ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 82 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 1621 - 1640 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1621 | การเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันเคมีโอลิมปิกระหว่างประเทศ ครั้งที่ 49 พ.ศ. 2560 | ศธ | 11/08/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้ประเทศไทยรับเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันเคมีโอลิมปิกระหว่างประเทศ ครั้งที่ ๔๙ พ.ศ. ๒๕๖๐ เริ่มดำเนินการโครงการตั้งแต่เตรียมก่อนปีการจัดการแข่งขัน ๒ ปี ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘-พ.ศ. ๒๕๕๙ และปีการจัดการแข่งขันปี พ.ศ. ๒๕๖๐ รวมระยะเวลา ๓ ปี ทั้งนี้ เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์อัครราชกุมารี เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมายุ ๖๐ พรรษา ในวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๖๐ และเพื่อเป็นการเผยแพร่เกียรติคุณของประเทศให้นานาชาติได้รับทราบและเป็นที่ยอมรับทางวิชาการมากยิ่งขึ้นอันจะก่อประโยชน์ต่อประเทศและชาวไทยโดยส่วนรวมต่อไป ๑.๒ อนุมัติงบประมาณให้สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ดำเนินการจำนวน ๖๓,๑๔๐,๐๐๐ บาท โดยปี พ.ศ. ๒๕๕๘ สสวท. จะใช้งบประมาณของ สสวท. ในหมวดเงินอุดหนุนทั่วไป โครงการพัฒนานักเรียนและจัดส่งผู้แทนประเทศไทยไปแข่งขันคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ โอลิมปิก ประจำปี ๒๕๕๘ จำนวน ๑,๑๐๓,๐๐๐ บาท และของบประมาณสนับสนุนเพิ่มเติมประเภทเงินอุดหนุนทั่วไป ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-พ.ศ. ๒๕๖๐ จำนวน ๖๒,๐๓๗,๐๐๐ บาท ๒. ส่วนเรื่องงบประมาณในการดำเนินงานให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้ สสวท. ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ แผนงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ผลผลิตผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี ได้รับการพัฒนาและส่งเสริม งบเงินอุดหนุน รายการเงินอุดหนุนสำหรับค่าใช้จ่ายดำเนินงาน จำนวน ๑,๑๐๓,๐๐๐ บาท ส่วนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ สำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบประมาณในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ แผนงาน ผลผลิต และงบรายจ่ายดังกล่าวรองรับไว้แล้ว จำนวน ๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท และค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้ สสวท. คำนึงถึงการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนและรายได้จากแหล่งอื่นที่จะได้รับในการดำเนินโครงการดังกล่าว เพื่อประกอบการพิจารณาเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ทั้งนี้ การดำเนินการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันดังกล่าวให้ สสวท. ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนด้วย ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นควรพิจารณาใช้งบประมาณตามความจำเป็นให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ถึงวัตถุประสงค์และประโยชน์ของการจัดงานเพื่อสร้างแรงจูงใจให้เยาวชนและประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของวิทยาศาสตร์และร่วมกันเป็นเจ้าภาพที่ดี รวมทั้งควรมีมาตรการในการส่งเสริมและจูงใจเยาวชนที่มีศักยภาพด้านวิชาการให้มีโอกาสแสดงศักยภาพอย่างต่อเนื่อง และส่งเสริมให้ประกอบอาชีพที่สามารถถ่ายทอดความรู้ไปยังเยาวชนรุ่นหลัง อาทิ อาจารย์ นักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ เพื่อสามารถต่อยอดองค์ความรู้ไปสู่การสร้างนวัตกรรมในการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ นอกจากนี้ เห็นควรนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับจากการจัดการแข่งขันไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาปรับปรุงหลักสูตร สื่อการสอนและคุณภาพของผู้สอน ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการพัฒนาคุณภาพของนักเรียนไทยเพื่อให้เกิดการเรียนรู้วิชาเคมีอย่างเหมาะสมกับบริบทของศตวรรษที่ ๒๑ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1622 | ขยายพื้นที่เป้าหมายและวงเงินในการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2558 | กค | 11/08/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการขยายพื้นที่เป้าหมายเพิ่มเติม จำนวน ๕๐๐,๐๐๐ ไร่ และวงเงินงบประมาณ จำนวน ๑๕๔,๘๔๒,๐๓๐ บาท ในการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นการดำเนินงานต่อเนื่องจากโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๕๘ ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติไว้เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๘ เพื่อให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินโครงการให้เกิดความต่อเนื่องและสามารถตอบสนองความต้องการของเกษตรกรในเรื่องการทำประกันภัย ๑.๒ ให้ ธ.ก.ส. ทดรองจ่ายเงินอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยแทนรัฐบาลในส่วนของงบประมาณเพิ่มเติม จำนวน ๑๕๔,๘๔๒,๐๓๐ บาท และเบิกเงินชดเชยตามจำนวนที่จ่ายจริงพร้อมด้วยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๖ เดือน ประเภทบุคคลธรรมดาของ ๔ ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ (FDR)+๑% ในปีงบประมาณถัดไป ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตรประสานงานกับสมาคมประกันวินาศภัยไทย ธ.ก.ส. และกระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลเอกสารทะเบียนเกษตรกร (ทบก.) แบบประมวลรวบรวมความเสียหายและการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัย (แบบ กษ ๐๒) และแบบรายงานข้อมูลความเสียหายจริงของเกษตรกรผู้เอาประกันภัยข้าวเพื่อรับค่าสินไหมทดแทน (แบบ กษ ๐๒ เพื่อการรับประกันภัย) เพื่อมิให้เกิดปัญหาความล่าช้าเวลาจ่ายค่าสินไหมทดแทน ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเกี่ยวกับการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ในปีต่อ ๆ ไป ควรปรับปรุง พัฒนารูปแบบ และวิธีการทำประกันภัยข้าว โดยกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัยทั้งในส่วนของเกษตรกรและการอุดหนุนของภาครัฐ รวมทั้งการกำหนดอัตราสินไหมทดแทนให้มีความเหมาะสมมากขึ้น และขยายผลไปสู่พืชชนิดอื่น ๆ ในโอกาสต่อไป การศึกษาความเป็นไปได้ในการนำโครงการประกันภัยพืชผลเป็นเครื่องมือในการดำเนินการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรมให้สอดคล้องกับศักยภาพการผลิต (Zoning) โดยภาครัฐควรพิจารณาทบทวนการจ่ายเงินสมทบในการทำประกันภัยแก่เกษตรกรที่ปลูกพืชในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมกับการเพาะปลูกพืชนั้น ๆ เพื่อจูงใจให้เกษตรกรปลูกพืชที่เหมาะสมกับพื้นที่ การปรับปรุงระบบการเชื่อมโยงข้อมูลให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้การจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับเกษตรกรเป็นไปด้วยความรวดเร็ว รวมถึงการจัดทำฐานข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเกษตรกรให้ถูกต้อง เป็นปัจจุบัน เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
