวจสอบ และเร่งดำเนินโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการยาง ในวงเงินสินเชื่อ ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ แต่ปัจจุบันการเบิกจ่ายวงเงินสินเชื่อยังอยู่ในระดับต่ำ ๑.๔ มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ (๑) การให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้มีรายได้น้อย โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการต่าง ๆ เพื่อลดต้นทุนการผลิต สนับสนุนเครื่องมือและปัจจัยการผลิต ตลอดจนแนวทางการพักชำระหนี้เกษตรกร แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไปด้วย และ (๒) การให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่มีรายได้น้อย คนจนเมือง และผู้ได้รับผลกระทบจากการจัดระเบียบสังคม โดยให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางการลดผลกระทบของผู้ประกอบการรายย่อยที่ใช้พื้นที่ทางสาธารณะทำการค้าขายอยู่เดิม และจัดหาพื้นที่สำหรับประกอบอาชีพ และเสนอแผนการดำเนินงานดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว โดยให้คำนึงถึงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องด้วย รวมทั้งเพิ่มช่องทางการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสำหรับผู้ขาดแคลนเงินเพื่อใช้ในการดำรงชีพและการประกอบอาชีพ ๒. ด้านสังคม ๒.๑ ให้ทุกหน่วยงานที่จะจัดทำโครงการที่เป็นการให้ความช่วยเหลือหรือให้การอุดหนุนแก่ประชาชนเฉพาะกลุ่มระบุวัตถุประสงค์ของโครงการ ผลประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ ให้มีความสอดคล้องกับปัญหาและความต้องการที่แท้จริงของกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่ม ทั้งนี้ ให้เน้นการช่วยเหลือผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาส เด็ก ผู้สูงอายุซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความจำเป็นเร่งด่วนให้ทั่วถึงและเป็นหลักก่อน และให้คำนึงถึงขีดความสามารถและข้อจำกัดของงบประมาณด้วย ๒.๒ ให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาดำเนินโครงการเพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่บัณฑิตที่จบการศึกษาใหม่ เช่น การจัดการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทักษะความรู้ที่จำเป็นเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานทั้งภายในประเทศ ในภูมิภาค และในตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๒.๓ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับกระทรวงยุติธรรมพิจารณาดำเนินการเร่งนำตัวผู้กระทำผิดกฎหมาย โดยเฉพาะคดีอุกฉกรรจ์และสะเทือนขวัญต่อประชาชนให้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและดำเนินคดีตามกฎหมายได้โดยเร็ว ๓. ด้านการต่างประเทศ เนื่องจากในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นปีครบรอบการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยกับประเทศต่าง ๆ จึงให้กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงวัฒนธรรมประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งภาคเอกชนในการเตรียมการจัดงานเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสนี้ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๘ และให้พิจารณาจัดโครงการหรือกิจกรรมอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น การออกตราไปรษณียากร (แสตมป์) ที่ระลึก การจัดแสดงแลกเปลี่ยนศิลปวัฒนธรรม การจัดการแข่งขันกีฬาเชื่อมความสัมพันธ์ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการต่างประเทศฟื้นฟูความสัมพันธ์กับราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียด้วย ๔. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รับไปดำเนินการประสานกับคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับผลการดำเนินการยกร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา โดยให้สรุปประเด็นที่เพิ่มเติมจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ และจัดทำเอกสารเสนอในที่ประชุมร่วมระหว่างคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ สภาปฏิรูปแห่งชาติ และคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ๕. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๕.๑ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยให้เร่งรัดการดำเนินโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐ เพื่อก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้เพื่อให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนไปในทุก ๆ ไตรมาส นั้น ให้ทุกส่วนราชการและจังหวัดเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ โดยโครงการที่ดำเนินการตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และเริ่มกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างแล้ว ให้ลงนามในสัญญาภายในเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ และให้พิจารณาการจ้างงานประชาชนในพื้นที่เป็นลำดับแรกเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับพื้นที่ ๕.๒ ให้คณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ) และสำนักงบประมาณร่วมกันพิจารณาความเป็นไปได้ในการกำหนดวงเงินการจัดสรรงบประมาณให้แก่จังหวัดและกลุ่มจังหวัดให้มีความเหมาะสม และกำหนดมาตรการจูงใจในการเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามเวลาที่กำหนด รวมทั้งให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัดจัดทำรายงานการใช้จ่ายงบประมาณที่แสดงให้เห็นถึงความคุ้มค่าด้วย ๕.๓ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับไปพิจารณากำหนดอัตรากำลังตำรวจท่องเที่ยวและงบประมาณให้มีความเพียงพอต่อการดูแล การให้ความช่วยเหลือ การอำนวยความสะดวก และให้ความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวในพื้นที่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๓ เดือน แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๕.๔ ให้ทุกส่วนราชการที่มีภารกิจให้บริการประชาชนร่วมกันพิจารณาเปิดศูนย์บริการสาธารณะแบบครบวงจรที่ครอบคลุมการให้บริการหลากหลายแก่ประชาชนในพื้นที่ที่ประชาชนสามารถเดินทางได้สะดวกและสามารถใช้บริการหลังเวลาเลิกงาน หรือในวันหยุดราชการได้ เช่น ห้างสรรพสินค้า รวมทั้งให้มีการสร้างการรับรู้แก่ประชาชนด้วย ๕.