1623 | มติคณะกรรมการเตรียมการด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ครั้งที่ 2/2558 | ทก | 11/08/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการเตรียมการด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ครั้งที่ ๒/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมได้รับทราบเกี่ยวกับการแต่งตั้งคณะทำงานภายใต้คณะกรรมการเตรียมการด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รวม ๕ ชุด ได้แก่ คณะทำงานบรอดแบนด์แห่งชาติ คณะทำงานศูนย์ข้อมูลในประเทศ คณะทำงานด้านการส่งเสริมการค้าผ่านสื่อดิจิทัล คณะทำงานการเรียนรู้ตลอดชีวิต และคณะทำงานติดตามกฎหมายเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล รวมทั้งการประชุมแบบลดกระดาษ เพื่อให้สอดรับนโยบายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล และเพื่อเป็นแบบอย่างในการทำงานที่ส่งเสริมการนำดิจิทัลมาใช้ในทุกกระบวนการและกิจกรรม การประชุมคณะกรรมการเตรียมการฯ และคณะทำงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล ทั้ง ๕ ชุด จะปรับรูปแบบการประชุมจากเดิมที่จัดทำเอกสารประกอบการประชุมเป็นกระดาษเข้าแฟ้ม เป็นเอกสารในรูปแบบดิจิทัล ซึ่งนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ เห็นชอบแนวทางการประชุมแบบลดกระดาษ เนื่องจากเป็นการลดการใช้กระดาษ ประหยัดทรัพยากร ประหยัดงบประมาณ และยังเป็นการช่วยลดมลภาวะ ทั้งนี้ ได้ให้ข้อสังเกตว่าในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย ยังคงต้องมีเอกสารในรูปแบบกระดาษอยู่ เนื่องจากต้องใช้เป็นหลักฐานประกอบทางกฎหมาย ๒. ที่ประชุมได้พิจารณาในประเด็นต่าง ๆ เกี่ยวกับการดำเนินงานของคณะทำงานการเรียนรู้ตลอดชีวิต การดำเนินงานของคณะทำงานศูนย์ข้อมูลในประเทศ การดำเนินงานของคณะทำงานบรอดแบนด์แห่งชาติ การใช้โครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมร่วมกัน (Infrastructure sharing) การเตรียมการประมูลคลื่นความถี่ในกิจการโทรคมนาคมของ กสทช. การดำเนินงานของคณะทำงานติดตามกฎหมายเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล การดำเนินโครงการบูรณาการงานบริการภาครัฐให้มีประสิทธิภาพภายใต้คณะอนุกรรมการพัฒนาระบบราชการเกี่ยวกับการบริหารโครงการบูรณาการงานบริการภาครัฐให้มีประสิทธิภาพ โครงการนำร่องเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล ปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ทั้งนี้ เห็นชอบให้เพิ่มผู้แทนจากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในคณะทำงานด้านการส่งเสริมการค้าผ่านสื่อดิจิทัล (Digital Commerce) การส่งเสริมธุรกิจเกิดใหม่ดิจิทัล (Digital Entrepreneur) และการส่งเสริมเนื้อหาดิจิทัล (Digital Content)
|
||||||||||||||||||||||||
1624 | ร่างหนังสือแลกเปลี่ยนและร่างความตกลงสำหรับดำเนินโครงการ ASEAN-German Programme on Response to Climate Change in Agriculture and Forestry (GAP-CC), Module ll: ASEAN Sustainable Agrifood Systems (ASEAN Biocontrol) | กษ | 04/08/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างเอกสาร ๒ ฉบับ ได้แก่ ร่างหนังสือแลกเปลี่ยนจากสำนักเลขาธิการอาเซียนถึงสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (Exchange of Notes) และร่างความตกลงเพื่อการดำเนินการโครงการ (Implementation Agreement) สำหรับโครงการ ASEAN-German Project on ASEAN Biocontrol (ABC) for Sustainable Agrifood Systems ที่ได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ (Senior Officials Meeting-ASEAN Ministerial Meeting on Agriculture and Forestry : SOM-AMAF) เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ แล้ว ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างรัฐบาลสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีและอาเซียนที่ต่อเนื่องมาจาก Phase I มุ่งเน้นการดำเนินงานเพื่อให้เกิดระบบอาหารเกษตรอย่างยั่งยืน (sustainable food production) ในอาเซียน มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนประเทศสมาชิกอาเซียนให้สามารถดำเนินงานและปฏิบัติตามกรอบนโยบายบูรณาการความมั่นคงด้านอาหารของอาเซียน [ASEAN Integrated Food Security (AIFS) Framework] และแผนกลยุทธ์ความมั่นคงด้านอาหารของอาเซียน (Strategic Plan of Action on Food Security in the ASEAN Region : SPA-FS)-Phase II ระหว่างปี ๒๕๕๘-๒๕๖๓ โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี จำนวน ๗ ล้านยูโร และแผนก Agriculture, Industries and Natural Resources Division (AINRD) สำนักเลขาธิการอาเซียนได้พิจารณาและอนุมัติเอกสารดังกล่าวแล้ว และจะเริ่มดำเนินโครงการและการสนับสนุนเมื่อมีการลงนามหนังสือแลกเปลี่ยนของฝ่ายอาเซียน ๑.๒ อนุมัติให้เลขาธิการอาเซียน (Secretary-General for ASEAN) ลงนามในร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ และรองเลขาธิการอาเซียน (Secretary-General for ASEAN) ลงนามในร่างหนังสือความตกลงเพื่อการดำเนินโครงการฯ ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งสำนักเลขาธิการอาเซียนผ่านคณะผู้แทนถาวรไทยประจำอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ว่า รัฐบาลไทยเห็นชอบต่อร่างเอกสารทั้ง ๒ ฉบับ และให้เลขาธิการอาเซียนและรองเลขาธิการอาเซียนลงนามในเอกสารทั้ง ๒ ฉบับดังกล่าว ตามลำดับ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นควรเร่งให้มีการทบทวนและปรับปรุงกระบวนการขึ้นทะเบียนปัจจัยการผลิตชีวภาพของไทยให้สามารถแข่งขันกับประเทศต่าง ๆ ใน ASEAN ได้ และควรมีการดำเนินกิจกรรมที่ครอบคลุมการพัฒนาตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่การจัดหา การผลิต และการจัดการด้านโลจิสติกส์ โดยมุ่งเน้นให้ประเทศสมาชิกสามารถพึ่งตนเองได้ (Self-reliance) ภายหลังสิ้นสุดการดำเนินโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1625 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อการดำเนินมาตรการสำคัญเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและคนยากจนในการเสริมสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน | มท | 04/08/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติในหลักการแผนงาน/โครงการ การดำเนินมาตรการสำคัญเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและคนยากจนในการเสริมสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน งบประมาณ ๖,๕๔๑,๐๙๐,๐๓๐ บาท โดยขออนุมัติใช้งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ แยกเป็นงบประมาณสนับสนุนเพื่อดำเนินแผนงาน/โครงการ การดำเนินมาตรการสำคัญเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและคนยากจนในการเสริมสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน จำนวนทั้งสิ้น ๔,๙๖๖ โครงการ งบประมาณ ๖,๕๒๙,๐๙๐,๐๓๐ บาท และค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการโครงการของจังหวัดและกระทรวงมหาดไทย จำนวน ๑๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นค่าใช้จ่ายในการติดตาม ประเมินผล การประชุม การประชาสัมพันธ์ และอื่น ๆ ๑.๒ เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการแผนงาน/โครงการฯ ให้กระทรวงมหาดไทยประสานการดำเนินการกับสำนักงบประมาณในการพิจารณาอนุมัติงบประมาณตามแผนงาน/โครงการ ๑.๓ เพื่อให้เกิดความรวดเร็วและคล่องตัวในการจัดสรรงบประมาณในการดำเนินงานตามแผนงาน/โครงการฯ เห็นควรมอบอำนาจให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจในการโอนเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณภายใต้วัตถุประสงค์ กลุ่มและพื้นที่ดำเนินการเดิมตามแผนงาน/โครงการฯ ๑.๔ กระบวนการตรวจสอบความถูกต้องและติดตามการปฏิบัติงานตามแผนงาน/โครงการ ให้ใช้กระบวนการตรวจราชการแบบบูรณาการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการตรวจราชการ พ.ศ. ๒๕๔๘ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยเปลี่ยนชื่อกลุ่มเป้าหมายในกรณีการช่วยเหลือในรูปแบบกลุ่มของมาตรการฯ จาก “กลุ่มเกษตรกร” เป็น “กลุ่มของเกษตรกรหรือองค์กรของเกษตรกร” เพื่อให้สามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้ครอบคลุมทุกกลุ่มและองค์กร ซึ่งรวมถึงการรวมกลุ่มของเกษตรกรกันเองและกลุ่มที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย รวมทั้งให้เร่งรัดก่อหนี้ผูกพันให้ทันภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ด้วย ๓. ในการดำเนินมาตรการดังกล่าวให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงกลาโหม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินมาตรการด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม ทั่วถึง และรวดเร็ว รวมทั้งมีการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของมาตรการดังกล่าว และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้ทราบถึงรายละเอียดโครงการ พื้นที่เป้าหมาย และประโยชน์ที่เกษตรกร ผู้ยากจน ผู้ใช้แรงงาน และเศรษฐกิจโดยรวมจะได้รับจากการดำเนินมาตรการดังกล่าว ๔. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นควรให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อพิจารณาหลักเกณฑ์และกระบวนการพิจารณากลั่นกรองโครงการ ให้ครอบคลุมถึงความเป็นไปได้ในการดำเนินโครงการ กลุ่มเป้าหมายเป็นเกษตรกรและผู้ยากจน ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นของโครงการ และความยั่งยืนของการดำเนินโครงการ เพื่อให้การพิจารณาจัดสรรงบประมาณเกิดประโยชน์แก่ชุมชน กลุ่มเกษตรกรหรือสหกรณ์อย่างแท้จริง และควรพิจารณาถึงการประชาสัมพันธ์การดำเนินงานและประเด็นความซ้ำซ้อนในเชิงพื้นที่ให้เหมาะสม เพื่อให้มีการกระจายงบประมาณให้แก่เกษตรกรและผู้ยากจนได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึง นอกจากนี้ รายการค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการ ควรเพิ่มข้อมูลรายละเอียดประกอบพิจารณาให้มีความชัดเจน เพื่อความโปร่งใส ถูกต้องและประหยัดงบประมาณภาครัฐ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1626 | ขอความเห็นชอบการเพิ่มพื้นที่การดำเนินงานโครงการ "รักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน" และ (ร่าง) แผนแม่บทโครงการ "รักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน" ลุ่มน้ำหมัน จังหวัดเลย | กษ | 04/08/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการดำเนินงานโครงการ “รักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน” ลุ่มน้ำหมัน ตำบลกกสะทอน อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย เพิ่มเติม จำนวน ๑ พื้นที่ จากเดิมที่คณะรัฐนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ ให้ดำเนินการในพื้นที่ ๖ จังหวัด ประกอบด้วยจังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดน่าน จังหวัดเชียงราย จังหวัดพิษณุโลก และจังหวัดอุตรดิตถ์ ๑.๒ เห็นชอบ (ร่าง) แผนแม่บทโครงการ “รักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน” ลุ่มน้ำหมัน ตำบลกกสะทอน อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ระยะ ๒ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๕๙) โดยยึดแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๒๘ เป็นแนวทางการกำหนดพื้นที่เป้าหมายในการดำเนินงาน สรุปว่า “การพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในทำนองสร้างสรรค์ไม่ใช่การทำลาย โดยสำหรับแหล่งน้ำต้องพัฒนาตามลุ่มน้ำ” โดยมีพื้นที่เป้าหมาย ๑๐ หมู่บ้าน ๑ กลุ่มบ้าน ๒,๓๗๖ ครัวเรือน ประชากร ๗,๗๓๕ คน ในตำบลกกสะท้อน อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ๑.๓ มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานโครงการ “รักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน” ลุ่มน้ำหมัน ตำบลกกสะทอน อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย จัดทำแผนงาน/โครงการภายใต้กรอบแผนแม่บทโครงการฯ เพื่อขอสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานต่อไป ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียด แผนงาน/โครงการ และวงเงินงบประมาณที่จะดำเนินการเสนอขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริหารและกำกับดูแลโครงการ “รักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน” ก่อน แล้วจึงเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมสอดคล้องกับแผนแม่บทฯ ดังกล่าวต่อไป ทั้งนี้ การดำเนินโครงการดังกล่าว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจะมีการประชาสัมพันธ์ประโยชน์โครงการที่ประชาชนจะได้รับอย่างทั่วถึง โดยอาศัยการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนอย่างแท้จริงและยั่งยืนด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||