๕ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) ให้ทุกส่วนราชการดำเนินการสร้างการรับรู้ข้อมูล ข่าวสาร รวมทั้งชี้แจงประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการดำเนินงานของรัฐบาลให้ประชาชนทราบอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องโดยไม่ตอบโต้ให้เกิดความขัดแย้ง นั้น ให้กรมประชาสัมพันธ์ดำเนินการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการดำเนินงานของรัฐบาลในเรื่องต่าง ๆ ที่มีความคืบหน้าและเป็นประโยชน์ต่อประชาชน เพื่อสร้างการรับรู้แก่ประชาชน โดยในวาระแรกให้เผยแพร่การทำงานของศูนย์บริการจัดหางานของกระทรวงแรงงานที่เปิดให้ผู้ว่างงานสามารถเข้าไปหางานที่ต้องการได้อย่างสะดวก รวมทั้งให้นายจ้างสามารถเข้าไปหาแรงงานตามที่ต้องการได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1742 | การจัดทำความร่วมมือทวิภาคี Joint Crediting Mechanism (JCM) กับประเทศญี่ปุ่น | ทส | 20/01/2558 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการจัดทำข้อตกลงทวิภาคีความร่วมมือระหว่างประเทศญี่ปุ่นกับประเทศไทยในการพัฒนากลไกเครดิตร่วม (Joint Crediting Mechanism : JCM) โดยโครงการความร่วมมือทวิภาคี JCM มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการถ่ายทอดเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศกำลังพัฒนาและประเทศพัฒนาน้อยที่สุด ภายใต้ความร่วมมือทวิภาคีนี้ ญี่ปุ่นจะให้การสนับสนุนความรู้ทางเทคนิคและ/หรืองบประมาณบางส่วน (ไม่เกินร้อยละ ๕๐ ของมูลค่าโครงการ) แก่โครงการที่ได้รับการพิจารณาคัดเลือก โดยมีเงื่อนไขว่ารัฐบาลของประเทศกำลังพัฒนาและประเทศพัฒนาน้อยที่สุดจะต้องทำการส่งมอบคาร์บอนเครดิตที่เกิดจากการดำเนินโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภายใต้กลไกนี้ในสัดส่วนที่ตกลงกันให้แก่รัฐบาลญี่ปุ่น เพื่อใช้ประกอบเป็นส่วนหนึ่งในการรายงานผลการดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของญี่ปุ่นภายใต้อนุสัญญาประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) และมอบหมายให้องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) เป็นผู้ดำเนินการในรายละเอียดตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรพิจารณาข้อตกลงความร่วมมือไทย-ญี่ปุ่น ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในช่องทางอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย ส่วนของการถ่ายทอดเทคโนโลยี ควรมีกรอบข้อตกลงเรื่องลิขสิทธิ์ของเทคโนโลยีร่วมกัน และควรหารือเพิ่มเติมในรายละเอียดของสาขาเทคโนโลยี ประเภทของโครงการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ การเข้าร่วมโครงการ JCM ควรพิจารณาโครงการที่ประเทศไทยมีความพร้อมและความเหมาะสมที่จะเข้าร่วม เช่น โครงการในภาคพลังงาน ภาคอุตสาหกรรม และภาคการจัดการของเสีย โดยไม่ควรรวมโครงการด้านป่าไม้ เนื่องจากไม่ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง รวมทั้งควรมีข้อตกลงในเรื่องลิขสิทธิ์เทคโนโลยีที่อาจจะมีการพัฒนาร่วมกันระหว่างประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่น และในระยะยาว ประเทศไทยควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีของตนเอง ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป และให้นำร่างข้อตกลงที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ การจัดทำความร่วมมือทวิภาคีดังกล่าวจะต้องอยู่บนพื้นฐานของการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเท่าเทียมกันและเป็นธรรมระหว่างกัน รวมทั้งต้องไม่ขัดกับกฎหมายภายในประเทศและไม่มีประเด็นเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญา ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ดำเนินการจัดทำข้อมูลเกี่ยวกับการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยให้ทันสมัย เป็นปัจจุบัน เพื่อใช้ประโยชน์ในการเจรจาข้อตกลงเกี่ยวกับการจัดการด้านป่าไม้และคาร์บอนเครดิตของประเทศไทยต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
1743 | บันทึกความเข้าใจว่าด้วยโครงการพัฒนาโรงพยาบาลเมืองปากซอง แขวงจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว | กต | 20/01/2558 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยโครงการพัฒนาโรงพยาบาลเมืองปากซอง แขวงจำปาสัก ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับแก้ถ้อยคำในร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นต้น รวบรวมรายละเอียดของแผนงาน/โครงการที่ประเทศไทยได้ทำความตกลงให้ความช่วยเหลือแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว รวมทั้งงบประมาณค่าใช้จ่ายของแต่ละแผนงาน/โครงการในส่วนที่ประเทศไทยเป็นผู้รับผิดชอบ โดยให้ระบุระยะเวลาในการดำเนินโครงการและแหล่งงบประมาณด้วยเพื่อเป็นข้อมูลแจ้งให้สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวทราบในกรณีที่ผู้แทนของรัฐบาลไทยไปเยือนครั้งต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
1744 | การดำเนินโครงการที่มีประโยชน์ต่อประชาชนอย่างทั่วถึงให้เกิดเป็นรูปธรรมโดยเร็วเพื่อมอบให้เป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชน : โครงการถนนสายวิทยาศาสตร์ ประจำปี 2558 | วท | 20/01/2558 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินโครงการที่มีประโยชน์ต่อประชาชนอย่างทั่วถึงให้เกิดเป็นรูปธรรมโดยเร็วเพื่อมอบให้เป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชน : โครงการถนนสายวิทยาศาสตร์ ประจำปี ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงวิยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ ได้วางแผนการจัดงาน “ถนนสายวิทยาศาสตร์ ประจำปี ๒๕๕๘” ในสถานที่ ๓ แห่ง คือ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ถนนพระรามที่ ๖ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ คลองห้า จังหวัดปทุมธานี และจัตุรัสวิทยาศาสตร์ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ จามจุรีสแควร์ ซึ่งในปี ๒๕๕๘ นี้ องค์การสหประชาชาติ โดยองค์การ UNESCO กำหนดให้เป็นปี The International Year of Light and Light-based Technologies 2015 (IYL 2015) รวมทั้งองค์การ FAO ได้กำหนดให้เป็นปี International Year of Soils 2015-IYS 2015 ๒. หน่วยงานที่เข้าร่วมได้เปิดบ้านต้อนรับเยาวชนให้ได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์นอกห้องเรียนอย่างเต็มที่ในงาน "ถนนสายวิทยาศาสตร์ ประจำปี ๒๕๕๘” โดยจัดเตรียมสถานีการทดลองและสถานีกิจกรรมการเรียนรู้ รวม ๔๗ สถานี มาจาก ๔ กระทรวง ได้แก่ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงอุตสาหกรรม ๓. กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้จัดพิธีเปิดงาน “ถนนสายวิทยาศาสตร์ ประจำปี ๒๕๕๘” อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๕๘ ณ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ถนนพระรามที่ ๖ และถนนโยธี กรุงเทพฯ และงานสิ้นสุดเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๘ โดยมีผู้เข้าชมงาน ๓๐,๑๕๑ คน ทำให้เด็กและเยาวชนที่เข้าชมงานมีความใส่ใจด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ส่งผลให้ชาติก้าวสู่สังคมแห่งการเรียนรู้มากขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1745 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 20/01/2558 | |||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านความมั่นคง โดยที่ขณะนี้ใกล้ครบกำหนดเวลาที่ใบอนุญาตทำงานชั่วคราวที่ศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จออกให้แก่แรงงานต่างด้าวจะหมดอายุแล้ว แต่กระบวนการตรวจสัญชาติอาจไม่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จได้ทันภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘ จึงให้กระทรวงแรงงานพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าวแล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีภายในสัปดาห์หน้า ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ รับทราบและเห็นชอบผลการพิจารณาและมติของคณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ ครั้งที่ ๒/๒๕๕๗ โดยมีเรื่องแผนการดำเนินงานเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษปี ๒๕๕๘-๒๕๕๙ ซึ่งได้กำหนดขอบเขตพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษระยะแรก ได้แก่ จังหวัดตาก มุกดาหาร สงขลา สระแก้ว และตราด นั้น ในการดำเนินการให้คณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษพิจารณาใช้พื้นที่ของทางราชการเป็นลำดับแรก ๒.