1627 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการการคมนาคมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างกิจการรถไฟฟ้า โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ ในท้องที่อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. .... | สว | 28/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการการคมนาคมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างกิจการรถไฟฟ้า โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ ในท้องที่อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. .... ที่เห็นว่า การพิจารณารายละเอียดการเวนคืนที่ดินตามร่างพระราชบัญญัตินี้ มีการเวนคืนที่ดินของประชาชนบางแปลงเนื้อที่เพียงเล็กน้อย ดังนั้น ในการดำเนินโครงการอื่น ๆ ครั้งต่อไปเห็นควรให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยพิจารณาใช้เทคนิคการออกแบบและก่อสร้างเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนในลักษณะดังกล่าว และให้กระทรวงคมนาคมรับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ ไปพิจารณาว่าสมควรจะดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ ได้หรือไม่ประการใดก่อน แล้วแจ้งผลการดำเนินการดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
1628 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาการดำเนินงานและรายงานผลการดำเนินงานโครงการสร้างรายได้และพัฒนาการเกษตรแก่ชุมชนเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง | กษ | 28/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานความก้าวหน้าผลการดำเนินงานโครงการสร้างรายได้และพัฒนาการเกษตรแก่ชุมชนเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง โดยคณะกรรมการบริหารโครงการฯ ระดับกระทรวงได้ให้ความเห็นชอบโครงการของชุมชนเกษตรที่ผ่านการกลั่นกรองและอนุมัติจากคณะกรรมการบริหารโครงการฯ ระดับต่าง ๆ แล้ว จำนวน ๖,๕๙๘ โครงการ เป็นเงิน ๓,๐๐๔.๕๑๓ ล้านบาท ณ วันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๘ ชุมชนเกษตรได้ดำเนินโครงการเสร็จเรียบร้อยแล้วจำนวน ๕,๔๒๕ โครงการ และอยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน ๑,๑๗๓ โครงการ มีการเบิกจ่ายงบประมาณโครงการของชุมชนเกษตรไปแล้วเป็นเงินทั้งสิ้น ๒,๗๘๓.๓๙๙ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๙๒.๖๔ ของงบประมาณที่ได้รับจัดสรร คงเหลืองบประมาณที่ยังไม่ได้เบิกจ่ายเป็นเงิน ๒๒๑.๑๑๔ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๗.๓๖ ของงบประมาณที่ได้รับ คณะกรรมการบริหารโครงการฯ ระดับกระทรวง จึงมีมติในการประชุมครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ ให้เสนอคณะรัฐมนตรีขออนุมัติในหลักการให้ขยายระยะเวลาการดำเนินงานโครงการของชุมชนเกษตรที่ยังไม่แล้วเสร็จออกไปถึงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๘ เพื่อให้ชุมชนเกษตรสามารถดำเนินการโครงการได้แล้วเสร็จ บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการ ๑.๒ อนุมัติให้ขยายระยะเวลาการดำเนินการโครงการของชุมชนเกษตร จากเดิมเดือนกุมภาพันธ์-มิถุนายน ๒๕๕๘ ออกไปเป็นเดือนกุมภาพันธ์-สิงหาคม ๒๕๕๘ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณที่กำหนดไว้ สำหรับโครงการของชุนชนเกษตรที่ดำเนินการแล้วเสร็จ จำนวน ๕,๔๒๕ โครงการนั้น ควรกำกับดูแลให้ศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบลเร่งสรุปและปิดบัญชีโครงการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรสามารถประเมินความสำเร็จและปัญหาอุปสรรคการดำเนินโครงการส่วนใหญ่ไปได้ก่อนตามกำหนดระยะเวลา ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
1629 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 28/07/2558 | |||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านการต่างประเทศ ให้ทุกส่วนราชการที่จะมีการประชุมเจรจาหรือจัดทำความตกลงระหว่างประเทศ ซึ่งจะเกิดขึ้นในระยะต่อไปจะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานใน ๓ หลักการ คือ การสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ การลดความหวาดระแวง และการได้รับผลประโยชน์ที่เท่าเทียมกันระหว่างคู่เจรจา ทั้งนี้ ภายหลังเสร็จสิ้นการเจรจาหรือทำความตกลง ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบสร้างการรับรู้แก่ประชาชนและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง เช่น สาระสำคัญของการเจรจาหรือความตกลง สรุปผลดีและผลกระทบที่ประเทศและประชาชนจะได้รับเพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นแก่ประชาชน รวมทั้งเป็นการเตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการภาคเอกชนและผู้ที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ สามารถใช้ประโยชน์จากการเจรจาหรือความตกลงนั้นได้อย่างเต็มที่ นอกจากนั้น เมื่อได้มีการเจรจาหรือทำความตกลงระหว่างประเทศไปแล้วให้เร่งรัดการดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ให้กระทรวงพลังงานร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหากรณีที่มีกลุ่มผู้คัดค้านการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินและท่าเรือขนส่งถ่านหินในบริเวณอำเภอเทพา จังหวัดสงขลา และในอำเภอเหนือคลอง จังหวัดกระบี่ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว ทั้งนี้ให้ตรวจสอบการดำเนินโครงการดังกล่าวให้มีความโปร่งใสในกระบวนการต่าง ๆ เช่น การจัดทำประชาพิจารณ์ การจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
1630 | รายงานผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติราชการระยะ 1 ปี (ประจำปี พ.ศ. 2558) ในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2558 (ตุลาคม 2557 - มีนาคม 2558) | นร11 | 28/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติราชการระยะ ๑ ปี (ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๘) ในช่วง ๖ เดือนแรกของปีงบประมาณ ๒๕๕๘ (ตุลาคม ๒๕๕๗-มีนาคม ๒๕๕๘) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจได้รายงานผลการดำเนินงานตามแผนงาน/โครงการที่สำคัญในการขับเคลื่อนนโยบาย ๑๑ ข้อของรัฐบาลในช่วงครึ่งปีแรกของปีงบประมาณ ๒๕๕๘ จำนวน ๒๐๑ โครงการ โดยมีโครงการที่สามารถดำเนินการเป็นไปตามเป้าหมาย จำนวน ๑๕๗ โครงการ (คิดเป็นร้อยละ ๗๘.๑๒) และโครงการที่ไม่สามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมาย จำนวน ๔๔ โครงการ (คิดเป็นร้อยละ ๒๔.๘๙) ๑.๒ ปัญหาอุปสรรคที่ทำให้ไม่สามารถดำเนินแผนงาน/โครงการได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ เช่น โครงการยังอยู่ระหว่างการศึกษาความเหมาะสม โครงการยังอยู่ระหว่างการเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติ งบประมาณที่ได้รับจัดสรรไม่เพียงพอต่อการดำเนินโครงการ เจ้าหน้าที่รับผิดชอบขาดองค์ความรู้ในการดำเนินโครงการ โครงการไม่สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายทำให้มีการเข้าร่วมโครงการต่ำ มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการหรือพื้นที่ในการดำเนินการทำให้เกิดความล่าช้า รวมทั้งโครงการขาดความพร้อมในการดำเนินโครงการเนื่องจากยังอยู่ในขั้นตอนของการจัดซื้อจัดจ้าง หรือยังอยู่ในขั้นตอนของการหารือกับผู้เกี่ยวข้องในพื้นที่ เป็นต้น ๑.๓ ข้อเสนอแนะ หน่วยงานที่มีหน้าที่ในการคัดกรองแผนงาน/โครงการควรให้ความสำคัญกับการพิจารณา วิเคราะห์ความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของแผนงาน/โครงการให้มีความรอบคอบ รัดกุม คำนึงถึงศักยภาพของผู้ดำเนินโครงการในระดับปฏิบัติทั้งในส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น รวมทั้งกำหนดระยะเวลาในการดำเนินโครงการให้เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง นอกจากนี้ ควรเร่งรัดการดำเนินงานของโครงการ/แผนงานต่าง ๆ ที่ยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมายในไตรมาสที่สองโดยเร็ว โดยเฉพาะการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถดำเนินงานได้ตามเป้าหมาย การเร่งรัดการจัดซื้อจัดจ้าง และการปรับปรุงรายละเอียดโครงการ และการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ในการดำเนินโครงการ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการแจ้งให้ส่วนราชการเตรียมการล่วงหน้าในการเสนอแผนงาน/โครงการเพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เช่น การหาพื้นที่ในการดำเนินการ การสร้างการรับรู้ให้แก่เจ้าหน้าที่ ทั้งนี้ เมื่อส่วนราชการได้รับการจัดสรรงบประมาณแล้วจะได้สามารถดำเนินการได้โดยทันทีจะได้ไม่ล่าช้า ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี
|
||||||||||||||||||||||||
1631 | โครงการจุดเคาน์เตอร์บริการอำเภอ..ยิ้มของกรมการปกครอง | มท | 21/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานการดำเนินโครงการจุดเคาน์เตอร์บริการอำเภอ..ยิ้มของกรมการปกครอง สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการปกครองได้มีการดำเนินโครงการจุดเคาน์เตอร์บริการอำเภอ..ยิ้ม เพื่อนำงานบริการของที่ทำการปกครองอำเภอ เช่น งานบัตรประจำตัวประชาชน งานทะเบียนราษฎร งานทะเบียนทั่วไป และงานศูนย์ดำรงธรรม รวมถึงหน่วยงานภาครัฐอื่น เช่น การไฟฟ้า การประปา ฯลฯ ไปบริการประชาชนในพื้นที่ที่เป็นแหล่งชุมชนหนาแน่นหรือในห้างสรรพสินค้าซึ่งเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในลักษณะศูนย์บริการร่วมในศูนย์การค้า (Government Service Point) จำนวน ๒๘ แห่ง ใน ๒๗ จังหวัด ๒. กระทรวงมหาดไทยได้กำหนดแนวทางการขยายจุดเคาน์เตอร์บริการอำเภอ..ยิ้ม เพื่อให้บริการประชาชนในจังหวัดต่าง ๆ สามารถจัดตั้งได้ ๒ กรณี ประกอบด้วย การริเริ่มจัดตั้งของทางราชการโดยงบประมาณของจังหวัด หรืองบประมาณของกรมการปกครอง และการร้องขอโดยภาคเอกชนโดยใช้งบประมาณของเอกชน ซึ่งในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ได้มีจังหวัดขอจัดตั้งจุดเคาน์เตอร์บริการอำเภอ..ยิ้ม เพิ่มเติมจำนวน ๔ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดยโสธร นครพนม สุรินทร์ และพัทลุง ซึ่งขณะนี้ จังหวัดยโสธรจัดตั้งเสร็จเรียบร้อย สำหรับอีก ๓ จังหวัดอยู่ระหว่างการดำเนินงานตามขั้นตอนการจัดตั้งจุดเคาน์เตอร์บริการอำเภอ..ยิ้ม |
||||||||||||||||||||||||
1632 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ 1/2558 และครั้งที่ 2/2558 | กษ | 21/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ และครั้งที่ ๒/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๘ และเห็นชอบผลการพิจารณาและมติ กนย. ในการประชุมดังกล่าว ตามที่คณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติเสนอ โดยมีมติรับทราบเกี่ยวกับความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการต่าง ๆ ที่ได้ดำเนินการผ่านมาแล้ว และเห็นชอบในหลักการให้มีการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดการด้านยางพาราภายใต้กรอบนโยบายเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบไว้แล้ว โดยมีการปรับปรุงหลักเกณฑ์ เงื่อนไขที่เป็นอุปสรรคและจุดอ่อนของโครงการต่าง ๆ ที่ได้ดำเนินการแล้ว ในปี ๒๕๕๗/๒๕๕๘ ให้สอดคล้องกับข้อเสนอของภาคเกษตรกร ภาคเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขับเคลื่อนให้มีประสิทธิภาพในปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ รวมทั้งได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้แต่ละหน่วยงานเร่งดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายโดยเร็ว และให้สามารถเชื่อมโยงไปสู่การดำเนินการของการยางแห่งประเทศไทยซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการจัดตั้งต่อไป รวมทั้งให้การยางแห่งประเทศไทยที่จะจัดตั้งขึ้นตามร่างพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... มีบทบาทหลักในการบูรณาการองค์ความรู้ และข้อคิดเห็นจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำเป็นยุทธศาสตร์ยางพาราฉบับใหม่ที่ได้รับการยอมรับจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ภาครัฐ เอกชน และเกษตรกรนำไปขับเคลื่อนได้อย่างเป็นรูปธรรม และเกิดความยั่งยืนของการพัฒนา สำหรับโครงการแปรรูปยางพาราเป็นผลิตภัณฑ์ยางใช้ภายใน ประเทศ ให้หน่วยงานภาครัฐในทุกกระทรวงและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องสามารถอ้างอิงคุณสมบัติที่ระบุไว้ในตาม มอก. ๒๖๘๒-๒๕๕๘ เม็ดยางใช้ทำพื้นสังเคราะห์ และ มอก. ๒๖๘๓-๒๕๕๘ พื้นสังเคราะห์ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องและตรงกัน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1633 | การขุดเจาะบ่อน้ำบาดาล เพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ปี 2558 | มท | 21/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการให้ดำเนินโครงการขุดเจาะบ่อน้ำบาดาล เพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ปี ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการดำเนินการขุดเจาะบ่อน้ำบาดาล จำนวน ๑,๑๗๓ บ่อ แยกเป็นพื้นที่ที่มีไฟฟ้า จำนวน ๙๒๘ บ่อ และไม่มีไฟฟ้า จำนวน ๒๔๕ บ่อ ๑.๒ เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สามารถพิจารณาเรื่องการเปลี่ยนแปลงจุดดำเนินการได้ ตามวัตถุประสงค์เดิม โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๑.๓ ภายหลังดำเนินการขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลแล้ว ให้มีการจัดทำทะเบียนคุม และระบุพิกัดที่ตั้งให้ชัดเจน พร้อมทั้งส่งมอบให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ เพื่อประโยชน์ในการใช้ประโยชน์และบำรุงรักษาต่อไป ๒. สำหรับงบประมาณในการดำเนินโครงการให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จากโครงการฟื้นฟูบูรณะแหล่งน้ำเดิมเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งและอุทกภัย ภายใต้แผนงาน/โครงการบูรณะแหล่งน้ำเดิมเพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากภัยแล้งและอุทกภัย ของสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ที่มีวงเงินเหลือจ่ายภายในกรอบวงเงิน ๓๗๔,๒๖๘,๗๖๙ บาท ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยจัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่ายให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และราคามาตรฐานเดียวกับกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพิจารณาความเป็นไปได้ในการนำเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้เป็นพลังงานในการสูบน้ำในพื้นที่ขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลที่ไม่มีไฟฟ้า