๒ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการปรับปรุงกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องรองรับกับเศรษฐกิจดิจิทัล และจัดทำแผนปฏิบัติการ (Action plan) เพื่อไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพให้แล้วเสร็จโดยเร็ว นั้น เนื่องจากขณะนี้ยังมีความเข้าใจที่แตกต่างกันในเรื่องเศรษฐกิจดิจิทัลค่อนข้างมาก จึงให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางในการสร้างการรับรู้ในเรื่องนี้ต่อสาธารณชนในวงกว้าง เช่น จัดกิจกรรมหรือเวทีให้ทุกภาคส่วนแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ร่วมกัน เป็นต้น ๒.๓ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๗ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) รับเรื่องรายงานผลการศึกษาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพจากแร่ใยหินไปกำกับดูแล โดยตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาและตรวจสอบข้อมูลข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องในภาพรวมทั้งหมด นั้น ให้คณะทำงานดังกล่าวพิจารณาหาแนวทางการยกเลิกการใช้แร่ใยหิน โดยเตรียมมาตรการรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น และให้พิจารณาดำเนินการในช่วงเวลาที่เหมาะสม ๒.๔ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางผลักดันจัดตั้งศูนย์กลางโลจิสติกส์ของประเทศไทย โดยศึกษาผลดี ผลเสีย และเตรียมความพร้อมและมาตรการรองรับผลกระทบที่เกิดขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนย้ายเสรี (free flow) ในสาขาต่าง ๆ เช่น สินค้า บริการ การลงทุน แรงงาน ด้วย ๒.๕ ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดทำแผนการขยายเส้นทางรถไฟสายหลักให้เกิดความเชื่อมโยงและครอบคลุมพื้นที่ซึ่งมีความสำคัญในด้านต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เช่น สถานที่ท่องเที่ยว เขตพื้นที่การศึกษา เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ เป็นต้น ๒.๖ ให้กระทรวงพลังงานสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชนเกี่ยวกับการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ตามโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar cell) ว่าได้มีระบบการกำหนดโควตาในการรับซื้อ มิใช่การรับซื้ออย่างไม่จำกัดจำนวน ๓. ด้านสังคม ให้กระทรวงศึกษาธิการประสานงานและร่วมติดตามการดำเนินการกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการตรวจสอบการดำเนินโครงการก่อสร้างห้องสมุดเฉลิมพระเกียรติ ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดน่าน ที่มีกรณีว่าโครงการดังกล่าวเข้าข่ายการทุจริต ๔. ด้านการต่างประเทศ เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านคาดหวังให้ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้แทนการเจรจาไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างประเทศเพื่อนบ้านกับประเทศนอกกลุ่มอาเซียน เช่น กรณีความขัดแย้งเรื่องการสร้างเขื่อนผลิตพลังงานไฟฟ้ากั้นแม่น้ำโขงของสาธารณรัฐประชาชนจีนที่ส่งผลกระทบต่อสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ราชอาณาจักรกัมพูชา และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และกรณีข้อพิพาทหมู่เกาะในทะเลจีนใต้ระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนและสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม จึงให้กระทรวงการต่างประเทศประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดเตรียมข้อมูลให้นายกรัฐมนตรีเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการเจรจาต่อไปด้วย ๕. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๕.๑ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้ที่เกี่ยวข้องในกรณีที่มีกลุ่มอาจารย์ของสถาบันการศึกษาที่ออกนอกระบบเรียกร้องเพื่อขอรับเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวให้เท่าเทียมกับข้าราชการในสถาบันการศึกษาที่อยู่ในระบบ ๕.๒ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งกำหนดมาตรการดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยวอย่างเร่งด่วน รวมทั้งกำหนดบทลงโทษแก่ผู้กระทำความผิดอย่างเหมาะสมเพื่อให้ผู้ประกอบการเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเพิ่มความระมัดระวังในการให้บริการยิ่งขึ้น นั้น ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว พร้อมทั้งติดตามกรณีปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เช่น การข่มขู่ การเอารัดเอาเปรียบ และการหลอกลวงนักท่องเที่ยวด้วย ๕.๓ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๕๘ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางสนับสนุนให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างแหล่งกักเก็บน้ำเพื่อประโยชน์ในการบริโภค อุปโภค และการเกษตรกรรม เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจากภาวะภัยแล้งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในระยะต่อไป นั้น ให้หน่วยงานดังกล่าวดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี รวมทั้งเตรียมมาตรการรองรับสถานการณ์การขาดแคลนน้ำโดยเฉพาะในพื้นที่ที่ประสบภัยแล้งให้มีแหล่งกักเก็บน้ำให้เพียงพอด้วย ๕.๔ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารประสานงานกับทุกหน่วยงานในการบูรณาการการใช้ประโยชน์ร่วมกันจากฐานข้อมูลที่มีอยู่ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ ให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณากำหนดแนวทางให้ศูนย์ต่าง ๆ ได้แก่ ศูนย์บริการประชาชน ทำเนียบรัฐบาล ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของกระทรวงต่าง ๆ และศูนย์ดำรงธรรมประจำจังหวัด มีการทำงานที่เชื่อมโยงกันอย่างครบวงจร นั้น ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและกระทรวงมหาดไทยเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว โดยเฉพาะการบูรณาการข้อมูลและการปรับปรุงฐานข้อมูลให้ทันสมัยและพร้อมใช้งานทุกเวลา ๕.๕ ในการสร้างความปรองดองสมานฉันท์และการผลักดันการปฏิรูปให้บรรลุผลสำเร็จ ปัจจัยสำคัญที่สุด คือ การสร้างการรับรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนในเรื่องต่าง ๆ ที่สำคัญ และอยู่ในความสนใจของประชาชนอย่างต่อเนื่อง เช่น การพิจารณาถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง การนิรโทษกรรม การดำเนินคดีผู้กระทำผิดกฎหมาย อำนาจหน้าที่ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ และอำนาจหน้าที่ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เพื่อให้ประชาชนทราบเหตุผลของการดำเนินการในแต่ละเรื่องให้ถูกต้องและชัดเจน จึงให้ทุกหน่วยงานเร่งสร้างการรับรู้แก่ประชาชนในเรื่องสำคัญและอยู่ในความสนใจของประชาชนที่อยู่ภายใต้ภารกิจความรับผิดชอบอย่างเข้มข้นและต่อเนื่องด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1746 | แผนปฏิบัติการในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ | นร04 | 20/01/2558 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ปี ๒๕๕๘ โดยครอบคลุมถึงปัจจัยที่ผลทำให้เศรษฐกิจขยายตัวที่สำคัญครบทั้ง ๔ ด้าน ประกอบด้วย การใช้จ่ายภาครัฐ ซึ่งมีทั้งรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุน การลงทุนภาคเอกชน การบริโภคภาคเอกชน และการส่งออก ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) เสนอ ทั้งนี้ ในการดำเนินการของทุกส่วนราชการ โดยเฉพาะการดำเนินการที่เกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้าง และการอนุมัติ/อนุญาตใด ๆ ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. รับทราบข้อสังเกตของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และข้อสังเกตของนายกรัฐมนตรี และมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามข้อสังเกตดังกล่าวตามข้อกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ดังนี้ ๒.