|
||||||||||||||||||||||||
1634 | แนวทางการแก้ไขปัญหาและให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากภัยแล้ง | นร05 | 21/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาและให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากภัยแล้ง ประกอบด้วย (๑) การแก้ไขปัญหาและให้ความช่วยเหลือในระยะเร่งด่วน ได้แก่ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับการปล่อยน้ำจากเขื่อน การรณรงค์เพื่อช่วยกันประหยัดน้ำ และการบริจาคและจัดหาน้ำดื่ม และ (๒) การดำเนินโครงการตามแผนบริหารจัดการน้ำ ได้แก่ การกำหนดให้ภัยแล้งเป็นวาระแห่งชาติ การจัดทำแผนงานโครงการระยะที่ ๑-๓ และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเพาะปลูก และมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงกลาโหม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีต่อไป ดังนี้ ในการดำเนินการแก้ไขปัญหาและให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากภัยแล้ง ควรจัดให้มี (๑) มาตรการด้านการสร้างงานเพื่อให้ประชาชนในพื้นที่มีรายได้ (๒) มาตรการด้านการฟื้นฟูและช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง และ (๓) มาตรการด้านการปรับโครงสร้างการผลิต การส่งเสริมอาชีพและการเตรียมการแก้ไขปัญหาผลกระทบด้านภัยธรรมชาติในระยะยาว ในการนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงกลาโหม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันรับผิดชอบในการดำเนินการกำหนดแนวทางและวิธีการตามมาตรการดังกล่าว โดยให้คำนึงถึงความเป็นธรรมของประชาชนแต่ละกลุ่มที่ได้รับความเดือดร้อน การสร้างความสามัคคีของประชาชนในพื้นที่ และการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
1635 | ขออนุมัติโครงการก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ขนาด 400 เตียง ส่วนขยายเพิ่มเติมการให้บริการทางการแพทย์ ระยะที่ 1 และขอรับสนับสนุนงบประมาณผูกพันในลักษณะเงินอุดหนุนทั่วไป | ศธ | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติโครงการก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ขนาด ๔๐๐ เตียง ส่วนขยายเพิ่มเติมการให้บริการทางการแพทย์ ระยะที่ ๑ ภายในวงเงิน ๙,๗๑๘,๕๗๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒. สำหรับรายละเอียดงบประมาณให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยการดำเนินโครงการในเบื้องต้น สำนักงบประมาณได้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ เพื่อดำเนินโครงการดังกล่าวแล้ว จำนวน ๔๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และหากสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาเห็นว่ามีความจำเป็นต้องดำเนินโครงการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ เพิ่มเติม ก็ให้ขอรับการจัดสรรแปรญัตติเพิ่มวงเงินก่อน และหากไม่ได้รับจัดสรร ก็ให้ขอรับการจัดสรรจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นตามความจำเป็นและเหมาะสม ทั้งนี้ การดำเนินโครงการดังกล่าวให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับสถานพยาบาลและสถาบันผลิตแพทย์ในสังกัดอื่น ๆ ทั้งในด้านการให้บริการรักษาพยาบาลและการจัดการศึกษาทางการแพทย์เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนโลยีด้านการแพทย์ให้มีความทันสมัย เกิดการพัฒนาองค์ความรู้ใหม่สู่ความเป็นเลิศ และเกิดการใช้ทรัพยากรร่วมกันอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
1636 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พร้อมทั้งเปลี่ยนแปลงรายละเอียดในการดำเนินงานก่อสร้างทำนบดินหัวงานและอาคารประกอบ โครงการอ่างเก็บน้ำ คลองกะทะ จังหวัดภูเก็ต | กษ | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการก่อสร้างทำนบดินหัวงานและอาคารประกอบ โครงการอ่างเก็บน้ำคลองกะทะ จังหวัดภูเก็ต ตามนัยมาตรา ๒๓ วรรคสี่ ของพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๑.๒ ให้เพิ่มวงเงินค่าจ้างก่อสร้างทำนบดินหัวงานและอาคารประกอบ โครงการอ่างเก็บน้ำคลองกะทะ จังหวัดภูเก็ต จากกรอบวงเงินกู้ที่ได้รับจัดสรรไว้เดิม ๔๔๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงินรวม ๔๘๐,๓๘๖,๐๖๗.๘๐ บาท ๑.๓ ให้ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการก่อสร้างทำนบดินหัวงานและอาคารประกอบ โครงการอ่างเก็บน้ำคลองกะทะ จังหวัดภูเก็ต จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๗ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๖๐ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเกี่ยวกับการดำเนินโครงการพัฒนาแหล่งน้ำในโอกาสต่อไป ควรมีการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการอย่างละเอียดรอบคอบทั้งในแง่การออกแบบ แหล่งวัตถุดิบ ลักษณะภูมิประเทศ รวมถึงการทำความเข้าใจกับประชาชนและชุมชนถึงข้อดีและข้อเสียจากการก่อสร้างก่อนการดำเนินการ เพื่อให้การดำเนินโครงการสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว บรรลุตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ อย่างไรก็ตาม การดำเนินโครงการดังกล่าวได้มีการขออนุมัติให้ขยายระยะในการก่อสร้างครั้งนี้เป็นครั้งที่สามแล้ว และที่ผ่านมาบริษัทผู้รับจ้างไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่อนุมัติให้ขยายออกไป ทำให้ทางราชการเสียประโยชน์ จึงเห็นควรพิจารณาดำเนินการตามข้อตกลงของสัญญาเลขที่ กจ. ๑๑/๒๕๕๓ (กสพ.