๑ ข้อสังเกตของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ๒.๑.๑ ปัจจุบันพบว่า ประชาชนในระดับรากหญ้ายังมีความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก มีการใช้จ่ายน้อย ส่งผลให้ภาคธุรกิจยังไม่ฟื้นตัว จึงควรหาแนวทางในการให้ความช่วยเหลือโดยเร็ว เพื่อให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นและเป็นการยกระดับรายได้ของประชาชนกลุ่มนี้ รวมทั้งเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบในด้านอื่น ๆ ต่อไป ๒.๑.๒ การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไม่จำเป็นจะต้องมีอัตราการเติบโตที่สูง แต่จะต้องสะท้องสภาพเศรษฐกิจในความเป็นจริง โดยเมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๕๗ อัตราเงินเฟ้อทั่วไป หมวดอาหาร คิดเป็นร้อยละ ๓.๒ หมวดสินค้าอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารคิดเป็นร้อยละ ๐.๖ แสดงให้เห็นว่าราคาอาหารซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อความเป็นอยู่ของประชาชนยังอยู่ในระดับที่สูง ส่งผลให้อำนาจการซื้อในตลาดของประชาชนยังมีน้อย ๒.๑.๓ ขณะนี้ค่าเงินบาทแข็งขึ้นและมีแนวโน้มที่จะแข็งขึ้นอีก ซึ่งหากค่าเงินบาทแข็งมากเกินไปจะมีผลกระทบต่อธุรกิจการส่งออกและธุรกิจการท่องเที่ยว ดังนั้น จึงควรดูแลค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่ส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยพิจารณาระดับค่าเงินของประเทศในภูมิภาคประกอบด้วย ๒.๑.๔ โดยที่ประเทศไทยมีนโยบายในการขยายการลงทุนในประเทศ เช่น การจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการขนส่ง เป็นต้น ประกอบกับประเทศญี่ปุ่นมีแนวโน้มที่จะให้ความสนใจในการลงทุนในประเทศไทย ดังนั้น กระทรวงการต่างประเทศจึงควรเตรียมการประสานงานเพื่อชักชวนและเจรจาสร้างความร่วมมือในการลงทุนกับประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจะเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้กระเตื้องขึ้น ๒.๒ นายกรัฐมนตรีมีข้อสังเกตว่า การพิจารณาสภาพเศรษฐกิจของประทศให้พิจารณาเปรียบเทียบกันระหว่างช่วงก่อนและหลังวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ และแม้ว่าตัวเลขทางเศรษฐกิจของประเทศจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น แต่ต้องให้ความสนใจกับรายได้ของประชาชนในทุกระดับด้วย ดังนั้น ทุกส่วนราชการควรจะต้องพิจารณาภารกิจในความรับผิดชอบและหาแนวทางในการให้ความช่วยเหลือให้ครอบคลุมประชาชนทุกระดับ พร้อมทั้งสร้างการรับรู้แก่ประชาชนว่า ในขณะนี้คณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีได้ร่มมือกันทำงานเพื่อพัฒนาประเทศให้เกิดความยั่งยืน ๓. ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) เสนอว่า ในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบประมาณรายจ่ายลงทุนที่มีการเบิกจ่ายค่อนข้างน้อย คือ งบกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะ ๓ เดือนแรก ที่ใช้เงินจากงบไทยเข้มแข็งและงบกลางส่วนที่เหลือ รวม ๒๓,๐๐๐ ล้านบาท สาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากการดำเนินโครงการหลายโครงการต้องใช้ราคามาตรฐานที่ขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามแบบรูปรายการเดิม จึงส่งผลให้ไม่มีผู้เขาประมูลรับงาน ดังนั้น เพื่อให้สามารถเบิกจ่ายงบกระตุ้นเศรษฐกิจได้ตามเป้าหมายในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พงศ. ๒๕๕๘ ให้สำนักงบประมาณร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าว เช่น การปรับปรุงราคามาตรฐานสิ่งก่อสร้างให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เป็นต้น แล้วรายงานความคืบหน้าต่อคณะรัฐมนตรีภายใน ๑ สัปดาห์
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1747 | การขออนุมัติหลักเกณฑ์การคำนวณเงินชดเชยค่างานก่อสร้าง K (Price Adjustment) โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่ - บางซื่อ | คค | 13/01/2558 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักเกณฑ์การคำนวณเงินชดเชยค่างานก่อสร้าง K (Price Adjustment) โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การคำนวณค่า K ที่ใช้กับสัญญาแบบปรับราคาได้ ให้ใช้หลักเกณฑ์การคำนวณค่า K ตามที่ระบุไว้ในสัญญา โดยใช้ดัชนีราคาฐาน (ค่า K๐) ที่ ๒๘ วันก่อนวันเปิดซองเสนอราคา สำหรับสัญญาที่ ๑-๓ และใช้ดัชนีราคาฐาน (ค่า K๐) ที่ ๒๘ วันก่อนวันยื่นซองประกวดราคา สำหรับสัญญาที่ ๖ เป็นฐานในการคำนวณ สำหรับประเภทงานก่อสร้าง สูตรและวิธีการคำนวณที่ใช้กับสัญญาแบบปรับราคาได้ ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๓๒ (เรื่อง การพิจารณาช่วยเหลือผู้ประกอบอาชีพงานก่อสร้าง) ๑.๒ การขอเงินเพิ่มค่างานก่อสร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้เป็นหน้าที่ของผู้รับจ้างที่จะต้องเรียกร้องภายใน ๙๐ วันนับจากวันที่ผู้ว่าจ้างหรือตัวแทนผู้ว่าจ้างออกหนังสือรับรองความแล้วเสร็จของงาน (Taking-Over Certificate) ตามที่ได้ระบุในสัญญา และในกรณีที่ผู้ว่าจ้างจะต้องเรียกเงินคืนจากผู้รับจ้าง ให้ผู้ว่าจ้างที่เป็นคู่สัญญารีบเรียกเงินคืนจากผู้รับจ้างโดยเร็ว และ/หรือหักจากค่าจ้างงานงวดต่อไป หรือหักจากหลักประกันสัญญาแล้วแต่กรณี ๑.๓ มอบหมายให้สำนักงบประมาณมีอำนาจในการพิจารณาวินิจฉัยการคำนวณเงินเพิ่มหรือลดและจ่ายเงินเพิ่มหรือเรียกเงินคืนจากผู้รับจ้างตามเงื่อนไขของสัญญาแบบปรับราคาได้ ตามข้อผูกพันของสัญญาที่ได้ลงนามไปแล้ว และจัดหาแหล่งเงินที่เหมาะสมเพื่อเบิกจ่ายค่า K ให้แก่ผู้รับจ้างต่อไป ทั้งนี้ เมื่อให้มีการนำสัญญาแบบปรับราคาได้มาใช้แล้ว มีผลทำให้ผู้ว่าจ้างต้องจ่ายเงินชดเชยเพิ่มเติม จนทำให้เกินวงเงินงบประมาณที่ได้รับอนุมัติ ก็ให้ถือว่าได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ก่อหนี้ผูกพันเกินกว่างบประมาณได้ ๒. การจัดหาแหล่งเงินที่เหมาะสมเพื่อเบิกจ่ายค่า K ให้แก่ผู้รับจ้าง ให้ใช้จ่ายตามแหล่งที่มาของเงินค่าก่อสร้าง โดยให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยทำความตกลงกับสำนักงบประมาณอีกครั้ง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่จำเป็นต้องใช้แหล่งเงินกู้จากต่างประเทศโดยเฉพาะในกรณีที่แหล่งเงินกู้ต่างประเทศมีการกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขต่าง ๆ ในขั้นตอนการประกวดราคาและรายละเอียดของสัญญาที่แตกต่างจากหลักเกณฑ์ ระเบียบและกฎหมายต่าง ๆ ของประเทศไทย เห็นควรให้หน่วยงานเจ้าของโครงการนำเสนอขออนุมัติหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีก่อนดำเนินการผูกพันสัญญา ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
1748 | ร่างพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างกิจการรถไฟฟ้า โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง บางใหญ่ - ราษฎร์บูรณะ ช่วงบางใหญ่ - บางซื่อ ในท้องที่อำเภอบางบัวทอง อำเภอบางใหญ่ อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี และเขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... | คค | 13/01/2558 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างกิจการรถไฟฟ้า โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง บางใหญ่-ราษฎร์บูรณะ ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ ในท้องที่อำเภอบางบัวทอง อำเภอบางใหญ่ อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี และเขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่อำเภอบางบัวทอง อำเภอบางใหญ่ อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี และเขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร ภายในแนวเขตตามแผนที่และบัญชีรายชื่อเจ้าของหรือผู้ครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายท้ายพระราชบัญญัตินี้ให้แก่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เพื่อสร้างกิจการรถไฟฟ้า โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง บางใหญ่-ราษฎร์บูรณะ ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ โดยให้ผู้ว่าการ รฟม. เป็นเจ้าหน้าที่เวนคืน และให้มีการเข้าใช้อสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเวนคืนภายใน ๑๐ ปี นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. มอบให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อดำเนินโครงการต่าง ๆ เพื่อประโยชน์สาธารณะมีที่ดินที่ถูกเวนคืนหลายประเภท ทั้งที่ดินเอกชน ที่วัดหรือธรณีสงฆ์ และที่ราชพัสดุ ซึ่งต้องดำเนินการเพื่อจัดกรรมสิทธิ์ตามกฎหมายหลายฉบับ เช่น กฎหมายว่าด้วยคณะสงฆ์ กฎหมายว่าด้วยที่ราชพัสดุ กฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้กระบวนการและขั้นตอนในการดำเนินการมีความล่าช้า ดังนั้น ในระยะยาวสมควรปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อลดขั้นตอนในการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน อันจะส่งผลให้การดำเนินโครงการต่าง ๆ ตามนโยบายของรัฐบาลมีความรวดเร็วยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1749 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการโครงการทางลอดที่จุดตัดทางหลวงหมายเลข 1 กับถนนสวรรค์วิถี (แยกเดชาติวงศ์) | คค | 13/01/2558 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการชะลอโครงการทางลอดที่จุดตัดทางหลวงหมายเลข ๑ กับถนนสวรรค์วิถี (แยกเดชาติวงศ์) เนื่องจากยังมีประชาชนบางส่วนคัดค้านไม่ให้ดำเนินโครงการ ประกอบกับกรมทางหลวงและกลุ่มผู้คัดค้านได้มีการประชุมร่วมกันเมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๕๗ และมีมติให้ชะลอโครงการดังกล่าวออกไปก่อน ๒. อนุมัติในหลักการให้เปลี่ยนแปลงรายการโครงการทางลอดที่จุดตัดทางหลวงหมายเลข ๑ กับถนนสวรรค์วิถี (แยกเดชาติวงศ์) วงเงิน ๑๒๐ ล้านบาท เป็นรายการค่าชดเชยสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ในการเวนคืนที่ดินในเขตการก่อสร้างทางหลวงทั่วประเทศ วงเงิน ๑๒๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยให้ทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ๓. ให้กรมทางหลวงรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ เกี่ยวกับการจ่ายค่าชดเชยสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวต้องคำนึงถึงความจำเป็นเร่งด่วนและประโยชน์ที่ทางราชการและประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ รวมทั้งปฏิบัติตามประกาศหรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่เกี่ยวข้อง การดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน การเร่งพิจารณาจัดทำแนวทางการแก้ไขปัญหาการจราจรภายในเขตเมืองนครสวรรค์ โดยให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการจราจร และการประมาณการปริมาณจราจรในพื้นที่ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ตลอดจนชี้แจงและให้ข้อมูลผลกระทบและความสำคัญของโครงการรายละเอียดให้แก่ประชาชน และรับฟังข้อคิดเห็นจากประชาชน เพื่อนำมาปรับปรุงแนวทางการดำเนินโครงการฯ นอกจากนี้ การดำเนินการทุกขั้นตอนการปฏิบัติจะต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
1750 | ขอความร่วมมือเสนอเรื่องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา (โครงการพัฒนาศักยภาพการปราบปรามยาเสพติดประเทศเพื่อนบ้าน) | ยธ | 13/01/2558 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) ดำเนินการโครงการพัฒนาศักยภาพการปราบปรามยาเสพติดประเทศเพื่อนบ้าน (เมียนมา ลาว กัมพูชา และเวียดนาม) โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบเงินอุดหนุน รายการโครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตยาเสพติดและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ ประจำปี ๒๕๕๗ ซึ่งได้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว จำนวน ๓๐ ล้านบาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ป.ป.ส. ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง และให้รับความเห็นของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเกี่ยวกับการดำเนินโครงการฯ ต้องมีความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากรัฐบาลของประเทศนั้น ๆ ภายใต้วัตถุประสงค์ของการดำเนินการเดียวกัน การสนับสนุนการปฏิบัติการควรเป็นการสนับสนุนด้านวิชาการ เทคนิคการปฏิบัติ และการอบรม ณ ที่ตั้งหน่วยงานของประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ควรเป็นการปฏิบัติการภาคสนาม นอกจากนี้ การสนับสนุนครุภัณฑ์และสิ่งอุปกรณ์ต่าง ๆ เป็นการสนับสนุนตามโครงการที่ได้ตกลงกันไว้แล้ว หรือเป็นไปตามข้อหารือ ข้อตกลงร่วมกันในแต่ละปี ไม่ถือเป็นข้อผูกมัดกับรัฐบาลไทย ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย ๒. ในส่วนของการขออนุมัติเป็นหลักการให้เลขาธิการ ป.ป.ส. มีอำนาจอนุมัติโครงการภายใต้กรอบงบประมาณงบเงินอุดหนุนรายการโครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตยาเสพติดและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศนั้น ให้สำนักงาน ป.ป.ส. เสนอขออนุมัติตามความจำเป็นและเหมาะสมเป็นคราว ๆ ไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
1751 | รายงานผลการดำเนินโครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์โดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา "หมู่บ้านรักษาศีล 5" | พศ | 06/01/2558 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินโครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์โดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา “หมู่บ้านรักษาศีล ๕ ” และให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมสนับสนุนการดำเนินงานต่อไป ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปผลการดำเนินงานในช่วง ๔ เดือนแรก (มิถุนายน-กันยายน ๒๕๕๗) มีหมู่บ้านที่สมัครเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน ๙,๖๗๑ หมู่บ้าน ประชาชนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน ๒,๕๓๕,๙๒๔ คน ทุกจังหวัดได้ประสานความร่วมมือในการดำเนินงานกับภาคส่วนต่าง ๆ โดยมีการแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินงานในแต่ละจังหวัด จัดทำข้อตกลงความร่วมมือ ประชาสัมพันธ์โครงการฯ และเชิญชวนให้ประชาชนประพฤติตามหลักศีล ๕ ครอบคลุมทุกจังหวัดแล้ว ทั้งนี้ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้ประเมินผลโครงการฯ ครั้งแรกพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่มีความพึงพอใจต่อโครงการฯ ที่เสริมสร้างความเข้าใจ ความปรองดองสมานฉันท์ และการนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาใช้ปฏิบัติต่อตนเองและสังคมในระดับดีมาก ๒. การดำเนินงานตามโครงการ “หมู่บ้านรักษาศีล ๕” เน้นการรณรงค์ส่งเสริมและปลูกฝังให้เยาวชนและประชาชนทุกคนรักษาศีล ๕ ขยายไปในพื้นที่ทั่วประเทศ ภายในระยะเวลา ๔ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๐) จำนวน ๗,๒๕๕ ตำบล ๗๔,๖๙๓ หมู่บ้าน ๖๑,๕๖๑,๙๓๓ คน โดยแบ่งระยะการดำเนินงานเป็น ๒ ระยะ คือ ๒.