๒) ข้อ ๑๗ ค่าปรับ และ/หรือ ข้อ ๑๙ การกำหนดค่าเสียหาย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1637 | ขออนุมัติดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่ - กาญจนบุรี ของกรมทางหลวง | คค | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมชี้แจงว่า จากผลการศึกษาโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี ระบุว่าโครงการมีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ (EIRR) สูง จากการเชื่อมโยงระหว่างเมือง การลดปัญหาการจราจรติดขัด การเพิ่มของมูลค่าที่ดินตลอดแนวโครงการ แต่เป็นโครงการที่มีผลตอบแทนทางการเงิน (FIRR) ต่ำ จึงทำให้เอกชนไม่สนใจที่จะร่วมลงทุนในโครงการ ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติว่า โครงการมีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจสังคมมากกว่า ประกอบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังยืนยันว่า หนี้สาธารณะในปัจจุบันอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้เพราะไม่เกินกรอบวินัยการเงินการคลัง โดยมีสัดส่วนหนี้ต่างประเทศต่อหนี้สาธารณะอยู่ที่ร้อยละ ๕.๘๗ เท่านั้น ๒. อนุมัติให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี วงเงินลงทุนรวม ๕๕,๖๒๐ ล้านบาท ประกอบด้วย การดำเนินโครงการก่อสร้างฯ ด้วยวิธีการประกวดราคาจ้างเหมาก่อสร้าง วงเงินค่าก่อสร้าง ๕๐,๒๐๐ ล้านบาท โดยให้กระทรวงการคลังดำเนินการระดมทุนจากแหล่งเงินทุนภายในประเทศที่เหมาะสมเพื่อใช้ในการดำเนินโครงการ และค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน วงเงิน ๕,๔๒๐ ล้านบาท สำนักงบประมาณได้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ไว้แล้ว จำนวน ๕๐๐ ล้านบาท ส่วนที่เหลือให้กรมทางหลวงเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ในการดำเนินโครงการระยะที่ ๑ ให้กำหนดระยะเวลาตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๐ ส่วนการดำเนินโครงการในส่วนที่เหลือให้กำหนดเป็นระยะที่ ๒ ต่อไป ๓. โดยที่โครงการตามที่กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) เสนอในครั้งนี้ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติได้พิจารณาเห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมแล้ว เมื่อปี ๒๕๔๑ ซึ่งระยะเวลาได้ผ่านมาแล้ว ๑๗ ปี อาจทำให้สภาพแวดล้อมในพื้นที่ดำเนินโครงการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ดังนั้น ให้กรมทางหลวงตรวจสอบสภาพพื้นที่ดังกล่าว และหากมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ และ/หรือมาตรการป้องกันแก้ไขผลกระทบและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) เสนอรายละเอียดของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการตามขั้นตอนก่อนดำเนินการต่อไป ๔. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐเกี่ยวกับการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด การกำหนดอัตราค่าผ่านทางที่เหมาะสม ตลอดจนเร่งพัฒนาระบบเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติ รวมทั้งการศึกษาเปรียบเทียบต้นทุน O&M ของโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองในระยะยาวระหว่างกรณีกรมทางหลวงดำเนินการ O&M เอง กับกรณีการให้เอกชนเป็นผู้ดำเนินการ O&M เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ในการดำเนินโครงการดังกล่าวให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป และให้กระทรวงคมนาคมรับข้อสังเกตของนายกรัฐมนตรีที่เห็นว่า การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโครงการอื่น ๆ ของกระทรวงคมนาคมควรดำเนินการในลักษณะที่ไม่เป็นภาระหนี้สาธารณะของประเทศ โดยให้มีการร่วมลงทุนจากภาคเอกชน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๕. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ร่วมกับคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาแนวทางการจัดทำระบบการกักเก็บน้ำ และการส่งน้ำควบคู่กับการดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษดังกล่าว เช่น การสร้างท่อส่งน้ำขนาดใหญ่ใต้พื้นที่โครงการ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
1638 | การรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 ณ วันที่ 31 มีนาคม 2558 | กค | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบการรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑.๑ รายงานสถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘ ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม มีจำนวน ๕,๗๓๐,๕๑๙.๒๓ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๔๓.๓๓ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) โดยเป็นหนี้รัฐบาล จำนวน ๔,๐๙๔,๐๐๘.๕๙ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน จำนวน ๑,๐๕๑,๕๕๐.๙๗ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินซึ่งรัฐบาลเป็นผู้ค้ำประกัน จำนวน ๕๗๖,๗๖๓.๐๒ ล้านบาท และหนี้หน่วยงานของรัฐ จำนวน ๘,๑๙๖.๖๕ ล้านบาท ๑.๒ รายการการกู้เงินและค้ำประกันระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๕๗ ถึงเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะได้จัดทำแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อใช้เป็นกรอบในการบริหารจัดการหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ โดยในระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๕๗ ถึงเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจได้ดำเนินการกู้เงินและบริหารหนี้เป็นวงเงินทั้งสิ้น ๗๔๓,๒๐๖.๓๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๖.๕๒ ของแผนฯ ๑.๓ ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการลงทุนตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ของรัฐวิสาหกิจในช่วง ๖ เดือนแรก พบว่า มีรัฐวิสาหกิจ จำนวน ๔ แห่ง ที่มีการดำเนินโครงการลงทุนล่าช้ากว่าแผน ได้แก่ โครงการบ้านเอื้ออาทร ระยะที่ ๓-๕ ของการเคหะแห่งชาติ โครงการลงทุนโดยใช้เงินกู้ต่อจากกระทรวงการคลัง จำนวน ๔ โครงการ ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย โครงการลงทุนล่าช้าวกว่าแผน จำนวน ๖ โครงการ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย และโครงการจัดซื้อรถโดยสารเชื้อเพลิงธรรมชาติ จำนวน ๓,๑๘๓ คัน ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับโครงการที่มีความล่าช้า ควรเร่งรัดติดตามการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะเพื่อให้การใช้จ่ายของภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สนับสนุนการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1639 | ขออนุมัติดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายพัทยา - มาบตาพุด ของกรมทางหลวง | คค | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมชี้แจงว่า จากผลการศึกษาโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายพัทยา-มาบตาพุด ระบุว่าโครงการมีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ (EIRR) สูง จากการเชื่อมโยงระหว่างเมือง การลดปัญหาการจราจรติดขัด การเพิ่มของมูลค่าที่ดินตลอดแนวโครงการ แต่เป็นโครงการที่มีผลตอบแทนทางการเงิน (FIRR) ต่ำ จึงทำให้เอกชนไม่สนใจที่จะร่วมลงทุนในโครงการ ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติว่า โครงการมีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจสังคมมากกว่า ประกอบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังยืนยันว่า หนี้สาธารณะในปัจจุบันอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้เพราะไม่เกินกรอบวินัยการเงินการคลัง โดยมีสัดส่วนหนี้ต่างประเทศต่อหนี้สาธารณะอยู่ที่ร้อยละ ๕.