๑ ระยะเร่งด่วน มอบหมายให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดดำเนินการประชุมชี้แจงคณะสงฆ์ หัวหน้าส่วนราชการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาไปแก้ปัญหาความขัดแย้ง ความแตกแยกในสังคม ให้ประชาชนปรับเปลี่ยนทัศนคติ ให้เกิดจิตสำนึกรักถิ่นฐานของตนเอง หันหน้ามาพูดคุยกันอย่างมีเหตุผล ยอมรับความคิดเห็นซึ่งกันและกัน มีความตระหนัก รักเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ผ่านกลไกทางพระพุทธศาสนา คือ หลักศีล ๕ ให้ครอบคลุมทั้ง ๗๗ จังหวัดทั่วประเทศ ๒.๒ การดำเนินงานปกติ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้กำหนดแผนงานในการขับเคลื่อนโครงการ “หมู่บ้านรักษาศีล ๕” ในระยะ ๔ ปีงบประมาณ คือ เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๐ เพื่อเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อย่างยั่งยืน โดยเน้นการประชาสัมพันธ์ รณรงค์ เชิญชวน ให้พุทธศาสนิกชนสมัครเป็นสมาชิกครอบครัวรักษาศีล ๕ หมู่บ้านรักษาศีล ๕ สถานศึกษารักษาศีล ๕ และหน่วยงานรักษาศีล ๕
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1752 | ขออนุมัติโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | พณ | 30/12/2557 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติในหลักการให้กระทรวงพาณิชย์โอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ข้ามยุทธศาสตร์หรือไม่อยู่ในวัตถุประสงค์เดียวกัน แล้วขอทำความตกลงในรายละเอียดรวมทั้งปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ กับสำนักงบประมาณตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ โอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณภายใต้แผนงานดำเนินการตามกรอบข้อตกลงอาเซียน โครงการเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียน จากงบรายจ่ายอื่น ไปตั้งจ่ายงบลงทุนและงบรายจ่ายอื่น จำนวน ๖ รายการ เป็นเงิน ๓๔,๓๐๐,๒๐๐ บาท ๑.๒ โอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณจากแผนงานส่งเสริมประสิทธิภาพการผลิต สร้างมูลค่าภาคการเกษตร และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรอย่างเป็นระบบ โครงการตรวจสอบคุณภาพ/ปริมาณผลิตสินค้าทางการเกษตร งบรายจ่ายอื่น จำนวน ๗,๘๔๐,๐๐๐ บาท สมทบกับงบประมาณในแผนงานเพิ่มประสิทธิภาพภาคการตลาด การค้า และการลงทุน ผลผลิตการค้าได้รับการส่งเสริม ปกป้อง และอำนวยความสะดวก งบรายจ่ายอื่น จำนวน ๘,๑๖๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๑๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท ไปตั้งจ่ายแผนงานเพิ่มประสิทธิภาพภาคการตลาด การค้า และการลงทุน ผลผลิตการค้าได้รับการส่งเสริม ปกป้อง และอำนวยความสะดวก งบลงทุน จำนวน ๑ รายการ เป็นเงิน ๑๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับโครงการพัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูล ประมวลผลข้อมูลการค้าผ่านแดน/ชายแดน โครงการปรับปรุงระบบสื่อสารสำหรับ Trade Solution Center และโครงการจัดทำระบบบริหารจัดการการระบายข้าว กระทรวงพาณิชย์ควรให้ความสำคัญต่อการฝึกอบรมผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับหน่วยงานและระหว่างหน่วยงาน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการดำเนินงานทั้งในด้านระบบการจัดการและด้านการปฏิบัติงาน รวมทั้งการตรวจติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องตามแผนงานที่กำหนด เพื่อให้สามารถรับทราบอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการดำเนินโครงการอย่างทันท่วงทีและสามารถปรับปรุงแก้ไขให้การดำเนินโครงการบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
1753 | โครงการของขวัญปีใหม่สำหรับประชาชนของกระทรวงสาธารณสุข | สธ | 30/12/2557 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินโครงการของขวัญปีใหม่สำหรับประชาชนของกระทรวงสาธารณสุข ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. โครงการรากฟันเทียมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ และโครงการฟันเทียมพระราชทานและการส่งเสริมสุขภาพช่องปากผู้สูงอายุ โดยการให้บริการรากฟันเทียมแก่ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ด้อยโอกาส ผลการดำเนินงาน ณ วันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๗ ฝังรากฟันเทียมได้ จำนวน ๘๐๔ ราย ส่วนการให้บริการฟันเทียมแก่ผู้สูงอายุ ผู้ที่สูญเสียฟันตั้งแต่ ๑๖ ซี่ขึ้นไป รวมถึงผู้ป่วยที่สูญเสียฟันทั้งปาก ผลการดำเนินงาน ณ วันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๗ บริการใส่ฟันเทียมได้ จำนวน ๑,๐๗๘ ราย ๒. โครงการรณรงค์ให้วัคซีนป้องกันโรคคอตีบและหัด เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘ โดยการให้บริการวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ ผลการดำเนินงาน ณ วันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๗ ให้บริการได้ จำนวน ๓,๗๕๕,๑๐๗ คน ส่วนการให้บริการวัคซีนป้องกันโรคหัด มีกำหนดดำเนินการในช่วงเดือนพฤษภาคม-กันยายน ๒๕๕๘ ๓. โครงการทีมหมอประจำครอบครัว หรือจัด Family care Team เพื่อดูแลประชาชนทุกกลุ่มวัย โดย (๑) จัดทีมหมอครอบครัวเพื่อรับผิดชอบประชากรในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล/ศูนย์สุขภาพชุมชนเมือง อัตราส่วนหมอครอบครัว ๑ คน ต่อประชากร ๑,๒๕๐ คน ปัจจุบันดำเนินการแล้วที่ ๓๐,๐๐๐ ทีม (๒) พัฒนาอำเภอต้นแบบที่มีความพร้อมในการดำเนินการโดยมีการกระจายในทุกจังหวัด ทุกเขต ปัจจุบันมีจำนวน ๒๕๐ แห่ง สามารถเป็นพี่เลี้ยงหรือต้นแบบให้กับอำเภออื่น ๆ ได้ และ (๓) พัฒนาทีมแกนนำระดับเขต จำนวน ๑๒ เขต เพื่อให้เป็นพี่เลี้ยงที่ปรึกษาในการดำเนินการทีมหมอครอบครัว ๔. โครงการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุระยะยาว ผลการดำเนินงาน ณ วันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๗ ได้อบรมผู้จัดการการดูแลผู้สูงอายุในชุมชน (Care Manager) จำนวน ๗๑ ราย และในระดับพื้นที่อบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุในชุมชน (Care Giver) เพื่อดูแลผู้สูงอายุที่มีปัญหาด้านสุขภาพและปัญหาติดเตียงในชุมชนในกลุ่ม ๒๐ จังหวัดนำร่อง จำนวน ๑๖๑ ราย ๕. โครงการ “สาธารณสุขรวมใจ มอบโลกสดใส เทิดไท้องค์ราชัน” โดยตรวจคัดกรองและผ่าตัดต้อกระจก ผลการดำเนินงาน ณ วันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๗ สามารถผ่าตัดต้อกระจกรวมทั้งสิ้น จำนวน ๔๕๓ ดวง โดยเป็นชนิดบอด จำนวน ๒๙๗ ดวง และ Low vision จำนวน ๑๕๖ ดวง ๖. โครงการจัดตั้งหน่วยดูแลแบบประคับประคองและดูแลระยะสุดท้าย หรือจัดตั้ง Palliative care unit ในโรงพยาบาล มีเป้าหมายตั้งหน่วย/แผนกดูแลประคับประคองในโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลสังกัดกรมวิชาการภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๘
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1754 | ขอความเห็นชอบต่อร่างหนังสือแลกเปลี่ยนและร่างความตกลงว่าด้วยการดำเนินโครงการเสริมสร้างศักยภาพแก่สำนักเลขาธิการอาเซียน ระยะที่ 4 สำหรับปี 2557 - 2558 | กต | 23/12/2557 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนของฝ่ายอาเซียนและร่างความตกลงว่าด้วยการดำเนินโครงการเสริมสร้างศักยภาพแก่สำนักเลขาธิการอาเซียน ระยะที่ ๔ สำหรับปี ๒๕๕๗-๒๕๕๘ โดยร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ มีสาระเป็นการตอบรับข้อเสนอของฝ่ายเยอรมนี โดยแจ้งว่า อาเซียนเห็นชอบกับข้อกำหนดและเงื่อนไขที่ระบุในหนังสือแลกเปลี่ยนของฝ่ายเยอรมนีที่จะให้การสนับสนุนการดำเนินโครงการเสริมสร้างศักยภาพแก่สำนักเลขาธิการอาเซียน ระหว่างปี ๒๕๕๗-๒๕๕๘ เป็นมูลค่ารวม ๑,๙๕๐,๐๐๐ ยูโร โดยให้สมาคมเยอรมันเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศ (Deutsche Gesellschaft fur Internationale Zusammenarbeit : GIZ) และสำนักเลขาธิการอาเซียนเป็นผู้ดำเนินโครงการ ส่วนร่างความตกลงฯ เป็นความตกลงระหว่าง GIZ กับอาเซียน โดยระบุรายละเอียดของการดำเนินโครงการ อาทิ การสนับสนุนทางการเงิน ผู้เชี่ยวชาญและบุคลากรที่เกี่ยวข้อง การจัดหาสถานที่ การบริหารจัดการโครงการ การประเมินผล การปรับแก้และบอกเลิกความตกลง รวมทั้งการระงับข้อพิพาทและการตีความ และหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ๒. ให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนของฝ่ายอาเซียน และความตกลงว่าด้วยการดำเนินโครงการฯ รวมทั้งให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งสำนักเลขาธิการอาเซียนผ่านคณะผู้แทนถาวรไทยประจำอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ว่ารัฐบาลไทยให้ความยินยอมแล้ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1755 | โครงการพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) ในพื้นที่เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี | มท | 23/12/2557 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดำเนินโครงการพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) ในพื้นที่เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ในวงเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น ๑,๐๖๙ ล้านบาท โดยใช้เงินกู้ในประเทศวงเงิน ๘๐๐ ล้านบาท และเงินรายได้ กฟภ. วงเงิน ๒๖๙ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบให้ กฟภ. กู้เงินในประเทศ ภายในกรอบวงเงิน ๘๐๐ ล้านบาท เพื่อเป็นเงินลงทุนของโครงการดังกล่าว โดย กฟภ. จะทยอยดำเนินการกู้เงินตามความจำเป็นจนกว่างานจะแล้วเสร็จ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเกี่ยวกับการปรับสัดส่วนการกู้เงินโดยใช้เงินรายได้ในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น การกำกับ ดูแล และติดตามการดำเนินโครงการ ให้สามารถดำเนินการเป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ การให้ความสำคัญในการวางแผนทางการเงินและการบริหารการลงทุนของโครงการอย่างรอบคอบและมีประสิทธิภาพ การกำหนดแนวทางในการแสวงหารายได้อื่นเพื่อชดเชยผลขาดทุนของโครงการที่เกิดขึ้น การบูรณาการโครงการและแผนงานต่าง ๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับการพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะให้สามารถดำเนินการได้สอดคล้องและเชื่อมโยงกับแนวทางการพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะของ กฟภ. ในอนาคต การประสานความร่วมมือกับภาคเอกชน และ/หรือรัฐวิสาหกิจที่ศึกษาและดำเนินโครงการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวเพื่อนำความรู้และเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ได้จากการศึกษาและการดำเนินโครงการมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาองค์ความรู้เพื่อต่อยอดในการดำเนินการในโครงการพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะของ กฟภ. ในระยะอื่น ๆ ต่อไป การประเมินผลโครงการก่อนเสนอขอขยายการดำเนินงานในระยะถัดไป เพื่อพิจารณาข้อดี ข้อจำกัดและปัญหาที่อาจเกิดขึ้น เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
1756 | โครงการสวดมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 2558 | พศ | 23/12/2557 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการดำเนินโครงการสวดมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ ๒๕๕๘ และให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมสนับสนุนการดำเนินงานต่อไป ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ ซึ่งสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้ดำเนินการตามมติมหาเถรสมาคม โดยร่วมกับวัดทุกวัด จำนวน ๓๘,๙๘๔ วัด และวัดไทยในต่างประเทศ จำนวน ๔๖๒ วัด ซึ่งตั้งอยู่ใน ๓๓ ประเทศ สำนักปฏิบัติธรรมทั่วประเทศ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนทุกภาคส่วนดำเนินการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ ด้วยการจัดกิจกรรมสวดมนต์เจริญจิตตภาวนาข้ามปี เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ครอบครัว และสังคม
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1757 | การดำเนินโครงการที่มีประโยชน์ต่อประชาชน ที่กระทรวงมหาดไทยมอบให้เป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน | มท | 23/12/2557 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินงานโครงการที่มีประโยชน์ต่อประชาชน ที่กระทรวงมหาดไทยมอบให้เป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน ซึ่งส่วนราชการและหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดได้เร่งรัดดำเนินโครงการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ประกอบด้วยงานต่าง ๆ ดังนี้
๑. ศูนย์ดำรงธรรม นำสุข แก้ทุกข์ ๒๔ ชั่วโมง ๒. ท้องถิ่นโปร่งใส จัดสรรงบประมาณใหม่ ทั่วถึงเป็นธรรม ๓. อยุธยาเมืองประวัติศาสตร์ เมืองสะอาดปลอดขยะต้นแบบ ๔. ติดต่อราชการทันใจ ไม่ต้องใช้สำเนาบัตรประชาชน ๕. OTOP ทั่วไทย ส่งความสุขปีใหม่ สร้างรายได้ ขยายตลาดสู่อาเซียน ๖. ตลาดนัดชุมชน ไทยช่วยไทย คนไทยยิ้มได้ ๗. สำนักงานที่ดินทั่วไทย รวดเร็ว โปร่งใส ใส่ใจบริการ ๘. ๒๕๕๘ ปีทองผังเมือง พัฒนาทั่วไทย ก้าวไกลสู่อาเซียน ๙. มอบความสุขทั่วไทย สัญจรปีใหม่ ปลอดภัยทุกคน ๑๐. รวมพลคนกู้ชีพกู้ภัย เพื่อคนไทยมีความสุข ๑๑. คลองสวยน้ำใส คนไทยมีความสุข ๑๒. ถนนสวย เดินได้ ปั่นได้ ค้าขายคล่องตัว ๑๓. สว่างไสวทั่วไทย จ่ายไฟทุกครัวเรือน ๑๔. LED สว่างไสว รับปีใหม่มหานคร ๑๕. ประปาสร้างสุข ทุกคนมีน้ำใช้ ๑๖. ประปาทันใจ คนไทยมีสุข ๑๗. ปากคลองตลาดโฉมใหม่ สะอาด ปลอดภัย สินค้าสดใหม่ทุกวัน