๘๗ เท่านั้น ๒. อนุมัติให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษ สายพัทยา-มาบตาพุด วงเงินลงทุนรวม ๒๐,๒๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าก่อสร้างและค่าควบคุมงาน วงเงิน ๑๔,๒๐๐ ล้านบาท โดยใช้เงินทุนค่าธรรมเนียมผ่านทางตามแผนประมาณการรายจ่ายที่ขอตกลงกับกระทรวงการคลัง และค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน วงเงิน ๖,๐๐๐ ล้านบาท สำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ไว้แล้ว จำนวน ๑,๔๔๐ ล้านบาท และเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ รองรับไว้ จำนวน ๓,๖๐๐ ล้านบาท ส่วนที่ขาดอีก จำนวน ๙๖๐ ล้านบาท ให้กรมทางหลวงเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ในการดำเนินโครงการระยะที่ ๑ ให้กำหนดระยะเวลาตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๐ ส่วนการดำเนินโครงการในส่วนที่เหลือให้กำหนดเป็นระยะที่ ๒ ต่อไป ๓. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเกี่ยวกับการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด การกำหนดโครงสร้างอัตราค่าผ่านทางของทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองให้มีความเหมาะสม การเพิ่มบทบาทภาคเอกชนในกิจกรรมการบริหารจัดการและซ่อมบำรุงทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองทั้งในส่วนที่เปิดให้บริการแล้วและที่อยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ รวมทั้งหารือกับกระทรวงการคลังในการพิจารณาแนวทางหรือรูปแบบการบริหารเงินกองทุนค่าธรรมเนียมเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะการนำไปพัฒนาลงทุนก่อสร้างโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองเส้นทางอื่น ๆ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ในการดำเนินโครงการดังกล่าวให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป และให้กระทรวงคมนาคมรับข้อสังเกตของนายกรัฐมนตรีที่เห็นว่า การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโครงการอื่น ๆ ของกระทรวงคมนาคมควรดำเนินการในลักษณะไม่เป็นภาระหนี้สาธารณะของประเทศ โดยให้มีการร่วมลงทุนจากภาคเอกชน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๔. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ร่วมกับคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาแนวทางการจัดทำระบบการกักเก็บน้ำและการส่งน้ำควบคู่กับการดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษดังกล่าว เช่น การสร้างท่อส่งน้ำขนาดใหญ่ใต้พื้นที่โครงการ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
1640 | ขออนุมัติดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา ของกรมทางหลวง | คค | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมชี้แจงว่า จากผลการศึกษาโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา ระบุว่าโครงการมีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ (EIRR) สูง จากการเชื่อมโยงระหว่างเมือง การลดปัญหาการจราจรติดขัด การเพิ่มของมูลค่าที่ดินตลอดแนวโครงการ แต่เป็นโครงการที่มีผลตอบแทนทางการเงิน (FIRR) ต่ำ จึงทำให้เอกชนไม่สนใจที่จะร่วมลงทุนในโครงการ ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติว่า โครงการมีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจสังคมมากกว่า ประกอบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังยืนยันว่า หนี้สาธารณะในปัจจุบันอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้เพราะไม่เกินกรอบวินัยการเงินการคลัง โดยมีสัดส่วนหนี้ต่างประเทศต่อหนี้สาธารณะอยู่ที่ร้อยละ ๕.๘๗ เท่านั้น ๒. อนุมัติให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา วงเงินลงทุนรวม ๘๔,๖๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วย การดำเนินโครงการก่อสร้างฯ ด้วยวิธีการประกวดราคาจ้างเหมาก่อสร้าง วงเงินค่าก่อสร้าง ๗๗,๙๗๐ ล้านบาท โดยให้กระทรวงการคลังดำเนินการระดมทุนจากแหล่งเงินทุนภายในประเทศที่เหมาะสมเพื่อใช้ในการดำเนินโครงการ และค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน วงเงิน ๖,๖๓๐ ล้านบาท สำนักงบประมาณจะพิจารณาจัดสรรค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ในการดำเนินโครงการระยะที่ ๑ ให้กำหนดระยะเวลาตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๐ ส่วนการดำเนินโครงการในส่วนที่เหลือให้กำหนดเป็นระยะที่ ๒ ต่อไป ๓. กรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงแนวเส้นทางในการดำเนินโครงการให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ส่งรายงานการเปลี่ยนแปลงในส่วนดังกล่าวให้คณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมพิจารณา รวมทั้งเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติทราบด้วย ๔. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐเกี่ยวกับการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด การกำหนดอัตราค่าผ่านทางที่เหมาะสม ตลอดจนเร่งพัฒนาระบบเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติ รวมทั้งการศึกษาเปรียบเทียบต้นทุน O&M ของโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองในระยะยาวระหว่างกรณีกรมทางหลวงดำเนินการ O&M เอง กับกรณีการให้เอกชนเป็นผู้ดำเนินการ O&M เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ในการดำเนินโครงการดังกล่าวให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป และให้กระทรวงคมนาคมรับข้อสังเกตของนายกรัฐมนตรีที่เห็นว่า การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโครงการอื่น ๆ ของกระทรวงคมนาคมควรดำเนินการในลักษณะที่ไม่เป็นภาระหนี้สาธารณะของประเทศ โดยให้มีการร่วมลงทุนจากภาคเอกชน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๕. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ร่วมกับคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาแนวทางการจัดทำระบบการกักเก็บน้ำและการส่งน้ำควบคู่กับการดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษดังกล่าว เช่น การสร้างท่อส่งน้ำขนาดใหญ่ใต้พื้นที่โครงการ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
.....