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1758 | สรุปผลการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ 20 (20th Meeting of Mekong River Commission Council) | ทส | 23/12/2557 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๒๐ (20th Meeting of Mekong River Commission Council) ซึ่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission Secretariat : MRCS) เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ณ โรงแรมรอยัล ออร์คิด เชอราตัน โฮเต็ล แอนด์ ทาวเวอร์ กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวได้มีแถลงการณ์ให้นำโครงการไฟฟ้าพลังน้ำดอนสะหง (Don Sahong Hydro Power Project) เข้าสู่กระบวนการปรึกษาหารือล่วงหน้า (Prior Consultation : PC) ซึ่งกำหนดระยะเวลาการปรึกษาหารือและประสานข้อมูลก่อนการก่อสร้างโครงการเป็นเวลา ๖ เดือน ตามที่กำหนดไว้ในระเบียบปฏิบัติเรื่องการแจ้ง การปรึกษาหารือล่วงหน้า และข้อตกลง (Procedures for Notification, Prior Consultation and Agreement : PNPCA) ของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง เพื่อให้ประเทศสมาชิกได้แสดงความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ และข้อห่วงกังวลต่อผลกระทบข้ามพรมแดนที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ โดยเฉพาะผลกระทบข้ามพรมแดนและการอพยพของปลา ฯลฯ ๒. ที่ประชุมอนุมัติหลักการงบประมาณหมวดบริหารองค์กร ปี ค.ศ. ๒๐๑๔ (Operation Expense Budget : OEB) ประกอบด้วย รายได้จากเงินอุดหนุนของประเทศสมาชิกและเงินค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการจำนวน ๔,๐๕๗,๕๔๘ ดอลลาร์สหรัฐ รายจ่ายจำนวน ๔,๐๕๗,๓๘๑ ดอลลาร์สหรัฐ และงบประมาณคงเหลือจำนวน ๑๖๗ ดอลลาร์สหรัฐ ๓. ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าของการศึกษาการจัดการและพัฒนาแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน รวมทั้งผลกระทบจากการพัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังน้ำในแม่น้ำโขงสายประธาน (Council Study) ซึ่งมีความล่าช้ากว่าแผนที่กำหนด และมีมติให้สำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงเร่งรัดจัดทำรายงานเริ่มงาน (Inception Report) เสนอประเทศสมาชิกพิจารณา พร้อมทั้งเตรียมการดำเนินการในขั้นตอนอื่น ๆ ต่อไป ๔. ที่ประชุมมีมติรับรองแผนแม่บทระดับภูมิภาค “การถ่ายโอนภารกิจหลักในการจัดการลุ่มน้ำมาสู่ประเทศสมาชิก” (Regional Roadmap’s overarching recommendations for decentralization of MRC’s Core River Basin Management Function) ได้แก่ การกำหนดกิจกรรมที่จะดำเนินการถ่ายโอนภารกิจและเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ การเชื่อมโยงและบูรณาการการวางแผนพัฒนาลุ่มน้ำ การปรับโครงสร้างสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงให้มีขนาดเล็กลงและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน การจัดทำสูตรคำนวณการจ่ายเงินอุดหนุนของประเทศสมาชิกฉบับใหม่ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1759 | การดำเนินโครงการ "เกษตรกรได้รับ ประชาชนได้รู้ คืนความสุขสู่คนไทย จากใจกระทรวงเกษตรและสหกรณ์" | กษ | 23/12/2557 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินโครงการ “เกษตรกรได้รับ ประชาชนได้รู้ คืนความสุขสู่คนไทย จากใจกระทรวงเกษตรและสหกรณ์” ซึ่งเป็นโครงการที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีแนวคิดในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ในช่วงวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๕๘ โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือ เกษตรกรและประชาชนทั่วไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ การดำเนินงานสรุปได้เป็น ๓ กิจกรรมหลัก ดังนี้
๑. “เกษตรกรได้รับ” ๑.๑ เกษตรกรได้รับระบบชลประทาน แหล่งน้ำขนาดเล็ก ระบบส่งน้ำ สระน้ำในไร่นา และกรรมสิทธิ์ในโค-กระบือ หน่วยงานที่มีกิจกรรมดำเนินการ ได้แก่ กรมชลประทาน กรมพัฒนาที่ดิน และกรมปศุสัตว์ ๑.๒ จัดแจกปัจจัยการผลิต หน่วยงานที่มีกิจกรรมดำเนินการ ได้แก่ กรมพัฒนาที่ดิน ๒. “ประชาชนได้รู้” ๒.๑ จัดสถานที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตรและให้ความรู้ด้านการเกษตร เช่น ศูนย์/สถาบัน/เครื่องมือด้านการเกษตร หน่วยงานที่มีกิจกรรมดำเนินการ ได้แก่ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมปศุสัตว์ กรมประมง กรมชลประทาน กรมการข้าว กรมวิชาการเกษตร และกรมหม่อนไหม ๒.๒ เปิดสถานที่เข้าชมโดยไม่เก็บค่าผ่านประตูช่วงเทศกาลปีใหม่ หน่วยงานที่มีกิจกรรมดำเนินการ ได้แก่ กรมประมง องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย สำนักงานพิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (องค์การมหาชน) และอุทยานหลวงราชพฤกษ์ จังหวัดเชียงใหม่ ๓. “กระเช้าปีใหม่” ๓.๑ จัดกิจกรรมเลือกชมและเลือกซื้อกระเช้าสินค้าจากกลุ่มสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ ๓.๒ จัดกิจกรรมเลือกชมและเลือกซื้อของขวัญและของที่ระลึก โดยองค์การสะพานปลา
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1760 | รายงานการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การดำเนินโครงการที่มีประโยชน์ต่อประชาชนอย่างทั่วถึงให้เกิดเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพื่อมอบให้เป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชน | วท | 23/12/2557 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรายงานการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การดำเนินโครงการที่มีประโยชน์ต่อประชาชนอย่างทั่วถึงให้เกิดเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพื่อมอบให้เป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชน ใน ๕ กล่องของขวัญ รวม ๒๖ โครงการ ดังนี้
๑. วิทยาศาสตร์เพื่อประชาชน ประกอบด้วย (๑) งานคืนความสุขให้เธอ...เยาวชน ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ (๒) งานถนนสายวิทยาศาสตร์ ๒๐๑๕ (๓) Ice Age The Exhibition เปิดประสบการณ์แสนสนุก...ยุคน้ำแข็ง (๔) สื่อเรียนรู้ด้านดาราศาสตร์ “จดหมายถึงดวงดาว” (๕) เปิดหอดูดาวส่วนภูมิภาค “เปิดบ้านฉายดาว” (๖) เทศกาลเปิดฟ้า...ตามหาดาวรับลมหนาว (๗) การพัฒนาเครื่องเคลือบกระจกเส้นผ่าศูนย์กลางกระจก ๒.๔ เมตร ของกล้องโทรทรรศน์สำหรับหอดูดาวเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (๘) ค่ายเยาวชนตะลุยอวกาศ (๙) รายการโทรทัศน์ The surveyor เที่ยวสนุกทุกพิกัด (๑๐) เกมส์ผจญภัย G Adventure และ (๑๑) การพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (STEM Education) ๒. วิทยาศาสตร์เพื่อทรัพยากร ประกอบด้วย (๑) การพัฒนาระบบน้ำอุปโภค-บริโภค ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง “ส่งน้ำสะอาด คืนความสุขชาวอีสานตอนล่าง” และ (๒) กิจกรรม GISTDA เพื่อชุมชน ๓. วิทยาศาสตร์เพื่อเศรษฐกิจ ประกอบด้วย (๑) คืนความสุข ชุบชีวิต สังคม OTOP/SMEs (๒) การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ OTOP ด้วย วทน. ๕ ภูมิภาค (Science Technology and Innovation Matching Programme : STIMP) (๓) คาราวานเทคโนโลยี ๔ ภาค เพื่อประชาชน (๔) คืนความสุขให้ประชาชน ด้วยสารละลายไคโตซานฉายรังสี (๕) การพัฒนานักประกอบการวิสาหกิจชุมชนข้าวอินทรีย์ จังหวัดยโสธร (๖) ต้นแบบระบบบูรณาการการเรียนกับการทำงาน (Work Integrated Lerning หรือ WiL) ในรูปแบบโรงเรียน-โรงงาน (๗) แจกตัวอย่างผลิตภัณฑ์จากเทคโนโลยีฟิล์มยืดอายุผลิตผลสด และ(๘) นวัตกรรมการเพิ่มมูลค่าชีวมวลเป็นเชื้อเพลิงอัดแท่ง (wood pallet) สำหรับโรงไฟฟ้าแก๊สซิฟิเคชั่นชีวมวลในระดับชุมชน ๔. วิทยาศาสตร์เพื่อการบริหาร ประกอบด้วย (๑) การมอบชุดทดสอบความกระด้างในน้ำเพื่อประชาชน และ (๒) การบริการรับคำขออนุญาตผ่านระบบออนไลน์ (e-License) ๕. วิทยาศาสตร์เพื่อชีวิตและสังคม ประกอบด้วย (๑) ชุดความรู้คืนความสุขให้แก่ ผู้ดูแลผู้ป่วยอัลไซเมอร์ (๒) การสร้างความมั่นใจในการใช้เครื่องวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดด้วยวิธีเป่าลมหายใจ และ (๓) มาตรวิทยากับการบูรณาการเพื่อพัฒนาวิธีการทดสอบเครื่องมือวัดทางการแพทย์ฉบับภาษาไทย
|
.....